X
    Categories: everYทดลองอ่านหนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 9-12 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

ทดลองอ่านเรื่อง หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1

ผู้เขียน :  อีสือซื่อโจว (一十四洲)

แปลโดย : เซี่ยงฉี

ผลงานเรื่อง : 一剑九琊 (Yi Jian Jiu Ya)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

บทที่ 9

นอกรีต

บนถนนเงียบสงัด ตอนแรกเพียงได้ยินเสียงฝีเท้า แต่หากปล่อยจิตให้ว่างก็จะสามารถได้ยินเสียงภูตผีร่ำไห้แว่วมา ยังมีเสียงฆ่าฟันต่อสู้และเสียงกระบี่ฟาดฟันอากาศลอยมาจากที่ห่างไกล

เฉินเวยเฉินถามว่า “หลวงจีน ท่านได้ยินหรือไม่”

ในเมื่อหลวงจีนชุดขาวสามารถนั่งกำกับที่นี่กว่าหนึ่งร้อยปี พูดตามภาษาพระก็คือมีอิทธิฤทธิ์ใช่ย่อย

น้ำเสียงหลวงจีนสดใสทรงพลัง “ได้ยินแล้ว” จากนั้นก็เอ่ยช้าๆ ต่อไปว่า “ประสกสองคนนั่นใช้พลังสังหารจากศาสตราสู้กับความคับข้องของเหล่าวิญญาณเพื่อจะฝ่าเข้าตัวเมือง”

“ฟังอีกที”

หลวงจีนหลับตาเงี่ยหูฟังอย่างจริงจัง ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยลืมตา

“อาตมาขังตนเองอยู่ในเมืองนี้ ไม่ออกไปร้อยกว่าปี นึกไม่ถึงว่าโลกจะถึงกับมีคนเช่นนี้กำเนิดออกมา คาดว่าตั้งแต่อาตมายังไม่เข้าเมือง บุรุษหนุ่มวิถีเซียนผู้นี้ก็เริ่มมีชื่อเสียงแล้วกระมัง” ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะ “ไม่ถูก…คนผู้นั้นมุ่งไปมรรคาไร้รัก ทว่าคนผู้นี้แม้จะคล้ายมาก แต่รากเหง้าต่างกัน”

เฉินเวยเฉินยิ้มจนตาหยี “ภูผาวารีทุกสมัยล้วนมีอัจฉริยะปรากฏ หลวงจีนท่านชราแล้ว”

หลวงจีนไม่ถือสา เพียงตอบรับ “ชราแล้วจริงๆ”

“หลวงจีน ท่านว่าพวกเขารากเหง้าต่างกัน ต่างกันในที่ใด”

“ไม่ค่อยเหมือนวิถีฟ้าเบื้องบนลืมรัก หากแต่เข้าสู่วิถีด้วยจิตกระบี่อย่างเดียว จิตกระบี่นี้ก็นับว่าไร้น้ำใจเป็นที่สุด” หลวงจีนเอ่ย

เฉินเวยเฉินเอ่ยว่า “ฟังดูแล้วการจะไปถึงขั้นฟ้าระดับสามนั้นเกรงว่าคงไม่ง่าย”

“เป็นเช่นนั้นจริง” หลวงจีนแววตาสงบ “แต่สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นวิถี กระบี่เป็นวิถีได้ ไร้รักก็เป็นวิถีได้ เมื่อถึงเวลาก็จะบรรลุขั้นบำเพ็ญได้เอง”

คุณชายยิ้มน้อยๆ อย่างจนใจ “การบำเพ็ญไม่ควรทำเช่นนี้ หากพลาดพลั้งหลงเข้าสู่ความยึดมั่นถือมั่นก็จะไม่ดี”

หลวงจีนกล่าว “ในเมื่อบำเพ็ญวิถีนี้แล้ว ทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามวาสนา ประสกมิต้องกังวล”

แล้วหลวงจีนก็ไม่พูดอีก เสียงฝีเท้าบนถนนไกลออกไปทุกที

ผ่านประตูเมืองด่านแรก เข้าสู่เมืองชั้นใน

กลิ่นอายภูตผียิ่งเข้มข้น มีแต่เสียงพึมพำเบาๆ

หลวงจีนผู้เปี่ยมด้วยเมตตาจิตจึงกล่าวกับคุณชายในชุดหรูหราว่า “ข้างหน้าเป็นที่ของจิ่นซิ่วฮุย เป็นศูนย์รวมความยึดมั่นถือมั่น ภาพมายานับหมื่นพัน พลาดก้าวเดียวจะตกสู่บ่วงมาร ประสกโปรดระมัดระวัง”

เพียงก้าวไปก้าวหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าทัศนียภาพรอบข้างเปลี่ยนไป เขากำลังผ่านเข้าสู่แดนมายาลวงตา

เฉินเวยเฉินช้อนตาดูก็เห็นภูเขาลูกหนึ่งสุดแดนเหนือ บนนั้นมีหิมะตก ฟ้าดินขาวโพลน เงียบสนิท

บนภูเขามีคนกำลังฝึกกระบี่ ชุดขาวปานหิมะ เสียงลมที่เกิดจากการรำกระบี่ราวกับเสียงนกร้อง เฉินเวยเฉินรู้ว่าเป็นภาพหลอนจึงหลับตาแล้วเดินต่อ หิมะตกใหม่โปรยปราย รอยเท้าบนพื้นถูกกลบไป

ไม่รู้เดินอยู่นานเท่าใด จนกระทั่งสิ่งที่ปะทะกับใบหน้ามิใช่ลมหนาวอีกเขาจึงลืมตาขึ้น เห็นจันทรากลมใหญ่ดวงหนึ่งที่ขอบฟ้า ยอดต้นสนยังปกคลุมด้วยหิมะ ใต้ต้นไม้มีโต๊ะหิน บนโต๊ะเป็นสุรา

วันสารทไหว้พระจันทร์น่าจะเป็นช่วงเวลาที่คนในโลกได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าร่วมกินดื่มด้วยกัน

เขารู้ว่าตนเองดูต่อไปไม่ได้ เพราะหากดูต่ออาจตกสู่บ่วงมาร

ภาพหลอนเกิดจากจิตฟุ้งซ่าน

แต่สิ่งที่ชีวิตนี้ของเขาตัดไม่ขาดก็คือความฟุ้งซ่าน

 

หัวใจที่ปวดเค้นไม่หยุด ยามนี้กลับเป็นเรื่องดีเพราะทำให้รู้ตัวได้สติ ในที่สุดเขาก็หลับตาลง ความรุ่งเรืองหรูหราทั้งปวงพลันร่วงหล่นหายไปเหมือนหิมะ กลับสู่ความว่างเปล่ามืดมิดและเงียบสงัด

เฉินเวยเฉินยื่นมือไปสัมผัสกับประตูที่เย็นเยียบ

ประตูคลังหลวงแง้มเปิดอยู่กลางสายลม ลวดลายแกะสลักเป็นสนิม ห่วงทองเหลืองปกคลุมไปด้วยฝุ่น

เมื่อยามนครหลวงถูกตีแตก ผู้คนต่างพากันหนีลงใต้อย่างฉุกละหุก

เงินทองแพรพรรณนับไม่ถ้วนที่กองสุมในยุครุ่งเรือง ยามนั้นเพียงเปิดประตูก็เข้าสู่สายตา

ทางด้านหนึ่งเพราะข้าศึกวางเพลิงไปทั่วเมือง อีกด้านหนึ่งเป็นการออกคำสั่งให้วางเพลิงเผาคลังหลวงให้สิ้นเอง

มีราษฎรที่เคราะห์ดีหนีจากภัยสงครามบอกว่าเพลิงนั้นมีสีแดง ลุกไหม้หลายวันหลายคืน แดงฉานเหมือนโลหิต บางครั้งบางคราวก็ระเบิดออกมาเป็นสีอื่น เป็นแสงที่เปล่งออกมาจากมรกต ไข่มุก และหยกซึ่งถูกเผาจนกลาย

เวียงวังเปลี่ยนเป็นเมืองผี คนเป็นไม่อาจเข้ามา ราชวงศ์ใหม่ตั้งนครหลวงใหม่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทว่าด้วยสาเหตุสองประการ…ประการแรกคือกลิ่นอายอำมหิตของสงครามหนักเกินไป ประการที่สองคือมีแต่ขุนพลบุกเบิกเขตแดน แต่ไร้ปราชญ์ใหญ่ปกครอง ท่ามกลางฝูงหมาป่าที่จับจ้อง สุดท้ายก็มิอาจเจริญรุ่งเรืองได้ จนบัดนี้ตกอับกลายเป็นเพียงแว่นแคว้นเล็กๆ

ราชวงศ์เดิมสถาปนาขึ้นเป็นใหญ่ ณ ลานต้าหลงถิง เบื้องบนรับปราณมังกร เบื้องล่างเชื่อมต่อกับปราณพสุธา เพียงชั่วข้ามคืนนครหลวงก็เลือดนองเป็นท้องธาร จากราชวงศ์ที่รุ่งเรืองกลายเป็นทรุดโทรม พิธีการที่สืบทอดกันมาล่มสลาย โชคจึงฝากไว้กับขี้เถ้าในคลังหลวง ปราณจากขี้เถ้ากับจิงหนีและเจียวหลง ตลอดจนสัตว์ประหลาดในทะเลที่ตายตั้งแต่วัยรุ่งโรจน์ ผนึกกันจนเทียบได้กับจี้เมี่ยเซียง ซ้ำยังแฝงด้วยความอาดูรของความพินาศแห่งวัฏสงสารอีกส่วนหนึ่ง

มือของคุณชายไม่เคยแตะงานบ้านหรือซักผ้า เป็นมือสูงส่งที่เพียงหยิบจับเปิดหนังสือและดีดพิณเท่านั้น ย่อมน่าดูและงดงามยิ่ง ขาวผ่องตามแบบลูกหลานผู้สูงส่งมีอันจะกิน เจือกลิ่นหอมเบาบางละเมียดละไมชวนลุ่มหลง

มือนั่นสัมผัสกับขี้เถ้าสีดำ ปลายนิ้วหยิบจับแล้วเก็บเข้าถุงแพรที่พกมา ซุกไว้บนตัวพร้อมกับจี้เมี่ยเซียง

ทำให้โชคปั่นป่วน มรรคาสวรรค์มิยอมรับ เหตุและผลเริ่มขึ้น เคราะห์ร้ายจะมาเยือน

ลมหนาวกระโชกเข้ามาทางประตู เสียงผีร่ำไห้ดังกว่าเดิม

ริมฝีปากคุณชายที่มักมีรอยยิ้มเสมอมีเลือดสายหนึ่งไหลซึมออกมา

เหมือนถูกกระแทกแรงๆ ด้วยพลังไร้รูปร่าง ใบหน้าเขาซีดขาว สายตาพร่าไปวูบหนึ่งแทบจะยืนไม่ติด

ในใจเจ็บแปลบราวถูกขูดกระดูก

 

“ประสก ที่แท้ท่านมิใช่คนในแดนนี้ ก่อนหน้านี้อาตมาถึงกับไม่ทันสังเกต”

“ในเมื่อต้าซือ[1]* ดูออกด้วยสายตาอันเฉียบแหลม” เสียงของเขาพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวด “จะฆ่ามารกำจัดอสูรหรือไม่”

“ทะเลทุกข์ไร้ฟากฝั่ง แต่สามารถข้ามเองได้” หลวงจีนเปล่งคำว่าอมิตาภพุทธคำหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านมีบาปกรรม อาตมามิอาจส่งท่านถึงฝั่งได้”

“ขอบคุณต้าซือ…ที่เมตตา” น้ำเสียงของเฉินเวยเฉินเริ่มกระท่อนกระแท่น “ดูท่าข้าคงต้องข้ามฝั่งเองแล้ว”

“ปลงตกด่านรัก”

“ไม่ปลง”

“ไม่ปลงจะไม่รอด”

“ไม่ปลง”

“หากไม่ปลงตกในรักโลภโกรธหลง ด้วยกายเนื้อธรรมดามิอาจแบกรับน้ำหนักของเหตุแลผลได้”

มุมปากคุณชายยกขึ้นยิ้มอย่างอ่อนแรง “หากข้ารักโลภโกรธหลงอยู่แต่เดิมเล่า”

“มรรคาสวรรค์มิอาจยอมรับ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็มีเพียงการดิ้นรนยื้อชีวิตอย่างสิ้นหวัง”

“เช่นนั้นก็ดิ้นรนต่อไปเถิด ข้ากำลังหอบใกล้ตายอยู่แล้วมิใช่หรือ” เขายิ้มให้กับตนเอง ปาดคราบเลือดที่มุมปาก พิงกับผนัง “หลวงจีน ในเมื่อท่านบอกว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นวิถีได้ หากข้าจำเป็นต้องไปทำเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นก็จะเป็นวิถีของข้าใช่หรือไม่”

กระบี่เป็นวิถีได้ ไร้รักก็เป็นวิถีได้ ถ้าเช่นนั้นความยึดมั่นถือมั่นก็เป็นวิถีได้เช่นกัน

เป็นหรือตายคั่นด้วยสายใยเดียว จิตใจว่างเปล่า

โลกโลกิยะท่วมท้นดุจสายน้ำประจิม

จมลอยกับเรื่องในโลก รักโลภโกรธหลง

มิปลง มิลืม

เฉินเวยเฉินลืมตาอีกครั้ง ลมหายใจเริ่มเป็นปกติ ไม่มีท่าทางใกล้ตายเหมือนเมื่อครู่

“ขั้นฟ้าระดับหนึ่ง ประสกเข้าสู่วิถีแล้ว” หลวงจีนแลดูเขา “อาตมาขอล่วงเกิน ขอถามว่าประสกตื่นรู้ด้วยวิถีใด”

คุณชายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “วิถีนอกรีตมารชั่ว”

 

เขาพิงกับผนังมองไปข้างนอก รอคนมา

จนกระทั่งประกายกระบี่กับเงากระบี่ใกล้เข้ามา ที่เข้าประตูมาก่อนเป็นสตรีชุดแดงที่ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากสีทอง

สตรีผู้นี้ใช้กระบี่หนักซุ่ยคุนหลุนฟันผีวิญญาณ หลังต่อสู้อย่างดุเดือดลมปราณก็ยุ่งเหยิง นางยันกระบี่หนักกับพื้น เหลียวมองรอบๆ “ท่าน…”

หลวงจีนประนมมือคารวะให้ “ประสก”

เฉินเวยเฉินที่แฝงตัวอยู่ในเงาตรงมุมห้องถูกพบเป็นคนที่สอง

น้ำเสียงของนางเย็นชา “เหตุใดเจ้าจึงอยู่นี่”

เฉินเวยเฉินโบกถุงแพรในมืออย่างอ่อนระโหย “ได้ยินว่าที่นี่มีของดี ข้าเป็นมนุษย์ปุถุชนย่อมเกิดความโลภเป็นธรรมดา ผนวกกับตกลงกับหลวงจีนได้พอดีจึงชิงตัดหน้าพวกท่านมาก่อน”

“เจ้า” สตรีชุดแดงโกรธจัด เงื้อกระบี่หนักในมือจะฟาดใส่ “ส่งจิ่นซิ่วฮุยให้ข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะปลิดชีวิตสุนัขเช่นเจ้า”

ได้ยินเพียงเสียงโลหะกระทบกัน เป็นเสียงที่เกิดจากคุณชายที่รับการจู่โจมครั้งนี้ด้วยด้ามพัด

สตรีชุดแดงแค่นหัวร่อ “แค่ขั้นฟ้าระดับหนึ่งยังกล้ามาโอ้อวด” ว่าแล้วก็ถ่ายทอดพลังลงในกระบี่หนัก ฟันใส่ด้วยอานุภาพรุนแรง

เฉินเวยเฉินรู้ดีว่ารับไม่อยู่จึงพิงกับผนังอย่างเกียจคร้านรอความตายเสียเลย

ไม่แน่ว่าอาจมีคนมาช่วย

และแล้วเสียงปราณกระบี่สดใสก็ดังขึ้น กระบี่จิ่วหยาขวางใส่กระบี่หนักซุ่ยคุนหลุน

สตรีผู้นั้นคาดคั้นอย่างไม่เข้าใจ “ไยจึงช่วยมัน”

เยี่ยจิ่วหยามุ่นคิ้วเล็กน้อย กล่าวกับนางว่า “คนของพวกเรา จี้เมี่ยเซียงก็อยู่ในมือเขา”

“มิบังอาจ ข้าน้อยไม่นับเป็นคนของพวกท่าน” คุณชายที่อยู่ตรงมุมห้องหัวร่อ “เพียงอยากเป็นของเจ้ากระบี่เยี่ยคนเดียว”

สตรีชุดแดงมองดูสภาพลมหายใจไม่ปะติดปะต่อของเขา ท่าทางเหมือนจะขาดใจจึงตวาดอย่างเดือดดาล “พูดจาเหลวไหล! อาศัยอะไรเจ้ากระบี่เยี่ยจึงต้องการเจ้า”

“ประมาณว่า…” เขากระแอมหลายครา น้ำเสียงระโหย “เห็นจิตทั้งสามของข้าลึกเท่ากันตื้นเท่ากัน เป็นปุถุชนที่ไม่เคยพานพบในรอบพันปีกระมัง”

“จิตทั้งสาม เจ้า…” นางตาโตด้วยความตกใจ แม้แต่เสียงก็ยังสั่น “เจ้า…” พริบตานั้นนางถึงกับมีสีหน้าสับสนตื่นตะลึง

มือของเยี่ยจิ่วหยากดที่หน้าผากนาง “คุ้มครองจิต คืนสติ”

สายไปเสียแล้ว

คาดว่านางคงย่ำผ่านจิตมารภาพหลอนมาจนถึงบัดนี้ ภาวะจิตอ่อนไหวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของเฉินเวยเฉินเพียงนิดก็พลันตกสู่วิถีมาร สองตาหลับแน่น ลมหายใจติดขัด ร่างอ่อนยวบล้มลงเหมือนบุปผาน้ำแข็งโลหิตดอกหนึ่งที่โรยรา ก่อนถูกเยี่ยจิ่วหยารับไว้

ได้ยินสตรีผู้นี้พึมพำไม่ได้สติ “เยี่ยนจวิน”

น้ำเสียงคุณชายไม่ยินดีอย่างยิ่ง “ทีละคนสองคนล้วนจดจำอยู่ไม่รู้ลืม เห็นได้ว่าเยี่ยนจวินผู้นี้ทำบาปไม่น้อย”

หลวงจีนที่อยู่ข้างๆ นำซุ่ยคุนหลุนกรีดข้อมือของสตรีชุดแดงเพื่อนำเลือดมาทำพิธี “แดนมายานี้อันตรายเกินไป ผู้ใดจะกล้าเข้าไปในนั้นเพื่อช่วยนาง”

“ข้าเอง” เฉินเวยเฉินก้าวออกมาแล้วยื่นมือให้ “นางถูกข้าทำร้าย”

“ข้าเอง” เยี่ยจิ่วหยากล่าว “ภาวะจิตของเจ้าไม่มั่นคง”

“แม้ภาวะจิตข้าจะไม่มั่นคง ต่อให้ลุ่มหลงไปกับภาพมายาหรือต่อให้ในนั้นจะงดงามรุ่งเรืองสุดขอบฟ้า ขอเพียงเจ้ากระบี่เยี่ยไปตามหาข้าด้วยตนเอง แม้ข้าจะหลงไปกับภาพมายาก็จะยอมกลับมาแต่โดยดี” เฉินเวยเฉินยิ้มบางๆ “แต่หากเจ้ากระบี่เยี่ยไปช่วยคนไม่สำเร็จและหลงสู่ภาพมายาเสียเอง ที่นี่ไม่มีเยี่ยนจวินที่พวกท่านทั้งหลายเฝ้าคิดถึง จึงไม่มีผู้ใดจะสามารถตามท่านกลับคืนมาได้”

เยี่ยจิ่วหยาจ้องเขาอย่างเย็นชา

“เฉินเวยเฉิน” เขาพูดขึ้น “ตามที่เจ้าว่า ที่นี่ไม่มีเยี่ยนจวิน แล้วเจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะช่วยชันหลงจวินกลับมาได้”

 

[1]* ต้าซือ เป็นคำเรียกอาจารย์หรือยอดฝีมือในศิลปการแขนงต่างๆ นอกจากนี้ยังใช้เรียกขานภิกษุสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ และใช้กับนักบวชผู้เป็นที่เคารพนับถือ

บทที่ 10

เซียนจวิน

“เรื่องรักใคร่ในแดนมนุษย์นี้ ข้าย่อมเห็นมามากกว่าเจ้ากระบี่เยี่ย” พัดภาพวาดด้ามเลี่ยมทองคลี่ออกเผยให้เห็นภาพธุลีแดง[1]* อันวุ่นวายที่อยู่ด้านหน้า “ข้าดูแล้วแม่นางลู่อายุอานามไม่เกินยี่สิบปี จิตใจนิสัยของสตรีเยาว์วัย คาดว่าน่าจะกล่อมได้ง่าย หากเป็นคนเช่นเจ้ากระบี่เยี่ย ไร้ตัณหาไร้รัก จิตดุจน้ำแข็งหิมะ จึงจะทำการยากเย็นอย่างแท้จริง”

“นางตั้งใจมุ่งสู่เต๋า เพียงมีความยึดมั่นถือมั่น ไม่เกี่ยวกับเรื่องรักใคร่”

“หากกล่าวเช่นนี้น่าจะให้หลวงจีนไปดีกว่า ไปกล่อมนางให้ละวางว่างเปล่าต่อทุกสิ่ง” ขนตาคุณชายหลุบลงเล็กน้อย “เจ้ากระบี่เยี่ย ท่านรู้เกี่ยวกับความยึดมั่นถือมั่นสักเท่าใด ต้องข้าเท่านั้นที่ไปแล้วยังพอมีโอกาส”

หลวงจีนสีหน้าเปี่ยมการุณย์ “ประสกเยี่ย ปล่อยให้เขาไปเถิด”

เฉินเวยเฉินได้รับความเห็นชอบจากหลวงจีนจึงยิ้มจนตาหยี ยกซุ่ยคุนหลุนขึ้นมากรีดข้อมือ หยดเลือดสดของตนใส่

กระบี่วิเศษเชื่อมโยงกับจิตเจ้าของ ใช้โลหิตเป็นสายชักนำสามารถนำเขาเข้าสู่แดนมายา

“เจ้ากระบี่เยี่ย โปรดวางใจ” เฉินเวยเฉินกล่าวกับอีกฝ่าย

“เจ้าจงใจทำให้ภาวะจิตของชันหลงจวินปั่นป่วน ชักนำนางเข้าสู่แดนมายา ยังจะมีใจนึกถึงข้าด้วยหรือ” เยี่ยจิ่วหยากล่าวเนิบๆ

“เจ้ากระบี่เยี่ยล้อเล่นแล้ว” เฉินเวยเฉินยิ้มตาหยี

ว่าแล้วก็ผ่อนคลายจิตใจ ปล่อยจิตสำนึกเข้าสู่แดนมายา

 

วิญญาณยึดติดกับภาพความรุ่งเรืองซึ่งเลือนหายไปในชั่วพริบตา แต่แดนมายาของชันหลงจวินกลับมิใช่ความจอแจเมื่อครั้งบ้านเมืองยังรุ่งเรืองและมิใช่ความเงียบสงบของยามสันติ

ไม่มีทัศนียภาพดุจภาพวาดและไม่มีภูผาวารีนับหมื่นหลี่

หากเป็นเปลวเพลิงลุกลามต่อเนื่อง บ้านเรือนพังทลาย

เสียงกรีดร้องและเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดค่อยๆ หายไป เหลือแต่ลมแรงที่พัดใส่เปลวเพลิง

นางที่ยังเป็นดรุณีน้อยขดตัวในห้อง กัดริมฝีปากอย่างดื้อดึงมิยินยอม แววตาทั้งสิ้นหวังและอาฆาตแค้น

ใบหน้าครึ่งซีกของนางถูกไฟลวกจนเกิดเป็นบาดแผล นางกำลังกระเสือกกระสนจะปีนออกไปจากหน้าต่าง กลับนึกไม่ถึงว่าคานห้องที่ติดไฟจะถูกเผาไปจนถึงลิ่มไม้ที่ตรึงกับผนังเรือน คานไม้หนักอึ้งจึงตกลงมาพร้อมกับเปลวเพลิงขวางทางออกตรงช่องหน้าต่างพอดี

คานอีกตัวเริ่มหลวมคลอนทำท่าจะหล่นใส่นางเช่นกัน

นางไม่มีที่ให้หนีอีกจึงหลับตาอย่างสิ้นหวัง ตัวสั่นเทา

กลับมีปราณกระบี่สายหนึ่งฟันใส่คานที่ไฟไหม้ให้เบี่ยงออกไป ฝืนทิ้งที่ว่างเล็กน้อยแต่พอตัวไว้ให้นางได้รอดปลอดภัย

นางเงยหน้ามองก็เห็นมือข้างหนึ่งยื่นให้ตน เป็นมือที่น่าดู

ดวงตาของนางเปล่งประกายแห่งความหวังจากการรอดชีวิต กุมมือข้างนั้นและถูกแรงขุมหนึ่งดึงออกจากกองเพลิง

ขณะตกใจลนลานก็เหลือบไปมอง เห็นเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดดำแขนเสื้อปักลายเดินทอง

คนผู้นั้นวางนางลงใต้ต้นไทรใหญ่ ไม่พูดไม่จา หมุนตัวจะจากไป

จันทร์กระจ่างไกลลิบ ลมวิกาลพัดโบก ไม่เหมือนมนุษย์ในโลกโลกีย์

นางโซซัดโซเซตามไปหมายจะดึงชายเสื้อคนผู้นั้น แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็เอื้อมไม่ถึง

“ท่านเป็นผู้ใด ไยจึงช่วยข้า” นางข่มกลั้นความเจ็บปวด วิ่งเหยาะๆ ไปอย่างยากลำบากพลางถาม

คนผู้นั้นไม่ตอบ

นางก็ไม่ยี่หระ ยามนี้นางเหมือนคนจมน้ำแล้วคว้าขอนไม้ไว้ได้ จึงติดตามผู้ที่ช่วยนางออกจากทะเลเพลิง เขาข้ามภูเขา นางก็จะข้ามภูเขา เขาลงน้ำ นางก็จะลงน้ำ

นางเห็นคนผู้นี้มีสีหน้าเย็นชา ไม่ว่าจะมองในมุมใดล้วนสูงส่งเหมือนจันทราบนฟากฟ้า

นางกลัวจะเห็นแววตาของคนผู้นี้ เพราะในสายตาของเขานางคงเป็นเพียงมดตัวหนึ่ง หรืออาจเป็นเพียงเศษธุลี สรุปแล้วไม่ต่างอะไรกับหญ้าหรือหินริมทาง

ไม่รู้เดินมานานเท่าใด ในที่สุดก็ได้หยุดพัก นางพิงกับต้นไม้นั่งลง คลึงข้อเท้าที่เขียวช้ำไม่กล้าถอดรองเท้าถุงเท้าออกเช่นนี้ ด้วยเกรงว่าตุ่มน้ำที่เกิดจากการเสียดสีจะกลายเป็นน้ำเลือดเหนียวจับกับผ้าจนแกะไม่ออกแล้ว

“ท่านเป็นผู้บำเพ็ญเซียนใช่หรือไม่ ที่บ้านข้าก็มีผู้บำเพ็ญเซียน ข้าดูออก” นางพูดกับบุรุษผู้นั้น แม้จะไม่ได้รับการแยแสสนใจเลยก็ตาม นางกึ่งรั้นกึ่งขอร้องว่า “ท่านเซียน ท่านพาข้าไปบำเพ็ญเซียนได้หรือไม่”

ในที่สุดดวงตาที่ไร้แววหวั่นไหวใดๆ ของคนผู้นั้นก็จ้องนาง

“ไฉนจึงอยากบำเพ็ญเซียน”

“แสวงหาชีวิตอมตะ มีอิทธิฤทธิ์ จะได้ล้างแค้นให้สกุลลู่ของข้า” นางพูดทีละคำอย่างแน่วแน่

“ยึดมั่นถือมั่นเกินไป” น้ำเสียงและท่าทางของคนผู้นั้นเย็นชานัก คำพูดก็เช่นเดียวกัน “มิใช่คนในวิถี”

นางกัดฟันถาม “เช่นนั้นเหตุใดจึงช่วยข้า ในเมื่อไม่ส่งข้าข้ามฝั่ง ไยต้องช่วยข้า”

“…ช่วยก็คือช่วย”

ประโยคที่ว่า ‘ช่วยก็คือช่วย’ นั้นพูดออกมาอย่างเบาสบาย แต่นางสะอึกจนพูดไม่ออก กะโผลกกะเผลกเดินถึงริมธารใต้แสงจันทร์ ถอดรองเท้าปักออก สองเท้าแช่ลงในน้ำ เริ่มถอดถุงเท้าที่มีเลือดติดอย่างระมัดระวัง

นางเจ็บจนต้องสูดปาก แต่ยังต้องระวังคอยดูใต้ต้นไม้นั่นด้วย จะได้ไม่ปล่อยให้คนผู้นั้นจากไปโดยไม่รู้ตัว ทิ้งตนไว้ในทุ่งร้างตามลำพัง

คนผู้นั้นพิงต้นไม้ หลับตา ถูกแสงจันทร์อาบไล้ หากไม่มองบรรยากาศเย็นเยียบรอบกายก็คงราวกับภาพวาดภาพหนึ่ง

นางลอบชำเลืองมอง ทันทีที่หันกลับมาก็ไม่รู้ว่าข้างกายมีอีกคนมานั่งด้วยตั้งแต่เมื่อใด นางตกใจจนแทบร้องออกมา

คนผู้นั้นเป็นคุณชายในชุดหรูหราผู้หนึ่ง แต่งกายตามแบบมนุษย์ปุถุชน พัดที่มีด้ามเลี่ยมทองวางอยู่บนพื้นหญ้าริมธาร กุมข้อเท้านางที่มีรอยช้ำและถูกไฟลวก ถอดถุงเท้าติดสะเก็ดเลือดอย่างระมัดระวัง ยังเจ็บน้อยกว่านางลงมือทำเองเสียอีก

“ท่าน…” นางถามอย่างลังเล

แววยิ้มอ่อนจางปรากฏขึ้นที่หางตาของคุณชาย “จะตามข้าไป?”

นางดิ้นหลุดจากมือเขาอย่างตื่นตัว “ท่านเป็นใคร”

“คนผ่านทาง” เขาตอบ “ตามข้ากลับบ้าน เป็นน้องสาวข้า ใช้ชีวิตมั่งคั่งสูงส่งปลอดภัย ไม่ดีหรือ”

นางกัดริมฝีปาก สั่นศีรษะ “ข้าอยากบำเพ็ญเซียน”

“บำเพ็ญเซียนหนาวเย็นลำบาก”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปกับท่าน” นางนิสัยดื้อรั้น “เขาช่วยข้า ข้าจะติดตามเขา เขาร้ายกาจ ข้าจะเรียนจากเขา ข้าจะล้างแค้น”

“ติดตามเขามีอะไรดี” เสียงคุณชายแผ่วเบาทอดถอนใจน้อยๆ “นั่นเป็นคนไร้น้ำใจอันดับหนึ่งในหล้า”

“เขาช่วยข้า” นางพูดคำนี้ซ้ำๆ

“แม้เขาจะช่วยเจ้า แต่ไม่สนใจเจ้า” คุณชายช่วยเสยผมที่ยุ่งเหยิงบนหน้าผากของนาง “เขาผู้นี้เห็นอะไรล้วนเป็นมดปลวก เหมือนเมฆเหมือนธุลี เพียงผ่านทางแล้วยกเท้าช่วยมดไว้ตัวหนึ่ง ยังต้องสนใจด้วยว่าหลังช่วยแล้วมดตัวนั้นจะกลับรังใดกระนั้นหรือ”

“ข้าไม่มีบ้านแล้ว” นางพ้อ “เขาไม่ได้สนใจความเป็นความตายของมด แต่ก็ห้ามไม่ให้มดติดตามเขาไม่ได้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นแม้เขาจะดูน่ากลัว แต่ความจริงมีจิตใจดีงาม ไม่เช่นนั้นคงจากไปแต่แรก ทิ้งข้าไว้ที่นี่แล้ว!”

“เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนเน้นที่ชะตาและโชคมากที่สุด” คุณชายอธิบาย “เขาเพียงเกิดมีใจเมตตาขึ้นชั่วขณะจึงช่วยชีวิตเจ้า เพราะชะตาเจ้ายังไม่ขาด และนับแต่นี้ชะตาของเจ้าจะแบกอยู่บนตัวเขา หากทิ้งให้เจ้าถูกสุนัขเถื่อนหรือหมาป่าในภูเขาแย่งกันกินก็จะติดค้างเป็นเวรกรรม ดังนั้นจึงยอมให้เจ้าติดตามไปตลอดทาง” เขาหัวร่อพลางเอ่ยอีกว่า “แต่ในเมื่อมีขั้นบำเพ็ญเช่นเขาก็ไม่ต้องกลัวเวรกรรมเล็กๆ ที่เกิดจากชีวิตคนคนหนึ่งนานแล้ว ฉะนั้นอาจเพียงเพราะเขาขี้เกียจสนใจเจ้าเท่านั้น”

“ข้าไม่เชื่อ” นางเถียงคอเป็นเอ็น “เขาไม่สนใจข้า ทว่าข้าสนใจเขา ต่อให้เขาจะถือว่าข้าเป็นมด ข้าก็จะฝึกวิทยายุทธ์ให้ร้ายกาจเหมือนเขา ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยังมองข้าเช่นนี้อีก”

นางมองดูเงาตนเองในน้ำ ใบหน้าครึ่งซีกเสียโฉม กล่าวอย่างเจ็บช้ำว่า “ข้าก็มิใช่สตรีตระกูลใหญ่โตที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เพียงรู้หนังสือไม่กี่ตัวและปักดอกไม้เป็นบ้าง ไม่มีบิดามารดา ข้ายังจะไปที่ใดได้เล่า”

“ไยจึงไม่ติดตามข้า”

“บ้านข้าค้าขาย ต้องดูคนเป็น แม้เขาจะไม่สู้มีไมตรีนัก แต่ก็ไม่มีจิตคิดร้าย ทั้งยังคร้านจะทำร้ายข้า” นางปากคอเราะราย “ท่านยิ้มได้น่าดูมาก แต่ไม่รู้ว่ามีแผนการใดซ่อนอยู่”

เฉินเวยเฉินถูกเปิดโปงกะทันหัน ไม่ทันระวัง พริบตานั้นไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางดี

เขาพลันถามว่า “เจ้ายินดีนักหรือ”

“ย่อมยินดี ตอนแรกข้าถูกกักในห้อง ได้แต่รอถูกไฟคลอกตายทั้งเป็น กลับถูกท่านเซียนที่ผ่านทางช่วยไว้ ไม่เพียงรักษาชีวิตไว้ได้ ยังมีหวังที่จะบำเพ็ญเซียน ค้นหาความจริงเพื่อแก้แค้นให้ตระกูล ไฉนจะไม่ยินดี”

“หากไม่ว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่ยอมสอนเจ้าบำเพ็ญเซียนเล่า”

“ข้าก็จะติดตามเขา อย่างไรเขาก็คงต้องไปยังสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเซียนจนได้ ข้าจะจดจำบุญคุณของเขาไว้แล้วหาทางใหม่ รอจนมีฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่แล้วย่อมสามารถตอบแทนบุญคุณ หาพี่ชายของข้าให้พบและล้างแค้นให้คนในครอบครัว”

“พี่ชาย?” เฉินเวยเฉินรู้สึกเหนือความคาดหมาย

“เขาถูกท่านเซียนพาไปตั้งแต่เล็ก ไม่รู้ไปแห่งหนใด ขอเพียงข้าได้บำเพ็ญเซียนและเขายังไม่ตาย ย่อมต้องมีสักวันที่เราจะได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้า”

“แม่นางลู่ นิสัยกร้าวแกร่งเสียจริง” คุณชายโบกพัดในคืนฤดูสารทอย่างไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ

นางประหลาดใจ “ท่านรู้ว่าข้าแซ่ลู่?”

“ย่อมรู้” คุณชายริมธารใต้แสงจันทร์กล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “ข้ายังรู้ด้วยว่าคนผู้นั้นแซ่เฉิน เป็นราชันเทพในวิถีเซียน”

“ท่านก็เป็นเซียนหรือ”

“มิใช่”

“ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใคร”

“เป็นคนนอกความฝัน”

“คนนอกความฝัน?”

“แม่นางลู่ฝันตื่นหนึ่ง ฝันเห็นห้วงเวลาที่ตนดีใจและคิดถึงที่สุด พริบตานั้นถึงกับไม่ตื่นขึ้นมา พวกเราที่อยู่ข้างนอกก็จนปัญญา จึงได้แต่ให้ข้าเข้ามาในความฝันของเจ้า พาเจ้ากลับไป”

“ข้าไม่เชื่อ” นางกล่าว “เรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตข้าคือการเดินทางบนทิวเขาทุ่งร้างที่ลำบากเช่นนี้กระนั้นหรือ คนผู้นั้นก็ไม่มีสีหน้าที่ดีกับข้าเลย ไยจึงไม่ให้ข้าฝันถึงบิดามารดาหรือพี่ชายข้าเล่า”

“คิดดูแล้วคงเพราะเจ้ารู้สึกว่าเช่นนี้ดีมาก ดูเถิดเขามีท่าทางไม่ชวนให้รักชอบเช่นนี้เจ้าก็ยังคงติดตามเขา ซ้ำยังพูดคุยกับเขาตลอดด้วย”

“ข้าต้องการบำเพ็ญเซียน ข้าอยากแก้แค้น ไม่ได้หรืออย่างไร”

“หากเจ้าต้องการบำเพ็ญเซียนจริง ขณะข้ามภูเขาผ่านอารามชิงจิ้ง เหตุใดจึงไม่เข้าไปเล่า”

“ที่นั่นล้วนเป็นพวกนักพรตแม่ชี…”

“หากจะรีบแก้แค้นจะสนใจไปไยว่าเป็นเซียนเป็นพุทธหรือเป็นมาร กล่าวถึงที่สุดแล้วเจ้าอยากติดตามเขานั่นเอง กลัวเขาจะหายไป เหตุใดจึงกังวลเช่นนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขา ไฉนจึงปล่อยให้เจ้ายึดมั่นถือมั่นเยี่ยงนี้” คุณชายจ้องนาง

“เขา…” นางอ้าปากค้าง แววตาสับสน

 

[1]* ธุลีแดง หมายถึงโลกโลกีย์หรือชีวิตความเป็นไปในทางโลก

บทที่ 11

ต้นสน จันทรา

“ข้าไม่สนใจ” นางสั่นศีรษะสุดชีวิต “เขาช่วยข้า จะไม่ต้องการข้าได้อย่างไร”

“บุญคุณช่วยชีวิต ไม่ขอบคุณเขา กลับโทษว่าเขาไม่ต้องการ แม่นางลู่ นี่สมเหตุสมผลหรือ เจ้าบอกเองว่าข้ามภูเขาลำบากเป็นที่สุด กลับฝันเห็นช่วงนี้ เห็นได้ว่ากลัวเขาจะทอดทิ้งเจ้า หรือเป็นเพราะนอกความฝันเขาทิ้งเจ้าไปกระนั้นหรือ”

“ฝันไม่ฝันอะไรกัน ข้าไม่เชื่อ เขาอยู่ที่นั่น ข้าจะติดตามเขา”

“สุดแล้วแต่เจ้า” คุณชายก็ไม่โกรธ “เข้าไปถามเขาสิว่าเขาจะไปหนใด จะทำอะไร หากเขาตอบว่าจะไปสำนักเจี้ยนเก๋อที่แดนเหนือเพื่อพบคนผู้หนึ่งก็จะยืนยันได้ว่าข้าเป็นคนนอกความฝันโดยมิต้องสงสัย”

นางมองเขาอย่างข้องใจคราหนึ่งโดยไม่พูดอะไร นางนึกกลัวคนผู้นั้นอยู่บ้าง ย่อมไม่กล้าถาม

เฉินเวยเฉินกลับเดินไปถึงข้างกายคนผู้นั้นอย่างไม่กริ่งเกรงราวกับไม่กลัวเขาแม้แต่น้อย ขณะถือพัดเตรียมจะเชยคางคนผู้นั้นด้วยท่าทางคล้ายคุณชายตระกูลร่ำรวยที่กำลังลวนลามสตรี แล้วก็เป็นดังคาด ดวงตาของคนผู้นั้นที่เดิมหลับอยู่พลันลืมขึ้น สิ่งที่เฉินเวยเฉินได้รับคือแววตาเย็นชา

มีคำกล่าวว่ามีพลังข่มขู่โดยมิต้องโกรธ แต่ก็ไม่อาจบรรยายแววตาที่เต็มไปด้วยความล้ำลึกนี้ได้แม้เศษเสี้ยว

เพราะนั่นมิใช่พลังข่มขู่

นั่นเป็นความไม่ไยดีบางอย่างที่ปราศจากกลิ่นอายของปุถุชน สูงส่งเหนือสิ่งใด

คล้ายตะวันจันทราหมุนกลับ ฟ้าถล่มดินทลาย ในสายตาของเขาก็แค่ธุลีร่วงลงเม็ดหนึ่ง

“ฟ้าเบื้องบนลืมรัก สงบมิหวั่นไหวคือวิถีของท่านหรือ” คุณชายที่สวมชุดหรูหราหุบพัด มุมปากแฝงรอยยิ้มที่เดาไม่ออก “เยี่ยนจวิน เลื่อมใสชื่อเสียงมานาน ข้าน้อยเฉินเวยเฉิน”

คนผู้นั้นจ้องกลับเงียบๆ “ยินดีที่ได้พบ”

 

เมื่อออกเดินทางอีกคราก็มีเฉินเวยเฉินเพิ่มมาอีกคน

ผู้สูงส่งท่านนั้นย่อมไม่สนใจเรื่องทางโลกเป็นธรรมดา ทุกอย่างที่ต้องทำจึงกลายเป็นภาระของคุณชายเฉิน

ร้านตัดเย็บที่ตีนเขาหิมะตัดชุดกระโปรงสีแดงขึ้นมา แม้ลายดอกไม้ที่ปักจะไม่ประณีต แต่กลับใส่ใจและน่าดูชมอย่างยิ่ง

คุณชายยิ้มตาหยีถือชุดหยอกเย้าแม่นางลู่ “เรียกข้าว่าพี่ชายสักคำจะยกกระโปรงให้”

นางคุ้นกับเขามากแล้ว แต่ยังโมโหจนหันตัวไป “ไม่เรียก”

“เจ้ายังคงไม่ชอบใจข้าอยู่ดี” เฉินเวยเฉินช่วยคลุมเสื้อให้นางจากข้างหลัง เอ่ยเสียงทอดถอนใจเสแสร้งถึงขีดสุด “ว่ากันตามหลักแล้ว ข้าผู้เป็นคุณชายไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือความรู้ล้วนดีกว่าเยี่ยนจวินผู้เย็นชาของเจ้า ไยจึงไม่เห็นเจ้าทั้งหวาดกลัวทั้งรักข้าเล่า”

ถึงอย่างไรแม่นางลู่ก็ถือคติว่ารับของผู้อื่นมือต้องสั้น[1]* จึงแค่นเสียงดังฮึ “ย่อมดีกว่าท่าน”

บังเอิญได้ยินโต๊ะข้างๆ ในโรงเตี๊ยมกล่าวว่า “ไปทางเหนืออีกร้อยกว่าหลี่จะเป็นเขตแดนสำนักเจี้ยนเก๋อ นั่นเป็นหนึ่งในสำนักเซียน คนธรรมดาชั่วชีวิตยังยากจะเหยียบย่างเข้าที่นั่น”

แม่นางลู่พลันเงียบงัน

นางกลับห้องตนเองนั่งซึมอยู่ครู่หนึ่ง สมองขบคิดวุ่นวาย ตอนออกไปจากประตูโรงเตี๊ยมที่มีน้ำแข็งย้อยเป็นแท่ง เห็นใต้ต้นไม้ที่ปกคลุมด้วยหิมะมีคนสองคนยืนอยู่

ในมือของเฉินเวยเฉินมีขลุ่ยสีหยกเลาหนึ่ง กำลังเป่าเป็นบทเพลงไม่ทราบชื่อ

หิมะโปรยปรายเกลื่อนฟ้าตกลงบนเสื้อคลุมของเยี่ยนจวินที่อยู่ข้างๆ

นางพลันผุดความเศร้าหมองในใจโดยไม่รู้ที่มา

เฉินเวยเฉินเห็นนางเข้าจึงเก็บขลุ่ย “เก็บข้าวของแล้วหรือ”

นางส่งเสียง “อืม” คำหนึ่ง

คุณชายใช้ศอกกระทุ้งคนข้างกายเบาๆ “เยี่ยนจวิน จะออกเดินทางแล้ว ท่านจะไปหนใดกันแน่”

“สำนักเจี้ยนเก๋อ”

เฉินเวยเฉินยักคิ้วให้แม่นางลู่

นางก้มหน้าไม่พูดไม่จา ตามพวกเขาไป

จากนั้นก็มุ่งขึ้นเหนือไปตลอดทาง ในแดนมายาไม่มีวันเวลา หลังจากพวกเขาผ่านด่านยากลำบากนานัปการก็มาจนถึงใต้ผาชันเหวหิมะ

บันไดสายหนึ่งทอดสู่เมฆาทะลุไปถึงหอสูงซึ่งอยู่บนยอดเขาหิมะ

ท่ามกลางลมหนาวคือปราณกระบี่แหลมคมที่พุ่งตรงสู่เมฆา กระบี่บินหกเล่มลอยคว้างบนท้องฟ้า เป็นปรากฏการณ์ที่มนุษย์ไม่อาจเห็นได้ ที่แห่งนี้คือสำนักเจี้ยนเก๋อ

ข้างบันไดหินของสำนักเจี้ยนเก๋อมีศิษย์สวมชุดสีน้ำเงินสองคนยืนอยู่ น้อมคารวะต่อราชันเทพชุดดำ กลับเหมือนไม่เห็นพวกเขาสองคนที่อยู่ข้างๆ ซ้ำพวกเขาก็ยังไปต่อมิได้

คนผู้นั้นขึ้นบันไดไปทีละขั้น

เฉินเวยเฉินยกมือบังตาแม่นางลู่ “โลกนี้พบกัน ท้ายที่สุดก็ต้องมีวันจากกัน เขาไปแล้ว อย่ามองอีกเลย”

น้ำตาไหลอาบฝ่ามือของเขา

แม่นางลู่สะอื้น “เฉินเวยเฉิน ท่านหลอกข้า”

“หลอกที่ใดกัน”

“ท่านบอกว่าเป็นความฝัน บอกว่าที่นี่เป็นสิ่งที่ข้าอยากได้ที่สุด…แล้วเหตุใดเขาจึงยังจากไป”

เสียงคำว่า ‘จากไป’ ที่ดังขึ้นประหนึ่งระลอกคลื่นแผ่วกระจายออกไป เงาร่างคนผู้นั้นลับหายไปในหิมะหมอกและไอเมฆ มองไม่เห็นอีกเลย

เฉินเวยเฉินเอ่ย “เพราะเจ้ารั้งไม่อยู่” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “รักโลภโกรธหลง โกหกตนเองได้ แต่ไม่อาจโกหกแดนมายาของจิตมารได้”

แม่นางลู่สะอื้นคำหนึ่ง ครู่เดียวเปลวไฟแห่งความดื้อดึงก็ลุกโพลงขึ้นมาในดวงตาอีกครั้ง “แล้วอย่างไร ไว้ข้าสำเร็จเป็นเซียนก่อน จะตีฝ่าขึ้นไป ดูซิว่าเขาจะมองข้าตรงๆ หรือไม่”

หิมะรอบด้านพลันโหมกระหน่ำ หน้าผาสั่นสะเทือน ภาพมายาตรงหน้าราวกับบุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี

“รอจนเจ้าบำเพ็ญจนสำเร็จมหามรรคา จะเห็นเขาทุกลูกเล็กมาก กระบี่เดียวสามารถสะเทือนเขาคุนหลุน” น้ำเสียงของเฉินเวยเฉินพลันแฝงแววเยือกเย็น “เขาอยู่ที่ใด”

“เขา…” แม่นางลู่จิตใจพังทลาย สั่นศีรษะไหวๆ ถอยหลายก้าว

แดนมายาทลายลงทีละชั้น

“ในแดนมนุษย์มีลำนำขับขานว่ายามท่านกำเนิด ข้ายังไม่เกิด…” คุณชายในชุดหรูหรามีรอยยิ้มอ่อนโยนในแววตา ทว่าในสายตาของแม่นางลู่แล้วกลับเห็นเป็นความแล้งน้ำใจที่น่ากลัว

“ท่านอย่าพูดอีกเลย!” นางแทบจะกรีดร้อง “เขาตายแล้ว กลับมีคนไม่ให้เขาตาย” แม่นางลู่ตาแดงก่ำ “ต่อให้การไปครั้งนี้จะเป็นสิบตายหนึ่งไร้ทางรอด แต่ข้าก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาตายเพื่ออะไรและจะพาเขากลับมาให้ได้”

“สิบตายหนึ่งไร้ทางรอด” เฉินเวยเฉินทวนคำกระซิบที่ริมหูนางว่า “ได้โลหิตไคหยาง ได้จี้เมี่ยเซียง ได้จิ่นซิ่วฮุย ที่แท้พวกเจ้าต้องการให้เขากลับมาหรือ”

“หนึ่งปีให้หลังพลังปราณฟ้าดินแปรเปลี่ยนจากแข็งแกร่งที่สุดเป็นเสื่อมโทรมที่สุด จากเสื่อมโทรมที่สุดเป็นแข็งแกร่งที่สุด” น้ำเสียงของแม่นางลู่สั่นเล็กน้อย ร่างกายพลันสูงชะลูดขึ้น ใบหน้าขยายใหญ่ขึ้น หน้ากากสีทองปรากฏขึ้นมาปิดบังใบหน้า ผมดำสยายคล้ายอสูรคลั่ง มือถือกระบี่หนักซุ่ยคุนหลุน ร่างกลับกลายเป็นชันหลงจวิน “สร้างแท่นบูชาการเกิดใหม่ให้เขากลับมาได้พอดี”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้” เฉินเวยเฉินพยักหน้า “แต่หากเขาไม่อยากกลับมาเล่า?”

“เขา…”

ไม่รอให้นางตอบ เฉินเวยเฉินก็หยิบคันฉ่องบุปผาออกมา พลิกด้านหลังของคันฉ่องไปทางโฉมงามแซ่ลู่ หลังคันฉ่องฝังลูกตาหินขาวหม่นไว้ลูกหนึ่ง เป็นดวงตาเย็นชาที่เห็นโลกมามากมาย เขากล่าว “นึกได้แล้วกระมัง รีบกลับไปเถิด”

คันฉ่องบุปผา ส่องจิตใจ ทำลายมายา

แม่นางลู่เมื่อสบสายตากับดวงตานั้นก็ตะลึงงัน

แดนมายาพังทลายลงอย่างรวดเร็ว พื้นที่รอบๆ พังลงทั้งสี่ทิศแปดทาง เพียงชั่วไม่กี่อึดใจรอบด้านก็มีแต่ความว่างเปล่า เหลืออยู่เพียงเกาะเล็กๆ โดดเดี่ยวที่ทั้งสองคนยืนอยู่แห่งนี้

ในที่สุดก็หวนระลึกถึงเรื่องราวในอดีต มุมปากลู่หงเหยียนมีรอยยิ้มคล้ายดีใจคล้ายโศกเศร้า หงายหลังล้มลง เงาร่างในชุดสีแดงพลิ้วไหวโบยบินท่ามกลางหิมะและลมหนาว หายลับไปในฟากฟ้าว่างเปล่า หมอกสลัวจางหายกลับคืนสู่ความสว่างสดใส

“เจ้าว่า…เหตุใดแต่ละคนจึงยังมองความตายไม่ปรุโปร่ง”

เฉินเวยเฉินพึมพำกับตนเอง เหลียวมองรอบๆ เห็นแต่ผาชันและภูเขาหิมะ บันไดทอดยาวเข้าสู่เมฆา

“ไม่เข้าใจสัจธรรมก็คือไม่เข้าใจ” เขากล่าว “ข้าเองก็มองไม่ปรุโปร่งมิใช่หรือ”

เขาเก็บคันฉ่องวิเศษกลับเข้าที่ เดินตามบันไดหินขึ้นไปสู่เมฆาเช่นเดียวกับคนก่อนหน้า

 

ที่ยอดเขามีต้นสนหิมะอายุราวพันปีต้นหนึ่ง หิมะใหม่คลุมอยู่บนยอดไม้ ข้างล่างมีโต๊ะหินเก้าอี้หินซึ่งเนื้อเกลี้ยงสีเหมือนหยก

บนโต๊ะมีสุราหนึ่งไห จอกหนึ่งคู่

เขานั่งลงรินเองดื่มเอง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดม่านราตรีเข้าปกคลุม ที่ขอบฟ้ามีดวงดาวปรากฏริบหรี่ไม่กี่ดวง แสงจันทร์สกาวสุกใส

มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง เขาหันกลับไปก็เห็นคนชุดขาวก้าวผ่านหิมะมา ภายใต้จันทร์กระจ่างลมหนาวพัดชายเสื้อพลิ้วสะบัด

พลันเหมือนตกอยู่ในตำหนักเซียนกว้างขวางเย็นเยียบ เห็นเซียนในภาพวาด

“เจ้ากระบี่เยี่ย” เขายิ้มทักทายคนผู้นั้น “ท่านมาพาข้ากลับไปหรือ”

เยี่ยจิ่วหยามุ่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้ามิได้ตกสู่แดนมายาหรือ”

“ข้าไร้จิตมาร ย่อมมิหลงใหลไปกับแดนมายา”

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่”

เฉินเวยเฉินมองดูเขา ตอบไม่ตรงคำถามว่า “เยี่ยจิ่วหยา ในตาท่านมีหิมะ”

“วันที่สิบห้าเดือนแปด ซงเฟิงไถ (แท่นสนวายุ)” เยี่ยจิ่วหยาเหมือนสูดหายใจลึกคราหนึ่ง แววตาไม่โศกไม่ยินดี กล่าวช้าๆ ว่า “เฉินเวยเฉิน เจ้ามิใช่เขาจริงหรือ”

เฉินเวยเฉินรินสุราใส่จอกอีกใบจนเต็ม เป็นเชิงชวนให้เยี่ยจิ่วหยาร่วมดื่มด้วย “ข้าเหมือนเขามากหรือ…ทว่าเยี่ยจิ่วหยา ความจริงท่านเองก็บอกไม่ถูกกระมังว่าเหมือนหรือไม่เหมือน บำเพ็ญมรรคากระบี่ไร้รัก มองผู้ใดล้วนไม่มีอะไรต่างกันมิใช่หรือ” เฉินเวยเฉินจิบสุราคำหนึ่งแล้วหัวร่อ “ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าข้าคือเขา เป็นอย่างไร”

 

[1]* มาจากสำนวน ‘กินของคนอื่นปากต้องหวาน รับของคนอื่นมือต้องสั้น’ หมายถึงเมื่อรับผลประโยชน์จากคนอื่นแล้วก็ต้องเกรงใจช่วยเหลืออีกฝ่าย แม้อีกฝ่ายจะทำผิดก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายหรือต่อว่าได้

บทที่ 12

ลมหายใจภูตผี

เฉินเวยเฉินเงยหน้าสบกับสายตาเชิงพินิจพิเคราะห์ของเยี่ยจิ่วหยา

“อย่ามองข้า” เขาใช้พัดบังใบหน้า “เจ้ากระบี่เยี่ยควรเห็นใจผู้เจ็บป่วย”

“พัดนี้มีชื่อว่าอะไร” เจ้ากระบี่เยี่ยพลันถาม

“พัดหรือ” เฉินเวยเฉินประหลาดใจ “ไม่มีชื่อ”

ครู่หนึ่งผ่านไปเฉินเวยเฉินคล้ายนึกถึงอะไรที่ไม่ดีเอามากๆ ขึ้นมา จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น เพียงเผยดวงตาสองดวงแล้วกล่าวว่า

“หรือว่าท่าน…”

เยี่ยจิ่วหยากล่าว “อืม”

เฉินเวยเฉินพลิกดูหน้าพัดไปมา รู้สึกอาดูรอย่างยิ่ง

เพียงครู่เดียวความอาดูรก็มลายสิ้น “ไม่ถือว่าน่าอาย”

เยี่ยจิ่วหยากล่าว “คันฉ่องบุปผาและขลุ่ยถูซานเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ศาสตราวุธในคลังก็เป็นสนิมหมดแล้ว มีเพียงพัดนี้”

“อันว่าเวลาก็คือชะตา จะดีร้ายข้าก็เป็นคุณชายคนหนึ่ง มิอาจถือดาบกระบี่” เฉินเวยเฉินคิดไปคิดมาไม่เพียงทอดถอนใจ ยังเพิ่มความได้ใจอยู่หลายส่วน “ต่อมาก็ไม่ห่างกายเลย เช่นนั้นก็เรียกว่า ‘ไหวโยว (จิตอาวรณ์)’ เถิด”

การเข้าสู่แดนมายาต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เชื่อมโยงกับโลหิตของเจ้าของเดิม เป็นกระสายช่วยชักนำ ดังเช่นที่เฉินเวยเฉินเข้าสู่แดนมายาจิตมารของลู่หงเหยียนโดยอาศัยความสัมพันธ์ของกระบี่ซุ่ยคุนหลุนกับเจ้าของ

แต่ลู่หงเหยียนตื่นจากแดนมายาแล้ว เนิ่นนานผ่านไปเฉินเวยเฉินก็ยังไม่กลับมา ยามนี้เยี่ยจิ่วหยากับหลวงจีนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกจึงต้องหาวิธีพาเขาออกมา

คุณชายเฉินเพิ่งเข้าสู่วิถีเซียน ไม่เหมือนเซียนทั้งปวงที่มีอาวุธเชื่อมโยงกับโลหิต สภาพการณ์ในเมืองจิ่นซิ่วก็ค่อนข้างเลวร้าย มิมีศาสตราวิเศษที่เหมาะสมให้เขาครอบครอง

“พัดบ้านข้าย่อมต้องใช้แพรละเอียดประณีตที่สุดทำหน้าพัดและใช้ก้านพัดที่ดีที่สุด” คุณชายคลี่พัดท่ามกลางน้ำแข็งและหิมะ “ภาพและอักษรนี้ข้าวาดและเขียนด้วยตนเอง ข้ามีพรสวรรค์ในสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เกิด มักมีคนชมว่ามีกลิ่นอายชีวิตชีวา ไม่รู้จริงหรือเท็จ สรุปแล้วเป็นพัดที่ดีเล่มหนึ่ง”

ด้วยความบังเอิญพัดนี้กลับสอดคล้องกับดวงเนตรแห่งเซียน เกี่ยวโยงเข้ากับโลหิตแท้ในกายเขา วันข้างหน้าหากต่อยตีกันผู้อื่นอาจสู้กันดุเดือด เงาดาบกระบี่พร่างพราย เขาก็เพียงโบกพัดดูความครึกครื้นอยู่ข้างๆ หากมีผู้ใดจะประมือกับเขาให้ได้ พัดจีบพอหุบลงก็สามารถใช้เป็นศาสตราที่ไม่สั้นไม่ยาว ดูแล้วก็สง่างามดี

คุณชายเฉินพอใจกับสิ่งนี้มาก เดิมเขาถือพัดตลอดเวลาอยู่แล้ว ยังเคยถูกเจ้านักพรตแซ่เซี่ยถากถางว่าเป็นของธรรมดาสามัญ ครานี้จึงยิ่งมีเหตุผลที่จะไม่ให้ห่างมือ

เยี่ยจิ่วหยาถามเขา “เคยฝึกวิทยายุทธ์หรือไม่”

“กระบวนท่านั้นพอรู้ แต่ทนความลำบากไม่ไหว ดังนั้นพื้นฐานจึงนับว่าธรรมดายิ่ง” เฉินเวยเฉินมินำพา “แต่บัดนี้อยู่ข้างกายเจ้ากระบี่เยี่ย ย่อมไม่ต้องกลัวว่าจะเสียชีวิต ท่านอย่าได้บังคับให้ข้าฝึกวิทยายุทธ์”

เยี่ยจิ่วหยามองอีกฝ่าย มุมปากเกิดรอยยิ้มโดยไม่ตั้งใจ

หากจะว่าใช่ ความจริงแล้วก็ไม่เหมือน

หากจะว่ามิใช่…

เยี่ยจิ่วหยาเพียงกล่าวเรียบๆ “ไม่ฝึกก็ดี”

เฉินเวยเฉินดื่มสุราจนหมด ยิ้มหยีกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเราก็ไปกันเถิด”

แดนมายาพังทลายลงทีละชั้นเหมือนครั้งก่อนราวกับเปลี่ยนฟ้าดินใหม่

 

ในหอของซินแสเล่านิทาน คุณชายกับเด็กรับใช้นั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง เบื้องหน้ามีน้ำชาและของว่างวางเรียงราย ทั้งสองกำลังประคารมกันอย่างสนุกสนานไม่รู้เบื่อ ทันใดนั้นซินแสเล่านิทานพลันเคาะไม้ที่โต๊ะดังปัง “คราก่อนพูดถึงเจ้ากระบี่เยี่ย…”

ทั้งสองหยุดลงรอฟังพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

เฉินเวยเฉินร้องว่า “ไอ้หยา ผิดแล้ว ผิดแล้ว”

ความจอแจของโรงเตี๊ยมพลันถอยห่างไปไกลชั่วพริบตา ภาพรอบข้างเปลี่ยนอีกแล้ว

ครานี้ยังคงเกี่ยวข้องกับเยี่ยจิ่วหยา แสงจันทราสาดส่องเกล็ดหิมะเกลียวคลื่น บนฝั่งกำลังมีคนมา

น้ำเสียงเฉินเวยเฉินกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง “ไฉนจึงยังไม่ออกไป”

เยี่ยจิ่วหยาไม่พูด

เฉินเวยเฉินได้แต่กระเสือกกระสน “เจ้ากระบี่เยี่ย โปรดเชื่อข้าอีกครั้ง ครั้งนี้ครั้งเดียว”

เขาหลับตา ไม่มองจอมกระบี่ชุดขาวบนฝั่ง ไม่มองตัวจริงที่อยู่ข้างกาย

เสียงคลื่นครืนครั่นรุนแรงขึ้นทุกที น้ำทะเลกระเซ็นปะทะใบหน้า

เขาลืมตา เห็นทะเลกว้างไหลทะลักไปทั่ว ท่วมทั่วฟ้าดิน

คุณชายเฉินลองยื่นมือกุมข้อมือของเยี่ยจิ่วหยา มิได้ถูกพลังกระบี่ไร้รักตามตำนานเซียนดีดออกจึงลอบดีใจลึกๆ

“ไปเถิด” เพิ่งขาดคำเขาก็ดึงเยี่ยจิ่วหยากระโจนไปข้างหน้าจมสู่น้ำทะเลที่หนาวเย็น ทั้งตัวเหมือนเรือน้อยล่องลอยลำหนึ่ง กึ่งจมกึ่งลอยในมหรรณพ

เขาเงียบลง ยิ่งจมยิ่งดิ่ง ท่ามกลางความเงียบสงัดกลับสู่ความกระจ่างสดใส

 

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็กลับมาถึงคลังหลวงของนครหลวงเก่า ผนังทาสีดำประตูทองเหลืองสนิมเขรอะ

ลู่หงเหยียนใช้กระบี่ยันกับพื้นอยู่ข้างๆ เงยหน้ามองเขาปราดหนึ่ง ไม่รู้ว่าจำเรื่องในแดนมายาได้สักกี่ส่วน

หลวงจีนเห็นพวกเขาได้สติก็เปล่งพระนามพุทธองค์ด้วยจิตเมตตา

เยี่ยจิ่วหยากล่าว “ขอบพระคุณต้าซือที่ช่วยคุ้มครอง”

หลวงจีนยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรเลย

“เราต้องรีบออกไปโดยเร็ว” ลู่หงเหยียนกล่าว “บัดนี้ผีวิญญาณต่างพากันมาอุดอยู่ที่ประตู เพราะมีบารมีต้าซือคุ้มครองจึงเข้ามามิได้”

“ช้าก่อน อาตมาสังเกตเห็นว่าในคมกระบี่ของประสกเยี่ยนั้นไร้อารมณ์ความรู้สึก สามารถสยบจิตผีวิญญาณและความเคียดแค้นของอสูรได้ หากร่วมแรงกับอาตมาผู้เป็นหลวงจีนยากไร้ อาจสามารถสวดส่งผีวิญญาณในเมืองได้ทั้งหมด” หลวงจีนแลดูเยี่ยจิ่วหยา “ประสกเยี่ยยินดีช่วยอาตมาหรือไม่”

เยี่ยจิ่วหยาตอบ “ได้”

ทุกคนก้าวออกจากประตูคลังหลวง ฟ้าเป็นสีแดงคล้ำ ท่ามกลางลมปีศาจยะเยือกยังมีเสียงภูตผีคร่ำครวญ ห้องหอที่ทรุดโทรมทิ้งร้างมืดมิด เงาภูตผีพร่างพราย

หลวงจีนถาม “ข้างนอกมีคนเฝ้าประตูหรือไม่”

เยี่ยจิ่วหยาตอบว่า “มีทายาทรุ่นปัจจุบันของอารามชิงจิ้ง”

หลวงจีนพยักหน้า “เช่นนั้นก็ประเสริฐ”

เขานั่งลงกับพื้น เสียงบทสวดภาษาสันสกฤตที่ออกมาจากปากชัดเจนจนน่าเกรงขาม ท่ามกลางบรรยากาศทึมเทาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายภูตผีน่ากลัว มีดอกบัวพุทธะสีทองนับหมื่นดอกปรากฏวับแวมให้เห็น

กระบี่จิ่วหยาออกจากฝัก ปราณกระบี่ทะลุเมฆา แผ่ความเย็นยะเยียบออกมา

ปราณกระบี่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเกือบจะผนึกเป็นรูปร่างที่จับต้องได้ ความขาวโพลนราวหิมะน้ำแข็งนั้นมิใช่เย็นเยียบเสียดกระดูก หากแต่เป็นความเงียบสงัดไร้ขอบเขต เป็นดังธารหิมะที่ทอดตัวสุดขอบฟ้า ไร้มุทิตาจิตของพุทธะแลไร้ความพิสดารน่าพิศวงของเต๋า

ลองสัมผัสให้ละเอียด ที่แท้ว่างเปล่าไร้สิ่งใดๆ

มรรคาสวรรค์เหมือนฟ้าเบื้องบนก้มมองสรรพสัตว์

ไม่มีที่เรียกว่าไร้รัก ไม่มีที่เรียกว่าฟ้าเบื้องบนลืมรัก เหตุที่ขั้นบำเพ็ญสูงส่งไกลโพ้น ล้วนเพราะใกล้กับมรรคาสวรรค์

สมดังที่เซี่ยหลางกล่าว ‘ฟ้าดินเดิมไร้รัก’

พลังกระบี่ไร้รักขวางฟ้าสูง ความยึดติดจิตมารทั้งปวงถูกขังไว้ ถึงกับเล็กน้อยมิคู่ควรปานนั้น แม้แต่เสียงวิญญาณคร่ำครวญยังถูกปิดกั้นไป

หากเซี่ยหลางที่อยู่นอกประตูเมืองได้เห็นภาพนี้คงกู่ร้องด้วยความสำราญใจ รู้สึกว่าได้สมดังปรารถนาที่ได้มีหวังที่จะสอดส่องความลับของฟ้า

สองคนนี้คนหนึ่งสวดส่งวิญญาณ อีกคนตั้งพยุหะกระบี่ ต่างมิอาจเสียสมาธิ ตอนแรกลู่หงเหยียนยังถือกระบี่คอยช่วยคุ้มครอง…ภายหลังเห็นทั้งสองไม่เพียงมีกำลังเหลือเฟือและยังมีมากด้วย จึงมิได้เคลื่อนไหวอีก

เฉินเวยเฉินไม่อาจช่วยอะไรได้ จึงถือพัดไหวโยวของตน ยืนอยู่ใต้ชายคาข้างๆ ชมดูความครึกครื้น

ลู่หงเหยียนเดินถึงข้างตัวเขา กระบิดกระบวนอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็หลุดคำว่า ‘ขอบคุณ’ ออกมาจนได้

คุณชายเฉินหัวร่อกล่าวว่า “แม่นางลู่ มิต้องขอบคุณ ไม่สิ ยังต้องขอบคุณบ้าง หากมิมีข้าผู้เป็นคุณชาย อาศัยตัวเจ้าเองตามลำพังน่าจะร้ายมากกว่าดี”

ลู่หงเหยียนถลึงตาใส่ “หากมิใช่เพราะเจ้า ข้าหรือจะตกสู่แดนมายา!”

ท่าทางของเฉินเวยเฉินเหมือนผู้ไร้ความผิดถูกปรักปรำ “ข้าเพียงพูดความจริง ผู้ใดจะนึกว่าเจ้าไม่ยอมฟังเลยสักนิด”

นางไม่พูดด้วยอีก ทั้งมิได้ซักถามเรื่องในแดนมายา ดูท่าคงจมลึกเกินไปจนจำต้นสายปลายเหตุมิได้แล้ว

เฉินเวยเฉินรู้สึกว่าสองคนนี้สภาพการณ์เย็นชามากจึงออกปากว่า “ไม่ไปใคร่ครวญหาทางตื่นรู้กับมรรคาไร้รักของเจ้ากระบี่เยี่ยของเจ้าหรือ”

“เคยศึกษาแล้ว ไม่เอาแล้ว” น้ำเสียงของนางแข็งมาก

“ถ้าเช่นนั้นแม่นางลู่ศึกษาวิถีใด”

“เข้าสู่วิถีด้วยยุทธ์” ลู่หงเหยียนเห็นเขาฝืนเข้าสู่ขั้นฟ้าระดับหนึ่งอย่างเต็มกลืน จึงมิได้ปิดปากไม่ตอบ “เทียบกับพวกที่ไม่ยอมเคลื่อนไหวออกแรง เพียงคิดอยากตื่นรู้จากการหลอมยา ข้าทนลำบากได้มากกว่าจึงพอจะประสบความสำเร็จเล็กน้อย”

“แม่นางลู่เป็นหนึ่งในสามจวินแล้ว จะว่าประสบความสำเร็จเล็กน้อยหาได้ไม่”

“เทียบกับสิบสี่โหวอาจต่อยตีเก่งหน่อย แต่อยู่ในสามจวินชื่อก็ยังนับว่ารั้งท้าย” นางกล่าว “ข้าไม่เคยเห็นวั่นฉีจวินจึงไม่ทราบ แต่ข้าเคยพบหลันซานจวินครั้งหนึ่งที่ทะเลทักษิณ ขั้นบำเพ็ญของข้ายังไม่ถึง และสู้เขาไม่ได้”

“เยี่ยจิ่วหยามีมรรคากระบี่ไร้รัก นี่เป็นวิถีที่ไม่เคยมีใครมีมาก่อน จึงเห็นได้ว่าสภาพเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องได้บรรลุขั้นฟ้าระดับสามแน่ อยู่ในวิถีเซียนมานานถึงเพียงนี้ ขั้นฟ้าระดับสามก็เพียงมี…”

ลู่หงเหยียนพลันหยุดลงกะทันหัน เบือนหน้าไปไม่พูดอีก อากัปกิริยาชะงักค้าง

นางตวาดคำหนึ่ง “ระวัง!” แล้วโถมไปข้างหน้า

เสียงกระบี่อึงอลออกจากฝักขวางไว้

ที่หน้าต่างของเรือนที่อยู่ใกล้ๆ พลันมีเงาร่างหนึ่งกระโจนออกมาจากความมืด พริบตาเดียวก็ถึงเบื้องหน้าพวกเขา

พลังกระบี่ถักทอเป็นแหขนาดมหึมาที่แน่นทึบลมผ่านมิได้ แต่เงาดำนั่นพลันลากยาว หักไปในมุมหนึ่งอย่างพิสดาร แล้วข้ามแหนั้นตรงเข้าหาเฉินเวยเฉิน

ลู่หงเหยียนถอยหลังปานเหินบิน แต่สุดท้ายก็ยังช้ากว่าสิ่งที่เหมือนมิใช่คนอยู่ก้าวหนึ่ง กลิ่นอายชั่วร้ายขุ่นข้นปะทะใส่หน้าเฉินเวยเฉิน

ยามคับขันสุดขีดนี้นางได้แต่ร้องคำหนึ่ง “คุ้มครองจิ่นซิ่วฮุย”

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: