ทดลองอ่านเรื่อง หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1
ผู้เขียน : อีสือซื่อโจว (一十四洲)
แปลโดย : เซี่ยงฉี
ผลงานเรื่อง : 一剑九琊 (Yi Jian Jiu Ya)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 13
คำพูดผี
พัดจีบคลี่ออกจนเกิดเสียงดัง พลังปราณมหาศาลถูกปล่อยออกมา ของสิ่งนั้นถูกขวางไว้ชั่วขณะ
การหยุดลงชั่วขณะนี้ทำให้ทุกคนมองเห็นรูปร่างของสิ่งนั้นได้ถนัดตา
ในนครหลวงเก่ามีภูตผีปีศาจนับมิถ้วน วิญญาณเร่ร่อนเหมือนคนมีชีวิต ผีคั่งแค้นคับข้องร้องคำรามด้วยหน้าตาน่าสะพรึง ทว่าก็ยังมีเค้าของมนุษย์ แต่เจ้าสิ่งนี้กลับเป็นไอดำกลุ่มหนึ่ง ตรงกลางตะปุ่มตะป่ำเป็นรูปใบหน้าคน สองข้างมีไอดำยืดออกเหมือนใช้เป็นแขน ภายใต้จันทร์สีซีดดูแล้วน่าสยอง
ลู่หงเหยียนย่อมไม่ปล่อยโอกาสอันดีนี้ผ่านไป ซุ่ยคุนหลุนในมือฟาดใส่ด้วยพลังหมื่นจวิน
สตรีผู้นี้เข้าสู่วิถีโดยอาศัยพละกำลังและวิชายุทธ์ ทั้งยังใช้กระบี่ใหญ่ทั้งกว้างทั้งหนักที่ไม่สมกับความอ้อนแอ้นของร่าง พอโจมตีเข้าใส่ก็เหมือนภูเขาไท่ซานโถมทับ หนักหน่วงยากจะต้านทาน
เฉินเวยเฉินเบี่ยงตัวหลบ กระบี่หนักฟันลงตรงๆ กลุ่มไอดำถูกฟันตรงกลางพอดี รูปใบหน้าคนแตกเป็นสองเสี่ยง
ลู่หงเหยียนถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง
เฉินเวยเฉินบอก “ทำต่อไป”
แววตาของนางเย็นชา กระบี่กวาดไปทางขวางอีกครา พอเห็นว่าไอดำกำลังจะรวมตัวกันอีกนางก็ลงมือฟันมันออกเป็นสี่ซีกทันที
นางลงมือไปพลางถามด้วยความเร่งร้อนไปพลาง “นี่อะไร!”
เฉินเวยเฉินไม่ตอบ สิ่งนั้นส่งเสียง “โฮะ โฮะ” ทุ้มหนักเหมือนหัวร่อเสียงประหลาด
เศษชิ้นส่วนนับร้อยยื่นออกมาเหมือนหนวดสัมผัสสีดำสนิทนับพันเส้น ทันใดนั้นพวกมันก็รวมตัวกันโจมตีใส่เฉินเวยเฉิน ด้านหลังเฉินเวยเฉินเป็นประตูที่ขึ้นสนิมผุพังบานหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว ทันใดนั้นก็กระแทกประตูเปิด รอจนสิ่งนั้นผ่านประตูเข้าไปในห้อง ตัวเขาเองกลับหมุนตัวอย่างคล่องแคล่วตามเข้าไปและปิดประตูดังปัง
“อย่าเข้ามา” เขาสั่ง
ลู่หงเหยียนถูกกันอยู่นอกประตู ได้ยินเสียงโครมครามจากข้าวของด้านใน เสียงของตกแตกและเสียงประหลาดคำรามหนักๆ คาดว่าคงทำบรรดาแจกันเคลือบที่ยังไม่ถูกไฟไหม้พลิกคว่ำ
ผนังและประตูขวางนางไม่อยู่ กระบี่ในมือนางสามารถพังเปิดได้ตลอดเวลา แต่นางกลับเกิดความลังเล ไม่ต้องการขัดคำสั่งคนผู้นั้น
เป็นคุณชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าบังเอิญพานพบการตื่นรู้วิถีนอกรีตอันใดมา แม้แต่ลมปราณฟ้าดินที่ผู้เข้าสู่วิถีล้วนเค้นออกมาได้ก็ยังเค้นแทบไม่ออก นางพยายามระงับความลังเลในใจ ขณะจะพังประตูเข้าไปช่วยคนก็พลันหยุดการเคลื่อนไหว ได้ยินเสียงหยาบใหญ่ของตัวประหลาดดังพร้อมกับเสียงหอบหนักเหมือนวัว
“ที่แท้คลุมด้วยหนังมนุษย์…”
…ถึงกับพูดได้ด้วย คลุมหนังมนุษย์อันใดกัน
เมื่อฟังต่อกลับมีเพียงเสียงไอหอบเหมือนถูกบีบคอ จากนั้นก็ไม่มีต่อแล้ว
นางยกเท้าจะถีบประตู กลับมีประกายกระบี่สีขาวชิงตัดหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง
ลู่หงเหยียนหันกลับไปก็เห็นเยี่ยจิ่วหยาลงมาจากกลางอากาศ ใบหน้าซีดขาวอยู่บ้าง นี่เพราะฝืนโคจรพลังปราณหยุดพยุหะกระบี่กลางคันเพื่อมาช่วยทางนี้
นางตามเยี่ยจิ่วหยาเข้าไปในห้อง อาศัยแสงริบหรี่จากดวงจันทร์ก็เห็นเฉินเวยเฉินกำลังกดทับตัวประหลาดที่มุมห้อง มือซ้ายถือพัด มือขวาทั้งมือจมหายไปในไอดำ ตรงนั้นเป็นตำแหน่งใบหน้าคน แต่ยามนี้กลับเป็นความยุ่งเหยิงอันมืดมิด
ตอนเยี่ยจิ่วหยาย่างเข้าห้อง ไอดำพลันกรีดร้อง เฉินเวยเฉินชักมือออกทันควัน ลากสิ่งนั้นไปทางเยี่ยจิ่วหยา ทั่วทั้งมือโชกไปด้วยเลือด หยดติ๋งลงบนพื้น
เพียงพริบตาประกายกระบี่ก็ผ่ามันออกเป็นสองซีกเหมือนที่ลู่หงเหยียนเคยทำ รอยขาดนั้นราบเรียบ ชิ้นที่ใหญ่กว่าหดตัวตกลงพื้น กลายเป็นควันดำก่อนจะสลายหายไป ส่วนอีกชิ้นกลับพุ่งออกไปราวเหินบิน ทะลุผ่านผนังราวกับไม่มีสิ่งใดขวางกั้น
เยี่ยจิ่วหยากลับก้าวไปหลายก้าว จนถึงเบื้องหน้าเฉินเวยเฉิน
เฉินเวยเฉินหลังพิงผนัง หอบหายใจหมดเรี่ยวแรง
ลู่หงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ถามอีกครั้ง “นั่นมันอะไร”
“ไม่เคยเห็นมาก่อน” เยี่ยจิ่วหยายกมือที่บาดเจ็บสาหัสของเฉินเวยเฉินขึ้น เลือดนั้นมิใช่สีแดงหากแต่ดำสนิท “มีไอมาร”
น้ำเสียงของเฉินเวยเฉินระโหยโรยแรง ทว่ายังเหมือนคุณชายเสเพลเช่นเดิม “เห็นปราณกระบี่ขจัดมารทำลายอสูรของท่าน เจ้าสิ่งนั้นก็กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ เห็นได้ว่ามิใช่สิ่งที่ดีอันใด”
เขาพูดพลางร่างกายสั่นสะท้านเหมือนเจ็บปวดสาหัส
“เจ้ากระบี่เยี่ย ลงมือเบาหน่อย” เขากล่าว “หลายวันนี้ท่านช่วยข้าเปลี่ยนกระดูก เจ็บจริงๆ แม่นางลู่ ขอเพียงเขาสัมผัสข้า ข้าก็กลัวจนไม่รู้จะกลัวอย่างไรแล้ว คนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมจริง…โอ๊ย!”
ลู่หงเหยียนกอดอก ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ใครไม่รู้ยังคิดว่าเขาเกรงกลัวปราณกระบี่ทำลายอสูรชั่วร้ายนั้นเสียอีก
“ไม่ต้องพูดมาก” เยี่ยจิ่วหยากล่าวเรียบๆ “ข้าจะช่วยขจัดไอมารเอง”
รอกระทั่งโลหิตสีดำไหลออกหมด เปลี่ยนเป็นโลหิตสีแดงกลิ่นคาวโลหิตจางๆ กระจายออกจึงถือว่าขจัดไอมารจนหมดสิ้น
เฉินเวยเฉินเอนอิงกับร่างของเยี่ยจิ่วหยาเหมือนกำลังจะตาย “ลุกไม่ไหว เจ้ากระบี่เยี่ย ขอพิงหน่อยเถิด”
ด้านหลังเป็นผนังแต่กลับเอนตัวมาซบคนข้างหน้า ลู่หงเหยียนไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน
ที่ประหลาดคือเยี่ยจิ่วหยามิได้สะบัดคุณชายผู้สูงส่งที่เกาะแน่นเป็นปลิงออก จนกระทั่งอีกฝ่าย ‘ยืนได้มั่น’ แล้วจึงค่อยหมุนตัวออกจากประตูไป
เฉินเวยเฉินตามติดเป็นธรรมดา ลู่หงเหยียนก็ออกจากที่นี่ด้วย
“สิ่งนั้นหนีไปแล้ว จะทำอย่างไร” เขาถาม
“ย่อมต้องติดตามเจ้ากระบี่เยี่ยไม่ยอมห่างแน่” เฉินเวยเฉินตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ไม่ได้ถามถึงเจ้า!” ลู่หงเหยียนถลึงตาใส่ ถามเยี่ยจิ่วหยาว่า “นั่นเป็นอสูรมาร มีอสูรมารข้ามธารสวรรค์มาได้หรือ แล้วมันจะเอาจิ่นซิ่วฮุยไปทำอะไร”
“มิใช่อสูรมารฝั่งโน้น” เยี่ยจิ่วหยาตอบ
“ก็จริง” ลู่หงเหยียนกล่าว “สองโลกต่างสงบไม่มีเรื่องกัน ผู้บำเพ็ญมารอยู่ตามสบายที่อีกฝั่ง ไม่มีเหตุผลที่อยู่ดีๆ จะเข้ามาหาเรื่อง” กล่าวถึงตรงนี้นางก็บ่นอย่างอารมณ์เสียว่า “คนแซ่เฉิน เจ้าบำเพ็ญวิถีอะไรกันแน่ ไยจึงสามารถทำร้ายสิ่งประหลาดนั่นได้”
“เพียงโชคดีลงมือได้เท่านั้น” เฉินเวยเฉินเปลี่ยนมาถือพัดมือขวา กำลังคิดจะโบกพัดไปมาเหมือนยามปกติ กลับลืมไปว่ามือเต็มไปด้วยผ้าพันแผล เจ็บจนร้องโอดโอยออกมาก่อนจะพูดจาเหลวไหลพูดต่อ “ตะกุยหน้ามัน เป็นอันใด แม่นางลู่มิกล้าหรือ”
ลู่หงเหยียนโกรธจนกระทืบเท้าเร่าๆ แทบจะเข้าไปถามเยี่ยจิ่วหยาว่าเหตุใดจึงไม่ควบคุมเขา
เฉินเวยเฉินเห็นนางโมโห กำลังจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมด้วยมธุรสวาจา พลันเหมือนนึกขึ้นได้ สีหน้าแปรเปลี่ยน ร้องว่า “แย่แล้ว อาหุยบ้านข้ายังอยู่ข้างนอก!”
สิ่งนั้นถูกเยี่ยจิ่วหยาทำร้ายบาดเจ็บย่อมต้องหนีไปให้ไกล ซึ่งทั้งสี่ด้านของเมืองผีนี่ล้วนมีกำแพงปลุกเสกที่ต้าซือทำไว้ครานั้น มีเพียงประตูเมืองที่ถูกเปิดเป็นช่องโหว่และเป็นช่องทางที่ต้องผ่าน
เยี่ยจิ่วหยาพาเฉินเวยเฉินเหินบินไปทางประตูเมือง ตามติดมาด้วยลู่หงเหยียนที่สวมชุดแดง เมื่อออกจากประตูเมืองผุพังก็เพียงเห็นเงาร่างเดียวดายถือกระบี่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง ปากสั่นพึมพำว่า “ซ้าย…ซ้ายอัญเชิญลิ่วจย่า ขวาคุ้ม…คุ้ม…” พอเห็นทั้งสามออกมาเวินหุยก็ถลาเข้าหาทันที “คุณชาย เจ้ากระบี่เยี่ย พวกท่านกลับมาแล้ว ข้าถูกสถานที่ผีสางนี่ทำเอากลัวแทบตาย!”
เฉินเวยเฉินเห็นเขาไม่เป็นอะไรจึงค่อยวางใจ “เมื่อครู่เจ้าทำอะไร นักพรตเล่า?”
เวินหุยหน้ามุ่ยจะร่ำไห้ “ท่องคาถา เมื่อครู่นักพรตเซี่ยไล่ตามของสีดำไปแล้ว ทิ้งข้าเฝ้าประตูเมืองอยู่ที่นี่ ข้าทำเป็นเสียที่ใดเล่า” เด็กรับใช้ฟ้องอย่างน้อยใจ ทว่าเมื่อเห็นมือของเจ้านายตนได้รับบาดเจ็บก็รีบถามว่า “คุณชาย เป็นอย่างไรบ้าง เกิดฮูหยินรู้เข้าข้าโดนตีตายแน่”
“บาดเจ็บเล็กน้อย กลับไปค่อยพันแผลอีกที” คุณชายเองกลับไม่สนใจ “ผู้ถือพรตไปทางใด”
“ตะวันตก” เวินหุยชี้ภูเขาซึ่งทะมึนไปด้วยกลิ่นอายผีไกลโพ้น ดึงมือข้างซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของคุณชาย ลากไปยังรถม้าซึ่งทุกอย่างเตรียมพร้อม “ไม่ได้ ต้องพันแผลก่อน”
บทที่ 14
ลงใต้
คาดว่าคงเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันล้วนเป็นเสี่ยวเถาจัดการทั้งหมด หรือไม่ก็เพราะบาดแผลที่มือของเฉินเวยเฉินมีมากเกินไป หลังจากเวินหุยเปิดห่อสัมภาระ หยิบยารักษาแผลและผ้านุ่มออกมาแล้ว ชั่วขณะนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ
บาดแผลสั้นแต่ลึกกระจายทั่วมือขวา เหมือนถูกมีดเป็นร้อยเล่มสับใส่สะเปะสะปะ
เขากำลังคิดอยู่ว่าอย่างไรก็ต้องพันไว้ทั้งมือ ลู่หงเหยียนที่อยู่ข้างๆ พลันยื่นขวดหยกสีมรกตใบเล็กให้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ใช้นี่สิ”
เวินหุยรับไว้ เทลงบนหลังมือตนเองเล็กน้อย ไม่รู้สึกผิดปกติใดๆ กลับสัมผัสได้ถึงความอุ่นๆ เย็นๆ เล็กน้อย จึงค่อยวางใจทาให้คุณชายของตน
หลังทาแล้วเลือดหยุดแทบจะทันที เนื้อที่ปลิ้นออกเล็กน้อยเพราะบาดแผลก็คลับคล้ายกำลังจะสมานตัว
เฉินเวยเฉินกล่าว “ขอบคุณแม่นางลู่”
เวินหุยชำเลืองเยี่ยจิ่วหยาแวบหนึ่งด้วยท่าทีคิดเล็กคิดน้อย “คุณชาย ข้าว่าปกติท่านก็ไม่ต้องเอาใจเจ้ากระบี่เยี่ยถึงเพียงนั้น ยาวิเศษของเซียนเช่นพวกเขามีสรรพคุณดีเช่นนี้ ไม่เห็นเอามาให้ท่านเลย กลับเป็นแม่นางลู่ที่จิตใจดีงาม”
เสียดายที่คำพูดของคนรับใช้หัวไวคนนี้มิอาจโน้มน้าวคุณชายได้และยังคงไม่อาจเอาอกเอาใจนาง
ลู่หงเหยียนแลดูเขาปราดหนึ่ง “เยี่ยจิ่วหยาจะพกยารักษาบาดแผลออกมาข้างนอกด้วยได้อย่างไร”
เวินหุยข้องใจอยู่บ้าง
เฉินเวยเฉินกล่าว “แน่นอนว่าบาดแผลเล็กน้อยย่อมไม่เจ็บอะไร ส่วนแผลใหญ่ก็ย่อมช่วยไม่ได้ โอ๊ย มิสู้ข้าผู้เป็นคุณชายช่วยเตรียมให้เขาสักหน่อยดีกว่า”
สถานการณ์รีบด่วน แม้จะพูดพลางทายาไปด้วยและใช้เวลาเพียงครู่เดียว แต่แว่วเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงจากทางตะวันตก สะท้อนก้องอยู่ท่ามกลางหมู่ขุนเขาเนิ่นนาน เสียงยังไม่ทันจางหายดีฟ้าก็ผ่าซ้ำอีกครั้ง
จนกระทั่งทุกคนเร่งรุดไปถึง ฟ้าก็ผ่าครั้งที่เจ็ดแล้ว
สายฟ้าสีม่วงเข้มสะท้อนเงาหลังของนักพรตหนุ่มที่สวมชุดสีเทา ไม่รู้ในอ้อมอกของเซี่ยหลางอุ้มอะไรไว้ แส้จามรีขาวราวหิมะสะอาดสะอ้าน ดูเผินๆ เหมือนเซียนล่องลอยจริงๆ
เพียงครู่เดียวก็เสียสมาธิสิ้นท่า มือซ้ายที่มิได้ถือแส้จามรียกขึ้นเกาศีรษะ กลิ่นอายเซียนหายสิ้น น้ำเสียงข้องใจ “เหตุใดจึงไม่มีแล้ว หรือว่าสลายไปกับฟ้าผ่าของผู้ถือพรต นี่ไม่ถูกต้อง”
จากนั้นเซี่ยหลางก็วางแมวดำตัวอ้วนที่อยู่ในอ้อมอกลง “ชิงหยวน รีบช่วยผู้พี่หาเร็ว”
แมวดำร้องเมี้ยวคำหนึ่ง ตะกายสองสามครั้งก็กลับขึ้นไปบนตัวนักพรต เล็บแหลมคมของมันคงทำให้เนื้อหนังของเขาได้รับความลำบากไม่น้อย
เมื่อเห็นแมวดำไร้ท่าทีตอบสนองใดๆ เซี่ยหลางจึงยิ่งอึดอัด “ไม่มีจริงหรือ”
เขาได้ยินเสียงคนหลายคนกำลังมาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “เจ้ากระบี่เยี่ย ชันหลงจวิน มิใช่ข้าไม่ขวางนะ แต่ขวางไม่อยู่ต่างหาก สิ่งนั้นคล้ายจับต้องได้คล้ายจับต้องไม่ได้ ถูกฟ้าผ่าขาดไปชิ้นหนึ่งก็งอกใหม่อีกชิ้น ดับๆ เกิดๆ บัดนี้ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ดูท่าคงใช้วิธีพิสดารอะไรหนีไปเสียแล้ว”
ลู่หงเหยียนมุ่นคิ้ว “สิ่งนั้นคืออะไรกันแน่”
“ข้าคุ้นอยู่บ้าง” เซี่ยหลางลูบแมวในอ้อมกอด เดินไปมาอยู่กับที่ “เหมือน…เหมือนคนกระมัง”
“คน?” ลู่หงเหยียนกล่าว “คนรูปร่างเป็นเช่นนี้หรือ”
“มิใช่รูปร่าง เป็นกลิ่นอาย” ในที่สุดเซี่ยหลางคล้ายกับนึกขึ้นมาได้ “กลิ่นอายนั้นคล้ายคนที่ธาตุไฟแตก! ชันหลงจวิน ท่านเข้าสู่วิถีด้วยวิชายุทธ์ จิตบริสุทธิ์หนึ่งเดียว คนในสำนักเจี้ยนเก๋อเข้าสู่วิถีด้วยกระบี่ มรรคาไร้รักของเจ้ากระบี่เยี่ยยิ่งตัดขาดจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ย่อมไม่เคยเห็นคนธาตุไฟแตกเป็นธรรมดา” เซี่ยหลางอธิบายต่อพวกเขา “แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเต๋าของเรายามนั่งสมาธิตั้งจิต หากมิอาจข่มจิตมารธาตุไฟก็จะแตกซ่าน เข้าสู่วิถีมาร ขั้นบำเพ็ญดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ถึงเวลานั้นกลิ่นอายที่อยู่บนร่างจะคล้ายคลึงกับยามนี้อยู่บ้าง”
นักพรตหนุ่มผู้รอบรู้กลอกตา นึกขึ้นได้อีก
“ว่ากันว่าที่สำนักเจี้ยนไถแห่งทะเลทักษิณ มีคันฉ่องลี่ซิน (ส่องใจ) กว้างยาวสิบกว่าจั้ง ศิษย์ที่นั่นต้องไปยืนพินิจที่หน้าคันฉ่องทุกเช้า ส่องดูจิตมารของตน เมื่อได้เห็นจิตมารซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวี่วัน เท่ากับนำตัวไปอยู่ในความลุ่มหลง ในที่สุดก็เข้าใจอย่างหมดเปลือกและไม่รู้สึกอะไรอีกเลย พวกเขาจึงมีโอกาสชำระจิตใจให้ผ่องใสทีละเล็กทีละน้อย จิตมารจะจางลงเรื่อยๆ ดังนั้นสำนักเจี้ยนไถแห่งทะเลทักษิณจึงได้รับการขนานนามว่า ‘มีจิตพุทธะ’ เคียงคู่กับสำนักเจี้ยนเก๋อแห่งแดนเหนือ ผู้ถือพรตแม้จะยังไม่มีโอกาสเห็นภาพในคันฉ่องลี่ซินกับตา แต่เท่าที่รู้…จิตมารในคันฉ่องคล้ายกับสิ่งเมื่อครู่นี้ หรือจะเป็นจิตมารหนีหลุดออกจากคันฉ่องกัน?”
“สิ่งนั้นหวาดกลัวเจ้ากระบี่เยี่ยเป็นที่สุด” ลู่หงเหยียนผงกศีรษะ
พวกเขากลับไป มองดูเมืองผีจิ่นซิ่วจากที่ไกล ภายใต้แสงพุทธะเจิดจ้า กลิ่นอายภูตผีปีศาจสลายสิ้น ในเมืองกลับสู่ความเงียบสงบ
หลวงจีนชุดขาวเดินออกจากประตูเมือง น้ำเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณประสกทั้งหลาย”
เซี่ยหลางท่าทางสำรวม คารวะกลับอย่างเต็มพิธี “ขอบังอาจเรียนถาม ท่านอาจารย์คือผู้อาวุโสคงซานแห่งวัดจื่อเฉินใช่หรือไม่”
หลวงจีนมีสีหน้าและรอยยิ้มเปี่ยมการุณย์ ประนมมือให้เขา “ที่นี่ไม่มีเรื่องแล้ว อาตมาขอกลับวัดก่อน”
เงาร่างของหลวงจีนหายลับไปในหมอกยามราตรีท่ามกลางทิวเขา เหล่าขุนเขาเงียบสงัด มีเพียงเสียงม้าร้อง
เซี่ยหลางพึมพำกับตนเอง “ปีนี้ช่างเป็นปีที่มีเรื่องมากมายเสียจริง”
เวินหุยปากมากจึงถามว่า “หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าดูสิ เจ้ากระบี่เยี่ยและชันหลงจวินเข้าสู่โลก บัดนี้ผู้อาวุโสคงซานเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนก็ปรากฏตัว แล้วเรื่องใดบ้างมิใช่เรื่องประหลาดหายาก”
เฉินเวยเฉินกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ยังมีหลางหรันโหวอุ้มแมวลงจากภูเขาอีก”
เซี่ยหลางทำหน้ามุ่ย “ข้าก็แค่คนตัวเล็กไร้ชื่อเสียง ต้องโทษอาจารย์ที่จะท่องเที่ยวไปทั้งสี่ทะเลจึงได้ผลักภาระนี้ให้ข้า ให้ผู้ถือพรตต้องมีลำดับอยู่ในสิบสี่โหว”
“ผู้อื่นเป็นจวินเป็นโหวล้วนสู้จนได้มาด้วยตนเอง พวกท่านกลับดียิ่งนัก ถึงกับสืบทอดกัน” ในที่สุดเฉินเวยเฉินก็จับจุดอ่อนของนักพรตได้
“คุณชายเฉิน เรื่องนี้มิใช่เฉพาะอารามของเรา” เซี่ยหลางรีบแก้ต่างให้ตนเอง “หลายปีนี้วิถีเซียนร่วงโรย ผู้มีชื่อเสียงหน้าใหม่ถือกำเนิดได้น้อยยิ่ง หากมีเซียนโหวท่านใดใกล้ครบอายุขัย ทั้งยังไม่มีผู้ท้าสู้ก็ล้วนต้องจำใจให้ศิษย์ของตนเองสืบทอดต่อ”
เฉินเวยเฉินถามเยี่ยจิ่วหยา “เจ้ากระบี่เยี่ย จิ่นซิ่วฮุยถึงมือแล้ว บัดนี้พวกท่านจะไปหนใด”
“บังเอิญจริง” กลับเป็นลู่หงเหยียนกอดอกตอบ “ที่จะไปคือสำนักเจี้ยนไถแห่งทะเลทักษิณที่เมื่อครู่หลางหรันโหวว่าไว้พอดี”
คุณชายเฉินท่าทางอ่อนล้าอย่างยิ่ง เขาพึมพำว่า “เพิ่งขึ้นเหนือจะไปทะเลใต้อีก พวกใช้กระบี่เหมือนกันทั้งนั้น มีอะไรน่าดู” เขายกมือขึ้นถูหน้าผาก “เจ้ากระบี่เยี่ย ข้าง่วงแล้ว”
ตะบึงเดินทางติดต่อกันหลายวัน ฝืนใจฝืนสังขารจนถึงขีดสุด ซ้ำยังต่อสู้ยกหนึ่ง เปลืองเรี่ยวแรงไม่น้อย
เพิ่งสิ้นเสียงเฉินเวยเฉินพลันรู้สึกเหมือนฟ้าดินหมุนคว้าง เบื้องหน้ามืดลง ทั้งตัวคว่ำคะมำลงโดยตรง
สำนึกสุดท้ายก่อนหมดสติก็คือยังดีที่ตนประจันหน้ากับเยี่ยจิ่วหยา น่าจะไม่ถึงกับฟาดพื้น
สลบต่อหน้าคนงาม ไม่น่าดูจริงดังคาด ไม่น่าดูเอาเสียเลย
แต่หากสลบบนตัวคนงามก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
บทที่ 15
เฉินซู
ยามราตรี ถนนหนทางในเมืองเยวี่ยเฉิงมีผู้คนจอแจ ประดับโคมไฟนับร้อย สองฟากทางปลูกต้นกุ้ย กลิ่นหอมของดอกกุ้ยล่องลอยสู่เมฆา กลีบดอกร่วงหล่นลงใต้ต้นและบนเสื้อปุปะเก่าขาดของเฒ่าขาเป๋ที่เป็นหมอดู
เฒ่าขาเป๋ถือถ่านแท่งหนึ่งเขียนโน่นเขียนนี่ลงบนผ้าขาวเก่าสกปรก บางครั้งก็หลับตาโคลงศีรษะ ไม่รู้ทำอะไรอยู่
มีพวกคุณชายเสเพลที่ชอบหาเรื่องสวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด บ้างถือพัดโบกไปมา บ้างพกกระบี่ พวกเขาดูอยู่ข้างๆ ซุบซิบกันครู่หนึ่ง แล้วผลักเด็กหนุ่มซึ่งสวมชุดแพรหรูหราคนหนึ่งออกไปข้างหน้า ให้เขายกเท้าถีบไปทีหนึ่ง พร้อมเอ่ย “เฒ่าขาเป๋ เจ้าทำอะไรอยู่”
ตาเฒ่าท่าทางไม่สะดุดตาผู้นี้ไม่โกรธเลย กลับหัวร่ออารมณ์ดีพร้อมตอบว่า “เสี่ยงทาย”
เด็กหนุ่มชุดแพรแสยะยิ้มว่า “เฒ่าขาเป๋ ข้าดูแล้วหลังคุณชายเฉินจากไปแล้วก็ไม่มีผู้ใดแวะเวียนมาแผงผุพังของเจ้าอีก มิสู้ลองทำนายชะตาให้ข้าผู้เป็นคุณชายหน่อย หากดูแม่นคุณชายจะให้เงินเจ้ากำใหญ่ดีหรือไม่”
เฒ่าขาเป๋มองดูเขา หลับตาช้าๆ “คุณชายจะดูอะไร”
“ดูซิว่าปีนี้บิดาข้ามีหวังได้เลื่อนตำแหน่ง ชีวิตพลิกผันก้าวสู่ความรุ่งโรจน์หรือไม่”
เฒ่าขาเป๋พลิกผ้าขาวสกปรกผืนนั้น ด้านหลังก็มีรอยถ่านขีดเขียนเช่นกัน คดไปเคี้ยวมาเหมือนไส้เดือน
เด็กหนุ่มชุดแพรยังไม่เคยเห็นยันต์ประหลาดเช่นนี้มาก่อนจึงถามว่า “นี่อะไร”
เฒ่าขาเป๋หยิบแท่งถ่านขึ้นมาพร้อมเอ่ย “ดวงชะตา”
เหล่าคุณชายเสเพลพากันยืดคอมุงดู อยากรู้ว่าตาเฒ่าจะต้มตุ๋นอย่างไร
เห็นเฒ่าขาเป๋ถามไถ่วันเดือนปีเกิดของเด็กหนุ่มชุดแพรก่อน แล้วถามต่อว่าเกิดที่ใด อาศัยที่ใด ในบ้านมีผู้ใดบ้างที่เป็นญาติสายเลือดเดียวกัน กระทั่งลมฟ้าอากาศวันที่เกิดก็ถามด้วย
เด็กหนุ่มชุดแพรเริ่มรู้สึกรำคาญ แต่เห็นวิธีทำนายชะตาของตาเฒ่าแปลกดีจึงตอบจนครบ
ทุกครั้งที่ตอบเฒ่าขาเป๋ก็เติมขีดลงในภาพหนึ่งขีด จนกระทั่งเกือบเต็มผืนผ้าแล้ว เฒ่าขาเป๋จึงกล่าวว่า “สำเร็จ”
เด็กหนุ่มถาม “เมื่อใด กำลังจะได้เวลาแล้วใช่หรือไม่”
เฒ่าขาเป๋ลูบเคราที่มีอยู่หร็อมแหร็ม “ชีวิตพลิกผันก้าวสู่ความรุ่งโรจน์นั้นยังไม่ได้ แต่ไม่เกินสามร้อยวันจะบ้านแตกคนตาย”
เด็กหนุ่มชุดแพรหน้าเปลี่ยนสี ด่าลั่น “เจ้าหมอดูเฒ่าวอนตาย!”
ครานี้ไม่ต้องให้เด็กหนุ่มชุดแพรลงมือเอง บ่าวไพร่ร่างกำยำหลายคนที่ตามมาด้านหลังโถมเข้าใส่อย่างดุร้าย ทั้งทุบตีเตะถีบเฒ่าขาเป๋
เฒ่าขาเป๋ถูกเตะจนขดตัวกับพื้น เกือบหมดลมหายใจ
สุดท้ายยังเป็นพวกคุณชายเสเพลสองสามคนที่มากับเขาช่วยเล่าเรื่องตลกเมื่อครั้งที่เฒ่าขาเป๋ถูกคนฆ่าสัตว์แซ่หวังคว้ามีดไล่ฟันจนล้มลุกคลุกคลานเอาชีวิตรอดให้ฟัง เพื่อยืนยันว่าคำทำนายของเฒ่าขาเป๋นั้นไม่แม่น เด็กหนุ่มชุดแพรจึงค่อยหายโมโห หลังได้ลงมือทุบตีชุดใหญ่จึงค่อยเลิกรา
“ไร้สาระ พวกเราไปที่ชุมนุมกวีดีกว่า ได้ยินว่าฝ่าบาททรงรวบรวมผู้ทรงภูมิที่ร่ายบทกวีได้ เผื่อฤดูวสันต์คราวหน้าจะได้ร่ายบทชมดอกท้อและชมหญิงงาม ไม่รู้ในเมืองเยวี่ยเฉิงเรามีผู้ทรงภูมิสักกี่คนที่ได้รับเลือก”
หลังจากเหล่าคุณชายและบ่าวไพร่จากไป เฒ่าขาเป๋กึ่งเป็นกึ่งตายคลานขึ้นจากพื้น คนที่มุงดูความครึกครื้นข้างทางก็ค่อยๆ สลายตัว
ใบหน้าเฒ่าขาเป๋เปื้อนดินไม่น้อย ฟกช้ำหลายจุด เขาพลิกผ้าขาวสกปรกขึ้นมาใหม่ สะบัดตัวยืดเส้นยืดสาย ไร้ซึ่งสีหน้าเจ็บปวด ไม่เหมือนคนที่โดนทุบตีมาหยกๆ
เขาพึมพำกับตนเอง “ตั้งแต่เจ้าเด็กแซ่เฉินไปแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย”
เขาหยิบแท่งถ่านมาเติมจุดบนผ้าหลายจุดแล้วพิเคราะห์ดู กล่าวช้าๆ ว่า “ผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง ทางใต้จะมีฉากครึกครื้น…ช่างเถิด แก่แล้ว รุดไปไกลเพียงนั้นไม่ไหวหรอก ไม่ไปก็แล้วกัน แก่แล้ว เดินไม่ไหว” เขาหัวเราะหึๆ เอ่ยต่อ “ครึกครื้น หึ ครึกครื้น คนเราเกิดมาชาติหนึ่งก็แค่เพื่อดูความครึกครื้นไม่กี่ฉาก น่าเสียดายที่นางไม่เข้าใจ คนอื่นก็ไม่เข้าใจ แต่เจ้าคนแซ่เฉินเข้าใจ เพียงแต่ไม่รู้รุดไปทันความครึกครื้นแล้วหรือไม่”
ตาเฒ่าพูดจบจู่ๆ ก็ทอดถอนใจอย่างไร้สาเหตุ พิงกับต้นกุ้ยงีบหลับ ไม่สนใจเสียงเครื่องเป่าเครื่องสายในเมืองและแสงโคมไฟตระการตา
‘ผู้แซ่เฉิน’ ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงขลุ่ยอ้อยอิ่งสายหนึ่ง
ท่วงทำนองแฝงไว้ด้วยความนุ่มนวลจางๆ ทำให้ผู้คนนึกถึงจันทราที่หอริมแม่น้ำ นึกถึงดอกซิ่งที่ฝนพรำ แต่ถึงแม้เสียงขลุ่ยจะไพเราะ แต่รบกวนการนอนของผู้คน ยังคงไม่ดี
เขาลืมตาอย่างเกียจคร้าน พบว่าตนหลับอยู่ในรถม้า บนตัวมีเสื้อขนสัตว์ตัวอุ่นที่เวินหุยคลุมให้ เทียนบนโต๊ะเล็กตรงกลางที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเล่มมีเปลวไฟวูบไหว ที่อยู่ตรงหน้าคือเยี่ยจิ่วหยาที่มีดวงตาดำเหมือนหมึกลึกล้ำและเย็นชาจืดจางว่างเปล่าไร้สิ่งอื่นใด
เนื่องจากเดิมยังไม่ถึงเวลา แต่เขาฝืนดึงดันจนตื่นรู้ถึงขั้นฟ้าระดับหนึ่ง ผนวกกับถูกกดทับด้วยมรรคาสวรรค์ ปราณทั่วร่างยุ่งเหยิงกลับตาลปัตร แต่บัดนี้ราบรื่นมากแล้ว คิดว่าน่าจะมีคนช่วยรักษา
เฉินเวยเฉินถอดเสื้อคลุมออกก่อนลุกขึ้นมานั่ง หลังพิงกับหมอนนุ่มยิ้มตาหยี “เยี่ยจิ่วหยา เพียงไม่กี่วันท่านก็ช่วยชีวิตน้อยๆ ของข้าไว้หลายครา ไม่รู้จะทดแทนอย่างไรจริงๆ ร่างนี้มอบให้ดีหรือไม่”
เยี่ยจิ่วหยาเติบโตมาบนยอดเขาหิมะ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมีเพียงธรรมอันลึกล้ำของวิถีเซียน สิ่งที่ฝึกมีแต่เพลงกระบี่ชั้นเลิศ ไม่เคยพบกับคนที่อยู่ดีไม่ว่าดีจะ ‘มอบร่างให้’ อยู่ร่ำไปมาก่อน และไม่เคยได้ยินการหยอกเย้าที่ยากจะแยกแยะจริงเท็จเช่นนี้
เยี่ยจิ่วหยามุ่นคิ้ว น้ำเสียงชืดชาแฝงแววไม่สบอารมณ์ “เฉินเวยเฉิน เจ้าจะล้อเล่นถึงเมื่อใด”
เฉินเวยเฉินบิดตัวผ่อนคลายความเมื่อยขบจากการสลบไสล เขาเปิดม่านมองดูจันทราที่ขอบฟ้า “ทุกคำพูดของข้าผู้เป็นคุณชายล้วนออกจากใจจริง ล้อเล่นที่ใดกัน หากเจ้ากระบี่เยี่ยไม่เชื่อจะต้องให้ข้าพูดอีกหลายครั้งจึงจะเชื่อหรือ”
อีกหลายครั้งนั้นไม่ต้องพูดก็ได้ เพราะเยี่ยจิ่วหยาไม่ฟังที่พูดแล้ว
เสียงขลุ่ยยังคงไม่จางหาย ในรถม้าเงียบสนิท สตรีชุดแดงที่ฝึกซ้อมกระบี่บนพื้นราบนอกรถม้าหยุดลงแล้ว ยันกระบี่กับพื้นมองมาทางนี้
ม่านรถเปิดออกเผยใบหน้าสะอาดสะอ้านของเด็กรับใช้ “คุณชาย ท่านฟื้นแล้วหรือ”
“เสียงขลุ่ยเข้าในฝัน ไม่รู้คนงามที่ใดมาเยือน ข้าผู้เป็นคุณชายมิอาจตัดใจหลับใหล” เฉินเวยเฉินเร่งเยี่ยจิ่วหยา “เจ้ากระบี่เยี่ย ไม่ไปพบสักครู่หรือ”
ระหว่างพูดคุยกันนั้น ใต้แสงจันทร์มีเงาร่างผู้เป่าขลุ่ยเดินออกมาช้าๆ เหมือนเซียนที่ล่องลอย เป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาอ่อนโยน
เสียงขลุ่ยแผ่วเบาดุจลมวสันต์ คละเคล้าเสียงคลื่นจากทะเลมรกต แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งเต๋า
เยี่ยจิ่วหยาชักกระบี่จิ่วหยาออกมา ใช้ข้อนิ้วเคาะตัวกระบี่สามคราติดต่อกัน
กระบี่สะท้านเล็กน้อย ส่งเสียงสดใสติดต่อกันดุจไข่มุกร่วงลงประสานกับเสียงขลุ่ย
เสียงขลุ่ยอ่อนลง ในที่สุดก็หยุดบรรเลง
คนผู้นั้นวางขลุ่ยหันไปทางรถม้าแล้วคารวะ “ขอบคุณเจ้ากระบี่ที่ชี้แนะ”
“ที่แท้เป็นเฉินซูโหว เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน” เซี่ยหลางที่อยู่ข้างนอกยิ้มตาหยีถือแส้จามรีน้อมคารวะ
เฉินเวยเฉินในรถม้าได้ยินพวกเขาแจ้งชื่อเสียงเรียงนามกันก็พลันหัวร่อ “ที่แท้ก็เป็นเขา”
“ได้ยินว่าฝ่าบาทองค์ปัจจุบันรักอัจฉริยะผู้ทรงภูมิ ไม่รักบัณฑิต ทำเอาบัณฑิตคนหนึ่งที่ศึกษาอยู่ดีๆ ถูกบีบจนต้องละทิ้งหรู เข้าสู่เต๋า สะบัดหน้าออกจากนครหลวง สิบปีให้หลังถึงกับสำเร็จเป็นจวินโหวในวิถีเซียน คิดว่าคงเป็นท่านผู้นี้” เฉินเวยเฉินพูดพลางแฝงรอยยิ้ม เยี่ยจิ่วหยาเพียงเก็บกระบี่เข้าฝัก มิเอ่ยวาจา
เสียงจากนอกรถม้าล่องลอยเข้ามาอีก
“ตามความเห็นของผู้ถือพรตแล้ว การประมือเมื่อครู่เจ้ากระบี่เยี่ยบำเพ็ญมรรคาไร้รัก จิตเต๋าบริสุทธิ์ แต่ท่านกลับเหมือนยังมีธุลีของความยึดติดจึงได้แพ้พ่าย”
“ราษฎรถูกย่ำยีพินาศสิ้น ข้ามิอาจทนดู แม้ตัวจะอยู่ในวิถีเซียน แต่ใจยังอยู่กับโลกปุถุชน อาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมังจึงทำให้จิตเต๋ายังมีตำหนิ” เฉินซูโหวน้ำเสียงนุ่มนวล “ทว่าในใจมีคนบางคนเป็นความยึดมั่นถือมั่นอย่างหนึ่ง มนุษย์เกิดมามีรัก แต่กลับมุ่งแสวงหาฟ้าดินที่ไร้รัก นั่นมิใช่ความยึดติดประเภทหนึ่งหรอกหรือ”
เซี่ยหลางมิเอ่ยวาจา เขากำลังครุ่นคิด เฉินซูโหวคารวะอย่างอ่อนน้อมแล้วพลิ้วกายจากไป
ยามเช้าตรู่ ลู่หงเหยียนพบลำธารเล็กๆ สายหนึ่งจึงปลดหน้ากากทองออก วักน้ำฤดูสารทในลำธารขึ้นมาล้างหน้า
น้ำในลำธารสะท้อนเงาของนาง สองแก้มมีรอยเผาไหม้น่ากลัว
“แม่นางลู่ ในแดนมายาเจ้ามีรอยไหม้เพียงครึ่งเดียว” เฉินเวยเฉินเอ่ยอย่างมีเจตนา “โลหิตหงส์กำเนิดใหม่ได้มาไม่ง่ายกระมัง”
“ไม่ง่าย บังเอิญพบกับเยี่ยจิ่วหยาจึงถูกช่วยไว้” ลู่หงเหยียนยอมรับ
“แม่นางลู่ ข้าเห็นพวกท่านตลอดทางพูดถึงแต่โลหิตเอย กลิ่นหอมเอย จะทำการใหญ่อันใดกัน” เวินหุยที่กำลังสางผมล้างหน้าให้คุณชายได้ยินเข้าจึงสอดปากถาม
“ข้ามีแค้นล้างตระกูล มีบุญคุณที่ช่วยชีวิต” น้ำเสียงของนางแฝงแววดื้อรั้นดึงดัน ตอบไม่ตรงคำถาม “วันใดที่แค้นล้างตระกูลยังสืบไม่กระจ่าง บุญคุณช่วยชีวิตยังไม่ทดแทน ข้าจะไม่มีวันลบรอยแผลเป็นนี้”
เฉินเวยเฉินวักน้ำอย่างไม่ใส่ใจ “แม่นางลู่ ไยต้องลำบากเช่นนี้”
เด็กรับใช้ช่วยพูดต่อ “นั่นน่ะสิ แม่นางลู่ บุญคุณอะไร ความแค้นอะไร จดจำไว้ในใจก็พอ เหตุใดต้องระรานใบหน้าตนเองด้วยเล่า ไม่คุ้มเลย”
ลู่หงเหยียนแค่นหัวร่อ “เจ้าจะรู้อะไร” นางหยิบหน้ากากสวมกลับคืน “ข้ามาบำเพ็ญเซียน ใบหน้านี้ไม่สำคัญ ทำสิ่งที่ข้าอยากทำต่างหากที่สำคัญ เขาจะตายไปอย่างคลุมเครือเช่นนี้ไม่ได้! ต่อให้วิญญาณบินหายขวัญสลายเป็นพันหมื่นชิ้น รอข้ากับเยี่ยจิ่วหยาได้ของหลายสิ่งแล้วจะเปิดแท่นสร้างชีวิตก็จะสามารถหาของกลับมาครบไม่ขาดสักชิ้น ข้าต้องสืบให้กระจ่าง”
นางพูดจบก็หมุนตัวจากไป เด็กรับใช้งงงัน “เอ๋? พูดถึงผู้ใดหรือ”
“ย่อมเป็นคนที่ก่อเวรก่อกรรมน่ะสิ” คุณชายกล่าวเนิบๆ “ไปกันเถอะ ได้ยินว่าทิวทัศน์แถบทะเลทักษิณงามยิ่ง เราก็ตามพวกเซียนไปเปิดหูเปิดตาด้วยเถอะ”
บทที่ 16
หวังลมๆ แล้งๆ
เมื่อรถม้าผนวกเข้ากับวิชาเซียนจึงแล่นเร็วตลอดทาง ทุกแห่งหนที่ไปถึงล้วนเป็นทุ่งร้าง เนิ่นนานจึงค่อยพบเมืองที่พอเป็นสัดเป็นส่วน
เพียงแต่ยามนี้เวินหุยจึงค่อยรู้สึกว่าคุณชายของตนเป็นประโยชน์อย่างมาก เรื่องมนุษย์ปุถุชน คุณชายถึงกับรู้มากมาย
“ครานั้นรัฐบริวารทางชายแดนเหนือทั้งหลายที่มีกองทัพกล้าแข็งรวมหัวกันย่ำนครหลวงเก่าจนราบ ฮ่องเต้องค์ก่อนหนีลงใต้อย่างฉุกละหุก ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักสูญไปกว่าครึ่ง ในจำนวนนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ก่อกบฏ นำกองทัพตั้งตัวเป็นใหญ่ยึดเขตแดนตั้งตัวเป็นอ๋อง ขนานนามแคว้นว่า ‘เยี่ยน’ ที่ชาวแคว้นหนานพากันเรียกกันว่า ‘เหล่าโจรกบฏฝ่ายเยี่ยน’ ชนเถื่อนชายแดนเหนือปกครองไม่เป็น หลายสิบปีระหว่างนั้นแผ่นดินอันงดงามวุ่นวายปั่นป่วนไปหมด อีกทั้งละโมบในทรัพย์สินฟุ้งเฟ้อ กองทัพหย่อนยานจึงถูกรัฐบริวารทั้งหลายบุกเข้าโจมตี สุดท้ายแตกเป็นหลายส่วน สะบั้นความฝันของการตั้งตัวเป็นใหญ่ครองบัลลังก์มังกร” คุณชายเล่าต่อ “แต่หลายปีนี้เยียนอ๋องกลับค่อยๆ กล้าแข็ง แม้จะตั้งตัวจากโจรกบฏ แต่ก็มีรากฐานอยู่บ้าง พอจะจัดการบ้านเมืองที่อยู่ภายใต้ปกครองเป็นเรื่องเป็นราวได้ ดูจากธงทิวหัวกำแพงเมืองที่นี่น่าจะเป็นเมืองของฝ่ายเยี่ยน”
ในเมืองมีทหารรักษาการณ์อยู่ ชุดเกราะที่สวมใส่ดูแวววาวสดใส แต่สภาพความเป็นอยู่กลับยากแค้นซบเซา โรงเตี๊ยมร้านรวงเงียบเหงา ถนนทั้งสายส่วนมากเป็นร้านปิดตาย เห็นได้ว่าผู้ปกครองฝ่ายเยี่ยนสร้างแต่กองทัพ ยังไม่อาจลงแรงไปถึงการดูแลราษฎร
รอนแรมตลอดทาง ถึงที่นี่จึงค่อยพบโรงเตี๊ยมเป็นกิจจะลักษณะ
คุณชายเฉินอาบน้ำชำระกายเสร็จก็เดินเข้าห้องทั้งที่ผมเปียกโชกคลุมไหล่ “เจ้ากระบี่เยี่ย เส้นผม”
เยี่ยจิ่วหยาไม่ขยับ
เฉินเวยเฉินจ้องเขม็ง “เส้นผม”
ในที่สุดขนตาของคนผู้นั้นก็ขยับไหวเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชา “เจ้ากับข้าสนิทกันนักหรือ”
“ย่อมสนิทกันมาก” เฉินเวยเฉินกะพริบตาปริบๆ “เจ้ากระบี่เยี่ยรู้อยู่แก่ใจ”
คุณชายผู้นี้เหมือนแน่ใจอยู่แล้วว่าตนจะไม่เป็นอะไร จึงทรุดนั่งลงที่ริมเตียงเสียเลย ท่าทางเหมือนจะดื้อด้านอยู่ตรงนี้ไม่ไปที่ใด
ในที่สุดเยี่ยจิ่วหยาก็ยื่นมือออกมา ลอดผ่านเส้นผมนุ่มที่เปียกโชก พลังปราณค่อยๆ ถูกส่งออกมา ไม่นานไอน้ำก็หมดสิ้น เส้นผมยุ่งเหยิงร่วงหล่นตามปลายนิ้วทิ้งกลิ่นหอมจางๆ ของสมุนไพรเจ้าเจี่ยว[5]*
เฉินเวยเฉินยิ้มตาหยี “ขอบคุณเจ้ากระบี่เยี่ย”
เขาสมประสงค์แล้วยังโอ้เอ้ในห้องครู่หนึ่งจึงค่อยบอกลากลับไปนอนในห้องตนเอง ก่อนไปดวงตายังฉายแววตัดพ้ออาวรณ์ราวกับถูกขับออกจากประตูอย่างน่าคับข้องใจ
เยี่ยจิ่วหยากอดอกมองดูอย่างเย็นชา
เฉินเวยเฉินอิงกับกรอบประตูมองตอบ
ยังคงเป็นเวินหุยที่ชิงชังคุณชายบ้านตนเองที่ไร้ความสามารถจึงลากตัวไป
“คุณชาย ข้าว่าท่าน…” เวินหุยถอนใจเฮือก “ท่านบำเพ็ญเซียนก็แล้วกันไปเถิด แต่นี่…ท่าน…นี่ไม่ไหวเลย!”
“ไม่ไหวอะไรกัน” เฉินเวยเฉินเถียง “เจ้ากระบี่เยี่ยยังไม่พูดเลยว่าห้ามติดตาม”
เวินหุยยังอยากพูดอะไร แต่เมื่อคิดอีกทีก็ดูเหมือนเจ้ากระบี่เยี่ยใจกว้างกับคุณชายของตนเป็นพิเศษจริงๆ นึกถึงตรงนี้ก็อดที่จะพินิจพิเคราะห์คุณชายอย่างละเอียดมิได้ รูปร่างหน้าตาของคุณชายไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว นิสัยการกระทำยิ่งมีเสน่ห์สง่างาม มีคนในเมืองจำนวนไม่น้อยที่รักและเลื่อมใส หากเป็นเช่นนี้…หากเป็นเช่นนี้เจ้ากระบี่เยี่ยก็มิใช่ผู้สูงส่งบริสุทธิ์สักเท่าใด
เวินหุยหลุดปากว่า “ข้าว่า…ควรรีบออกจากที่ที่ไม่ควรอยู่นี้ดีกว่ากระมัง”
เฉินเวยเฉินกระเถิบเข้าใกล้อย่างมีเลศนัย “เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดเจ้ากระบี่เยี่ยจึงดีเป็นพิเศษเยี่ยงนี้”
“เพราะเหตุใดหรือ”
“เพราะเคยมีคนคนหนึ่งช่วยเขาไว้ ทั้งยังสอนกระบี่เขา ภายหลังคนผู้นั้นตายไป” เฉินเวยเฉินยิ้มเศร้า เสียงเบามากเหมือนกำลังเล่าเรื่องผีสางยามดึก “คนผู้นั้นมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเซียน ทั่วโลกามิอาจหาคนที่สองได้ เจ้าลองเดาดูว่าเป็นอย่างไร บังเอิญบนตัวข้าผู้เป็นคุณชายก็เป็นเช่นนั้นทุกประการ” เวินหุยตกใจจนสะดุ้ง กลับถูกคุณชายของตนกดบ่าไว้แล้วกระซิบต่อ “ยังเล่าไม่จบ เรื่องเก่านานมาแล้ว ฟ้ารู้ดินรู้ เขาสองคนรู้ ข้าผู้เป็นคุณชายก็ดันรู้ เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่เล่า”
“คะ…คุณชาย…อย่าทำข้ากลัวสิ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าผู้เป็นคุณชายวางแผนเล็กน้อยเพื่อให้เขารู้สึกว่าในตัวข้ามีขวัญวิญญาณเล็กๆ ของผู้ล่วงลับ หากเจ้าเป็นเจ้ากระบี่เยี่ย เจ้าคงอยากสืบให้รู้แน่ชัดเหมือนกันจริงหรือไม่ หากใช้เล่ห์เหลี่ยมอีกเล็กน้อย ให้เขารู้สึกว่าข้าคือคนผู้นั้นที่กลับชาติมาเกิด เจ้าเดาซิว่าจะยิ่งคืบอีกก้าวใช่หรือไม่”
เวินหุยเสียงสั่น “ถ้าเช่นนั้นคุณชายท่าน…ใช่หรือไม่เล่า”
เฉินเวยเฉินปล่อยมือ คลี่พัดดังพึ่บ ยกขึ้นบังรอยยิ้มลี้ลับ “ลิขิตฟ้ามิอาจแพร่งพราย”
เปลวเทียนเผาไหม้จนสุดปลาย ลุกไหม้ไม่กี่คราก็มีเสียงชี่ดังขึ้นเบาๆ สุดท้ายเชื้อไฟก็ดับลงท่ามกลางน้ำตาเทียนร้อนจัดและใสแวววาว
แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดเพียงครึ่งในเมืองที่เงียบสงัด ตกอยู่บนร่างของท่านเซียน
ผู้ที่ฝึกกระบี่ตั้งแต่เล็กท่าร่างต้องยืนอย่างไรนั่งอย่างไร ล้วนซึมซับเข้ากระดูกจนเป็นความเคยชิน แม้แต่เงาร่างใต้แสงจันทร์ยังสูงเพรียวตั้งตรง
นิ้วมือของเขาไล้ผ่านด้ามดำสนิทของกระบี่จิ่วหยา กระบี่เรืองนามมีวิญญาณส่งเสียงคำรามสดใสสั้นๆ คราหนึ่ง
“เจ้าเคยเชื่อมโยงกับแก่นขวัญของราชันเทพ” เขากล่าวกับกระบี่ “หากพบเขาจริงเหตุใดจึงไม่ส่งเสียง”
กระบี่คำรามอีก เสียงครานี้อ่อนลงอยู่บ้าง
“เช่นนี้ก็มิใช่แล้ว” เยี่ยจิ่วหยากล่าว “หรือว่าเจ้าก็จำไม่ได้”
ลมราตรีพัดผ่านหน้าต่าง เขาไม่พูดอีก
ในห้องเงียบสงัด
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นพวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง
ระหว่างทางผ่านหมู่บ้าน เห็นเรือนชาวนาจึงไปขอน้ำ บนคันนาที่รกไปด้วยหญ้ามีแม่นางน้อยสวมใส่ชุดผ้าหยาบคนหนึ่งยืนอยู่ มือที่ยันจอบไว้เสียดสีจนเป็นหนังด้าน อีกมือกำลังเช็ดน้ำตา
“ฮูหยิน” เวินหุยเดินเข้าไป “พวกเราผ่านทางมา ไม่ทราบที่นี่มีน้ำหรือไม่”
แม่นางน้อยพิเคราะห์เขาอย่างลังเล ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คล้ายคนไม่ดีจึงผงกศีรษะ “มี”
เรือนหลังนั้นเป็นกระท่อมต่ำเตี้ยและซอมซ่อ บางครั้งยังมีเสียงไอของคนชราดังมา
แม่นางน้อยรินน้ำให้พวกเขาและกรอกน้ำจนเต็มถุง กล่าวเสียงเบาว่า “คุณชาย ข้าได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่าไปต่อทางใต้ภูเขาสายน้ำอันตราย มีปีศาจปรากฏตัว หลายวันยังไม่พบคน”
“ไม่เป็นไร” เฉินเวยเฉินรู้ว่านี่เป็นการเตือนด้วยกุศลเจตนาจึงบอกนางว่า “พวกเรามีวิธี”
ได้ยินเสียงแม่เฒ่าข้างในสะอื้นไห้โศกเศร้า “ลูก…ลูกข้า…”
แม่นางน้อยรีบเข้าไปปลอบโยน แม่เฒ่ากลับสะอื้นไห้ดังกว่าเดิม “อาชิง เจ้า…เจ้ายังไม่ไปหรือ…ไปหาครอบครัวดีๆ สักแห่ง ไม่ต้องสนใจข้า…”
“ท่านแม่ ท่านเลอะเลือนแล้ว” น้ำเสียงแม่นางน้อยเจือด้วยเสียงร่ำไห้ “ในหมู่บ้านยังมีบุรุษอีกหรือ”
ตอนออกมาขอบตานางยังแดงอยู่ ยิ้มให้แขกเป็นเชิงขออภัย “แม่สามีข้าเอง นางไม่ค่อยมีสติ”
ไม่ต้องบอกมากกว่านี้ก็รู้ว่าสามีของนางถูกเกณฑ์เข้ากองทัพและไม่มีข่าวคราว อีกทั้งไม่มีบุตรธิดาแม้แต่ครึ่งคนให้คิดถึง เพียงเหลือแม่เฒ่าที่ป่วยจนเลอะเลือนกับสตรีอายุน้อยที่ทำงานเลี้ยงชีพ ดูแลที่ดินรกร้างผืนนี้
หวนคิดถึงยุครุ่งเรืองก่อนหน้านี้ มีกฎบัญญัติว่าผู้ที่เพิ่งแต่งงานหรือผู้ที่จัดงานศพจะไม่ถูกเกณฑ์เป็นทหาร แต่บัดนี้ไม่มีระเบียบเหล่านี้หลงเหลือ ตั้งแต่เด็กชายไปจนถึงชายชราไม่มีผู้ใดได้รับการละเว้น
ลู่หงเหยียนแตะปลายเท้าออกจากประตูไป ชุดสีแดงบนตัวพลิ้วไหว พลังปราณจากกระบี่ซุ่ยคุนหลุนแผ่กระจาย นางใช้วิชาเซียนอย่างเต็มที่ ควบคุมพลังได้อย่างแม่นยำพอเหมาะ เพียงฟาดลงไปไม่กี่คราดินในที่นาก็ถูกขุดพลิกร่วนซุยไปเกือบครึ่ง เพื่อให้แม่นางน้อยไม่ต้องลำบากเปลืองเรี่ยวแรง
เมื่อแม่นางน้อยทราบถึงฐานะของคนกลุ่มนี้ก็ส่งเสียงอืออาคราหนึ่ง ไม่รู้ว่าคารวะหรือเกรงกลัว นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านเซียน…”
ขณะที่ออกจากที่นี่ บนรถม้าเวินหุยถามคุณชายอย่างระมัดระวังว่า “คุณชาย เหตุใดจึงไม่ให้เงินนางบ้าง เมื่อก่อนในเมืองเยวี่ยเฉิงท่านยังให้…”
“นางจะเอาเงินไปใช้ที่ใด” คุณชายถอนใจ “หมู่บ้านนี้เหลือแต่คนเฒ่าชรา สตรี และเด็ก เลี้ยงตนเองให้รอดยังยาก ตลาดไม่เปิด คิดจะซื้ออาหารยังไม่มีที่ไป ยิ่งไปกว่านั้นอีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาเก็บภาษีฤดูสารท หากพวกไพร่พลที่มารื้อค้นข้าวของพบเศษเงิน คราวหน้ามีหวังถูกเพิ่มภาษีเท่าตัว ที่แม่นางลู่ทำต่างหากจึงจะเป็นการช่วยแม่นางน้อยได้อย่างแท้จริง”
ลู่หงเหยียนโอบกระบี่มองดูฝูงอีกาในทุ่งร้าง “ข้าเองก็เคยเป็นคนในกลียุค”
เซี่ยหลางท่าทางครุ่นคิด “ช่วยโลกมิได้จึงต้องออกจากโลก ออกจากโลกกลับลืมโลกไม่ลง แดนมนุษย์เสื่อมโทรมเช่นนี้ บัดนี้ข้าพอจะเข้าใจคำพูดของเฉินซูโหวแล้ว” เขามุ่นคิ้ว “แต่โชคชะตาของแดนมนุษย์ มีหรือจะเป็นเพียงเท่านี้”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.