ทดลองอ่านเรื่อง หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1
ผู้เขียน : อีสือซื่อโจว (一十四洲)
แปลโดย : เซี่ยงฉี
ผลงานเรื่อง : 一剑九琊 (Yi Jian Jiu Ya)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 17
ครานั้น
เมื่อลงใต้ต่อไปก็เป็นดังที่แม่นางน้อยในกระท่อมชาวนาพูดไว้ ภูเขาสายน้ำอันตรายไร้ผู้คน
พวกเขาหลีกเลี่ยงเส้นทางบนภูเขา รถม้าแล่นไปตามเส้นทางหลวงที่สร้างไว้ในยุครุ่งเรือง ซึ่งบัดนี้รกร้างแล้ว ขุนเขาสงัดเงียบไกลออกไป ตลอดทางเต็มไปด้วยสายหมอกเขียวเข้มของสารทฤดู
เฉินเวยเฉินละสายตาจากคัมภีร์หนานหัวจิงในมือ มองทัศนียภาพฤดูสารทนอกหน้าต่าง หยิบขลุ่ยถูซานที่ได้มาจากภรรยาของบัณฑิตผู้นั้นออกมาเป่าลำนำหลายบท
จิ้งจอกป่าหลายตัวกระโจนออกมาจากป่าไล่ตามรถม้า ดวงตาดำวาวน่ารักน่าเอ็นดู เขาจ้องดูจิ้งจอกน้อยที่มีพลังวิญญาณเหล่านี้ด้วยความเพลิดเพลินใจครู่ใหญ่จึงค่อยเก็บขลุ่ย
สุนัขจิ้งจอกพวกนี้ถูกของวิเศษเรียกมา แต่ไม่มีคำสั่งขั้นต่อไป เสียงขลุ่ยเองก็หยุดลงแล้ว สมองที่เลอะเลือนเพราะยังไม่เปิดปัญญาญาณของพวกมันรู้สึกสงสัยจึงกระจายตัวกันไปอย่างไร้เหตุผล
ทว่าแยกย้ายกันไปได้ครึ่งทางก็กลับชันหูตัวเกร็งพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เหมือนเผชิญกับศัตรูสำคัญ
ยามนี้เองเวินหุยเปิดม่านรถ “คุณชาย ข้างหน้ามีคนขวางทาง”
คนผู้นั้นท่าทางดุร้าย เดิมทีเวินหุยจึงรู้สึกกังวลใจยิ่ง แต่กลับเห็นคนในรถท่าทางเป็นปกติ คุณชายของตนถึงกับยิ้มให้เยี่ยจิ่วหยากล่าวว่า “เจ้ากระบี่เยี่ย มีคนมาหาท่านอีกแล้ว”
เพียงเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงสุดทางข้างหน้า ร่างกายล่ำสันแข็งแรง มือถือง้าวน่าเกรงขาม เอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน “ข้าเจียงอวิ๋นหวน ขอน้อมรับการสั่งสอนจากเจ้ากระบี่เยี่ย”
เยี่ยจิ่วหยาลงจากรถ ร่างในชุดขาวยืนประจันกับคนถือง้าวท่ามกลางฉากขุนเขาวังเวง
“เป็นมู่อวิ๋นโหว” เซี่ยหลางกล่าว “เข้าสู่วิถีด้วยวิชายุทธ์ เป็นผู้ที่อยู่ในเส้นทางเดียวกับชันหลงจวิน”
“นักพรตเซี่ย” เวินหุยเกาศีรษะ “ก่อนหน้านี้เป็นเซียนโหวเป่าขลุ่ยท่านหนึ่ง บัดนี้มาอีกคนถือง้าว ทุกคนล้วนมาหาเจ้ากระบี่เยี่ยวัดฝีมือแพ้ชนะหรือ”
“เจ้ากระบี่เยี่ยมีชื่อเสียงเพราะพลังกระบี่ไร้รัก ชื่อฉายาจึงมิใช่จวินโหว แต่ผู้ที่เคยพบเขาต่างบอกว่ากระบี่ของเขาสามารถประชันกับผู้บำเพ็ญเซียนทั่วหล้าได้ เป็นบุคคลในโลกยุคนี้ที่อาจบรรลุขั้นฟ้าระดับสามได้ แต่ตัวเจ้ากระบี่เยี่ยเองน้อยครั้งที่จะออกข้างนอก จนบัดนี้ยังมิได้ลงจากหอกระบี่ภูเขาหิมะสู้กับบรรดาผู้คนในวิถีเซียนเลย ตามกฎเกณฑ์ของวิถีเซียน หากสู้ชนะหนึ่งโหว ตนก็จะได้เป็นโหว หากชนะสิบสี่โหวหนึ่งจวินก็จะได้เป็นจวิน หากชนะสามจวินสิบสี่โหว…”
“ได้เป็นราชัน?” เวินหุยตาแวววาว
“มีหรือจะง่ายดายเช่นนั้น” เซี่ยหลางกล่าว “หลังจากนี้ยังต้องขึ้นสู่ยอดเขาฮว่านตั้งจึงจะเป็นราชันได้ สามจวินสิบสี่โหวนั้นเป็นได้ง่าย แต่ราชันหนึ่งเดียวนั้นยากจะแสวงหา มีคนถือดีไม่น้อยเอาชีวิตไปทิ้งบนเส้นทางสู่ฟ้าของภูเขาฮว่านตั้ง ครานั้นวังฝูเทียนว่างเปล่านับร้อยปีจึงค่อยมีราชันเทพเยี่ยนปรากฏขึ้นมา สู้ชนะสามจวินสิบสี่โหว ขึ้นยอดเขาฮว่านตั้ง เขาเป็นผู้บรรลุขั้นฟ้าระดับสามที่เคยพานพบในรอบหลายร้อยปี นับแต่นั้นคนรุ่นหลังจึงคาดเดากันว่ามีเพียงผู้บรรลุขั้นฟ้าระดับสามซึ่งทะลุฟ้าดินจึงจะเป็นที่ยอมรับจากมรรคาสวรรค์ให้เป็นอันดับแรกแห่งวิถีเซียน” เซี่ยหลางพูดถึงตรงนี้ก็มีท่าทางดื่มด่ำเลื่อมใสไปไกลโพ้น “เสียดายที่ข้าเกิดช้า ไม่ทันได้เห็นราชันเทพเยี่ยน และไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกกันว่าขั้นฟ้าระดับสามนั้นจะเลิศหรูเพียงใด…”
เวินหุยยังคงไม่เข้าใจ “แล้วนี่เกี่ยวข้องกับเจ้ากระบี่เยี่ยอย่างไร”
“หลายปีมานี้คนได้ยินเพียงชื่อเจ้ากระบี่เยี่ยแต่ไม่เคยเห็นตัว ในที่สุดบัดนี้เจ้ากระบี่เยี่ยก็ลงจากเขาแล้ว ผู้ใดจะไม่คิดท้าสู้กับเจ้ากระบี่เยี่ยเพื่ออาศัยการนี้ล่วงรู้ลิขิตสวรรค์ที่เกี่ยวกับการก้าวหน้าในขั้นบำเพ็ญเพียรของตนเล่า” นักพรตหนุ่มมองดูข้างนอก กล่าวอย่างสนใจว่า “เจ้ากระบี่เยี่ยลงเขาครานี้มีร่องรอยให้ตามหาได้ เท่ากับเป็นการประกาศว่าวิถีเซียนเข้าสู่แดนมนุษย์อย่างแท้จริง วิถีเซียนซบเซามานานปี ในที่สุดก็ครึกครื้นขึ้นแล้ว การไปทะเลทักษิณครานี้เกรงว่าคงต้องสู้กับหลันซานจวินสักครา แล้วจึงไปล้างกระบี่ที่กุยซวี[1]* ไม่แน่ว่าอาจสามารถทะลวงขั้นฟ้าระดับสามขึ้นสู่ภูเขาฮว่านตั้งได้ หลายสิบปีมานี้ไม่มีข่าวคราวของราชันเทพเยี่ยนมานานแล้ว ยังอยู่หรือไม่ต้องรอเจ้ากระบี่เยี่ยขึ้นเขาฮว่านตั้ง พวกเราก็จะได้ทราบความจริง! หากราชันเทพเพียงกักตนปิดด่าน อาจมีการต่อสู้ประลองฝีมือระหว่างผู้บรรลุขั้นฟ้าระดับสามสองคน คิดดูแล้วช่างน่าตื่นตาตื่นใจ”
นักพรตหนุ่มพูดจบก็เหลียวมองรอบๆ กลับพบว่าเวินหุยฟังจนเคลิบเคลิ้ม ลู่หงเหยียนพิงกับผนังรถหลับตา กลิ่นอายรอบตัวเย็นเยียบจนน่าตกใจ ส่วนเฉินเวยเฉินเล่นกับพัดอย่างไม่ใส่ใจ ท่าทางเหมือนใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เซี่ยหลางเองก็เริ่มงงงันจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน
ระหว่างที่พูดคุยกัน มู่อวิ๋นโหวที่ถือง้าวอยู่ข้างนอกตั้งท่าสะสมพลัง อากาศรอบตัวแผ่ขยายออก ง้าวในมือกวาดใส่ทางขวาง พลังกล้าแข็งเหมือนพัดที่คลี่ออกอย่างฉับพลัน
เห็นเพียงชุดขาวเหมือนปุยหิมะล่องลอยปุยหนึ่ง เดินหน้าท่ามกลางพลังกล้าแข็งและจิตสังหาร พริบตาที่ฝักกระบี่สัมผัสกับง้าว เงาร่างพลันหมุนดุจเกลียวคลื่นเฉียดร่างมู่อวิ๋นโหวไป เสียงง้าวคำรามไม่หยุด
เยี่ยจิ่วหยาเหลือเพียงเงาหลังและกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ยังไม่ออกจากฝัก
เพียงพริบตาเดียวก็แบ่งแยกแพ้ชนะได้
แววตามู่อวิ๋นโหวเปี่ยมด้วยความนับถือ
จิ้งจอกน้อยหลายตัวนั้นต่างขดตัวด้วยความกลัว โผล่หน้าโผล่ตามองดู
“เคล็ดวิชาครานี้เพียงพอให้มู่อวิ๋นโหวนำไปขบให้แตกปีสองปี” เซี่ยหลางก็เหมือนกับเวินหุย เปลี่ยนนิสัยช่างพูดไม่ได้ “แต่สำหรับเจ้ากระบี่เยี่ยแล้วมันช่างไร้รสชาติสิ้นดี ไว้ไปถึงสำนักเจี้ยนไถที่ทะเลทักษิณ พวกเราจึงจะได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของเขา มีเฉินซูโหวกับมู่อวิ๋นโหวนำหน้า เซียนโหวอื่นๆ หรือผู้บำเพ็ญเซียนที่เร้นกายจากโลกล้วนนำศิษย์ออกมา อาจมาขอคำสั่งสอนหรืออาจตรงไปทะเลทักษิณ ดูการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเสียเลย” เซี่ยหลางใช้วิชาเล็กน้อยเรียกพิราบสีเทามาตัวหนึ่ง “ข้าเองก็ต้องส่งข่าวถึงศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนัก จะได้มีวาสนาชมดูด้วย”
เฉินเวยเฉินเพียงเท้าแก้มมองดู “น่าดูชม”
ขณะที่เซี่ยหลางนึกว่าคนผู้นี้ตื่นรู้เคล็ดวิชาอะไรจากเพลงกระบี่ก็ได้ยินเฉินเวยเฉินพูดต่อ
“ท่าออกกระบี่น่าดูมาก กระทั่งท่าถือกระบี่ก็ยังน่าดู”
เซี่ยหลาง “…”
ลู่หงเหยียนกล่าวเสียงเย็นชาว่า “หากเจ้าได้เห็นเพลงกระบี่ซับซ้อนงดงามของเขาเมื่อคราที่ยังมิได้เข้าสู่มรรคาไร้รัก ยังไม่กลับสู่ความเรียบง่ายแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงตะลึงจนตาค้างไปเลยกระมัง”
คุณชายยิ้มพลางโบกพัด “สมัยนั้นเพลงกระบี่ของเขาโอ่อ่าหมดจด สง่าดุจนกเหินจริงๆ”
ลู่หงเหยียนหัวร่อคิด “เจ้าเห็นในฝันหรือ”
คุณชายกะพริบตา “เจ้าพูดถึงเขาในยามนั้นปากเปล่าไม่มีหลักฐานได้ แต่ไม่อนุญาตให้ข้าพูดหรือ”
ลู่หงเหยียน “แม้ข้าจะมิใช่มาจากสำนักเจี้ยนเก๋อ แต่หากนับให้ถี่ถ้วนกลับเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันครึ่งตัว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดเอาเอง”
“แม่นางลู่ ดูนิสัยเจ้าแล้วอายุคงไม่มากเท่าใดนัก ครานั้นน่าจะยังเป็นดรุณีน้อยกระมัง จะเคยเห็นได้อย่างไร ไหนลองว่ามา”
จริงอยู่ที่ลู่หงเหยียนอายุไม่มาก พอถูกเขาย้อนใส่ก็อารมณ์เสีย นึกเสียใจที่เมื่อครู่ตนเองอดไม่ได้พูดจาถากถาง จึงตั้งใจว่าวันหลังจะไม่พูดมากกับคนผู้นี้อีก
แต่กลับเป็นคนผู้นั้นคิดว่าตนยังยั่วโมโหคนอื่นไม่พอ หันไปบ่นกับเด็กรับใช้เป็นจริงเป็นจังว่า “อาหุย เจ้าดูสิ ปกติเจ้าให้ข้าพูดจาดีๆ อย่าแกล้งบ้าแกล้งโง่ แต่บัดนี้ข้าพูดความจริง พวกเขากลับไม่เชื่อ ไร้เหตุผลสิ้นดี ข้าผู้เป็นคุณชายเสียใจนัก”
ลู่หงเหยียนทนต่อไปไม่ไหว กระบี่ซุ่ยคุนหลุนพาดเข้าที่คอของเขา เฉินเวยเฉินร้องขอชีวิตทันที “แม่นางลู่ แม่นางลู่ โปรดไว้ไมตรี! ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
เยี่ยจิ่วหยากลับมาในรถม้า เห็นท่าทีราวกับว่าอีกประเดี๋ยวจะเกิดการวิวาทจนถึงขั้นเอาชีวิตกันฉากนี้จึงเหลือบมองทั้งสองคนปราดหนึ่ง
เฉินเวยเฉินหุบปากแต่โดยดี ส่วนลู่หงเหยียนเก็บกระบี่เข้าฝัก
เซี่ยหลางอุ้มแมวดำอ้วน เอ่ยกับน้องสาวตนว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้ากระบี่เยี่ยใหญ่ที่สุด รองลงมาเป็นซุ่ยคุนหลุนของชันหลงจวิน ส่วนเวินหุยของเราขับรถให้ดีก็พอ”
ชิงหยวนร้อง ‘เมี้ยว’ คำหนึ่งแล้วพลิกตัวหลับต่อ
รถม้าเดินทางไปต่อ ตลอดทางมีผู้มาท้าทายอีกหลายคน กระบี่จิ่วหยาไม่เคยออกจากฝัก
จนกระทั่งลงใต้ไปอีก ฝั่งทะเลทักษิณเข้าใกล้สายตา
[1]* กุยซวี เป็นชื่อเรียกสถานที่ซึ่งตำนานจีนว่ากันว่าน้ำทั้งทางช้างเผือกไหลลงสู่ความว่างเปล่าไร้ก้นบึ้ง แม้น้ำจะไหลเข้ามาเรื่อยๆ แต่ปริมาณน้ำไม่เคยเปลี่ยนแปลง
บทที่ 18
หลันซาน
แดนเหนือของจงโจวมีสำนักเจี้ยนเก๋อ ทะเลทักษิณมีสำนักเจี้ยนไถ เจี้ยนเก๋อเฝ้ารักษาธารสวรรค์ เจี้ยนไถเฝ้ารักษากุยซวี หนึ่งใต้หนึ่งเหนือเป็นรากฐานของสำนักเซียน
มีตำนานเล่าว่าเดิมทีกระบี่เหนือใต้มีบ่อเกิดเดียวกัน ตอนที่แบ่งเป็นเซียนกับมาร เพื่อแยกกันสยบเหนือใต้จึงได้แยกเป็นสองฝ่าย
คำเล่าขานเช่นนี้มีร่องรอยให้ค้นหา เพราะตอนที่ศิษย์ทั้งสองสำนักเข้าสำนักมาใหม่ๆ เพลงกระบี่ที่ฝึกต่างลื่นไหลแปรเปลี่ยนงดงามดุจเมฆเคลื่อนน้ำไหลราวกับสำนักเดียวกัน กระทั่งภายหลังจึงสามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างเด่นชัด กระบี่เหนือบรรลุถึงความโหดเหี้ยมท่ามกลางความซับซ้อนหรูหรา จากนั้นค่อยๆ กลับสู่สามัญ ผู้ที่บรรลุขั้นบำเพ็ญสูงสุดเพียงยกกระบี่ขึ้นมาก็สามารถตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว ส่วนกระบี่ใต้กลับก้าวไปอีกขั้นของความซับซ้อนหรูหรา หนึ่งกระบี่สามารถแปรเปลี่ยนได้นับร้อยพัน จุดหมายคือต้องการบรรจุทั้งจักรวาลลงไปในกระบี่
แต่จะอย่างไรก็ตามบัดนี้กระบี่เหนือใต้ไปมาหาสู่กันน้อยมาก ครานั้นที่วิถีเซียนรุ่งเรืองถึงขีดที่สุด เคยมีการถกกระบี่เหนือใต้ที่จัดขึ้นทุกๆ ห้าปี ดึงดูดมือกระบี่ทั้งแผ่นดินมาชมดู บัดนี้ได้ว่างเว้นมาสิบกว่าปีแล้ว
ยามนี้เจ้ากระบี่เยี่ยมุ่งหน้าลงใต้ แม้จะมิได้เป็นตัวแทนสำนักเจี้ยนเก๋อ ทว่ามีชันหลงจวินและหลางหรันโหวร่วมเดินทางมาด้วยก็นับว่าโอ่อ่ายิ่ง ทั้งยังลือกันว่าครานี้มีนัดหมายกับหลันซานจวินไว้อีกด้วย สรุปแล้ววิถีเซียนที่เป็นเหมือนน้ำนิ่งบ่อหนึ่ง บัดนี้กลับมีระลอกคลื่นเกิดขึ้นไม่น้อย
สำนักเจี้ยนไถแห่งทะเลทักษิณตั้งอยู่บนเกาะเซียนในทะเล รอบข้างเป็นภูเขาเซียน เกาะเซียนกระจัดกระจายดุจมุก มีสำนักย่อยของเซียนทั้งใหญ่น้อยเฝ้ารักษาการณ์ เมื่อเทียบกับสำนักเจี้ยนเก๋อในอาณาจักรหิมะแดนเหนือที่ยิ่งสูงยิ่งหนาวแล้ว สำนักเจี้ยนไถเรียกได้ว่ามีความโอ่อ่าล่องลอยสมเป็นสำนักเซียนจริง
ตั้งแต่ออกเดินทางเยี่ยจิ่วหยาได้ส่งข่าวถึงสำนักเจี้ยนไถแล้ว เรือโดยสารของสำนักเจี้ยนไถที่มาต้อนรับจึงเทียบรออยู่ริมฝั่งแต่แรก
เรือใหญ่นกน้ำชิงเชวี่ยมีเรือเล็กสองลำคุ้มกันขนาบข้าง ศิษย์บนเรือต่างสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนทั้งหมด ปกเสื้อและแขนเสื้อปักลายดอกบัว
ผู้ที่นำมาด้านหน้ามีท่าทางสุภาพอ่อนโยน รายงานตัวว่าเป็นศิษย์คนแรกของหลันซานจวิน แซ่ฉินนามหวั่นจ้าว ทั้งคณะได้รับเชิญลงเรือเป็นที่เรียบร้อย
รอจนคนผู้นั้นไปไกลแล้ว เฉินเวยเฉินจึงกระซิบกับเยี่ยจิ่วหยาว่า “เจ้ากระบี่เยี่ย ท่านเคยรับศิษย์หรือไม่”
เยี่ยจิ่วหยาตอบ “ไม่เคย”
“บนเขาทั้งกันดารทั้งหนาวเหน็บ ไม่รับศิษย์สักคนไว้แก้เหงาหรือ”
“ฝึกกระบี่”
“เช่นนั้นมีมือกระบี่ผู้รับใช้คอยติดตามหรือไม่”
“ไม่มี”
“ถ้าเช่นนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องของท่านเล่า ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับท่านหรือ”
“ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
เฉินเวยเฉินจึงเพิ่งเข้าใจ “ที่แท้ก็มีเพียงข้าเท่านั้น”
เยี่ยจิ่วหยามองเขา แววตาสับสนอยู่บ้าง
เฉินเวยเฉินยังอยากจะพูดอะไรอีก จู่ๆ กลับขมวดคิ้วกระอักโลหิตคำหนึ่ง หน้าซีดขาว ใบหน้าหล่อเหลากรุ้มกริ่มกลับมีความบอบบางเพิ่มขึ้นอีกส่วน
เยี่ยจิ่วหยาใช้สองนิ้วแตะที่ข้างคอเขา กดลมปราณที่กำลังพลิกคว่ำไหลย้อนไว้ เฉินเวยเฉินจึงค่อยรู้สึกดีขึ้น
เยี่ยจิ่วหยาเอ่ยว่า “ชะตาฟ้าและเวรกรรมมิอาจข้องแวะอีก ไม่เช่นนั้นเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”
เฉินเวยเฉินรับคำแต่โดยดี “ได้”
“เจ็ดอารมณ์หกปรารถนามิอาจหุนหันพลันแล่น”
“ข้าทำมิได้” คุณชายเฉินท่าทางคับข้อง
“เหตุใดจึงทำมิได้” เยี่ยจิ่วหยาถาม “ลืมเสียก็ได้แล้ว”
“บอกให้ลืมก็ลืมได้เลยหรือ หรือว่าจะให้ข้าเลียนแบบราชันเทพที่อยู่เหนือสิ่งใดผู้นั้น ไร้รัก ไร้โศก ไร้ยินดี?” เฉินเวยเฉินย้อน “แต่ข้าเป็นมนุษย์ในโลกโลกีย์ที่มีครบทั้งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา หากลืมมันไปเสียทั้งหมดข้าก็มิใช่ข้าอีกต่อไป เจ้ากระบี่เยี่ย ท่านคิดว่ากายตายกับใจตายอย่างใดคือตายจริง”
เยี่ยจิ่วหยาแลดูเขา คุณชายเฉินเป็นคนชอบยิ้มชอบหัวร่อ ยิ้มที่ต่างกัน ยังมีท่าทางมากมายที่ต่างกัน มีคำพูดมากมายกับตน วาจาเหล่านั้นตนไม่รู้จะตอบอย่างไร หากคนเยี่ยงนี้มุ่งสู่วิถีฟ้าเบื้องบนลืมรัก กลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เงียบสงบมิหวั่นไหวใดๆ เช่นนั้นคุณชายธรรมดาที่พูดได้ยิ้มได้เบื้องหน้าผู้นี้จะถือว่าตายแล้วใช่หรือไม่
ใจตายเท่ากับตายหรือไม่ เยี่ยจิ่วหยาไม่รู้ เพราะในใจเขาเองเดิมก็ไร้สิ่งใดอยู่แล้ว ซึ่งก็คือไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเป็นหรือตาย
เฉินเวยเฉินกลับกล่าวว่า “หากมีวันนั้นจริงข้ากลายเป็นสภาพนั้น เจ้ากระบี่เยี่ยจะอวยพรข้าหรือจะเสียดายกับอดีตที่ข้าเคยเป็น”
เยี่ยจิ่วหยาคิดอยู่เนิ่นนาน
“ทั้งสองอย่าง” เยี่ยจิ่วหยาตอบ “หรือไม่ทั้งสองอย่าง”
เฉินเวยเฉินหัวเราะ
“เจ้ากระบี่เยี่ย เห็นได้ว่าท่านมิใช่ไร้น้ำใจแม้แต่น้อย” เขาพิงไปกับกราบเรือ “จะว่าไปยากนักที่จะได้สนทนากับท่านอย่างสบายใจสักครา”
ยามนี้ดวงตะวันลับผิวน้ำ สีเหลืองส้มแดงแผ่กระจายเกลื่อนฟ้า เรือทะเลถอนสมอช้าๆ ใบเรือขาวสะอาดชักขึ้น มุ่งสู่ภูเขาเซียนกลางทะเล
ฟากฟ้าแขวนด้วยดาวน้อยไม่กี่ดวง ลมเบาบางพัดโชยจากตะวันออก
เฉินเวยเฉินช้อนตามองดูใบหน้าด้านข้างของคนผู้นั้น แต่เพราะเมื่อครู่เพิ่งอาการกำเริบจนกระอักโลหิตจึงไม่มีเรี่ยวแรงพูดจาแทะโลมคนงาม ได้แต่แหงนหน้ามองจันทร์
เซี่ยหลางลอบเห็นผ่านหน้าต่าง พึมพำว่า “ใช้กระบี่เป็น ทั้งยังมีสายสัมพันธ์กับเจ้ากระบี่ ดูท่าจะมีความเกี่ยวพันลึกซึ้ง…แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่”
นักพรตหนุ่มไม่ทันระวังลู่หงเหยียนที่เดินมาข้างหลัง “ดูพวกเขาทำอะไร”
“ชันหลงจวิน” น้ำเสียงของเซี่ยหลางฟังดูหงุดหงิดใจอยู่บ้าง “ในรถม้าท่านบอกว่านับเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันครึ่งตัวกับเจ้ากระบี่ แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าเขามีสหายอะไรหรือไม่ ไม่สิไม่ อาจไม่ถึงขั้นสหาย สรุปแล้วคือเกี่ยวพันกัน”
พริบตานั้นน้ำเสียงของลู่หงเหยียนเปลี่ยนเป็นพิกล “ถามเรื่องนี้ไปไย อะไรคือเกี่ยวพันแบบใด”
“นู่น” เซี่ยหลางบุ้ยไปนอกหน้าต่าง “ความเกี่ยวพันแบบไม่พูดสักคำ ชมจันทร์ได้ค่อนคืน”
“ไม่มี” ลู่หงเหยียนตอบเสียงแข็ง “ถึงมีก็ตายไปแล้ว”
“ใช่ ใช่ ใช่!” เซี่ยหลางตาวาว “ต้องเป็นพวกที่ตายไปแล้วนั่นล่ะ!”
ลู่หงเหยียนมองเขาแวบหนึ่ง “เหตุใดจึงถาม”
เซี่ยหลางกล่าว “ชันหลงจวิน ท่านไม่รู้สึกว่าคุณชายเฉินลึกล้ำสุดหยั่งหรือ”
“เขา?” ลู่หงเหยียนไม่เห็นด้วย “แกล้งบ้าแกล้งโง่ ประหลาดพิลึก”
ยามวิกาล อากาศเริ่มหนาวเย็น เด็กรับใช้ลากคุณชายไปนอนด้วยท่าทีดุดัน “คุณชาย คุณชาย รีบใส่ใจตนเองหน่อยเถิด ดวงย่ำแย่ของท่านโดนลมเข้าจะล้มป่วยเอาได้”
เฉินเวยเฉินเหมือนเผชิญศึกหนัก “ปากเสีย ตั้งแต่พบกับเจ้ากระบี่เยี่ย ข้าก็ไม่โชคร้ายตั้งนานแล้ว”
เพิ่งขาดคำผิวน้ำทะเลที่ราบเรียบพลันเกิดคลื่นลูกใหญ่โถมใส่ ตัวเรือโคลงอย่างแรง
เวินหุยเกือบหกล้ม “คุณชาย ยังจะพูดอีก…”
ศิษย์ของหลันซานจวินที่ชื่อฉินหวั่นจ้าวรีบรุดมาที่ดาดฟ้าเรือ “เจ้ากระบี่เยี่ย ขออภัยจริงๆ พักนี้กุยซวีปั่นป่วน ยามค่ำคืนยิ่งแล้วใหญ่ แม้จะมีท่านอาจารย์และผู้อาวุโสทุกท่านของสำนักเจี้ยนไถช่วยสยบไว้ ทว่ายังคงกระทบถึงผิวน้ำทะเล…”
เฉินเวยเฉินค่อยสบายใจ “มิใช่เพราะข้า”
แม้จะกระจ่างแจ้ง แต่คุณชายเฉินยังคงหนีไม่พ้นผลลัพธ์การถูกลากกลับไปนอนในห้องท้องเรือ ก่อนไปยังไม่ลืมตะโกนบอกให้เยี่ยจิ่วหยาพักผ่อนแต่เนิ่นๆ
เยี่ยจิ่วหยาสีหน้าไร้ความรู้สึก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเรือเดินทะเลมาถึงภูเขาเซียน เพียงเห็นหาดหินขาวปานหิมะล้อมรอบต้นไม้เขียวขจี ไกลออกไปคลับคล้ายมีหมอกเมฆห้าสี เก๋งแท่นหอสูงล้วนคลุมด้วยม่านหมอกบางเบาที่ไหวตามสายลม
เมื่อขึ้นจากเรือสิ่งที่ต้อนรับคือศิลาเทียนชิง[1]* แกะสลัก บนนั้นเขียนว่า ‘ถิงอวิ๋น’ ลายมืออ่อนช้อยแฝงด้วยความทระนง
ผ่านบันไดหินไปก็เป็นแท่นหินกว้างสำหรับให้ศิษย์เยาว์วัยฝึกกระบี่ ศิษย์ในชุดสีฟ้าอ่อนทุกคนต่างถือกระบี่ยาวแคบสีเงิน ท่าฝึกยังไม่คล่องแคล่วแต่ก็เป็นเรื่องเป็นราว
พอเดินหน้าต่อไป ผ่านประตูฟ้าที่เป็นหินนูนสีขาว บนนั้นเขียนว่า ‘ปี้อวี้เทียน’[2]** มีตำหนักงดงามประณีตของสำนักเซียนห้อมล้อม
“เจ้ากระบี่เยี่ย จดหมายเชิญของข้าส่งไปกว่าหนึ่งปีแล้ว ท่านมาสายนะ” คนผู้นั้นหัวร่อฮ่าๆ นี่คือหลันซานจวินผู้นำสำนักกระบี่เจี้ยนไถ
[1]* ศิลาเทียนชิง คือหินเซเลสไทน์ (Celestine) เป็นหินแร่ผลึกชนิดหนึ่ง มีสีฟ้าครามปนขาว ชื่อมาจากคำภาษาละตินคือเคเลสติส (Caelestis) ซึ่งแปลว่ามาจากท้องฟ้าหรือสวรรค์
[2]** สถานที่พำนักของเหล่าเซียนบนสวรรค์ตามความเชื่อของเต๋า ได้แก่ ปี้อวี้เทียน หลิวหลีเทียน และเยียนสยาเทียน
บทที่ 19
มือกระบี่ผู้รับใช้
เยี่ยจิ่วหยากล่าว “ปีก่อนกักตน เพิ่งออกมาไม่นาน”
หลันซานจวินลู่หลันซานหมุนตัวนำทางให้เยี่ยจิ่วหยาพลางเอ่ยว่า “เลื่อมใสชื่อเสียงเจ้ากระบี่เยี่ยมานาน วันนี้ได้พบพาน ไม่ธรรมดาจริงดังคาด”
เดินทะลุหออาคารงดงามวิจิตร ป่าเซียนสระวิเศษ หน้าหอปี้อวี้เทียนมีที่โล่งใหญ่ปูหินน้ำแข็งผืนใหญ่
เยี่ยจิ่วหยาเดินไปอยู่ด้านหนึ่งแล้วก็ไม่เคลื่อนไหวอีก ลู่หลันซานไปอีกด้าน กระบี่ที่พกติดตัวคำรามสดใส บนนั้นสลักอักษรสองตัวคือ ‘เฟยกวง’
“เจ้ากระบี่เยี่ย เชิญ” เสียงของเขาดุจหินหยก
เนื่องจากคนในวิถีเซียนแต่ละคนวิถีต่างกัน การถกกันในเรื่องเลื่อนลอยพิศวงยากจะวัดความสูงต่ำ จึงมีการแบ่งเป็นสามขั้นบำเพ็ญ ศิษย์เยาว์วัยแต่ละวันต้องฝึกลมหายใจ นั่งสมาธิ แม้จะมีความต่างระหว่างระดับปลูกฐานและระดับสร้างแก่น ท้ายที่สุดก็ล้วนบำเพ็ญกายและบ่มเพาะนิสัยเท่านั้น ยังไม่นับเป็นก้าวสู่ประตูเซียน
ขั้นฟ้าระดับหนึ่งหยิบยืมพลังกร้าวแกร่งจากฟ้าดิน ขั้นฟ้าระดับสองเชื่อมโยงกับโชคชะตาและสัมผัสเร้นลับ ขั้นฟ้าระดับสามทะลุผ่านฟ้าดินเทียมตะวันจันทรา
จนกระทั่งในเวลาต่อมาวิถียุทธ์รุ่งเรือง ขั้นบำเพ็ญจึงสัมพันธ์กับพลังยุทธ์โดยตรง และเริ่มมีการวัดความสูงต่ำด้วยพลังยุทธ์ สืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น
เมื่อใดมีสองคนพบหน้ากัน หากมิใช่ห่างไกลกันมากเกินไปล้วนต้องประลองกันสักตั้ง ทั้งเป็นการพิสูจน์ขั้นบำเพ็ญซึ่งกันและกันและเป็นการแยกสูงต่ำ มีผลคล้ายกับคนในโลกที่จะร้องบอกสำนักตนเองเพื่อกำหนดลำดับอาวุโส
อย่าว่าแต่สองคนนี้คนหนึ่งอยู่ใต้คนหนึ่งอยู่เหนือ ทั้งยังเป็นบุคคลที่โดดเด่นในมรรคากระบี่ เหล่าคนในวิถีเซียนต่างก็คาดเดาว่าสองคนนี้ผู้ใดเหนือกว่ามานานแล้ว อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ากระบี่เหนือกระบี่ใต้ ผู้ใดเข้าใกล้มรรคาสวรรค์มากกว่ากัน หลังการศึกครานี้คงจะได้ข้อสรุป
เซี่ยหลางลากเวินหุยถอยไปหลายก้าว เฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับลู่หงเหยียน
ในศาลาข้างๆ ศิษย์ในชุดสีฟ้าอ่อนพากันหันมาดู ด้านข้างยังมีมาอีกหลายคน
สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เท่ากับเป็นการประลองขั้นบำเพ็ญ ชีวิตนี้คงเห็นได้คราเดียว
กระบี่เฟยกวงออกจากฝัก แวววาวดุจน้ำใสใต้แสงตะวัน เก็บงำคมประกายเอาไว้
ข้างกายลู่หลันซานเป็นศิษย์สตรีที่ชื่อฉินหวั่นฉิง ประคองฝักกระบี่ยืนรับใช้อยู่
เฉินเวยเฉินเห็นแล้วหัวร่อ ถามเยี่ยจิ่วหยาว่า “ให้ข้าทำ?” จากนั้นเขาก็สมดังปรารถนา รับฝักกระบี่สีดำสนิทของเยี่ยจิ่วหยา เลียนแบบท่าทางของฉินหวั่นฉิงจนคล้ายคลึง
กระบี่จิ่วหยาหลอมสร้างด้วยเหล็กนิล ชุบด้วยธารหนาวสุดขั้วเหนือ สีสันมิได้เป็นเงินวาวเหมือนศาสตราทั่วไป หากแต่เป็นสีดำสนิท ราวกับว่าแม้กระทั่งแสงตะวันก็ยังมิอาจสัมผัสได้
นั่นมิใช่กระบี่ผดุงธรรมเฮ่าหรัน มิใช่กระบี่หนักไคซาน ซ้ำยังมิใช่กระบี่ฆ่าคน
หากแต่เป็นกระบี่ไร้รัก
ในเมื่อหลุดจากฝักก็ต้องออกกระบี่ บรรยากาศบนแท่นศิลาไหวทะลัก ต่างหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ความพิสดารไม่อาจเห็นได้ทั้งหมดจากเปลือกนอก
รอจนถึงชั่วขณะที่ตึงเครียดที่สุด ความว่างเปล่ากลางอากาศราวกับเส้นสายที่ถูกดีดอย่างแรงจนเกิดเสียง
พริบตานั้นการประจันหน้าเปลี่ยนจากเงียบนิ่งสุดขีดเป็นเคลื่อนไหวเร็วที่สุด
วายุเมฆากระหน่ำ ลู่หลันซานกระโจนถึงกลางอากาศ รอบกายล้อมพันด้วยเงากระบี่นับหมื่นพัน
เงากระบี่แปรเปลี่ยน หากดูด้วยจิตสงบจะรู้สึกเหมือนตกอยู่ในแดนมายา เปลี่ยนแปลงเป็นทัศนียภาพนับไม่ถ้วน เพียงชั่วขณะหนึ่งฟ้าแลบฟ้าร้อง อีกชั่วขณะมีบุปผาเบ่งบานบุปผาโรยรา
นี่เป็นการนำความตื่นรู้ฟ้าดินเข้าสู่กระบี่ทำให้คมกระบี่บรรจุทั้งจักรวาลเอาไว้ ราวกับโลกทั้งสามพัน[1]* หมุนเวียนอย่างงดงาม สมดังที่ผู้คนยกย่องว่า ‘มีเจตสิกแห่งฌาน’
แต่ชุดขาวนั้นไม่ขยับ
การถกกระบี่เหนือใต้ครั้งก่อนๆ นอกจากผู้มีพลังฝีมือสูงล้ำแล้ว ยังมีศิษย์สำนักเซียนฝีมือธรรมดาไม่น้อยที่ได้แต่ชมดูความครึกครื้น
กล่าวถึงมรรคากระบี่ สำหรับพวกเขาแล้วกระบวนการแยกแยะจิตกระบี่นั้นยากเกินไปและไม่มีทางเข้าใจ ที่น่าชมดูที่สุดเห็นจะเป็นการประลองระหว่างกระบี่เหนือกับกระบี่ใต้
เจี้ยนเก๋อแดนเหนือใช้หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นกระบี่ ส่วนเจี้ยนไถทะเลทักษิณใช้หมื่นกระบี่จัดการกับหนึ่งกระบี่ ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องแพ้ชนะ เพียงดูกระบวนท่าการใช้กระบี่ที่พิสดารสุดแสนก็ทำให้ผู้คนตาลายดูไม่ทันอย่างแท้จริง เพียงทอดถอนใจว่า ‘ยอดเยี่ยม’ แล้วถึงกับไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
สภาพขณะนี้ก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ขั้นบำเพ็ญของทั้งสองล้วนสูงส่งเหนือผู้คนถึงสิบส่วน ดังนั้นความงดงามยอดเยี่ยมย่อมวิจิตรไม่ธรรมดา ยากจะอธิบายได้
ท่ามกลางเงากระบี่พร่างพรายเกลื่อนฟ้า ในที่สุดเยี่ยจิ่วหยาก็ออกกระบี่
บรรยากาศฟ้าดินถูกดึงรั้งจนเคลื่อนไหวหมด
ในสายตาของคนธรรมดา นั่นเป็นท่วงท่าการฟันกระบี่ทางขวางธรรมดาๆ เท่านั้น ทว่าความพิสดารล้ำลึกนั้นถึงขั้นที่ไม่อาจพรรณนาออกมาได้ หากมิใช่บุคคลที่อยู่ในขั้นบำเพ็ญนั้นก็ไม่มีทางดูความพิสดารนี้ออก นี่เป็นกระบี่แห่งสัจธรรมแท้จริง
หนึ่งกระบี่นั้นก่อกำเนิดจากกระบวนท่ากระบี่นับหมื่น จำต้องทะลวงเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญของกระแสพลังท่ามกลางเงากระบี่เกลื่อนฟ้า
แต่หมื่นกระบี่นั้นหมุนเวียนเกิดขึ้นไม่รู้จบ ภาพมายานับหมื่นพันล้วนเกิดจาก ‘เฟยกวง’ กระบี่แรก
“หนึ่งกระบี่? หมื่นกระบี่? ข้าถึงกับเห็นไม่ชัด” เฉินเวยเฉินได้ยินเซี่ยหลางที่อยู่ข้างหลังกล่าว “กระบี่ใต้กระบี่เหนือต่างกันสิ้นเชิง แต่กลับเหมือนเชื่อมโยงกันอย่างพิสดาร เมื่อวิถีถึงยอดสุดกลับพบว่าวิถีที่แตกต่างล้วนบรรลุจุดเดียวกันได้…ผู้ถือพรตเหมือนตื่นรู้แล้ว”
เมื่อแลดูการต่อสู้บนแท่นศิลาอีกที หลังออกหนึ่งกระบี่บรรยากาศก็เริ่มเชื่องช้าลง
คมกระบี่จิ่วหยาวาดเป็นรอยจันทร์เสี้ยว ท่วงท่าราวเมฆาคล้อยเคลื่อนวารีไหลหลาก เปลี่ยนจากตั้งรับเป็นรุก แทงเฉียงเข้าใส่เงากระบี่พร่างพราย
ราวกับสายฟ้าแหวกทะลุม่านฝน ลมน้ำแข็งที่ดุดันพัดใส่พุ่มบุปผา
เงากระบี่พลันถูกรวบเก็บ เหลือเพียงกระบี่เฟยกวงในมือของลู่หลันซาน ได้ยินเสียงเคร้งสดใสคราหนึ่ง กระบี่จิ่วหยาปะทะใส่กระบี่เฟยกวง
ทั้งสองอาศัยพลานุภาพที่ศาสตราปะทะกัน พลิกตัวหลบแล้วกลับสู่ท่าประจันหน้ากันอีกครา ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็เริ่มต่อสู้ใหม่ พลานุภาพทั้งเนื้อทั้งตัวของลู่หลันซานพลันเปลี่ยนไป พลังบริสุทธิ์ทะลักใส่กระบี่ สงบเรียบง่ายและโอ่อ่าดุจมหรรณพ
ชั่วขณะนั้นเยี่ยจิ่วหยาแผ่พลังกระบี่ไร้รักออกมาเช่นกัน ในจิตกระบี่แฝงด้วยความเวิ้งว้างของฟ้าดินที่ไร้ยินดีไร้โศก ความว่างเปล่าเงียบสงัดและหนาวสะเทือนใจสะท้านวิญญาณ
มรรคากระบี่ถึงระดับนี้ อย่าว่าแต่ปุถุชนเลย ต่อให้เป็นชาวเซียนก็มิอาจคลี่คลาย
เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนกับชุดขาวปานหิมะปะกันอีกครา กระบี่จิ่วหยากับกระบี่เฟยกวงเฉียดผ่านกันอีกครั้ง ทั้งสองต่างร่วงลงพื้น
ไม่รู้ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ
ลู่หลันซานยังสุภาพอ่อนโยนดุจหยกเหมือนเมื่อครู่ “เจ้ากระบี่เยี่ยสมคำเล่าลือ”
เยี่ยจิ่วหยาตอบเนือยๆ “หลันซานจวิน ขอบคุณ”
“ควรเป็นข้าที่ขอบคุณเจ้ากระบี่เยี่ย” ลู่หลันซานนำทางต่อ
เฉินเวยเฉินยื่นฝักกระบี่คืนให้
เยี่ยจิ่วหยาจึงเห็นดวงตาคนผู้นี้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
เป็นสิ่งที่นุ่มนวลอบอุ่นและเต็มไปด้วยสมาธิที่สุด มันสะท้อนเพียงเงาของตนเอง
ฝักกระบี่ยื่นถึงมือของเยี่ยจิ่วหยา เฉินเวยเฉินจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างได้ใจว่า “กระบี่ของหลันซานจวินสู้ท่านไม่ได้จริงด้วย”
เยี่ยจิ่วหยาเก็บกระบี่คืนฝัก “เห็นได้อย่างไร”
นักพรตเซี่ยหลางกำลังดื่มด่ำกับความตื่นรู้เมื่อครู่จึงมิได้สนใจภายนอก ดังนั้นจึงมีเพียงลู่หงเหยียนที่ได้ยินคำสนทนานี้ ประหลาด เหตุใดจึงฟังดูเหมือนเป็นเรื่องราว
หลังผ่านสะพานสายหนึ่ง เข้าสู่หอสูงของปี้อวี้เทียน ทั้งกลุ่มก็นั่งลงในโถงใหญ่
ในวิถีเซียนไม่มีการอ้อมค้อม ลู่หลันซานพอทักทายเสร็จก็เข้าสู่ประเด็นหลัก
“เรียนเชิญเจ้ากระบี่เยี่ยมาครานี้ ประการหนึ่งด้วยเลื่อมใสในตัวท่าน ประการต่อมาเพื่อหารือการถกกระบี่เหนือใต้ครานั้น” เขากล่าว “บัดนี้วิถีเซียนอับเฉา ค่ายสำนักต่างๆ ปิดสำนักเพื่อบำเพ็ญเพียรแต่ไร้ความคืบหน้า เรื่องธาตุไฟเข้าแทรกกลับเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลายปีนี้สั่งสมจนเป็นสถานการณ์น่าวิตก มีเพียงกระบี่ฝ่ายเหนือใต้ของท่านกับข้าจึงจะสามารถเริ่มต้นศักราชใหม่ ทำให้มีการแยกแยะวิถีพิสูจน์จิตอีกครั้ง อันจะก่อเกิดคุณประโยชน์แก่ศิษย์รุ่นเยาว์ ฟื้นฟูพลังชีวิตของวิถีเซียน”
“ข้าเองก็มีเรื่องจะขอร้อง” เยี่ยจิ่วหยากล่าวช้าๆ
“เรื่องอันใด” ลู่หลันซานค่อนข้างเหนือความคาดหมาย
“ข้าอยากเข้ากุยซวี”
ผ่านไปเกือบครึ่งวันเรื่องราวสำคัญหารือกันเสร็จ ถึงค่อยมีคนพาพวกเขาไปยังที่พัก
พวกเขาได้พักในหลิวหลีเทียนซึ่งอยู่ไกลออกไปตรงข้ามกับปี้อวี้เทียน ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของเหล่าศิษย์
สำนักเจี้ยนไถภูเขาศักดิ์สิทธิ์สายน้ำงดงาม มีศิษย์สตรีไม่น้อย เฉินเวยเฉินรูปโฉมดี นิสัยก็ดี เพียงครู่เดียวก็คุ้นเคยกับเหล่าสตรีและเป็นที่ต้อนรับของที่แห่งนี้
ศิษย์พี่หญิงที่อาวุโสกว่ามีกลิ่นอายเซียนลอยละล่อง สีหน้าสงบเรียบง่ายล้วนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นที่มาหาล้วนเป็นพวกแม่นางน้อยวัยสิบห้าสิบหก
น่าเสียดายที่พวกนางมิใช่เจาะจงที่เขา หากแต่มาหาคนคนหนึ่งผู้ไร้รัก
“ศิษย์พี่เฉิน ปกติเจ้ากระบี่เยี่ยทำอะไรบ้าง”
เฉินเวยเฉินตอบตามความทรงจำ “ฝึกกระบี่บนยอดเขา”
“ยังมีอีกหรือไม่”
“เหมือนจะไม่มีแล้ว”
“เจ้ากระบี่เยี่ยเคยมีคนในดวงใจหรือไม่”
“เรื่องนี้…” เฉินเวยเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง “พวกเจ้าก็รู้ว่าที่เขาบำเพ็ญคือมรรคาไร้รัก คงไม่มีกระมัง”
“ข้าได้ยินมาว่าหลังเจ้ากระบี่เยี่ยเข้าสู่สำนักเจี้ยนเก๋อตั้งแต่เยาว์วัย บรรดาศิษย์พี่ชายหญิงของเขาวันๆ ไม่ยอมฝึกวิทยายุทธ์ เอาแต่แอบดูศิษย์น้อง ทำเอาประมุขหอโกรธใหญ่ เป็นความจริงหรือไม่”
เฉินเวยเฉินหัวร่อ “ข้ากลับไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้”
“ศิษย์พี่เฉิน ท่านไปถามดูสิ” บรรดาแม่นางน้อยส่งเสียงจอแจ
“ศิษย์เจี้ยนเก๋อส่วนมากปิดปากเงียบ นี่น่าจะมีคนอื่นปล่อยข่าวเอง ไม่ควรเชื่อ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากระบี่เยี่ยชอบกินอะไร ดื่มอะไร”
เฉินเวยเฉินแลดูเหล่าแม่นางน้อยที่สีหน้าเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตนเองก็อยากรู้เหมือนกัน “ไยพวกเจ้าจึงอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขาถึงเพียงนี้”
แม่นางน้อยคนหนึ่งกล่าว “พวกเราไม่เคยเห็นมรรคาไร้รัก ดูแล้วแปลกประหลาด”
คุณชายเฉินยิ้มจนตาโค้งเหมือนเดือนเสี้ยว “ผู้ฝึกกระบี่ต้องตั้งใจจดจ่อ พวกเจ้าเป็นเช่นนี้ระวังหลันซานจวินจะมาเอาเรื่อง”
บรรดาศิษย์สตรีราวกับถูกเตือนจนได้สติ ต่างพากันกระมิดกระเมี้ยน ซ้ำยังเขย่งเท้ามองดูหอปี้อวี้เทียนที่ลู่หลันซานอาศัยอยู่ กล่าวอย่างขวยเขินว่า “พวกเราลอบออกมา ศิษย์พี่เฉินท่านอย่าไปบอกหลันซานจวินเชียวนะ และอย่าไปบอกเจ้ากระบี่เยี่ยด้วย”
“เขาควบคุมอบรมพวกเจ้าเข้มงวดมากหรือ”
แม่นางน้อยย่นคิ้ว “พวกเราไม่กลัวหลันซานจวิน แต่กลัวถูกทำโทษให้ไปนั่งสมาธิที่หน้าคันฉ่องลี่ซิน”
“อ้อ?”
“เพ่งพิเคราะห์จิตมารยากมาก” แม่นางน้อยท่าทางหดหู่ใจ
“เพ่งพิเคราะห์อย่างไร”
แม่นางน้อยจึงเล่าให้ฟัง
พอเข้าประตูมาเวินหุยก็เห็นคุณชายของตนถือพัดอย่างสง่า กำลังพูดคุยกับเหล่าสตรีที่สวมชุดสีฟ้าอ่อนแขนเสื้อแพรบาง
ศิษย์สตรีเยาว์วัยเหล่านี้กลัวหลันซานจวินจะสังเกตพบ หลังเล่นสนุกพักใหญ่ก็แยกย้ายกันไปเหมือนหมอกเมฆาที่สลายตัวยามเช้า
เฉินเวยเฉินกลับเก็บรอยยิ้มบางๆ ที่หางตา เดินถึงริมหน้าต่าง เขาถูกจัดให้พักในหอแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของเกาะ มองลงไปเห็นแต่ป่าต้นฉยง[2]* กว้างใหญ่สีขาวอมชมพู ตรงกลางเป็นสระบัว บนพื้นหญ้าเขียวไกลออกไปมีธารน้ำไหล ในลำธารมีหินรูปไข่ บนหินมีกระเรียนขาวยืนอยู่
กลิ่นบุปผาเบาบางปานขนนกล่องลอยร่วงหล่นในป่า แว่วเสียงพิณสดใส เสียงพิณดังอยู่ทั้งวัน
เป็นศิษย์น้องสตรีที่ดีดพิณ ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย ท่าทางสงบยิ่ง
ใต้ต้นไม้ริมลำธารมีโต๊ะหินตัวหนึ่งตั้งอยู่ มีสองคนกำลังเดินหมากรุกไปมาอย่างสบายอกสบายใจ มีแต่เสียงเม็ดหมากกระทบกระดานโดยปราศจากวาจา
เป็นความเงียบ เงียบเหมือนกลิ่นอายบนใบหน้าของลู่หลันซาน เงียบเกินไปกลับเหมือนน้ำตายบ่อหนึ่ง
เฉินเวยเฉินเลิกคิ้ว
“เห็นพวกแม่นางเมื่อครู่หรือไม่” เขาถาม
“เห็นแล้ว” เวินหุยตอบแต่โดยดี
“อีกไม่กี่ปีอาจกลายเป็นเช่นนี้กันหมด” เฉินเวยเฉินแลดูสตรีที่กำลังดีดพิณ เคาะด้ามพัดกับขอบหน้าต่างหลายคราเหมือนคิดอะไรได้ “วิถีเซียนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็หลงใหล สุดท้ายแล้วล้วนบำเพ็ญจนเป็นเยี่ยงนี้”
[1]* มีที่มาจากแก่นของศาสนาพุทธนิกายเทียนไถอย่าง ‘หนึ่งขณะจิตครอบคลุมสามพันโลกธาตุ’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจิตและจักรวาลรวมกันเป็นหนึ่ง ไม่อาจแยกจากกันได้ ดังนั้น ‘โลกทั้งสามพัน’ จึงหมายถึงจักรวาลและสรรพสิ่ง
[2]* ต้นฉยง เป็นชื่อเรียกของต้นไม้เซียน มักใช้พรรณนาถึงลักษณะของต้นไม้ที่ปกคลุมด้วยหิมะ หรืออุปมาถึงคนที่มีบุคลิกสูงส่ง
บทที่ 20
สรุปกระดาน
จันทราสูงเด่น น้ำทะเลหลาก ราตรีบนเกาะอบอุ่นเงียบสงบ
ในหลิวหลีเทียนได้กลิ่นหอมจางๆ ของป่าต้นฉยง หิ่งห้อยบินกระจายเป็นจุดๆ
“เจ้ากระบี่เยี่ย ราตรีงดงามเยี่ยงนี้ นั่งคนเดียวตามลำพังไม่ดีหรอก” คุณชายในชุดหรูหราคลี่พัด เดินช้าๆ ปรากฏตัวด้านหลังเยี่ยจิ่วหยา “มิสู้ให้ข้าสรุปกระบวนท่าเป็นเพื่อนดีกว่า”
การเดินหมากมีการสรุปกระดาน วิชายุทธ์ก็มีการสรุปกระบวนท่าเช่นกัน
หากให้ผู้ชมการต่อสู้เป็นผู้สรุป ไม่เพียงต้องจดจำกระบวนท่าของทั้งสองฝ่ายได้อย่างแม่นยำไม่ผิดเพี้ยนแล้ว ยังต้องมีความตื่นรู้พอสมควรทีเดียว
“แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน เพียงใช้กระบวนท่ากระบี่ ห้ามใช้เจตจำนงกระบี่หรือพลังปราณ…การบำเพ็ญของข้าตื้นเขินยิ่ง มิอาจทานทนได้” เฉินเวยเฉินกล่าวพลางยิ้มจนตาหยี
เยี่ยจิ่วหยาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ได้”
พวกเขาเดินออกจากป่าต้นฉยงถึงพื้นหญ้าหน้าป่า กลีบบุปผาเบาบางที่เมื่อครู่หล่นใส่บนไหล่ล่องลอยหายไปตามฝีก้าว
เฉินเวยเฉินรวบพัด บุกใส่เยี่ยจิ่วหยา
เยี่ยจิ่วหยาใช้ฝักกระบี่ปัดป้อง
ฝักกระบี่ปะทะกับด้ามพัด เฉินเวยเฉินเคลื่อนไถลไปด้านข้างจากนั้นก็คลี่พัดออก หมายตาที่ลำคอของเยี่ยจิ่วหยา เมื่อฝักกระบี่ชี้ขึ้นบนเตรียมฟาดใส่ข้อมือเพื่อตีให้พัดภาพวาดร่วงหล่น เฉินเวยเฉินพลันชักพัดลงและใช้แรงส่งตัวกระโจนขึ้น ร่างพลิ้วไหวเหมือนบุปผากลีบหนึ่งที่กำลังล่องลอยร่วงหล่นในป่า พริบตานั้นก็คลี่พัดอีก พลิกมือฟันออกไป ปลายพัดกรีดเป็นเงาขาวสายหนึ่ง
เฉินเวยเฉินไม่มีทั้งเจตจำนงกระบี่และปราณกระบี่ แต่กระบวนท่าแปรเปลี่ยนดั่งเมฆเคลื่อนน้ำไหล แม้จะไม่ถึงขั้นเปิดปิดโลกทั้งสามพัน แต่ก็มีเงาของหนึ่งกระบี่แปรเป็นหมื่นของลู่หลันซานจริง จนกระทั่งในเวลาต่อมาคล่องแคล่วกว่าเดิม พัดภาพวาดยามหุบยามคลี่ กระบวนท่าเปลี่ยนแปลงไม่หยุดและสุดจะคาดเดา
ประลองกันทีละกระบวนท่าเช่นนี้ ยืดเวลาต่อสู้ที่เดิมใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา[1]*
สรุปกระบวนท่าจบ เฉินเวยเฉินก็คลี่พัดไหวโยว ยิ้มมองดูเยี่ยจิ่วหยาคล้ายในสายตาเพียงมองเห็นแต่คนผู้นี้
เยี่ยจิ่วหยากลับเหมือนไม่เห็น หมุนกายมุ่งไปทางตะวันตก “ตามข้ามา”
เฉินเวยเฉินมองดูทิศทางที่จะไปอย่างตื่นตัว “ไม่ไป”
เยี่ยจิ่วหยาเหลือบมองปราดหนึ่ง
เฉินเวยเฉินถอยหลายก้าว สีหน้าท่าทางเหมือนไร้ความผิดใดๆ
ที่น่าเสียดายคือแม้เมื่อครู่คุณชายเฉินจะสรุปกระบวนท่าได้อย่างคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อประจันกับเยี่ยจิ่วหยาเข้าจริงก็ไร้เรี่ยวแรงใดๆ จะต่อกรด้วย
เยี่ยจิ่วหยาควบคุมพลังปราณมุ่งไปทางทิศตะวันตก พร้อมลากเฉินเวยเฉินไปด้วยอย่างแรง
คุณชายเฉินขัดขืนไม่เป็นผล คอตกเหมือนไก่ป่วยตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกแยกร่างเป็นแปดชิ้น
ทิศตะวันตกเป็นเยียนสยาเทียน มีคันฉ่องศิลาขนาดมหึมาอันหนึ่งตั้งอยู่
คันฉ่องลี่ซิน
ด้านข้างมีป้ายศิลาสลักชิ้นหนึ่งบันทึกความเป็นมาและการใช้สอยของคันฉ่องลี่ซินเอาไว้
กล่าวกันว่าคันฉ่องนี้เป็นหินวิเศษในทะเล บรรพชนของสำนักเจี้ยนไถผู้เฝ้าสยบกุยซวีพบเข้าจึงขนย้ายมาบนเกาะเพื่อเป็นของวิเศษประจำสำนัก
เดิมคันฉ่องนี้มีชื่อว่ากวนซื่อ (พินิจโลก) เมื่อยืนหน้าคันฉ่องก็จะส่องทะลุจิตวิญญาณ เห็นจิตมาร และความยึดติด หากเป็นภูตผีปีศาจก็จะเผยร่างเดิม ไม่ว่าจะบำเพ็ญถึงขั้นใดล้วนไม่อาจปิดบังแม้แต่น้อยนิด
ถูกหิ้วคอมาหน้าคันฉ่องนี้ เฉินเวยเฉินใจเต้นตึกตักจึงหลับตาไม่มองเสียเลย
เยี่ยจิ่วหยาที่อยู่ข้างๆ เงียบงันเนิ่นนาน
เฉินเวยเฉินไม่กล้าลืมตา
บัดนี้เฉินเวยเฉินสำนึกเสียใจอย่างยิ่งที่ตนขอสรุปกระบวนท่าเพียงเพื่อจะได้ใกล้ชิดเยี่ยจิ่วหยา
เขาใช้พัดจีบโต้ตอบกระบวนท่ากระบี่ อาจเพราะทำซ้ำได้ดีเกินไปจึงทำให้ท่านผู้นี้แคลงใจและคุมตัวเขามาส่องคันฉ่องส่องมารดู
ในที่สุดก็ได้ยินเยี่ยจิ่วหยาสั่ง “ลืมตา”
เขามองเข้าไปในคันฉ่องอย่างละเอียด
เยี่ยจิ่วหยายังเป็นเยี่ยจิ่วหยา เพียงแต่รอบตัวเหมือนปราณกระบี่เย็นเยือกล่องลอย คล้ายมีคล้ายไม่มี
เบื้องหน้าร่างของเฉินเวยเฉินว่างเปล่าไร้สิ่งใดๆ มีเพียงแสงจันทร์ นกทะเล และคลื่นที่ซัดขึ้นลง
คุณชายเฉินดีใจเหนือความคาดหมาย “เจ้ากระบี่เยี่ย ครานี้ท่านเชื่อแล้วกระมัง ข้ามีความเป็นมาที่สะอาดบริสุทธิ์ มิใช่ผีมิใช่ปีศาจมิใช่มาร เพียงเป็นมนุษย์ธรรมดา”
“ผู้บำเพ็ญเซียนยังมีจิตมารและความยึดติดให้ส่อง แต่เจ้าไม่มี” เยี่ยจิ่วหยาแลดูเขา “มนุษย์ธรรมดาอย่างนั้นหรือ”
“ผู้ใดจะไปรู้กันเล่า ไหนๆ ในคันฉ่องก็ไม่มีภูตผีปีศาจ อาจเพราะตั้งแต่เล็กข้าก็รู้ว่าอายุขัยของตนนั้นจำกัด ทางที่ดีพึงสนุกสำราญให้ทันเวลาไร้ผูกพัน จึงไม่มีทั้งจิตมารและความยึดติดกระมัง” เฉินเวยเฉินขยิบตาใส่ “หรือไม่ก็เพราะเจ้ากระบี่เยี่ยอยู่ในนั้นด้วย คนในคันฉ่องคือคนในดวงใจจึงยิ่งไม่มีสิ่งใดให้ห่วงกังวลอีก”
ที่ผ่านมาแม้เฉินเวยเฉินจะไม่ปิดบังใดๆ แต่นี่ก็นับเป็นการสารภาพอย่างหมดเปลือกครั้งแรก
เยี่ยจิ่วหยาย่นคิ้ว “คนในดวงใจ?”
“ย่อมเป็นคนในดวงใจ” เฉินเวยเฉินยิ้มจนตาหยี “ไม่เช่นนั้นจะให้ยกท่านเป็นอาจารย์หรือไร”
เยี่ยจิ่วหยามองดูตนเองในคันฉ่อง ถามว่า “จำได้มากน้อยเพียงใด”
เฉินเวยเฉินรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังถามเรื่องชาติก่อนของตน
“พอจะรู้คร่าวๆ” เวลานี้เขาไม่ลืมที่จะย้ำเป็นพิเศษว่า “เพียงแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้ากระบี่เยี่ยชัดเจนเป็นพิเศษ”
“ข้ากับเขาไม่มีความเกี่ยวข้องหรือผูกพันกันประเภทนี้” เยี่ยจิ่วหยากล่าวเนิบๆ
“ข้ารู้” เฉินเวยเฉินยิ้ม “เขาย่อมไม่เลวเป็นธรรมดา แต่ข้ากลับมิใช่เขา เยี่ยจิ่วหยา ความจริงตั้งแต่จำความได้ ข้าก็จำท่านได้ จนบัดนี้สิบเก้าปีแล้ว บัดนี้บังเอิญได้พบจึงเห็นได้ว่านี่เป็นลิขิตฟ้า”
“หลังเขาหลุดพ้นด้วยศาสตราร่างและวิญญาณถูกทำลาย วิญญาณและจิตแตกดับ เจ้าบังเอิญมีรากปัญญาคล้ายคลึงกับเขาและถือกำเนิด ณ เวลานั้น อาจเป็นไปได้ที่จะมีเศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลือของเขาเข้าสิงเจ้า ดังนั้นจึงจำเรื่องเก่าก่อนของวิถีเซียนได้” เยี่ยจิ่วหยากล่าว “ข้ากับชันหลงจวินจะเปิดแท่นสร้างชีวิตอีกครั้งเพื่อรวบรวมวิญญาณของเขา ถึงยามนั้นเมื่อเศษเสี้ยวที่หลงเหลือบนตัวเจ้าจากไปก็จะสามารถพ้นทุกข์ทั้งปวง”
“ทุกข์หรือ ข้าไม่รู้จัก กลับเป็นตัวท่านเอง…” เฉินเวยเฉินมองดูปราณกระบี่หนาวเย็นรอบตัวเยี่ยจิ่วหยา “เฉินซูโหวบอกว่าไร้รักก็เป็นความยึดติดประเภทหนึ่ง ท่านเห็นอย่างไร”
เนิ่นนานเยี่ยจิ่วหยาจึงเอ่ยตอบ “นี่เป็นวิถีแห่งข้า ไม่รู้สึกอย่างไร”
“แต่ตราบใดที่บำเพ็ญวิถีไม่บรรลุขั้นฟ้าระดับสาม หมายความว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำความกระจ่างใช่หรือไม่”
“วันที่บำเพ็ญสำเร็จย่อมรู้คำตอบเอง”
เฉินเวยเฉินถอนใจ “สุดแล้วแต่ท่าน ถึงเวลาที่เขาฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง ท่านสมปรารถนาแต่ข้าสิ้นชีพ ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเจ้ากระบี่เยี่ยจะยังนึกถึงข้าในวันนี้ได้หรือไม่”
เยี่ยจิ่วหยาแลดูเฉินเวยเฉิน รู้สึกว่าคนผู้นี้แม้จะคล้ายยอมรับความเป็นมาของตนเอง แต่กลับคั่นด้วยหมอกชั้นหนึ่ง ไม่รู้ที่แท้เป็นความจริงหรือไม่
สุดท้ายเยี่ยจิ่วหยาจึงได้แต่กล่าวว่า “ขจัดสิ่งแปลกปลอม มีหรือจะทำร้ายชีวิตเจ้า”
เฉินเวยเฉินเอ่ยถาม “ดวงชะตาของข้าเขียนไว้อย่างชัดเจน อีกหนึ่งปีให้หลังจะจากโลกนี้ไป นี่จะอธิบายอย่างไร”
เยี่ยจิ่วหยาบอกว่า “ข้าไม่เชื่อพวกเรื่องการทำนายทายทัก”
“แล้วหากว่าการจะให้เขาเกิดใหม่ จำเป็นต้องสังหารข้าเล่า”
เยี่ยจิ่วหยาขมวดคิ้วมอง “การเกิดใหม่ของราชันเทพเป็นความพยายามให้ถึงที่สุดเพียงเท่านั้น มิใช่การใช้ชีวิตแลกชีวิต สละผู้ไร้ความผิด”
“นี่ก็ใช่แล้ว เจ้ากระบี่เยี่ยไม่สังหารข้าแล้วหรือ”
“ไม่”
เฉินเวยเฉินพลันหัวร่ออย่างดีอกดีใจ “แล้วหากข้าบาดเจ็บเพราะการนี้เล่า”
“ไม่หรอก ข้าจะให้เจ้าสมปรารถนา”
เฉินเวยเฉินพลันยิ้มพลางชะโงกเข้าหา “เช่นนี้เราตกลงกันแล้วใช่หรือไม่”
จู่ๆ ก็ประจันกับดวงตายิ้มแย้มคู่หนึ่ง เดิมเยี่ยจิ่วหยาคิดจะหลบสายตา แต่ดวงตาคู่นั้นขยิบให้ รอคำตอบจากตนอย่างโจ่งแจ้ง
เยี่ยจิ่วหยารู้สึกแปลกประหลาด
เยี่ยจิ่วหยาเอ่ยถาม “เจ้าหวั่นใจหรือ”
เฉินเวยเฉิน “…”
[1]* หนึ่งถ้วยชา เริ่มนับตั้งแต่น้ำชาถูกยกเข้ามาและค่อยๆ จิบจนหมด เทียบได้กับเวลาประมาณ 10-15 นาที
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.