ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 2
ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 25 ไป๋หนี
จวนใหม่สกุลเฮ่อหลันใหญ่โต เฉินซวง หร่วนปู้ฉี และจิ้นเยวี่ยได้ห้องส่วนตัว ก่อนจะเข้านอนเฮ่อหลันเฟิงเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องของจิ้นเยวี่ย ถามเขาว่าอยากจะไปนอนด้วยกันหรือไม่ ถามมากไปจนเสียงดังปลุกจั๋วจั๋วตื่นขึ้น นางจึงหยิบหมอนกับผ้าห่มมาออดอ้อน ขอให้พี่รองนอนด้วย เฮ่อหลันเฟิงจำต้องอุ้มนางจากไป
เวลานี้เฉินซวงยังไม่กลับมา จึงมีเพียงหร่วนปู้ฉี นางเอ่ยปากถามจิ้นเยวี่ย
“จะให้ข้านอนด้วยหรือไม่”
จิ้นเยวี่ยรีบโบกมือ
หร่วนปู้ฉียิ้ม “ดี เช่นนั้นข้าจะออกไปตระเวนข้างนอกเสียหน่อย” ว่าแล้วนางก็พลิกร่างกระโดดขึ้นหลังคา ฝีเท้าเงียบกริบแทบไม่ได้ยิน พริบตาก็หายลับไร้ร่องรอย
จิ้นเยวี่ยพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ จึงไปเล่นเป็นเพื่อนจั๋วจั๋วที่ห้องเฮ่อหลันเฟิง หร่วนปู้ฉีสอนจั๋วจั๋วปั้นตุ๊กตาดินเหนียว สอนให้เอาตุ๊กตาที่ปั้นมาเล่นงิ้ว ทั้งเรื่องฉางเอ๋อร์หนีกลับดวงจันทร์ เจิงจื่อฆ่าหมู* และเรื่องต่างๆ อีกสารพัด ก้อนดินบิดเบี้ยวในมือจั๋วจั๋ว เดี๋ยวเป็นกระต่ายที่วังจันทรา เดี๋ยวก็เป็นลูกหมูของบ้านเจิงจื่อ
จั๋วจั๋วยิ่งเล่นยิ่งสนุก เฮ่อหลันเฟิงกับจิ้นเยวี่ยกลับเริ่มง่วง ทั้งสองกำลังหาวหวอด ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก็มุดเข้ามาทางหน้าต่าง
“เหตุใดทุกครั้งที่ท่านเข้าห้องข้าไม่เข้าทางประตู” เฮ่อหลันเฟิงไม่พอใจ
เยวี่ยเหลียนโหลวทำเสียง “ชู่ว์” ห้ามไว้ ตอนที่จั๋วจั๋วยังไม่ทันหันมา ก็กดลำคอนางครั้งหนึ่ง จั๋วจั๋วจึงผล็อยหลับไป เฮ่อหลันเฟิงสีหน้าเปลี่ยนทันที ชายหนุ่มรีบโบกมือ
“ให้นางหลับสักพัก ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
เรื่องที่ได้พบไป๋หนีในที่พักของแม่ทัพสี่ทำให้เยวี่ยเหลียนโหลวแปลกใจมากจริงๆ
รอจนเขาบอกความเป็นมาของตนเอง ไป๋หนีก็เชื่อใจทันที พอได้รู้ว่าจิ้นเยวี่ยอยู่ที่เป่ยตูนางค่อยสบายใจ หญิงสาวทั้งดีใจทั้งเศร้า พยายามกลั้นน้ำตา เล่าเรื่องการหายตัวไปของตนเองให้เยวี่ยเหลียนโหลวฟังอย่างละเอียด
คืนนั้นเฮ่อหลันจินอิงเรียกไป๋หนีไปที่กระโจมบัญชาการ ปรึกษาเรื่องเดินทางขึ้นเหนือของจิ้นเยวี่ย ตามคำสั่งของเป่ยหรงเทียนจวินเขาเพียงรับผิดชอบพาไป๋หนีมานอกกระโจมบัญชาการ ส่งมอบนางให้กองกำลังอีกหน่วยที่มาจากเป่ยตู พอเฮ่อหลันจินอิงจากไปแล้ว ทูตประจำหน่วยนั้นทำให้ไป๋หนีคลางแคลงใจ นางคิดจะจับตัวเขาไว้ คาดไม่ถึงว่ามีทหารจำนวนมากซุ่มอยู่รอบด้าน ไล่ล่ากันสักพัก ไป๋หนีก็หลงเข้าถ้ำหมีในป่าสน ท้ายที่สุดกำลังน้อยกว่าย่อมสู้ไม่ได้ จึงถูกจับตัว
ทหารหน่วยนั้นไม่ได้พูดภาษาเป่ยหรง ทุกนายล้วนพูดภาษาถิ่นจินเชียง พวกนั้นใช้ยาสลบกับไป๋หนี พอนางฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบหน้าแม่ทัพสี่แล้ว
แม่ทัพสี่กลับมิได้ทรมานนาง เพียงใช้โซ่ตรวนหนาหนักล่ามไว้ไม่ให้มีอิสระ ทั้งยังกรอกยาสลายพลังให้กินทุกวัน นางสิ้นเรี่ยวแรงไม่อาจขัดขืน ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ไป๋หนีก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่ทัพสี่จึงจับตัวนางมา ยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดจับได้แล้วเพียงกักบริเวณไว้ มิได้สอบสวนหรือทุบตีทารุณ ทั้งยังปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท หญิงสาวจึงคิดว่าเขาต้องการจะใช้ประโยชน์จากตนเอง
จิ้นเยวี่ยน้ำตาคลอ กุมมือเยวี่ยเหลียนโหลวไว้มั่น “เป็นไป๋หนีจริงหรือ นางปลอดภัยดีใช่หรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงกลับพูดแทรก “นางมีลูกกับแม่ทัพสี่?”
เยวี่ยเหลียนโหลวตบต้นขาเฮ่อหลันเฟิงฉาดใหญ่ “ไม่ใช่เสียหน่อย! ตอนที่ไป๋หนีคุ้มกันแม่ทัพน้อยเดินทางไปเป่ยหรงก็ตั้งครรภ์แล้ว แต่ตอนนั้นแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ ลูกในท้องนางกับสามี โหยว…โหยว…โหยวอะไรนะ”
“โหยวจวินซาน!” จิ้นเยวี่ยบอกอย่างยินดียิ่ง “ลูกของพี่ใหญ่โหยว”
งานเลี้ยงในวังหลวงกำลังครึกครื้น ทั่วทุกแห่งสว่างไสวด้วยแสงโคมแสงเทียนและเสียงรื่นรมย์ นักขับร้องของเป่ยหรงกับนักระบำของจินเชียงร้องรำอย่างกลมกลืน ชวนเคลิบเคลิ้มหลงใหล
แม่ทัพสี่เคาะจอกสุราทองคำ เรียกความสนใจของเป่ยหรงเทียนจวินเจ๋อเวิงได้ชั่วคราว
“เล่าถึงไหนแล้ว” เจ๋อเวิงถาม
“โหยวจวินซาน” เหลยซือจือตอบเบาๆ “เดินทางคราวนี้ ข้าตั้งใจพาไป๋หนีมาด้วยเพื่อเตือนโหยวจวินซานว่าภรรยาของเขาอยู่ในเงื้อมมือข้า อย่าลืมว่าตนเองเป็นใคร”
เจ๋อเวิงหัวเราะเบาๆ “ตอนนี้โหยวจวินซานอยู่ที่เมืองปี้ซาน? ความหมายของเจ้าก็คือจะพาไป๋หนีไปเมืองปี้ซาน?”
“โหยวจวินซานสังหารจิ้นหมิงเจ้ากับมือ ขอเพียงเรื่องนี้ถูกเผยออกไป เขาจะไร้ที่ยืนในต้าอวี่ รอให้จินเชียงยึดเมืองเฟิงหูได้ก่อน โหยวจวินซานก็จำต้องใช้ชีวิตแต่ที่จินเชียง ใต้หล้ากว้างใหญ่ เขาจะไปที่ใดได้อีก”
เจ๋อเวิง “เบี้ย?”
ใบหน้าปุปะของแม่ทัพสี่ปรากฏสีหน้าประหลาดคล้ายจะแย้มยิ้ม “ขออภัย ข้าลืมไป ชาวเป่ยหรงไม่เล่นหมาก”
เจ๋อเวิงหัวเราะหยัน ถามอีก “ไป๋หนียอมถูกเจ้ากดข่มเช่นนี้ ที่เป่ยหรง ถ้าสตรีถูกจับตัวได้จะต้องปลิดชีพตนเองแสดงความเด็ดเดี่ยว ดูแล้วสตรีต้าอวี่คงมิได้เข้มแข็งเท่าสตรีเป่ยหรงเรา”
“มิใช่เช่นนั้น” เหลยซือจือยิ้ม “สตรีต้าอวี่เข้าใจหลักเหตุผลที่ให้หมอบซุ่มรอโต้กลับมากกว่า”
เจ๋อเวิงหัวเราะหยันไม่พอใจ สักพักก็ถามอีก “โหยวจวินซานก็เป็นเบี้ยตัวหนึ่งของเจ้า เจ้าให้เขาแทรกซึมในกองทหารม้าคะนองเมฆาหลายปี บัดนี้เขาช่วยสังหารจิ้นหมิงเจ้าให้แล้ว เหตุใดยังไม่กลับเล่า รั้งอยู่ที่ต้าอวี่มีประโยชน์อันใด”
“เขายังต้องสังหารคนอีกผู้หนึ่ง” เหลยซือจือยิ้มเล็กน้อย สีหน้ายิ่งบิดเบี้ยว “สังหารคนผู้นี้แล้ว ข้างกายฮ่องเต้ต้าอวี่ก็หมดคนมีความสามารถที่จะใช้งานได้แล้ว”
“…เจ้าจะบอกว่าคนที่ร่วมเดินทางมาลงนามสัญญาสงบศึกปี้ซานกับเหลียงอันฉง ก็คือองค์ชายสามของต้าอวี่?” ท่ามกลางเสียงสรวลเสเฮฮา เจ๋อเวิงหัวเราะเบาๆ “แม่ทัพสี่ เจ้าเกลียดชังต้าอวี่เสียจริง”
เหลยซือจือวางจอกสุรา ครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“เทียนจวิน การลงนามสัญญาสงบศึกปี้ซานคราวนี้ ข้ามีข้อเสนอที่น่าสนใจจะแนะท่าน” ดวงตาเขาฉายแววคมปลาบ ท่าทางตื่นเต้นเหลือประมาณ “พาจิ้นเยวี่ยไปเมืองปี้ซานด้วย ให้ชาวต้าอวี่ได้เห็นบุตรชายแม่ทัพจงเจากับตาว่าเขากลายเป็นเพียงทาสชั้นต่ำน่าอดสูของเป่ยหรงที่ใครจะด่าทอ ข่มเหง เหยียบย่ำทำลายเช่นไรก็ได้!”
กว่าไป๋หนีจะได้พบเหลยซือจืออีกครั้งก็อีกหลายวันให้หลัง
ตั้งแต่มาถึงเมืองเป่ยตู เหลยซือจือก็มีงานยุ่งทั้งวันทั้งคืน แทบไม่ได้ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกับนาง ไป๋หนีไม่เข้าใจเหตุผลที่เหลยซือจือนำตนเองมาไว้ข้างกาย นางเองก็แทบจะสอบถามอะไรจากปากเขาไม่ได้
ทว่าวันนี้ครั้นได้พบหน้า นางจับสังเกตได้ว่าเหลยซือจือคล้ายมีบางอย่างผิดแปลกไป
เขานำสุรามาที่ห้องของไป๋หนี ตนเองดื่มสุรา ให้ไป๋หนีดื่มชาเหมือนอย่างเคย หญิงสาวนั่งพิงหัวเตียง หลับตาพักผ่อน ไม่สนใจเขา
วันนี้เหลยซือจือยังคงสวมหน้ากากทอง เป็นหน้ากากลายพยัคฆ์แยกเขี้ยว สองตาเบิกกว้าง หลังถูกจับตัว ครั้งแรกที่ลืมตาขึ้นมาไป๋หนีเห็นใบหน้าเหวอะหวะน่าสยดสยองใต้แสงเทียน ยามนั้นนางตกใจจนรูม่านตาหดเล็ก ทั่วร่างอยู่ในท่าเตรียมพร้อมรับมือ เหลยซือจือผงะถอยสองก้าว ท่าทางรู้ตัว เขาลูบใบหน้าตนเอง หัวเราะเบาๆ พลางว่า ‘ข้าลืมไป ใบหน้านี้ทำคนตื่นตระหนก’
จากนั้นมาทุกครั้งที่มาพบไป๋หนี เขามักปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากทองนี้
เหลยซือจือดื่มสุราสองจอก ฮัมเพลงทำนองอ่อนหวาน ไป๋หนีฟังแล้วรู้ว่าเป็นเพลง ‘เยี่ยนจื่อซานเซี่ยว’ ซึ่งเคยนิยมมากที่หอพานโหลวในเหลียงจิง เหลยซือจือฮัมเพลงไปก็ยิ้มไป อดพูดขึ้นไม่ได้
“ไป๋หนี แม่ทัพไป๋ จิ้นเยวี่ยก็อยู่ที่เป่ยตู เจ้ารู้หรือไม่”
ในที่สุดไป๋หนีก็ลืมตาขึ้น สายตาเย็นชาปราดมอง
เหลยซือจือพอใจกับท่าทางประหลาดใจของนาง ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนที่จิ้นหมิงเจ้าชุบเลี้ยงมา คิดว่าจิ้นหมิงเจ้าเป็นคนเช่นไร”
“เปิดเผย เข้มแข็งไม่ยอมแพ้” ไป๋หนีตอบอย่างเย็นชา
เหลยซือจือวางจอกสุรา เคาะหน้ากากทอง “เปิดเผย? เข้มแข็งไม่ยอมแพ้? เช่นนั้นเจ้าคงรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้าคงไม่ได้เป็นแม่ทัพจินเชียง?”
ไป๋หนีไม่เชื่อสักนิด “หลอกข้ามีประโยชน์อันใด”
เหลยซือจือพูดต่อ “รัชศกหยวนคังปีที่สิบสาม ทัพจินเชียงบุกด่านไป๋เชวี่ย ระดมพลมาแปดพันนาย บุกชายแดนตรงเข้าสู่ต้าอวี่ โจมตีเมืองเฟิงหูไม่ให้ทันตั้งตัว ฟางอิงจิ้งนำทัพตะวันตกเฉียงเหนือมาต้านไว้ ต้านทานทัพจินเชียงไว้ได้ถึงสามเดือน บีบจนทัพจินเชียงขาดแคลนเสบียงจวนจะต้องถอนทัพกลับอยู่แล้ว เผอิญตอนนั้นมีเสบียงทัพจินเชียงมาเสริม ขอเพียงทัพจินเชียงได้เติมเสบียงมากพอก็จะมีกำลังโจมตีเมืองเฟิงหูได้อีกครั้ง ถึงตอนนั้นเมืองเฟิงหูคงต้านไม่อยู่ วิธีจัดการโดยตรงที่สุดก็คือต้องตัดเสบียงทัพจินเชียง เผายุ้งเก็บเสบียงให้วอด”
เขาหยุดสักพักแล้วถาม
“เรื่องนี้เจ้ารู้เห็นหรือไม่”
“รู้สิ” ไป๋หนีเพ่งมองดวงตาใต้หน้ากากทอง “แม่ทัพฟางอิงจิ้งเลือกทหารมีฝีมือในกองทัพให้เป็นพลลาดตระเวนแนวหน้าลอบเข้าไปในเขตแดนจินเชียง ล้อมเผาเสบียงของทัพจินเชียงทั้งหน้าหลัง พลลาดตระเวนนั่นมีกันห้านาย รวมทั้งท่านด้วย”
เหลยซือจือตะลึงงัน “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“หลังแม่ทัพจิ้นมารับช่วงดูแลกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ ก็สั่งให้พวกเราศึกษาความเป็นมาของกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือให้คุ้นชิน”
เหลยซือจือพยักหน้า “เก่งเรื่องเอาหน้าจริงๆ”
ไป๋หนีตบโต๊ะดังปังทันที นางผุดลุกขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด เสียงตวาดดังก้องทรงพลัง
“เหลยซือจือ! แม่ทัพจิ้นเคยไปตามหาท่านที่จินเชียง เขาเคยหาทางช่วยชีวิตท่าน!”
เทียบกับท่าทีเดือดดาลของนาง เหลยซือจือดูสงบกว่ามาก เขาพยักหน้า ยอมรับว่าที่ไป๋หนีพูดมาเป็นความจริง
“ใช่ เขาเคยไปตามหาข้า”
ยี่สิบปีก่อนเหลยซือจือกับพลลาดตระเวนอีกสี่นายเดินทางไปเผาเสบียงของทัพจินเชียง ทุกคนล้วนอาสาออกรบด้วยตัวเอง เหลยซือจือเป็นหัวหน้าพลลาดตระเวนนี้ แม่ทัพฟางอิงจิ้งลั่นวาจาให้สัญญาว่าหากทำภารกิจสำเร็จกลับมาจะเขียนหนังสือไปถึงราชสำนักให้ปูนบำเหน็จ และจะเลื่อนตำแหน่งเหลยซือจือให้เป็นรองผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ
นี่เป็นบำเหน็จที่เหลยซือจือเฝ้ารอมานาน เขาซาบซึ้งใจยิ่ง โขกศีรษะคำนับฟางอิงจิ้งหลายครั้งแล้วออกเดินทาง
พลลาดตระเวนทั้งห้านายเร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ผ่านไปหลายวันจึงเดินทางถึงค่ายทหารจินเชียง ค่ายนี้มีการระวังป้องกันแน่นหนา พวกเขาตระเวนอยู่หลายวันยังหาทางเข้าไปไม่ได้ ทัพใหญ่ก็พร้อมจะเดินหน้าแล้ว เหลยซือจืออยากสร้างความชอบจึงตัดสินใจฝืนบุกเข้าไป เขาสั่งให้พลลาดตระเวนสองนายจุดไฟขึ้นด้านตะวันออกและตะวันตกเพื่อดึงดูดความสนใจทหารจินเชียง แล้วสั่งให้อีกสองนายแสร้งทำทีจะเข้าไปสังหารแม่ทัพจินเชียงเพื่อให้ในค่ายเกิดความวุ่นวาย ส่วนตัวเขาบุกเดี่ยวเข้าไปวางเพลิงยุ้งเก็บเสบียงทัพ
เพลิงผลาญไปกว่าครึ่ง เขาก็ถูกทหารจินเชียงที่ไล่ล่าจับตัวไว้ได้
ทหารจินเชียงบอกเขาว่าสี่นายที่เหลือปลิดชีพตนเองตอนถูกจับไปแล้ว มีเขาเหลือรอดเพียงคนเดียว เหลยซือจือไม่อาจเลือกปลิดชีพตนเอง ก่อนออกเดินทางมา ฟางอิงจิ้งเคยสัญญาไว้ว่าถ้าเขาถูกจับได้ ฟางอิงจิ้งจะใช้ชีวิตแม่ทัพจินเชียงที่ถูกจับไว้ในค่ายแลกกับเขา เหตุใดต้องแลกเล่า
‘เจ้าเป็นคนเก่งที่หาได้ยาก จึงต้องปกป้องชีวิตเจ้าไว้ให้ได้ ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตทหารทั่วไปนับร้อยนับพัน’
เหลยซือจือย่อมเชื่ออย่างสนิทใจ ความร่ำรวยรุ่งเรืองของชีวิตที่เหลือของเขาล้วนผูกติดอยู่กับฟางอิงจิ้ง เขาย่อมต้องเชื่อมั่นในสัญญานี้
รอคอยเช่นนี้อยู่ครึ่งปี ทหารจินเชียงเห็นการดูหมิ่นเสียดสีเขาเป็นเรื่องรื่นเริง ตามตัวเขาจึงเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลเหวอะหวะ พอเห็นเหลยซือจือยืนหยัดห้าวหาญเช่นนี้ บางคนถึงกับกรีดใบหน้าเขาจนเสียโฉม ร่างโชกเลือดของเขาถูกหามออกมาให้นางบำเรอในค่ายทหารดูเล่น ยังให้เขาเรียนภาษาจินเชียง จะได้รู้ตัวว่าเป็นเพียงสุนัขต้าอวี่ต้องคลานอยู่กับพื้น กินอาหารเละเหลวที่ดูน่าคลื่นเหียน
เหลยซือจือกัดฟันอดทนรอให้ฟางอิงจิ้งมาช่วยตนเองออกไป ขอเพียงกลับไปได้ เขาก็จะได้เป็นรองผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ
มีคนมาเป่าหูเขาว่าฟางอิงจิ้งพ่ายศึกแล้ว บ้างว่าฟางอิงจิ้งละทิ้งเมืองหลบหนีไป บ้างก็ว่าฟางอิงจิ้งถูกชาวยุทธ์สังหารระหว่างหลบหนี ต่างๆ นานา ไม่นานทัพจินเชียงก็บุกเข้าเมืองเฟิงหูได้ แต่พอต้องประจันหน้ากับทัพตะวันตกเฉียงเหนือที่ต่อสู้ต้านทานอย่างเด็ดเดี่ยวก็จำต้องถอยร่น วางเพลิงเผาทำลายกำแพงเมืองจนพังทลายกว่าครึ่ง ไม่นานก็บุกโจมตีซ้ำ แต่กลับถูกบีบให้ต้องถอยร่น…เป็นเช่นนี้กลับไปกลับมาอยู่ครึ่งปี ในที่สุดก็ได้ข่าวใหม่ว่ามีแม่ทัพอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเหลยซือจือเพิ่งย้ายมาจากทัพเหนือ เป็นแม่ทัพที่เกรี้ยวกราดดุดัน มาถึงก็จัดการปรับปรุงวินัยทัพตะวันตกเฉียงเหนือเสียใหม่ ทำให้ทัพได้รับชัยชนะใหญ่ถึงสามครั้ง บีบจนทัพจินเชียงต้องถอยร่นไม่เป็นกระบวน
ทัพจินเชียงไม่รู้ว่าแม่ทัพที่ราวกับเทพสวรรค์ส่งมานี้เป็นผู้ใด รู้เพียงว่าทัพตะวันตกเฉียงเหนือกับชาวเมืองเฟิงหูต่างเรียกขานเขาว่า ‘แม่ทัพจิ้น’
ครั้นเหลยซือจือได้ข่าวเรื่องนี้ก็เข้าใจทันที แม่ทัพหนุ่มแซ่จิ้นในทัพเหนือมีเพียงคนเดียวคือจิ้นหมิงเจ้า…แต่เขากลายเป็นแม่ทัพกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือได้อย่างไรกัน!
ไป๋หนีกลับจำได้ว่าเมื่อคราวเสี่ยงภยันตรายในเวลานั้น นางเป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบกว่าขวบในเมืองเฟิงหูคนหนึ่งเท่านั้น เก็บข้าวของลี้ภัยจากเมืองเฟิงหูติดตามบิดามารดา ประตูเมืองปิดแน่นหนา ชาวเมืองออกไปไม่ได้ ได้ยินว่าแม่ทัพจินเชียงหมายจะตีเมืองให้แตกแล้วไล่ฆ่าฟัน ผู้คนต่างตื่นตระหนก ปีนป่ายร้องไห้เสียงดังระงม ในฝูงชนที่ลี้ภัยนั้นไม่ขาดเหล่าทหารที่บนตัวยังสวมเสื้อเกราะพกกระบี่พกดาบอยู่ด้วย ใบหน้าแต่ละนายขะมุกขะมอม ไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองเช่นไร พากันทุบประตูเมืองร้องตะโกนร่ำไห้ด่าทอ
อยู่ในเมืองเฟิงหูได้สามวันสามคืน อาหารแห้งในมือไป๋หนีก็ถูกผู้อื่นยื้อแย่งไป นางพอมีวิทยายุทธ์อยู่บ้าง แต่จนปัญญาที่ทั้งบิดามารดาอ่อนแอขลาดกลัว จึงได้แต่คุดคู้ตัวสั่นเทาอยู่ที่เชิงกำแพง ไม่ง่ายเลยกว่าจะถึงเวลาฟ้าสางวันที่สี่ ในที่สุดประตูเมืองก็แง้มเปิดออกช่องหนึ่ง
ช่องประตูเปิดกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ที่วิ่งกรูกันเข้ามากลับเป็นทหารสวมชุดเกราะวาววับจำนวนมาก ฝูงชนเนืองแน่นแหวกออกเป็นสองข้าง เว้นที่ตรงกลางไว้เป็นทางสายหนึ่ง
จิ้นหมิงเจ้านำกองทหารจำนวนสองพันกว่านาย เริ่มออกเดินทางจากทัพเหนือตั้งแต่ได้ข่าวสารแจ้งขอความช่วยเหลือเร่งด่วนจากเมืองเฟิงหู เดิมทีเขาคิดว่าเป็นการหนุนช่วยฟางอิงจิ้ง ใครจะรู้ว่าเมื่อมาถึงเมืองเฟิงหูฟางอิงจิ้งก็ตายเสียแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการรักษาการณ์ในเมืองเฟิงหู สิ่งที่จิ้นหมิงเจ้าได้พบก็คือสภาพอันสับสนอลหม่าน ผู้คนร่ำไห้เสียงดังระงม
วันที่เข้าเมืองเขาบังคับม้าเดินไปที่ประตูเมือง ปีนขึ้นยืนบนหลังม้า กล่าวสามเรื่องกับชาวบ้านที่แออัดยัดเยียดอยู่หน้าประตูเมือง
เรื่องแรก คือแสดงฐานะของตนเอง บอกว่าเขาเป็นศิษย์ของแม่ทัพเจี้ยนเหลียงอิงแห่งกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือ รับคำสั่งมาต้านทานข้าศึก พาทหารกล้าฝีมือดีจากกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือมาด้วยสองพันกว่านาย ตัวเขาได้สั่งการลงไปแล้ว ถ้าภายในสามเดือนไม่อาจขับไล่ทหารจินเชียงให้พ้นไปจากด่านไป๋เชวี่ยได้ เขายินดีตายเพื่อชดใช้ความผิด
เรื่องที่สอง กล่าวถึงสถานการณ์นอกเมือง ฟางอิงจิ้งที่ทิ้งเมืองไปถูกฆ่าตายระหว่างหลบหนี ผู้ที่ฆ่าเขากลับไม่ใช่ชาวยุทธ์ผู้มีใจเป็นธรรม หากแต่เป็นโจรภูเขาที่ก่อความวุ่นวาย แม้แต่แม่ทัพก็ยังลงมือฆ่าได้ นับประสาอะไรกับชาวบ้านสามัญ บัดนี้บนภูเขานอกเมืองและตามรายทางเต็มไปด้วยโจรภูเขาที่ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้า ถ้ามีใครยืนกรานจะหนีออกจากเมืองเฟิงหู ประตูเมืองเปิดกว้าง อยากจะไปก็ไปได้ เขาจะไม่ขัดขวาง
เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องที่เรียบง่ายที่สุด ทหารกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือไม่ว่าใครก็ตามที่หนีทัพ จะด้วยเหตุผลใด เพียงก้าวเท้าออกจากประตูเมืองเฟิงหู จะถูกฆ่าโดยไม่ปรานี
พูดจบก็ขี่ม้าไปทางกองบัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ ตามด้วยทหารสวมเกราะเดินเรียงแถวยาว แต่ละนายแต่งกายพร้อมรบ เดินทัพอย่างคล่องแคล่ว ดูเคร่งขรึมดุดันยิ่ง
หลังจากนั้นยังมีคนบางส่วนที่ไม่เชื่อเขาหนีออกไป ไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก ทหารกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือกลับเข้ากองบัญชาการ บิดามารดาของไป๋หนีพานางกลับบ้าน เวลานั้นชาวบ้านยังไม่เชื่อมั่นในตัวจิ้นหมิงเจ้า แต่ก็กลัวเขา กลัวดาบที่อยู่ในมือเขา
ใครจะคาดคิดว่าต่อมาจะได้รับชัยชนะในการรบติดกันหลายครั้ง ผ่านไปสองเดือนทัพจินเชียงก็ถูกบีบจนถอยร่นออกไปนอกด่านไป๋เชวี่ย ชาวเมืองเฟิงหูพากันโห่ร้องด้วยความยินดี ทุกคนในเมืองต่างรู้จักแม่ทัพจิ้นหมิงเจ้าที่ทัพเหนือส่งตัวมา ภายหลังเขาได้เป็นผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ และไม่จากไปที่อื่นอีก
บ้านไป๋หนีขายบะหมี่ตั้งแผงเล็กๆ อยู่ริมทาง เนื่องจากแผงค้าอยู่ไม่ไกลจากกองบัญชาการ จิ้นหมิงเจ้าจึงมากินบะหมี่เนื้อแพะของบ้านนางอยู่บ่อยครั้ง เป็นเขานี่เองที่ทั้งชักชวนทั้งโน้มน้าวให้ไป๋หนีเข้าร่วมกองทหารม้าคะนองเมฆา โดยบอกว่า ‘ลูกสาวบ้านเจ้าฝีมือไม่เลว ทั้งยังใจกล้า ต่อไปจะได้เป็นวีรสตรี’
หวนนึกถึงอดีตขึ้นมา หัวใจของไป๋หนีก็ปวดร้าวเศร้ารันทดยิ่ง หลังจากจิ้นหมิงเจ้าบีบทัพจินเชียงจนถอยร่นไป ด้านหนึ่งฝึกฝนตระเตรียมทหารม้าคะนองเมฆา อีกด้านเริ่มออกตามหาเหลยซือจือผู้ซึ่งเคยเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน
เขานำกองทหารเล็กๆ ซึ่งมีไป๋หนีรวมอยู่ด้วยลอบสอดแนมทัพจินเชียงด้วยตนเอง ติดตามทหารจินเชียงที่ถอยร่นอย่างไม่ลดละ ในที่สุดก็ตามทัพจินเชียงได้ทัน
แต่สุดท้ายกลับไม่อาจช่วยเหลยซือจือออกมาได้
ยามที่เห็นเหลยซือจือบนรถนักโทษ ดวงตาทั้งคู่ของจิ้นหมิงเจ้าแดงก่ำ สองมือเขาคว้าโซ่เหล็กไว้แน่นราวกับกรงเล็บเหล็ก โซ่กระทบกันดังกราว เหลยซือจือถูกทรมานจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน นอนขดอยู่บนรถนักโทษ มีเพียงผ้าห่มเปรอะเลือดกลิ่นเหม็นคลุ้งคลุมร่าง ศิษย์พี่ศิษย์น้องได้พบกันก็สะอื้นไห้สะเทือนใจ เหลยซือจือเพิ่งเคยเห็นจิ้นหมิงเจ้าหลั่งน้ำตาให้ตนเองเป็นครั้งแรกก็รู้สึกน่าขัน ซาบซึ้งใจอย่างมาก
ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมาช่วยข้า
“เหตุใดท่านไม่ตามท่านแม่ทัพกลับมาด้วยกัน” ไป๋หนีไม่เข้าใจ
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก เห็นอยู่ว่าตำแหน่งรองแม่ทัพกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือจะเป็นของข้าอยู่แล้ว แต่บัดนี้กลับต้องให้เขายื่นมือมาช่วย!” เหลยซือจือแค่นเสียงหัวเราะ “ถ้าถูกเขาช่วยกลับไป ข้าจะกลายเป็นสิ่งใด เดิมทีเขาเป็นคนของทัพเหนือ บัดนี้ได้สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงเช่นนี้ในทัพตะวันตกเฉียงเหนือ ขืนข้ากลับไป ข้าจะเป็นอะไรได้อีก! ต่อไปใครเขาพูดถึงข้าเหลยซือจือ ก็ต้องพูดเสริมว่าข้าเป็นคนที่จิ้นหมิงเจ้าช่วยชีวิตเอาไว้”
“…แล้วจะเป็นไรไปเล่า” ไป๋หนีเดินเข้าหาหลายก้าว แต่เพราะตรวนที่ข้อเท้ารั้งไว้จึงเข้าใกล้เขามากกว่านี้ไม่ได้ นางไม่เข้าใจเลยสักนิด “วันนี้เขาช่วยท่าน วันหน้าในสนามรบจะเป็นหรือตายคาดเดายาก ท่านอาจได้ช่วยชีวิตเขา ตอนนั้นท่านแสร้งทำเป็นอ่อนแอไม่ยอมกลับมาด้วย หลอกเขาว่าตัวเองใกล้ตาย ไม่อยากเป็นตัวถ่วง ตลอดทางกลับมาเฟิงหูเขาเป็นอย่างไรท่านรู้หรือไม่ เขาสร้างรูปปั้นไว้ให้ท่าน บอกว่าท่านคือวีรบุรุษแห่งทัพตะวันตกเฉียงเหนือ ยอมสละชีวิตโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง บุกเข้าไปถึงแนวหลังข้าศึก ก่อนจะได้รู้ว่าท่านเป็นแม่ทัพสี่ของจินเชียง เขาก็คิดถึงท่านมาตลอด! วันชิงหมิง* ทุกปีเขาล้วนไปเซ่นไหว้ดวงวิญญาณท่านที่สุสาน!”
เหลยซือจือหัวเราะร่วนอยู่นาน “จริงรึ ข้าไม่รู้เลย”
เขาโบกมือ ลุกขึ้นเดินจากไป นอกห้องมีสายลมอุ่นแห่งวสันตฤดูพัดจนอากาศอุ่นสบาย ต้นไม้เหยียดต้นสูงชะลูดในจวน เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์ จู่ๆ เหลยซือจือก็หวนนึกถึงวันที่จิ้นหมิงเจ้าแบกเขาจะพาหนี เขากลับดิ้นรนจนหล่นจากหลัง หลอกอีกฝ่ายว่าตนเองใกล้ขาดใจตายแล้ว ทั้งเห็นทหารจินเชียงไล่ตามมา จึงแสร้งเร่งให้จิ้นหมิงเจ้าหนีไป
แน่ล่ะ เหลยซือจือย่อมจำได้ คืนนั้นฟ้าดารดาษด้วยดาว กระจ่างไร้ลม จิ้นหมิงเจ้าน้ำตาเอ่อ สองตาแดงก่ำ นำคนที่สวมชุดตระเวนราตรีสองสามคนคุกเข่าโขกศีรษะปลกๆ ต่อหน้าเขาพลางร้องเรียก ‘จื่อเยี่ย’
นี่คือชื่อที่เจี้ยนเหลียงอิงตั้งให้เขา ด้วยหวังว่าเขาจะสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ยืนหยัดค้ำฟ้าดินที่จะยืนยาวไปอีกนับหมื่นชั่วรุ่น ตอนนั้นเขาหมอบกับพื้น แสร้งทำเป็นว่าจะขาดใจตาย มองดูจิ้นหมิงเจ้าจากไปขณะกลั้นน้ำตา หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเรียกเขาว่า ‘จื่อเยี่ย’ อีก
ในใต้หล้านี้ไม่มี ‘จื่อเยี่ย’ อีกต่อไป มีแต่ ‘แม่ทัพสี่’ แห่งแคว้นจินเชียง
ชั่วขณะนั้น จู่ๆ เหลยซือจือก็หวนนึกถึงตอนที่เขาผละจากเจี้ยนเหลียงอิง เดินทางมารับภารกิจที่ทัพตะวันตกเฉียงเหนือ เจี้ยนเหลียงอิงฝากเรื่องหนึ่งไว้เป็นสิ่งสุดท้ายให้พวกเขาคิด
‘หากเมืองประสบเหตุคับขัน และสหายของเจ้าถูกจับ เป็นตายเท่ากัน เจ้าจะเลือกทำอย่างไร’
เขาจำได้ว่าจิ้นหมิงเจ้าตอบโดยทันทีแทบไม่ต้องคิดว่า ‘ต้องกอบกู้สถานการณ์ของเมืองก่อน จนกระทั่งแก้ไขได้แล้วก็จะรีบไปช่วย’
เจี้ยนเหลียงอิงถามอีก ‘แล้วถ้าเจ้าปลีกตัวไปช่วย แต่เมืองถูกล้อมอีกเล่า’
จิ้นหมิงเจ้าตอบอีกว่า ‘ก็จะมาแก้ไขสถานการณ์ แล้วกลับไปช่วยสหาย’
เจี้ยนเหลียงอิงโมโหจนหัวเราะ ตบโต๊ะแล้วตะคอกว่า ‘ในสองสิ่งนี้เลือกได้สิ่งเดียว!’
จิ้นหมิงเจ้าหัวรั้นไม่ยอมเลือก ‘ไม่มีเลือกเพียงสิ่งเดียว เมืองก็จะช่วย สหายก็จะช่วย’
เจี้ยนเหลียงอิง ‘เจ้าไปช่วยไม่ได้หรอก’
จิ้นหมิงเจ้า ‘ข้าหาทางได้ ข้าคือจิ้นหมิงเจ้า’
เหลยซือจือจำได้ว่าเจี้ยนเหลียงอิงโกรธมาก ตะคอกด่าทอจิ้นหมิงเจ้าว่าไม่รู้หนักเบา ตอนนั้นจิ้นหมิงเจ้าหันมามองเขา แล้วพูดว่า ‘ถ้าจื่อเยี่ยตกอยู่ในอันตรายถูกจับตัวได้ ท่านจะไปช่วยหรือไม่ ข้ารู้ว่าท่านจะต้องช่วย ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้าจะทำทั้งหมดให้ได้’
เหลยซือจือไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทั้งที่ผ่านไปนานยี่สิบปีแล้ว พลันรู้สึกใจหายและยังหม่นเศร้า แต่ไม่ช้าอารมณ์อันแปลกประหลาดนี้ก็สลายไป ลมวสันต์ผันผ่านไม่ไยดี รอยนทีซัดสาดแล้วเลือนหาย
เขาจำได้ว่าตนเองไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเจี้ยนเหลียงอิง
“ข้าไม่คิดเลยว่าแม่ทัพสี่กับบิดาของเจ้าจะเคยมีความสัมพันธ์เช่นนี้ต่อกันมาก่อน” เฮ่อหลันเฟิงนอนชันเข่าอยู่บนหลังคา ปุยเมฆดูนุ่มราวกับนุ่นถูกสายลมพัดพาล่องลอยผ่านท้องฟ้าสีครามดุจเดียวกับกระเบื้องมุงหลังคา
จิ้นเยวี่ยสอนเขาเป่าเพลง ‘เยี่ยนจื่อซานเซี่ยว’ เฮ่อหลันเฟิงเป่าผิดๆ ถูกๆ ได้ท่อนเดียวก็บ่นว่าเหนื่อย เขาจึงหยุด
จิ้นเยวี่ยเขียนข้อความใส่กระดาษว่า ‘ปลอดภัยดี’ แล้ววานให้เยวี่ยเหลียนโหลวส่งถึงไป๋หนี รอจนไป๋หนีอ่านจบ ชายหนุ่มก็กินกระดาษแผ่นนั้นเข้าไป ไป๋หนีจึงเขียนตอบกลับจิ้นเยวี่ย ความว่า
‘เยวี่ยเอ๋อร์ผู้นี้เป็นคนวิปลาส’
เยวี่ยเหลียนโหลวได้ฟังเรื่องราวมากมายระหว่างเหลยซือจือกับจิ้นหมิงเจ้าจากไป๋หนี เทียบกับเรื่องที่จิ้นเยวี่ยเล่า เขาก็ตัดสินด้วยตัวเองว่า ‘รักแล้วไม่สมหวัง ความรักฝังใจแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง เฮ้อ เรื่องนี้ข้ารู้ดี ข้าก็เป็นเหมือนกัน’
หร่วนปู้ฉีหัวเราะหยัน ‘เจ้าเกลียดประมุขพรรค?’
เยวี่ยเหลียนโหลวส่ายหน้า ‘ประมุขพรรคต่างหากที่รักข้า และยังเกลียดข้าด้วย’ เขาตอบแล้วหัวเราะร่า ใครก็ล้วนไม่รู้ว่าเขาหัวเราะเรื่องใด
จิ้นเยวี่ยมิได้เก็บคำพูดเหลวไหลของเยวี่ยเหลียนโหลวมาใส่ใจ เช็ดขลุ่ยต้งเซียวพลางเอ่ย
“เมื่อก่อนข้าไม่รู้ว่าเหตุใดท่านพ่อจึงไม่ชอบพูดถึงแม่ทัพของจินเชียง มาบัดนี้ถึงเข้าใจ เป็นเพราะเขาเศร้าใจ แม่ทัพเจี้ยนเองก็เศร้าใจเช่นกัน เมื่อทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันมักพูดคุยเรื่องต่างๆ แล้วทอดถอนใจ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ทัพสี่คุ้นเคยกับการป้องกันของทัพตะวันตกเฉียงเหนือกับภูมิประเทศของด่านไป๋เชวี่ยแล้วล่ะก็ ด่านไป๋เชวี่ยก็คงไม่ถึงกับตกอยู่ในสภาพเช่นตอนนี้หรอก”
บนหลังคาเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเฮ่อหลันเฟิงพูดขึ้น “แม่ทัพสี่เกรงจะทำให้ไป๋หนีตกใจ เมื่อพบนางจึงมักสวมหน้ากาก น่าจะไม่ใช่คนที่ชั่วร้ายอะไร”
จิ้นเยวี่ย “ใครจะรู้เล่า”
ทั้งสองยิ่งคุยก็ยิ่งเศร้า ฉับพลันนั้นเฮ่อหลันเฟิงก็พลิกร่างลุกขึ้นกะทันหัน จูบใบหน้าจิ้นเยวี่ยทีหนึ่ง “ไม่คุยแล้ว เราไปขี่ม้าเล่นกันเถอะ”
จิ้นเยวี่ยกลับรั้งมือเขาไว้ “ไป๋หนีถูกแม่ทัพสี่พามาที่เป่ยตู จากนั้นแม่ทัพสี่ก็จะไปเป็นพยานในพิธีลงนามสัญญาสงบศึกที่เมืองปี้ซาน ไม่แน่ว่าไป๋หนีอาจไปที่เมืองปี้ซานด้วย ข้าอยากพบไป๋หนี ข้าอยากไปเมืองปี้ซาน…เฮ่อหลันเฟิง พี่ชายของเจ้าจะช่วยได้หรือไม่”
เพิ่งพูดจบ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงม้าร้องฮี้อยู่นอกจวน ทันใดนั้นก็มีคนเคาะประตูใหญ่ “เทียนจวินมีราชโองการ…”
ทั้งสองรีบลงมาที่พื้น ที่แท้ผู้ที่มาก็คืออวิ๋นโจวอ๋อง
อาหว่าไม่ได้พบหน้าเฮ่อหลันเฟิงนานแล้วย่อมรู้สึกพอใจยิ่ง พบแล้วก็วิ่งเข้ามาโอบกอดเขา
“เจ้าพักผ่อนเสียนาน ได้ข่าวว่าเจ้ากับพี่ชายคืนดีกันแล้ว? คืนดีกันแล้วก็กลับมาทำงานข้างกายข้าได้แล้วสิ!” พูดจบก็หันไปมองจิ้นเยวี่ย ยิ้มแป้น “สบายดีหรือจิ้นเยวี่ย ช่วงนี้กินดีหลับสนิทหรือไม่ คิดถึงข้าบ้างหรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงผลักเขาออก “ราชโองการอะไรกัน เหตุใดให้ท่านเป็นคนมาแจ้ง”
อาหว่ากระแอมเบาๆ ประคองราชโองการประดับดิ้นทองในมือขึ้นมา ยิ้มให้จิ้นเยวี่ย บอกว่า “นี่เป็นราชโองการถึงทาสน้อยของข้า ข้าย่อมต้องมาแจ้งเอง”
ห่านป่าบินกลับจากทางใต้ผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองเป่ยตู ทอดเงาของมันลงมายังเฮ่อหลันเฟิงและจิ้นเยวี่ย จิ้นเยวี่ยทรุดลงคุกเข่ารับราชโองการ เนิ่นนานค่อยเงยหน้า “ข้า…ข้าจะติดตามท่านไปเป่ยตู?!”
“ห่านป่ากลับจากใต้ หญ้าระบัดใบแห่งวสันต์ บัดนี้เป่ยหรงเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วสินะ” บนกำแพงเมืองปี้ซานที่สูงตระหง่าน โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งตั้งอยู่บนแนวกำแพง เชิงกำแพงโดยรอบบดบังแดดนั้นแขวนกระดิ่งเงินเลี่ยมทองส่งเสียงใสกระจ่างน่าฟัง บนโต๊ะตั้งกาน้ำชาซึ่งใส่ใบชาที่เพิ่งเด็ดใหม่ๆ หนึ่งชายชราหนึ่งชายหนุ่มนั่งกับพื้น พูดคุยหัวเราะเป็นครั้งคราว
เงาห่านป่าพาดผ่านผืนแผ่นดินต้าอวี่ ข้ามแม่น้ำเลี่ยซิงที่ทอดตัวยาวไกล โฉบผ่านเพิงบังแดดบนกำแพงเมือง โผผินไปยังสถานที่ห่างไกลทางทิศเหนือ
“จิบชาบนกำแพงเมือง ที่แท้มีอะไรน่ารื่นรมย์” เหลียงอันฉงลูบเคราขาวของตนเองที่ยาวระสาบเสื้อ “องค์ชายสามคงมีเรื่องอยากพูดกับผู้แซ่เหลียงกระมัง”
“สหายเก่าอยู่ทางเหนือ ข้าคิดถึงเขาจึงเดินทางมาพบ” ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ หัวเราะพลางเอ่ย “ไม่เห็นต้องมีอะไรน่ารื่นรมย์ ในใจเฝ้าคิดคำนึงถึงคนผู้หนึ่ง ความคิดถึงก็เป็นเรื่องน่ารื่นรมย์ใหญ่หลวงแล้ว คิดถึงเขาว่ายามนี้จะทำอะไร จะสวมเสื้อผ้าอย่างไร จะพูดอะไร ข้าคิดถึงเขาได้ทั้งวันทีเดียว”
เหลียงอันฉงมีสีหน้าประหลาดใจ “สหายผู้นี้เป็นใครกัน”
ชายหนุ่มไม่ตอบ เพียงทอดสายตามองฟากฟ้าไกล
เหลียงอันฉงลอบด่าทอในใจ เฉินหรงโอรสองค์ที่สามของฮ่องเต้เหรินเจิ้งหน้าตาละม้ายพระสนมฮุ่ยผู้เป็นมารดา เกิดมาพร้อมดวงตาดุจจิ้งจอก วันทั้งวันเอาแต่ยิ้มกริ่ม ทำท่ามีลับลมคมใน ไม่อาจคาดเดาเจตนาที่แท้จริง
ชายชรานิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วถาม “หรือว่าสหายผู้นี้ของท่านเป็นคนชี้แนะให้ตัดแบ่งดินแดนตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิงให้แก่ทางเป่ยหรง”
“ท่านราชครูเหลียงสนใจคนผู้นี้?”
“ใครๆ ล้วนชื่นชอบผู้มีปัญญา อีกอย่างในราชวงศ์นี้ อัจฉริยบุคคลมีน้อยนัก ข้าเฝ้าแต่ร้อนใจทั้งวันคืน ไม่อาจข่มตาหลับได้” เหลียงอันฉงพูดเบาๆ “ผู้ที่เสนอแนวคิดเช่นนี้เป็นคนใจกล้าทั้งยังเด็ดเดี่ยว เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา ผู้แซ่เหลียงคิดว่าจะไม่เรียกใช้ได้หรือ จะไม่เรียกใช้ได้อย่างไร…”
“ราชครูเหลียงพูดเช่นนี้ ข้าก็สบายใจ ถ้ามีโอกาสจะต้องรีบพามาแนะนำกับท่านราชครูแน่” เฉินหรงยิ้ม ยามชูถ้วยชา รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้น “ไม่แน่ว่า…ท่านอาจรู้จักเขาก็เป็นได้”
* เจิงจื่อฆ่าหมู เป็นนิทานสอนใจเด็กเรื่องการรักษาคำพูด เรื่องมีอยู่ว่าภรรยาของเจิงจื่อจะไปตลาด บุตรชายร้องไห้จะขอตามไปด้วย ภรรยาจึงบอกบุตรชายว่ากลับมาจะฆ่าหมูทำอาหารให้กินเพื่อปลอบไม่ให้ร้องแล้วจึงออกจากบ้าน พอกลับมาภรรยาเห็นเจิงจื่อมัดหมูกำลังจะเชือดจึงเข้าไปห้าม เจิงจื่อยืนกรานว่าต้องฆ่าหมู เพื่อรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับบุตรชาย ไม่เช่นนั้นต่อไปบุตรจะไม่เชื่อถือคำพูดของบิดามารดา
* วันชิงหมิง หรือวันเช้งเม้ง เป็นหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ของชาวจีน หมายถึงวันที่อากาศแจ่มใสปลอดโปร่ง ช่วงประมาณวันที่ 4-6 เมษายน โดยมีประเพณีปัดกวาดทำความสะอาดสุสานบรรพบุรุษ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 21 พ.ย. 65
Comments
comments
No tags for this post.