ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 2
ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 26 ออกเดินทาง
ยามมาอวิ๋นโจวอ๋องหัวเราะหน้าชื่น ยามจากไปก็ยังหัวเราะร่า เขากับเฮ่อหลันเฟิงเพียงขัดแย้งกันเล็กน้อยที่ปากประตู เพราะชายหนุ่มตั้งใจว่าจะรับจิ้นเยวี่ยเข้ากองทัพชาวหมาน
เฮ่อหลันเฟิงย่อมไม่เห็นด้วย อาหว่าชี้ไปที่จิ้นเยวี่ย “เขาเป็นทาสของข้า”
เฮ่อหลันเฟิงถลึงตาจ้องมอง “เขาหาใช่ทาสของผู้ใด”
อาหว่าแหงนหน้าหัวเราะลั่น ชี้ไปที่เฮ่อหลันเฟิงแล้วพูดกับจิ้นเยวี่ย “เขาโมโหจนเป็นบ้าเพราะเจ้า”
ทั้งสามพูดคุยกันด้วยภาษาต้าอวี่ ทหารที่อยู่รอบๆ ล้วนฟังไม่เข้าใจ ได้แต่ยืนสงบเสงี่ยม เฮ่อหลันเฟิงครึ่งก้าวก็ไม่ยอมถอย ยืนกรานไม่ให้อวิ๋นโจวอ๋องพาตัวจิ้นเยวี่ยไป ท่าทางชายหนุ่มก็ไม่คล้ายอยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับทั้งสอง จึงก้มลงพูดกับจิ้นเยวี่ย
“เจ้ามีองครักษ์มือดี จะไม่ไปประจำการในกองทัพชาวหมานก็ได้ แต่ถ้าข้าอวิ๋นโจวอ๋องอยากพบเจ้า เจ้าต้องไปอยู่ต่อหน้าข้าทันที ห้ามหนี ห้ามกลับไปเยี่ยไถหรือเขาเซวี่ยหลางอะไรนั่น ฟังให้ดี ห้ามไปที่ใดทั้งสิ้น เจ้าอยู่ได้แต่ที่เป่ยตูเท่านั้น”
พอเขาไปแล้ว จิ้นเยวี่ยกับเฮ่อหลันเฟิงก็สบตากันเงียบๆ ฉับพลันนั้นที่อวิ๋นโจวอ๋องพูดเรื่องเขาเซวี่ยหลางขึ้นมา ทั้งสองคนก็กังวลใจ ดูเหมือนชายหนุ่มจะรู้อะไรบางอย่าง
แต่อวิ๋นโจวอ๋องจะมีท่าทีอย่างไร ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้ ราชโองการนี้ของเทียนจวินเจ๋อเวิงทำเอาจิ้นเยวี่ยถึงกับหัวหมุน ได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่เนิ่นนานใต้ต้นไม้ เฮ่อหลันเฟิงรู้ว่าเขากำลังครุ่นคิด จึงหลบไปเล่นกับจั๋วจั๋วเป็นเพื่อนหร่วนปู้ฉี มีเพียงเฉินซวงที่อยู่กับจิ้นเยวี่ย แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด
เมืองปี้ซานเป็นเมืองที่อยู่ใกล้แม่น้ำใหญ่ที่สุดในบรรดาสิบสองเมืองตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิง มีทั้งกองเรือและท่าเรือ เมื่อยืนอยู่ตรงท่าเรือเมืองปี้ซานจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ยามสารทของต้าอวี่ที่อยู่อีกฟากได้ ทั้งขุนเขาท่ามกลางสายหมอกและคลื่นน้ำซัดสาดชายฝั่ง
“เพราะเหตุใด” จิ้นเยวี่ยมองเฉินซวงแต่ไม่ได้มองเขาตรงๆ สายตาคล้ายอยู่ที่ใบหน้าชายหนุ่ม ทว่าปากกลับพร่ำพูดซ้ำไปซ้ำมา “เพราะเหตุใด”
เขากับเฉินซวงยืนใต้ต้นเหมย ดอกของมันร่วงหมดแล้ว กิ่งก้านของต้นเหมยแตกใบเขียวชอุ่ม เงาสั่นไหวของกิ่งก้านทาบทับใบหน้าชายหนุ่ม จิ้นเยวี่ยมองดูเขานิ่งงัน เนิ่นนานในที่สุดค่อยพูดขึ้นมาราวกับเพิ่งตื่นจากภวังค์ “ข้าเข้าใจแล้ว”
เฉินซวง “อะไรหรือ”
จิ้นเยวี่ยยิ้ม “ข้าเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น เป็นเครื่องมือใช้ยุแหย่ต้าอวี่ บุตรชายเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของอดีตแม่ทัพจิ้นหมิงเจ้า บัดนี้มาเป็นทาสที่เป่ยหรง น่าสนุกจริงๆ”
เฉินซวงคิด “คนที่ต้าอวี่ส่งมาก็คือเหลียงอันฉง”
จิ้นเยวี่ยพยักหน้า “ยังมีคนอีกผู้หนึ่งจากวังหลวงด้วย”
เฉินซวงถาม “เจ้าว่าเป็นผู้ใดกัน”
เฮ่อหลันเฟิงเห็นสองคนเริ่มคุยกันแล้วจึงเดินอาดๆ เข้ามา ตอนที่เข้ามาใกล้ก็ได้ยินจิ้นเยวี่ยพูดชื่อหนึ่งที่ฟังไม่คุ้นหูออกมาพอดี
“องค์ชายสาม เฉินหรง”
“นี่เป็นใครกันเล่า” เฮ่อหลันเฟิงถาม “คนผู้นั้นที่เจ้าไม่ชอบ?”
“ใช่แล้ว” จิ้นเยวี่ยรำพึงราวกับพูดกับตัวเอง “หลังจากองค์รัชทายาทประชวรจนสิ้นพระชนม์ องค์ชายที่พอมีคุณสมบัติจะรับตำแหน่งนี้ได้ในราชวงศ์มีเพียงองค์ชายสามเฉินหรง อายุเขากำลังเหมาะสม เคยเป็นแม่ทัพในกองทัพเหนือ รู้เรื่องชายแดนเป็นอย่างดี พระสนมฮุ่ยผู้เป็นมารดาเป็นพระสนมที่ฮ่องเต้โปรดปราน ทั้งยังมีลุงเป็นขุนนางสำคัญ ผู้ที่สนับสนุนเขามีมาก ตัวเขาเองก็เป็นคนหัวไวเฉลียวฉลาด จัดการเรื่องใดๆ ได้อย่างเหมาะควร มีไหวพริบดีทีเดียว”
เฮ่อหลันเฟิงเพียงถามเรื่องที่ตนรู้สึกสนใจเท่านั้น “แล้วเหตุใดเจ้าไม่ชอบเขา”
จิ้นเยวี่ยพลันเครียดขรึม สีหน้าที่ตอนแรกสุขุมปรากฏวี่แววขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับเด็กๆ “องค์ชายสามผู้นี้ออกจะหน้าไม่อาย ถ้าชั่วชีวิตเขาเคยทำเรื่องเลวร้ายมาร้อยครั้ง อย่างน้อยข้าก็คงแบกไว้สักเก้าสิบเก้าครั้ง!”
ในฐานะเป็นบุตรชายของจิ้นหมิงเจ้า หลังจากจิ้นเยวี่ยกลับมาเมืองเหลียงจิงตอนห้าหกขวบ จึงได้ทำความรู้จักเหล่าองค์ชายและองค์หญิงจนพอจะฝืนเรียกกันว่าสหายได้ องค์รัชทายาทคือโอรสองค์โตของฮ่องเต้เหรินเจิ้ง มีอาวุโสกว่าโอรสองค์อื่นๆ ปกติไม่ค่อยมาเล่นกับพวกเขา พี่สาวคนโตของเฉินหรงแต่งงานไปแล้ว ในกลุ่มเด็กๆ จึงมีเพียงเฉินหรงที่อายุมากที่สุด พออายุได้สิบเอ็ดสิบสองขวบจึงได้พบจิ้นเยวี่ยครั้งแรกก็ชอบใจ คอยยุให้เด็กน้อยเรียกตนว่า ‘พี่ชาย’
จิ้นเยวี่ยไม่รู้เรื่องรู้ราวจึงเรียกตามอย่างงุนงงอยู่หลายครั้ง นางกำนัลและขันทีในวังได้ยินก็พากันทำสีหน้าแปลกแปร่ง เหงื่อเย็นไหลพลั่ก เตือนเขาว่าอย่าได้ล้ำเส้น ภายหลังจิ้นเยวี่ยค่อยเข้าใจ เฉินหรงจงใจวางอุบายให้ตัวเขาทำผิดนั่นเอง
เฉินหรงชอบกลั่นแกล้งจิ้นเยวี่ย ผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องหยอกล้อกันเล่นอย่างเด็กๆ เท่านั้น สำหรับจิ้นเยวี่ยนั้นเคยร้องไห้อย่างหนักมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่าในวังหลวงมีต้นซานฉาต้นงามต้นหนึ่งซึ่งดอกจะบานเมื่อหิมะตก ดอกสีแดงสดรองรับเกล็ดหิมะขาวประกายเงิน ทุกครั้งที่จิ้นเยวี่ยเข้าวังมักจะนึกถึงต้นไม้ต้นนี้ และยืนนิ่งมองดอกของมันยามหิมะโปรยปรายได้นานสองนาน ฮองเฮาเห็นเข้าก็จะแย้มยิ้ม ลูบไล้ใบหน้าเขา บอกว่าเขาเป็นเด็กที่ใสซื่อไร้มารยา
เฉินหรงให้เขามาเป็นเพื่อนเล่นของตนเอง จิ้นเยวี่ยไม่ไป หลายวันต่อมาเมื่อเดินทางไปอีกครั้งก็ไม่เห็นต้นซานฉานั้นแล้ว ที่แท้องค์ชายสามเล่นซน จับโคมหลวงพลิกคว่ำเผาต้นไม้จนมอดไหม้ จิ้นเยวี่ยน้ำตาร่วง ร้องไห้ตลอดทางจากวังหลวงกลับบ้าน
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ยอมเข้าวังอีกเลย จิ้นหมิงเจ้ากับเฉินจิ้งซูเชิญอาจารย์มาสอนตำราที่จวน ไม่คิดเลยว่าเพราะอาจารย์มีชื่อเสียงมากเกินไป สุดท้ายแม้แต่เหล่าองค์ชายองค์หญิงต่างก็พากันมาอย่างคึกคัก จิ้นเยวี่ยจำต้องเรียนร่วมห้องกับเฉินหรงอีกครั้ง
เฉินหรงรู้ว่าตนเองทำให้เด็กน้อยตัวขาวเนียนผู้นี้โกรธเสียแล้ว ทุกวันที่มาจึงนำดอกซานฉาใส่แจกันมาใบหนึ่ง วันนี้ใส่ถ้วยแก้ว พรุ่งนี้คงหอบมาอีกมากมาย ดอกซานฉาแต่ละดอกเบ่งบานสดสวยน่าชื่นอกชื่นใจ จิ้นเยวี่ยไม่สะดวกใจ จึงบอกว่าตนเองไม่ชอบดอกซานฉาอีกแล้ว เฉินหรงตบศีรษะเขาแปะๆ จากนั้นเริ่มนำพวกสิงโตทองไม่ก็ผีซิว* เงินมามอบให้
เฉินจิ้งซูบอกจิ้นเยวี่ยไม่ต้องสนใจ วันทั้งวันมีข้าวของจำพวกทองคำ เงิน และเพชรนิลจินดาจากวังหลวงส่งมาที่จวนสกุลจิ้น หากสกุลจิ้นไม่รับไว้ ผู้อื่นเห็นแล้วอาจรู้สึกไม่เหมาะสมได้ จิ้นเยวี่ยจำต้องยอมปล่อยเลยตามเลย ทั้งสองจึงอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรได้ต่อไป แต่พอเฉินหรงได้ออกนอกวังก็นั่งไม่ติด ผ่านไปไม่กี่วันก็ขุดอุโมงค์สุนัขที่สวนหลังจวนสกุลจิ้น พาพวกเด็กๆ แอบหนีออกไปวิ่งไล่หมาแมว กินดื่มเที่ยวเล่นตามท้องถนน
พอถูกลงโทษ เขาก็ชี้ที่จิ้นเยวี่ย บอกว่า ‘จิ้นเยวี่ยเป็นคนบอกข้าว่าตรงนั้นมีอุโมงค์สุนัข’
‘จิ้นเยวี่ยเป็นคนหลอกข้า บอกว่าซื้อของไม่ต้องจ่ายเงิน เจ้าของร้านรู้จักเขา เขาเป็นคนมีหน้ามีตา’
‘จิ้นเยวี่ยเป็นคนสอนข้า เพลงที่ขับร้องในหอพานโหลวไพเราะน่าฟัง แม่นางที่ตรอกจีเอ๋อร์ก็งามน่ารัก’
…เหล่านี้เป็นต้น
จิ้นเยวี่ยพูดไม่ออก กว่าจะบอกอย่างตะกุกตะกักออกมาได้ว่า ‘ข้าไม่ได้ทำ’ เฉินหรงก็โยนความผิดทั้งหมดมาให้ตนเสียแล้ว
เขาพูดเสียงแผ่วเบา นอกจากเฉินหรงแล้วคนอื่นล้วนไม่ได้ยิน เฉินหรงหันมามอง สีหน้าน้อยใจกรุ่นโกรธ ทว่านัยน์ตาจิ้งจอกที่ชี้ขึ้นกลับแฝงรอยยิ้มร้ายกาจ ดูเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
ครั้นโตขึ้นอีกหน่อย ลูกไม้เหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์ เฉินหรงเริ่มพาจิ้นเยวี่ยไปร่ำสุราเคล้าเสียงเพลงที่หอพานโหลวทุกวัน จิ้นเยวี่ยไม่ชอบดื่มสุรา เฉินหรงก็มักจะกรอกสุราให้กินจอกหนึ่ง พอจิ้นเยวี่ยเริ่มเมา นั่งนิ่งหน้าแดงอยู่ข้างกาย เขาก็จะหยิกหูหยิกหน้าจิ้นเยวี่ย
‘ชอบสตรีนางใด พี่ชายจะเรียกให้ เจ้าเคยหลับนอนกับสตรีหรือกอดจูบลูบคลำหรือไม่ ไม่เคยเลย? เจ้าโง่ วันนี้พี่ชายจะสอนให้’
จิ้นเยวี่ยเริ่มเรียนรู้ พอเฉินหรงพูดยั่วด้วยคำพูดไร้ความเกรงใจ เขาก็จะปลีกตัวหนีไปหาคนอื่น เพราะตอนที่ออกมาเฉินหรงมักไม่ได้พาเขามาคนเดียว มักพานางกำนัล ผู้ติดตาม และเหล่าองค์ชายองค์หญิงมาด้วย จิ้นเยวี่ยเกาะติดกับคนในกลุ่ม เฉินหรงก็ไม่อาจทำตัววุ่นวายคว้าจอกสุราหัวเราะร่าใส่หน้าเขาได้อีก
จิ้นเยวี่ยจำได้ บางเวลาที่หาได้ยากยิ่ง เฉินหรงก็จะเผยความคิดแท้จริงให้เห็น ครั้งหนึ่งเขาเคยถือคบไฟ มองดูจิ้นเยวี่ยในแสงไฟบอกว่า ‘ถ้าเจ้าไม่ใช่บุตรชายแม่ทัพจิ้นหมิงเจ้าก็คงดี’
จิ้นเยวี่ยยิ้มพลางตอบ ‘ถ้าข้าไม่ใช่บุตรชายเขา คงถูกท่านเล่นงานจนตายไปแล้ว’
เฉินหรงหัวเราะร่า ‘ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก!’
‘บุตรชายขุนนางกับผู้ถูกลิขิตให้ครองราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าไม่อาจเรียกขานกันว่าพี่น้อง แม้แต่สหายก็ไม่คู่ควร’ จิ้นเยวี่ยบอก ‘ต่อไปองค์ชายสามอย่าเรียกข้าออกไปร่ำสุรา มีข้าอยู่ พวกท่านพลอยหมดสนุก’
เวลานั้นหิมะตกหนัก คบไฟสว่างโร่ จิ้นเยวี่ยเห็นสีหน้าเฉินหรงไร้รอยยิ้มอย่างที่เคยเป็น เขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดสิ่งใด แต่ภายหลังอีกฝ่ายก็ไม่พาเขาออกไปเที่ยวเล่นที่หอพานโหลวอีก จากนั้นเขาก็มาที่เป่ยหรง ช่วงหนึ่งเดือนที่จิ้นเยวี่ยอยู่ในวังหลวงเคยคิดว่าฮ่องเต้หรือฮองเฮาจะมาเยี่ยมตนเองบ้าง หรืออย่างน้อยเฉินหรงที่วันทั้งวันชอบมาเคาะประตูปีนกำแพงจวนสกุลจิ้นเพื่อมาหาเขาก็น่าจะมาเยี่ยมบ้าง ถามไถ่ทุกข์สุขสักคำสองคำ หรือไม่ก็ส่งคนอื่นๆ มาแทน
แต่ไม่มีผู้ใดมา เขาอยู่ในลานเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ปลูกต้นซานฉาสองสามต้น นางกำนัลบอกว่าเป็นองค์ชายสามปลูกไว้ ค่ำวันหนึ่งจิ้นเยวี่ยทั้งกลัวทั้งเบื่อหน่าย คิดถึงบ้าน คิดถึงบิดามารดา จึงเผาต้นซานฉาจนไฟลุกโชติช่วงทั้งคืน
เฮ่อหลันเฟิงตั้งใจฟังอย่างละเอียด จับจุดที่ตนเองสนใจมาถามไม่หยุด “ตอนเด็กๆ เจ้าเป็นอย่างไร”
เฉินซวงกลั้นขำ แอบถอยหลังสองสามก้าวปลีกตัวออกมา
จิ้นเยวี่ยตอบ “…ก็เป็นเด็กธรรมดาๆ”
“ไม่น่าใช่หรอก” เฮ่อหลันเฟิงท้วง “ถ้าข้าพบเจ้าตั้งแต่เด็ก ข้าก็ต้องอดใจแกล้งเจ้าไม่ได้แน่”
จิ้นเยวี่ย “เจ้าโง่เอ๊ย”
เฮ่อหลันเฟิง “อาหว่าบอกว่าข้าบ้าต่างหาก”
จิ้นเยวี่ยกลั้นขำไม่ไหวจึงหัวเราะออกมา
นี่ใช่เวลาหัวเราะหรือ เขาพูดกับตัวเองในใจ
หนทางข้างหน้ายังไม่รู้ดีร้าย ประสบเคราะห์ภัยใหญ่หลวงแต่ไม่รู้เหตุใดเขาจึงอยากหัวเราะ อยากกระโดดขึ้นขี่หลังเฮ่อหลันเฟิง อยากออกไปขี่ม้าด้วยกัน ควบทะยานท่ามกลางสายลมบนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่
“เจ้าอยากไปเมืองปี้ซานกับข้าหรือไม่” จิ้นเยวี่ยถาม ย่อเข่าลงข้างกายเฮ่อหลันเฟิง
เฮ่อหลันเฟิงใช้กิ่งไม้ขีดเขียนชื่อจิ้นเยวี่ยบนพื้นโคลน ตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด “แน่นอน”
“ถ้าเฉินหรงอยู่ ข้าจะแนะนำเจ้าให้เขา”
“แนะนำอย่างไร” เฮ่อหลันเฟิงถาม “เอาอย่างนี้สิ ก็ให้ข้าเป็นม้าของเจ้า ใครหน้าไหนกล้ามากลั่นแกล้งเจ้า ข้าจะถีบให้ตาย”
จิ้นเยวี่ยตะลึงมอง
“เจ้าเป็นกวางอนิลของข้า” เขาตอบเสียงเบา “เจ้าจะแบกข้าขึ้นหลัง ไม่หวั่นสายลม ไม่กลัวหิมะ กล้าไปทุกหนแห่งทั่วหล้า”
เฮ่อหลันเฟิงพยักหน้า ครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้าอีก ทั้งสองคนเพียงเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว แค่ยิ้มเท่านั้น
ส่วนเรื่องที่ว่าหนทางข้างหน้ามิรู้ดีร้าย ประสบเคราะห์ภัยใหญ่หลวง จิ้นเยวี่ยรู้ดีว่าตนเองนั้นไม่กลัวแล้ว
เพราะเฮ่อหลันเฟิงอยากติดตามจิ้นเยวี่ยไปเมืองปี้ซาน วันต่อมาเขาจึงกลับไปรายงานที่กองบัญชาการกองทัพชาวหมาน จัดเตรียมกองทหารผู้ติดตามของอวิ๋นโจวอ๋องเสียใหม่ ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ยอมทำงานที่อวิ๋นโจวอ๋องสั่งอย่างฉับไวโดยไม่พูดให้มากความ ทำทุกอย่างได้เรียบร้อยเหมาะสม พอชายหนุ่มพบเขาก็ยิ้ม
“ขยันจริง เฮ่อหลันเฟิง”
เฮ่อหลันเฟิง “พาข้าไปเมืองปี้ซานด้วย”
อวิ๋นโจวอ๋องโบกมือ “เช่นนั้นเจ้าต้องช่วยข้าทำสองเรื่อง ดูซิว่าเจ้าจะจัดการได้ดีหรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงไม่มีทางเลือก ได้แต่ขบฟันแล้วผลุนผลันออกไป
ระหว่างสะสางงานจนหัวหมุน เขาก็ค่อยๆ พบว่าเรื่องเมืองปี้ซานทำให้บรรยากาศในกองบัญชาการกองทัพชาวหมานกับเมืองเป่ยตูแปลกแปร่งขึ้นทุกขณะ พอทุกคนได้รู้ว่าเขตแดนของเป่ยหรงจะขยายออกไปก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นกระสับกระส่าย ชาวเป่ยหรงที่เติบโตขึ้นมาในเมืองเป่ยตูส่วนใหญ่ไม่เคยเดินทางไปดินแดนทางใต้ ยิ่งไม่เคยเข้าใกล้แม่น้ำเลี่ยซิง มีเสียงเล่าลือกันในเมืองว่า ‘รอให้ลงนามในสัญญาสงบศึกที่เมืองปี้ซานเสียก่อน สินค้าจำพวกหนังสัตว์จำนวนมากจะถูกขายไปยังแคว้นต้าอวี่ ชาวเป่ยหรงจะได้เดินทางลงไปเรียนการต่อเรือที่แม่น้ำเลี่ยซิง ฮ่า! แม่น้ำ เคยเห็นแม่น้ำหรือไม่ ผืนน้ำทอดยาวกว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น มองไปไม่เห็นต้นน้ำ ยิงธนูยังไม่พ้นด้วยซ้ำ’ …เหล่าพ่อค้าเร่ถกเถียงกันในร้านสุราจนน้ำลายแตกฟอง แต่ก็มักถูกคนยิ้มเยาะ ไม่มีใครเชื่อ
ด้านหนึ่งเฮ่อหลันเฟิงเชื่อคำพูดของจิ้นเยวี่ย เชื่อว่าแม่น้ำเลี่ยซิงนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แต่เขาก็เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เข้าใจว่าใต้หล้านี้จะมีแม่น้ำสายใหญ่ปานนั้นด้วยหรือ แม่น้ำที่ไม่จับตัวแข็งในยามเหมันต์และมีน้ำเอ่อขึ้นในยามคิมหันต์ สะท้อนแสงดาวบนฟากฟ้าราตรีทั่วผืนน้ำ เรือลำใหญ่แล่นกระทบคลื่นจนฟองแตกกระเซ็น ขณะลากอวนปลาปากกว้างไปด้วย…นี่ฟังดูเหลือเชื่อเกินไป
เยวี่ยเหลียนโหลวกับเฮ่อหลันจินอิงสะกดความไม่พอใจที่มีต่อกัน หันมาหารือกันหลายหนเรื่องที่จิ้นเยวี่ยต้องร่วมเดินทางกะทันหันไปยังเมืองปี้ซานกับอวิ๋นโจวอ๋อง ทั้งสองต่างก็คิดว่าการหลบหนีจากเมืองปี้ซานดูไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก เพราะระหว่างการลงนามสัญญาสงบศึก เมืองปี้ซานจะต้องวางกำลังคุ้มกันแน่นหนาจนแม้แต่นกยังไม่อาจบินผ่าน นับประสาอะไรกับคนทั้งคน โอกาสเหมาะที่สุดน่าจะเป็นช่วงหลังการลงนามจนถึงระหว่างเดินทางกลับมายังเมืองเป่ยตู
ขอเพียงจิ้นเยวี่ยหนีจากคณะเดินทางมาได้ ก็เป็นไปได้ที่จะเดินทางถึงเทือกเขาอิงหลง ใช้เส้นทางที่จูเยี่ยเคยชี้แนะกลับแคว้นต้าอวี่
“ข้าไม่ชอบคำว่า ‘เป็นไปได้’ ” เยวี่ยเหลียนโหลวทักท้วง “ข้าอยากให้เจ้ารับรองว่าจิ้นเยวี่ยจะไปถึงเทือกเขาอิงหลงได้แน่ๆ และคนของพรรคหมิงเยี่ยจะคอยให้การช่วยเหลือที่เทือกเขาอิงหลง…”
“ข้ารับรองไม่ได้” เฮ่อหลันจินอิงตอบกลับ
เยวี่ยเหลียนโหลวพลิกแผนที่ “เช่นนั้นจะมีอะไรให้คุยอีก”
เฮ่อหลันจินอิง “…อยากทะเลาะกับข้าสินะ?”
เฮ่อหลันเฟิงกับจิ้นเยวี่ยแอบออกไปเงียบๆ ให้คนทั้งสองเถียงกันไม่หยุดภายในห้อง ความสัมพันธ์ระหว่างเยวี่ยเหลียนโหลวกับเฮ่อหลันจินอิงย่ำแย่ลงหลังจากภาพวาดแพร่หลายไปทั่วเมืองเป่ยตู เยวี่ยเหลียนโหลวประหลาดใจยิ่งที่พบว่าตนเองกลายเป็นร่างจำแลงของเทพแห่งที่ราบฉือวั่งหยวนไปแล้ว ลงมือจับพู่กันวาดภาพชายขี่หลังหมาป่าให้งดงามล้ำเลิศแทบไม่ต่างจากตนเอง ทำให้คนที่รู้จักเขามากมายพากันพูดด้วยความประหลาดใจว่า ‘ที่แท้เยวี่ยเหลียนโหลวก็คือเทพจำแลงมานี่เอง’
ภาพวาดเช่นนี้ เฮ่อหลันจินอิงพบเห็นเมื่อใดเป็นต้องฉีกทิ้ง
เรื่องนี้ยังไม่ทันถกให้แน่ชัด คืนนั้นเองอวิ๋นโจวอ๋องก็มาเชื้อเชิญจิ้นเยวี่ย บอกว่าคืนนี้อยากพูดคุยเล่นให้สำราญใจใต้แสงเทียนกันเสียหน่อย
เฮ่อหลันเฟิงเดินทางไปยังกองบัญชาการกองทัพชาวหมานพร้อมกับจิ้นเยวี่ย อวิ๋นโจวอ๋องจัดโต๊ะเลี้ยง เชื้อเชิญจิ้นเยวี่ยนั่งลงอย่างสุภาพยิ่ง สองคนต้องการพูดคุยเป็นการส่วนตัว เฮ่อหลันเฟิงจึงถูกไล่ออกมายืนคอยด้านนอกทั้งคืน ในห้องเงียบสงบ มีเสียงหัวเราะของอวิ๋นโจวอ๋องแว่วมาเป็นครั้งคราว คล้ายทั้งสองคนจะคุยกันอย่างออกรส
กระทั่งวันถัดมาจิ้นเยวี่ยถึงค่อยออกจากกองบัญชาการ อวิ๋นโจวอ๋องเดินมาส่ง กุมมือแนบแน่น “มิเสียทีที่เป็นแม่ทัพน้อย”
ชายหนุ่มยิ้มแย้มอย่างสนิทสนม ทว่าสีหน้าจิ้นเยวี่ยเย็นชา ไร้รอยยิ้มอย่างสิ้นเชิง
เฮ่อหลันเฟิงจับสังเกตได้ว่าเขาแปลกไป จึงก้มลงกระซิบถาม
“อวิ๋นโจวอ๋องเป็นคนทะเยอทะยาน” สองมือจิ้นเยวี่ยเย็นเฉียบปานน้ำแข็งราวกับตกใจจนขวัญหาย
เฮ่อหลันเฟิงดึงมือเขามากุมไว้ รับรู้ได้ว่ามือนั้นกำลังสั่นระริกไปถึงกระดูก
“เขาพูดอะไร”
“พูดหลายเรื่อง หลายเรื่องทีเดียว…คนผู้นี้ไม่ธรรมดา” จิ้นเยวี่ยกระซิบเสียงเครียด “เขาบอกว่าผู้มีชีพยืนนาน ไร้ขีดจำกัด ไม่มีขอบเขต หมดสิ้นความหวัง ไม่เรียกร้อง คงเหลือเพียงใจที่ร้อนรนกระวนกระวาย”
เฮ่อหลันเฟิงท้วง “ข้าไม่เข้าใจ”
จิ้นเยวี่ยจ้องมองเขม็ง ขยับปากบอก “ความหมายก็คือ สำหรับเขา พระชนม์ชีพของเทียนจวิน…ยืนยาวเนิ่นนานเกินไปแล้ว”
ที่ราบฉือวั่งหยวนร้อนขึ้นทุกที วันสิ้นเดือนห้าคณะเดินทางของอวิ๋นโจวอ๋องก็ออกเดินทางจากเมืองเป่ยตูไปยังเมืองปี้ซานที่อยู่ห่างไกลพร้อมกับคณะทูตจินเชียง จิ้นเยวี่ยร่วมเดินทางไปด้วย เฮ่อหลันจินอิงในฐานะแม่ทัพเป่ยตูได้รับมอบหมายจากเทียนจวินให้ร่วมเดินทางคุ้มกันคณะทูตจินเชียง ส่วนเฮ่อหลันเฟิงเป็นทหารติดตามอวิ๋นโจวอ๋อง ต้องเดินทางรับใช้ข้างกาย
ยามที่ต้องออกจากเมืองเป่ยตู จิ้นเยวี่ยกอดจั๋วจั๋วแน่น เนิ่นนานค่อยปล่อยตัวนางอย่างละล้าละลัง
“จั๋วจั๋วจะไปด้วย” เด็กหญิงพูดออดอ้อนในอ้อมอก “จั๋วจั๋วอยากไปเห็นผืนน้ำกว้างๆ”
จิ้นเยวี่ยจูบใบหน้าเล็กๆ ให้สัญญาว่า “คราวหน้าข้าจะพาเจ้าไปดูแม่น้ำเลี่ยซิงแน่ๆ ให้นั่งบนเรือลำใหญ่ที่สุด ออกเดินทางจากเมืองปี้ซานไปทางตะวันออกจนล่องออกทะเลไปเลย”
จั๋วจั๋วฟังแล้วเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง สรุปแล้วคราวนี้พานางไปด้วยไม่ได้ นางจึงร้องไห้โฮ
หร่วนปู้ฉีกับเฉินซวงคอยปลอบอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนก็ล้วนเก็บสัมภาระบ้างแล้ว เตรียมการจะไปคุ้มกันจิ้นเยวี่ยอย่างลับๆ
จิ้นเยวี่ยแอบมีลางสังหรณ์ว่าตนคงจะไม่ได้กลับมาที่เมืองเป่ยตูอีกแล้ว
จากเมืองเป่ยตูไปเมืองปี้ซานอากาศแจ่มใส หากเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน อย่างน้อยก็ใช้เวลาราวหนึ่งเดือน
คณะเดินทางด้วยรถม้าอันยาวเหยียดต้องผ่านเผ่าชิงลู่ เผ่าเยี่ยไถ ผ่านเมืองใหญ่อย่างผิงโจว ซังตัน อูหลุน สุดท้ายจึงจะถึงเมืองปี้ซาน
เนื่องจากอวิ๋นโจวอ๋องเป็นผู้นำคณะเดินทางด้วยตนเอง ทั้งยังมีคณะทูตจินเชียงร่วมด้วย จึงเป็นขบวนใหญ่น่าเกรงขาม ธงสัญลักษณ์โบกสะบัด ขบวนรถยาวเหยียดเคลื่อนไปตามที่ราบฉือวั่งหยวน
ที่ราบฉือวั่งหยวนในยามฤดูร้อน สายน้ำทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์ วัวแกะรวมฝูง คนเลี้ยงแกะเลี้ยงวัวไม่ได้สวมชุดยาวหนังแกะตัวหนา เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อนที่เบาสบายคล่องตัว ขี่ม้าต้อนฝูงสัตว์ เมื่อเดินทางไปถึงเผ่าชิงลู่ พวกเขาพบคณะเดินทางที่แปลกตากลุ่มหนึ่ง ครอบครัวห้าคนกำลังต้อนแกะฝูงเล็กที่มีราวๆ หนึ่งร้อยตัวซึ่งเล็มปลายใบหูออกแล้ว เตรียมจะไปแลกเปลี่ยนที่ตลาด
อาหว่าหยุดเพื่อสอบถาม ปีกลายเวลาเดียวกันนี้ คนต้อนแกะเดินทางลงใต้มักต้อนแกะไปถึงตลาดค้าสัตว์นานแล้ว ไม่มีใครเพิ่งจะออกเดินทางในยามฤดูร้อนเช่นนี้ ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่สัตว์ตกลูก รอจนลูกแกะ ลูกม้า ลูกอูฐเกิด จนกระทั่งพวกมันพอจะเดินกระย่องกระแย่งได้ ก็ควรเริ่มเดินทางไปตลาดค้าสัตว์ หากล่าช้าเกินไปจะหาทุ่งหญ้าดีๆ เลี้ยงฝูงแกะฝูงม้าไม่ได้
ทุกคนหยุดพักที่จุดพักม้า คณะทูตจินเชียงพักที่ลานด้านหลัง จิ้นเยวี่ยยังคงไม่ได้พบไป๋หนีและไม่เห็นแม้แต่เงาแม่ทัพสี่ เขากับเฮ่อหลันเฟิงไปเป็นเพื่อนอวิ๋นโจวอ๋องร่วมสนทนากับครอบครัวนั้น
อวิ๋นโจวอ๋องฟังอยู่สักพักก็ยิ้ม หันไปพูดกับจิ้นเยวี่ย “ที่แท้พวกเขาก็ดูแลอาไป้”
จิ้นเยวี่ยถาม “อะไรคืออาไป้”
เฮ่อหลันเฟิงอธิบายให้ฟัง “อาไป้ก็คือปราชญ์ที่ขับลำนำแห่งสรวงสวรรค์ได้ ผู้อาวุโสอาขู่ล่าแห่งเผ่าเยี่ยไถก็คืออาไป้”
จิ้นเยวี่ยตะลึง “อาขู่ล่ารู้วิชาแพทย์ เป็นหมอผี แล้วยังเป็นอาไป้ด้วย?”
ชายชราที่ถูกเรียกว่า ‘อาไป้’ มีดวงตาขุ่นมัวราวกับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกขาวรางเลือน ยามมองดูผู้คนมักหรี่ตาเพ่งมองขมวดคิ้วนิ่วหน้า ทำท่าสูดดมฟุดฟิด จิ้นเยวี่ยอดจะหวนนึกไปถึงตอนที่อาขู่ล่าและหัวหน้าหมอผีทำท่าทางเช่นนี้กับตนเองไม่ได้ พวกเขากำลังสูดกลิ่นวิญญาณของคนที่อยู่ตรงหน้า
อาไป้ไม่มีที่อยู่ มักเร่ร่อนไปทั่วที่ราบฉือวั่งหยวนไม่หยุดพัก ตอนแรกพวกเขาขับลำนำแห่งสรวงสวรรค์ไม่เป็น หลายคนในนั้นไม่เข้าใจแม้แต่ตัวอักษรของเป่ยหรงด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะจู่ๆ ก็ตื่นขึ้นในวันหนึ่ง หรืออาจฟื้นไข้หลังจากล้มป่วยอย่างหนัก พวกเขาเหมือนถูกเทพแห่งที่ราบฉือวั่งหยวนปลุกให้ตื่น ทันใดนั้นก็รู้จักขับลำนำแห่งสรวงสวรรค์ที่ยาวเหยียดและท่วงทำนองเนิบช้าได้
ลำนำแห่งสรวงสวรรค์เป็นบันทึกของเทพเจ้าที่ท่องไปในโลกมนุษย์ เล่าสืบต่อกันมาว่าเนิ่นนานแสนนานมาแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีแคว้นเป่ยหรง ไม่มีแคว้นต้าอวี่ ที่ราบฉือวั่งหยวน และเขาเซวี่ยหลางยังไม่ถูกตั้งชื่อ องค์เทพขี่อาชาสูงใหญ่ที่ภักดียิ่งออกตระเวนในโลกมนุษย์ บังเอิญเหยียบย่ำกรงขังปีศาจร้ายจนหักพังอย่างไม่ได้ตั้งใจ ปีศาจร้ายจึงฉวยโอกาสเล็ดลอดออกมาก่อหายนะบนโลก องค์เทพเสียพระทัยอย่างมาก จึงจุติลงมาเกิดเป็นเทพเจ็ดองค์เสด็จมายังที่ราบฉือวั่งหยวน ชำระล้างร่างลวงของปีศาจร้าย
เหล่าเทพขี่กวาง ขี่หมาป่า ขี่ม้า ถืออาวุธเปล่งประกายสีทองไว้ในพระหัตถ์ แทงทะลุอกปีศาจร้าย บางองค์ยังยืนหยัดอยู่ได้ บางองค์ก็เปรอะเปื้อนโลหิตปีศาจร้ายจนตกเป็นเชลยของมัน ปีศาจร้ายผ่านไปที่ใด ผืนดินก็แตกระแหง เด็กสาวผู้มีจิตแห่งเทพอยู่ในตัว ย่ำเท้าเปล่าของนางลงบนผืนดินแห้งผากดำทะมึน วสันต์ก็ผลิออกจากรอยเท้าของนางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เวิ้งฟ้าที่ปีศาจร้ายแลบลิ้นเลียปริแตกเป็นโพรง หิมะตกกระหน่ำทั้งปีประหนึ่งสายฝนจนสรรพสิ่งเหี่ยวเฉา ชายหนุ่มผู้มีจิตแห่งเทพอยู่ในตัวควบขี่หมาป่าตัวใหญ่ น้าวคันธนูยาวสีทองเล็งจันทราแดงฉาน หัวลูกศรคมปลาบดำสนิทปิดผนึกรอยแตกร้าวมหึมา ดวงดารากลับมาเปล่งประกายได้อีกครั้งบนฟากฟ้าเหนือทุ่งหญ้า
ถ้าจะขับลำนำแห่งสรวงสวรรค์ สิบวันสิบคืนก็ไม่จบ ในลำนำนั้นมีทั้งเสียงร่ำไห้และเสียงโห่ร้อง มีดวงเดือนดวงตะวันดวงดาราผลัดกันขึ้นแล้วตก มวลเมฆสายฝนพัดพลิ้วเหนือผืนดินกว้าง ดวงตะวันคือพระเนตรสุดท้ายขององค์เทพ
ตอนนั้นอาไป้ท่านนี้หมดสติล้มลงนอกกระโจมสักหลาดคนต้อนสัตว์ คนเหล่านั้นช่วยชีวิตเขาไว้ เขาอายุมากแล้ว ออกเดินทางในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่อากาศยังหนาวเย็นไม่ไหว คนต้อนสัตว์เคารพอาไป้มาก จึงรอให้ร่างกายของเขาฟื้นตัวก่อนค่อยนำฝูงแกะออกเดินทาง อาไป้บอกพวกเขาว่าถึงแม้ตนเองจะไม่เห็นที่ราบฉือวั่งหยวน แต่สูดกลิ่นได้ว่าผืนหญ้าที่ดีที่สุดของที่ราบฉือวั่งหยวนอยู่ที่ใด เขาชี้ไม้เท้าในมือไปทิศใดก็ให้เดินทางไปที่นั่น
อวิ๋นโจวอ๋องฟังอย่างเพลิดเพลินยิ่ง อาไป้ยังขับลำนำแห่งสรวงสวรรค์ท่อนหนึ่งให้เขาฟัง จิ้นเยวี่ยยืนฟังนิ่งงัน ถึงจะฟังไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว หากแต่ท่วงทำนองอ้อยอิ่งเนิบช้าชวนให้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินมาก่อน
เฮ่อหลันเฟิงจึงบอกว่านั่นเป็นเพราะลำนำทั้งหลายในใต้หล้าล้วนมาจากการบรรเลงขององค์เทพ มนุษย์ทุกคนในใต้หล้าล้วนเป็นบุตรแห่งองค์เทพ เขารู้สึกว่าท่วงทำนองที่ราวกับคุ้นหูจะต้องเป็นเพราะเคยได้ฟังมาก่อนในอดีตชาติอันไกลโพ้น
“ชาวที่ราบฉือวั่งหยวนเชื่อเรื่องชีวิตในอดีตชาติด้วยหรือ” จิ้นเยวี่ยถาม
“เชื่อสิ ผู้อาวุโสอาขู่ล่าเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พวกเราฟัง แต่ข้าไม่ค่อยจะฟังนัก ชาติก่อนชาติหน้า ตอนนี้ข้าจำไม่ได้และไม่รู้ด้วย” เฮ่อหลันเฟิงหวนนึกถึงคำพูดของอาขู่ล่า “อดีตชาติของทุกคนลิขิตไว้แล้ว เราเป็นม้า เป็นลูกแกะ เป็นอูฐอนิล ยังอาจเป็นกบ เป็นปลา หรืออาจเป็นเหยี่ยวก็ได้”
“เพราะได้รับความทุกข์มามากพอแล้ว ชาตินี้ก็เลยได้เกิดเป็นคนอย่างนั้นหรือ” จิ้นเยวี่ยถามยิ้มๆ เขากับเฮ่อหลันเฟิงกำลังแปรงขนที่หลังให้เฟยเซียว
เฮ่อหลันเฟิงสีหน้าแปลกใจ “ไม่ใช่ เกิดเป็นคนก็เป็นการเผชิญทุกข์เหมือนกัน”
จิ้นเยวี่ยตะลึง “เช่นใดนะ”
“ดีที่สุดคือได้เกิดเป็นปลา ชาวที่ราบฉือวั่งหยวนไม่ฆ่าปลา ปลาคือร่างจำแลงขององค์เทพ” เฮ่อหลันเฟิงบอก ตำนานในลำนำแห่งสรวงสวรรค์ เทพองค์สุดท้ายไม่ได้กลับไปยังเวิ้งฟ้า นางพบรักกับราชาแห่งทุ่งหญ้า ให้กำเนิดบุตรของเขา ตอนที่ต้องจากโลกมนุษย์ไป นางกลายร่างเป็นปลาเกล็ดเงินกระโจนลงสู่มหาสมุทร
จิ้นเยวี่ย “…เจ้าโกหก! เจ้า เจ้าพาข้าไปจับปลานี่นา!”
เฮ่อหลันเฟิงยิ้ม “แต่ไม่ได้กิน”
จิ้นเยวี่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ เฮ่อหลันเฟิงสอนเขาจับปลาแต่ตนเองไม่กิน ปลาเหล่านั้นล้วนให้จิ้นเยวี่ยกับหร่วนปู้ฉีกิน แต่หร่วนปู้ฉีเรียนรู้การเจาะแม่น้ำน้ำแข็งเพื่อจับปลาได้เร็วกว่าจิ้นเยวี่ย ขณะเดียวกันถ้านางจับปลาแล้วนำไปให้จั๋วจั๋ว จั๋วจั๋วก็จะปล่อยปลาตัวนั้นกลับลงในโพรงที่เจาะนั่นเอง
“ข้าเคยได้ยินพ่อค้าเร่เล่าให้ฟังว่าชาวต้าอวี่ชอบกินปลา” เฮ่อหลันเฟิงตั้งใจแปรงขนแผงคอให้เฟยเซียว “ตอนนั้นบ้านข้าไม่มีอะไรให้เจ้ากิน มีเพียงปลาที่หามาได้เร็วและสะดวกที่สุด”
จิ้นเยวี่ยมองดูเขาเนิ่นนาน มองเสียจนเฮ่อหลันเฟิงหน้าแดง “อย่ามองสิ ขืนยังมองอีก ข้าจะจูบเจ้าเสียตรงนี้เลย”
“เป็นเหยี่ยวเล่า” จู่ๆ จิ้นเยวี่ยก็ถามเฮ่อหลันเฟิง “ข้าว่าเป็นเหยี่ยวดีกว่าเป็นปลา”
“ชาตินี้ข้าได้เป็นคน ชาติหน้าเป็นเหยี่ยว ชาติต่อไปค่อยเป็นปลา” เฮ่อหลันเฟิงตอบ “พวกเราเป็นเหมือนกัน”
“หลังจากปลาเล่า”
“…” เฮ่อหลันเฟิงครุ่นคิดสักพัก “หลังจากนั้นก็ไม่มีแล้ว”
จิ้นเยวี่ยรีบท้วง “ไม่ได้!”
เฮ่อหลันเฟิง “เช่นนั้นแล้วจะให้เป็นอย่างไร”
จิ้นเยวี่ยบอกไม่ถูกว่าตนเองอยากให้เป็นอย่างไร สรุปแล้วก็คือไม่ได้ เฮ่อหลันเฟิงดีดน้ำสะอาดใส่ใบหน้าเขาสองทีแล้วหัวเราะฮ่าๆ
เฮ่อหลันจินอิงเคี้ยวเนื้อตากแห้งชิ้นหนึ่ง สีหน้าขรึมยืนอยู่ไม่ไกล เด็กหนุ่มทั้งสองพูดคุยกันด้วยภาษาต้าอวี่ คนรอบข้างฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เขากลับฟังออกทั้งหมด อวิ๋นโจวอ๋องส่งอาไป้กับคนเหล่านั้นไปแล้ว จึงเดินมาแอบฟังด้วยกันข้างๆ เขา
“อาไป้เฒ่าชราถึงปานนี้ เกรงว่าคงอยู่ไม่พ้นฤดูหนาวปีนี้” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “เขาได้กลิ่นบุตรแห่งทวยเทพจากตัวข้า”
เฮ่อหลันจินอิงหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง แต่จำต้องตอบรับ ก้มศีรษะอย่างนอบน้อม “อวิ๋นโจวอ๋องย่อมเป็นบุตรแห่งทวยเทพที่ลงมายังแคว้นเป่ยหรงเพื่อบุกเบิกขยายดินแดนให้กว้างไกล”
อวิ๋นโจวอ๋องหัวเราะร่า กระซิบว่า “เฮ่อหลันเฟิงกลับไปเผ่าเยี่ยไถ นำธนูคันใหม่ติดตัวมาด้วย ถ้าข้ามองไม่ผิด นั่นเป็นคันธนูของเผ่าเกาซิน? เป็นคันธนูฉินเยวี่ยในตำนานที่พุ่งทะยานถึงดวงจันทร์ ทิ้งเกล็ดทองระยิบระยับดุจดวงดาวเป็นทางใช่หรือไม่”
เฮ่อหลันจินอิง “ใช่หรือ ข้าไม่ยักจำได้”
อวิ๋นโจวอ๋อง “จูเยี่ยตายแล้ว แต่คืนที่นางวางเพลิง กลับตามหาคันธนูนั้นไม่พบ”
เฮ่อหลันจินอิง “ถ้าข้าเป็นจูเยี่ย ข้าจะนำคันธนูไปซ่อนไว้ในที่ที่ไม่มีใครหาพบ”
อวิ๋นโจวอ๋องจ้องมองเขาสักพัก ยิ้มพลางตบบ่า หันหลังเดินจากไป
สองวันถัดมาคณะเดินทางก็ออกเดินทางต่อ ในที่สุดพวกเขาก็ออกจากเขตแดนเผ่าชิงลู่ จิ้นเยวี่ยยังคงมีทหารติดตามของอวิ๋นโจวอ๋องเฝ้าคุ้มกันอย่างแน่นหนา บางครั้งก็เป็นเฮ่อหลันเฟิง บางครั้งก็เป็นหุนต๋าเอ๋อร์
คราวนี้หุนต๋าเอ๋อร์ได้ติดตามมาด้วย ตำแหน่งของเขาตอนนี้สูงกว่าเฮ่อหลันเฟิงอยู่บ้าง นิสัยชอบพูดกระโชกโฮกฮากใส่เฮ่อหลันเฟิงกลับมาเป็นครั้งคราว ทำเอาเฮ่อหลันเฟิงมีสีหน้าไม่พอใจ
จิ้นเยวี่ยยังรู้ด้วยว่าคราวนี้หุนต๋าเอ๋อร์พาตูเจ๋อมาด้วย
ตูเจ๋อยังคงเป็นคู่หูตามติดเขา เขาไปที่ใด ตูเจ๋อต้องตามไปที่นั่น สองคนเคยระเบิดอารมณ์ทะเลาะกัน ตูเจ๋อตักน้ำมาให้หุนต๋าเอ๋อร์ล้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ หุนต๋าเอ๋อร์เงื้อแส้ม้าตีตูเจ๋อหลายครั้ง
“อย่าทำแง่งอนราวกับเด็กสาวไปหน่อยเลย! เจ้าอยากเป็นทหาร ข้าก็พาเจ้ามาแล้ว! นี่เป็นการเดินทางไปเมืองปี้ซาน ชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่มีทางได้รับเกียรติถึงเพียงนี้หรอก ยังจะชักสีหน้าใส่ข้าอีก!”
เขาฟาดแส้ไปหลายหน สุดท้ายครั้งหนึ่งไม่ได้ออมมือ แส้ฟาดถูกใบหน้าตูเจ๋ออย่างแรง
แม้แต่จิ้นเยวี่ยก็ยังตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบถองข้อศอกสะกิดบอกเฮ่อหลันเฟิง “เจ้าไม่ไปไกล่เกลี่ยหน่อยหรือ”
เฮ่อหลันเฟิงกวาดตามอง สีหน้าเรียบเฉย “เมื่อก่อนเขาก็ตีข้าอย่างนี้แหละ”
จิ้นเยวี่ย “…”
เฮ่อหลันเฟิงแสยะยิ้ม “ตูเจ๋อก็เคยฟาดข้าด้วยแส้ม้า”
พูดจบก็ก้มลง ใช้กระดาษทรายขัดถูหยกทรงหัวกวางที่ตนเองมอบให้จิ้นเยวี่ยอย่างใส่ใจยิ่งจนหัวกวางขึ้นเงาเปล่งประกายงดงาม
ตูเจ๋อกุมใบหน้า ก้มศีรษะเดินจากไป แส้หนนี้ฟาดแรงมาก จิ้นเยวี่ยเห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาบวมเป่งแดงก่ำอยู่หลายวัน แม้แต่จะพูดก็ยังไม่สะดวก ทหารชาวหมานข้างกายเขาบางคนสงสาร บ้างก็ล้อเลียน จิ้นเยวี่ยขอยารักษาแผลจากอวิ๋นโจวอ๋องไปให้ตูเจ๋อ ตูเจ๋อซาบซึ้งมากจนกล่าวคำขอบคุณ
ด้วยเดินทางอย่างเร่งรีบเช่นนี้ หนึ่งเดือนให้หลังคณะเดินทางก็มาถึงค่ายเผ่าเยี่ยไถในที่สุด
ขณะเข้าพักที่จุดพักม้าห่างจากค่ายเยี่ยไถเป็นระยะเดินทางหนึ่งวัน เฮ่อหลันเฟิงตื่นเต้นเสียจนนอนไม่หลับจึงอาสาอยู่เวรกลางคืน จิ้นเยวี่ยก็นอนไม่หลับเช่นกัน ตกค่ำรอจนเฮ่อหลันเฟิงเดินลาดตระเวนตรวจตราเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็พากันปีนขึ้นหลังคารถม้า พูดคุยเล่นพลางชมดาวด้วยกัน
“ช่วงเวลานี้คนในเผ่าเยี่ยไถมากมายล้วนย้ายตามฝูงสัตว์ไปแล้ว กว่าจะกลับมาก็ฤดูหนาว” เฮ่อหลันเฟิงยังได้พูดถึงหลายชื่อ ล้วนเป็นอามา* ชาวเป่ยหรงที่ตอนนั้นช่วยดูแลจั๋วจั๋วกับจิ้นเยวี่ย “แต่อาขู่ล่าไปไม่ได้ เขาต้องอยู่เฝ้าค่ายตลอด”
จิ้นเยวี่ยนึกขึ้นได้จึงถาม “อาขู่ล่าดูเหมือนจะรู้วิชาต่อสู้ กำลังภายในของเขาคล้ายกับของพวกเยวี่ยเหลียนโหลว”
พูดเพิ่งจบ ก็มีเสียง “เอ๋?” ดังขึ้นด้านหลังรถม้า
เยวี่ยเหลียนโหลวสวมชุดดำทั้งตัว พลิกร่างปีนขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว เขาทรุดนั่งลงระหว่างจิ้นเยวี่ยกับเฮ่อหลันเฟิง โอบกอดทั้งสองคนไว้ซ้ายขวา หันหน้าไปถาม “เจ้าพูดถึงอาขู่ล่า?”
จิ้นเยวี่ยได้กลิ่นสุราจากตัวเขา “ท่านแอบดื่มสุราที่จุดพักม้า?”
เยวี่ยเหลียนโหลว “แอบดื่มอะไรกัน ข้าเป็นคนพรรค์นั้นหรือ อยากดื่มก็ดื่มอย่างเปิดเผย ทำอย่างไรก็จับข้าไม่ได้หรอก”
เฮ่อหลันเฟิงค่อยนึกขึ้นได้ตอนนี้ว่าอาขู่ล่าเคยใช้ฝ่ามือประกบที่กระหม่อมของเขาจนน้ำแข็งที่จับตัวเป็นแท่งบนเส้นผมละลาย
เยวี่ยเหลียนโหลวลูบคางพลางพยักหน้าหงึกๆ “ฟังดูคล้ายวิชาแปลงวสันต์หกแปรเปลี่ยนจริงๆ”
เยวี่ยเหลียนโหลวฉวยโอกาสที่จิ้นเยวี่ยกับเฮ่อหลันเฟิงไม่ทันระวังตัว รีบจูบใบหน้าทั้งสองคนละที หัวเราะคิกคักก่อนพลิกร่างลงจากรถม้าไป
เฮ่อหลันเฟิงโกรธจนหน้าซีด ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดถูเป็นพัลวัน
อย่างที่เฮ่อหลันเฟิงคาดไว้ ยามขบวนรถม้าเดินทางมาถึงค่ายเยี่ยไถ คนที่มาต้อนรับพวกเขาก็คือชายชราผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า หน้าแดงระเรื่อ ผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยริ้วรอย ก็คืออาขู่ล่าผู้นิ่งขรึมอยู่เป็นนิจนั่นเอง
เผ่าเยี่ยไถมีคนไม่มาก อยู่กันอย่างกระจัดกระจายหลายค่าย ค่ายที่เฮ่อหลันเฟิงกับพี่น้องอาศัยอยู่เป็นค่ายใหญ่และสำคัญที่สุด อาขู่ล่าเป็นหมอผีของเยี่ยไถ ทั้งยังเป็นหมอ ขณะเดียวกันก็เป็นอาไป้ที่ขับลำนำแห่งสรวงสวรรค์ได้ ยามนี้เมื่อจิ้นเยวี่ยมองเขา สายตาจึงเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
อาขู่ล่าจำอวิ๋นโจวอ๋องได้ อวิ๋นโจวอ๋องกลับจำเขาไม่ได้ เพียงรู้ว่าคนผู้นี้มีฐานะสูงส่งน่าเกรงขามในเผ่าเยี่ยไถ จึงคำนับทักทายอาขู่ล่าอย่างนอบน้อม ทว่าอาขู่ล่ากลับทำสีหน้าเย็นชาเรียบเฉยตลอดเวลา ยามต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มจมูกยังกระตุกไม่หยุดอีกด้วย
ขบวนรถยิ่งใหญ่เอิกเกริกเคลื่อนเข้าสู่ค่ายเยี่ยไถ เฮ่อหลันเฟิงจัดการงานในหน้าที่เรียบร้อยก็ส่งสายตาให้จิ้นเยวี่ยตลอด เฮ่อหลันจินอิงรู้ว่าเขาอยากจะกลับบ้านจึงถลึงตาใส่อย่างดุๆ อวิ๋นโจวอ๋องกลับโบกมือ
“เฮ่อหลันเฟิง หุนต๋าเอ๋อร์ พวกเจ้าสองคนกลับไปเยี่ยมคนที่บ้านก่อนเถอะ”
มารดาของหุนต๋าเอ๋อร์อยู่ที่เยี่ยไถ แต่ตอนนี้ย้ายตามคนต้อนสัตว์คนอื่นๆ ไปยังทุ่งหญ้าแห่งใหม่แล้ว ไม่ถึงฤดูหนาวก็จะยังไม่กลับ ตูเจ๋ออยากกลับบ้านไปเยี่ยมปู่กับย่า หุนต๋าเอ๋อร์ตามเขาไปด้วย สบถด่าไปตลอดทาง ตูเจ๋อไม่กล้าโต้ตอบสักคำ ส่วนเฮ่อหลันเฟิงกับจิ้นเยวี่ยปลีกตัวจากคณะเดินทาง เดินไปยังริมขอบของค่าย
คณะทูตจินเชียงหยุดพักที่ริมค่าย ปักกระโจมใหญ่หลายหลังไว้รอบๆ จิ้นเยวี่ยไม่รู้ว่าไป๋หนีอยู่ที่ใด เดิมทีก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เป่ยตู เขายังอาศัยเยวี่ยเหลียนโหลวสืบข่าวคราวหญิงสาวได้ บัดนี้ข้างกายนางมีคนเฝ้ามากกว่าเดิม ถึงแม้เยวี่ยเหลียนโหลวจะติดต่อกับกองทหารอย่างใกล้ชิด แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยให้พวกเขาสองคนส่งข้อความหากันได้
เฉินซวงกับหร่วนปู้ฉีก็ติดตามมาแต่จิ้นเยวี่ยไม่เห็นตัว ไม่รู้ว่าทั้งสองคนหมอบซุ่มอยู่ที่ใด ตามที่เฉินซวงบอก เขากับหร่วนปู้ฉีมีวิชาตัวเบาเหนือกว่าเยวี่ยเหลียนโหลว ทั้งยังซ่อนตัวได้มิดชิด ถ้าทั้งสองคนไม่อยากให้ใครจับได้ก็จะไม่มีใครหาตัวพวกเขาพบเช่นเดียวกับที่จิ้นเยวี่ยกับเฮ่อหลันเฟิงหาไม่พบ ที่จริงจิ้นเยวี่ยกับเฮ่อหลันเฟิงก็พยายามตามหาอยู่หลายวัน สุดท้ายทั้งคู่ก็พบว่าแม้แต่เยวี่ยเหลียนโหลวที่ไปมาเหมือนผีก็ยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าจะหาเฉินซวงกับหร่วนปู้ฉีพบ
กระโจมสักหลาดปักไว้อย่างมั่นคง สะอาดสะอ้านทั้งภายในภายนอก เฮ่อหลันเฟิงมองรอบๆ ยิ้มแล้วเอ่ย “ผู้อาวุโสอาขู่ล่าช่วยปัดกวาดให้พวกเรา” เขายิ้มพลางชี้ไปที่เตาเล็กๆ ใบหนึ่งตรงมุมที่ใช้จุดสมุนไพรไล่แมลง
เทียบกับเมื่อก่อนนั้น กระโจมสักหลาดโอ่โถงและกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เตียงหลังเล็กของจั๋วจั๋วกับหร่วนปู้ฉีไม่อยู่แล้ว ฉากบังลมที่เฮ่อหลันเหยี่ยหามาให้ภรรยาก็ถูกย้ายไปยังเป่ยตูแล้ว ส่วนโต๊ะที่ตอนนั้นเฮ่อหลันเฟิงใช้นั่งเรียนเขียนอักษรฮั่นยังอยู่ ทั้งพู่กันและหมึกยังวางไว้ที่เดิม จิ้นเยวี่ยหยิบขึ้นมาดู แท่งหมึกแตกเสียแล้ว
เฮ่อหลันเฟิงค้นหาไปทั่วกระโจม พบผ้าห่มสกปรกสองผืน ทั้งสองทรุดลงนั่งขัดสมาธิหน้าโต๊ะเตี้ยตัวนั้น
“คืนนี้นอนที่นี่หรือ”
“ก็น่าจะ” เฮ่อหลันเฟิงตอบ “พี่ใหญ่ไม่รู้ว่าจะกลับมาหรือไม่ เขาอาจอยู่เฝ้าเวรยามทางแม่ทัพสี่”
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพัก เฮ่อหลันจินอิงก็กุมกระบี่เดินเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึม ชายหนุ่มนั่งลงต่อหน้าทั้งสองคน ยามแรกหันมองจิ้นเยวี่ย จากนั้นจึงหันไปจ้องมองเฮ่อหลันเฟิง
“คุยอะไรกัน” เขาถามเสียงกร้าว
“เรื่องทั่วไป” เฮ่อหลันเฟิงถามกลับ “ท่านอารมณ์ไม่ดีหรือ”
สายตาเฮ่อหลันจินอิงเคลื่อนไปมาระหว่างคนทั้งสอง สักพักจึงค่อยเอ่ยปาก “อวิ๋นโจวอ๋องจำคันธนูของเจ้าได้”
เฮ่อหลันเฟิงพยักหน้า
เฮ่อหลันจินอิงถามอีก “เจ้าตั้งใจจะสะพายติดตัวไว้ตลอดเวลาหรือ”
เฮ่อหลันเฟิง “แน่นอน”
เงียบกันไปพักใหญ่ เฮ่อหลันจินอิงก็ส่งเสียง “อืม” แล้วพูดว่า “อวิ๋นโจวอ๋องน่าจะมองออก แต่เขา…เขาก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา “คนผู้นี้น่าหงุดหงิดนัก”
จิ้นเยวี่ยพลันพูดขึ้น “แม่ทัพเฮ่อหลัน อวิ๋นโจวอ๋องเคยพูดจาแปลกๆ กับข้า”
วันนั้นที่อวิ๋นโจวอ๋องเรียกเขาไปที่กองบัญชาการกองทัพชาวหมานได้พูดคุยด้วยหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่เรื่องที่ในอดีตเทียนจวินเจ๋อเวิงได้ปราบปรามห้าเผ่าจนเหตุจลาจลสงบราบคาบ ยังพูดถึงการประจันหน้าหลายครั้งระหว่างเทียนจวินกับจิ้นหมิงเจ้าที่ชายแดนต้าอวี่ อวิ๋นโจวอ๋องเอาแต่พูดถึงบิดาของตัวเอง บางครั้งก็พูดถึงตัวเอง
ช่วงที่เจ๋อเวิงยังแข็งแรงดี อาหว่าเพิ่งอายุได้สิบกว่าขวบ บัดนี้เป่ยหรงขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวาง สิบสองเมืองตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิงที่ช่วงชิงมาได้ต้องแบ่งสันให้แก่เผ่าทั้งห้า มีราษฎร มีที่ดินและเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ผลกระทบที่เกิดจากความวุ่นวายระหว่างห้าเผ่าส่วนใหญ่จึงผ่อนคลายลง หลังจากลงนามในสัญญาสงบศึกปี้ซานแล้ว เป่ยหรงจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขอันยาวนาน เจ๋อเวิงจะกลายเป็นเทียนจวินที่ประทับในความทรงจำไปอีกหลายชั่วอายุคน
“อวิ๋นโจวอ๋องร้อนใจใช่หรือไม่” เฮ่อหลันจินอิงถามขึ้นทันควัน “บัดนี้ชายาอ๋องกำลังตั้งครรภ์ บุตรคนนี้จะเป็นรัชทายาทของแคว้นเป่ยหรง ตอนนี้เทียนจวินยังทรงหนุ่มแน่นมีกำลังวังชา หากต้องรอให้เทียนจวินสวรรคต อย่างน้อยก็คงอีกสักยี่สิบปี หลังจากยี่สิบปีอวิ๋นโจวอ๋องก็คงอายุมากแล้ว บุตรของเขาเติบโตขึ้นจนได้เป็นอวิ๋นโจวอ๋องคนถัดไป กลายเป็นภัยคุกคามใหม่”
“เขารอไม่ไหวแล้ว” จิ้นเยวี่ยกระซิบบอก “ผู้มีชีพยืนนาน ไร้ขีดจำกัด ยี่สิบปีสำหรับอวิ๋นโจวอ๋อง เป็นเวลาที่ยาวนานยากจะอดกลั้น”
เฮ่อหลันเฟิงมองจิ้นเยวี่ยทางซ้าย และมองพี่ชายของตนเองทางขวา ไม่ได้พูดอะไรสักคำ รอจนเฮ่อหลันจินอิงจากไปด้วยสีหน้าหนักใจ จึงค่อยกระซิบว่า “ความรักระหว่างบิดากับบุตร แท้จริงเป็นเช่นนี้หรือ”
“ราชวงศ์ไม่มีบิดากับบุตร” จิ้นเยวี่ยบอก “ความยั่วยวนของการได้ครอบครองใต้หล้า ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ต้านทานไหว”
“พี่ชายข้าเปลี่ยนไป” เฮ่อหลันเฟิงว่า “เขามีเรื่องให้ต้องคิดมากมาย ไม่สะดวกใจจะบอกให้ข้ารู้ หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ทิศใต้ของเมือง นับวันเขายิ่งทำตัวแปลกพิกล”
จิ้นเยวี่ยถาม “เขาบอกว่าจะใช้วิธีของตัวเองทำให้ที่ราบฉือวั่งหยวนจดจำชาวเกาซินได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นวิธีใด”
เฮ่อหลันเฟิงส่ายหน้า หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก็ผุดลุกจากพื้น เขาคว้ามือจิ้นเยวี่ย “คืนนี้ข้ายังต้องกลับไปประจำการข้างกายอวิ๋นโจวอ๋อง เราไปขี่ม้าเล่นกันเถอะ!”
จิ้นเยวี่ยตั้งชื่อให้ม้าของตนเองว่า ‘ท่าอวิ๋น’ เนื่องจากม้าตัวนั้นมีขนยาวสีขาวแซมที่กีบเท้าทั้งสี่ ยามห้อตะบึงดูราวกับกำลังเหยาะย่ำบนปุยเมฆบางเบา เฮ่อหลันเฟิงชอบชื่อนี้มาก เชื่อสนิทใจว่าม้าทั้งสองตัวนี้เกิดมาคู่กัน
เวลานี้เป็นช่วงต้นคิมหันต์ หญ้าบนที่ราบฉือวั่งหยวนกำลังเขียวชอุ่ม เทือกเขาอิงหลงและเทือกเขาคู่ตู๋หลินยังคงมีหิมะปกคลุมบนยอดตั้งกระหนาบอย่างสงบทางทิศเหนือและใต้ เหยี่ยวโตเต็มวัยบินร่อนใต้ท้องฟ้าสีคราม ม้าควบตะบึงบนทุ่งหญ้าที่ยังไม่ถูกเหยียบย่ำ ปลุกฝูงแมลงแตกฮือ แม่น้ำไหลเชี่ยว ลูกปลาเกล็ดสีเงินแซมดำแหวกว่ายใต้ผืนน้ำใสกระจ่าง ม้าลงวิ่งลุยน้ำจนฝูงปลาแตกตื่นแหวกว่ายหนีหาย รอยย่ำแหวกผิวน้ำเนิ่นนานกว่าจะคืนกลับสู่ความสงบ พรายฟองผุดพ้นน้ำเงียบงัน
เฟยเซียววิ่งห้ออย่างว่องไว ในอกเฮ่อหลันเฟิงพลันสดชื่นเบิกบาน อดไม่ได้ต้องกู่ร้องไปยังขุนเขาห่างไกล
จิ้นเยวี่ยอ้าปากตะโกนก้องเช่นเดียวกัน สายลมเย็นฉ่ำสดชื่นแทรกเข้าในอก ในเสื้อผ้า ในชายแขนเสื้อกว้างของชุดยาวที่เขาสวม เขาคิดถึงเหล่าทวยเทพในลำนำแห่งสรวงสวรรค์ ในใจล้วนคืออิสรเสรีอันน่าพึงใจ
“เฮ่อหลันเฟิง!”
เฮ่อหลันเฟิงหันมา ชี้แส้ม้ามาทางเขา “อะไรหรือ”
จิ้นเยวี่ยเพียงรู้สึกเบิกบานยิ่ง จึงตะโกนเรียกซ้ำ “เฮ่อหลันเฟิง!”
เฮ่อหลันเฟิงขานตอบ “จิ้นเยวี่ย! แม่ทัพน้อย!”
จิ้นเยวี่ยหัวเราะร่า “เฮ่อหลันเฟิง! อ๋องเกาซิน!”
เฮ่อหลันเฟิงปลดคันธนูฉินเยวี่ยที่หลัง เหยียดสันหลังตรง น้าวสายธนูจนตึง ศรเกาซินดอกหนึ่งพาดอยู่บนสาย ยิงแหวกฟ้าออกไป ศรพุ่งใส่ร่างกระต่ายสีน้ำตาลเทาตัวหนึ่ง
ทั้งสองควบม้าวิ่งเล่นบนทุ่งหญ้าอยู่นาน ก่อนหิ้วกระต่ายเดินมุ่งหน้าไปยังป่าสนผืนเล็ก
ป่าสนดูคึกคักว่าตอนฤดูหนาว ลำธารคดเคี้ยวผ่านผืนดินที่อุดมด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม กบส่งเสียงร้องอ๊บๆ ทางนั้นทีทางนี้ที ผีเสื้อร่ายรำกลางพงไพร ดูราวกับปุยเมฆบางเบา
จิ้นเยวี่ยชี้ไปตรงที่โล่งนอกป่า “เจ้าจุดประทัดตรงนี้”
เฮ่อหลันเฟิงกุมมือเขา ยิ้มแล้วชี้ไปตำแหน่งทางด้านซ้าย “ผิดแล้ว ตรงนั้นต่างหาก”
ทั้งสองเก็บไม้ฟืน ก่อไฟย่างกระต่ายอยู่นอกป่า ยังคงเป็นเฮ่อหลันเฟิงที่ถลกหนัง จิ้นเยวี่ยมองดูอย่างเอาจริงเอาจัง จนเขาต้องเตือน “เลือดทั้งนั้น เจ้าไม่กลัวหรือ”
“ไม่กลัว” จิ้นเยวี่ยเกาศีรษะแกรกๆ
เด็กหนุ่มมองดูเฮ่อหลันเฟิงแหวะเปิดหน้าท้องกระต่าย ดูเขาแผ่เนื้อกระต่ายขึงกับไม้ขึ้นย่างบนกองไฟ เอาเครื่องปรุงที่พกมาในอกเสื้อโรยบนเนื้อย่าง หลังจากนั้นพักใหญ่กลิ่นหอมก็โชยมา
เทียบกับตอนเข้ามาในป่าสนครั้งนั้น สภาพจิตใจของเขาแตกต่างกันอย่างมาก จิ้นเยวี่ยจำได้ว่าตอนนั้นเนื่องจากคนใกล้ชิดของตนเองทั้งตายจากและหนีหาย ตัวเขาหวาดกลัวและเศร้าสลดที่ไม่อาจกุมชะตาชีวิตตนเอง ยังจำได้ว่าตัวเขาเองถึงกับร้องไห้โฮหลังจากเฮ่อหลันเฟิงเล่าความเป็นมาระหว่างเฮ่อหลันจินอิงกับจิ้นหมิงเจ้าให้ฟัง
บัดนี้แม้ยังเสี่ยงภัยแต่ข้างกายเขามีเฮ่อหลันเฟิงกับเยวี่ยเหลียนโหลว ทั้งยังมีเฉินซวงกับหร่วนปู้ฉีอีกด้วย หนทางหวนคืนสู่บ้านเกิดซึ่งแต่เดิมดูเหมือนสิ้นหวัง ก็ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนทีละน้อย
“ชาติก่อนข้าเป็นกระต่าย” เฮ่อหลันเฟิงหันมาพูด “คงจะถูกจับกินเช่นนี้แหละ”
แสงแดดเที่ยงวันแรงกล้า ส่องลอดสุมทุมพุ่มไม้ ตกต้องร่างของเฮ่อหลันเฟิง เขาพูดกลั้วหัวเราะ เส้นผมต้องแสงแดดเปล่งประกายสีทอง ประกายเขียวในดวงตาหมาป่ายิ่งบีบคั้นผู้คน
จิ้นเยวี่ยจ้องมองนัยน์ตาเขา “เฮ่อหลันเฟิง ข้าไม่เชื่อเรื่องชาติก่อนชาติหน้า ข้าขอเพียงชาตินี้ ยามนี้ ขณะนี้เท่านั้น”
เฮ่อหลันเฟิง “ชาติก่อนชาติหน้า เป็นพระกรุณาขององค์เทพที่ประทานแก่มนุษย์ ทุกสรรพชีวิตบนที่ราบฉือวั่งหยวนล้วนมีสิบชาติภพที่ถูกลิขิตไว้แล้ว อาขู่ล่าบอกว่านี่คือความเมตตาสงสารขององค์เทพ”
“ข้าไม่ต้องการความเมตตาสงสารจากองค์เทพ ขอแค่ไฟร้อนแรงในโลกมนุษย์เท่านั้น” จิ้นเยวี่ยกระเถิบเข้าใกล้ “ในเมื่อชาตินี้ข้าก็ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตา ไม่มีอะไรที่ถูกลิขิตมา เจ้าไม่ใช่อ๋องเกาซิน ข้าก็ไม่ใช่แม่ทัพน้อย รอให้ข้ากลับเหลียงจิง จัดการสะสางเรื่องต่างๆ ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เจ้าจะไปตามหาข้า หรือจะให้ข้ากลับมาตามหาเจ้าก็ได้”
พูดยังไม่ทันจบ เฮ่อหลันเฟิงก็โน้มเข้ามาจูบ
จิ้นเยวี่ยขยำเสื้อด้านหลังเฮ่อหลันเฟิงไว้แน่น สองร่างพัวพันกันจนแยกใครเป็นใครไม่ออก ฉับพลันมีบางสิ่งที่รุนแรงและชวนให้ใจเต้นระส่ำกว่าเมื่อก่อนระเบิดออกหน้ากองไฟที่ลุกร้อน ใบหูร้อนผ่าว ริมฝีปากร้อนรุ่ม จิ้นเยวี่ยเห็นแววขบขันในดวงตาเฮ่อหลันเฟิง ยังมีเงาของบางสิ่งที่ชวนให้ทั้งหวาดหวั่นและกระหายหา
เฮ่อหลันเฟิงลิ้มรสมุมปากเขา “ตกลงกันแล้วนะ ห้ามหลอกข้า ห้ามผิดคำพูด”
สายลมหอบใหญ่พัดกวาดแมกไม้ เสียงดังจนทั้งสองถึงกับสะดุ้ง เมื่อหันไปดูในป่าก็นึกขึ้นได้ว่ามีกระโจมหลังเล็กตั้งอยู่ในนั้น
เฮ่อหลันเฟิงกับจิ้นเยวี่ยมุดเข้าไปในดงไม้ ทิ้งเนื้อกระต่ายที่ยังย่างไม่ทันสุกครึ่งตัวไว้ในกองไฟ ไม่ช้าก็หากระโจมบนต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดต้นนั้นจนพบ กระโจมหลังนี้เป็นรังลับของเฮ่อหลันเฟิง ถึงแม้อาขู่ล่าจะรู้แต่ก็ไม่เคยมาปัดกวาด ทั้งสองปีนขึ้นไปปัดกวาดกระโจมที่รกเรื้อ พบว่ามีนกมาทำรังน้อยๆ ไว้บนช่องว่างตรงยอดกระโจม ในกระโจมยังมีตะเกียงน้ำมัน ตอนที่มุดเข้าไปยังมืดสลัว เฮ่อหลันเฟิงล้วงเอาหินจุดไฟออกมาจุดตะเกียงน้ำมัน แล้วนอนเหยียดแขนขากลางกระโจม
“…ข้าสูงขึ้นแล้ว” จู่ๆ เขาก็บ่น
กระโจมดูเล็กลง เขาต้องยื่นขาออกนอกกระโจมจึงจะเหยียดขาได้ตรง จิ้นเยวี่ยล้มตัวลงนอนข้างๆ มองดูรังนกเหนือศีรษะ ทั้งสองเห็นเพียงด้านใต้รังนก สักพักหนึ่งจิ้นเยวี่ยจึงพูดขึ้น
“ข้าก็สูงขึ้นแล้ว”
เค้าโครงอย่างหนุ่มน้อยค่อยๆ เลือนหายจากร่างกายของคนทั้งสอง พวกเขามีหนวดที่หากไม่โกนเพียงวันเดียวก็จะงอกขึ้นจนรู้สึกคันยิบ ใบหน้าผอมเรียว กระดูกปูดโปนคมคายประเปรียวเห็นชัดบนผิวหน้า พวกเขายังมีแววตาที่ซับซ้อน เก็บซ่อนคำพูดมากมายไว้ในริมฝีปาก เฮ่อหลันเฟิงแนบชิดใบหูจิ้นเยวี่ย กลับไม่รู้จะพูดอะไร เพียงอาศัยอารมณ์กระตุ้นเร้าอันแปลกประหลาด บรรจงจูบที่ใบหูราวกับอยากจะขบกัด
ชุดฤดูร้อนของชาวเป่ยหรงมีชั้นนอกชั้นใน ชายแขนเสื้อชั้นในนั้นสั้น เพียงถอดเสื้อนอกออกยามแดดจัดอากาศร้อนก็เย็นสบาย ออกเดินทางครั้งนี้จิ้นเยวี่ยกลับสวมแต่เสื้อผ้าของต้าอวี่ เสื้อผ้าของต้าอวี่มีหลายซับหลายซ้อน ปลดเปลื้องไม่ง่าย สองคนกลิ้งไปมาในกระโจมนานสองนาน สุดท้ายเป็นเฮ่อหลันเฟิงหัวเราะออกมาก่อน
“เสื้อผ้าเจ้าถอดยากจริง”
จิ้นเยวี่ยพลอยหัวเราะไปด้วย เขากัดริมฝีปากเฮ่อหลันเฟิง ตอบกลับแผ่วเบาราวสายลมวสันต์เหนือที่ราบฉือวั่งหยวน “เช่นนั้นก็ไม่ต้องถอด”
เฮ่อหลันเฟิงไม่ยอมแพ้ ลูบคลำเนื้อตัวจิ้นเยวี่ยทั้งที่ยังมีเสื้อผ้ากั้น กระซิบบอก “เจ้าผอมลงอีกแล้ว”
กระโจมถูกการเคลื่อนไหวของทั้งสองโยกคลอนจนสั่นไหว เฮ่อหลันเฟิงเริ่มดุดัน ค้อมตัวลงกดร่างจิ้นเยวี่ยไว้บนกองฟางบางๆ ประทับจูบรุนแรง มือของทั้งสองกอดเกี่ยวพัวพัน แทรกซอนลงใต้เสื้อผ้า ต่างคนต่างเงียบงันจนน่าแปลกใจ
ฉับพลันที่ในกระโจมเงียบลง เสียงลมม้วนตัวพัดผ่านป่าสน กระแสลมโหมพัดยาวนาน ดังสะท้านจนแสบแก้วหู ลมหายใจร้อนผ่าวค่อยๆ กระชั้นขึ้น เสียงหนึ่งซ้อนทับอีกเสียงราวกับสายฟ้าฟาด ที่ราบฉือวั่งหยวนยามคิมหันต์มักมีสายฟ้าเช่นนี้บ่อยครั้ง คำรามเลื่อนลั่นจากขุนเขาอีกฟาก ส่งเสียงครืนครั่นราวล้อรถบดถนนอยู่ในหมู่เมฆดำทะมึน สายฟ้าหลบเร้นในก้อนเมฆ คอยส่องแสงแวบวาบเป็นพักๆ
ตะเกียงน้ำมันดับไปนานแล้ว แสงแดดส่องลอดเข้ามาตามรอยแยกของรังนกตกต้องแผ่นหลังเฮ่อหลันเฟิงเป็นระลอก ทั้งยังส่องใบหน้าจิ้นเยวี่ย ทั้งสองจุมพิตแนบแน่น ปลายลิ้นเร่งร้อนดูดกลืนเสียงหัวเราะแผ่ว ลมหายใจหอบและเสียงทอดถอนใจตระหนกอันหนักหน่วง ยามรุ่มร้อนในรัก สัมผัสเท่าใดก็ไม่รู้จักพอ แสงตะวันส่องดวงตาจิ้นเยวี่ยจนต้องรีบหลุบตา ใบหน้าร้อนผ่าวยิ่ง แสงส่องวูบวาบไปมาบนเปลือกตาเขา ดูราวกับสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ขนตายาวกะพริบไหว คิ้วเข้มขมวดมุ่นน้อยๆ เมื่อสุดจะทานทนเขาก็หรี่ตาเล็กน้อย ดวงตาดำฉ่ำวาวสั่นระริกราวกับจะอ้อนวอน
“พอได้แล้ว”
เฮ่อหลันเฟิงก้มลงจูบหางตาและเปลือกตาเขา สุ้มเสียงร้อนรน “ไม่พอ…”
จู่ๆ ก็มีเสียงโครมดังสนั่นมาจากใต้ต้นไม้ กระแทกจนฝุ่นร่วงลงมาจากยอดกระโจม
เฮ่อหลันเฟิงรวบจิ้นเยวี่ยมากอดแนบอกทันที จิ้นเยวี่ยตกใจไม่น้อย ทั้งสองคนมองหน้ากันไปมา ทั้งตื่นตระหนกทั้งขบขัน สีแดงระเรื่อบนใบหน้ายังไม่จางลง แววประหลาดใจยังฉายชัดในดวงตา
“ผู้ใด”
แทบจะพร้อมๆ กับที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงคำรามต่ำคลุมเครือ
เฮ่อหลันเฟิงหัวใจกระตุก คว้าคันธนูฉินเยวี่ยแล้วลุกขึ้น
“หมี”
ในฤดูร้อนผีเสื้อที่บินว่อนบ่งบอกได้ว่าเป็นทางหมีผ่าน ก่อนเฮ่อหลันเฟิงจะเลือกย่างกระต่ายตรงนี้ก็สำรวจรอบด้านแล้วว่าแถวนี้มีผีเสื้อไม่กี่ตัว หมายความว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่หมีจะโผล่มาให้เห็นบ่อยๆ แต่ตอนนี้ดูแล้วกลิ่นย่างเนื้อคงดึงดูดมันมา เฮ่อหลันเฟิงชะโงกหน้าไปดูก็เห็นหมีดำตัวโตกำลังเดินวนเวียนอยู่ด้านล่างจริงดังคาด
หมีดำตัวนั้นยืนสี่ขา เดินกะโผลกกะเผลก เฮ่อหลันเฟิงจ้องมองก็พบว่าขาข้างหนึ่งของมันบาดเจ็บสาหัสจนเริ่มเน่าแล้ว จำต้องงอขาไว้ไม่ให้แตะพื้น เขานึกออกทันทีว่ากลุ่มล่าหมีเคยพบหมีดำสองตัวในป่าสนใหญ่เมื่อตอนฤดูหนาว ตอนนั้นเขากับอาขู่ล่าช่วยกันฆ่าได้ตัวหนึ่ง อีกตัวถูกอาขู่ล่ายิงธนูทะลุเท้าหนีไปได้
หมีดำที่เคยพบตัวนี้เห็นได้ชัดว่าได้กลิ่นเนื้อคนจึงพุ่งชนต้นสนต้นนี้อย่างหงุดหงิด โชคดีที่ลำต้นของต้นสนแข็งแรงดี เท้าหน้าของหมีดำบาดเจ็บไม่สะดวกจะปีนป่าย มันจึงเข้ามาใกล้ไม่ได้
จิ้นเยวี่ยสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ชะโงกออกไปดูบ้าง น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย “นี่แหละบทเรียน”
เฮ่อหลันเฟิงน้าวสายธนูเอาศรพาด ศรเกาซินสีดำส่ายไปมาขณะเล็งที่หัวหมีดำ “บทเรียนอันใด”
จิ้นเยวี่ย “อย่าก่อเรื่องพรรค์นั้นบนต้นไม้”
เฮ่อหลันเฟิงไม่เหลือบมอง แต่มุมปากหยักโค้ง หัวเราะเบาๆ “ก็ข้าชอบบนต้นไม้”
พอปล่อยสายศรสีดำก็พุ่งออกไป หมีดำเบี่ยงหัวหลบในเสี้ยวเวลาวิกฤต แต่ศรเกาซินว่องไวยิ่ง พุ่งอย่างรวดเร็วกลางอากาศ สิ้นเสียงฉึกก็แทงทะลุใบหูของมัน แทบจะพุ่งปักหัวหมีดำจนมิดดอก หมีดำยืนโงนเงนก่อนจะล้มลงกับพื้นดังโครม ไม่ขยับเขยื้อนอีก
“ต่อเถอะ” เฮ่อหลันเฟิงมือหนึ่งเก็บคันธนู อีกมือโอบจิ้นเยวี่ยไว้ “ข้าตกใจหมดเลย”
จิ้นเยวี่ยจับคางเขาให้หันไปมองกลางกระโจม รังนกตรงช่องบนยอดกระโจมร่วงหล่นลงมา ไข่สองใบในรังแตกกระจาย ไข่เหลืองไข่ขาวผสมปนเป น่าเวทนายิ่งนัก
เฮ่อหลันเฟิง “…”
จิ้นเยวี่ย “ไปกันเถอะ!”
เฮ่อหลันเฟิงยังรู้สึกไม่ยินยอม จิ้นเยวี่ยปีนลงจากต้นไม้มาก่อน สอดมือในชายแขนเสื้อเงยหน้าขึ้นมองเขา เสื้อตัวนอกของเฮ่อหลันเฟิงผูกไว้ที่เอว เผยให้เห็นแขนกำยำของเด็กหนุ่ม สองมือเหนี่ยวแผ่นไม้ปูพื้นกระโจมแล้วเหวี่ยงตัวกระโจนลงมายืนอย่างมั่นคงข้างกายจิ้นเยวี่ย เขาเหมือนสัตว์ร้ายที่เพิ่งเติบใหญ่ ทุกท่วงท่าเคลื่อนไหวแฝงด้วยพละกำลัง บริเวณเอวของเสื้อนอกนั้นรุ่มร่าม จึงยิ่งขับเน้นให้ดูเอวแคบขายาว ไหล่ผึ่งผาย
เขาประคองใบหน้าจิ้นเยวี่ยมาจูบ “บนต้นไม้น่าสนุกกว่า”
จิ้นเยวี่ยหลบจูบของเขา “คนบ้า”
เฮ่อหลันเฟิงชักสนุก “เจ้าชอบให้ข้าเป็นคนบ้าเช่นนี้แหละ”
เขาโอบเอวจิ้นเยวี่ยเข้ามากอดรัดเสียแน่นจนเอวและท่อนขาแนบชิด จงใจบดเบียดส่วนที่ยังร้อนรุ่มไม่จางหาย จิ้นเยวี่ยดึงตัวเองออกจากบรรยากาศชวนให้อารมณ์ว้าวุ่นเมื่อครู่ เปลี่ยนไปวางตัวเรียบร้อยสุขุม
“ออกไปห่างๆ หน่อย อย่าเบียดข้า”
เฮ่อหลันเฟิงยิ่งหัวเราะอย่างเบิกบาน “อ้าว”
เขาถอนหายใจแล้วก้มลงจูบจิ้นเยวี่ยอย่างจริงจัง “อยากแต่งงานกับเจ้านัก แต่งแล้วจะได้กางกระโจมสักหลาด นอนขลุกอยู่กับเจ้าทั้งวัน ไม่ขี่ม้าไม่เลี้ยงแพะ นอนตั้งแต่วันยันค่ำ ค่ำยัน…”
จิ้นเยวี่ยบีบแก้มเขา “อยากจะเอาเข็มมาเย็บปากร้ายๆ ของเจ้า เย็บให้ปิดสนิท จะได้ไม่พูดจาเหลวไหล”
เฮ่อหลันเฟิงแลบลิ้นเลียปาก ปลายจมูกชนกับจมูกของจิ้นเยวี่ย “เจ้าทำไม่ลงหรอก”
จิ้นเยวี่ยบีบแก้มเขาแรงกว่าเก่า เฮ่อหลันเฟิงจึงหัวเราะร่ายอมปล่อยจิ้นเยวี่ยแล้วหันไปผิวปาก เฟยเซียวกับท่าอวิ๋นที่วิ่งไปไกลแล้วเมื่อครู่ ตอนนี้จึงวิ่งห้อกุบกับๆ กลับมา เนื้อกระต่ายย่างไว้ครึ่งสุกครึ่งดิบ เฮ่อหลันเฟิงอดทนรอจนไฟมอดแล้วหันไปมองจิ้นเยวี่ย พบว่าอีกฝ่ายกำลังสำรวจซากหมีดำใต้ต้นไม้ตัวนั้น
“เคยเห็นหมีตัวใหญ่เช่นนี้หรือไม่” เฮ่อหลันเฟิงถามเสียงดัง
“ไม่เคย” จิ้นเยวี่ยยื่นมือไปดึงศรเกาซิน เลือดสดๆ ขังอยู่ในแกนที่กลวงเปล่าของศรเกาซิน เขาต้องสะบัดสองสามครั้งกว่าจะแห้ง ขณะกำลังเช็ดให้สะอาดกับใบไม้อย่างขะมักเขม้น จู่ๆ ก็มีบางอย่างเคลื่อนไหวที่ด้านหลัง
จิ้นเยวี่ยใจหายแวบ ลูบที่แผ่นหลังตามสัญชาตญาณ…เขาไม่ใช่เฮ่อหลันเฟิง กระบี่เล่มนั้นที่พกติดกายเหน็บอยู่ที่หลังท่าอวิ๋น เขาไม่ได้นำมาด้วย!
หมีดำตัวนั้นยังไม่ตาย พอมันรู้สึกเจ็บแปลบจึงตกใจตื่น ลุกขึ้นยืนโงนเงน จิ้นเยวี่ยอยู่ตรงหน้ามันพอดี
จากจุดที่ห่างไกลนั้นเฮ่อหลันเฟิงน้าวสายธนูอีกครั้ง…ทว่าจิ้นเยวี่ยยืนขวางระหว่างเขากับหมีดำพอดี จึงไม่อาจยิงสังหารได้ในดอกเดียว เขาจึงวิ่งไปหาจิ้นเยวี่ย
“กลับมาอยู่ข้างๆ ข้า!”
หมีดำอ้าปากพุ่งเข้าใส่จิ้นเยวี่ย มันเจ็บปวดแสนสาหัส สองตาพร่าเลือน ที่จริงแทบจะมองไม่เห็นคนที่อยู่ตรงหน้า ปากอ้ากว้างเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แม้จิ้นเยวี่ยจะถอยหลังแล้วแต่ถ้าหมีดำพุ่งเข้าใส่ เขาคงหลบไม่พ้น
จิ้นเยวี่ยก้มลงชักมีดสั้นที่เหน็บข้างเอวออกมา ใช้นิ้วดีดปลอกมีดหนังหมีกระเด็นไป สองมือกำด้ามมีดไว้แน่น ก้มตัวลง หมุนตัวแล้วแทง…มีดด้ามเล็กก็แทงเข้าไปในท้องกำยำของหมีดำ กรีดเป็นแผลยาวจากล่างขึ้นบนถึงหน้าอกของมัน! จิ้นเยวี่ยกัดปากไม่กล้าผ่อนแรงแล้วบิดตัว กระชากมีดออกจากร่างหมีดำ เลือดสดๆ พุ่งตามเป็นแนวโค้ง
ฉับพลันเลือดพร้อมกับกลิ่นคาวก็สาดกระเซ็นเปรอะทั่วใบหน้า
ทว่าตอนที่เขาก้มลงนั้นเอง เฮ่อหลันเฟิงก็ยิงศรสีดำวาวทะลุหน้าอกหมี เกิดเสียงดังตึง ร่างของมันถูกตอกติดกับลำต้นของต้นสนใหญ่ตายคาที่
หน้าท้องหมีดำแหวะออก เครื่องในไหลออกมากองเต็มพื้น เฮ่อหลันเฟิงดึงจิ้นเยวี่ยมาอยู่ข้างกาย เด็กหนุ่มตื่นตระหนกจนใจเต้นไม่เป็นส่ำ มองสำรวจอย่างลนลานว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บหรือไม่ ปากก็ละล่ำละลักร้องด่าเป็นภาษาเป่ยหรงพลางเช็ดใบหน้าเปรอะเปื้อนเลือดให้ซ้ำไปซ้ำมา
“เลือดหมีน่ะ” จิ้นเยวี่ยหัวใจเต้นรัว “เลือดหมี…”
หมีดำตัวนั้นสิ้นฤทธิ์แล้ว เฮ่อหลันเฟิงยังไม่วางใจ คว้ากระบี่ที่เหน็บหลังท่าอวิ๋นมาแทงใส่หัวใจหมีดำอีกหลายครั้ง
ทั้งสองแบกร่างหมีดำกลับไปยังค่าย จิ้นเยวี่ยเปรอะเลือดไปครึ่งร่าง ทุกคนเห็นก็พากันตื่นตกใจ เฉินซวงไม่รู้วิ่งมาจากที่ใด ชายหนุ่มสวมชุดทหารเป่ยหรง ใบหน้าซีดขาว มองสำรวจแขนขาจิ้นเยวี่ยขึ้นลงด้วยเกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บ เฮ่อหลันจินอิงรีบผลักทั้งสองคนให้เข้าไปในกระโจม แล้วยืนด่าทอเฮ่อหลันเฟิงอยู่นอกกระโจมพักใหญ่
แต่พอตกค่ำเรื่องที่เฮ่อหลันเฟิงกับทาสของอวิ๋นโจวอ๋องช่วยกันฆ่าหมีดำได้ตัวหนึ่งก็แพร่สะพัดไปทั่วค่าย ทาสของอวิ๋นโจวอ๋องเป็นชาวต้าอวี่ย่อมไม่ได้เก่งกาจสามารถ วีรบุรุษตัวจริงผู้สังหารหมีดำจะต้องเป็นเฮ่อหลันเฟิงแน่ กอปรกับเหล่าผู้อาวุโสที่เฝ้าค่ายพากันเล่าเรื่องที่ฤดูหนาวปีกลายครั้งเฮ่อหลันเฟิงสร้างวีรกรรมในกลุ่มล่าหมี หุนต๋าเอ๋อร์เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า รีบยกยอปอปั้นความห้าวหาญของเฮ่อหลันเฟิงเป็นการใหญ่ เพียงชั่วข้ามคืน ทั้งชาวเป่ยหรงและชาวจินเชียงในคณะเดินทางจึงรู้จักเฮ่อหลันเฟิงกันหมด
อวิ๋นโจวอ๋องตกรางวัลให้เฮ่อหลันเฟิงกับจิ้นเยวี่ย ผมจิ้นเยวี่ยเปรอะเลือดหมีจนเกรอะกรัง ท่าทางย่ำแย่เหลือประมาณ ชายหนุ่มเห็นแล้วถึงกับหัวเราะไม่หยุด “ถึงเมืองปี้ซานเมื่อใด จะต้องเล่าเรื่องนี้ให้ราชครูเหลียงฟังให้ได้เชียว”
เพราะได้ของประทานจากอวิ๋นโจวอ๋อง คืนนี้จิ้นเยวี่ยจึงได้น้ำร้อนกับฝักสบู่มาล้างตัว เฉินซวงผลุบโผล่เหมือนผี มุดเข้ากระโจมมาช่วยจิ้นเยวี่ยล้างตัว เฮ่อหลันเฟิงอยากมุดเข้ามาด้วยอย่างมากแต่ถูกเฮ่อหลันจินอิงรั้งตัวไว้
“เจ้ากับองค์ประกันต้าอวี่นี่อะไรกัน” เฮ่อหลันจินอิงถามตรงเข้าประเด็น
เฮ่อหลันเฟิงเกาศีรษะ “ข้าพาเขาไปดูกระโจมของเราในป่าสนเล็ก”
“แค่นี้?”
“แค่นี้”
เฮ่อหลันจินอิงมองประเมินน้องชาย เฮ่อหลันเฟิงกับตัวเขาหน้าตาคล้ายกัน อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีก็เริ่มมีเค้าจมูกโด่งนัยน์ตาคม เทียบกันแล้วเฮ่อหลันเฟิงละม้ายมารดามากกว่า ด้วยมีผมสีเข้มกว่า ยามยิ้มแย้ม ริมฝีปากบนจะเม้มเข้าเล็กน้อย คล้ายเย่อหยิ่ง ทั้งยังดูเครียดขรึม
“เขาไม่เหมือนพวกเรา” เฮ่อหลันจินอิงเกริ่น “ข้าช่วยเหลือเขา ช่วยชีวิตเขาไว้ก็เพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ พอเขากลับต้าอวี่ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเราอีก เจ้าใกล้ชิดเขามากไป ต่อไปจะต้องเสียใจ”
เฮ่อหลันเฟิงดื้อรั้น “ท่านบอกว่าเรามีขาสองข้าง มีม้าหนึ่งตัว ที่ใดในใต้หล้าล้วนไปได้ เขากลับไปข้าก็ไม่เสียใจ ข้าไปหาเขาที่ต้าอวี่ได้ เขาจะมาหาข้าที่เป่ยหรงก็ได้”
“ไม่ได้ เจ้าโง่หรือไร” เฮ่อหลันจินอิงค้านทันควัน “เขาอยู่เป่ยหรงเป็นองค์ประกัน เป็นทาส เป็นคนที่เจ้าแตะต้องได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้ากลับไปต้าอวี่ เขาคือแม่ทัพน้อย เป็นแม่ทัพของฮ่องเต้ต้าอวี่ เจ้าลืมแล้วรึ เยวี่ยเหลียนโหลวเคยบอกว่ามีคนจากในวังกำลังตามหาเขา ขนาดที่เป่ยหรงเจ้าอยากจะพบคนในวังก็ยังไม่ง่าย นับประสาอะไรกับที่ต้าอวี่”
ไม่ต้องรอให้เฮ่อหลันเฟิงตอบ เฮ่อหลันจินอิงก็เน้นย้ำอีก “ข้ารู้ว่าเขามีความหมายต่อเจ้าไม่ธรรมดา เสื้อคลุมขนจิ้งจอกสินะ แต่เสื้อคลุมตัวนั้นจะนับว่าเป็นสิ่งใดได้ แม่ทัพน้อยแห่งต้าอวี่มีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกนับพันหมื่นให้นำมาแจกจ่ายได้ตามใจ เจ้ากลับยึดถือมันเสมือนทรัพย์สมบัติล้ำค่า”
เฮ่อหลันเฟิงทำได้เพียงบอกว่า “หาใช่การแจกจ่ายตามใจชอบ”
เฮ่อหลันจินอิง “การเป็นคนต้องรู้จักปล่อยวาง สหายทั้งหลายในใต้หล้าก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ร่วมเดินทางกันก็ไม่ง่ายแล้ว จะหวังให้อยู่ร่วมชั่วฟ้าดินสลายได้หรือ คนเราล้วนต้องเปลี่ยน ในเป่ยหรงผู้คนไร้น้ำใจ เจ้าดีต่อเขา เขาย่อมต้องดีต่อเจ้า ข้ามิได้ตำหนิเจ้า เจ้ามีจิตใจงดงาม นี่เป็นเรื่องดี แต่อย่ายึดติดจนเกินไป พวกเราส่งเขากลับต้าอวี่ เรื่องที่ทำได้ก็ทำจนสำเร็จ มิตรภาพคราวนี้ถึงคราวต้องตัดขาด”
เฮ่อหลันเฟิงจ้องมองเขา สีหน้าไม่ยินยอมแม้แต่น้อย
เฮ่อหลันจินอิง “รู้จักตัดใจ เป็นโชคดีของการเป็นคน”
เฮ่อหลันเฟิงจึงย้อนถาม “เช่นนั้นท่านคุ้มกันจูเยี่ยจนนางกลับไปเขาเซวี่ยหลางแล้ว เหตุใดไม่เรียนรู้ที่จะปล่อยวางและตัดใจ”
“…” เฮ่อหลันจินอิงเหยียดหลังตรง ยกมือขึ้นกอดอก หัวเราะเย็นชา
“…”
“ที่แท้ความหมายของเจ้าก็คือความรู้สึกที่เจ้ามีต่อองค์ประกันต้าอวี่ เป็นอย่างเดียวกับที่ข้ามีต่อจูเยี่ย?”
เฮ่อหลันเฟิงอดจะขบฟันแน่นไม่ได้ “ท่านลวงให้ข้าพูด?!”
“หากข้าไม่ลวง เจ้าจะพูดความจริงรึ!” เฮ่อหลันจินอิงกระชากคอเสื้อเขาพลางต่อว่า “เฮ่อหลันเฟิง เจ้าบ้าไปแล้ว!”
เวลานี้ในกระโจมจิ้นเยวี่ยกำลังล้างเลือดที่เปรอะเต็มศีรษะออกโดยมีเฉินซวงคอยช่วย ชายหนุ่มนึกแล้วยังหวาดเสียวไม่หาย “จิ้นเยวี่ย เจ้าจะวิ่งตามเฮ่อหลันเฟิงไปไหนต่อไหนเช่นนี้ไม่ได้แล้ว เสี่ยงเกินไป ถ้าข้ากับหร่วนปู้ฉีรู้ว่าวันนี้พวกเจ้าสองคนจะเจอหมี จะไม่ยอมห่างเจ้าแม้เพียงครึ่งก้าว”
เดิมทีทั้งสองว่าจะตามไปด้วย แต่เยวี่ยเหลียนโหลวกลับบอกว่ามีเฮ่อหลันเฟิงคอยคุ้มกัน จิ้นเยวี่ยน่าจะปลอดภัยไม่เกิดเรื่องใดๆ
เฉินซวงส่งเสียงงึมงำ เริ่มก่นด่าเยวี่ยเหลียนโหลว
จิ้นเยวี่ยถอดเสื้อ ใช้ผ้าชุบน้ำร้อนบิดหมาดเช็ดตามตัว พูดปลอบเฉินซวง “ไม่เป็นอะไรหรอก ที่บอกว่าข้ามีส่วนในการฆ่าหมีตัวนั้น เป็นความจริงนะ”
เขาเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง ในใจยังตื่นเต้น ไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย
มีรอยแหวกเล็กๆ ที่ตัวกระโจม เยวี่ยเหลียนโหลวผลุบเข้ามาได้เหมือนปลาหนีชิว* ก็พูดแทรก “ใช่แล้ว แค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก แล้วเรื่องสำคัญคือฆ่าหมีเช่นนั้นหรือ”
ตลอดมาเฉินซวงไม่เคยเปิดฉากถกเถียงกับเขามาก่อน ตอนนี้กลับโกรธจนอดกลั้นไม่ไหว
“แล้วเรื่องใดถึงจะสำคัญ”
เยวี่ยเหลียนโหลวยังคงสวมชุดสีดำ นั่งแทะเนื้อตากแห้งอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย ชี้ไปที่รอยแดงตรงหน้าอกจิ้นเยวี่ย
“เจ้าลูกหมาป่าเกาซินจูบหน้าอกแม่ทัพน้อยแล้ว ไม่รู้จักซักไซ้ไล่เลียง!”
จิ้นเยวี่ย “…”
เฉินซวง “…”
“เฉินซวงนี่น่าเบื่อจริง เขาไม่ถาม แต่ข้าถาม” เยวี่ยเหลียนโหลวยิ้มกระหยิ่ม “เกิดอะไรขึ้นในป่าสนเล็ก”
จิ้นเยวี่ยคร้านจะสนใจ รีบสวมเสื้อตัวใน เยวี่ยเหลียนโหลวกึ่งเสียดายกึ่งอยากเย้าหยอก จึงยื่นมือไปคว้าเสื้อหมายจะดึงออก มือเพิ่งแตะถูกหัวไหล่จิ้นเยวี่ย จู่ๆ ม่านประตูกระโจมก็เลิกขึ้น เฮ่อหลันจินอิงก้าวอาดๆ เข้ามา
“ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” เฮ่อหลันจินอิงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “เฉินซวง เยวี่ยเหลียนโหลว พวกเจ้าออกไปเสีย”
เฉินซวงเพิ่งจะก้าวเดิน เยวี่ยเหลียนโหลวก็สวนขึ้นมา “ไม่ไป”
เฮ่อหลันจินอิงไม่แม้แต่จะมองเขา เพียงจ้องหน้าจิ้นเยวี่ยเขม็ง
“แม่ทัพน้อยจิ้น อย่ายุ่งกับน้องชายข้า” เขาสำทับ “เฮ่อหลันจินอิงเคยช่วยชีวิตเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง บัดนี้เพียงอยากให้เจ้าตอบแทนน้ำใจ ออกห่างจากเฮ่อหลันเฟิงเสีย”
พอเฮ่อหลันจินอิงพูดเช่นนี้ฉับพลันในกระโจมก็เงียบกริบ เยวี่ยเหลียนโหลวยังทำหน้ายิ้มยั่วกวนโมโห ดวงตาทั้งสองมองประเมินเฮ่อหลันจินอิงขึ้นลงราวกับว่าเขามีสิ่งน่าขัน เฉินซวงยืนตัวตรงแหน็วอยู่ข้างๆ เพียงทำเหมือนตนเองเป็นมนุษย์ล่องหน จิ้นเยวี่ยขยำผ้าในมือ เลือดหมีกระเซ็นเปรอะทั่วตัว ต้องเปลี่ยนน้ำร้อนถึงสองอ่าง ล้วนเต็มไปด้วยเลือด
“เฮ่อหลันเฟิงเป็นคนตรงไปตรงมา กระทั่งโง่เขลาเสียด้วยซ้ำ เขาจะทำอะไรจะพูดอะไรล้วนไม่รู้จักทำอย่างอ้อมค้อม” เฮ่อหลันจินอิงพูดต่อ “แม่ทัพน้อย คนเช่นนี้ถูกหลอกได้ง่าย”
จิ้นเยวี่ยคิด
เขาแทบไม่เคยเรียกข้าว่า ‘แม่ทัพน้อย’ เลย คงจะโกรธจริงๆ
จิ้นเยวี่ยอดเป็นกังวลอยู่ลึกๆ ไม่ได้ เด็กหนุ่มขยำผ้าแน่นเสียจนผ้าเริ่มแห้ง
“ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ ย่อมต้องช่วยให้ถึงที่สุด เจ้าอยากจะกลับต้าอวี่ ข้าก็จะพาเจ้าไปส่งอย่างสุดความสามารถ กลับไปแล้วก็ให้ปล่อยวางเสีย อย่าทอดอาลัยที่เป่ยหรง” เฮ่อหลันจินอิงว่า “ข้าจะไม่ปล่อยให้เฮ่อหลันเฟิงต้องเสี่ยงอันตราย”
ในที่สุดจิ้นเยวี่ยก็เงยหน้าขึ้น “เขาจะเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร”
“สานสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเจ้าก็เสี่ยงมากแล้ว” เฮ่อหลันจินอิงเดินเข้าหาสองก้าว พูดอย่างจริงใจ “สกุลจิ้นนอกจากเจ้ากับมารดาและพี่สาวที่ไม่รู้ชะตากรรมก็ไม่เหลือผู้ใดแล้ว เจ้ากลับไปเหลียงจิงมีภยันตรายและคนซุ่มรอจัดการเจ้ามากเท่าใด เจ้าคงเดาไม่ถูก”
จิ้นเยวี่ยกัดปากเล็กน้อย คิดจะโต้เถียง แต่ไม่มีเหตุผลให้โต้กลับ
“เฮ่อหลันเฟิงบอกจะไปตามหาเจ้าที่ต้าอวี่ เจ้าอย่าให้เขาไปเป็นอันขาด ถ้าเจ้าเห็นแก่เขาด้วยใจจริง ขอให้ปล่อยเขาไปเสีย”
เฮ่อหลันจินอิงพูดประโยคนี้จบแล้วก็หันหลังจากไป
เยวี่ยเหลียนโหลวเคี้ยวเนื้อตากแห้งจนหมด ปรบมือแล้วเอ่ยขึ้น “ใต้หล้าเต็มไปด้วยเรื่องจนปัญญา ในชีวิตมีแต่ความผิดหวัง”
จิ้นเยวี่ย “ท่านพูดอะไร”
เยวี่ยเหลียนโหลวยิ้ม “รอกลับถึงต้าอวี่แล้ว พี่ชายจะหาหนุ่มรูปงามให้เจ้า ถ้าชอบอย่างเฮ่อหลันเฟิง ชาวชื่อเยี่ยนก็ไม่เลว ได้ยินว่าที่แคว้นชื่อเยี่ยน แต่ละคนล้วน…”
“ไม่ต้อง” จิ้นเยวี่ยตอบกลับเสียงเบา “นอกจากเฮ่อหลันเฟิงแล้ว ผู้ใดก็ล้วนไม่ใช่”
เยวี่ยเหลียนโหลวนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เดินไปอยู่ข้างๆ ก้มลงมองใบหน้าเขา สีหน้าจิ้นเยวี่ยดูสงบเป็นพิเศษ ไม่ได้หวั่นไหวเพราะคำพูดเหล่านั้นของเฮ่อหลันจินอิงเลยแม้แต่น้อย เยวี่ยเหลียนโหลวย่อเข่าลงตรงหน้า หยิบผ้าในอ่างน้ำขึ้นมาเช็ดฝ่ามือเด็กหนุ่ม เนิ่นนานถึงเอื้อนเอ่ย
“เจ้าบอกว่าจริงจัง แต่ข้าไม่คิดว่าจริงจังถึงเพียงนี้ เด็กน้อยดื้อดึงมากไป ชีวิตนี้คงผ่านไปอย่างยากลำบาก”
“ข้าไม่ใช่เด็กน้อย” จิ้นเยวี่ยตอบกลับอย่างอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
เยวี่ยเหลียนโหลวกัดฟัน จู่ๆ ก็ผุดลุกขึ้นท่าทางโกรธเกรี้ยว “น่าโมโหนัก! น่าหงุดหงิดจริงๆ ให้ตายเถอะ!!!”
จิ้นเยวี่ยปล่อยให้เขาต่อว่า หันไปพูดกับเฉินซวง “ที่พูดกับพวกเจ้าไปคราวก่อนเรื่องอาขู่ล่า ตรวจสอบได้ความอะไรบ้าง”
เฉินซวงพยักหน้า
คนที่ไปสืบเรื่องอาขู่ล่าคือหร่วนปู้ฉี เด็กสาวมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ ซ่อนตัวอยู่ในกระโจมของอาขู่ล่าได้ ตกกลางคืนอาขู่ล่ากลับที่พักก็ถูกหร่วนปู้ฉีโจมตีซึ่งหน้า เขาชักมีดพร้าออกมาตอบโต้ตามสัญชาตญาณ นางคว้าข้อมือสองข้างของอาขู่ล่าไว้ได้ด้วยมือเปล่า เพียงสัมผัสก็พบว่าที่แท้อาขู่ล่ามีกำลังภายในของวิชาแปลงวสันต์หกแปรเปลี่ยน
วิชาแปลงวสันต์หกแปรเปลี่ยนเป็นวิชากำลังภายในหนึ่งเดียวของพรรคหมิงเยี่ย คนที่เข้าร่วมพรรคต้องศึกษา ออกจากพรรคเมื่อใดต้องทำลายวรยุทธ์ หร่วนปู้ฉีกับพวกเดินทางมาเป่ยหรง จึงจดจำศิษย์ของพรรคทั้งที่ซ่อนตัวอยู่ในเป่ยหรงและที่อยู่กับพรรคหมิงเยี่ยในเมืองศิลาอย่างเป่ยตูได้ทุกคน ในนั้นไม่มีผู้อาวุโสที่ถูกเรียกขานว่า ‘อาขู่ล่า’ เลย
หร่วนปู้ฉียังตรวจสอบได้อีกว่าระดับขั้นของวิชาแปลงวสันต์หกแปรเปลี่ยนของอาขู่ล่าสูงกว่าตนเอง สองนักล่าหยินหยางของพรรคหมิงเยี่ยฝึกฝนถึงขั้นที่สี่ ‘ย่างก้าวบงกช’ แต่กำลังภายในของอาขู่ล่านั้น ในความอ่อนโยนแฝงด้วยความผกผันอันเกรี้ยวกราดรุนแรงประหนึ่งคลื่นน้ำ เป็นขั้นที่ห้าของวิชาแปลงวสันต์หกแปรเปลี่ยนที่เรียกว่า ‘วายุหิมะคลั่ง’
แต่อาขู่ล่าไม่มีกำลังภายนอก นี่เป็นจุดที่แปลกเป็นพิเศษ เมื่อเผชิญหน้ากับหร่วนปู้ฉีที่มีวรยุทธ์ เขาแทบไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตอบโต้ หร่วนปู้ฉีจึงกดชายชราไว้กับพื้น ตรวจสอบเส้นลมปราณหลักของเขาต่อ
“เส้นเอ็นที่มือและเท้าของเขาเคยขาดมาก่อนแล้วค่อยประสานกันใหม่ภายหลัง จึงล่าสัตว์ได้ไม่มีปัญหา แต่คงจะฝึกกำลังภายนอกของพรรคหมิงเยี่ยไม่ได้” เฉินซวงว่า “หร่วนปู้ฉีกับอาขู่ล่าเผยฐานะต่อกัน แต่อาขู่ล่าไม่ได้เล่าความเป็นมาของตนเอง และไม่ตอบคำถามหร่วนปู้ฉี นางจึงข่มขู่จะเอาชีวิต อาขู่ล่าจึงรับปากว่าจะรักษาความลับ ในยามคับขันเขาจะคอยช่วยเจ้า”
จิ้นเยวี่ยหวนนึกถึงท่าทางอาขู่ล่ายามมองดูตนเอง เขาทำจมูกย่น รูจมูกขยับพะเยิบพะยาบ มักเดินไปเดินมาในค่าย ขี่ม้าล่าสัตว์ที่ทุ่งหญ้า ท่าทางน่าเกรงขาม
หร่วนปู้ฉีถึงกับเคยถามเฮ่อหลันเฟิง ในภาพจำของเด็กหนุ่ม ตั้งแต่เกิดอาขู่ล่าก็อยู่ในเผ่าเยี่ยไถแล้ว เขาเป็นหมอผีและยังเป็นอาไป้ นี่ไม่ใช่ฐานะที่ชาวเป่ยหรงทั่วไปจะมี
จิ้นเยวี่ยอดบีบนวดขมับไม่ได้ “ตอนนี้ความเป็นมาของอาขู่ล่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
เฉินซวงรีบบอก “ต่อให้เป็นคนพรรคหมิงเยี่ยที่หนีออกมาแต่ไม่ได้ทำลายวิชาแปลงวสันต์หกแปรเปลี่ยน ก็ยังมีพรรคหมิงเยี่ยที่จะมาจัดการได้ เจ้าไม่ต้องกังวล ทำเรื่องของตัวเองก็พอ”
“ใครจะมาจัดการ” เยวี่ยเหลียนโหลวถาม “ข้า?”
เฉินซวงพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ การเดินทางมาเป่ยหรงคราวนี้เยวี่ยเหลียนโหลวเป็นผู้ควบคุมทุกความเคลื่อนไหว อาขู่ล่ามีกำลังภายในสูงกว่าคนอื่นๆ ทั้งหมด ย่อมมีเพียงเยวี่ยเหลียนโหลวเท่านั้นที่จัดการได้
“ข้ากับหร่วนปู้ฉีฝึกถึงขั้นสี่เท่านั้น ข้ารับมือไม่ไหว” ชายหนุ่มนิ่งคิดสักพักแล้วบอก “จะให้ข้าจัดการย่อมได้ ก่อนอื่นประมุขพรรคต้องมาพบข้าสักครั้ง”
เยวี่ยเหลียนโหลวทำเป็นเกี่ยงงอนไม่เข้าท่า เฉินซวงเหนื่อยจะรับมือ ทั้งคู่จึงเถียงกัน เจ้าต่อว่าประโยคหนึ่ง ข้าโต้ตอบประโยคหนึ่ง จิ้นเยวี่ยฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวา ผุดลุกขึ้นสวมเสื้อออกจากกระโจมไปยังที่พักของอวิ๋นโจวอ๋อง เห็นคณะทูตจินเชียงได้แต่ไกลด้วยแสงตะเกียงสว่างไสว เขาไม่เห็นไป๋หนี นึกถึงคำพูดเฮ่อหลันจินอิงก็ยิ่งร้อนใจ
ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นร่างเฮ่อหลันเฟิงแล้ว
เด็กหนุ่มยืนอยู่นอกกระโจมของอวิ๋นโจวอ๋อง สวมเกราะเกล็ดเงินสว่างเรืองใต้แสงจันทร์ดูสูงสง่ายิ่ง เขามัดผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่ต่างจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิงไว้ด้านหลัง ข้างเอวทั้งซ้ายขวาเหน็บกระบี่และแล่งธนู สะพายคันธนูฉินเยวี่ยสีโลหะไว้ที่แผ่นหลัง คบไฟสว่างไสวไปทั่วค่าย ทหารที่เดินลาดตระเวนถือคบไฟไว้ในมือเดินสวนกันไปมา แสงไฟเคลื่อนผ่านใบหน้าเฮ่อหลันเฟิง ทำให้ใบหน้าที่ผสมระหว่างชาวเกาซินกับชาวฮั่นยิ่งหล่อเหลาเป็นพิเศษจนไม่อาจละสายตา
จิ้นเยวี่ยตะลึงงันมองดูเฮ่อหลันเฟิงจากที่ไกลๆ เนิ่นนาน ภายในใจนึกคิด ข้าน่ะหรือโง่เขลา ข้าน่ะรอบคอบ เฉลียวฉลาด เพียงแต่แสดงออกไม่เก่งต่างหาก จึงเก็บงำความคิดและอารมณ์ไว้แต่เพียงในดวงตา ขอเพียงดวงตาคู่นั้นมองมาที่ตัวข้า ข้าล้วนเข้าใจหมดสิ้น
สืบสาวให้ถึงแก่นแล้ว ก็เป็นผลจากคำว่า ‘ตัดใจไม่ลง’ นั่นเอง เกิด แก่ เจ็บ ตาย รักแล้วต้องพลัดพราก เคียดแค้นไม่อาจปล่อยวาง โหยหาแต่มิอาจได้มา ขันธ์ห้าทำให้ใจรุ่มร้อน จิ้นเยวี่ยอายุไม่เท่าไร กลับเคยลิ้มรสแต่ละสิ่งมาหมดแล้ว
ตอนยังเด็กเมื่อท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่มักจูงมือเขาพาเดินเล่นไปตามธารเยี่ยนจื่อ ที่นั่นมักคึกคักในยามวสันต์และคิมหันต์ พอถึงยามสารทนางแอ่นทั้งแก่และโตเต็มวัยพากันอพยพลงใต้ ท่านปู่จะจูงมือเล็กๆ ของเขา เล่าให้ฟังว่ารังนกนี้ว่างเปล่าแล้ว ปีหน้ารังนกนี้ก็ใช้การไม่ได้ พลัดพรากแล้วอยู่ร่วม ชุมนุมแล้วแยกย้าย ปีแล้วปีเล่า เป็นทุกข์ที่ต้องบินอพยพไกลนับพันหลี่หมื่นหลี่ ขอเพียงหารังสักแห่งให้ปักหลักได้ ทุกข์ทั้งปวงล้วนมลาย
ตอนนั้นจิ้นเยวี่ยยังไม่เข้าใจ เขาอยู่อาศัยในเมืองเหลียงจิงมานาน ไม่เคยรู้ว่าทุกข์เพราะคิดถึงบ้าน ต้องพลัดพรากไปอยู่ถิ่นอื่นนั้นเป็นเช่นไร ไม่รู้จักความรัก ยิ่งไม่รู้ถึงความร้อนรนในยามที่กระวนกระวาย ใจสั่นหวั่นไหว และยามต้องพลัดพราก
หากไม่ได้พบเฮ่อหลันเฟิงที่แคว้นเป่ยหรง เกรงว่าเขาคงต้องฝังร่างในที่ราบฉือวั่งหยวนไปนานแล้ว หายสาบสูญไปโดยไร้ผู้พบเห็น ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้จิ้นเยวี่ยก็จะรู้สึกว่าทุกสิ่งนี้ดีงามเกินความคาดหมายไปมาก เขาไม่อาจวอนขออะไรจากเทพแห่งโชคชะตามากไปกว่านี้ ขืนยังร้องขออีก คงจะเป็นการเรียกร้องที่มากเกินไป
บัดนี้ความทุกข์ร้อนมากมาย เมื่อพิเคราะห์ให้ดีแล้วก็เป็นทุกข์ที่เล็กน้อยเท่านั้น เป็นเหมือนเนินเขาเล็กๆ ที่มนุษย์จำต้องก้าวผ่านไปให้ได้ ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย เนินลูกนี้มีเฮ่อหลันเฟิง จะคิดคำนวณอย่างไร วิธีการคำนวณนี้ซับซ้อน จิ้นเยวี่ยไม่อาจคำนวณได้แน่ชัด รู้เพียงว่าเฮ่อหลันเฟิงจะอยู่ตรงนั้นและอยู่เสมอมา ยอดเขาสูงชันที่เขาจำต้องผ่านไป จะมีเฮ่อหลันเฟิงคอยยื่นมือมาฉุดให้เขาข้ามผ่าน
ชั่วพริบตา เฮ่อหลันเฟิงก็มาอยู่ต่อหน้าตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
“ผลัดเวรแล้ว” เขาปัดเส้นผมที่ตกระหน้าผากให้จิ้นเยวี่ย แล้วถาม “พี่ชายข้าพูดอะไรกับเจ้า”
“ให้ข้าอย่าหลอกลวงเจ้า”
เฮ่อหลันเฟิงหัวเราะ กระซิบตอบ “เจ้าอย่าไปฟัง”
“เจ้าเล่า” จิ้นเยวี่ยก็หัวเราะเช่นกัน “เจ้าจะฟังเขาหรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงจับมือเขาในพรางเงาสลัว “เรื่องอื่นฟังได้ เรื่องนี้ไม่ฟัง”
ทั้งสองมองตากัน ประกายไฟในดวงตาเต้นเร่า สักพักต่างก็หัวเราะออกมา และดูเหมือนจะถอนหายใจด้วยกันทั้งคู่
เฮ่อหลันเฟิงขยับเข้ามากระซิบข้างหูจิ้นเยวี่ย “วันนี้ข้าไปทางคณะทูตจินเชียง ไปหาตัวหุนต๋าเอ๋อร์ ดูเหมือนจะหารถม้าของแม่ทัพไป๋หนีพบแล้ว”
ไป๋หนีออกจากรถม้าไม่ได้ บัดนี้นางครรภ์แก่แล้ว เดินเหินไม่สะดวก แม่ทัพสี่แทบไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็น บางครั้งที่ออกจากรถม้าของตัวเอง เขาจะสวมหน้ากากทองแล้วเข้าไปในรถม้าของไป๋หนี อยู่ในนั้นพักใหญ่
“พรุ่งนี้จะออกเดินทางแล้ว” จิ้นเยวี่ยใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ “เมืองถัดไปคือเมืองผิงโจว…ถ้าไป๋หนีคลอดลูกระหว่างทางเกรงจะมีความเสี่ยงมาก พี่ใหญ่โหยวกับไป๋หนีล้วนเป็นชาวเมืองเฟิงหู ทั้งสองต่างก็ต่อสู้สุดชีวิตในกองทหารม้าคะนองเมฆา ตอนนี้พี่ใหญ่โหยวไม่อยู่แล้ว เด็กคนนี้เป็นเหมือนเสาหลักของไป๋หนี จะให้เกิดเรื่องไม่ได้เด็ดขาด”
วันถัดมา คณะเดินทางออกเดินทางอีกครั้งจากค่ายเยี่ยไถ
เหยี่ยวที่ผูกปล้องไม้ไผ่เล็กๆ ไว้ที่ขาตัวหนึ่งโผบินขึ้นจากแขนอวิ๋นโจวอ๋อง มันบินทะยานว่องไวกว่าคณะเดินทาง หลายวันให้หลังก็บินไปถึงเมืองผิงโจว แล้วเข้าไปในหอส่งสารของเมืองผิงโจว เหยี่ยวหยุดอยู่ที่นี่ไม่นาน พักครึ่งวันก็ออกบินต่อ สามวันให้หลังในที่สุดก็ไปถึงเมืองปี้ซานเมืองสุดท้ายตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิง
ม้วนสารในปล้องไม้ไผ่ส่งถึงมือหลงถูชิน
ตกค่ำวันนี้เอง ขณะราชครูเหลียงแห่งต้าอวี่กับองค์ชายสามเฉินหรงพูดคุยกันเรื่องการลงนามสัญญาสงบศึก ออกปากเตือนอย่างฉับพลันเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“วันนี้ได้พบหลงถูชิน พูดคุยกันถูกคอยิ่งนัก เขาได้รับสารจากคณะทูตเป่ยหรงแต่เช้าตรู่ คณะทูตเดินทางออกจากเยี่ยไถแล้ว กำลังมุ่งหน้ามาผิงโจว”
เฉินหรงจิบสุราทีละน้อย พยักหน้า เขาไม่ได้กำลังคิดเรื่องนี้ ในมือถือม้วนตำรา “เมืองปี้ซานของพวกเราออกจะใหญ่โตเพียงนี้ เหตุใดหาต้นซานฉาไม่ได้สักต้น”
“ต้นซานฉาอยู่ในสภาพภูมิประเทศเช่นนี้ไม่ได้” เหลียงอันฉงไม่รู้ว่าสองสามวันมานี้เขาเสาะหาต้นซานฉาเพราะเหตุใด จึงข่มเสียงพูดเบาๆ “หลงถูชินบอกว่าในคณะทูตมีชาวต้าอวี่มาด้วย”
“ชาวต้าอวี่?” เฉินหรงพยักหน้า “อ้อ…”
“องค์ชายสามรู้ว่าเป็นผู้ใด?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” เฉินหรงหัวเราะ “ข้าไม่ได้เป็นผู้มีความสามารถเอกอุอย่างท่านราชครูเหลียงเสียหน่อย”
เหลียงอันฉงพลอยหัวเราะไปด้วย บรรยากาศสอดคล้องกลมกลืนยิ่ง
“ฟังจากหลงถูชิน ชาวต้าอวี่ผู้นั้นกับพวกเขาดูจะมีความเกี่ยวข้องกับพวกเรา ดูเหมือนเขาจะบอกเป็นนัยว่าเป็นคนในกองทัพ” เหลียงอันฉงเอ่ย “หรือจะเป็นคนของทัพเหนือ”
เฉินหรงรำพึงกับตัวเองสักพักก็หันมาถาม “ท่านเดาได้หรือไม่ว่าเป็นใคร”
มีองครักษ์ร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขา แอบอยู่ตรงที่สลัวซึ่งแสงโคมส่องไปไม่ถึง เวลานี้จึงได้ก้าวออกมา ประสานมือคารวะ “ตั้งแต่เกณฑ์เข้าเป็นทหาร จวินซานก็อยู่ในทัพตะวันตกเฉียงเหนือมาตลอด คนในทัพเหนือ จวินซานไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว”
การพูดคุยที่คลุมเครือครั้งนี้ สุดท้ายจบลงด้วยเฉินหรงอ้าปากหาวหวอด ชายหนุ่มนำผู้ติดตามออกจากห้องของเหลียงอันฉง ขณะเดินไปตามโถงทางเดินคดเคี้ยว พลันพูดขึ้น “โหยวจวินซาน”
องครักษ์ที่เดินตามหลังมาติดๆ ขานรับ
“ถ้าข้ามอบทหารม้าให้เจ้าสักพันนาย เจ้าจะฝึกฝนให้ข้าจนได้อย่างทหารม้าคะนองเมฆาหรือไม่”
เงียบไปนานพักใหญ่ โหยวจวินซานก็เอ่ยตอบ “ย่อมไม่ได้ ข้าไม่ได้มีความสามารถอย่างแม่ทัพจิ้น และไม่ได้มีบารมีถึงขั้นออกปากขานเรียกก็มีเสียงตอบรับเป็นร้อยเช่นแม่ทัพจิ้น ด้วยเหตุนี้ทหารม้าคะนองเมฆาจึงได้เป็นทหารม้าคะนองเมฆา ล้วนเป็นเพราะแม่ทัพจิ้น เขาก็คือ…”
เฉินหรงยกมือหยุดไม่ให้โหยวจวินซานพูดต่อ
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมาก” เขาสั่งอย่างคร้านๆ “เจ้าช่างมีใจคิดคำนึงถึงแต่จิ้นหมิงเจ้าอย่างแท้จริง”
โหยวจวินซานจึงไม่พูดอีก เดินตามเฉินหรงไปข้างหน้า เข้าสู่ใต้ร่มเงามืดครึ้มของต้นไม้
* ผีซิว คือสัตว์สิริมงคลของคนจีน เชื่อว่าสามารถปกป้องและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้
* อามา เป็นคำเรียกหญิงสูงวัยที่ไม่ได้เป็นญาติกันด้วยความเคารพ
* ปลาหนีชิว เป็นชื่อปลาชนิดหนึ่งตัวกลม ปลายหางแบน หลังสีดำ ท้องสีขาวหรือเทา หัวเล็กแหลมปากมีหนวด มักจะอยู่ในแม่น้ำ หนอง บึง ชอบซ่อนตัวอยู่ในดินเลน เนื้อสามารถกินได้
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 22 พ.ย. 65
Comments
comments
No tags for this post.