ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 3
ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
องก์ที่สอง
บทที่ 14 เทศกาลจงหยวน
วันสุกดิบเทศกาลจงหยวน เฉินหรงนำราชโองการของฮ่องเต้เหรินเจิ้งมาด้วย
จิ้นเยวี่ยตามเขาเข้าวังจึงได้รู้ว่าฮ่องเต้เหรินเจิ้งกลับมาป่วยอีกครั้ง ตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมาเกิดอาการเจ็บหัวใจบ่อยครั้ง บางครั้งเกิดอาการหลังกินอาหาร บางครั้งเริ่มเจ็บเล็กน้อยตั้งแต่เพิ่งรุ่งสาง หมอหลวงบางคนบอกว่าธาตุเย็นในปอดพร่อง บ้างก็ว่าตับกับไตมีความร้อน หาทางเยียวยาทั้งกินยาและฝังเข็มมาแล้วมากมายล้วนไม่ได้ผล หมอหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุดเคยลอบแจ้งให้เฉินหรงทราบว่าไม่ว่าจะเพราะอาการคั่งร้อนหรือธาตุเย็นพร่อง ล้วนต้องอาศัยการให้เลือดลมของผู้ป่วยมีความมั่นคง แต่ฮ่องเต้เหรินเจิ้งอายุมากแล้วเกรงว่าจะยาก
ในใจจิ้นเยวี่ยคล้ายมีรสชาติบางอย่างที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นมา สองสามวันนี้เขามักพาเฉินซวงไปร่ำสุรากับจี่ชุนหมิง เดิมทีเพราะอยากสร้างโอกาสให้เฉินซวงกับพี่รองเหยาได้พบหน้ากัน แต่เฉินซวงไม่ยอมไป สามบุรุษร่ำสุราในลานเรือน มีคนของพรรคหมิงเยี่ยสองสามคนเฝ้าคุ้มกันบนกำแพง จี่ชุนหมิงเล่าเรื่องในราชสำนักให้ฟังไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นเสียงบ่นว่าที่ชายหนุ่มได้เป็นเสนาบดีกรมอาญา แต่จี่ชุนหมิงมิได้โง่เขลา รู้จักค่อยๆ เรียนรู้รสชาติใหม่ขณะไปมาหาสู่เหล่าเสนาบดีกรมคนอื่นๆ ทั้งห้ากรม
จี่ชุนหมิงมิใช่คนของราชครูเหลียง ทั้งไม่ใช่คนของเฉินหรง กระทั่งรายชื่อตัวเลือกที่เหล่าขุนนางราชสำนักพากันเสนอก็ยังไม่เคยปรากฏชื่อของเขา ตอนที่ฮ่องเต้เหรินเจิ้งมีราชโองการแต่งตั้ง คนไม่น้อยไม่เคยแม้แต่พบเห็นหน้าตาจี่ชุนหมิงมาก่อน
พูดอีกอย่างได้ว่าที่จริงแล้วจี่ชุนหมิงเป็นคนของฮ่องเต้เหรินเจิ้ง
สถานการณ์เช่นนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่จิ้นเยวี่ยและเฉินหรงคาดการณ์ไว้ เดิมทีเฉินหรงควบคุมกรมปกครองและกรมพิธีการ เหลียงอันฉงคุมกรมอาญาและกรมโยธา ส่วนกรมทหารและกรมอากรอยู่ในการควบคุมของฮ่องเต้เหรินเจิ้ง เฉินหรงลากเซิ่งเข่อเลี่ยงตกจากหลังม้าก็คิดไว้ว่าจะผลักดันคนของตนเองเข้าไป ใครจะคาดคิด ฮ่องเต้เหรินเจิ้งไม่เลือกใครทั้งสิ้น จำเพาะมาเลือกจี่ชุนหมิง
บัดนี้ที่จริงแล้วฮ่องเต้เหรินเจิ้งยึดกุมกรมอาญา กรมทหาร และกรมอากร ส่วนอำนาจของเฉินหรงนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
จิ้นเยวี่ยจึงยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเฉินหรงจึงได้เคร่งเครียดมากเรื่องเขื่อนติ้งซาน เพราะสิ่งที่เขาต้องการยื้อแย่งยังมิได้ตกถึงมืออย่างแท้จริง
ส่วนที่ว่าฮ่องเต้เหรินเจิ้งจะตั้งใครขึ้นเป็นรัชทายาท ก็ขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้จะมอบอำนาจไว้ในมือใคร การมีรับสั่งให้ม้าเร็วห้อตะบึงพันหลี่เพียงเพื่อเรียกตัวเฉินต้วนกลับมาพบ ท่าทีเช่นนี้ของฮ่องเต้บ่งบอกชัดว่าเป็นปัญหา
ถึงบัดนี้เฉินหรงยังคงเป็นโอรสองค์โปรดของฮ่องเต้เหรินเจิ้ง ทว่าวันใดเฉินต้วนกลับถึงเมืองหลวง สถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้
จิ้นเยวี่ยได้ฟังเรื่องนี้มามากจนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ เฉินหรงกับเหลียงอันฉงล้วนอยากกวนบ่อน้ำแห่งราชสำนักนี้ให้ขุ่น ทว่าฮ่องเต้เหรินเจิ้งยังมีอำนาจ ฮ่องเต้ต่างหากที่เรียกลมเรียกฝนได้อย่างแท้จริง
ผ่านเข้าประตูวังมาแล้ว คนที่มาต้อนรับยังคงเป็นขันทีหยางกงกงผู้รับใช้ใกล้ชิดข้างกายฮ่องเต้ หยางกงกงหันไปคำนับทักทายเฉินหรงก่อน เมื่อหันมาหาจิ้นเยวี่ย ดวงตาแก่ชรากลับมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา
“แม่ทัพน้อย เนิ่นนานมิได้พบหน้า ท่านเติบใหญ่ขึ้นแล้ว!”
จิ้นเยวี่ยหันไปคำนับอีกฝ่าย เขาได้พบปะนางกำนัลและขันทีมากมายในวังหลวง ทว่าหยางจื๋อหยวนหยางกงกงผู้นี้ต่างหาก เป็นคนที่เขาสนิทชิดเชื้อด้วยที่สุด หยางกงกงกุมมือจิ้นเยวี่ย กวาดตามองประเมินขึ้นลง ปากร้องอุทานชื่นชมไม่หยุด
“เหมือน เหมือนจริงๆ! ดวงตาเหมือนองค์หญิงซุ่นอี๋ แต่ท่าทางทระนงองอาจ ราวกับเป็นแม่ทัพจงเจาก็มิปาน!”
เขาเดินนำเฉินหรงกับจิ้นเยวี่ยเดินทะลุโถงทางเดินสีแดงเข้ม ผ่านประตูวังประดับตะปูทองแดง เดินเลี้ยวลดไปตามทางเดินเข้าไปในอุทยานหลวง เฉินหรงถูกหยางกงกงขวางไว้ ส่วนจิ้นเยวี่ยเดินเข้าไปในอุทยานหลวงด้วยตัวเอง
เมื่อเดินผ่านสถานที่ยังหลงเหลือความทรงจำที่คุ้นเคยอยู่หลายส่วน เขาหวนนึกขึ้นได้ว่าที่แห่งนี้เคยปลูกต้นซานฉาไว้ ออกดอกสีแดงเข้มตระการตา ยามดอกของมันรองรับหิมะอุ้มน้ำค้างแข็ง สีสันตัดกันงดงามชวนตกตะลึง
หลังจากต้นซานฉาถูกเฉินหรงเผาทิ้ง บัดนี้มีศาลาหลังน้อยตั้งอยู่ข้างจุดที่เคยมีต้นซานฉา ฮ่องเต้เหรินเจิ้งเส้นผมหงอกขาว นั่งอยู่ในศาลาแห่งนั้น จิ้นเยวี่ยตกตะลึง ด้วยไม่คาดคิดว่าจากกันไปไม่ถึงสองปี ฮ่องเต้จะชราถึงเพียงนี้!
ฮ่องเต้เหรินเจิ้งเห็นจิ้นเยวี่ยแต่ไกล ไม่ต้องรอให้ขันทีแจ้ง ก็โบกมือเรียกจิ้นเยวี่ย
“จื่อวั่ง มานี่เร็ว”
มีน้ำชาและของว่างวางไว้ในศาลา ล้วนเป็นของที่จิ้นเยวี่ยชอบกิน เขาได้แต่อุทานในใจ หมากกระดานบนโต๊ะหินเล่นไปครึ่งหนึ่ง ฮ่องเต้เหรินเจิ้งรับสั่งให้จิ้นเยวี่ยมาเป็นคู่เล่น น้ำเสียงสนิทชิดเชื้อราวกับเพิ่งจะบอกลากันเมื่อวันวานนี้เอง
สถานการณ์หมากบนกระดานแน่นอนแล้วโดยพื้นฐาน แต่ยังพอเหลือลมหายใจอยู่ตรงมุม จิ้นเยวี่ยหยุดคิดสักครู่แล้ววางหมากสีขาวลงไป หมากสีดำกินหมากสีขาวไปแถบหนึ่ง ทว่าด้วยเหตุนี้เอง หมากขาวที่ถูกล้อมจึงได้มีช่องทางเปิดขึ้นใหม่
“ช่วงนี้เซี่ยหยวนจื้อเป็นอย่างไรบ้าง” จู่ๆ ฮ่องเต้เหรินเจิ้งก็เอ่ยถาม
จิ้นเยวี่ยกลับถึงเมืองหลวงวันที่สองก็ไปเยี่ยมคารวะอาจารย์ ทั้งยังได้พาจี่ชุนหมิงไปด้วย จี่ชุนหมิงไม่ใช่ศิษย์ของเซี่ยหยวนจื้อ แต่ก็นับถือชายชราอย่างยิ่ง ถึงกับพูดตะกุกตะกักต่อหน้าชายชรา จนถูกหยอกล้อเป็นที่ขบขันของเซี่ยหยวนจื้อและภรรยา
พอทราบว่าเซี่ยหยวนจื้อร่างกายแข็งแรงดี ฮ่องเต้เหรินเจิ้งมีท่าทีสะเทือนใจ เซี่ยหยวนจื้อเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ แม้จะไม่ได้สนิทสนมมาก แต่ต่างฝ่ายต่างก็คิดถึงกันอยู่เนืองๆ ดูจากสภาพของคนทั้งสองแล้ว ฮ่องเต้เหรินเจิ้งซึ่งอายุน้อยกว่ากลับดูเจ็บป่วยมากกว่าเสียอย่างนั้น
“ครั้งแรกที่เจ้ามาเข้าเฝ้าเราในวัง เป็นเรื่องเมื่อใดกันนะ” ฮ่องเต้เหรินเจิ้งถาม
จิ้นเยวี่ยจดจำวันนั้นได้แม่นยำ มารดากับเขาได้รับราชโองการเรียกตัวจากเมืองเฟิงหูกลับเมืองหลวง วันถัดมาก็ถูกนำตัวไปพบไทเฮา ตำหนักฉือเซวียนของไทเฮายิ่งใหญ่อลังการ จิ้นเยวี่ยซึ่งไม่เคยพบเห็นสิ่งก่อสร้างและตำหนักที่งดงามอลังการถึงเพียงนี้จึงตื่นเต้นจนจับมือมารดาไว้แน่น เดินโซเซ ไม่กล้าพูดสักคำ
ตำหนักฉือเซวียนนอกจากไทเฮาแล้วยังมีชายวัยกลางคนในชุดยาวสีเหลือง ท่าทางสง่างามน่าเกรงขาม เรียกขานมารดาของเขาว่า ‘น้องแปด’ มารดาจึงจูงเขาไปอยู่ต่อหน้าชายชุดเหลืองผู้นั้น สอนให้เรียกว่า ‘พระหมื่นปี’ จับมือน้อยๆ ของเขาส่งให้ชายคนนั้น หลังจากคารวะแล้ว จิ้นเยวี่ยก็ได้รับของพระราชทาน เขามิได้สนใจเงินทองไข่มุกและอัญมณีล้ำค่าเหล่านั้นเลย พู่กัน แท่งหมึก กระดาษ และจานฝนยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด ได้แต่นั่งนิ่งสัปหงกในอ้อมอกมารดา ยังดีที่ภายหลังมีพี่ชายพี่สาวหลายคนเข้ามาจูงเขาออกไปวิ่งเล่นในอุทยานหลวงด้านนอก
อย่างไรเสียจิ้นเยวี่ยก็ยังเด็ก มักได้ออกไปเล่นสนุกกับพี่ชายพี่สาวที่ไม่รู้จักในเมืองเฟิงหูอยู่บ่อยครั้ง ตอนนั้นทุกคนดูร่าเริงและให้ความสนิทสนม เขาจึงเฮละโลไปด้วยอย่างสนุกสนาน พวกเขาไล่จับผีเสื้อปีนต้นไม้ วิ่งไปมาข้ามสะพานหินเล็กๆ จนเหล่านางกำนัลและขันทีพากันว้าวุ่นใจด้วยความหวาดหวั่น เล่นๆ อยู่กำลังสนุก ก็มีองค์ชายที่โตหน่อยสองสามคนเดินเข้ามาจากด้านนอก
องค์ชายที่เป็นหัวหน้าเห็นคนแปลกหน้าอย่างจิ้นเยวี่ย ก็รีบสาวเท้าเข้ามาบีบแก้ม ‘เด็กน้อยน่ารักนี่มาจากที่ใด เหตุใดข้าไม่เคยเห็นหน้า’
พอได้รู้ว่าเขาคือจิ้นเยวี่ย องค์ชายผู้นั้นก็ยิ่งหัวเราะอย่างรื่นเริงใจ ‘ข้าเป็นพี่สามของเจ้า เรียกข้าว่าพี่ชายสิ’
จิ้นเยวี่ยงุนงงไม่รู้เหนือรู้ใต้ ออกปากเรียกไปว่า ‘พี่ชาย’
เฉินหรงหัวเราะออกมาทันที ท่าทางเบิกบานใจยิ่งนัก
รอจนเฉินหรงจากไปแล้ว ขันทีหยางกงกงก็เรียกจิ้นเยวี่ยมา พอรู้ว่าจิ้นเยวี่ยเรียกเขาว่าพี่ชายจริงๆ เหงื่อกาฬก็แตกพลั่ก ‘เรียกไม่ได้อย่างเด็ดขาด!’
อบรมอยู่พักใหญ่ จิ้นเยวี่ยก็ถูกหยางกงกงพาไปกินขนมและผลไม้ด้านข้าง พอเหลียวมองไปเห็นเด็กหนุ่มรูปร่างพอๆ กับเฉินหรงยืนอยู่ใต้ต้นไม้ด้านข้าง ต้นไม้นั้นดูรกทึบ แต่ไม่เหมือนต้นไม้ใหญ่ทั่วไป ดอกตูมออกจนสะพรั่งไปทั้งต้น ยอดแหลมที่ผลิออกเป็นสีแดงเพลิง ดูคล้ายหลบซ่อนทว่ายิ่งโดดเด่น หนุ่มน้อยคว้าผีเสื้อเกาะใบไม้ไว้ได้ตัวหนึ่ง แต่แล้วก็คลายมือปล่อยให้มันบินไป
‘เจ้าเป็นใคร’ จิ้นเยวี่ยถาม
‘ข้าชื่อเฉินต้วน’ เด็กหนุ่มตอบ ‘อย่าพูดคุยกับข้า เจ้าจะเดือดร้อนเอาได้’
จิ้นเยวี่ยจึงไม่กล้าพูด ถาดใบเล็กในมือเขายังมีลูกกวาดสิงโตรสนมอีกสองเม็ด จึงยื่นให้เฉินต้วนท่าทางหวาดๆ เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวา ถึงค่อยกล้าหยิบไปกินเม็ดหนึ่ง
จิ้นเยวี่ยหุบปากเงียบ มองดูเขาใช้เสียมเล่มเล็กพรวนดินให้ต้นไม้ต้นนั้นพลางพูดในใจ เขาเป็นคนสวนในวังหรือ
รอจนเฉินต้วนพรวนดินเสร็จ เขาก็บ่ายหน้าจากไปโดยไม่ได้พูดคุยกับจิ้นเยวี่ย แต่เดินไปได้ครึ่งทาง เด็กหนุ่มก็หันหลังแล้ววิ่งซอยเท้ากลับมา กระซิบบอกว่า
‘ตอนนี้ต้นไม้ต้นนี้ไม่งาม ต้องเป็นยามวสันต์จึงจะงามตา’ เฉินต้วนบอก ‘ยามต้นวสันต์มีหิมะตก มันจะออกดอกบานสะพรั่ง เจ้าจำไว้แล้วค่อยมาดู’
บัดนี้ต้นไม้ต้นนั้นตายไปแล้ว จิ้นเยวี่ยยังจำผืนดินไหม้ไฟในตอนนั้นได้ ตอนนี้แม้แต่ร่องรอยของดินที่มอดไหม้ก็ไม่เหลือ มีเพียงภาพต้นซานฉาแผ่กิ่งก้านเหลือไว้ในความทรงจำของเขาเท่านั้น
ต้นซานฉาสูงมาก หยั่งรากลงลึกในดิน ต้องลำบากตรากตรำสักเพียงใดจึงหยั่งรากผลิดอกได้บนผืนดินที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ ตอนยังมิได้ออกดอก รู้เจียมตนไม่กระโตกกระตาก แต่ยามเบ่งบานกลับออกดอกสะพรั่งเต็มต้น เป็นดอกไม้กลีบแดงเกสรละเอียด ชูช่อสีแดงเพลิงงดงามชวนตะลึง
ฉับพลันนั้นฮ่องเต้เหรินเจิ้งก็เอ่ยถาม
“ต้นซานฉาที่เคยยืนต้นที่นี่ เจ้ายังจำได้กระมัง”
จิ้นเยวี่ยพยักหน้า
ฮ่องเต้เหรินเจิ้งจึงพูดกับเขาว่าต้นซานฉานั้นท่านยายที่เขาไม่เคยพบหน้าเป็นคนนำมาปลูกไว้
วันนี้ฮ่องเต้เหรินเจิ้งดูจะมีรับสั่งมากเป็นพิเศษ เรื่องที่พูดล้วนเป็นเรื่องในอดีต ทั้งความทรงจำของตนเอง ความทรงจำของจิ้นเยวี่ย กระทั่งยังพูดถึงเรื่องเทศกาลจงชิว* และเทศกาลหยวนเซียว จิ้นเยวี่ยถูกเฉินหรงใส่หน้ากากผีหลอกจนตกใจร้องไห้จ้า ฮองเฮาบริภาษเฉินหรงเป็นการใหญ่ ฮ่องเต้เหรินเจิ้งจึงอุ้มจิ้นเยวี่ยขึ้นมา พาชมโคมไฟนับไม่ถ้วนที่ลอยสูงเกลื่อนฟากฟ้าราตรีของเมืองเหลียงจิง
สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นอดีตที่ผันผ่าน
จิ้นเยวี่ยรู้ว่าที่ฮ่องเต้เหรินเจิ้งมีรับสั่งให้เข้าเฝ้ามิใช่เพื่อกล่าวขออภัย ยิ่งมิได้มีประสงค์จะพลิกคดีให้บิดาของเขา ฮ่องเต้ชราเพียงอยากพบหน้าบุตรชายของสหายเก่า เพียงอยากกอบเก็บความทรงจำของตนเองเท่านั้น
ก่อนลาจาก ฮ่องเต้เหรินเจิ้งเดินลงไปยังศาลาหลังน้อยกับเขา ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
“จื่อวั่ง ให้เราดูแขนของเจ้าหน่อย”
จิ้นเยวี่ยยื่นแขนออกมา ฮ่องเต้เหรินเจิ้งรั้งชายแขนเสื้อของเขาขึ้น เห็นรอยประทับทาสบนท่อนแขนซ้าย ดวงตาชราก็วูบไหว เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยได้
“เจ้าต้องรับความทุกข์ยากแล้ว”
จิ้นเยวี่ยอดถามขึ้นไม่ได้
“ฝ่าบาท เทียบกับที่กระหม่อมได้รับแล้ว บิดา มารดา และพี่สาวของกระหม่อม รวมทั้งคนสกุลจิ้นต่างก็ได้รับความอยุติธรรมใหญ่หลวงกว่าเสียอีก พระองค์ทรงเชื่อจริงๆ หรือว่าบิดาของกระหม่อมจะกลัวศึกจนทิ้งเมืองหนีไป”
ฮ่องเต้เหรินเจิ้งมองดอกไม้ต้นไม้ในอุทยานหลวง แล้วถามเขา “จื่อวั่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าความงดงามวิจิตรเช่นนี้ของอุทยานหลวง อาศัยสิ่งใดจึงมีได้”
จิ้นเยวี่ยเงียบไปไม่ตอบ
“อาศัยการที่ดอกไม้ย่อมมีที่ไป ต้นไม้มีที่หยัดยืน สายน้ำไหล ภูเขาลูกย่อม ล้วนมีการจัดวาง” ฮ่องเต้เหรินเจิ้งกล่าวอย่างราบเรียบ “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีที่ทาง ต่างพึ่งพิงอิงอาศัยกัน จึงมีสมดุล”
จิ้นเยวี่ยยังคงไม่พูด เพียงมองดูฮ่องเต้ ฮ่องเต้เหรินเจิ้งมิได้หันมามองจิ้นเยวี่ยตรงๆ เพียงกล่าวต่อ “วิถีแห่งราชัน ยากที่สุดคือคำว่า ‘สมดุล’ ขอเพียงรักษาสมดุลไว้ได้ แคว้นจะสงบสุข ราษฎรผาสุก แม่น้ำกระจ่างใส ทะเลไร้คลื่นลม ถ้าเห็นแก่ความปรารถนาส่วนตัว เห็นแก่ความคิดส่วนตัว จะทำให้เสียสมดุล…จื่อวั่ง เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด”
ฮ่องเต้เหรินเจิ้งสาดน้ำชาถ้วยหนึ่งลงที่ตีนศาลา ผินหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน
หลังจากนั้นจิ้นเยวี่ยเดินตามหยางกงกงตลอดทางมาถึงประตูวัง เฉินหรงรออยู่ตรงนั้นตลอดมา เขาถามว่าฮ่องเต้เหรินเจิ้งมีคุยเรื่องใดกับจิ้นเยวี่ย จิ้นเยวี่ยคิดแล้วตอบว่า
“ให้ข้ามาเตือนท่านว่าจะทำสิ่งใดอย่าได้วู่วามและอย่าร้อนรน สถานการณ์ในเวลานี้ ฝ่าบาทย่อมมีวิธีการที่เหมาะสม”
เฉินหรงตามเขาขึ้นรถม้า “ข้าทำสิ่งใดวู่วามเกินไป”
จิ้นเยวี่ย “เขื่อนติ้งซาน”
เฉินหรงหุบปากเงียบ
จิ้นเยวี่ย “ฝ่าบาทมีพระราชประสงค์ช่วงชิงอำนาจจากมือราชครูเหลียง แต่ราชครูเหลียงมีสายสัมพันธ์ที่หยั่งรากลึก นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน ตอนนี้เซิ่งเข่อเลี่ยงหมดบทบาทไปแล้ว ฝ่าบาทจึงถือโอกาสนี้จัดวางจี่ชุนหมิงไว้ในกรมอาญา ในพระทัยนั้นทรงชื่นชมท่าน เรื่องนี้ท่านจัดการได้อย่างถูกต้อง แต่ต่อมาที่ท่านคิดจะจัดการเสนาบดีกรมโยธาติดๆ กัน นับว่าวู่วามไปหน่อย”
เฉินหรงมองเขา แววตาน้อยเนื้อต่ำใจ
จิ้นเยวี่ยจึงพูดอีก “ข้ารู้ว่าเหตุใดท่านร้อนใจ แต่การร้อนใจไม่มีประโยชน์ บัดนี้ฝ่าบาทโปรดปรานองค์ชายห้ามาก เป็นเพราะทรงเชื่อมโยงองค์ชายห้ากับอดีตรัชทายาทเข้าด้วยกัน”
เฉินหรงทอดถอนใจ “เอาเถอะ เข้าใจแล้ว”
ในรถม้าพลันตกอยู่ในความเงียบ ที่จริงจิ้นเยวี่ยมีเรื่องที่ยังไม่ได้บอก ฮ่องเต้เหรินเจิ้งเน้นถึงการสร้าง ‘สมดุล’ ให้เขาฟัง ที่แท้บ่งบอกว่าฮ่องเต้ไม่อาจไล่เบี้ยตรวจสอบการตายของจิ้นหมิงเจ้า การตายของแม่ทัพจงเจาเกี่ยวพันกับเหลียงอันฉงและภารกิจด้านการทหารของทัพตะวันตกเฉียงเหนือ หากเริ่มต้นสืบสวนเมื่อใด ทัพตะวันตกเฉียงเหนือจะต้องระส่ำระสายไม่สงบสุข เวลานี้ทัพใหญ่ของจินเชียงคอยจับจ้องตาเป็นมัน ไม่ใช่ห้วงเวลาที่เหมาะสม
จิ้นเยวี่ยเข้าใจถ้อยคำที่ฮ่องเต้เหรินเจิ้งเก็บงำไว้ในใจ แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ จิ้นเยวี่ยไม่อาจให้อภัยได้ การเข้าเฝ้าวันนี้เพียงเพื่อให้เขารู้ชัดว่าฮ่องเต้เหรินเจิ้งไม่มีความคิดจะพลิกคดีล้างผิดให้บิดาและสกุลจิ้น
เวลานี้จู่ๆ ก็ได้ยินเฉินหรงพูดขึ้นว่า
“โชคดีที่มีเจ้าอยู่ข้างๆ เรื่องยุ่งยากและความร้อนใจมากมายของข้า ไม่อาจเอ่ยปากบอกผู้ใด ทำได้เพียงบอกเจ้าเท่านั้น”
จิ้นเยวี่ยไม่ส่งเสียง
เฉินหรงกุมมือเขา “ขออภัยด้วย ต่อไปข้าจะฟังเจ้าพูดให้มากขึ้น”
จิ้นเยวี่ย “ท่านพูดแล้วต้องทำให้ได้”
เฉินหรงยิ้ม “แน่นอน ถ้าผิดคำพูด ข้ายอมให้เจ้าลงโทษ” พูดพลางหัวเราะอีกหลายครั้ง แล้วสีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น “วันนี้เป็นวันเทศกาลจงหยวน นับดูแล้วน้องห้าน่าจะออกเดินทางมาแล้ว”
รถม้ามาถึงจวนที่จิ้นเยวี่ยพักอยู่ เฉินหรงลงจากรถม้าก่อน คิดแล้วพูดว่า “ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าปัดกวาดสุสานเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ”
จิ้นเยวี่ยมิได้ปฏิเสธ ตอนนี้เขาอยู่ในเหลียงจิงยังต้องพึ่งพาเฉินหรง นี่เป็นการแสดงน้ำจิตน้ำใจ เขาต้องรับไว้
ด้านหน้าสุสานที่ระลึกถึงจิ้นหมิงเจ้าเต็มไปด้วยของเซ่นไหว้ ชาวเมืองเหลียงจิงทยอยกันมาไม่ขาดสาย จิ้นเยวี่ยมองดูสุสานจากที่ไกลๆ ในความว่างโหวงและโศกเศร้า หวนนึกว่าวันนี้เป็นเวลาที่วิญญาณเดียวดายของบิดาได้กลับมายังโลกมนุษย์ชั่วคราว ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณของท่านวนเวียนอยู่ที่เหลียงจิง หรือยังร่อนเร่อยู่ที่ด่านไป๋เชวี่ยนอกเมืองเฟิงหู
แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ ณ ขณะนี้คำถามเดียวกันนี้ก็กำลังวนเวียนอยู่ในใจเฮ่อหลันเฟิงเช่นกัน
เฮ่อหลันเฟิงที่กำลังจูงเฟยเซียวรอเฉินต้วนกับหนิงหยวนเฉิงที่จะมารับตนเองอยู่นอกเมืองเฟิงหู เขามองเห็นชาวบ้านมากมายกำลังเผากระดาษเงินอยู่นอกเมือง หันหน้าไปคุกเข่ากราบไหว้ทิศทางด่านไป๋เชวี่ย พอถามจึงได้รู้ว่าวันนี้เป็นวันเทศกาลจงหยวนของชาวฮั่น เครื่องเซ่นไหว้เหล่านี้ล้วนนำมาเพื่อกราบไหว้วิญญาณเหล่าทหารที่สิ้นชีพในการศึก
“…คงจะมีที่สำหรับกราบไหว้ดวงวิญญาณแม่ทัพจงเจา?” เฮ่อหลันเฟิงถาม
ทหารซึ่งทำหน้าที่รักษาการณ์ตกใจ “คนเถื่อนอย่างพวกเจ้าก็รู้จักแม่ทัพจงเจาด้วยรึ”
“ใครบ้างไม่รู้จักนามอันเลื่องลือของแม่ทัพจงเจา” เฮ่อหลันเฟิงย้อน “ข้ารู้จักบุตรชายของเขา อยากจะเผากระดาษเงินให้แม่ทัพจงเจาสักสองสามใบ”
ทหารผู้นั้นท่าทางซาบซึ้งใจ “เจ้าไม่เหมือนคนเถื่อนเลย แม่ทัพจิ้นสละชีพที่ด่านไป๋เชวี่ย หันไปยังทิศทางด่านไป๋เชวี่ยก็ได้”
เฮ่อหลันเฟิงไม่เข้าใจพิธีการเซ่นไหว้เหล่านี้ ซื้อของจำพวกกระดาษเงินมาบางส่วนแล้วก็กราบไหว้ตามผู้อื่น แล้วพูดว่า “แม่ทัพจิ้น ถ้าท่านได้ยินคำพูดของข้า ขอท่านช่วยอวยพรและปกป้องคุ้มครองให้ข้าเดินทางถึงเหลียงจิงอย่างราบรื่น อวยพรให้ข้าหาจิ้นเยวี่ยพบ ให้เขาไม่โกรธข้า ยอมรับฟังข้าแต่โดยดี อวยพรให้เขาปลอดภัย ให้มีแต่ความสุข”
อาจเพราะคำพูดเขาแปลกประหลาด หรืออาจเพราะสีผม สีผิว หรือสีม่านตาที่แตกต่างจากผู้อื่น พอเฮ่อหลันเฟิงไหว้เสร็จเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีคนหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกพิกล
เขาไม่แสดงท่าทางหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ถลึงตามองกลับไป หญิงผู้นั้นก็รีบก้มหน้าย่นคอ ไม่กล้ามองมาอีก
เฉินต้วนกับหนิงหยวนเฉิงเห็นเฮ่อหลันเฟิงก็ดีใจมาก ทั้งสองคนพาเขาเข้าเมืองเฟิงหู ตลอดทางเอาแต่สอบถามเรื่องต่างๆ หลังจากเขากลับไปเขาเซวี่ยหลาง
ปาหลงเก๋อเอ่อร์ย่อมอยู่ที่เขาเซวี่ยหลาง เขาไม่ยินดีจะมาที่ต้าอวี่ หย่วนซังมีเรื่องทะเลาะกับคนในเผ่านู่ซานทุกวัน นางไม่อยากจะเป็นหัวหน้าเผ่า เพียงแต่ตอบรับว่าจะช่วยฝึกสอนและตั้งกองทัพร่วมของเผ่าเกาซินและเผ่านู่ซานเท่านั้น เมื่อมีเฮ่อหลันจินอิงและหลงต๋าคอยช่วย เรื่องนี้คงไม่ยากเย็นนัก
เฮ่อหลันเฟิงนำศรใหม่ของตนเองออกมา “นี่เป็นศรของข้า”
รูปร่างของศรใหม่ที่เขานำออกมานั้นมีส่วนที่แตกต่างจากศรเกาซิน ตัวศรแม้จะมีช่องกลวงแต่ครึ่งหนึ่งนั้นตัน เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้ตัวศรทำให้มั่นคงขึ้น ปลายศรคมปลาบเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสองชั้น พลังสังหารแข็งแกร่งยิ่ง วันใดแทงทะลุเนื้อของศัตรูยากจะถอนออก ทั้งยังเปิดปากแผล ทำให้เสียเลือดมาก
เฉินต้วนร้องชม “ไม่เสียทีที่เป็นชาวเกาซินผู้ยังชีพด้วยการหลอมเหล็ก นี่ก็คือศรเกาซิน?”
ที่จริงนี่เป็นศรแบบใหม่ที่เฮ่อหลันจินอิงคิดค้นขึ้น เขาจะนำศรนี้ไปใช้ในกองทัพร่วมเผ่าเกาซินและเผ่านู่ซาน แต่ศรเช่นนี้ยังไม่เริ่มทำจำนวนมาก ตอนนี้มีเพียงไม่กี่ดอก เขาล้วนมอบให้เฮ่อหลันเฟิงทั้งหมด
“นี่เป็นศรแบบใหม่ที่ผสานลักษณะของศรเกาซินกับศรหลางตี๋ของเป่ยหรงเข้าด้วยกัน” เฮ่อหลันเฟิงยิ้ม “มันเป็นศรหลางตี๋ของข้า”
เฉินต้วนสนทนาเรื่องอาวุธและอาวุธจากเหล็กหล่อกับเขาอย่างเพลิดเพลินยิ่ง จู่ๆ หนิงหยวนเฉิงที่อยู่ด้านข้างก็เตือนขึ้น “มีคนสะกดรอยตามพวกเรา”
ทั้งสามคนหันกลับไป เฮ่อหลันเฟิงพบว่าคนที่ตามมาติดๆ ก็คือหญิงท่าทางแปลกๆ ที่จ้องมองตนเองตอนอยู่นอกเมือง
เฉินต้วนมองนางอย่างละเอียด “นั่นคือพี่อิง เป็นคนครัวทำงานในจวนของเรา”
เฮ่อหลันเฟิงหันไปมองซ้ำ “เหตุใดนางเอาแต่มองข้า”
เฉินต้วน “เห็นเจ้ารูปงามเท่านั้นแหละ ใช่แล้ว เรื่องที่เจ้าเล่าให้ข้าฟังคราวก่อน ไป๋หนีคิดว่าโหยวจวินซานน่าจะมีปัญหา หลายวันนี้ข้าตรวจสอบพบสิ่งผิดปกติจริงอย่างนางว่า”
บันทึกทางการทหารและการป้องกันของทัพตะวันตกเฉียงเหนือสูญหายไปอย่างไร้สาเหตุหลายรายการ ประจวบกับช่วงใกล้นี้ทัพจินเชียงมีการเคลื่อนไหวผิดปกติอย่างต่อเนื่อง พวกเขาดูคล้ายกับเชี่ยวชาญการป้องกันและสภาพพื้นที่แถบภูเขาใกล้ด่านไป๋เชวี่ยของต้าอวี่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน เฉินต้วนจึงคิดว่าน่าจะมีหนอนบ่อนไส้ บันทึกทางการทหารและการป้องกันล้วนสูญหายไปหลังจากทัพจินเชียงบุกโจมตีเมืองเฟิงหู ตอนแรกเขาคิดว่าถูกทัพจินเชียงฉกฉวยไป แต่ภายหลังมาคิดดูอย่างละเอียด บันทึกทางการเหล่านั้นอาจถูกคนในเอาไปแล้วส่งต่อให้ทัพจินเชียง
เฉินต้วนกับหนิงหยวนเฉิงแอบตรวจสอบในทางลับ แต่จนปัญญาเพราะหลังจากทัพตะวันตกเฉียงเหนือถูกโจมตีจนเสียหายอย่างหนัก เจี้ยนเหลียงอิงและจางเยวี่ยจากทัพเหนือก็เข้ามาจัดวางกำลังคนใหม่ เจ้าหน้าที่ที่เหลือในกองทัพต่างกระจัดพลัดพราย งานการทหารและการป้องกันเดิมทีใครเป็นผู้ดูแล ต้องผ่านมือใครบ้าง กว่าเฉินต้วนจะมาถึงก็กลายเป็นเรื่องคลุมเครือเสียแล้ว จางเยวี่ยเปลี่ยนผู้ทำหน้าที่จัดการงานด้านต่างๆ ของทัพตะวันตกเฉียงเหนือเป็นคนของตนเองเกือบหมด พอเฉินต้วนอยากจะสอบถามเรื่องราว แม้แต่คนที่พอไว้ใจได้ก็ล้วนไม่มี
ในบรรดาผู้ที่รอดชีวิตจากการสู้รบที่ด่านไป๋เชวี่ย นอกจากโหยวจวินซานแล้วทุกคนล้วนบาดเจ็บสาหัส แม้ตอนนี้จะหายดีแล้วแต่ก็ไม่อาจเป็นทหารในกองทัพได้อีก โหยวจวินซานออกจากเฟิงหูไปขอพึ่งพิงองค์ชายสามเฉินหรงที่เหลียงจิง คนอื่นๆ ที่เหลือยังอยู่ที่เฟิงหูต่อไป ถ้าไม่พักฟื้นให้หายก็ทำการค้าเล็กน้อยพอประทังชีวิต หนิงหยวนเฉิงพยายามเสาะหาจนพบหนึ่งในคนที่ว่านั้น
“คนผู้นั้นไม่ใช่ทหารในกองทหารม้าคะนองเมฆา เป็นพลเดินเท้าอยู่ไม่ห่างจากแม่ทัพจิ้น” เฉินต้วนเล่า “เขาเป็นพยานได้ว่าโหยวจวินซานติดตามข้างกายแม่ทัพจิ้นตลอดเวลา ตั้งแต่เริ่มรบกันถึงวันที่เกิดเรื่องกับแม่ทัพจิ้น แทบไม่ออกห่างแม้เพียงคืบ”
หนิงหยวนเฉิงเล่าเสริม “แต่ตามที่คนที่ช่วยโหยวจวินซานกลับมาได้เล่าให้ฟัง พอโหยวจวินซานฟื้นก็บอกว่าตนเองถูกจู่โจมจนสลบไป ตอนที่จวนจะหมดสติแม่ทัพจิ้นยังมีชีวิตอยู่ เหตุการณ์หลังจากนั้นเขาไม่รู้อะไรเลย”
เฮ่อหลันเฟิงสงสัย “เหตุใดพวกท่านรู้ว่าเขาพูดโกหก”
หนิงหยวนเฉิงกับเฉินต้วนหันมาสบตากัน “ก็ไม่อาจยืนยันได้หรอก เป็นเพียงข้อสงสัยเท่านั้น”
หมอทหารที่ช่วยรักษาโหยวจวินซานขอลาเกษียณกลับบ้านเกิด หนิงหยวนเฉิงต้องวิ่งรอกหลายแห่งกว่าจะหาตัวเขาพบ หมอทหารผู้นั้นจดจำอาการบาดเจ็บของโหยวจวินซานได้แม่นยำ
โหยวจวินซานมีบาดแผลทั่วตัว แต่แทบทุกแผลไม่โดนจุดสำคัญ หมอทหารบอกว่านี่เป็นโชคดีเหลือหลาย แต่บาดแผลสาหัสที่สุดแห่งหนึ่งบนตัวเขาเป็นแผลถูกกระบี่ฟัน กรีดจากท้องน้อยฝั่งขวาพาดไปถึงหน้าอกซ้าย รอยกระบี่ดูเกรี้ยวกราดถึงกับทำให้เกราะของโหยวจวินซานขาดสะบั้น คนที่ฟันเห็นได้ชัดว่ามีพละกำลังมหาศาลและมีทักษะเยี่ยมยุทธ์
เฮ่อหลันเฟิงนึกภาพตำแหน่งรอยกระบี่บนร่างตัวเองก็ยังอดจะตกใจไม่ได้
นี่เป็นแผลที่ยาวมากทีเดียว ถ้าโหยวจวินซานไม่ได้สวมเกราะ เกรงว่าคงสิ้นชีพกลางสนามรบไปแล้ว
หนิงหยวนเฉิงหันหลังทำท่าสาธิตให้เฮ่อหลันเฟิง “สมมติว่าเจ้าเป็นโหยวจวินซาน ข้าเป็นแม่ทัพจิ้น เจ้าอยู่ข้างหลังแทงกระบี่ใส่ข้าหนึ่งที เช่นนั้นข้ารีบหันกลับไปฟันกระบี่…” มือขวาของเขาชูกระบี่ขึ้น หันไปเงื้อจะฟัน เฮ่อหลันเฟิงรีบถอยสองก้าว แนวกระบี่ที่ฟันเป็นแนวเดียวกับสภาพบาดแผลบนตัวโหยวจวินซานพอดี
“…รอยกระบี่นั้น คนฟันก็คือแม่ทัพจิ้น?”
“คนที่ฟันเกราะของทหารม้าคะนองเมฆาจนเสียหายได้มีไม่มาก คนที่มีพละกำลังถึงขั้นนั้นยิ่งมีน้อย” เฉินต้วนเอ่ย “ทั้งหมดเป็นเพียงข้อสงสัย พวกเรายังไม่มีหลักฐานหนักแน่น”
ขณะทั้งสามคนพูดคุยกันก็กลับมาถึงที่พักของเฉินต้วนพอดี ตอนแรกชายหนุ่มพักอยู่ที่กองบัญชาการกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ ภายหลังจางเยวี่ยจัดที่พักเป็นลานเรือนเล็กแห่งหนึ่งให้องค์ชายห้า เขาจะได้ไม่ต้องเตร็ดเตร่อยู่ในกองบัญชาการทั้งที่ไม่มีกิจธุระ
‘พวกทหารเห็นท่านเป็นองค์ชายห้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง’
การตกแต่งในเรือนแม้จะเรียบง่ายแต่เป็นระเบียบเรียบร้อย เฉินต้วนมิได้วางท่าองค์ชาย พาเฮ่อหลันเฟิงตรงไปยังห้องครัว ลงมือทำบะหมี่ด้วยตนเองสองชาม ทั้งสองยืนกินไปพลางพูดคุย ฝีมือทำบะหมี่ของเฉินต้วนธรรมดาสามัญ แต่อาศัยว่ามีเครื่องปรุงกับน้ำราดและเฮ่อหลันเฟิงก็หิวมาทั้งวัน จึงกินเข้าไปจนหมดชาม
“ข้าสงสัยว่าคนที่เอาบันทึกทางการทหารและการป้องกันของทัพตะวันตกเฉียงเหนือไป ก็คือโหยวจวินซาน” เฉินต้วนให้บะหมี่ของตนเองอีกครึ่งชามแก่เฮ่อหลันเฟิง เฮ่อหลันเฟิงไม่ปฏิเสธ ยกไปกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย “มีไป๋หนีเป็นพยานยืนยัน ข้าจึงอนุมานว่าโหยวจวินซานแอบติดต่อแม่ทัพสี่มานานแล้ว”
เฮ่อหลันเฟิงเริ่มจะกินไม่ไหวแล้ว ตอนที่ไป๋หนีบอกเขาว่าโหยวจวินซานน่าสงสัย เขายังไม่ปักใจเชื่อเต็มที่ มาบัดนี้เมื่อมาอยู่ที่เฟิงหู จู่ๆ ก็นึกถึงวันที่ได้พบโหยวจวินซานที่ปี้ซาน จิ้นเยวี่ยท่าทางยินดียิ่ง ตัวเขาถึงกับคว้าชายเสื้อจิ้นเยวี่ยไม่ทัน จิ้นเยวี่ยกระโดดลงจากรถม้าราวกับเสียสติ ร้องเรียกชื่อโหยวจวินซานพลางบึ่งไปหา
ไป๋หนีนับว่าเป็นญาติของจิ้นเยวี่ย โหยวจวินซานก็ด้วย ถ้าสิ่งที่สันนิษฐานนี้เป็นจริง เฮ่อหลันเฟิงไม่รู้ว่าจิ้นเยวี่ยจะเผชิญหน้าโหยวจวินซานได้อย่างไร
หนิงหยวนเฉิงจัดที่พักให้เขาตรงเรือนด้านข้าง เฮ่อหลันเฟิงนั่งไม่ติดนอนไม่หลับ พอเห็นตะวันสว่างจ้า เฉินต้วนกับหนิงหยวนเฉิงก็ไปจัดการงานที่กองทัพ ในเรือนจึงมีเพียงเขากับบ่าวรับใช้ จึงคิดว่าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย
เฉินต้วนจะออกเดินทางกลับเหลียงจิงพร้อมหนิงหยวนเฉิง เพิ่งจะชวนเขาให้ไปด้วยกัน แต่เพราะเฮ่อหลันเฟิงเป็นคนต่างเผ่า เมื่อกองทัพรับคนต่างเผ่ามาเป็นแม่ทัพหรือทหารจะต้องรายงานให้กรมทหารทราบ เฉินต้วนกลับเหลียงจิงก็จะได้ถือโอกาสจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ที่จริงเฮ่อหลันเฟิงยังลังเลว่าจะเข้าร่วมทัพตะวันตกเฉียงเหนือดีหรือไม่ เขาคิดจะไปสาขาพรรคหมิงเยี่ยที่เฟิงหูก่อน สอบถามสถานการณ์ให้รู้แจ้งว่าจิ้นเยวี่ยอยู่ที่ใด เขาก็จะไปที่นั่น
เพิ่งจูงม้ามาที่คอก เขาก็ได้พบพี่อิงอีกครั้ง
พี่อิงอายุราวสามสิบปี ใบหน้างดงาม ดวงตาดำทั้งสองวาววามเจิดจ้า ซ่อนแฝงแววตาสำรวจตรวจสอบ เห็นเฮ่อหลันเฟิงจ้องมองนาง คราวนี้นางไม่หลบสายตา จ้องมองเฮ่อหลันเฟิงตรงๆ
เฮ่อหลันเฟิงรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง “เจ้าจะขโมยม้า”
เฟยเซียวส่งเสียงพ่นจมูกฟืดฟาดออกมาพอดี พี่อิงไม่ตอบ ถอยหลังสองก้าว มองประเมินเฮ่อหลันเฟิงอย่างถ้วนถี่ พลันเอ่ยถาม “เจ้าเป็นชาวเกาซิน?”
ตอนที่เฮ่อหลันเฟิงพูดคุยกับเฉินต้วนอยู่ในห้องครัว พี่อิงก็เดินเข้าๆ ออกๆ อยู่ไม่ไกล ท่าทางคล้ายมาแอบฟัง ตอนนี้เห็นนางพูดออกมาเขาจึงอดตกใจไม่ได้ ชาวต้าอวี่แทบไม่เคยพบเห็นชาวเกาซินมาก่อน หญิงชาวบ้านธรรมดาๆ กลับดูออกว่าตนเองมาจากเผ่าใด ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“ศรที่เจ้าพกไว้กับตัว เป็นศรเกาซิน?” พี่อิงถามขึ้นอีก
เฮ่อหลันเฟิงระแวงขึ้นมาทันที “แม้แต่ศรเกาซินเจ้าก็รู้จัก?”
พี่อิงถอยไปอีกก้าว แล้วพลันทรุดลงคุกเข่าดังตึง หันไปหมอบกราบ
“วีรบุรุษเกาซิน ถ้าท่านไปเหลียงจิง พาข้าไปด้วยได้หรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงตวาดกร้าว “เจ้าเป็นสายสืบจินเชียง!”
“ไม่ใช่เลย!” พี่อิงเงยหน้า มุมปากเหยียดด้วยความชิงชัง “จะชาวจินเชียง หรือสายสืบจินเชียง ข้าก็ไม่ขออยู่ร่วมฟ้า!”
เฮ่อหลันเฟิงตะลึงงัน “เช่นนั้น…”
“ข้าได้ยินท่านคุยกับเฉินต้วน รู้ว่าพวกท่านกำลังหาตัวสายสืบ พวกท่านสงสัยโหยวจวินซาน” พี่อิงพูดอย่างชัดเจน “ไม่ต้องสงสัย เขานี่แหละสายสืบของจินเชียง เดิมทีบันทึกทางการทหารและการป้องกันของทัพตะวันตกเฉียงเหนือสามีข้าเป็นผู้จัดการ ก่อนจะออกรบสามีข้ามีตำแหน่งอยู่ในกองหน้า โหยวจวินซานโน้มน้าวสามีข้ากับบิดาเพื่อให้เขาได้มาจัดการบันทึกทางการทหารและการป้องกันของกองทัพ นอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครที่จะเอาของพวกนี้ไปได้”
ราวกับถูกสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ เฮ่อหลันเฟิงสงสัยว่าคงหูฝาด “สามี? บิดา? เจ้าเป็นใคร เจ้าจะไปทำอะไรที่เหลียงจิง”
“ข้าคือจิ้นอวิ๋นอิง จิ้นหมิงเจ้าคือบิดาข้า” พี่อิงมองดูเขา “จิ้นเยวี่ยที่ท่านจะไปตามหาที่เหลียงจิง เป็นน้องชายของข้า”
เช่นเดียวกับจิ้นเยวี่ย จิ้นอวิ๋นอิงเคยใช้ชีวิตที่เฟิงหูมายาวนาน นางเรียนขี่ม้า รู้จักยิงธนูและใช้หอกจากทัพตะวันตกเฉียงเหนือ ตราบจนก่อนจะถูกเรียกตัวกลับเหลียงจิงไปเป็นตัวประกัน นางก็ใช้ชีวิตที่เฟิงหูมาแทบจะตลอดชีวิต คนในกองทัพล้วนรู้ว่าแม่ทัพจิ้นมีบุตรชายหญิงคู่หนึ่ง บุตรชายนิ่งขรึมราวกับบัณฑิต ทว่าบุตรสาวกลับร่าเริงซุกซนราวกับบุรุษ
ฉิวฮุยสามีของนางเป็นแม่ทัพในกองทหารม้าคะนองเมฆา หลังจากทั้งสองแต่งงานกันจิ้นอวิ๋นอิงก็ใช้ชีวิตอยู่ที่เหลียงจิงเป็นเวลานาน พอนางตั้งครรภ์ เฉินจิ้งซูไม่อนุญาตให้นางออกไปไกลบ้าน แต่ตอนนั้นจิ้นอวิ๋นอิงคิดถึงสามีที่อยู่ไกลถึงชายแดนอย่างแปลกประหลาด จึงเก็บข้าวของเดินทางมาเฟิงหูโดยไม่ฟังคำทัดทานของมารดา พริบตาก็ผ่านมาหลายปี
นางคือ ‘พี่สาว’ ที่จิ้นเยวี่ยเคยพูดถึง คือ ‘พี่สาว’ ที่พาเขาไปเที่ยวแหย่สุนัข แบกขึ้นขี่หลังพาเดินตามถนน สอนให้เขาฝึกวรยุทธ์ ขี่ม้า และพาเขาออกไปกินบัวลอยน้ำผึ้งตอนดึกๆ
เฮ่อหลันเฟิงทำอะไรไม่ถูก รีบประคองจิ้นอวิ๋นอิงลุกขึ้น ตอนที่แตะมือทั้งสองของจิ้นอวิ๋นอิง ก็พบว่ามีสิ่งผิดปกติ…นิ้วมือข้างขวาของนางขาดไปสองนิ้ว
ฉิวฮุยกับจิ้นหมิงเจ้าสละชีพในการรบที่ด่านไป๋เชวี่ย ตอนจิ้นอวิ๋นอิงรู้ว่าเกิดเรื่อง ข่าวนี้ยังส่งมาไม่ถึงเมืองเฟิงหูด้วยซ้ำ ตอนแรกนางสังเกตว่านอกด่านไป๋เชวี่ยมีเสียงดังประหลาดจึงปีนขึ้นไปบนป้อมกำแพงเมืองเฟิงหูเลยได้เห็นว่าทัพใหญ่จินเชียงทะลักข้ามด่านไป๋เชวี่ยตรงเข้ามายังเมืองเฟิงหูแล้ว
จิ้นอวิ๋นอิงรีบกลับบ้านทันที หญิงสาวพาลูกอายุไม่กี่ขวบกับมารดาของฉิวฮุยไปด้วย หมายจะหนีออกนอกเมือง พวกเขาไม่มีแม้แต่เวลาจะคร่ำครวญหรือไตร่ตรองให้ดีด้วยซ้ำ คิดได้เพียงเรื่องหนึ่งคือ
ต้องหนีออกไป ต้องมีชีวิตรอด
เฮ่อหลันเฟิงพาจิ้นอวิ๋นอิงมานั่งลงอีกฝั่ง ฟังนางเล่าอย่างใส่ใจ ท่าทีใส่ใจและสนิทสนมของเขาอย่างกะทันหันทำให้จิ้นอวิ๋นอิงออกจะงุนงงอยู่บ้าง
“ข้ากับจิ้นเยวี่ยเป็นสหายสนิทกัน” เฮ่อหลันเฟิงอธิบาย
เท่าที่จิ้นอวิ๋นอิงจำได้ ตอนนั้นชาวบ้านแห่กันมาถึงประตูเมืองเฟิงหูนับหมื่น แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดประตูเมืองจึงไม่ยอมเปิด ตอนที่ชาวบ้านที่โกรธแค้นพังประตูเมืองออกไป ประตูเมืองด้านหลังอีกบานก็ถูกทัพจินเชียงทำลายสำเร็จ
ที่จริงทัพจินเชียงไม่ได้สังหารชาวบ้าน แต่พวกเขากำลังตามหาคนในครอบครัวของจิ้นหมิงเจ้า
ตอนนั้นจิ้นอวิ๋นอิงยังไม่ได้หนีออกจากเมืองเฟิงหู พวกนางแอบซ่อนตัวอยู่โดยได้รับความช่วยเหลือคุ้มกันจากชาวเมืองเฟิงหู แต่จนปัญญาที่มีคนเผยที่ซ่อน หลังจากหลบซ่อนอยู่หลายวัน ทั้งสามคนชราและเด็กน้อยก็ถูกทหารจินเชียงลากตัวออกมาจากห้องใต้ดิน พาไปกองบัญชาการ
มารดาของฉิวฮุยแม้ไม่รู้หนังสือแต่เป็นคนกล้าหาญ นางปกป้องจิ้นอวิ๋นอิงกับหลานชายจนยอมตายใต้ไม้กระบองของทหารจินเชียง ลูกของจิ้นอวิ๋งอิงเพิ่งจะอายุได้ไม่กี่ขวบ เกาะอยู่กับอกแม่แต่ไม่ร้องไห้ ถลึงตาจ้องมองคนแปลกหน้าที่อยู่ต่อหน้า มีแม่ทัพจินเชียงมาแหย่เขา ให้เขาร้องเรียกหาบิดา เด็กน้อยจึงอ้าปากกัด จนนิ้วมือของคนผู้นั้นเกือบขาด
“…ตอนนี้เหลือข้าเพียงผู้เดียว” จิ้นอวิ๋นอิงกุมมือข้างขวาของตนเอง บอกกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
เฮ่อหลันเฟิงใจเต้นระส่ำ อดถามไม่ได้
เพื่อจะล้วงความลับเรื่องบันทึกทางการทหารและการป้องกันของกองทัพจากปากนาง ทหารจินเชียงใช้เครื่องทรมานมากมาย จิ้นอวิ๋นอิงยอมตายแต่ไม่ยอมปริปาก ใครจะคาดคิดว่าหลังจากนั้นไม่นานชาวจินเชียงพลันพากันจากไปรวดเร็วราวกับน้ำหลาก ทิ้งนางซึ่งเหลือเพียงลมหายใจรวยรินไว้ในคุกใหญ่ของกองบัญชาการ
มีคนมาช่วยนางออกไป พาไปซ่อนตัวในที่ที่เหมาะสม นางบาดเจ็บสาหัสทั้งภายในภายนอก นอนติดเตียงอยู่ครึ่งปี ตอนที่แม่ทัพเจี้ยนเหลียงอิงมาถึง เดิมทีจิ้นอวิ๋นอิงคิดจะไปพบเขาเพื่อบอกเล่าข้อสงสัยต่างๆ ให้ฟัง ทว่าพอได้ทราบว่าเจี้ยนเหลียงอิงมาพร้อมกับจางเยวี่ย ซ้ำจางเยวี่ยยังเป็นบุตรเขยของราชครูเหลียง จิ้นอวิ๋นอิงไม่กล้าวางใจใครอีกแล้ว เนื่องจากคนสนิทรอบกายล้วนตายอย่างอนาถไปเกือบหมด นางจึงได้แต่ซ่อนตัว
นางไม่รู้ว่ามารดาไปอยู่เสียที่ใด ไม่รู้ว่าจิ้นเยวี่ยปลอดภัยดีหรือไม่ กระทั่งไม่อาจไปพบหน้าบิดาและสามีเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อระเบียบค่อยๆ ฟื้นคืนในเมืองเฟิงหู นางได้ยินข่าวลือมากมาย อย่างเช่นสกุลจิ้นถูกเนรเทศทั้งตระกูล จิ้นเยวี่ยสิ้นชีพอย่างน่าเวทนาในต่างแคว้น องค์หญิงซุ่นอี๋แขวนคอฆ่าตัวตายหน้าจวนสกุลจิ้นเพื่อคัดค้านราชโองการที่ไม่เป็นธรรม บ้างก็ว่ามีคนเขียนอักษรไว้บนกำแพงจวนสกุลจิ้น เห็นชัดๆ ว่าเป็นน้ำหมึกสีดำ แต่พอเขียนออกมากลับกลายเป็นตัวอักษรสีแดงดุจโลหิต เป็นต้น
จิ้นอวิ๋นอิงไม่รู้ว่าควรเชื่อเรื่องใดและไม่กล้าออกจากเมืองเฟิงหู ทุกวันอยู่ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
“ข้าไม่ไว้ใจใครเลย นอกจากคนที่ช่วยข้า” จิ้นอวิ๋นอิงเล่า “เจ้าอาจรู้จักเขาก็เป็นได้ นางก็คือมารดาของไป๋หนี เปิดร้านขายเกี๊ยวกับบะหมี่อยู่ตรงข้ามกองบัญชาการ นางบอกว่ามีแม่ทัพคนใหม่มาที่กองบัญชาการ เป็นองค์ชายห้านามว่าเฉินต้วน เขาเป็นคนดี ไม่แน่ว่าอาจช่วยข้าได้ ดังนั้นจึงแนะนำข้าให้ทำงานกับองค์ชายห้า”
ตอนแรกจิ้นอวิ๋นอิงสงสัยว่าเฉินต้วนเป็นพวกเดียวกับราชครูเหลียง แต่เพราะทุกครั้งที่ได้เห็นเขากลับบ้านหลังจากถกเถียงกับจางเยวี่ย มักมาแอบบ่นพึมพำกับหนิงหยวนเฉิง ล้วนแต่เป็นการต่อว่าต่อขานราชครูเหลียง จึงค่อยๆ รับรู้ว่าคนผู้นี้อาจพอไว้ใจได้ การตายของแม่สามีกับลูกทำให้นางยังหวาดกลัวไม่หาย ขณะที่ยังลังเล ก็ประจวบเหมาะได้พบเฮ่อหลันเฟิงที่กำลังกล่าวคำอธิษฐานที่นอกเมือง
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นชาวเกาซิน ข้ายังจำศรเกาซินของเจ้าได้ด้วย ตัวศรสีดำข้างในกลวง ปลายศรคล้ายขนนกขาว นี่เหมือนกับศรเกาซินที่ท่านพ่อเก็บรักษาไว้อย่างทะนุถนอม” จิ้นอวิ๋นอิงจับมือเฮ่อหลันเฟิง ท่าทางร้อนรน “ข้ายังได้ยินเจ้าบอกว่าจะไปตามหาจิ้นเยวี่ย จะปกป้องให้เขาปลอดภัยเป็นสุข…ตามท้องถนนมีคนลือกันว่าจิ้นเยวี่ยยังมีชีวิตอยู่ กลับมาถึงเหลียงจิงแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงพยักหน้าอย่างมั่นใจ “เป็นเรื่องจริง ข้าไปส่งเขาถึงเมืองปี้ซาน”
เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ท่าเรือ ทว่าเพียงประโยคนี้ประโยคเดียว ทันใดนั้นดวงตาของจิ้นอวิ๋นอิงก็มีน้ำตาเอ่อคลอ
“ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก…ท่านผู้กล้า ขอบพระคุณ…” เส้นเอ็นที่มือของนางถูกตัดขาด ยามที่ตื่นเต้น สองมือจึงสั่นระริก ไม่อาจควบคุม “ท่านเป็นผู้มีพระคุณของสกุลจิ้นเรา…”
เฮ่อหลันเฟิงออกจะเก้อเขิน “ยังมีคนมากมายที่ช่วยเหลือจิ้นเยวี่ย พี่สาวอาจยังไม่รู้ แม่ทัพไป๋หนียังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ถูกกักตัวไว้ที่จินเชียง แต่นางปลอดภัยดี มารดาของพวกท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ ท่านรู้จักพรรคหมิงเยี่ยหรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงเล่าเรื่องที่รู้เกี่ยวกับพรรคหมิงเยี่ยให้จิ้นอวิ๋นอิงฟัง พอได้รู้ว่ามารดาถูกชาวชื่อเยี่ยนรับตัวไว้ อย่างน้อยตอนที่จากไปก็ยังปลอดภัยดี ในที่สุดนางจึงปิดหน้าร้องไห้โฮ เฮ่อหลันเฟิงทำอะไรไม่ถูก ทั้งยังเศร้าใจไปกับนาง จึงนั่งลงเงียบๆ ข้างๆ อยู่เป็นเพื่อนนางเนิ่นนาน
เมื่อรู้ว่าพี่อิงก็คือจิ้นอวิ๋นอิง เฉินต้วนทั้งยินดีและเศร้าใจอย่างยิ่ง ตอนยังเด็กเขาเคยพบจิ้นอวิ๋นอิงมาก่อน แต่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้คุ้นเคยสนิทสนม ประกอบกับไม่พบกันนานจึงจำนางไม่ได้แม้แต่น้อย จิ้นอวิ๋นอิงอยากไปเหลียงจิง เขาย่อมจะอนุญาตให้ไป ทั้งยังช่วยเตรียมการอย่างรอบคอบ วันที่ออกเดินทางเฉินต้วนยังได้จ้างวานรถม้าคันหนึ่งเป็นพิเศษให้พาจิ้นอวิ๋นอิงเดินทางไป
เฮ่อหลันเฟิงช่วยยกสัมภาระให้จิ้นอวิ๋นอิง ประคองนางขึ้นไปบนรถม้า ก่อนรถม้าจะออกเดินทาง เขามุดเข้าไปในรถ สอบถามเรื่องต่างๆ ครั้นลงจากรถม้าแล้วยังเลิกม่านกำชับนางว่า “พี่ใหญ่ ท่านต้องการอะไรให้ตะโกนเรียกข้า อย่าได้เกรงใจ”
หนิงหยวนเฉิงมองดูเขาอยู่อีกด้าน “พี่ใหญ่?”
เฮ่อหลันเฟิง “พี่ใหญ่”
หนิงหยวนเฉิง “พวกเราเรียกนางว่าพี่อิง”
เฮ่อหลันเฟิง “ท่านเรียกแบบท่าน ข้าก็เรียกแบบข้า”
หนิงหยวนเฉิงหันไปรายงานกับเฉินต้วน บอกว่าเฮ่อหลันเฟิงผู้นี้อยู่ด้วยไม่ง่าย เฉินต้วนคิดว่า ‘พี่ใหญ่’ ฟังแล้วที่จริงก็สนิทสนมกว่า ‘พี่อิง’ จึงเรียกว่า ‘พี่ใหญ่’ ตามเฮ่อหลันเฟิง ผลคือเฮ่อหลันเฟิงคัดค้านอย่างไม่พอใจ ทั้งสองเถียงกันอยู่ครึ่งวัน เฉินต้วนไม่อยากลดตัวไปเถียงด้วย จึงหันไปพูดกับหนิงหยวนเฉิงว่า ‘นิสัยแปลกประหลาดจริงๆ’
จิ้นอวิ๋นอิงอยากจะไปขี่ม้ากับพวกเขาแต่เอ็นข้อมือของนางเสียหายจึงไม่ค่อยมีแรง ไม่อาจควบคุมสายบังเหียนได้ เพื่อให้นางเบิกบานใจ ทุกครั้งที่คณะเดินทางหยุดพัก เฮ่อหลันเฟิงจึงให้จิ้นอวิ๋นอิงขี่เฟยเซียววิ่งเล่นช่วงสั้นๆ เฟยเซียวราวกับรู้ว่าสตรีบนหลังของมันเป็นพี่สาวของจิ้นเยวี่ย จึงทำตัวอ่อนโยนมาก วิ่งด้วยฝีก้าวมั่นคง จนจิ้นอวิ๋นอิงชมมันไม่ขาดปาก
“ม้าเกาซินดีจริง” นางบอก “เฮ่อหลันเฟิง เจ้าก็เป็นคนดี”
หนิงหยวนเฉิงไปรายงานให้เฉินต้วนฟัง “ตอนนั้นเฮ่อหลันเฟิงยิ้มสีหน้าประหลาดนัก”
เฉินต้วน “เจ้าเอาแต่จ้องเฮ่อหลันเฟิงทั้งวัน ทำอะไรที่เป็นงานเป็นการสักนิดจะได้หรือไม่”
การเดินทางไกลเที่ยวนี้กินเวลาครึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็มาถึงเมืองหยางเหอ ตอนเข้าพักที่จุดพักม้านอกเมือง หนิงหยวนเฉิงออกไปสืบข่าวอย่างที่เคยทำ เมื่อกลับมาสีหน้าเขากลับดูแปลกประหลาด
“ว่ากันว่าเจ้าตายแล้ว” เขาพูดกับเฮ่อหลันเฟิง “มีข่าวลือมาจากทางเป่ยหรง บอกว่าวันนั้นสองพี่น้องผู้สังหารเทียนจวินเจ๋อเวิงถูกอวิ๋นโจวอ๋องฆ่าตายทั้งคู่ เจ้าตายไปแล้วเมื่อสองเดือนก่อนเพราะไปลอบสังหารหัวหน้าเผ่าชิงลู่ อวิ๋นโจวอ๋องอยู่ที่เผ่าชิงลู่พอดี จึงใช้ศรหลางตี๋ยิงหมาป่าเกาซินชั่วร้ายคนที่สองตาย”
เฮ่อหลันเฟิง “…”
“ตอนที่เขายิงปลิดชีพเจ้า ดวงดาวทั่วฟ้าเปล่งแสงเจิดจ้า จนฟากฟ้าราตรีที่มืดมิดกลับสว่างจ้าราวกับกลางวัน หมอผีบอกว่านั่นเป็นลางแห่งเทพส่งมาถึงชาวเลี้ยงสัตว์นับหมื่นพันแห่งที่ราบฉือวั่งหยวน แสดงการรับรู้ขององค์เทพเมื่อบุตรแห่งเทพสังหารหมาป่าชั่วร้าย นับจากนี้ที่ราบฉือวั่งหยวนจะปลอดภัยและเปี่ยมด้วยสันติ ปราศจากภัยพิบัติใดไปตลอดกาล อวิ๋นโจวอ๋อง…อ้อ ไม่สิ เทียนจวินอาหว่าเป็นผู้ปกครองที่ปราดเปรื่องที่สุดของเป่ยหรง จึงสยบผีร้ายทุกตัวในที่ราบฉือวั่งหยวนได้”
เฮ่อหลันเฟิง “หัวหน้าหมอผีแต่งเรื่องหลอกลวงแล้วปล่อยให้แพร่หลาย ทุกครั้งที่เทียนจวินขึ้นครองแคว้นก็ล้วนมีเรื่องเล่าทำนองนี้”
เฉินต้วนพูดแทรก “ตอนที่เจ๋อเวิงขึ้นเป็นเทียนจวิน ได้แต่งเรื่องเล่าอะไรไว้”
เฮ่อหลันเฟิง “เจ๋อเวิงรวบเขาเซวี่ยหลางของเผ่าหมาป่าชั่วไว้ในอาณัติ นับแต่นั้นมาหมาป่าชั่วก็ไร้แหล่งพลังแห่งความชั่ว พวกมันจึงแตกฉานซ่านเซ็นไปทั่วที่ราบฉือวั่งหยวน แล้วค่อยๆ หายไป”
เฉินต้วนมีสีหน้าตื่นตกใจ “เหตุใดเป็นเผ่าเกาซินอีกแล้ว พวกเจ้าใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย”
เวลานี้จู่ๆ จิ้นอวิ๋นอิงก็ถามขึ้นมา “เรื่องเล่านี้แพร่ไปถึงเมืองหยางเหอ จะแพร่ไปถึงเมืองเหลียงจิงได้หรือไม่ จิ้นเยวี่ยจะได้ยินเรื่องนี้หรือไม่ หากได้ยินเข้าจะมิคิดว่าเจ้าตายไปแล้วหรือ”
ฉับพลันสีหน้าเฮ่อหลันเฟิงก็แปรเปลี่ยนเป็นเครียดคล้ำ
ที่เมืองเหลียงจิงในเวลานี้ สายลมสารทพัดกระหน่ำยอดไม้สูงล่วงหน้าแล้ว
จิ้นเยวี่ยกำลังนั่งเล่นหมากอยู่กลางลานเรือนกับจี่ชุนหมิง จี่ชุนหมิงกับเขาพูดคุยกันถึงเรื่องประหลาดทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเมืองเหลียงจิงเมื่อเร็วๆ นี้ เฉินซวงรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก แจ้งว่าเฉินหรงมาถึงแล้ว
“เขาบอกว่าได้ข่าวเกี่ยวกับเฮ่อหลันเฟิงมา จึงรีบมาบอกเจ้า”
* เทศกาลจงชิว หมายถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง จัดขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติจีน เพื่อเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 03 ธ.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.