ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 45
เวลาที่เซวียหย่วนมองเขานั้นคล้ายกับสัตว์กินเนื้อตัวหนึ่งซึ่งจ้องมองเหยื่อที่กำลังจะมาถึง
ต่อให้เขาจะกล่าววาจาน่าฟังอีกสักเพียงใดกู้หยวนไป๋ก็ไม่รู้สึกสั่นสะท้าน ในทางตรงข้ามกลับรู้สึกว่าในคำพูดของเซวียหย่วนมีบางอย่างแฝงอยู่ เขากำลังเสแสร้ง ไม่ก็กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ความประทับใจแรกนั้นสำคัญอย่างแท้จริง ซึ่งความประทับใจแรก ความประทับใจสอง และความประทับใจสามที่เซวียหย่วนมอบให้กู้หยวนไป๋นั้น…ล้วนไม่น่าประทับเท่าไร ถ้อยคำเช่นนี้ของเขาคล้ายห่วงใย แต่ผลที่ได้กลับไม่ดีเท่าเถียนฝูเซิงหรือหัวหน้าทหารองครักษ์จางเลย
ด้วยเหตุนี้บนใบหน้าของฮ่องเต้จึงมิได้ปรากฏรอยยิ้มหรือความอ่อนโยนที่เซวียหย่วนอยากเห็น แต่กลับพยักหน้าด้วยความเฉยเมย จากนั้นก็งับหน้าต่างรถม้าให้ปิดลงโดยไม่ลังเล
หน้าต่างรถม้าปิดลง ก่อให้เกิดกระแสลมปะทะขมับสองข้างของเซวียหย่วน
เซวียหย่วนแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยืดตัวขึ้นอย่างช้าๆ เขาหุบยิ้ม ยกมือขึ้นเช็ดมุมปากของตัวเองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คิดในใจว่า ข้ายิ้มน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ
นี่กู้หยวนไป๋หมายความว่าอย่างไรกัน
ในเวลานี้เองหัวหน้าทหารองครักษ์ที่อยู่อีกด้านของรถม้าก็ไสม้าเข้ามาใกล้ เสียงเกลี้ยกล่อมอ่อนโยนดังขึ้นโดยมีรถม้ากั้นกลาง “ฝ่าบาท ใต้เท้าทุกท่านต้องจัดการเรื่องนี้ได้ดีแน่พ่ะย่ะค่ะ อย่าได้ทรงเป็นกังวล ถนอมพระวรกายมังกรด้วย”
ฮ่องเต้ที่อยู่ภายในรถม้าถอนหายใจและตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นกัน “เจิ้นไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นห่วง”
จางซวี่ยิ้มๆ ยืดตัวตรงไม่กล่าวอะไรอีก ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสายตาที่ไม่ประสงค์ดีโดยสิ้นเชิงจากดวงตาคู่หนึ่ง เขาหันกลับไปมองตามสายตานั้น ก็เห็นเซวียหย่วนที่กำลังมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากฝั่งตรงข้าม
ฮ่องเต้เคยกล่าวไว้ว่าให้เรียนรู้จากเซวียหย่วนให้มาก หัวหน้าทหารองครักษ์จางจึงยิ้มๆ พยายามรักษาบุคลิกที่สงบและมั่นคงของหัวหน้าทหารองครักษ์แห่งตำหนักส่วนหน้าเอาไว้
เซวียหย่วนละสายตากลับมา มองดูมือของตัวเอง เขาค่อยๆ กุมบังเหียนแน่นขึ้น
ความเคลื่อนไหวของสำนักตรวจการกับหน่วยควบคุมดูแลยังคงดำเนินต่อไป
ก่อนการต่อต้านการทุจริตจะเริ่มต้นกู้หยวนไป๋ได้เผื่อเวลาไว้มากกว่าหนึ่งเดือน เพื่อให้ผู้มีความสามารถตรวจพบพระราชประสงค์เรื่องการต่อต้านการทุจริตของฮ่องเต้ และสามารถชดใช้เงินจำนวนมากที่ตนยักยอกไป รวมถึงมีเวลาหากองทุนสำรอง บัดนี้เขายังแตะต้องคนพวกนี้ไม่ได้ กู้หยวนไป๋เพียงแค่ขอให้พวกเขาคายเงินที่กินเข้าไปออกมาให้หมด แล้วเขาก็จะสามารถเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งได้
และเหลือไว้เพียงผู้ที่ไร้ความสามารถในการรับรู้สัญญาณซึ่งกู้หยวนไป๋ได้ให้ไว้ล่วงหน้า ทั้งยังไร้ความสามารถในการต่อต้านกู้หยวนไป๋
ภายนอกสำนักตรวจการอาจดูไร้ความเมตตา หลังจากการตรวจสอบก็จะไม่รับการเชิญสังสรรค์ ไม่รับสินน้ำใจและจะจับตัวคนไปในทันที ส่วนฝ่ายที่อยู่ในที่ลับนั้นโหดเหี้ยมยิ่งกว่า พวกเขาจู่โจมอย่างไม่คาดคิดหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน และขับไล่ขุนนางทุจริตที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้เหล่านั้นออกไปโดยสิ้นเชิง
ยิ่งสืบยิ่งใหญ่โต ยิ่งใหญ่โตยิ่งสืบ ผู้คดโกงในมณฑลจังหวัดและอำเภอต่างๆ ล้วนเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ ขุนนางบางคนยังคงพยายามเติมเต็มช่องว่าง และบางคนวางแผนที่จะหลบหนีไปพร้อมกับเงินทันที
ชิงโจว มณฑลซานตง
ผู้ว่าการอำเภอคนหนึ่งกำลังกระวีกระวาดเก็บข้าวของเตรียมพาครอบครัวหลบหนี ท้องฟ้าภายนอกมืดครึ้ม เป็นเวลาเหมาะสมในการออกจากเมือง รถม้าถูกเตรียมไว้นอกจวนแล้ว ทรัพย์สินเงินทองกองเต็มพื้นที่ครึ่งหนึ่งภายในคันรถ ผู้ว่าการอำเภอผู้นั้นนั่งอยู่บนรถม้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เหงื่อชุ่มเต็มหน้าผาก
ฮูหยินของเขานั่งอยู่ด้านข้างด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยเช่นกัน “พวกเราจะหนีไปทั้งอย่างนี้หรือ”
ผู้ว่าการอำเภอดุขึ้น “ไม่หนีได้หรือ เจ้าอยากจะเอาเงินทองทั้งหมดในบ้านออกมาเติมช่องโหว่การทุจริตหรือ! ต่อให้เจ้าคิด พวกเราก็ไม่ได้มีเงินมากมายถึงเพียงนั้น!”
ผู้เป็นภรรยาไม่ได้กล่าวอันใดอีก สายตาที่มองเงินทองภายในรถนั้นเปี่ยมไปด้วยความโลภ
รถม้าสองคันแล่นมาถึงหน้าประตูเมือง ผู้ว่าการอำเภอผู้นั้นเลิกม่านรถขึ้น กล่าวกับทหารรักษาการณ์ของเมืองว่า “เปิดประตู ให้ข้าออกจากนคร!”
ครั้นเห็นว่าเป็นใต้เท้าในเมือง ทหารรักษาการณ์ของเมืองก็รีบร้อนไปเปิดประตูเมือง
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ผู้ว่าการอำเภอผู้นั้นยกแขนเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะออกมาได้ง่ายดายเพียงนี้
ภรรยาของเขายิ้มออกมาแล้ว เขามองรอยยิ้มของนาง ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง ทว่าบัดนี้ก็ออกมาจากเมืองแล้ว รถม้าแล่นไปตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นใครจะรู้ว่าเขามุ่งหน้าไปยังที่ใดเล่า
ผู้ว่าการอำเภอจึงยิ้มออกมาเช่นนั้น เพียงแต่รอยยิ้มในการหลบหนีเอาตัวรอดนี้คงอยู่ได้ไม่นาน รถม้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ภายในรถแกว่งไหวผู้ว่าการอำเภอกับฮูหยินของเขาถูกกระแทกจนเวียนศีรษะตาลาย
“เกิดอะไรขึ้น!” เขาพยายามทรงตัว ก่อนคำรามด้วยความโมโห “บังคับรถม้าไม่เป็นหรือ!”
ด้านนอกรถม้ากลับเงียบสงัด ไม่มีเสียงตอบรับ หัวใจของเขาเต้นแรง ลางสังหรณ์ร้ายๆ เข้าจู่โจมอีกครั้ง
เขายื่นมือสั่นเทาออกไปเลิกม่านรถม้าขึ้นดู ทันใดนั้นก็ตกตะลึงจนหัวใจพลันหยุดเต้น
เขาเห็นว่าด้านนอกมีคนกลุ่มหนึ่งถือคบไฟพร้อมล้อมรอบรถม้าสองคันของเขาไว้ ทุกคนพกดาบขนาดใหญ่อย่างเป็นระเบียบ สีหน้าที่สะท้อนอยู่ภายใต้คบไฟนั้นเคร่งขรึมน่ากลัว
ชายผู้หนึ่งในชุดขุนนางเดินนำเข้ามา เขามองดูผู้ว่าการอำเภอที่กำลังจะหลบหนีก็หัวเราะเสียงดังกังวาน “จ้าวหนิงเอ๋ยจ้าวหนิง นี่เจ้ากำลังเตรียมหลบหนีหรือ”
ผู้ว่าการอำเภออุทานเสียงหลง “เจ้า…”
รองผู้ว่าการอำเภอที่เดิมทีเป็นคนเงียบขรึมหัวเราะเย็นชาสองที กระดูกสันหลังที่โก่งงอในวันธรรมดาพลันยืดตรง ดวงตาของเขาเป็นประกาย มองดูจ้าวหนิงแล้วกล่าวเสียงดังทรงพลัง “มีข้าอยู่ เจ้าอย่าได้คิดที่จะหนีเลย! เจ้าขูดเลือดขูดเนื้อราษฎรมากมายเพียงนี้ คิดว่าจะหนีพ้นหรือ? อย่าแม้แต่จะคิด! ข้าจะจับเจ้าเดี๋ยวนี้ รอจนหน่วยควบคุมดูแลของฝ่าบาทมาถึงเมืองหวงผูแล้วก็จะส่งตัวเจ้าให้พวกเขาสอบสวน!”
ผู้ว่าการอำเภอเอ่ยเสียงเข้ม “ข้ากับเจ้ามีอันใดให้เคืองขุ่น!”
คบไฟส่องสว่างยังใบหน้าของทุกคนท่ามกลางความมืดมิดและช่วยคลายความเหน็บหนาว รองผู้ว่าการอำเภอเหลือบมองไปยังสายสืบทุกคนที่ถือคบไฟรอบตัว จากนั้นก็กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้านึกว่าพวกข้าอยากก่อกรรมแทนเจ้าเช่นนั้นหรือ! เจ้านึกว่าพวกข้าอยากถูกชาวบ้านสาปแช่งเช่นนั้นหรือ! ที่นี่คือเมืองหวงผู! ไม่ใช่รังเงินรังทองของเจ้า! มีสิ่งใดบ้างที่พวกข้าไม่กล้า ราชสำนักส่งคนมาสืบเรื่องการทุจริตแล้ว ยังมีสิ่งใดที่พวกข้าไม่กล้าทำบ้าง!”
ครั้นเขาพูดถึงตอนท้ายก็กำหมัดแน่น เส้นเลือดสีเขียวที่ปูดนูนเต้นตุบ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาร้อนระอุ
บางคนในกลุ่มสายสืบที่อยู่ข้างหลังทนไม่ไหวจึงส่งเสียงก่นด่าอันขุ่นเคืองและเจ็บปวด เสียงเหล่านี้ดังขึ้นเป็นระลอก ทุกคนที่รู้สึกขัดกับหลักมโนธรรมของตนหลับตาจมดิ่งลงไป อดที่จะนึกถึงราษฎรในเมืองมิได้
จ้าวหนิง ขุนนางทุจริตมองดูคนกลุ่มนี้แล้วก้มหน้าลงอย่างสิ้นหวัง
เรื่องเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกท้องที่
ขุนนางดีที่เป็นห่วงราษฎรบางคนก้าวออกมาเป็นผู้นำในการจับกุมขุนนางทุจริตและยึดหลักฐานการทุจริตของพวกเขาไว้ รอเพียงราชสำนักส่งคนมาตรวจสอบ บางท้องที่ไม่มีขุนนางก้าวออกมาก็จะมีเหล่าบัณฑิตที่เป็นฝ่ายลงแรง หลังจากเหล่าบัณฑิตที่ติดต่อกับนครหลวงอยู่เป็นนิจรู้เรื่องความเคลื่อนไหวและระดับความรุนแรงในการต่อต้านการทุจริตแล้ว บางสิ่งก็จุดประกายขึ้นในใจ บางสิ่งที่ว่านี้เองที่มอบความกล้าหาญให้พวกเขามารวมตัวกัน แล้วเรียกร้องให้ราษฎรยับยั้งการกระทำรื้อกำแพงด้านตะวันออก เสริมกำแพงด้านตะวันตก ของขุนนางทุจริต ทำให้ขุนนางทุจริตเหล่านั้นไม่กล้าเคลื่อนไหวและไม่กล้าใช้เงินส่วนตัวชดเชยแทนส่วนที่ถูกยักยอกไป
“ทุกท่าน!” เหล่าบัณฑิตร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะ แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบอกผู้คนเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตของราชสำนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาพูดจนคอแห้งผากด้วยเสียงอันดังและหนักแน่น “ราชสำนักจะต้องจับขุนนางทุจริตได้อย่างแน่นอน! ฝ่าบาทจะต้องให้คนที่กลั่นแกล้งราษฎรตามอำเภอใจเหล่านี้ได้รับโทษ!”
ในสมัยราชวงศ์ต้าเหิงนั้นมีอิสระในการกล่าวคำวิจารณ์ต่อธารกำนัล ทว่าในระบบราชสำนักเช่นนี้ ผลจากการที่เหล่าบัณฑิตซึ่งยังมิได้เป็นขุนนางล่วงเกินเหล่าขุนนางจะเป็นอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจทราบได้ หากพวกเขาทำเช่นนี้แล้วราชสำนักมิได้สืบหาขุนนางทุจริต พวกเขาก็จะอยู่เหมือนตายทั้งเป็น
แต่เมื่อพวกเขามองดูชาวบ้านที่เปี่ยมไปด้วยการเฝ้าคอย มองดูราษฎรที่ตะโกนว่า “ฝ่าบาททรงพระเจริญ” และ “ขุนนางทุจริตสมควรตาย” ก็เกิดพลังเอ่อล้นอยู่ในอก อารมณ์เช่นนี้ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับขุนนางทุจริตเหล่านั้น
ขุนนางมือสะอาด ปัญญาชน และราษฎรเหล่านี้ได้ใช้ความพยายามอันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างสถานการณ์ซึ่งส่งผลดีแก่ราชสำนัก ราชสำนักก็จะไม่นิ่งดูดายโดยเด็ดขาด
ระยะนี้ในนครหลวงได้ปรากฏสิ่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ซึ่งมีขายอยู่ในร้านขายตำราของสกุลจางแห่งจิงซีและขายเพียงหนึ่งร้อยฉบับต่อวันเท่านั้น
บทความในนั้นมักจะติดตามกระบวนการต่อต้านการทุจริตอยู่เสมอ เป็นต้นว่าช่วงนี้มีขุนนางคนใดหลุดจากตำแหน่งในอำเภอใดบ้าง ฉ้อโกงเรื่องใดบ้าง กระทั่งเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องใดบ้างล้วนถูกบันทึกไว้อย่างชัดแจ้ง นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวน่าประทับใจ มุมมอง และประโยชน์ของการต่อต้านการทุจริตของผู้คนจากทุกพื้นที่เป็นต้น นับเป็นการนำความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตระดับแผ่นดินออกสู่สายตาราษฎรอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้ราษฎรในนครหลวงแย่งชิงกันต่อแถวหน้าร้านขายตำราของสกุลจางตั้งแต่ก่อนฟ้าสางเพื่อที่จะได้เห็นเนื้อหาใน ‘ข่าวสารต้าเหิง’ เป็นคนแรก
ราษฎรในนครหลวงไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งเหล่านี้ก็คล้ายกับเห็นของอันเป็นที่รักและไม่อยากที่จะพลาดมันไป ทุกครั้งที่พวกเขาเห็นราษฎรในแต่ละพื้นที่หลั่งน้ำตาดังสายฝนเวลาที่มีขุนนางหลุดออกจากตำแหน่ง ก็พลันน้ำตาคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัว ลอบซับน้ำตาเงียบๆ และเมื่อได้ยินมณฑล จังหวัด หรืออำเภออื่นกล่าวสรรเสริญถึงพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้แล้วก็ยิ่งอดที่จะยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจมิได้
บทความและเนื้อหาเช่นนี้ง่ายต่อการรวมตัวราษฎร กระชับความรู้สึกเป็นเจ้าของแว่นแคว้นและความเป็นกลุ่มเป็นก้อนที่มีต่อผู้ปกครองอย่างยิ่ง
แน่นอนว่านี่คือฝีมือของกู้หยวนไป๋
ในโรงน้ำชา
ผู้เล่าเรื่องเคาะไม้ปลุกสติ โดยมี ‘ข่าวสารต้าเหิง’ วางอยู่ข้างมือ เขากล่าวด้วยเสียงอันดัง “…รองผู้ว่าการอำเภอในเมืองหวงผูกับสายสืบทุกคนนำตัวผู้ว่าการอำเภอละโมบกลับไปในเมือง! ได้ยินว่าเป็นเพราะเหล่าราษฎรถูกจำกัดเวลาจึงไม่อาจออกจากบ้านได้ พวกเขาจึงมองเหตุการณ์นี้จากรอยแยกของประตูและหน้าต่าง พวกเขาปีติยินดีและต้องการจะโห่ร้องแสดงความดีใจ แต่กลับต้องปิดปากของตนไว้เพราะเกรงว่าจะทำให้เหล่าเด็กชายเด็กหญิงที่หลับสนิทสะดุ้งตื่น”
“ก่อนที่เจ้าหน้าที่หน่วยควบคุมดูแลของราชสำนักพวกเราจะไปถึง ชาวเมืองหวงผูต่างเฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองทุกวัน ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าออกเพื่อป้องกันมิให้ผู้ว่าการอำเภอหลบหนี หลังจากเจ้าหน้าที่หน่วยควบคุมดูแลของพวกเราไปถึงก็ได้ตรวจสอบจวนของผู้ว่าการอำเภอและยุ้งฉางท้องถิ่นโดยละเอียด จึงพบว่ามีการฉ้อโกงครั้งยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง! เจ้าหน้าที่หน่วยควบคุมดูแลใช้เวลาสามวันก็สามารถสรุปจำนวนที่ผู้ว่าการอำเภอเมืองหวงผูฉ้อโกงไปได้อย่างถี่ถ้วน” ผู้เล่าเรื่องพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา เคาะไม้ปลุกสติอีกครั้ง “รวมทั้งสิ้นสามแสนตำลึง! มันคือรายได้สิบปีของชาวหวงผูกว่าพันครัวเรือนเชียว! ไม่ต้องกล่าวถึงจำนวนการทุจริต หน่วยควบคุมดูแลของพวกเราก็ทนไม่ได้และฝ่าบาทก็คงทนไม่ได้อย่างแน่นอน! วันนั้น คนของหน่วยควบคุมดูแลได้ตัดสินโทษประหารชีวิตให้กับผู้ว่าการอำเภอหวงผู ครั้นการตัดสินถูกประกาศ ทั่วทั้งเมืองต่างโห่ร้องยินดี รวมถึงชาวนาที่ทำงานอย่างหนักทว่าโดนปล้นจนสิ้นเนื้อประดาตัวก็พากันน้ำตาไหลออกสองตา”
“ลูกเด็กเล็กแดงไม่เข้าใจความโศกเศร้าของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ทว่าก็กระโดดโลดเต้นยินดีตามไปด้วย พ่อแม่ปู่ย่าตายายเหล่านั้นเช็ดน้ำตาจนเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ทั้งยังสิ้นกังวลกับสถานการณ์เรื่องผู้ว่าการอำเภอจ้าวหนิงในตอนนี้และยังซาบซึ้ง ในวันที่จ้าวหนิงถูกตัดศีรษะนั้นในทั่วตรอกคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงโห่ร้องว่า ‘ประเสริฐนัก!’ ดังไปไกลร้อยหลี่ เมื่อถึงเวลาคมดาบฟาดฟันลง ศีรษะของจ้าวหนิงผู้นั้นก็ถูกบั่นแล้ว!”
“ประเสริฐนัก!”
เสียงโห่ร้องดังทั่วด้านล่างเวที ทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นเร้าใจ “แล้วหลังจากนั้นเล่า ทรัพย์สินที่ค้นได้จากจวนขุนนางทุจริตเล่า!”
ผู้เล่าเรื่องยิ้มเอ่ย “ก่อนที่ฝ่าบาทจะส่งคนปราบปรามพวกทุจริตก็ได้กำหนดข้อบังคับไว้แล้ว ทรัพย์สินทุกอย่างที่ริบมาจากขุนนางทุจริต ส่วนหนึ่งแบ่งให้ท้องที่เพื่อใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง เงินที่มาจากราษฎรย่อมนำไปใช้เพื่อราษฎร อีกส่วนหนึ่งเก็บเข้าราชสำนักเพื่อเติมท้องพระคลัง”
“คำว่าก่อสร้างคำนี้ถูกเขียนไว้ในรายงาน เป้าประสงค์เพื่อใช้ในการสร้างและตกแต่ง ทรัพย์สินส่วนที่ฝ่าบาทแบ่งไว้ให้ท้องที่นั้น จะนำมาใช้ในการซ่อมแซมถนน!”
“ซ่อมแซมถนนรึ” คนที่อยู่ด้านล่างพึมพำ “จะเริ่มซ่อมแซมถนนแล้ว”
ภายในห้องส่วนตัวของโรงน้ำชากู้หยวนไป๋ยกถ้วยชาขึ้นทว่ากลับฟังคำอันเร่าร้อนน่าหลงใหลของผู้เล่าเรื่องชั้นล่างจนใจลอย ลืมจิบชาไปชั่วขณะ
หลังจากได้ยินผู้คนเบื้องล่างเริ่มเสวนาถึงเรื่องการซ่อมแซมถนนกันอย่างกระตือรือร้นแล้ว เขาก็ยิ้มเล็กน้อยและจิบน้ำชาอย่างแผ่วเบา
การที่ราชสำนักสามารถทำในสิ่งที่ราษฎรโหยหาได้ต่างหาก จึงจะเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการพิชิตและรวบรวมใจของผู้คน
บทที่ 46
ผู้ที่มีเงินเหลือเฟือต่างมารวมตัวกันในโรงน้ำชาเพื่อสั่งอาหารราคาถูกและฟังผู้เล่าเล่าเรื่องราวอย่างเพลิดเพลิน ส่วนชายที่ไม่มีเงินด้านนอกได้แต่ยืนผึ่งหูฟัง เห็นอย่างชัดเจนว่าทุกคนไม่สามารถทำอะไรเพื่อต่อต้านการทุจริตได้ ทว่าพวกเขากลับให้ความสนใจกับการต่อต้านการทุจริตอย่างใกล้ชิดกว่าปกติ
เซวียหย่วนเองก็คิดไม่ถึงว่ากู้หยวนไป๋จะอนุญาตให้ราษฎรรับรู้ถึงกระบวนการต่อต้านการทุจริตด้วย ซ้ำยังนำบันทึกเงินทองที่ปล้นมาได้เขียนลงกระดาษเพื่อวางขายอีกด้วย
‘ข่าวสารต้าเหิง’ เป็นฝีมือของกู้หยวนไป๋ จดหมายที่ถูกส่งมาจากสำนักตรวจการและหน่วยควบคุมดูแลจะถูกส่งไปที่สกุลจางทุกวันเพื่อให้พวกเขาจัดการคัดลอก
ผู้คนในนครหลวงต่างกระตือรือร้นไปกับความตื่นเต้นของราษฎรในท้องที่ต่างๆ และรู้สึกขุ่นเคืองกับการกระทำของขุนนางทุจริตเหล่านั้น
หลังจากที่รู้ว่าบ้านเมืองนี้กำลังทำสิ่งใดอยู่และรู้ถึงสถานการณ์ของราษฎรในท้องที่แล้ว ราษฎรที่ยุ่งอยู่กับการหาเลี้ยงชีพเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันที ไม่เหมือนศพเดินได้ที่เคยไถดิน กินข้าว และนอนเหมือนอย่างในอดีตอีกต่อไป
ชาวนาวัยชราและชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์จำนวนมากจับมือกันไปยังประตูเมืองเพื่ออ่าน ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ที่หน้าประตูจวนว่าการด้วยใบหน้าแดงก่ำ ผึ่งหูตั้งใจฟังเนื้อหาที่ถูกอ่านอย่างรวดเร็ว
พวกเขาอ่านตัวอักษรไม่ออก ไร้อารยธรรม ยังไม่รู้แจ้ง และสติปัญญายังไม่เกิด บางคราวไม่เข้าใจเนื้อหาในรายงานด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสถานการณ์ทุจริตในท้องที่ต่างๆ เล่า
แต่มันก็เป็นคำขอของกู้หยวนไป๋ ทุกวันเขาจะให้สกุลจางนำ ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ไปส่งที่ประตูจวนว่าการ ให้ผู้ว่าการนครหลวงจัดคนอ่านให้เหล่าราษฎรฟังโดยใช้ภาษาพูดไม่เป็นทางการในยามที่กำหนดทุกวัน หากเพิ่มความธรรมดาสามัญได้ก็ให้เพิ่มเข้าไปเพื่ออ่านให้พวกเขาฟัง
ผู้ว่าการนครหลวงกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยไม่คิดว่านี่มีประโยชน์อันใด เหล่าราษฎรที่ประเดี๋ยวเกรี้ยวกราดประเดี๋ยวยินดีไปตามเนื้อหาในสาส์นข่าวก็ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อันใด
แต่กู้หยวนไป๋กลับยืนกราน ทั้งยังเชื่อว่ามันมีประโยชน์มหาศาล
ในฐานะจักรพรรดิย่อมมีหน้าที่ให้การศึกษาแก่ราษฎร
ทุกอย่างล้วนมีพลังอำนาจที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หากไม่ทำตั้งแต่แรกก็ไม่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เลย
ครั้นเซวียหย่วนมองดูฉากนี้ก็พลันรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในอดีต และบางอย่างนี้คล้ายจะเรียกว่าความสงบ
บางอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสขณะที่อยู่ชายแดน และสิ่งนี้ก็มาจากกู้หยวนไป๋
หัวใจที่จงรักภักดีต่อกู้หยวนไป๋เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลงมองกู้หยวนไป๋ แล้วก็เห็นว่ากู้หยวนไป๋กำลังดื่มชาที่บัดนี้เย็นชืดด้วยรอยยิ้ม หนังตาเซวียหย่วนกระตุก หยิบถ้วยชาอีกใบจรดใต้ปากของกู้หยวนไป๋ เอ่ยว่า “บ้วนออกมา”
น้ำชาอึกนั้นติดอยู่ในลำคอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กู้หยวนไป๋มองเขาด้วยความแปลกใจ เซวียหย่วนทนสายตาเช่นนี้ของอีกฝ่ายมิได้ ทันทีที่ถูกมองทั้งตัวก็รู้สึกชาวาบเพียงครู่เดียวน้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงไปมาก “ฝ่าบาท น้ำชาเย็นแล้ว บ้วนออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋บ้วนน้ำชาออกมาแล้วกล่าวชี้แจงข้อเท็จจริง “เจิ้นก็ดื่มชาน้ำแข็งในฤดูร้อนเหมือนกัน”
ชาน้ำแข็งคือชาที่ต้มจากน้ำแข็ง เซวียหย่วนสงสัย “พระองค์ดื่มได้หรือ”
กู้หยวนไป๋วางถ้วยชาลง เถียนฝูเซิงที่ยกน้ำชากาใหม่มาให้ได้ยินดังนี้ก็ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเอ่ย “นานๆ ฝ่าบาทจะดื่มสักคราไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่ทุกครั้งก็ไม่กล้าให้ฝ่าบาทดื่มมากจนเกินไป เกรงว่าจะทำให้พระวรกายเย็น”
เซวียหย่วนมองกู้หยวนไป๋ครั้งแล้วครั้งเล่า มองดูใบหน้าเรียวยาวและมือที่อ่อมนุ่มของเขาก็พยักหน้าอย่างยากที่จะเห็นด้วย
กู้หยวนไป๋อดที่จะหัวเราะไม่ได้ เซวียหย่วนอยู่ข้างกายเขานานแล้ว ทหารองครักษ์ผู้นี้ที่เป็นคนหยาบคายก็ถูกผู้คนโดยรอบหล่อหลอมได้เช่นกัน เขาปฏิบัติต่อกู้หยวนไป๋ราวกับเครื่องลายครามที่เปราะบาง คล้ายเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายใดๆ กับกู้หยวนไป๋
เพียงแต่เขาเกิดมาพร้อมกับความกล้าหาญ คนอื่นไม่กล้าเข้ามาโน้มน้าวทว่าเขากลับกล้าลงมือโดยตรง
ผู้เล่าเรื่องด้านล่างได้เปลี่ยนเรื่องเป็นกระบวนการต่อต้านการทุจริตในท้องที่อื่นแล้ว เหล่าราษฎรยังคงเบียดเสียดกันที่ประตูเมืองเช่นเคย คนทั้งนครต่างปิดกั้นหน้าประตูจวนว่าการท้องถิ่น บรรดาบุรุษซุกตัวนอนอยู่ในผ้าห่มหน้าประตูจวนว่าการในยามกลางคืน ส่วนยามกลางวันก็รอภรรยามาส่งข้าวส่งน้ำจากบ้านที่ตรงหน้าประตูจวนว่าการ รออยู่เช่นนี้จนกว่าเจ้าหน้าที่หน่วยควบคุมดูแลจะมาถึง
ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากราษฎรและเจ้าหน้าที่เหล่านี้ที่ทำให้การจับกุมขุนนางทุจริตกลายเป็นเรื่องที่ราบรื่นขึ้นมาก
กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจด้วยอารมณ์ “บัดนี้ได้จัดการขุนนางทุจริตกลุ่มหนึ่งแล้ว ก็ประจวบเหมาะกับที่ขุนนางผู้ประพฤติดีมีคุณธรรมอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพอดี”
เซวียหย่วนกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ “กระหม่อมเองก็มีความดีความชอบพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เหลือบมองเขา หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามีความดีความชอบอันใด”
เซวียหย่วนกล่าวถึงหลักเหตุผลของโจรอย่างเป็นธรรมชาติ “กระหม่อมปกป้องฝ่าบาท คุ้มกันฝ่าบาท ตราบใดที่พระวรกายของฝ่าบาทแข็งแรง การต่อต้านการทุจริตย่อมเป็นไปอย่างราบรื่น”
กู้หยวนไป๋ชอบใจ “เดี๋ยวนี้องครักษ์เซวียรู้จักพูดจามีเล่ห์เหลี่ยมแล้ว”
เซวียหย่วนคิดในใจว่า หยุดหัวเราะได้แล้ว ท่านหัวเราะจนหัวใจของข้าเต้นเร็วขึ้นทุกที
เซวียหย่วนกอดอกซ่อนหัวใจที่เต้นแรงไว้แล้วทอดถอนใจ ทว่าปากกลับไม่ตรงกับใจ สายตาเขาจับจ้องอยู่บนใบหน้าของกู้หยวนไป๋ สุดท้ายมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มตาม
หลังจากดื่มชาในโรงน้ำชาเสร็จ กู้หยวนไป๋ก็พาคนมาถึงร้านขายตำราของสกุลจาง การสร้างเส้นทางการค้านั้นต้องเตรียมการเป็นอย่างมาก ซึ่งบัดนี้แผนที่สกุลจางจะสร้างเส้นทางการค้าสำหรับฮ่องเต้นั้นได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว จดหมายสอบถามที่พ่อค้าต่างถิ่นส่งมาให้สกุลจางได้กองสุมจนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อม คนในสกุลจางต่างยุ่งกับงานจนหน้ามืดตาลาย ทั้งยังต้องเข้มงวดกับลูกหลานทุกคนในตระกูลอีกว่าห้ามมิให้เกิดข้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ ลำพังเพียงการเตรียมเส้นทางการค้าที่เขตชายแดนก็กินเวลาไปเดือนกว่าเสียแล้ว
สกุลจางทูลรายงานความคืบหน้าในปัจจุบันแก่กู้หยวนไป๋ด้วยความลำบากใจ ทว่ากู้หยวนไป๋กลับกล่าวว่า “เจิ้นได้คิดถึงขั้นนี้แล้ว แม้ช่วงนี้พวกเจ้าจะยังขยับตัวไม่ได้มาก เจิ้นก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำก่อนที่เส้นทางการค้าจะถูกสร้างขึ้น”
แววตาของฮ่องเต้ล้ำลึก เอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “เจิ้นต้องการส่งทหารไปกำราบเผ่าเร่ร่อนกลุ่มนั้น”
หนังตาของเซวียหย่วนกระตุกมองไปที่อีกฝ่ายทันใด ดวงตาของเขาทอเป็นประกายด้วยแสงนับหมื่นพัน
เผ่าเร่ร่อนจะต้องถูกกำราบก่อนการก่อสร้างจะเริ่มขึ้น
ไม่กำราบไม่ได้!
สถานการณ์อันน่าสลดของทหารชายแดนและเหล่าราษฎรที่เซวียหย่วนกล่าวถึงก่อนหน้านี้ เป็นหนามทิ่มแทงหัวใจของกู้หยวนไป๋ เวลานั้นเขาทะลุมิติมายังต้าเหิงและได้กลายเป็นฮ่องเต้แล้ว ทว่าอำนาจในราชสำนักกลับถูกหลูเฟิงยึด ทั้งราชสำนักปกคลุมไปด้วยบรรยากาศเลวร้าย เป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดที่กู้หยวนไป๋ประสบมา
เขาใช้เวลาสามปีในการล้มหลูเฟิง ปกครองราชสำนักด้วยตัวเองจนป่านนี้ยังไม่ครบครึ่งปีดี เขาทำงานอย่างหนักเพื่อระดมกำลังและฝึกหน่วยควบคุมดูแล ก็เพราะกู้หยวนไป๋ไม่ต้องการประสบกับช่วงเวลาอันมืดมนเช่นนั้นอีก
เขารู้ดีว่าผู้คนในต้าเหิงต่างเผชิญกับความยากลำบากมากมายเพียงใด และต้องสูญเสียชีวิตในขณะที่เขาอยู่บนบัลลังก์มากมายเท่าไร ระบบรากฐานของราชวงศ์ต้าเหิงเน่าเฟะ กู้หยวนไป๋เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เขารู้ดีว่าความขี้ขลาดของฮ่องเต้จะนำไปสู่หายนะอย่างไรบ้าง ทว่าในตอนนั้นเขากลับทำอะไรไม่ได้เลย
บัดนี้กำลังทหารของเขาเข้มแข็งแล้ว เส้นทางไปชายแดนก็พร้อมก่อสร้าง ทันทีที่สร้างถนนเสร็จการสัญจรสะดวก เขาก็สามารถดูแลพื้นที่ชนเผ่าเร่ร่อนได้
หากต้องการวัว ม้า และแกะจากเผ่าเร่ร่อนก่อนที่เส้นทางจะสร้างเสร็จ ก็ต้องทำให้พวกเขารู้ว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎของต้าเหิง
หลังกู้หยวนไป๋กล่าวคำว่า ‘กำราบเผ่าเร่ร่อน’ แล้ว ดวงตาของเซวียหย่วนก็เปล่งประกายตลอดเวลา เขากุมดาบใหญ่ที่เอวแน่น เหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่รอบกายต่างรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในตัวเขา
ทหารองครักษ์เหล่านี้ยังคงจดจำเรื่อง ‘แกะสองขา’ ที่เขาเล่าระหว่างล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิได้ หนึ่งในนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “เซวียหย่วน เผ่าเร่ร่อนกำราบง่ายหรือไม่”
เซวียหย่วนกล่าวเสียงดัง “ยาก”
เหล่าทหารองครักษ์ “…”
สีหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย มองดูเซวียหย่วนที่เดือดพล่านจนราวกับว่ามันจะปะทุออกมา ไม่เข้าใจว่าหากมันยากนักแล้วเหตุใดเขาจึงอยู่ในสภาพที่กระตือรือร้นเช่นนี้
กู้หยวนไป๋ก็ได้ยินว่าคำว่ายากนี้เช่นกัน เขาให้เซวียหย่วนก้าวมาข้างหน้าแล้วจ้องมองอีกฝ่าย “ว่ามาซิ”
หากแต่สกุลจางกล่าวขึ้นมาเสียก่อน “ฝ่าบาท บัดนี้ลูกหลานของกระหม่อมต่างรวมตัวกันในนครหลวงแล้ว ฝ่าบาทยังต้องการจะพบพวกเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ยิ้มเล็กน้อย “เจิ้นได้ยินมาว่าลูกหลานของสกุลจางแห่งจิงซีล้วนโดดเด่นทุกคน นานๆ ทีเจิ้นจะออกมาสักครา แน่นอนว่าอยากพบเสียหน่อย”
คนของสกุลจางถอยออกไป ข้ารับใช้ปิดงับประตู แสงในห้องพลันมืดสลัว สามารถมองเห็นฝุ่นผงที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศได้อย่างชัดเจน
กู้หยวนไป๋พูดขึ้น “นั่งเถิด”
คนในห้องที่ควรนั่งต่างนั่งลงแล้ว เซวียหย่วนนั่งด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยและห้าวหาญยิ่ง กู้หยวนไป๋สั่งให้คนยกน้ำชามาให้พวกเขา หลังจากกลั้วปากกลั้วคอแล้วก็กล่าวว่า “เซวียหย่วน กำราบเผ่าเร่ร่อนยากมากหรือ”
เซวียหย่วนที่กำลังจะพูดเผลอเหม่อมองสีปากของฮ่องเต้น้อยอย่างน่าประหลาดใจ ก่อนจะดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยว่า “เผ่าเร่ร่อนมีความกล้าหาญ ขี่ม้ายิงธนูไม่เป็นสองรองใคร ต้าเหิงได้รับการก่อกวนอยู่เสมอและไม่เคยโต้กลับได้เลย พวกเขาจึงยิ่งได้ใจพ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นรู้เรื่องพวกนี้” กู้หยวนไป๋พยักหน้าน้อยๆ “ทว่าเมื่อกำราบยากเช่นนี้ พวกเจ้าก็ยังสามารถแย่งม้าชั้นดีมาจากมือของพวกเขาได้อย่างมากมาย”
มุมปากของเซวียหย่วนยกขึ้น ลอบยิ้มเยาะเล็กน้อย “แม้เผ่าเร่ร่อนมีความกล้าหาญ แต่การล่าถอยอย่างต่อเนื่องของต้าเหิงได้ช่วยทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเอง พวกเขาคิดเสมอว่าตนไม่มีวันพ่ายศึก ทว่าทันทีที่ต้าเหิงแสดงแสนยานุภาพ พวกเขาก็จะพ่ายในทันทีและเป็นความพ่ายแพ้อย่างราบคาบพ่ะย่ะค่ะ”
“ตราบใดที่มีแนวโน้มว่าจะพ่ายแพ้ พวกเขาจะหลบหนีด้วยความตื่นตระหนก กลายเป็นพวกไร้ประโยชน์ ในบรรดาเผ่าเร่ร่อนถูกแบ่งออกเป็นแปดกลุ่ม พวกเขาจะไม่รวมตัวกันง่ายๆ บัดนี้ผู้นำหลักของชาวชี่ตัน รุ่นก่อนอายุมากแล้ว อีกทั้งผู้นำทั้งแปดกลุ่มขยายอำนาจไปอย่างก้าวกระโดด พวกเขากระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ โดยจะไม่สร้างพันธมิตร ถ้าต้องการจะสู้รบก็ง่ายมากพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พยักหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
สถานการณ์บ้านเมืองของราชวงศ์ต้าเหิงค่อนข้างปั่นป่วน
ครั้นตอนที่กู้หยวนไป๋เพิ่งมาถึงก็รู้สึกหัวหมุนกับสถานการณ์ที่วุ่นวายเหล่านี้ ถือโคมอ่านตำราข้ามคืนอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ตัวเองเข้าใจเงื่อนไขและความคิดระดับแผ่นดิน และความเข้าใจครั้งนี้ก็ทำลายประวัติศาสตร์หลังราชวงศ์ถังที่อยู่ในความทรงจำอย่างสิ้นเชิง
ต้าเหิงมีประวัติศาสตร์ของตัวเองที่ปะปนกับแคว้นใกล้เคียงในแต่ละยุคสมัย การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ในสมัยแรกนั้นไม่ใหญ่นัก หลังจากที่กู้หยวนไป๋ผ่านช่วงเวลาถือโคมไฟอ่านตำราข้ามคืนจบก็หล่อหลอมเข้ากับราชวงศ์นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เหมือนกับเรื่องราวของชี่ตันและกลุ่มทั้งแปด เขาก็สามารถปรับตัวให้เข้าใจได้เป็นอย่างดี
เซวียหย่วนเอ่ยต่อ “ตอนที่กระหม่อมเฝ้าชายแดนอยู่กับแม่ทัพเซวีย ทางราชสำนักก็ได้ส่งผู้บัญชาการชายแดนมา ทว่าล้วนเป็นปัญญาชนที่ไม่เคยนำทัพทั้งสิ้น”
กู้หยวนไป๋ตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองเซวียหย่วน นี่น่าจะเป็นเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะทะลุมิติมา
“ปัญญาชนเหล่านั้นไม่เข้าใจการทหาร อ่านตำราพิชัยยุทธไม่กี่เล่มก็นึกว่าการเป็นแม่ทัพนั้นง่าย พวกนั้นดูถูกนักรบ ไม่ฟังคำแนะนำของพวกเขา ทะนงตัวอวดดี ใจสูงกว่าท้องฟ้า เสียอีก” น้ำเสียงของเซวียหย่วนเรียบง่าย “แต่เมื่อแพ้ก็เร็วกว่าภูผาถล่ม”
กู้หยวนไป๋ได้ยินดังนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่ให้ปัญญาชนเป็นผู้นำทัพ คือความคิดอัจฉริยะของผู้ใดกันหรือ
หากเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริงก็ช่างเถิด อย่างไรก็ดีผู้ช่ำชองในตำราพิชัยยุทธทว่าอ่อนประสบการณ์เช่นนี้ทำให้เขาอดนึกถึงหม่าซู่ ผู้สืบทอดที่จูเก๋อเลี่ยง ชื่นชมนักหนามิได้ หม่าซู่เป็นผู้ที่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับการทหารได้อย่างดีเยี่ยม แต่สุดท้ายแล้วประสบการณ์น้อยเกินไป ทำร้ายตัวเองจนต้องพบกับจุดจบที่ถูกจูเก๋อเลี่ยงตัดศีรษะทั้งน้ำตา ในทางกลับกันหวังผิง ที่ทั้งชีวิตรู้อักษรเพียงสิบตัว แม้จะกล่าวได้ว่าอ่านตำราไม่ออก ทว่ากลับเป็นมีพรสวรรค์ในการนำทัพยิ่ง
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันเป็นการกดดันจากหลูเฟิงที่มีต่อสกุลเซวียแน่ สกุลเซวียจงรักภักดีมาสามชั่วอายุคน ในฐานะขุนนางชั่วหลูเฟิงย่อมเกรงกลัวความจงรักภักดีเช่นนี้
กู้หยวนไป๋ไตร่ตรองครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาก็ให้องครักษ์เซวียนำทัพ จากที่เจ้าพูด การกำราบเผ่าเร่ร่อนคงไม่ใช่เรื่องยาก?”
เซวียหย่วนได้ยินดังนี้ก็อดที่จะพูดไม่ได้ว่า “จะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พยักหน้า นอกประตูมีคนรายงานการมาถึงของคนในสกุลจางพอดี กู้หยวนไป๋จึงสั่งให้คนพาพวกเขาเข้าพบ
หนึ่งในเหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่โดยรอบกระทุ้งๆ เซวียหย่วน แล้วถาม “ใต้เท้าเซวีย พอรู้ว่าจะได้ไปสู้กับพวกเร่ร่อนที่ชายแดนก็มีความสุขเพียงนี้เชียวหรือ”
เซวียหย่วนงุนงง “อย่างไรรึ”
ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งกล่าวอย่างประหลาดใจ “ต่อให้ท่านมีความสุข ก็ไม่จำเป็นต้องฉีกยิ้มเพียงนี้กระมัง”
เซวียหย่วนอึ้งไป ยกมือขึ้นสัมผัสมุมปาก ที่ไม่คาดคิดเลยก็คือมุมปากของเขากำลังยกขึ้นจริงๆ
เขามีความสุขเพราะจะได้ไปกำราบเผ่าเร่ร่อนจริงหรือ
เช่นนั้นก็ดีใจจนออกนอกหน้าเกินไปแล้ว
เซวียหย่วนขมวดคิ้ว พยายามข่มมุมปากที่ยกขึ้นไม่หยุด แต่เพียงเขานึกถึงคำพูดของกู้หยวนไป๋ที่เชื่อมั่นในความสามารถของตนเมื่อครู่ ก็อดที่จะอยากหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้
เขาเหลือบมองกู้หยวนไป๋โดยไม่รู้ตัว
กู้หยวนไป๋ราวกับรับรู้ได้จึงหันมามองเขาเช่นกัน เมื่อเห็นหน้าตาเหยเกของเซวียหย่วนที่อยากจะยิ้มแต่ข่มไม่ให้ยิ้มแล้วก็อดที่จะรู้สึกขบขันมิได้
ความขบขันของเขาในครั้งนี้ทำให้ริมฝีปากสีจางโค้งขึ้น และคล้ายจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู
สีชมพู
เซวียหย่วนข่มไว้ไม่ไหว เขาไม่สามารถข่มมุมปากไม่ให้ยกขึ้นได้อีก
มารดามันสิ เหตุใดกู้หยวนไป๋ถึงได้…เหตุใดถึงได้ยิ้มให้เขาอย่างงดงามเพียงนี้
หมายความว่าอย่างไรกัน!
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 20 ก.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.