X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 3

กู้หยวนไป๋ดื่มชาชั้นดีไปแล้วครึ่งกา การแข่งขันชู่จวีที่ด้านนอกก็จวนจะจบลงแล้ว เขายันโต๊ะหินเพื่อลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า บนหลังมือขาวดุจหยกผุดเส้นเลือดสีซีดดูไร้เรี่ยวแรง กู้หยวนไป๋กำมือป้องปากไอสองสามที ก่อนเอ่ยปรามข้ารับใช้ที่กำลังจะเดินเข้ามา “ไม่เป็นไร”

ผิงชางโหวมองเขาอย่างเป็นกังวล “ฝ่าบาท พระวรกายมังกรเพิ่งหายจากอาการประชวร ห้ามตากลมเป็นอันขาด ควรดูแลพระองค์เองให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋กระตุกยิ้มมุมปาก แม้ร่างกายของเขาจะอ่อนแอ ทว่ารอยยิ้มกลับเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาราวบุปผาที่เบ่งบาน “โสม เขากวาง กระดองเต่า นอกจากนี้ยังมีกระดูกเสือ เห็ดหลิงจือ ถั่งเช่า…เจิ้นเห็นว่าในใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดล้ำค่าไปกว่าเจิ้นแล้ว”

“ผิงชางโหว ทั่วทั้งใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดรักและถนอมชีวิตไปกว่าเจิ้นแล้ว” กู้หยวนไป๋พูดกับตัวเอง จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุข “แม้วัตถุดิบยาจะมีราคาแพงแต่ก็ต้องบอกว่ารสชาติไม่ค่อยดีนัก ทุกครั้งที่เจิ้นดื่มมันล้วนอยากจะโยนชะเอมเทศลงไปเสียทั้งตะกร้า”

ผิงชางโหวอดทอดถอนใจที่สวรรค์เล่นตลกมิได้ ฝ่าบาทอยู่อย่างสันโดษมานานหลายปี ความอดทนและความเฉลียวฉลาดต่างจากปุถุชนทั่วไป ทั้งยังใจกว้างและมองโลกในแง่ดีเพียงนี้ เหตุใดสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งโอรสสวรรค์หนุ่มผู้นี้ เหตุใดต้องมอบร่างกายที่ถ่วงแข้งถ่วงขาฝ่าบาทเช่นนี้ด้วยเล่า

เขาหัวเราะตามไม่กี่เสียง แล้วพูดคุยกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอีกสองสามประโยค

ไม่นานก็มีคนเข้ามารายงานผลแพ้ชนะ กู้หยวนไป๋ฟังแล้วก็พยักหน้าเอ่ย “ตกรางวัล”

หัวหน้าทหารองครักษ์เหลือบมองท้องฟ้า ก้าวขึ้นหน้าและกระซิบเกลี้ยกล่อมให้กู้หยวนไป๋กลับวัง การประชุมเช้าของราชสำนักต้าเหิงจะจัดขึ้นทุกสองวัน ด้วยบังเอิญว่าวันนี้เป็นวันว่างจึงได้มาดูการแข่งชู่จวี เดิมทีกู้หยวนไป๋ยังต้องการที่จะเที่ยวชมภายในนครหลวงเสียหน่อย แต่ท่ามกลางการเกลี้ยกล่อมนี้เขาคงต้องละทิ้งความตั้งใจ แล้วปล่อยข้ารับใช้สองสามคนไว้ที่นี่ โดยมีเหล่าทหารองครักษ์คุ้มกันขึ้นรถม้า

ผิงชางโหวน้อมส่งฝ่าบาท ขณะที่กำลังจะพาบุตรชายกลับจวน ก็ได้ยินว่าบุตรของตนและคุณชายใหญ่จวนเสนาบดีกรมอากรไปที่ใดกันก็ไม่รู้ ผิงชางโหวตกใจ โทสะบังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็เดินทางกลับจวนด้วยใบหน้าสงบนิ่งตามลำพัง

 

ครั้นใกล้เวลาค่ำซื่อจื่อแห่งจวนผิงชางโหวก็เพิ่งจะกลับถึงจวน ผิงชางโหวสั่งให้คนรออยู่ที่ลานด้านหน้า ทันทีที่หลี่เหยียนย่างเข้าประตูมาก็ถูกผู้เป็นบิดาเรียกเข้าไปในห้องตำรา

“วันนี้หลังจากฝ่าบาทเสด็จกลับ ข้าถึงได้รู้ว่าเจ้ากลับไปก่อนแล้ว” ผิงชางโหวกล่าวอย่างโมโห “ฝ่าบาทยังไม่ขยับไปไหนแต่เจ้าถึงกับกล้าออกมาก่อน เจ้ามันช่างบังอาจนัก!”

ครั้นหลี่เหยียนได้ยินบิดาเอ่ยถึงฝ่าบาทก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อก เขากลัวว่าจะถูกจับได้จึงเอ่ยอย่างลนลาน “ท่านพ่อ ท่านเดาสิว่าวันนี้ข้าเห็นอะไร ตอนที่ข้าท่องเที่ยวไปตามถนน บังเอิญเห็นเซวียหย่วนผู้นั้นกำลังควบม้าอยู่กลางนคร เขาก็ทำเกินไปจริงๆ!”

ผิงชางโหวขมวดคิ้ว “ควบม้ากลางนครรึ ไม่ได้ ข้าต้องเขียนรายงานถวายฝ่าบาท”

หลี่เหยียนย่องออกไปจากห้องตำราเงียบๆ ครั้นกลับถึงห้องตนก็ถอนใจอย่างโล่งอก เขาไล่คนข้างกายออกไปจนสิ้น ปิดประตู จุดเทียน ก่อนที่ม้วนภาพอุ่นๆ ในอ้อมอกจะถูกแผ่หลาลงบนโต๊ะ

การมีม้วนภาพวาดของฝ่าบาทไว้ในครอบครองคือเรื่องใหญ่อันมีความผิดฐานขบถ ภาพพระพักตร์เบื้องสูงจะเอามาซ่อนไว้ในห้องนอนเด็กหนุ่มตามอำเภอใจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

ในฐานะบุตรคนโตของผิงชางโหว หลี่เหยียนย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ดี ทว่าเขาไม่อาจควบคุมได้และมักจะรู้สึกตื่นเต้นในใจอย่างท่วมท้นอยู่เสมอ เขารู้สึกกลัวและวิตกกังวลเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่าบาทโดยตรง แต่ครั้นจะให้ละสายตาไปจากฝ่าบาทก็รู้สึกไม่ใคร่เต็มใจนัก

เขามิได้ประสงค์ร้ายและไม่คิดจะนำภาพวาดนี้มาทำเรื่องไม่ดีอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าพระพักตร์ของฝ่าบาทงดงามอย่างแท้จริง หากไม่วาดเก็บไว้เสียหน่อยก็คงน่าเสียดายแล้ว

หลี่เหยียนเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ในภาพวาดคือบุรุษผู้สูงศักดิ์ จิตรกรวาดคิ้วและตาของบุรุษผู้นี้ตามคำบอกกล่าวของหลี่เหยียน แต่เส้นหมึกตรงโครงหน้าด้านล่างกลับเลือนรางยิ่ง ซึ่งนั่นก็ทำไปเพื่อการปกปิด นอกจากเขากับทังเหมี่ยนแล้วไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่าส่วนหนึ่งของภาพวาดผืนนี้คือฝ่าบาท

พระพักตร์ของฝ่าบาทนั้นมีเสน่ห์เป็นพิเศษ ทว่าจิตรกรไม่เคยเห็นกับตา หลี่เหยียนมองอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างหงุดหงิด “ยังจะบอกว่าตนเป็นจิตรกรมือหนึ่งแห่งนครหลวง ภาพวาดนี้มันของเล่นอะไรกัน ดูคล้ายเทพแต่กลับไม่คล้าย ฝีมือวาดภาพของข้ายังดีกว่านัก”

หลังก่นด่าพึมพำอยู่ครู่ใหญ่ หลี่เหยียนก็ค่อยๆ ม้วนภาพเก็บแล้ววางลงในลิ้นชักลับตรงหัวเตียง หลี่เหยียนเอนตัวลงนอน สมองนึกถึงภาพใบหน้าของฝ่าบาทที่เขาพบในวันนี้อีกครั้ง

ไม่รู้ว่าความไร้มารยาทนี้จะทำให้ฝ่าบาทไม่พอใจเขาหรือไม่ วันนี้ที่เขาเตะชู่จวีก็ไม่รู้ว่าดูเป็นอย่างไรบ้าง จะต้องเหนื่อยหน้าดำหน้าแดงเป็นแน่ ฝ่าบาทชมว่าเขาหล่อเหลา แต่ไม่ว่าจะหล่อเหลาเพียงใดก็ไม่มีใครดูดีตอนที่เตะชู่จวีหรอก

คิดไปคิดมาหลี่เหยียนก็ผล็อยหลับไปท่ามกลางความสะลึมสะลือ

 

แน่นอนว่ากู้หยวนไป๋ไม่รู้ความคิดนี้ของเด็กหนุ่ม เขาได้รับการปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สีหน้าในยามราตรีของเขาซีดขาวเล็กน้อย เถียนฝูเซิงกระซิบถาม “กระหม่อมนวดกดพระเศียรให้ฝ่าบาทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

บนแท่นบรรทมมังกรสีทอง นางกำนัลรูปโฉมงดงามในเสื้อผ้าเบาบางสามนาง คุกเข่าอยู่ข้างกายกู้หยวนไป๋พลางใช้ผ้าเช็ดผมดำขลับที่เปียกชื้นของฮ่องเต้โดยไม่พูดจา

“ไม่ต้องแล้ว” กู้หยวนไป๋หลับตาลง พยายามข่มความรู้สึกไม่สบายกายเอาไว้ “ให้ศิษย์น้อยของเจ้าเข้ามาทุบๆ ขาให้เจิ้นที”

เถียนฝูเซิงรีบไปเรียกศิษย์น้อยมาทันที ขันทีน้อยคุกเข่าลงหน้าแท่นบรรทมมังกร ทุบๆ ขาด้วยความคล่องแคล่ว อดดีอกดีใจมิได้ที่ฝ่าบาทชอบฝีมือของตน

หลังจากที่ผมดำขลับถูกเช็ดจนแห้งแล้ว นางกำนัลทั้งสามก็ลงจากแท่นบรรทมเงียบๆ แล้วถอยออกไปด้วยเท้าเปลือยเปล่า

“เถียนฝูเซิง” จู่ๆ กู้หยวนไป๋ก็พูดขึ้น น้ำเสียงเกียจคร้านเหมือนกำลังจะหลับ “เรื่องที่เจิ้นให้เจ้าไปทำเป็นอย่างไรบ้าง”

“ทูลฝ่าบาท ทุกอย่างเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ” เถียนฝูเซิงตอบ

“อืม” กู้หยวนไป๋เอ่ย “ทุกคนที่ถูกส่งออกไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นแรงกายและแรงใจทั้งหมดของเจิ้น ให้พวกเขาทำงานอย่างระมัดระวัง ข่าวสารไม่สำคัญ ชีวิตคือสิ่งสำคัญที่สุด”

“พ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้กระหม่อมจะกำชับอีกครั้ง”

เมื่อสามปีก่อนกู้หยวนไป๋ลอบส่งคนไปรับเลี้ยงกลุ่มเด็กกำพร้ากลุ่มหนึ่งไว้ ให้อาหาร ให้เสื้อผ้า ให้ที่พัก สอนพวกเขาให้อ่านเขียนและสังหารศัตรู ล้างสมองและให้การศึกษาอย่างต่อเนื่องไม่เว้นวัน จนในที่สุดก็กลายเป็นดาบคมในมือของกู้หยวนไป๋

พวกเขาเชื่อฟังเพียงคำสั่งของฮ่องเต้เท่านั้น ฮ่องเต้สั่งให้พวกเขาทำสิ่งใดพวกเขาก็ทำสิ่งนั้น เมื่อหนึ่งปีก่อนกู้หยวนไป๋ได้คัดเลือกคนที่ภักดีที่สุดในหมู่พวกเขาสี่ร้อยคนออกมา สั่งให้พวกเขาลอบเข้าไปในจวนของขุนนางแต่ละคน รวมถึงแฝงตัวเข้าไปในกองทหารแถบชายแดนและกองทหารทุกแห่ง ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ในบรรดาทหารรักษาพระองค์ ทหารองครักษ์ข้างกายเขาก็มีคนเหล่านี้ซุ่มซ่อนอยู่ด้วย ดาบเล่มนี้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการล้มล้างขุนนางหลูเฟิงผู้มีอำนาจในตอนนั้น

กู้หยวนไป๋ลอบตั้งชื่อมันว่าหน่วยควบคุมดูแล อวนขนาดใหญ่ค่อยๆ แผ่ขยายออกไปบนดินแดนต้าเหิงอย่างลับๆ คนที่หน่วยควบคุมดูแลส่งออกไป คนที่เก่งกาจล้วนได้ความดีความชอบทางทหาร ส่วนคนที่ไม่เก่งก็ยังคงแสวงหาโอกาสที่จะได้เลื่อนขั้นในจวนขุนนาง ข่าวที่พวกเขาส่งกลับมานั้นเริ่มมีพลังอันน่าตกใจ

นี่ก็ผ่านไปเพียงหนึ่งปีเท่านั้น กู้หยวนไป๋ไม่รีบ ยามนี้เขารู้สึกง่วงนอนเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ย “เข้านอนเถิด”

องครักษ์เสื้อแพรแห่งราชวงศ์หมิง องครักษ์หลวนอี๋แห่งราชวงศ์ชิง กู้หยวนไป๋เองก็ต้องการจะสร้างกลุ่มยอดฝีมือร่างกายกำยำที่เชื่อฟังเพียงคำสั่งของเขาบ้าง ความคิดต่างๆ นานาในหัวของเขานั้นไร้ที่สิ้นสุด หน่วยควบคุมดูแลและกลุ่มยอดฝีมือนี้จะสามารถเติมเต็มและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ กระทั่งชื่อของกลุ่มเขาก็ตั้งไว้ว่าองครักษ์ตงหลิง เพื่อให้คนเหล่านี้เป็นดั่งนกอินทรีที่มีดวงตาและกรงเล็บแหลมคมในมือของเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะคิดถึงเรื่องนี้มากเพียงใด เขาก็ยังขาดต้นทุนแห่งการปฏิวัติอยู่ดี

กู้หยวนไป๋ไม่รู้ว่าตนจะทำได้ถึงขั้นไหนก่อนตาย แต่หากเขาไม่ทำอะไรเลยก็จะอึดอัดใจยิ่งกว่า

เถียนฝูเซิงดับไฟและถอยออกไปเงียบๆ ครั้นมาถึงนอกตำหนักก็พยักหน้ากับหัวหน้าทหารองครักษ์ ก่อนเอ่ยเสียงกระซิบ “วันนี้ฝ่าบาทเหนื่อยแล้ว”

หัวหน้าทหารองครักษ์แซ่จาง นามว่าซวี่ ไม่เพียงมีความห้าวหาญแต่ยังเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมาก เขาคือหัวหน้าทหารองครักษ์ที่ฮ่องเต้ทรงเลือกมาจากกลุ่มทหารรักษาพระองค์ด้วยตัวเอง จางซวี่รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท ตัดสินใจว่าจะรักษาความปลอดภัยของพระองค์เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าจงรักภักดีไม่แปรเปลี่ยน

หัวหน้าทหารองครักษ์ถอนหายใจคราหนึ่ง เอ่ยด้วยความรักสุดหัวใจว่า “วันนี้ฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญ”

เถียนฝูเซิงอดที่จะพยักหน้าตามไม่ได้ “หากคราวหน้ามีเรื่องเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะอ้อนวอนให้ฝ่าบาทเสด็จไปทอดพระเนตรอีก ขอเพียงเห็นฝ่าบาทมีความสุข ต่อให้ต้องเอวเคล็ด ข้าน้อยก็จะลงสนามเตะชู่จวีให้ฝ่าบาทได้ทอดพระเนตร”

หัวหน้าทหารองครักษ์เงียบไปครู่หนึ่ง เหล่าทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้ายามอยู่ตรงข้ามก็พากันยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา หัวหน้าทหารองครักษ์ขวยเขินสักพักก่อนเอ่ยว่า “พี่น้องของพวกข้าเหล่านี้ก็เป็นนักเตะชู่จวีฝีมือดีไม่เบา”

มีหลายคนที่ตั้งใจฝึกฝนเป็นพิเศษเพราะฮ่องเต้ทรงโปรดปราน แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ เล่นได้อย่างหมดจดงดงาม เป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง

เถียนฝูเซิงหัวเราะพรวด บนหน้าราวกับมีดอกเบญจมาศเบ่งบาน “ในเมื่อท่านหัวหน้าทหารองครักษ์จางกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะจดจำไว้ หากฝ่าบาทถามขึ้นอีก ข้าน้อยก็จะทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ ถึงตอนนั้นข้าน้อยจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทหรือไม่ก็ต้องดูฝีมือของใต้เท้าทหารองครักษ์ทุกท่านแล้ว”

ขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะกันอยู่นั้น เถียนฝูเซิงก็ได้ยินเสียงแมวสองสามตัวดังขึ้นที่มุมกำแพง เขาวิ่งเหยาะๆ เข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นไม่นานก็เดินกลับออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านหัวหน้าทหารองครักษ์จาง หมอท่านหนึ่งเข้านครหลวงมาแล้ว!”

 

คนจากหน่วยควบคุมดูแลส่งข่าวมาว่ามีหมอพเนจรท่านหนึ่งเดินทางจากไหวหนานมายังนครหลวง ทักษะการแพทย์ของหมอพเนจรท่านนี้สูงส่ง เพียงแต่ทั้งชีวิตนี้ไม่รักษาผู้สูงศักดิ์ ขณะที่เถียนฝูเซิงนำข่าวนี้ไปบอกกู้หยวนไป๋ เขากลับไม่มีท่าทีดีใจ ทำเพียงหรี่ตาเล็กน้อย บนตัวยังคงสวมเสื้อคลุมลายมังกรตัวหนาสำหรับการประชุมราชสำนัก

เสื้อคลุมลายมังกรนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อย ใบหน้าของกู้หยวนไป๋แดงระเรื่อเล็กน้อยจากการลากของหนัก รูปลักษณ์ที่ดูหล่อเหลาไร้ที่ตินี้กลับปรากฏร่องรอยความอ่อนล้ารางๆ ที่หว่างคิ้ว

การประชุมราชสำนักในวันนี้ ผู้คนไม่น้อยต่างรุมเล่นงานบุตรชายของแม่ทัพเซวีย เรื่องที่เซวียหย่วนควบม้ากลางนครจะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ทว่ากู้หยวนไป๋ไม่สบายใจนัก

ว่าที่ผู้สำเร็จราชการคนนี้ออกจะยโสโอหังเกินไปสักหน่อยแล้ว

กู้หยวนไป๋ลงโทษโดยการหักเงินเดือนแม่ทัพเซวียสามเดือน ทั้งยังกำชับให้เขาสั่งสอนบุตรชายให้ดี เพียงเพราะนึกถึงเซวียหย่วนที่เป็นตัวละครในหนังสือ ตอนนี้กู้หยวนไป๋จึงอารมณ์เสียขึ้นมาอีกแล้ว

อย่างไรก็ดีเขายังควรไปหาท่านหมอเลื่องชื่อท่านนั้น กู้หยวนไป๋สั่งให้คนเปลี่ยนชุดลำลองสีครามให้ตนและพาไม่กี่คนออกจากวังเงียบๆ

 

อันที่จริงในใจของกู้หยวนไป๋ไม่มีความหวังเท่าใดนัก หมอหลวงในวังซึ่งเป็นหมอที่เก่งที่สุดในใต้หล้ายังอับจนหนทาง หมอพเนจรท่านนี้จะสู้หมอหลวงของตนได้หรือ

“คุณชาย ที่นี่ขอรับ” หัวหน้าทหารองครักษ์ชี้ไปยังประตูไม้เบื้องหน้า

กู้หยวนไป๋ยิ้มมุมปาก ให้เขาขึ้นหน้าไปเคาะประตู ผ่านไปไม่นานก็มีเด็กคนหนึ่งมาเปิดประตูพลางมองสำรวจพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าผ่านช่องว่างระหว่างประตู “พวกท่านมารักษาโรคหรือ”

หัวหน้าทหารองครักษ์เอ่ย “ถูกต้อง”

เด็กรับใช้เอ่ยถาม “รักษาให้ผู้ใด”

กู้หยวนไป๋เดินออกมาจากด้านหลังของทหารองครักษ์ อาภรณ์สีครามทั้งตัวทำให้เขาดูสูงชะลูดดุจต้นไผ่ เขายิ้มน้อยๆ ให้กับเด็กรับใช้ “เป็นข้าเอง”

เด็กรับใช้มองเขาพร้อมอ้าปากค้าง ถามออกมาอย่างโง่งม “เทพเซียนก็เจ็บป่วยได้ด้วยหรือ”

“เทพเซียนเจ็บป่วยได้หรือไม่ข้าไม่รู้” กู้หยวนไป๋ยิ้มเอ่ย “ทว่าร่างกายข้ากลับเจ็บออดๆ แอดๆ”

เด็กรับใช้พากู้หยวนไป๋เข้าไปข้างใน ในห้องนั้นยังมีคนมาหาหมออีกหลายคน แต่ละคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหยาบกระด้าง หน้าเหลืองมือกร้าน พวกเขาพากันมองผู้มาใหม่กลุ่มนี้ด้วยความสงสัย

บรรดาทหารองครักษ์เปี่ยมไปด้วยพลัง บุคลิกสง่างามดูไม่คล้ายคนธรรมดาสามัญ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกู้หยวนไป๋ เขาถูกคุ้มกันอยู่ตรงกลาง เยื้อย่างสบายๆ แม้ใบหน้าจะซีดขาว แต่ก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนความสูงส่งที่เอ่อล้นออกมาได้เลย

หมอพเนจรเหลือบมองเขา ในใจรู้ดีว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ทว่าเขากลับมิได้พูดออกมา เพียงส่งสัญญาณให้กู้หยวนไป๋นั่งลงโดยไม่พูดอะไร กู้หยวนไป๋ยื่นมือออกมา เผยให้เห็นข้อมือเรียวเล็ก ท่านหมอจับชีพจรอยู่หนึ่งเค่อ คิ้วก็พลันขมวดแน่นขึ้นทุกที

เมื่อผละมือออกไปแล้วก็เพียงเอ่ยเรียบๆ “รักษาไม่หาย ทำได้เพียงกินยาประคองอาการ”

เหล่าผู้ติดตามมีสีหน้าดำคล้ำ กู้หยวนไป๋ถอนหายใจยืดยาว สั่งคนให้ทิ้งเงินไว้แล้วลุกขึ้นเดินจากไป

ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนกระไร

ฮ่องเต้เดินตามใจไปเรื่อยเปื่อย และเดินมาถึงริมแม่น้ำอย่างช้าๆ เขาก้มลงมองเบื้องล่าง ใบหน้าที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำมีสีสันราวดอกท้อ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรดีเลย มีเพียงใบหน้าที่โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่กู้หยวนไป๋กลับไม่ชอบมัน

เขามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปข้างหลัง ข้ารับใช้ส่งผ้าให้กู้หยวนไป๋เช็ดมือและข้อมือของตน ชั่วขณะที่เขาเหม่อมองก็เห็นแม่นกให้อาหารลูกนกน้อยบนต้นไม้ข้างๆ ทันใดนั้นผ้าในมือก็ถูกลมพัดตกลงไปในแม่น้ำ

“เสียผ้าดีๆ ของเจิ้นไปเสียแล้ว” กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจ “ไปเถิด กลับวัง”

ผิวน้ำนิ่งสงบ ผ้าผืนนั้นถูกน้ำพัดพาไปยังสถานที่ห่างไกล ครั้นคนกลุ่มนี้จากไปแล้วใต้น้ำก็พลันเกิดการเคลื่อนไหว ชายคนหนึ่งกำลังลากหญิงคนหนึ่งขึ้นไปบนฝั่ง ทั้งสองคนเนื้อตัวเปียกน้ำม่อล่อกม่อแล่กจนดูไม่ได้ ทว่าดวงตาของชายที่สวมชุดผ้าไหมทั้งตัวกลับสว่างไสว เขาเช็ดคราบน้ำออกจากใบหน้า สีหน้าแดงระเรื่อราวกับตื่นมาจากฝันหวาน

บทที่ 4

บนแม่น้ำ เรือลำเล็กโคลงไปตามคลื่น

เซวียหย่วนยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนหัวเรือ ด้านหลังมีฉางอวี้เหยียนบุตรชายตุลาการศาลสถิตยุติธรรมกำลังจิบสุราอย่างเกียจคร้าน ครั้นเห็นสีหน้าโหดเหี้ยมของเขาก็พูดพร้อมกับหัวเราะ “ที่แท้น้องชายของเจ้าไม่ได้ป่วยเป็นโรคหรอกหรือ”

เซวียหย่วนยกมุมปากขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยน “อวี้เหยียน เจ้าว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เขากำลังวางแผนสกปรกแล้วโยนให้ท่านแม่ของข้า วันนี้ตอนที่ข้ากลับจวนก็เกือบจะฆ่าเขาแล้วเชียว”

ฉางอวี้เหยียนหัวเราะร่วน “ทั้งยังดึงให้บิดาท่านพ่อเจ้าโดนลงโทษหักเงินเดือน ทำให้บิดาเจ้าและเจ้าถูกฝ่าบาทตำหนิต่อหน้าขุนนางนับร้อยอีก”

รอยยิ้มของเซวียหย่วนล้ำลึกขึ้น “ไม่เพียงเท่านั้น ครั้นกลับถึงจวนเขาก็ฝึกซ้อมกับข้าชุดหนึ่ง ทั้งยังบอกว่าครั้งหน้าให้ข้าหาโอกาสยอมรับผิดกับฮ่องเต้น้อยอีก”

ฉางอวี้เหยียนฝืนยิ้ม

เซวียหย่วนตัวเป็นคนนิสัยเป็นสุนัข อารมณ์ดุร้ายเสียยิ่งกว่าเดรัจฉาน ไม่ว่าใบหน้าจะมีรอยยิ้มเยี่ยงวิญญูชนมากเพียงใด ไม่แน่ว่าในใจอาจกำลังคิดในสิ่งที่ชั่วร้ายอันตรายก็เป็นได้

คนผู้นี้ยังมีความโอหังอวดดี ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์และคุณธรรม หากไม่ใช่เพราะแม่ทัพเซวียกวดขันเข้มงวด เซวียหย่วนก็อาจถึงขั้นสับน้องชายเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้สุนัขกินโดยไม่กลัวว่าจะเป็นที่รังเกียจของผู้อื่นหรือถูกตำหนิติเตียนทางศีลธรรมเลยแม้แต่น้อย

บุตรชายแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่งกลับใช้ชีวิตราวกับหัวหน้าโจร

ฉางอวี้เหยียนเอ่ย “เจ้าก็อยู่นิ่งๆ บ้างเถิด ในนครหลวงมีคนจับตาดูเจ้าอยู่ไม่น้อย”

“แค่ข้าขี่ม้าก็ถูกพวกเขาเอาไปพูดราวกับมีเรื่องเข่นฆ่ากันกลางเมือง” เซวียหย่วนกล่าว “วันหน้าคราใดข้าจะก่อเนินจิงกวน ที่หน้าประตูพวกเขา ให้พวกเขารู้เสียบ้างว่าอะไรที่เรียกว่าการเข่นฆ่า”

“เจ้าอยากก่อก็ก่อไม่ได้หรอก ที่นี่มิใช่สนามรบเสียหน่อย จะมีศีรษะมากมายให้เจ้าก่อเนินสูงเพียงนั้นได้อย่างไร” ฉางอวี้เหยียนรินสุรารสเลิศให้ตัวเองอีกจอก เอนตัวนอนอยู่บนแผ่นไม้ ท่องกลอนออกมาเสียงดัง “อาภรณ์สีพื้นกลืนบุษกร อุทุมพรชูช่องามนักหนา แลไม่เห็นน้องนางในธารา แว่วเพลงมาจึงเห็นนางก้มเก็บบัว”

เซวียหย่วนเอ่ย “มีดอกบัวที่ใดกัน ดอกบัวไม่บานที่นี่เสียหน่อย”

ฉางอวี้เหยียน “แม้ไม่มีดอกบัว ทว่าข้ากลับเห็นดอกฝูหรงแล้ว”

เขาชี้ไปยังผ้าเช็ดหน้าที่ลอยอยู่ไม่ไกลจากเรือ “หากข้าดูมิผิด ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นน่าจะปักรูปสตรีไว้ด้านบนกระมัง”

เซวียหย่วนหยิบไม้พายช้อนผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ผ้าเช็ดหน้าเนื้อเนียนนุ่ม ไม่เกาะมือเมื่อเปียก เซวียหย่วนหรี่ตามอง หลังจากเห็นลายปักบนผ้าเช็ดหน้าอย่างชัดเจนแล้วก็ยิ้มอย่างมีนัยแอบแฝง

ฉางอวี้เหยียนถามอย่างสงสัย “ใช่รูปสตรีหรือไม่”

“ไม่ใช่” เซวียหย่วนยิ้มน่ากลัว “เป็นลายมังกร”

 

จู่ๆ กู้หยวนไป๋ที่กำลังอ่านฎีกาก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ

เขาขมวดคิ้ว คนข้างกายเปลี่ยนเตาอุ่นมือและยกชาร้อนเข้ามาให้เขาทันเวลาพอดี และจัดการให้กระถางไฟในตำหนักลุกโชนยิ่งขึ้น อุณหภูมิเช่นนี้นับว่าร้อนมากสำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ศีรษะของนางกำนัลและขันทีในตำหนักต่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทว่ากู้หยวนไป๋กลับรู้สึกว่าอุณหภูมินี้กำลังพอดี

เขากระชับเตาอุ่นมือที่แกะสลักอย่างประณีตในมือแน่นกว่าเดิม หลังจากสะบัดปลายพู่กันและตรวจฎีกาฉบับสุดท้ายจบเขาก็ลุกขึ้น สั่งให้คนเก็บโต๊ะ

ฮ่องเต้น้อยร่างกายอ่อนแอ รูปลักษณ์เหมือนคนที่ยังไม่เข้าพิธีสวมหมวก หลายครั้งที่กู้หยวนไป๋ต้องการแก้ปัญหาความต้องการทางกายของบุรุษ ทว่าทุกครั้งที่เห็นส่วนนั้นซึ่งมีสีชมพูนุ่มนิ่มและมีขนขึ้นเพียงหร็อมแหร็มก็ทำให้หายอยากไปเสีย

สีสันและรูปทรงของมันค่อนข้างน่าชม สะอาดสะอ้าน กระทั่งเรียกได้ว่าประณีตงดงาม ทว่าเมื่อมันอยู่บนร่างกายของกู้หยวนไป๋ ก็นับเป็นการโจมตีคุณค่าความเป็นชายของเขาอย่างชัดเจน

แค่ลูบไล้เพียงแผ่วเบามันก็จะกลายเป็นสีแดง เมื่อมีความรู้สึกก็จะเหี่ยวเฉา

กู้หยวนไป๋ยืนอยู่ที่หน้าต่าง ถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง

เถียนฝูเซิงถูกกู้หยวนไป๋ส่งตัวออกไปแล้ว ผู้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายคือขันทีน้อยคนหนึ่ง ขันทีน้อยเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาทมีเรื่องใดกลัดกลุ้มหรือพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋กำลังจะอ้าปาก แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากนอกวัง เขาขมวดคิ้ว “ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เพิ่งจะสิ้นเสียงก็มีคนวิ่งเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ด้านนอกจับกุมมือสังหารได้คนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าของกู้หยวนไป๋มืดมนลงทันที ทว่าผู้ที่มีใบหน้ามืดมนยิ่งกว่าเขาก็คือหัวหน้าทหารองครักษ์ที่คุ้มกันอยู่ข้างๆ

 

หลังจากอ่านฎีกาจบท้องฟ้าก็มืดแล้ว มือสังหารสวมชุดดำทั้งตัว ท่าทางแปลกๆ ดูอยู่ผิดที่ผิดทาง หากไม่ใช่เพราะฝ่ายในถูกกู้หยวนไป๋ชำระไปแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งกลุ่มทหารรักษาพระองค์และทหารองครักษ์ส่วนหน้ายังต่างพากเพียรและขยันขันแข็ง เกรงว่าคงจะไม่พบบุคคลเช่นนี้

หลังจากกู้หยวนไป๋นั่งลงที่โต๊ะ เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นราวสายลมเดือนสิบสอง “ผู้ใดส่งเจ้ามา”

มือสังหารถูกกดจนใบหน้าแนบติดพื้น ร้องไห้คร่ำครวญเพราะความอยุติธรรม “ผู้ใดจะส่งโจรขโมยบุปผามาเป็นมือสังหารเล่า ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมเพียงแค่หัวใจมืดบอดด้วยความใคร่ จึงได้บังอาจเข้าวังมาดูชม”

กู้หยวนไป๋เอ่ย “ขโมยบุปผามาจนถึงวังของเจิ้นเชียว? เจ้าชอบดอกไม้ดอกใดในวังของเจิ้น”

ฮ่องเต้น้ำเสียงล้ำลึก ในวังหลวงมีสนมชายาที่ไหนกัน ดอกไม้ที่ว่านี้ก็มีเพียงนางกำนัลฝ่ายในเท่านั้น

มือสังหารพยายามที่จะเหลือบมองไปทางฮ่องเต้ โอรสสวรรค์หนุ่มโมโหจนริมฝีปากเป็นสีแดงเลือด ใบหูก็แดงก่ำเช่นกัน ดวงตาที่เย็นชาเปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคือง ช่างเป็นภาพที่น่าชมยิ่งนัก ครั้นมองแล้วชวนให้หูตาพร่ามัว ไม่ต้องการจะพลาดไปแม้แต่จุดเดียว

มือสังหารอ้าปากค้างพลางมองฮ่องเต้ด้วยอารามตกใจ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ก้มหน้างุดไม่ตอบคำอีก

หัวหน้าทหารองครักษ์รีบรุดไปข้างหน้าและเตะมือสังหารอย่างแรง มือสังหารส่งเสียงอู้อี้ออกมาเสียงหนึ่ง พยายามจะคว่ำทหารองครักษ์ไม่กี่คนที่ปราบปรามเขา แต่เพียงพริบตาก็ถูกคนจำนวนที่มากกว่าเดิมกดอยู่ใต้ร่างอีกครั้ง

รองเท้ามังกรสีเหลืองอร่ามปรากฏขึ้นตรงหน้า กู้หยวนไป๋ยกเท้าเชยใบหน้ามือสังหารขึ้น หากใบหน้านี้มิได้เปื้อนเลือดก็คงดูเป็นบุรุษผู้สง่างาม ดวงตาสว่างสุกใส เป็นใบหน้าของคุณชายผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง

มือสังหารกะพริบตาไล่เลือดข้างดวงตาออกไป มองช้อนไปยังฮ่องเต้อย่างมุ่งมั่น ครั้นเข้าไปใกล้ข้อมือเรียวบางของอีกฝ่ายก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา เขากล่าวอย่างจริงใจ “ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงเพราะถูกความใคร่บังตาชั่วขณะจริงๆ”

มุมปากของฮ่องเต้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ “เจ้าคิดว่าเจิ้นเชื่อ?”

ทุกกระเบียดนิ้วเป็นดังหยก กระทั่งเลอค่ากว่าหยกเสียอีก คิดว่าเหงื่อที่ไหลออกมาจากเนื้อหนังมังสาซึ่งได้รับการปรนเปรออย่างดีนี้ก็คงมีกลิ่นหอมเช่นกัน

มือสังหารที่รู้สึกคันยุบยิบในใจ ทั้งยังรู้สึกว่ารองเท้ามังกรที่เชิดคางของเขาขึ้นนี้ก็หอมมากเช่นกัน แก้ต่างว่า “กระหม่อมเคยเห็นหน้าฝ่าบาทครั้งหนึ่งที่นอกวัง คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะเข้าวังและยิ่งคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทก็คือฮ่องเต้”

กู้หยวนไป๋มองต่ำลงมาที่เขาครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มเย็นชา แล้วเอ่ย “จับคนไปขังไว้ในคุก ไต่สวนให้ดี”

ขณะที่ทหารองครักษ์ลากเขาออกไป มือสังหารก็ยังคงยิ้มอยู่ ดวงตาอ้อยอิ่งอยู่ในตำหนัก ไม่ละสายตาไปจากฮ่องเต้เลย

กู้หยวนไป๋ไอสองสามที มองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ

คนถูกลากออกไปแล้ว หัวหน้าทหารองครักษ์นำทุกคนคุกเข่าลงตรงหน้ากู้หยวนไป๋ กู้หยวนไป๋เหลือบมองพวกเขาแต่มิได้ให้ลุกขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นหลังจากข่มโทสะไว้ได้แล้ว “อย่าให้เกิดขึ้นอีก”

วังหลวงโอ่อ่ากลับปล่อยให้โจรบุกไปถึงหน้าตำหนักเซวียนเจิ้งได้

ทหารองครักษ์ในวังเป็นสวะกันหมดหรืออย่างไร!

คำพูดของมือสังหารคนนี้เต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระและน่าอัปยศ กู้หยวนไป๋คิดอยู่นานว่าใครบ้างที่จะเป็นคนส่งเขามาได้ แต่แล้วก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง

เขานวดคลึงหน้าผาก หว่างคิ้วย่นเล็กน้อย ครั้นลืมตาขึ้นมาก็เห็นหัวหน้าทหารองครักษ์จางซวี่กำลังมองมาที่ตน กู้หยวนไป๋ขมวดคิ้วเอ่ย “มีอะไร”

หัวหน้าทหารองครักษ์ก้มหน้าอย่างละอายใจ “ฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกพ่ะย่ะค่ะ”

“ไปสืบว่ามีข้อผิดพลาดที่ใด” กู้หยวนไป๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจิ้นอยากรู้ว่าผู้ใดเป็นคนเผยประตูสุนัขให้เขา!”

หัวหน้าทหารองครักษ์ถอยออกไป เถียนฝูเซิงมองสีหน้าฮ่องเต้อย่างใกล้ชิดพลางเกลี้ยกล่อม “ฝ่าบาท ได้เวลาเสวยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เกลี้ยกล่อมอยู่ครู่หนึ่ง กู้หยวนไป๋จึงจำใจพยักหน้าให้เขายกอาหารเข้ามา จากนั้นไม่นานโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารชั้นเลิศนานาชนิดก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู้หยวนไป๋

ไม่ว่าอาหารจะอร่อยเพียงใด แต่กินมาสามปีก็เบื่อได้เหมือนกัน เดิมทีกู้หยวนไป๋ไม่มีความอยากอาหารอยู่แล้ว เมื่อขยับตะเกียบแล้วก็ไม่อยากขยับอีก ในใจอดที่จะนึกถึงอาหารรสเลิศอย่างมะเขือเทศผัดไข่ บาร์บีคิวหม้อไฟ แฮมเบอร์เกอร์และโค้กอะไรพวกนั้นไม่ได้

โดยเฉพาะมะเขือเทศ ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้กู้หยวนไป๋ไม่มีความรู้สึกใดๆ กับมะเขือเทศเลย ทว่าหลายปีมานี้เขาแทบจะหมกมุ่นอยู่กับมัน เพียงนึกถึงรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ก็ต่อมน้ำลายแตก แต่ว่ามะเขือเทศเข้ามาในประเทศจีนเป็นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หมิง ตอนนี้ต่อให้เขาน้ำลายแตกจนไหลย้อยออกมาก็ไม่อาจกินผลสีแดงลูกใหญ่นั้นได้อยู่ดี

ครั้นนึกถึงอาหารเขาก็อดไม่ไหว โทสะของกู้หยวนไป๋หายไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงความโหยหา ราชวงศ์ต้าเหิงในขณะนี้ไม่มีพริก รสชาติเผ็ดในอาหารล้วนมาจากการนำพืชจำพวกฮวาเจียว จูอวี๋ ขิง เจี้ยล่า ฝูหลิว คลุกเคล้ากลายเป็นเครื่องปรุงรสเผ็ด แต่เนื่องจากร่างกายนี้อ่อนแอจึงไม่สามารถกินเผ็ดได้ ในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้กู้หยวนไป๋จึงแตะอาหารเผ็ดน้อยมากๆ

คิดไปคิดมาอาหารนานาชนิดก็อยู่ในหัว กู้หยวนไป๋ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ก่อนเรียกคนมาสั่งอย่างละเอียดว่าให้ไปสั่งให้ห้องเครื่องหลวงทำบะหมี่จ้าเจี้ยง มาชามหนึ่ง

ผ่านไปไม่นานชามบะหมี่ที่ราดด้วยซอสก็ถูกยกมาตรงหน้าของกู้หยวนไป๋ ในนั้นมีหอมแดงเล็กโรยหน้า กลิ่นหอมลอยอบอวล หน้าตาดูไม่เลวเลยทีเดียว กู้หยวนไป๋คีบเส้นบะหมี่ที่เคลือบด้วยหมูอบซอสขึ้นแล้วส่งเข้าไปในปาก กลิ่นหอมเตะจมูก ความอยากอาหารถูกจุดติดแล้ว

กู้หยวนไป๋กินบะหมี่ทั้งชามจนหมดเกลี้ยง รู้สึกเปรมปรีดิ์อย่างยิ่ง เมื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะที่ยังไม่ถูกแตะต้องก่อนหน้านี้ กู้หยวนไป๋ก็กระดิกนิ้วสั่งด้วยความเกียจคร้าน “ให้คนทำบะหมี่มาอีกชาม พร้อมกับเป็ดเหลียนฮวาและซุปข้นฝอยทอง ส่งไปเป็นรางวัลให้แม่ทัพเซวีย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

แม่ทัพเซวียรับอาหารที่ส่งมาจากวังด้วยตัวเอง ขันทีที่ส่งอาหารมาจึงยิ้มเอ่ย “แม่ทัพเซวียอยู่ในใจฝ่าบาทอย่างแท้จริง ขณะที่ฝ่าบาทเสวยกระยาหารก็ยังนึกถึงท่านแม่ทัพ ทั้งในกล่องยังมีบะหมี่อีกชาม นั่นคืออาหารจานใหม่ที่ฝ่าบาทขอให้ห้องเครื่องหลวงเตรียมในคืนนี้ ตั้งใจให้ข้าน้อยส่งมาให้ท่านแม่ทัพได้ลิ้มลอง”

แม่ทัพเซวียรู้สึกซาบซึ้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทใหญ่หลวง กระหม่อมขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงนึกถึง”

ขันทียิ้มอย่างพอใจแล้วขอตัวจากไป

คืนนั้นในจวนสกุลเซวีย

กับข้าวสองจานที่ฮ่องเต้ส่งมาถูกจัดวางให้อยู่ตรงกลาง ส่วนบะหมี่ชามนั้นถูกแม่ทัพเซวียถืออยู่ตรงหน้าของตน เขาคนบะหมี่ให้เป็นลูกกลมๆ อย่างระมัดระวัง แล้วลิ้มรสคำแรกด้วยความเคารพ

ฮูหยินผู้เฒ่ามองเขาพลางขำ “อาหารที่ฝ่าบาทตกเป็นรางวัลให้พวกเราจะกินทิ้งกินขว้างไม่ได้เด็ดขาด วันนี้ไม่จำเป็นต้องมีพีธีรีตองมากเกินไป หลินเกอเอ๋อร์จะดื่มสุราสักหน่อยก็ได้”

คุณชายรองเซวียเชื่อฟังไม่โต้แย้ง ครั้นเห็นว่าแม่ทัพเซวียยกตะเกียบขึ้นก็ยกตะเกียบตาม หมายคีบอาหารที่อยู่กลางโต๊ะ พอยื่นไปได้ครึ่งทางก็ถูกเซวียหย่วนที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มใช้ตะเกียบตีหลังมือ “ข้าอนุญาตให้เจ้ากินแล้วรึ”

มือของคุณชายรองเซวียมีรอยแดงปรากฏขึ้นทันใด เขามองไปยังผู้ใหญ่ไม่กี่คนอย่างน้อยอกน้อยใจ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าและท่านแม่ทัพเซวียดูราวกับมองไม่เห็น คุณชายรองเซวียจึงทำได้เพียงปล่อยอาหารพระราชทานลงด้วยความเกลียดชังลึกๆ และหันไปหาจานผักสีเขียวข้างๆ แทน

เซวียหย่วนเปลี่ยนตะเกียบ มองดูจานสองจานที่อยู่ตรงกลางและชิมคำหนึ่ง “ตีด้วยไม้แล้วมอบพุทรา ท่านแม่ทัพเซวีย ฝ่าบาทเห็นท่านเป็นสุนัขฝึกหัดน่ะ”

“เช่นนั้นเจ้าก็เป็นลูกที่เกิดจากสุนัข” แม่ทัพเซวียกล่าวเสียงดัง

เซวียหย่วนขี้คร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับบิดา คีบอาหารจากในวังกินอย่างตั้งใจ กินไปได้ครึ่งหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นกะทันหัน “อีกไม่กี่วันก็เป็นงานเลี้ยงเทศกาลโคมไฟแล้ว ถึงตอนนั้นข้าอยากเข้าวังกับท่าน”

แม่ทัพเซวียมองบุตรชายด้วยความสงสัย เอ่ยเตือนสติว่า “เจ้าอย่าได้คิดทำเรื่องน่าขายหน้าให้ข้าเชียว”

เซวียหย่วนแสร้งยกยิ้มมุมปากอย่างสุภาพ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของฮ่องเต้ออกมาเช็ดทำความสะอาดคราบสกปรกบนรองเท้า จากนั้นก็โยนมันลงบนพื้นแล้วใช้ฝ่าเท้าเหยียบย่ำมันสองสามทีพลางเอ่ย “จะเป็นไปได้อย่างไร”

ฮ่องเต้ขี้โรคนั่นด่าทอเขารุนแรงเพียงนั้นต่อหน้าขุนนางนับร้อย เขาจะกล้าก่อเรื่องนอกลู่นอกทางอะไรได้อีก

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 20 มิ.. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: