X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 5

ยามนี้ย่างเข้ากลางเดือนสองแล้ว สายลมยังคงหนาวเหน็บ หมอหลวงในวังพยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาสภาพร่างกายของฮ่องเต้ให้อยู่ในสภาพที่คงที่ที่สุด กู้หยวนไป๋ก็ให้ความร่วมมืออย่างดี โชคดีที่เขาไม่เป็นอะไรหลังจากเผชิญกับลมหนาวที่แทบจะคร่าชีวิตของเขา

ยามว่างเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะนึกถึงบทในละครเรื่อง ‘ขุนนาง’ ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายวายเรื่อง ‘หวานใจนายอุปราช’ ทว่าพล็อตเรื่องเฉพาะแบบนี้กู้หยวนไป๋ไม่เข้าใจเลยสักนิด

เขารู้เพียงว่าละครเรื่องนี้โด่งดังมาก แต่ว่าสิ่งที่โด่งดังมากกว่าละครก็คือมิตรภาพลูกผู้ชายในเนื้อเรื่อง

กู้หยวนไป๋อยู่ในสถานะ ‘เคยได้ยินและคุ้นเคยแต่ไม่เข้าใจ’ ต่อสังคมมิตรภาพลูกผู้ชายประเภทนี้ ทั้งเขาก็ยังรู้สึกห่างเหินจากสองตัวละครหลักในหนังสือมากเช่นกัน ทว่าหลังจากส่งคนไปสืบข่าวก็พบว่าตัวเอกทั้งสองยังไม่มีวี่แววว่าจะชอบผู้ชายเลย

กู้หยวนไป๋ล้างหน้า รับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำ จากนั้นก็ถามขึ้น “ในนครหลวงก็มีหอหนานเฟิง ด้วยใช่หรือไม่”

เถียนฝูเซิงรับผ้าเช็ดหน้ามาจากมือของฮ่องเต้ ก่อนตอบ “มีพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่ามีไม่น้อย”

กู้หยวนไป๋ยิ้ม มิน่าหลังจากที่เขาตายไปแล้วเซวียหย่วนก็เป็นได้เพียงผู้สำเร็จราชการ

ตัวละครหลักในหนังสือมีสองคน พวกเขาทั้งสองคนล้วนไม่ใช่ชายที่ผู้อื่นจะสามารถชี้เป็นชี้ตายอยู่ในหอหนานเฟิงได้ เซวียหย่วนไม่มีทายาท และเมื่อไร้ทายาทแล้วยังขึ้นตำแหน่งบ้าบอได้อีกหรือ

กู้หยวนไป๋คิดว่าหลังจากที่เขาตายไปแล้ว ว่าที่ผู้สำเร็จราชการก็กลายเป็นเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิดที่บรรดาเครือญาติสนับสนุนขึ้นมาเท่านั้น ตราบใดที่ผู้สืบทอดมีไหวพริบเพียงพอและอดทน ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงโอกาส

เถียนฝูเซิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นฮ่องเต้ยกยิ้มมุมปาก ในใจก็คาดเดาไปต่างๆ นานา

ฝ่าบาทเอ่ยถามเรื่องหอหนานเฟิงขึ้นมากะทันหัน หรือว่าฝ่าบาทคิดจะอุปถัมภ์เด็กหนุ่ม?

อย่างไรก็ดี ในนครหลวงจะมีผู้ใดมีค่าคู่ควรที่จะอยู่ในความดูแลของฝ่าบาทกัน

ฝ่าบาทสูงส่งเพียงนี้ คนในหอหนานเฟิงไม่อาจเทียบได้เลย

สมองของเถียนฝูเซิงหมุนไปหมุนมา ทันใดนั้นก็หยุดอยู่ตรงผู้ที่มีบุคลิกดุจเทพเซียนคนหนึ่ง

บุตรชายของผู้ช่วยเสนาบดีฉู่แห่งกรมพิธีการ ซึ่งเป็นขุนนางขั้นห้าเต็มขั้น ฉู่เว่ย

 

ใกล้เทศกาลโคมไฟ วังหลวงได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา มือสังหารผู้อ้างตนว่าเป็นโจรขโมยบุปผาถูกทัณฑ์ทรมานไต่สวน สองวันต่อมาในที่สุดก็รับสารภาพ ผู้ไต่สวนเข้ามารายงานกู้หยวนไป๋ถึงเรื่องนี้

“มือสังหารยอมปริปากแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เขาต้องการพบหน้าฝ่าบาทอีกสักครั้ง”

ผู้ไต่สวนเอ่ยว่า “กระหม่อมสงสัยว่าบุคคลนี้มีแผนร้ายในใจ ขอฝ่าบาทพิจารณาว่าจะพบหน้าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

วันนี้ฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมเนื้อบางสีคราม สีเข้มที่คลุมทับบนตัวนั้นขัดกับผิวของเขาที่ขาวราวหิมะ ครั้นได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอนุญาตแล้วเอ่ย “พาเขาเข้ามา เจิ้นก็อยากดูว่าเขาจะพูดอะไรได้อีก”

ครู่หนึ่งก็มีคนพามือสังหารผู้นั้นเข้ามา เพราะต้องพามาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ บรรดาผู้คุมจึงตั้งใจล้างคราบเลือดบนตัวของมือสังหารออก แต่ชุดนักโทษที่สะอาดสะอ้านยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดรุนแรง

กู้หยวนไป๋เดินเข้าไปข้างหน้า “เจ้าต้องการอธิบายอะไรกับเจิ้น?”

มือสังหารถูกทรมานมาสองวัน ปรอยผมปรกใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือดของเขา ริมฝีปากแห้งผาก ดวงตาเต็มไปด้วยสีเลือด นิ้วมือที่เปลือยเปล่าอยู่ภายนอกเผยให้เห็นรอยแผลนับไม่ถ้วน ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับสดใสยิ่ง

เขากล่าวอย่างอ่อนแรง “หากกระหม่อมพูด ฝ่าบาทจะปล่อยกระหม่อมไปได้หรือไม่”

มือสังหารพยายามอย่างยิ่งที่จะมองไปยังกู้หยวนไป๋ หลังจากเห็นหน้าฮ่องเต้ชัดเจนแล้ว ใบหน้าอิดโรยไร้สีเลือดก็ค่อยๆ แดงระเรื่อ

กู้หยวนไป๋ได้ยินดังนี้ก็หัวเราะ “หากเจ้าพูด เจิ้นก็จะให้คนที่อยู่เบื้องหลังลงไปยังน้ำพุเหลือง กับเจ้า”

มือสังหารได้ยินก็ตัดพ้ออย่างน้อยใจ “ฝ่าบาททรงแยกแยะให้ชัดเจน เบื้องหลังกระหม่อมไม่มีผู้ใดจริงๆ”

กู้หยวนไป๋กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็รู้สึกระคายคอ เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้างเล็กน้อยและป้องปากไอ

เพียงชั่วขณะหนึ่ง ภายในตำหนักก็มีเพียงเสียงไอของเขาเท่านั้น มือสังหารเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าฮ่องเต้น้อยไอจนมุมตาเปียกชื้นแล้ว

ฮ่องเต้ที่ทรมานเขาอย่างแสนสาหัสถึงสองวัน ผู้ครองแผ่นดินที่สามารถมองสภาพน่าสังเวชของเขาได้โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี กลับดวงตาแดงก่ำเพียงเพราะไอเบาๆ ครั้นคิดได้ดังนี้มือสังหารก็ยิ่งรู้สึกจั๊กจี้ในหัวใจราวกับมีขนนกลูบผ่าน

มือสังหารตอบด้วยความจริงใจ “ฝ่าบาท พระองค์ต้องรีบปล่อยกระหม่อมออกไปนะพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋หัวเราะอย่างเย็นชา เนื่องจากการไอก่อนหน้านี้ทำให้น้ำเสียงเขาแหบแห้งลงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด “ยังกล้าข่มขู่เจิ้น?”

มือสังหารส่ายหน้า “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ แต่หากพระองค์ยังไม่ปล่อยกระหม่อม ท่านพ่อจะต้องตีสองขานี้จนหักแน่ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เถียนฝูเซิงเค้นเสียงฮึออกมาจากลำคอ “บิดาของเจ้าคือใคร”

มือสังหารแสยะยิ้ม “ท่านพ่อข้ามีนามว่าหลี่เป่า ข้าน้อยคือบุตรคนเล็กของสกุล แซ่หลี่ นามว่าฮ่วน”

ทั้งตำหนักเงียบสงัด กู้หยวนไป๋รุดไปข้างหน้าทันที เขาเดินไปข้างๆ มือสังหารด้วยสีหน้าดูไม่ได้ ย่อตัวลงและบีบคางของอีกฝ่ายไว้ “เจ้าคือบุตรชายคนเล็กของราชครูข้า?!”

เถียนฝูเซิงยืนอยู่ข้างๆ ยากที่จะปกปิดความประหลาดใจ เขามองมือสังหารด้วยความตื่นตระหนก นี่…นี่คือบุตรชายของหลี่เป่าอดีตราชครูของฮ่องเต้?

มือสังหารถูกทรมานจนสาหัสไปครึ่งตัว เขาหลุบตาลงมองนิ้วของฮ่องเต้ที่บีบอยู่บนคางของตน ปลายนิ้วซีดขาว เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ออกแรงมากและโมโหอย่างยิ่งยวด มือสังหารยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูดว่า “กระหม่อมทำผิดใหญ่หลวง จึงถูกฝ่าบาทลงโทษเป็นเวลาสองวัน บาดแผลบนร่างกายนี้หากไม่นอนพักสักปีครึ่งก็เกรงว่าจะไม่ดีขึ้น หากฝ่าบาทกริ้วก็ได้โปรดเห็นแก่เรื่องที่กระหม่อมจะทูล ไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย”

กู้หยวนไป๋ปล่อยเขา สีหน้าดูมืดมนไม่แน่นอน

มือสังหารกล่าวอย่างเป็นทุกข์ “หากฝ่าบาทยังกริ้ว เช่นนั้นก็ได้โปรดปล่อยกระหม่อมกลับไปบอกท่านพ่อสักคำ บัดนี้ท่านพ่อก็เจ็ดสิบกว่าแล้ว รับความสะเทือนใจไม่ไหว หลังจากกระหม่อมบอกเขาแล้วจะกลับมารับโทษกับฝ่าบาทต่อ”

ด้วยเหตุนี้กู้หยวนไป๋จึงไม่อาจเรียกหลี่เป่าเข้ามารับโทษในวังได้

การให้เขารับโทษเป็นเรื่องสมควร แต่หากหลี่เป่าตายแล้ว ผู้อาวุโสที่เปี่ยมคุณธรรมและบารมี ทั้งลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมืองเช่นนี้ จะตายที่ไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ภายใต้โทสะของฮ่องเต้

กู้หยวนไป๋โกรธจนหัวเราะออกมา เขารู้สึกแน่นหน้าอก เถียนฝูเซิงร้องอุทานวิ่งตุปัดตุเป๋มาประคองเขาให้นั่งลง

ในตำหนักเกิดความโกลาหล มือสังหารไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาเบิกตาโพลงมองดูฝูงชนล้อมรอบตัวฮ่องเต้ไว้

“เขารู้ว่าเจิ้นจะไม่บอกหลี่เป่า” มือของกู้หยวนไป๋กำแน่นจนกลายเป็นสีขาว “เขารู้ว่าเจิ้นจะไว้ชีวิตเขาเพราะเห็นแก่หน้าของบิดาเขา”

เถียนฝูเซิงกล่าวอย่างร้อนรน “เขาลอบสังหารฝ่าบาท นี่ก็สามารถประหารล้างตระกูลได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

“นั่นคือราชครูของเจิ้น!” กู้หยวนไป๋กัดฟัน การที่ฮ่องเต้น้อยสามารถขึ้นครองราชย์ได้นั้นหลี่เป่าย่อมมีส่วนช่วยไม่น้อย ฮ่องเต้น้อยเองก็สนิทชิดเชื้อกับหลี่เป่ามาก ยิ่งไปกว่านี้เจ้าเด็กคนนี้ยังฉลาดและใจกล้ายิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบเขากล่าวเพียงว่าตนคือโจรขโมยบุปผา ซ้ำยังไม่แม้แต่จะเข้ามาใกล้ด้วยซ้ำ นี่ใช่มือสังหารที่ไหนกัน?

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ หมอหลวงก็รีบรุดเข้ามาตรวจชีพจรให้ฮ่องเต้ มือสังหารที่นอนอยู่บนเปลหาม มองไปทางฝูงชนด้วยความกระตือรือร้น

เขาขยับตัวไม่ไหวจริงๆ ทั้งร่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และยิ่งเห็นฉากนี้ในเวลาเช่นนี้ก็อดที่จะกังวลไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว

มือสังหารรวบรวมกำลังและพูดเสียงดังว่า “หากฝ่าบาทรำคาญพระทัย ก็ลงโทษกระหม่อมต่อเถิด ชีวิตไร้ค่าของหลี่ฮ่วน ต่อให้ต้องรับโทษอีกเพียงใดก็ยังไหว!”

ไม่รู้ว่าใครถีบเขาอย่างแรง ทั้งยังคำรามสุดเสียง “หุบปาก!”

หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป กู้หยวนไป๋จึงหันหลังให้ฝูงชนด้วยใบหน้าซีดขาว

หลี่ฮ่วนมองดูท่าทางของเขา พร้อมกลืนเลือดที่อยู่ในลำคอลงไป

 

วันนั้นหลี่ฮ่วนพาหญิงจากหอนางโลมไปเที่ยวริมแม่น้ำ ขณะที่หยอกเย้ากันทั้งคู่ก็ตกลงไปในแม่น้ำ ซึ่งในน้ำนั้นมีกกอ้อที่สามารถใช้หายใจได้ ความรู้สึกของการพลอดรักกันใต้น้ำนั้นตื่นเต้นยิ่ง หลี่ฮ่วนจึงไม่รีบร้อนที่จะพาหญิงสาวลุกขึ้นยืน จนกระทั่งเขาโผล่ศีรษะพ้นน้ำเพื่อสูดอากาศก็เหลือบไปเห็นฮ่องเต้ที่เดินมาทางริมแม่น้ำพอดี

หลี่ฮ่วนอดไม่ได้ที่จะดำลงไปในน้ำ น้ำในแม่น้ำนั้นขุ่นมัวทันใด เขาจับหญิงนางโลมเข้าไปในกกอ้อที่หนาทึบเพื่อบดบังสายตา ทั้งยังกลัวว่าหญิงสาวข้างกายจะเคลื่อนไหว จึงปิดปากและกดแขนขานางเอาไว้พลางมองคนที่อยู่บนฝั่งผ่านช่องว่าง

คนบนฝั่งก้มหน้ามองน้ำแต่กลับไม่รู้ว่ามีคนกำลังมองเขาอยู่ในกอกก

ทั้งที่หลี่ฮ่วนไม่ได้อยู่ใต้น้ำแต่กลับกลั้นหายใจราวกับหายใจไม่ออก ครั้นฮ่องเต้จากไปแล้วเขาจึงลากหญิงสาวขึ้นฝั่ง เขาเกือบจะสังหารคนคนหนึ่งไปเพราะความตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว

ใครจะไปรู้ว่าคนในวันนั้นก็คือฮ่องเต้ ที่เขาเห็นคือพระพักตร์ของฝ่าบาทจริงหรือ

กู้หยวนไป๋สงบสติครู่หนึ่ง แววตาของเขาดูล้ำลึก ก่อนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้ใดปล่อยให้เจ้าเข้าวัง”

หลี่ฮ่วนขยับปากแต่ไร้สุ้มเสียง

“ไม่ว่าเจ้าจะพูดหรือไม่ เจิ้นก็ไม่สนใจแล้ว” กู้หยวนไป๋กล่าว “ใครจะไปรู้ว่าเจ้าพูดจริงหรือเท็จ เจิ้นจะสืบด้วยตัวเอง หลังเจอต้นสายปลายเหตุแล้ว เจิ้นจะเชิญคุณชายน้อยหลี่เข้าวังเพื่อดูว่าเจิ้นจับถูกคนหรือไม่”

แต่ละคำพูดของฮ่องเต้ราบเรียบ ไม่มีการเน้นเสียง ทว่าหลี่ฮ่วนกลับเย็นสันหลังวาบ

กู้หยวนไป๋หัวเราะเอ่ยอีกว่า “ทหาร…ส่งคุณชายหลี่กลับจวนราชครู นำยาสมุนไพรที่ดีที่สุดไปด้วย ให้ข้ารับใช้ร้อยคนติดตาม ส่งคนเข้าจวนสกุลหลี่พร้อมตีฆ้องร้องป่าวอย่างครึกครื้น!”

หัวหน้าทหารองครักษ์สีหน้าขึงขัง “กระหม่อมรับราชโองการ”

“หากราชครูถาม” กู้หยวนไป๋กล่าว “ก็กล่าวไปตามความจริง หรือหากราชครูต้องการจะเข้าวังเพื่อรับโทษ เช่นนั้นก็ให้เขารอจนบาดแผลของบุตรชายหายดีแล้วค่อยว่ากัน”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลี่ฮ่วนยิ้มอย่างขมขื่นในขณะที่ถูกคนยกออกไปจากตำหนัก ศึกใหญ่ครั้งนี้เกรงว่าครั้นฮ่องเต้ออกจากวังก็ใช้ไม่ได้แล้ว

ฮ่องเต้รู้สึกว่าการลงโทษเขาสองวันนั้นยังไม่พอที่จะหายโกรธและยังคิดที่จะทำเช่นนี้ต่อไป เดิมทีเขายังนึกว่าฮ่องเต้จะไม่บอกบิดาเขา เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายต้องหัวใจวายตาย

คิดไม่ถึงว่าแม้ในใจของฮ่องเต้จะมีความรักใคร่ต่อบิดาอยู่ แต่ต่อให้บิดาตายเพราะความโกรธก็ไม่อาจเทียบกับการทำให้พระองค์หายโกรธได้

ครั้งนี้ต่อให้บิดาของตนเสียชีวิตเพราะความโกรธจริงๆ ผู้คนในใต้หล้าก็จะพากันพูดว่าเขาถูกลูกอกตัญญูทำให้โมโหตาย ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขายังจะซาบซึ้งในความเมตตากรุณาที่ฮ่องเต้มีต่อสกุลหลี่อีกด้วย

นับจากนี้ไป บิดาของเขาก็จะไม่มีหน้ากล่าวว่าตนมีความสัมพันธ์อันดีกับฮ่องเต้อีกแล้ว

“เฮ้อ” หลี่ฮ่วนทอดถอนใจยืดยาว คุยเรื่อยเปื่อยกับคนข้างๆ “พี่ชายองครักษ์ หากท่านพ่อของข้าไม่ได้ถาม พี่ชายองครักษ์ได้โปรดอย่าบอกท่านพ่อของข้าได้หรือไม่”

ทหารองครักษ์สีหน้าไร้อารมณ์ ทั้งยังเจือด้วยความโกรธจางๆ

หลี่ฮ่วนเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็คลายกำปั้นที่กำไว้แน่น ในนั้นมีไหมสีดำพันอยู่ เขาเก็บเส้นไหมสีดำนี้เข้าไปในอกเสื้อด้วยความยากลำบากแล้วเงยหน้าเหม่อมองท้องฟ้า

เก้าห้าตำแหน่งจักรพรรดิ รูปโฉมแห่งสวรรค์และมนุษย์

ตำแหน่ง อำนาจ แผ่นดินล้วนถูกครอบครองด้วยคนคนเดียว ฮ่องเต้ที่ถูกเลี้ยงดูโดยดินแดนต้าเหิงแม้แต่เส้นผมก็เรียบลื่นดุจผ้าไหม

หากต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ครั้งหน้า เกรงว่าต้องรอจนบาดแผลนี้หายเสียก่อน

 

หลังจากหลี่ฮ่วนถูกส่งกลับไปแล้ว ราชครูหลี่เป่าก็เข้าวังเพื่อเข้าเฝ้ารับโทษตามที่คาดไว้ กู้หยวนไป๋ไม่ให้เขาพบ และสั่งให้คนส่งเขากลับจวน ไปๆ มาๆ เช่นนี้อยู่สามวัน จิตวิญญาณที่แข็งแรงของหลี่เป่าเหี่ยวเฉาลงทันที คนทั้งคนดูร่วงโรยราวกับชายชราวัยเจ็ดสิบเพียงชั่วพริบตา

เรื่องที่หลี่เป่าเข้าวังสามวันแต่ไม่ได้เข้าเฝ้านั้น คนที่สมควรรู้ก็รู้แล้ว นอกจากคนไม่กี่คนที่รู้เรื่องทุกอย่าง คนนอกต่างไม่รู้ว่าเหตุใดภายในชั่วข้ามคืนหลี่เป่าจึงไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ไปได้

หลังผ่านไปอีกสองวัน ทหารองครักษ์ในวังหลายคนถูกประหารชีวิต ศพชุ่มเลือดถูกส่งไปยังจวนสกุลหลี่ในตอนกลางคืน ทำเอาหลี่เป่าตกใจจนหมดสติลงไปกับพื้น

หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว หลี่เป่าก็นั่งนิ่งอยู่ในโถงบรรพบุรุษ ครั้นฟ้าสางก็เขียนจดหมายสำนึกผิดกว่าหนึ่งพันคำถึงฮ่องเต้

หลังถวายจดหมายสำนึกผิดที่สะเทือนอารมณ์และชวนหลั่งน้ำตาฉบับนี้ถึงฮ่องเต้แล้ว หลี่เป่าก็รอข่าวจากในวังหลวงอยู่ที่จวนอย่างไม่สบายใจ บุตรชายคนโตของเขาเป็นขุนนางในราชสำนัก ทว่ามีคุณสมบัติปานกลาง ทำได้เพียงเดินเตร่อยู่เบื้องล่างแต่อย่างน้อยก็ยังมีความหวังที่จะเลื่อนขั้น

อย่างไรก็ดี บัดนี้ทุกคนในสกุลต่างรู้ว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว

บุตรชายคนโตมีสีหน้าเจ็บปวด แต่ไม่ว่าสีหน้าของใครก็ดูไม่ได้ทั้งนั้น

หลี่ฮ่วนกำลังพักฟื้นอยู่ในห้อง ยามนี้คนในครอบครัวไม่สามารถตำหนิเขาได้ ทว่าในใจก็ยังคงคิดแค้น

เหตุใดเขาจึงบังอาจถึงขั้นกล้าบุกเข้าวังหลวง

นั่นคือวังหลวงเชียวนะ! เป็นตำหนักใน! เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้พำนักอยู่ หลี่ฮ่วนกล้าดีอย่างไร?!

หลี่เป่าสีหน้าอิดโรย เขาไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต ยามนั้นฮ่องเต้ปฏิบัติต่อขุนนางด้วยความเมตตา ทั้งยังยิ่งใกล้ชิดกับเขามากยิ่งกว่า ทว่าบัดนี้เขาต้องการเข้าเฝ้าสักครั้งกลับข้ามประตูวังเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดวังหลวงก็ส่งคนมาที่หน้าประตูจวน

ผู้ส่งสารสีหน้าเรียบเฉย กล่าวคำทักทายกับราชครูหลี่เป่าที่เดินมาพร้อมไม้เท้าเพียงไม่กี่คำ จากนั้นก็เอ่ยตามตรง “ฝ่าบาทเป็นห่วงสุขภาพของราชครู บัดนี้คุณชายน้อยหลี่บาดเจ็บสาหัส ทั้งจวนสกุลหลี่น่าจะยุ่งอยู่กับการดูแลเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงเทศกาลโคมไฟแล้ว”

ผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงได้เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่ในศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองของทั้งราชวงศ์ต้าเหิง บัดนี้สกุลหลี่ของพวกเขาไม่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงได้แล้ว ก็เท่ากับว่าถูกตัดออกจากศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองแล้วหรือ

ทุกคนได้ยินดังนั้นสีหน้าก็แข็งทื่อ มือของหลี่เป่าสั่นรุนแรง เขาคุกเข่าลงกับพื้นด้วยตัวสั่นเทา สะอื้นเอ่ย “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง”

ฝ่าบาทกริ้วแล้วจริงๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่คนสกุลหลี่คุกเข่าอยู่บนพื้น รับรู้ข้อเท็จจริงตรงหน้าได้อย่างชัดเจน

พวกเขาทำให้ฝ่าบาทกริ้ว สกุลหลี่ยังจะมีอนาคตอีกหรือ

บทที่ 6

เทศกาลโคมไฟมาถึงอย่างรวดเร็ว วันนี้อากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าแจ่มใส และบังเอิญว่าไม่มีการประชุมราชสำนักในช่วงเช้า บรรดาขุนนางต่างพักผ่อนอยู่ที่จวน จนกระทั่งช่วงที่พระอาทิตย์ร้อนแรงที่สุดได้ผ่านพ้นไปก็เดินทางไปยังอุทยานหลวงเช่นเดียวกันกับฮ่องเต้

กู้หยวนไป๋นอนจนถึงยามอู่ หลังจากล้างหน้าล้างตาและกินอาหารกลางวันเสร็จ เหล่าขุนนางก็รออยู่ด้านนอกแล้ว

อาภรณ์ใหม่ที่สุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิถูกเตรียมไว้ในตำหนักบรรทมแล้ว กู้หยวนไป๋หยิบชุดลำลองสีขาวนวลปักลายมังกรด้วยไหมทอง สวมเสื้อคลุมลายสีน้ำเงินทับด้านนอก เดินออกจากตำหนักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่พาบุตรชายในสกุลของตน มาถวายความเคารพกู้หยวนไป๋ “ถวายบังคมฝ่าบาท”

วันนี้นอนเต็มอิ่มจึงรู้สึกสดชื่น กู้หยวนไป๋ก็กระปรี้กระเปร่ามากเช่นกัน เขายกยิ้มมุมปากแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ลุกขึ้นเถิด”

ดอกไม้ใบหญ้าพันธุ์หายากในสวนต่างเบ่งบานหลังจากต้องฝนในฤดูใบไม้ผลิเมื่อไม่กี่วันก่อน เหล่าข้ารับใช้ดูแลเอาใจใส่ทั้งวันคืน ต้นไม้หลายต้นที่ไม่ควรผลิใบในฤดูนี้ก็เขียวขจีเป็นพิเศษเช่นกัน

วันนี้แดดดี ข้ารับใช้ต่างมารดน้ำก่อนหน้าแล้ว บนดอกไม้จึงชุ่มไปด้วยหยดน้ำ นับเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุด

รอบกายฮ่องเต้รายล้อมไปด้วยบรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ลูกหลานที่เหล่าขุนนางพามาติดตามอยู่ข้างหลัง อย่าว่าแต่เหลือบมองเลย แม้แต่ชายผ้าของฮ่องเต้พวกเขาก็มองไม่เห็นด้วยซ้ำ

เซวียหย่วนถูกทิ้งไว้เบื้องหลังขุนนางเหล่านั้น เขาเดินช้าๆ อยู่กับฉางอวี้เหยียน ทั้งสองคนไม่รีบร้อนราวกับว่ามาชื่นชมดงบุปผาเท่านั้น

ครั้นเห็นว่าผู้คนรอบข้างซาลง ฉางอวี้เหยียนจึงถามขึ้น “ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นที่เจ้าเก็บได้เล่า”

เซวียหย่วนสองมือไพล่หลัง ลำตัวตั้งตรงสง่า พยายามวางท่าทางให้ดูสูงส่ง เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เผาเป็นเถ้าไปแล้ว”

ฉางอวี้เหยียนเอ่ยเย้า “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะอาศัยโอกาสวันนี้ นำผ้าเช็ดหน้ากลับสู่เจ้าของเสียอีก”

เซวียหย่วนราวกับได้ยินเรื่องขบขัน “มาถึงมือข้าก็กลายเป็นของของข้าแล้ว กลับสู่เจ้าของอะไรกัน”

ฉางอวี้เหยียนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็มีเสียงดังเอะอะมาจากข้างหน้า ที่แท้เป็นเพราะขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเกิดแรงบันดาลใจฉับพลัน สร้างสรรค์กลอนหย่งชุน น้ำดีบทหนึ่ง ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากข้ารับใช้ด้านข้างจด ก็อ่านออกเสียงอีกครั้ง ฉางอวี้เหยียนได้ยินแล้วอดที่จะปรบมือชื่นชมมิได้ “กลอนดี!”

เซวียหย่วน “ท่านพ่อของเจ้าต้องการให้เจ้าโดดเด่นในวันนี้ ยังไม่รีบฉวยโอกาสนี้ท่องกลอนที่แต่งไว้อีกรึ”

ฉางอวี้เหยียนส่ายหน้าทันที เซวียหย่วนยกยิ้มมุมปาก เขาถอยหลังหนึ่งก้าวและยกเท้าขึ้นเตะฉางอวี้เหยียน ฉางอวี้เหยียนพุ่งเซไปข้างหน้า ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่จำเขาได้หัวเราะหึๆ พลางเปิดทางให้ “หากพูดถึงการแต่งกลอน จะข้ามคุณชายสกุลฉางไปได้อย่างไร”

ครั้นฉางอวี้เหยียนยืนได้มั่นคงก็พบว่าตำแหน่งที่ถูกเว้นว่างให้นั้นอยู่ถัดจากข้างกายฮ่องเต้ เขาแสดงอาการตกใจจากนั้นก็รีบสงวนท่าที ก้าวขึ้นหน้าไปคำนับฮ่องเต้ด้วยความเคารพ “ข้าน้อยไม่รักษากิริยาแล้ว ถวายบังคมฝ่าบาท”

กู้หยวนไป๋มองคุณชายผู้สง่างามตรงหน้าอย่างระมัดระวัง “เจ้าก็คือฉางอวี้เหยียน?”

ฉางอวี้เหยียนก้มหน้าต่ำกว่าเดิม “พ่ะย่ะค่ะ”

ฉางอวี้เหยียนผู้นี้น่าสนใจนัก ทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ในนครหลวง มีสองสิ่งที่เขาทำแล้วกู้หยวนไป๋จดจำได้อย่างแม่นจำ สิ่งแรกคือวันที่เขาเข้าพิธีสวมหมวก บรรดาผู้จงรักภักดีต่อเขาล้อมรอบจวนสกุลฉางไว้ บางคนพยายามที่จะปีนกำแพงข้ามมา สุดท้ายทางการต้องส่งทหารไปจับคน อีกเรื่องค่อนข้างมีส่วนเกี่ยวข้องกับกู้หยวนไป๋ ฉางอวี้เหยียนผู้นี้เคยเขียนกลอนสิบสามบทเพื่อถากถางผู้ทรงอำนาจที่ไม่รู้จักทุกข์ร้อนบนโลกในคราเดียว เขาไม่เพียงเยาะเย้ยเหล่าขุนนางเท่านั้น แต่ยังเยาะหยันว่ากู้หยวนไป๋ไม่คู่ควรแก่การเป็นฮ่องเต้อีกด้วย

หากแปลเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ ‘ผู้ที่มีอำนาจล้นฟ้าอย่างพวกท่านสนใจเพียงผลประโยชน์ส่วนตน แต่ไม่สนใจสรรพสิ่งในใต้หล้าเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้ผู้ทุกข์ยากทั้งหลายมาเลี้ยงดูเจ้าขุนมูลนายอย่างพวกท่านที่รู้จักแต่เพียงการกินหรูอยู่สบาย ข้าคิดว่าทุกท่านห่วยแตกสิ้นดี’

กลอนสิบสามบทนี้ทำให้เขาล่วงเกินคนในนครหลวงไปกลุ่มใหญ่ และบิดาของเขาถูกลดขั้นเพราะเหตุนี้ หลังจากความคุกรุ่นผ่านไปแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ก็เริ่มเขียนกลอนบทใหม่ อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของฉางอวี้เหยียนก็ได้ขจรขจายหลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น

ครั้นคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มของกู้หยวนไป๋ก็ยิ่งล้ำลึก “เจ้าก็มีกลอนจะถวายรึ”

ไม่ว่าฉางอวี้เหยียนจะเขียนบทความหรือบทกลอน ทุกชิ้นล้วนเป็นผลงานน้ำดี ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีชื่อเสียงและเป็นคนดีมีความสามารถที่ปลุกระดมความคิดเห็นของชาวบ้านได้ กู้หยวนไป๋กำลังขาดผู้มีความสามารถด้านประชามติที่สามารถสรรเสริญบุญญาธิการของเขา ซึ่งจะทำให้เขาดำรงอยู่ในตำแหน่งคุณธรรมสูงสุดและเปิดเส้นทางนโยบายให้กับเขาอยู่พอดี

ฉางอวี้เหยียนปากคอแห้งผาก อันที่จริงเขาได้เตรียมกลอนบทหนึ่งไว้แล้ว อีกทั้งยังเป็นกลอนที่แต่งไว้ก่อนไปเยี่ยมชมอุทยานด้วย เพียงแต่กลอนบทนั้น…เป็นผลงานที่เขาจงใจแต่งเพื่อเสียดสี ‘คนร่ำรวยกินดีอยู่ดี คนไม่มีหนาวตายข้างถนน’ อะไรเทือกนี้

เดิมทีเขาคิดว่าหากบิดาต้องการให้เขาแต่งกลอนต่อหน้าฮ่องเต้ เขาก็จะท่องกลอนบทนี้ออกมาจริงๆ

กู้หยวนไป๋เห็นว่าเขานิ่งเงียบก็หัวเราะเอ่ย “ลุกขึ้นยืน ตั้งศีรษะตรง”

ฉางอวี้เหยียนทำตามโดยไม่รู้ตัว ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นฮ่องเต้กำลังมองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ฮ่องเต้กำลังมองเขาอย่างชื่นชม หันไปพูดกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ข้างๆ “ชายหนุ่มในต้าเหิงของเจิ้นนั้นเก่งกาจ แต่ละคนล้วนมีพรสวรรค์ เป็นชายชาตรีที่หน้ามองฟ้าเท้าติดดิน”

หูของฉางอวี้เหยียนแดงขึ้นทันที รู้สึกเพียงความละอายก่อตัวขึ้นในใจ

เหล่าขุนนางหัวเราะพร้อมเห็นด้วย “คุณชายสกุลฉางมีความสามารถเทียบเท่าจ้วงหยวน”

ตุลาการแห่งศาลสถิตยุติธรรมผู้เป็นบิดาของฉางอวี้เหยียนยืนอยู่ด้านนอก พอได้ยินบรรดาขุนนางชมบุตรชายของตน ใบหน้าที่เคร่งขรึมก็อดที่จะยิ้มไม่ได้

ไม่ว่าฮ่องเต้พูดอะไร บรรดาขุนนางก็ชมเชยตามนั้น กู้หยวนไป๋เอนตัวไปด้านข้างเพื่อฟังคำพูดของเหล่าขุนนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คางของเขาแทบจะฝังอยู่ในขนของเสื้อคลุมแล้ว

ฉางอวี้เหยียนไม่กล้ามองหน้าฮ่องเต้ตรงๆ เขาก้มหน้าเล็กน้อยและจ้องคางของฮ่องเต้แทน

ท่อนบนของฮ่องเต้เพรียวบาง ผอมแห้งอย่างมาก คางไม่มีเนื้อเท่าไรทว่ารูปทรงงดงามยิ่งนัก ฉางอวี้เหยียนนึกถึงบรรดาคุณชายที่เกี้ยวพาราสีเด็กสาวตระกูลดีในนครหลวงก็ชอบหยิกคางแบบนี้ แล้วคลอเคลียอย่างแผ่วเบา

โชคดีที่ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท ไม่สิ ฝ่าบาทคือบุรุษต่างหาก ฉางอวี้เหยียน นี่เจ้ากำลังคิดเหลวไหลอะไรอยู่

หากคุณชายเหล่านั้นกล้าหยิกคางฮ่องเต้ก็คงจะถูกบั่นคอทั้งตระกูลในทันที

ฉางอวี้เหยียนแอบสั่นสะท้าน ลอบร้องไห้ในใจพลางตัดพ้อเซวียหย่วน เหตุใดต้องขัดขาเขาด้วย

“อวี้เหยียน” ฮ่องเต้เอ่ยเรียก “เจ้าแต่งกลอนอะไรไว้”

หัวใจของฉางอวี้เหยียนเด้งไปจุกที่คอทันที เขาเอียงศีรษะไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือดอกเหมยเป็นชั้นๆ

แสงความคิดแวบเข้ามาในหัว “กลอนบทนี้ของกระหม่อม ก็คือลำนำดอกเหมย”

ฉางอวี้เหยียนเก็บกลอนเสียดสีที่แต่งขึ้นก่อนหน้านี้ไว้ในใจ จากนั้นก็ด้นสดกลอนบทหนึ่ง สองประโยคสุดท้ายยังชื่นชมฤดูใบไม้ผลิยามเช้านี้อีกด้วย

กู้หยวนไป๋พยักหน้า ยิ้มเอ่ย “เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ”

ฉางอวี้เหยียนก้มหน้าเพราะเขินอายและจ้องที่คางของฮ่องเต้เช่นเคย คราวนี้เขาค่อนข้างเป็นกังวล ทันทีที่เขาเงยหน้า ริมฝีปากสีซีดของฮ่องเต้ก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา

ริมฝีปากนี้ไม่บางไม่หนา มุมปากยกขึ้นราวกับเป็นรอยยิ้มตามธรรมชาติ

กู้หยวนไป๋รู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่เลว ก่อนหน้านี้ที่อ่านกลอนสิบสามบทของเขายังนึกว่าคงเป็นคนมุทะลุเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมีลูกเล่นเสียด้วย

ฮ่องเต้เรียกฉางอวี้เหยียนให้เดินตามข้างกาย เดินๆ หยุดๆ อยู่ในอุทยาน พูดกับเขาประโยคสองประโยคเป็นครั้งคราว สายตาคลุมเครือของขุนนางข้างกายฮ่องเต้ลอบมองสำรวจฉางอวี้เหยียนครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่าเหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้เข้าตาฮ่องเต้

 

เซวียหย่วนรอให้ฮ่องเต้กริ้วอยู่ที่ด้านหลังสุดอย่างผ่อนคลาย

เขาเข้าใจฉางอวี้เหยียนดี ขอเพียงเป็นการเพิ่มปัญหากวนใจให้บิดาของตน ฉางอวี้เหยียนก็จะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ข้างหน้ายังคงมีเสียงหัวเราะร่วน ส่วนฉางอวี้เหยียนก็ยังปะปนอยู่ในนั้นไม่ได้กลับมา

คิ้วของเซวียหย่วนค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน หรือว่าฉางอวี้เหยียนยังไม่ลงมือ?

เขายังต้องการเห็นเรื่องขบขันของฮ่องเต้น้อยและรอให้อีกฝ่ายกริ้ว ทั้งยังส่งคนไปรออยู่นอกวังล่วงหน้า เตรียมพร้อมที่จะแพร่กระจายผลงานเสียดสีของฉางอวี้เหยียนไปทั่วนครหลวงทันที

เซวียหย่วนทอดถอนใจอย่างหมดหวัง หลังจากก้าวเท้าฉับๆ ได้ไม่กี่ก้าว บังเอิญว่าขบวนของฮ่องเต้ที่อยู่ข้างหน้าก็เดินมาถึงมุมพอดี เซวียหย่วนมองแวบแรกก็เห็นสหายของเขาหน้าชื่นตาบานพร้อมเดินตามฮ่องเต้ด้วยปากที่ยิ้มไม่หุบ

เซวียหย่วนย่องเข้าไปเงียบๆ และยืนอยู่ในเงาหลังแม่ทัพเซวีย ทันทีที่เขายืนหยุดนิ่งก็เห็นฮ่องเต้ที่อยู่ข้างหน้าหยุดลงกะทันหัน จากนั้นก็ยื่นมือสีขาวที่แทบจะโปร่งใสของเขาออกจากแขนเสื้อกว้าง และดึงดอกไม้งดงามที่เบ่งบานท่ามกลางพุ่มไม้สีเขียวนับร้อย

“ดอกไม้บานได้งามนัก” ฮ่องเต้เอ่ยชม จากนั้นก็ยกดอกไม้ขึ้นมาดม น่าจะเป็นเพราะกลิ่นนั้นตรงกับจิตใจจึงทำให้เขายิ้มออกมาทันที

ร่างกายของฮ่องเต้บอบบางอ่อนแอทั้งยังป่วยร้ายแรง แต่เมื่อเขายิ้มกลับเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาราวกับดอกไม้นับร้อยที่เบ่งบาน เซวียหย่วนที่แอบอยู่ในที่ลับตาเงยหน้าขึ้นมอง เพียงแวบแรกก็มองเห็นรอยยิ้มบนมุมปากของเขา แล้วพบว่าที่แท้ฮ่องเต้ผู้มีร่างกายอ่อนแอนี้ยังมีรูปโฉมงดงามซึ่งดวงจันทร์ในฤดูสารทก็ไม่อาจเทียบเคียง

เซวียหย่วนมองอยู่ครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย

ฮ่องเต้ที่ก่นด่าเขาต่อหน้าขุนนางนับร้อยอย่างไร้ความปรานี ที่แท้ขนก็ยังไม่งอกสักเส้นรึ

 

เมื่อดนตรียามพลบค่ำบรรเลง งานเลี้ยงก็เริ่มต้น

ฉางอวี้เหยียนนั่งอยู่แถวหลัง มองจานอาหารเต็มโต๊ะด้วยความงุนงง

เซวียหย่วนที่นั่งอยู่ข้างๆ เลือกอาหารหลวงที่หน้าตางดงามอย่างชำนาญ พลางเอ่ย “กลอนวันนี้แต่งได้ไม่เลว”

“เจ้ารู้แล้วรึ…” ฉางอวี้เหยียนขมวดคิ้ว “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าจะถูกเอาเปรียบตอนที่เผชิญหน้ากับฝ่าบาท”

คุณชายเซวียหย่วนยิ้มยิงฟันอย่างมืดมน “ฝ่าบาทเจ้าแผนการ”

ฉางอวี้เหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ากล่าวถึงฝ่าบาทเยี่ยงนี้ได้อย่างไร”

เซวียหย่วนเลิกคิ้ว จงใจหันมามองสหายคนสนิทที่พิลึกพิลั่นผู้นี้ จากนั้นก็หรี่ตาและมองขึ้นไปยังฮ่องเต้ในที่ไกลๆ

กู้หยวนไป๋นั่งอยู่บนที่นั่งด้านบน วันนี้เขาต้องดื่มสุราบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ปริมาณแอลกอฮอล์ในสุราโบราณจะไม่สูงนัก ทว่าตั้งแต่มาที่นี่ก็ดื่มไปเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น หลังจากดื่มลงท้องไปไม่กี่จอก เขาก็สั่งให้คนเติมน้ำในเหยือก

ความอุ่นแผ่ซ่านจากหัวใจสู่แขนขา กู้หยวนไป๋ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกว่าใบหน้าเองก็ร้อนผ่าวเช่นกัน

เขาไม่สามารถดื่มได้อีกต่อไปแล้ว กู้หยวนไป๋รู้ดีว่าร่างกายนี้บอบบางและอ่อนแอเพียงใด เขาหยุดดื่มสุราและเริ่มดื่มชาร้อนเพื่อลดฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

ทุกการกระทำของฮ่องเต้ล้วนถูกจับตามอง เหล่าขุนนางที่เห็นฮ่องเต้เป็นประจำยังไม่เท่าไร ต่างจากเด็กหนุ่มบางคนที่เพิ่งเคยเห็นฮ่องเต้เป็นครั้งแรกที่ต่างเหลือบมองอย่างไม่ลดละ

หนึ่งในแววตาที่สุกใสเป็นที่สุดก็คือเซวียหย่วน

แค่ดื่มสุราก็ยังหน้าแดงได้ ใช่ชายชาตรีจริงรึ

ฮ่องเต้เยี่ยงนี้ยังทำให้ฉางอวี้เหยียนหวั่นไหวได้ หรือว่าเกิดเหตุการณ์อะไรที่เขาไม่เห็นระหว่างที่อยู่ในอุทยานหลวง

เซวียหย่วนเคาะมืออยู่บนจอกสุรา ครุ่นคิดลึกซึ้ง

 

เวลางานเลี้ยงในวังหลวงไม่นานนัก หลังจากจบงานท้องฟ้าก็เพิ่งจะเริ่มมืดลงเล็กน้อยเท่านั้น เถียนฝูเซิงพาขันทีหลายคนช่วยกันส่งบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ออกไป เมื่อไม่มีคนแล้วก็ลากหัวหน้าทหารองครักษ์จางไปด้านข้างเพื่อสั่งการเรื่องหนึ่งอย่างลับๆ

หลังจากกู้หยวนไป๋อาบน้ำเสร็จ เวลายังไม่ดึกมาก เขาจึงพลิกเปิดหนังสือ ‘หานเฟยจื่อ’ ที่อยู่บนโต๊ะอ่าน

กู้หยวนไป๋มีข้อบกพร่องชิ้นใหญ่เมื่อเทียบกับชายโบราณดั้งเดิม แนวคิดของเขามาจากโลกยุคหลังและแนวคิดสุดขั้วของคนรุ่นหลังใช้ไม่ได้กับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน

เขาต้องแยกให้ชัดเจนว่าอะไรให้ประโยชน์และอะไรที่จะสร้างความหายนะให้กับโลกใบนี้ เขาไม่เคยอ่านหนังสือโบราณเหล่านี้มาก่อนเลย ทว่าตั้งแต่มายังโลกนี้เขากลับต้องอ่านมันทั้งวันทั้งคืน อ่านมันข้ามคืน แบ่งเวลาอ่านและผสมผสานกับความทรงจำของร่างกายเพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ฮ่องเต้องค์เดิมทำได้ไม่ดี เขาจึงต้องเรียนรู้เจตนารมย์ของฮ่องเต้จากหนังสือด้วยตัวเอง

ในยุคปัจจุบันมีคำกล่าวที่ว่า ‘ย้อนเวลาสู่ต้าชิง เพื่อช่วงชิงและก่อกบฏ’ แม้ต้าเหิงจะเป็นราชวงศ์ที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในความทรงจำมาก่อน และแม้ว่าโลกใบนี้จะมีตัวตนอยู่เพียงในหนังสือนิยาย แต่หนังสือและร่องรอยทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ไม่สามารถแยกออกจากความทรงจำได้เลย กู้หยวนไป๋ไม่สามารถปฏิบัติต่อบ้านเมืองนี้อย่างเล่นๆ ได้

และในฐานะที่เป็นนักแสดงนำชายในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นฉู่เว่ยหรือเซวียหย่วนล้วนมีความสามารถอันแข็งแกร่งในการปกครองประเทศ

อันที่จริงกู้หยวนไป๋ก็อยากได้พวกเขาอยู่เหมือนกัน

แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนทั้งสองถึงรักกัน แต่กู้หยวนไป๋ก็เคารพพวกเขา ถ้าตัวเขาเองสามารถมีชีวิตที่ยาวนานกว่านี้ เขาก็จะสามารถประทานสมรสแก่คนทั้งสองเพื่อดึงพวกเขามาเป็นพวกได้

น่าเสียดายที่ชีวิตถูกพญามัจจุราชลิขิตไว้แล้ว ตอนนี้กู้หยวนไป๋ทำได้เพียงรอให้ชีวิตของตนถึงจุดจบ ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันเขาอาจทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อนแล้วก็เป็นได้

กู้หยวนไป๋ถอนหายใจยาว

เถียนฝูเซิงเงยหน้าขึ้นถาม “ฝ่าบาทง่วงแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ส่ายหน้าแล้วเอ่ย “เจิ้นเพียงกำลังคิดว่าคนเราย่อมต้องตาย ไม่ว่าจะเตรียมการไว้มากเพียงใด แม้แต่เจิ้นเองก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องเผชิญกับความตาย”

เถียนฝูเซิงตื่นตระหนก สองขาอ่อนปวกเปียกคุกเข่าลงไปกับพื้น กู้หยวนไป๋หลุดหัวเราะ “กลัวอะไร เจิ้นเพียงทอดถอนใจเท่านั้น”

เถียนฝูเซิงตกใจอย่างยิ่ง “ฝ่าบาทอย่าตรัสเช่นนี้ให้กระหม่อมตกใจเลยพ่ะย่ะค่ะ หัวใจของกระหม่อมแทบจะกระโดดออกมาแล้ว”

กู้หยวนไป๋ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ไม่มีแก่ใจจะอ่านหนังสือแล้ว เขาวางหนังสือลง ข้ารับใช้ในตำหนักบรรทมต่างออกไปจนหมด กู้หยวนไป๋เดินไปที่ห้องนอนเพื่อยกมุ้งขึ้นโดยไม่รู้ตัวและดวงตาก็เบิกกว้างในทันใด

คนงามที่ถูกมัดท่อนบนสองมือไพล่หลังกำลังนอนอยู่บนเตียงมังกรของเขา ดวงตาหงส์ขมุกขมัว มีจิตสังหารซ่อนอยู่ในความโหดเหี้ยมนั้น

กู้หยวนไป๋มองหน้าอกของสาวงามโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดเซียว เพราะเขาคือชายคนหนึ่ง

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 22 มิ.. 65

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: