X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 7

สีหน้าของฉู่เว่ยดูไม่ได้ เพลิงโทสะจมลึกอยู่ในดวงตาดุจหงส์ ทว่าสีหน้าของกู้หยวนไป๋ที่เปิดมุ้งออกมานั้นน่าเกลียดยิ่งกว่า เขาเพียงเหลือบมองแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่เว่ยถูกมัดไว้บนเตียงเพื่อให้คนอื่นทำอะไรได้ตามใจชอบ และเป็นครั้งแรกที่ถูกคนอื่นมองด้วยสายตารังเกียจซึ่งเขามองเห็นได้อย่างชัดเจน เดิมทีบุคคลนี้เป็นเพียงฮ่องเต้ผู้อ่อนแอและไร้เดียงสาในสายตาเขา แต่เวลาที่คนผู้นี้มองมา แววตาของเขาดูตกตะลึงและขยะแขยงอย่างชัดเจน

ราวกับฉู่เว่ยเป็นสิ่งสกปรกบางอย่างที่มองแล้วจะทำให้ดวงตาเขาแปดเปื้อน

ฮ่องเต้ไม่คิดที่จะทำอะไรเขา ทว่าความโกรธในใจของฉู่เว่ยมิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย เขาถลึงตามองร่างสีเหลืองสดที่พร่ามัวด้านนอกผ่านมุ้งบางๆ

กู้หยวนไป๋สีหน้าบึ้งตึง นั่งรอคำอธิบายจากเถียนฝูเซิงอยู่บนเก้าอี้นุ่มด้านนอก

หลังจากที่รู้ว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงของเขาคือฉู่เว่ยตัวเอกจากในหนังสือแล้ว กู้หยวนไป๋ก็ตบที่พักแขนอย่างแรง เสียงทึบนั้นทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน กู้หยวนไป๋บีบที่วางแขนแน่นจนปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาว

เถียนฝูเซิงไม่เคยเห็นฮ่องเต้กริ้วเพียงนี้มาก่อน หัวใจของเขาสั่นสะท้าน รู้ว่าตัวเองลำบากแล้ว

“เถียนฝูเซิง” เมื่อเสียงของฮ่องเต้ดังไปถึงตำหนักชั้นในมันก็กลายเป็นเสียงที่ผิดเพี้ยน “แท้จริงแล้วในใจของเจ้า เจิ้นมีภาพลักษณ์ที่น่าละอายเช่นไรกันแน่ แค่ก…!”

ครั้นโอรสสวรรค์กริ้ว ทุกคนในตำหนักบรรทมต่างทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้น

ฉู่เว่ยที่ถูกมัดท่อนบนสองมือไพล่หลังบนเตียงได้ยินประโยคนี้ ทั้งยังเห็นคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอีกด้วย แววตาเย็นชาของเขาซ่อนแววเยาะเย้ย ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีข้ารับใช้เข้ามาจุดไฟ ภายในห้องบรรทมที่เคยสลัวพลันสว่างขึ้นราวกับกลางวัน

ฉู่เว่ยกะพริบตาอย่างไม่สะดวกหลายครั้ง ร่างสีเหลืองอร่ามนอกมุ้งกำลังประคองเก้าอี้นุ่มพร้อมกับโน้มตัวไอ เสียงนั้นอู้อี้ทว่ากลับดูรีบร้อน

ฮ่องเต้สวมเพียงเสื้อตัวใน รูปร่างเพรียวบางอ่อนแอ ไฟโทสะในใจของฉู่เว่ยค่อยๆ สงบลงและกลายเป็นสระน้ำแข็งที่มองไม่เห็นก้น

จนกระทั่งหยุดไอลงอย่างยากลำบาก กู้หยวนไป๋พยายามยืดตัวตรง เดินไปที่ข้างเตียงช้าๆ

ฉู่เว่ยมองตรงไปที่เขาผ่านมุ้งเตียง หากฮ่องเต้ไม่รู้เรื่องที่เขาถูกมัดไว้ เช่นนั้นอำนาจที่ฮ่องเต้ผู้นี้มีต่อฝ่ายในก็นับว่าน้อยอย่างแท้จริง ฮ่องเต้เช่นนี้จะดึงหลูเฟิง ขุนนางผู้มีอำนาจลงจากตำแหน่งได้อย่างไรกัน

ตั้งแต่เจ็ดปีก่อนฉู่เว่ยก็ออกเดินทางศึกษา แม้เขาจะห่างหายจากราชสำนัก แต่ก็รู้ข่าวคราวมาจากผู้เป็นบิดาบ้าง อย่างไรก็ดีตำแหน่งราชการของบิดายังต่ำ ทั้งยังไร้ความทะเยอทะยานในวิชาชีพ ดังนั้นฉู่เว่ยจึงไม่เข้าใจรายละเอียดการปกครองของราชสำนักสักเท่าไร

ความคิดนับพันพุ่งเข้ามาในสมองของเขาในทันที ทว่ามือหนึ่งที่เอื้อมเข้ามาในมุ้งฉับพลันขัดจังหวะความคิดเหล่านี้

มือนี้งดงามยิ่งนัก มันเรียวยาวและขาวผ่อง ทว่าเพียงพริบตาเดียวมุ้งก็ถูกฮ่องเต้ยกขึ้นเสียงดัง ‘พึ่บ’

กู้หยวนไป๋มิใช่คนเห็นแก่ตัว หลังจากขึ้นครองบัลลังก์แล้วก็ไม่ได้ถูกอำนาจครอบงำจนโงหัวไม่ขึ้น เขาคิดในทางกลับกัน หากเป็นเขาที่ถูกบังคับมัดไว้บนเตียงของชายอื่น เขาจะต้องเต็มไปด้วยแรงอาฆาตต่อคนผู้นั้นเป็นแน่

ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ไม่ว่าอีกฝ่ายคือใคร ก็จะต้องสังหารให้ได้

ดังนั้นในไม่ช้าเขาจึงยกโทษให้กับไอสังหารที่ฉู่เว่ยส่งมาถึงเขา หรือแม้แต่ปลอบประโลมตัวเอกที่ถูกเถียนฝูเซิงมัดเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลงมาก

“จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้…” พูดไปได้ครึ่งเดียวก็เกิดอาการระคายคอ กู้หยวนไป๋กำหมัดป้องปากแล้วเบือนหน้าไอ

ผมสีดำขลับยุ่งเหยิงไหวไปตามการเคลื่อนไหว ข้ารับใช้คุกเข่าอยู่ด้านนอกด้วยเนื้อตัวสั่นสะท้าน

เขาไม่สามารถหยุดไอได้เลย ท้ายที่สุดกู้หยวนไป๋ไอจนแทบขาดใจ เขาก้มตัวลงด้วยมือที่สั่นเทา ค้ำยันข้างเตียงมังกรอย่างอ่อนแรง

ผ้าไหมสีเหลืองสดใสปักลายมังกรถูกมือซีดขาวของเขาขยำจนยับยู่ยี่ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกเหมือนมีกลิ่นหอมแห่งความเศร้าโศกลอยอวลอยู่

ฉู่เว่ยขมวดคิ้วช้าๆ เขานึกขึ้นได้ว่าฮ่องเต้องค์นี้เพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์เมื่อปีกลาย ไม่เพียงเท่านี้ ร่างกายยังอ่อนแอมากด้วย

ไร้ประโยชน์จริงๆ

 

“ฝ่าบาท” น้ำเสียงที่เหมือนน้ำแข็งตกลงมาในสระดังขึ้น “ฝ่าบาทไม่เป็นไรนะพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋กำผ้าปูเตียงในมือแน่นทันที

เส้นเลือดปูดนูนบนหลังมือขาวซีดดุจเส้นเลือดที่แกะสลักอย่างประณีตบนจี้หยก กู้หยวนไป๋เอนตัวพิงข้างเตียง ในที่สุดเสียงไอก็ค่อยๆ สงบลง

เสียงไอหายไปแล้ว ทว่าเสียงหายใจแหบแห้งยังคงอยู่ กู้หยวนไป๋หลับตาลง หายใจหอบเพื่อสูดอากาศสดชื่นเข้ามา ผ่านไปสักพักเขาจึงค้ำเตียงเพื่อลุกขึ้นยืน

กู้หยวนไป๋ชินกับร่างกายเช่นนี้แล้ว

เขาพยายามอย่างมากเพื่อลุกขึ้นยืน ทั้งๆ ที่สภาพดูไม่ได้แต่กลับพูดกับฉู่เว่ยต่อจากประโยคเมื่อครู่อย่างใจเย็น “ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีคนอื่นรู้ เจิ้นจะให้คนส่งเจ้ากลับอย่างลับๆ และจะลงโทษบ่าวไพร่เหล่านี้ที่ถือวิสาสะมัดเจ้าไว้”

ฉู่เว่ยมองเขาเงียบๆ

ร่างกายของฮ่องเต้หนุ่มแย่กว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก หลังจากไอเพียงเล็กน้อย หางตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ริมฝีปากราวกับย้อมด้วยชาด คล้ายเพิ่งร้องไห้มา

หน้าตาก็ดีกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากๆ

ฉู่เว่ยถูกเรียกว่าเป็นชายงามอันดับหนึ่งแห่งนครหลวง ทุกวันนี้เรื่องรักระหว่างชายกับชายนับเป็นเรื่องที่ทำเพื่อความสำราญเรื่องหนึ่ง ทว่าหลังจากที่ได้รับการกระทำเป็นนัยมากมายจากบุรุษไม่ว่าหนุ่มหรือแก่แล้ว ฉู่เว่ยแทบจะรังเกียจบุรุษทุกคนที่คิดเลยเถิดกับเขา

ตอนที่ถูกมัดมือไพล่หลังไฟแห่งจิตสังหารก็ถูกจุดขึ้นในใจของเขาแล้ว และเมื่อเขารู้ว่าตนถูกส่งไปยังเตียงมังกรจิตสังหารก็ยิ่งดุร้ายยิ่งกว่าเดิม แม้จะต้องเป็นกบฏและถูกประหารเก้าชั่วโคตร เขาก็จะต้องทำให้ฮ่องเต้ไร้ศีลธรรมผู้นี้ชดใช้ให้ได้!

แต่เขาไม่ได้คิดว่านี่จะไม่ใช่ความคิดของฮ่องเต้ และไม่ได้หวังไว้ว่าฮ่องเต้จะงดงามเพียงนี้

ฉู่เว่ยใช้คำว่า ‘งดงาม’ บรรยายฮ่องเต้ในใจด้วยความรู้สึกขยะแขยง เพื่อคลายความโกรธที่เคยอัดอั้นอยู่ในใจก่อนหน้านี้

ฮ่องเต้น้อยรูปงามผู้นี้รังเกียจเขาตั้งแต่แรกเห็น เช่นนั้นก็คงจะไม่ได้ชอบบุรุษกระมัง

หากกู้หยวนไป๋รู้ความคิดนี้ของเขา เกรงว่ากู้หยวนไป๋จะต้องพูดไม่ออกเป็นแน่ เห็นได้ชัดว่าฉู่เว่ยเป็นพวกเหยียดคนชอบเพศเดียวกัน

ตัวละครในหนังสือคนหนึ่งเป็นชายที่พึงใจในสตรี คนหนึ่งเป็นพวกที่เหยียดคนชอบเพศเดียวกัน แล้วสุดท้ายพวกเขามาชอบกันได้อย่างไร

ฉู่เว่ยมีใบหน้างดงาม แต่กลับไม่ใช่ความงดงามแบบบุรุษที่สวยเหมือนสตรี ความงามของเขาคือการใช้คำว่าหล่อเหลาไปจนถึงขีดจำกัด เหมือนแสงจันทร์สว่างที่ใสกระจ่างและสูงส่ง คิ้วกับตาเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งวีรบุรุษ โดยเฉพาะรูปร่างที่สูงเพรียวและแข็งแรงราวกับเสือเลี่ยเป้า* ที่ทรงพลัง

หากให้กู้หยวนไป๋เลือก สิ่งที่เขาชอบที่สุดก็คือร่างกาย ความหล่อเหลาและสุขภาพที่ดีเช่นนี้ หากเทียบกับฉู่เว่ยแล้ว รูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้ยังขาดกลิ่นอายของวีรบุรุษอยู่มากโข

ฉู่เว่ยเงียบงันไม่เอ่ยคำ กู้หยวนไป๋นึกว่าเขายังคงรู้สึกขยะแขยง ทอดถอนใจแล้วนั่งลงบนเตียงสบายๆ “หากเจิ้นจำมิผิด บิดาของเจ้าก็คือผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการกระมัง”

ท่าทางการคุยสัพเพเหระที่ออกมาจากฮ่องเต้นี้ทำให้ผู้ที่ถูกคุยด้วยปลื้มปริ่มยิ่ง

หลังจากฉู่เว่ยถูกปลดพันธนาการออก ก็ลงมาจากเตียงแล้วคำนับฮ่องเต้ด้วยความนอบน้อม “ฝ่าบาทจำได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋มองสำรวจเขาอย่างแนบเนียน โบกแขนเสื้อให้คนยกเก้าอี้เข้ามา ส่วนตัวเองก็คลุมเสื้อตัวนอก นั่งลงข้างโต๊ะที่ใช้สะสางราชกิจในวันธรรมดา

“บิดาเจ้าเคยถวายฎีกาแก่เจิ้น อธิบายเหตุผลถึงการจัดการน้ำท่วมของแม่น้ำหวงเหอ” ฮ่องเต้ยิ้มเอ่ย “เจิ้นยังจำเนื้อหาข้างในได้เป็นอย่างดี แม้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้างแต่ก็เป็นแผนที่ดี ทว่ายามนั้นอำนาจของเจิ้นตกต่ำ จึงไม่สามารถดำเนินการได้ทันที”

ฉู่เว่ยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

บิดาของเขารู้เรื่องการควบคุมอุทกภัยอย่างลึกซึ้ง เขาเองก็เคยเห็นฎีกาฉบับนั้น หากว่ากันโดยไม่ขัดเขิน ในความเห็นของฉู่เว่ยฎีกาของผู้เป็นบิดาฉบับนั้นเป็นแผนที่ละเอียดอ่อนที่สุดในใต้หล้าแล้ว ทว่าฮ่องเต้ที่ไม่เคยแม้แต่ก้าวออกจากประตูวังกลับบอกว่าฎีกานี้ยังมีข้อบกพร่องบางประการ?

ว่าที่ขุนนางก้มหน้าลง ถามด้วยเสียงล้ำลึก “ได้โปรดฝ่าบาทชี้แนะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ทางกู้หยวนไป๋ก็ไม่เกรงใจ เขาพลิกหาเพียงครู่เดียวก็เจอฎีกาของบิดาฉู่เว่ยจากชั้นฎีกาต่างๆ ฉู่เว่ยเห็นดังนั้นใบหน้าก็อุ่นขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยฝ่าบาทก็ใส่ใจจริงๆ

“อุทกภัยแม่น้ำหวงเหอสร้างความปวดหัวให้กับทุกราชวงศ์ตั้งแต่สมัยโบราณ ฉู่ชิงกล่าวถึงสามประการอย่างชัดเจน ประการแรกคือการป้องกันก่อนเกิดอุทกภัย ประการที่สองคือการช่วยเหลือในช่วงอุทกภัย และประการที่สามคือการบรรเทาหลังอุทกภัย” นิ้วของกู้หยวนไป๋ขยับไปตามตัวอักษรบนฎีกา ฉู่เว่ยมองไปตามตำแหน่งนิ้วของเขาโดยไม่รู้ตัว “ถังไท่จงได้ก่อตั้งยุ้งฉางส่วนรวมและยุ้งฉางธรรมดาเพื่อป้องกันสำหรับปีที่ร้ายแรง เขาเริ่มต้นได้ดี จากนั้นราชวงศ์ถังก็เริ่มสร้างแหล่งเก็บน้ำ คิดว่าบิดาเจ้าจะต้องศึกษา ‘สามกลยุทธ์ของจย่ารั่ง’ แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตกจนคุ้นเคยเป็นแน่ หนึ่งคือการเปลี่ยนเส้นทาง สองคือการแยกทางน้ำ และสามคือเพิ่มความสูงและทำให้เขื่อนกั้นน้ำเดิมหนาขึ้น…”

ฮ่องเต้กล่าวถึงความคิดของตนเองอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ครั้นเมื่อความสนใจก่อตัวก็หยิบพู่กันลากเส้นทางคดเคี้ยวของแม่น้ำหวงเหอ กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกลับดูเชื่อฟังและสงบนิ่งภายใต้พู่กันของเขา

เขาพูดคุยไปเรื่อยๆ พร้อมกับรอยยิ้ม

ฉู่เว่ยแทบจะเป็นลม ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะมีด้านนี้ด้วย สมองที่ปราดเปรื่องสามารถทำให้เขาเข้าใจความหมายของฮ่องเต้ได้อย่างง่ายดาย และเพราะว่าเข้าใจจึงยิ่งรู้สึกประหลาดใจกว่าเดิม

หลังจากฮ่องเต้พูดจบก็รู้สึกว่ามือเท้าเย็นเยียบ จมูกของเขาแดงจนน่าสงสาร หลังจากสั่งให้คนนำเตาอุ่นมือมา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขามองไปยังฉู่เว่ยที่กำลังครุ่นคิดอย่างรอบคอบ แววซุกซนปรากฏขึ้นมุมปาก เขาก้าวไปช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้น “ฉู่เว่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจิ้นต้องการต้าเหิงที่เป็นเช่นไร”

เจิ้นต้องการปั่นหัวผู้ที่มีความสามารถอย่างไรเล่า!

 

กลางดึกคืนนั้นฉู่เว่ยห่อตัวเนื่องด้วยลมหนาวจนกลับไปถึงจวน เขาปฏิเสธความกังวลของคนในครอบครัวอย่างเงียบๆ และขังตัวเองอยู่ในห้องตำราตามลำพัง

เขานั่งอยู่ในห้องนั้นทั้งคืน เมื่อขอบฟ้าเย็นลงและเสียงนกร้องเล็ดลอดมาทางหน้าต่าง เขาจึงรู้ว่าตอนนี้ฟ้าสางแล้ว

ฉู่เว่ยลุกขึ้นยืน ผลักประตูห้องตำราออกไป บรรยากาศยามเช้าเย็นสดชื่น จนสมองที่บวมเป่งของเขาผ่อนคลายลงในทันที

ฝ่าบาทเป็นคนมีความคิดลึกซึ้งและใจกว้าง

เขาได้ข้อสรุปดังกล่าวหลังจากครุ่นคิดมาทั้งคืน

ฮ่องเต้ไม่ได้เป็นคนอ่อนแอไร้ประโยชน์อย่างที่เขาคิด ไม่สิ บางทีฮ่องเต้อาจจะอ่อนแอ หรือบางทีอาจจะควบคุมอำนาจทางทหารหรือแม้แต่ฝ่ายในไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ว่าภายใต้ร่างกายที่บอบบางอ่อนแอนั้นกลับซ่อนต้นแบบของฮ่องเต้ผู้ปรีชาที่มีความทะเยอทะยานเอาไว้

ทันใดนั้นในสมองของฉู่เว่ยก็ปรากฏภาพของฮ่องเต้ที่ก้มตัวไอเมื่อคืนนี้

นิ้วสีขาวบอบบางจิกเตียงผ้าไหมและฝังตัวอยู่ระหว่างผ้าปูที่นอน

เขาไอจนน้ำตาเล็ด ดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากที่เม้มแน่นอย่างดื้อรั้นแดงยิ่งกว่าหางตาของเขาเสียอีก

ฉู่เว่ยหมุนตัวช้าๆ แล้วชะงักฝีเท้า จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกระฉับกระเฉง เขาเดินไปยังชั้นตำราทีละก้าวๆ

 

ทันทีที่ใต้เท้าฉู่มาถึงห้องตำราก็เห็นบุตรชายกำลังถือตำราค้นคว้า

เมื่อบุตรชายได้ยินเสียงของเขาก็วางตำราในมือลงพร้อมมองเขาอย่างใจเย็น “ข้าต้องการเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อ ในเดือนสาม”

เจ็ดปีก่อนฉู่เว่ยก็สอบได้จวี่เหริน แล้ว และเป็นเจี่ยหยวน ของจวี่เหรินรุ่นนั้น ปีนั้นเขาเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด ชื่อเสียงด้านพรสวรรค์จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

ทว่าฉู่เว่ยไม่มีความคิดที่จะเป็นขุนนาง เจ็ดปีหลังจากนั้นจึงมิได้สอบเคอจวี่ ต่อ ตลอดคืนที่ผ่านมาใต้เท้าฉู่ไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไร แต่การที่สามารถสอบเคอจวี่ต่อได้ก็เป็นเรื่องดีอย่างคาดไม่ถึง

“ดีๆๆ” ใต้เท้าฉู่ดวงตารื้นเล็กน้อย “ดี!”

ฉู่เว่ยพยักหน้าให้บิดา แล้วอ่านตำราในมือต่อ

ในเมื่อคิดจะสอบ เช่นนั้นตำแหน่งจ้วงหยวนจะเป็นของใครไปได้

บทที่ 8

บรรดาผู้เข้าสอบมารวมตัวที่นครหลวงในปลายฤดูหนาว ซึ่งการสอบฮุ่ยซื่อในฤดูใบไม้ผลิของปีที่จะถึงนี้ถูกจัดขึ้นโดยกรมพิธีการ ในเมื่อฉู่เว่ยต้องการจะเข้าร่วมการสอบครั้งนี้ เช่นนั้นบิดาของเขาจึงจะต้องหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วม

การประชุมราชสำนักเช้าในหลายวันนี้ก็ล้วนหารือกันถึงเรื่องการสอบฮุ่ยซื่อในต้นเดือนสาม กู้หยวนไป๋กับเหล่าขุนนางชั้นสูงกำหนดประเด็นสำคัญในการสอบฮุ่ยซื่อ และกำหนดเนื้อหาเกี่ยวกับพระคัมภีร์ การวางแผน การคำนวณ บทกวี กฎหมาย และความเรียง การสอบฮุ่ยซื่อจะดำเนินการโดยหัวหน้าผู้ตรวจสอบหนึ่งคนและผู้ช่วยอีกสามคน โดยมีขุนนางขั้นหนึ่งและสองเป็นผู้รับผิดชอบ รวมถึงผู้คุมสอบประจำห้องสอบสิบแปดคน หลังจากกรมพิธีการส่งรายชื่อแล้ว คนเหล่านั้นก็จะได้รับการคัดเลือกจากกู้หยวนไป๋

หลังจากประชุมราชสำนักเช้ากู้หยวนไป๋ก็ได้รายชื่อมา เขาจะต้องคัดเลือกผู้เหมาะสมโดยเร็วที่สุด ในสามวันจากนี้ คนเหล่านี้ก็จะถูกกลุ่มทหารรักษาพระองค์ติดตามเข้าสู่ก้งย่วน และสนามกักตัว

 

การคัดเลือกคนก็ต้องมีความรู้ แม้ตอนนี้จะได้เป็นศิษย์แห่งโอรสสวรรค์ แต่ท้ายที่สุดหัวหน้าผู้ตรวจสอบเซียงซื่อและฮุ่ยซื่อก็ยังมีศักดิ์เป็น ‘อาจารย์’ ถึงการสอบครั้งนี้จะออกมาไม่ดีก็ยังมีหน้ามีตา สิ่งสำคัญคือการสร้างจิ้นซื่อ และความไว้วางใจจากฮ่องเต้ กู้หยวนไป๋ต้องการให้ใครก้าวหน้าหรือต้องการที่จะขัดแข้งขัดขาใครก็สามารถทำได้จากตรงนี้

หลังจากที่เขาแต่งตั้งคนได้แล้ว ห้องเครื่องหลวงก็ส่งอาหารมาให้ นับตั้งแต่ที่เขาสั่งให้ทำบะหมี่จ้าเจี้ยงคราวก่อน ก็ดูเหมือนว่าห้องเครื่องหลวงจะพบวิธีปรุงซอสที่แตกต่างกันหลายร้อยแบบ ซอสเนื้อที่พวกเขาปรุงออกมานั้นหอมกรุ่น อาศัยเพียงสิ่งนี้ก็เป็นอาหารมื้อใหญ่ได้แล้ว

หลายวันนี้กู้หยวนไป๋ไม่ใคร่อยากอาหารสักเท่าใด ไม่ว่าคนในห้องเครื่องหลวงจะพยายามคิดสรรมากแค่ไหน เขาก็ยังขยับตะเกียบคีบไม่กี่จานแล้ววางตะเกียบลง หลังจากกู้หยวนไป๋สั่งให้คนเก็บอาหารแล้วก็ล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมงีบกลางวัน

เขาสั่งเถียนฝูเซิงให้ปลุกเขาอีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง กู้หยวนไป๋เข้าสู่ห้วงนิทราแต่คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะผล็อยหลับไปก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยความสั่นสะเทือนอันรุนแรง

ครั้นลืมตาขึ้นก็เห็นเถียนฝูเซิงน้ำตานองหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาท หวั่นไท่เฟยประชวรหนักพ่ะย่ะค่ะ”

 

จวนหลังหนึ่ง แถบชานเมืองนครหลวง

กู้หยวนไป๋เดินออกมาจากห้องที่อวลไปด้วยกลิ่นยา ครั้นมองดูต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งโดดเดี่ยวในลานจวน ดวงตาของเขาก็ดูแห้งผากเล็กน้อย

บัดนี้เถียนฝูเซิงและข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายต่างปิดหน้าร้องไห้ระงม หมอหลวงกำลังกระซิบผลการวินิจฉัยอยู่ทางซ้ายมือของฮ่องเต้

หวั่นไท่เฟยคือสนมของฮ่องเต้องค์ก่อน

และเป็นน้องสาวมารดาแท้ๆ ของกู้หยวนไป๋

มารดาของกู้หยวนไป๋จากไปตั้งแต่ยังสาว สกุลมารดาจึงให้หวั่นไท่เฟยเข้าวังเพื่อปกป้องกู้หยวนไป๋ หวั่นไท่เฟยยอมกินยาขับลูกด้วยตัวเองเพื่อให้ตนสามารถดูแลกู้หยวนไป๋ได้เสมือนแม่ลูกแท้ๆ ชีวิตที่เหลือของนางมีเพียงการปูทางให้กู้หยวนไป๋เท่านั้น

มารดาของกู้หยวนไป๋ตายอย่างมีเงื่อนงำและก็เป็นหวั่นไท่เฟยที่สืบสาวในตำหนักในทีละขั้นตอนจนรู้ความจริง นางแก้แค้นให้มารดาแทนเขา ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้น้อยก่อนหน้านี้หรือว่ากู้หยวนไป๋ในปัจจุบันก็ต่างปฏิบัติต่อหวั่นไท่เฟยเสมือนเป็นมารดาแท้ๆ

หลังจากฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต เดิมทีกู้หยวนไป๋คิดว่าจะรักษาตัวหวั่นไท่เฟยอยู่ในวังหลวงอย่างดี ทว่าหวั่นไท่เฟยตัดสินใจที่จะออกจากวัง นางไม่ต้องการที่จะตายอยู่ในวังหลวงด้วยซ้ำ

กู้หยวนไป๋ย้ายนางมายังจวนหลังนี้ ทว่าการดูแลอย่างพิถีพิถันก็ไม่สามารถต่อสู้กับกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนได้

หวั่นไท่เฟยชราลง นางไร้แรงจูงใจที่จะอยู่ต่อไปแล้ว

กู้หยวนไป๋มองท้องฟ้าขมุกขมัว หัวใจเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบไว้แน่น รู้สึกเคืองจมูกทว่าดวงตากลับแห้งผาก

“ไปเถิด”

รถม้ากระเด้งกระดอนอยู่บนถนนขรุขระ จากนั้นก็ค่อยๆ ห่างออกไป เถียนฝูเซิงเช็ดน้ำตาบนใบหน้า แล้วปรนนิบัติกู้หยวนไป๋อยู่บนรถม้าด้วยความเป็นกังวลและระแวดระวัง

กู้หยวนไป๋พิงอยู่บนหมอนนุ่ม เหม่อมองทิวทัศน์นอกรถม้า ครั้นรถม้าแล่นมาถึงในนครหลวงเขาจึงเรียกให้หยุดแล้วลงจากรถม้า ก่อนเดินไปยังวังหลวงด้วยตัวเอง

นครหลวงที่ถูกโอรสสวรรค์เหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าเจริญรุ่งเรืองและคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มีเด็กสองสามคนวิ่งผ่านไปพร้อมกับเสียงหัวเราะในขณะที่ถือลูกอมอยู่ในมือ กู้หยวนไป๋หยุดเดิน มองดูเด็กน้อยเหล่านั้น

เหล่าบุรุษสวมผ้าป่านหยาบกระด้างกำลังทำงานอยู่ข้างถนน เหล่าสตรีกำลังทำงานบ้านอย่างขะมักเขม้น ทั้งหญิงและชาย เด็กและผู้ใหญ่ต่างกำลังยุ่งเพื่อให้มีชีวิตที่ดี

อย่างไรก็ดี ที่มากกว่านั้นคือเหล่าบัณฑิตที่จับกลุ่มกันสองสามคนตามร้านตำราและโรงเตี๊ยม ทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยจวี่เหรินผู้หลงใหลในเหตุการณ์บ้านเมืองที่มาเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อ พวกเขาต่างกำลังหารือเกี่ยวกับการสอบฮุ่ยซื่อที่จะมาถึงด้วยเสียงอันดังอย่างกระวนกระวาย ไม่ก็วิตกกังวล

กู้หยวนไป๋ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งทหารองครักษ์รวมถึงข้ารับใช้ที่อยู่ด้านหลังก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน

พวกเขาเพียงแต่ติดตามโอรสสวรรค์หนุ่มผู้นี้อย่างเงียบๆ พร้อมทั้งตื่นตัวกับทุกสิ่งรอบข้าง

ขุนนางชั้นสูงและผู้สูงศักดิ์ในนครหลวงนั้นมีมากดุจขนวัว กู้หยวนไป๋และกลุ่มของเขาจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก กู้หยวนไป๋ดึงสติกลับมา ฝีเท้ายังคงก้าวไปข้างหน้า เพิ่งเดินไปเพียงสองก้าวกลุ่มหิมะก็ล่องลอยอยู่ตรงหน้าของเขาในทันใด

“อา! ท่านพ่อหิมะตกแล้ว!”

“หิมะตกแล้ว!”

เสียงโห่ร้องยินดีจากเด็กๆ รอบข้างดังขึ้นเป็นระลอก กู้หยวนไป๋หลุดขำพลางส่ายหน้า เถียนฝูเซิงรีบคลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกให้เขาอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ขึ้นรถม้าเถอะขอรับ”

“เดินอีกหน่อย” กู้หยวนไป๋เอ่ย “ข้าก็ไม่เห็นหิมะตกในนครหลวงนานแล้วเหมือนกัน”

หิมะเดือนสองโปรยปรายในนครหลวงราวกับขนห่านที่กำลังร่ายรำ หัวหน้าทหารองครักษ์กางร่มให้ฮ่องเต้ เกล็ดหิมะสีขาวร่วงจากขอบร่ม บางส่วนถูกลมพัดมาติดผมดำขลับซึ่งยาวถึงช่วงเอวของพระองค์

พวกเขาเดินผ่านเหลาสุราและโรงน้ำชา เซวียหย่วนยืนค้ำขอบหน้าต่างพลางแกว่งขวดสุราอยู่บนหอจ้วงหยวน ครั้นก้มหน้าลงก็เห็นคนกลุ่มนี้

ใบหน้าของฮ่องเต้ถูกซ่อนอยู่ใต้ร่ม ทว่าใบหน้าของเถียนฝูเซิงและหัวหน้าทหารองครักษ์นั้นกลับคุ้นเคยอย่างยิ่ง เซวียหย่วนแกว่งขวดสุราไปมาแล้วยื่นมือออกนอกหน้าต่าง เมื่อคนกลุ่มนั้นเดินผ่านหน้าต่างของเขา เขาก็คลายนิ้วทั้งห้าออก

เพล้ง…

เศษขวดสุราหล่นอยู่ด้านหลังกู้หย่วนไป๋ไม่ไกล เหล่าทหารองครักษ์ตัวแข็งทื่อในทันใด ก่อนมองขึ้นไปชั้นบนอย่างโหดเหี้ยม

กู้หยวนไป๋ผลักร่มออก ไร้สิ่งใดบังบดวิสัยทัศน์ ในขณะที่เขามองขึ้นไปนั้นก็มีมือหนึ่งวางสบายๆ อยู่บนขอบหน้าต่างชั้นสอง กู้หยวนไป๋ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเจ้าของมือนั้นคือคนที่โยนขวดสุรานี้ลงมาเฉียดศีรษะของเขา

กู้หยวนไป๋ยกยิ้มมุมปาก ทว่าน้ำเสียงกลับเยือกเย็นดุจหิมะ “พาเขาลงมา”

ผ่านไปไม่นานเซวียหย่วนที่มีกลิ่นสุราเหม็นหึ่งก็ถูกเหล่าทหารองครักษ์พาตัวลงมาจากหอจ้วงหยวน เกล็ดหิมะพัดโบกและโปรยปรายหนักหน่วงกว่าเดิม บัดนี้ร่มก็ไม่มีประโยชน์เท่าใดแล้ว กู้หยวนไป๋จึงให้หัวหน้าทหารองครักษ์เก็บร่มไร้ประโยชน์นั้นเสียแล้วยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวตามลำพังครู่หนึ่ง หิมะตกสะสมบนร่างเขาเป็นจำนวนมาก

เซวียหย่วนถูกพาเข้ามาหากู้หยวนไป๋ กู้หยวนไป๋เห็นเขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็บุตรชายของท่านแม่ทัพเซวียนี่เอง”

เถียนฝูเซิงเอ่ย “นายท่าน จะให้จับคุณชายเซวียกลับไปยังจวนท่านแม่ทัพหรือไม่ขอรับ”

ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน เซวียหย่วนก็เรอสุราออกมาพลางยื่นหน้าไปมองกู้หยวนไป๋ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมาว่า “ฝ่าบาท?!”

กู้หยวนไป๋มองอีกฝ่ายเงียบๆ บนเส้นผม บนเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก หรือแม้กระทั่งบนขนตาของเขาก็มีเกล็ดหิมะเกาะอยู่ ทว่าเกล็ดหิมะที่ตกลงมาเหล่านี้มิได้ละลายในทันที เมื่อเทียบกันแล้วบนตัวของเซวียหย่วนนั้นกลับสะอาดหมดจด เนื่องจากหิมะเหล่านั้นยังไม่ทันจะตกลงมาก็ถูกไอร้อนบนตัวของอีกฝ่ายจนละลายกลายเป็นน้ำไปแล้ว

เมื่อเห็นดังนี้กู้หยวนไป๋ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์

ไม่มีฮ่องเต้คนไหนอารมณ์ดีต่อหน้าคนที่จะยึดอำนาจการปกครองของเขาในอนาคต ทั้งยังสุขภาพแข็งแรงกว่าเขาเป็นร้อยเท่าได้หรอก

เซวียหย่วนผู้นี้เป็นสุนัขตัวหนึ่งที่กัดทันทีเมื่อเห็นคน ปกติไม่เห่าทว่าใจคอโหดเหี้ยม ศีลธรรมต่ำตมยิ่ง ในสายตาของเขามีเพียงความปรารถนาและอำนาจเท่านั้น เขาเป็นผู้นำกองทัพฝีมือดี ทว่าขุนนางเช่นนี้เปรียบเสมือนดาบคมที่ไร้ด้าม ถ้ามีใครคิดจะใช้งานเขาก็ต้องเตรียมใจว่ามือข้างหนึ่งของตัวเองก็อาจจะถูกตัดไปด้วย

กู้หยวนไป๋กล้าที่จะปั่นหัวฉู่เว่ย แต่กับเซวียหย่วนนั้นทำไม่ได้

กู้หยวนไป๋มองไปยังเศษขวดสุราที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

เซวียหย่วนยิ้มกว้าง ฤทธิ์สุรากระตุ้นร่างกาย เขามองไปยังเศษซากที่อยู่บนพื้น แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “เหตุใดสุราของข้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้”

เถียนฝูเซิงอุดจมูก บีบคอของตัวเองพลางเอ่ย “นายท่าน คุณชายเซวียน่าจะเมาแล้วขอรับ”

ทันใดนั้นกู้หยวนไป๋ก็หัวเราะออกมา เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างเศษขวด คนที่คุมตัวเซวียหย่วนก็พาเขาเดินตามไปด้วย สีหน้าของเซวียหย่วนผ่อนคลาย สองขาเดินอย่างเชื่องช้า เห็นเช่นนี้แล้วดูเหมือนทหารองครักษ์เหล่านั้นมิได้กดเขาไว้แต่เหมือนกำลังปรนนิบัติเขามากกว่า

เกล็ดหิมะร่วงลงปลายจมูก อาการระคายเคืองก่อตัวขึ้นพอดี กู้หยวนไป๋ไอสองสามทีแล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “คุกเข่าลงเถอะ”

ทหารองครักษ์ที่คุมตัวเซวียหย่วนออกแรงกดเข่าทั้งสองของเขาลงท่ามกลางเศษกระเบื้องแหลมคมที่ร่วงเกลื่อนพื้น

เศษกระเบื้องชิ้นใหญ่แทงทะลุเข้าไปในเนื้อ เลือดสดๆ ที่ชุ่มกางเกงไหลลงดินทันใด หิมะที่ตกลงบนเลือดนั้นละลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดบนพื้นกระจายตัวเร็วกว่าเดิม

เซวียหย่วนเก็บอาการที่ไม่เหมาะสมฉับพลัน เงยหน้ามองกู้หยวนไป๋อย่างมืดมน

กู้หยวนไป๋ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน แต่แล้วก็เอื้อมมือคว้าผมของเขากะทันหัน กู้หยวนไป๋ก้มศีรษะลงแล้วกระซิบข้างหูเซวียหย่วนอย่างชัดถ้อยชัดคำ “วันนี้อารมณ์ของเจิ้นแย่มาก คุณชายใหญ่เซวียอย่าเปิดโอกาสให้เจิ้นทำให้มารดาของเจ้าต้องเสียใจและผิดหวังเลย เข้าใจหรือไม่”

เซวียหย่วนถูกบังคับให้เชิดคางขึ้น กรามรัดแน่นเป็นเส้นโค้งจนแทบจะแตกออกได้ทุกเมื่อ หนังศีรษะถูกดึงจนด้านชา ในขณะที่คำว่า ‘มารดา’ สองคำนี้ลอยเข้ามาในหูเขาก็ยิ้มเยาะ “หย่วนทราบแล้ว”

กู้หยวนไป๋กล่าว “ดีมาก”

ฮ่องเต้น้อยปล่อยมือ เซวียหย่วนหันหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย มองดูฮ่องเต้น้อยที่ถอนตัวออกจากข้างหูของเขาพร้อมริมฝีปากซีดขาวที่เปื้อนยิ้ม ความเจ็บปวดที่เข่าค่อยๆ หายไป ทว่าไฟร้อนกลับปะทุขึ้นในตัวของเซวียหย่วนแทน

เขาก้มหน้ามองแผลบนเข่าของตัวเอง แย้มปากยิ้มอย่างมืดมน ครั้นฮ่องเต้และผู้ติดตามเดินจากไปแล้ว เซวียหย่วนจึงพยุงตัวลุกขึ้นยืน เดินกะโผลกกะเผลกกลับไปยังจวนสกุลเซวีย

 

สิ่งแรกที่กู้หยวนไป๋ทำหลังจากกลับเข้าวัง ก็คือสั่งให้คนในหน่วยควบคุมดูแลส่งคนเข้าไปในสกุลเซวียอีกครั้ง โดยอาศัยจังหวะตอนที่พวกเขารับสมัครคน

เป็นดังที่เขาคาด หลังจากที่เซวียหย่วนกลับไปที่จวนก็ดำเนินการเปลี่ยนคนภายในจวนใหม่ทั้งหมด ขายบ่าวรับใช้ทุกคนที่อาจเป็นหูเป็นตาให้ฮ่องเต้ จากนั้นค่อยซื้อคนที่มีประวัติใสสะอาดกลุ่มหนึ่งเข้าจวน

แน่นอนว่าเซวียหย่วนกับฉู่เว่ยคือตัวละครหลักสองคนที่กู้หยวนไป๋ให้ความสนใจเป็นพิเศษ มีคนสิบสองคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ในจวนสกุลเซวีย ครั้งนี้ถูกกำจัดออกไปเสียเจ็ดคน ยังเหลืออีกห้าคนในจวน บางทีเขาสามารถใช้โอกาสนี้ในการหยั่งรากและแตกหน่อ เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นต้นไม้สูงตระหง่านได้

กู้หยวนไป๋ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้

 

ระหว่างที่เดินกลับเข้าวังหิมะตกหนักตลอด ครั้นกลับถึงตำหนักรองเท้าก็เปียกชุ่ม เถียนฝูเซิงอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำในขณะที่ถอดรองเท้าและถุงเท้าให้กู้หยวนไป๋ “ฝ่าบาท รักษาพระวรกายมังกรด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ก้มหน้าเหลือบมองรองเท้า ยิ้มเอ่ย “เปียกหมดแล้ว”

เถียนฝูเซิงกับบรรดาขันทีและนางกำนัลต่างยุ่งขึ้นมาทันใด แต่หลังจากทำให้ฮ่องเต้สะอาดสะอ้านไร้ความเปียกชื้นได้ในที่สุด จึงพากันถอนหายใจโล่งอกโดยพร้อมเพรียง

ฮ่องเต้นั่งลงบนเตียง ก่อนขันทีจะยกน้ำอ้ายเฉ่า แช่เท้าออกไป ท้องฟ้านอกหน้าต่างขมุกขมัวแล้ว แต่แสงไฟในห้องบรรทมกลับสว่างไสวเหมือนกลางวัน

“พระวรกายของหวั่นไท่เฟยย่ำแย่มาก” กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจเบาๆ “หมอหลวงบอกเจิ้นว่าเกรงว่าจะอยู่ไม่พ้นฤดูร้อน”

เถียนฝูเซิงกดนวดไหล่ให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หวั่นไท่เฟยไม่ต้องการให้ฝ่าบาทเป็นทุกข์นะพ่ะย่ะค่ะ”

“เจิ้นรู้” กู้หยวนไป๋พูด “นางกลัวว่าเจิ้นจะเป็นกังวล”

“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ การที่หวั่นไท่เฟยได้เห็นฝ่าบาทมีความสุข นางจึงจะมีความสุขพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ไม่พูดอะไรอีก หลังจากไหล่รู้สึกผ่อนคลายลงแล้ว ก็สั่งให้เถียนฝูเซิงพาคนออกไป เนื่องจากเขาต้องการอยู่เงียบๆ ตามลำพัง

เขาเพิ่งจะเริ่มต้น เพิ่งจะควบคุมราชสำนักมาไว้ในมือของตัวเอง

ใต้หล้ายังมีอะไรอีกมากที่เขายังไม่ได้ทำ หรือแม้กระทั่งมีบางเรื่องที่ต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีหรือแม้แต่สิบปีเพื่อไปตรวจสอบด้วยซ้ำ

หวั่นไท่เฟยเป็นห่วงเขา เพราะกังวลว่าเขาจะโทษร่างกายของตัวเอง

แต่แท้จริงแล้วกู้หยวนไป๋รู้สึกขอบคุณสำหรับชีวิตที่พิเศษนี้ ยิ่งไปกว่านั้นชีวิตนี้ทำให้เขาได้ชื่นชมทัศนียภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ก่อนนอนกู้หยวนไป๋ก็นึกถึงเซวียหย่วนและฉู่เว่ย

เขาไม่มีความคิดที่จะต่อต้านตัวเอกทั้งสองคนนี้ หากไม่มีเซวียหย่วนก็อาจจะมีหวังหย่วนหรือหลี่หย่วน…ซึ่งเหตุผลเดียวที่อาจทำให้เกิดความวุ่นวายก็คือตัวฮ่องเต้เองทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ

ชีวิตของเขาในตอนนี้มีอยู่จำกัดมาก ทว่าไม่ว่าจะเป็นเซวียหย่วนหรือฉู่เว่ย พวกเขาในฐานะตัวเอกของเรื่องจะต้องทำให้ต้าเหิงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน บางทีทั้งคู่อาจสามารถสานต่อความทะเยอทะยานของเขาและทำในสิ่งที่เขาต้องการทำต่อไปก็ได้

อย่างไรก็ดี เซวียหย่วนมีหัวขบถมากเกินไป หากต้องการทำให้หมาบ้าตัวนี้เชื่อง กู้หยวนไป๋ยังต้องคิดหาวิธี

ต้องทำอย่างไรถึงให้เขาเชื่อฟังนะ

จับเขามาโบยเพื่อให้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดหรือ

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 24 มิ.. 65

  

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: