ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 19
ความเร็วของอั้นอู่นั้นรวดเร็วมาก เพียงชั่วเวลาสั้นๆ หนึ่งก้านธูป** ก็หาข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับซือหมิง นำสิ่งที่จงจี่ต้องการมาให้ แล้วยืนรอการตอบรับจากเจ้าตำหนักลับอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม
จงจี่พึงพอใจอย่างมาก นี่ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนเป็นท่านประธานจอมเผด็จการที่เพิ่งลงจากเฮลิคอปเตอร์ ยืนอยู่ชั้นบนสุดของตึกเอ็มไพร์สเตตพร้อมสั่งการลูกน้องอย่างกระฉับกระเฉง ตัวอย่างเช่น ‘ฉันต้องการข้อมูลทั้งหมดของเขาภายในสามนาที’ หรือ ‘อากาศเย็นแล้ว ถึงเวลาให้ซือหมิงล้มละลายแล้ว’*** XD
เขาพลิกอ่านข้อมูลของซือหมิงครู่หนึ่ง บนหน้ากระดาษเขียนลักษณะนิสัยไม่แสวงหายศฐาและอำนาจของจ้วงหยวนคนใหม่ผู้นี้เอาไว้อย่างชัดเจนถึงที่สุด จุดที่ทำเครื่องหมายเน้นหนาเอาไว้คือเป็นคนหัวแข็ง บนม้วนคัมภีร์หยกถึงกับแนบภาพสีเคลื่อนไหวขนาดครึ่งศีรษะของซือหมิงรูปหนึ่งด้วย เรียกได้ว่ารู้งานอย่างที่สุด กระจ่างแจ้งในปราดเดียว
ดี ดีมาก
ชัดแจ้งว่าตอนที่เจ้าหนุ่มนี่คุยโตโอ้อวดราวกับเป็นความหวังของตำหนักลับรุ่นใหม่ ถ้อยวาจาดุเดือด ทิ้งความประทับใจอันดีงามอย่างคนในตำหนักลับที่เห็นความอยุติธรรมบนท้องถนนก็ชักดาบเข้าช่วยเหลือให้กับบรรดาผู้รายล้อมกินแตงบนถนนก่อนหน้านี้
ผลคือเขาแค่คิดดึงนามของตำหนักลับมากลิ้งกลอกก็เท่านั้น จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ* ทำให้คนรู้สึกว่าเขาพึ่งภูเขาอย่างมั่นคงยิ่ง
หึ นามของตำหนักลับยืมใช้กันเช่นนี้ได้แล้วหรืออย่างไร ต่อให้นำไปกระทำเรื่องดีก็ไม่ได้ กล้าหลอกลวงจงจี่ก็ต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยน
ครั้งนี้ทำได้เพียงโทษที่เจ้าหนุ่มนี่โชคไม่ดี กระแทกศีรษะเจ้าตำหนักลับเข้าให้แล้ว
จงจี่เผยรอยยิ้มชั่วร้ายเฉพาะตัวของคนในนิกายมารทีหนึ่ง ก่อนวางข้อมูลในมือลง
“ซือหมิงผู้นี้ยั่วโทสะมหาราชครูหลัว เรื่องราวส่วนใหญ่ในแวดวงขุนนางข้าคงเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้ ส่งคนสักสองสามคนไปจับตาดูเขา รอถึงตอนที่เขาหิ้วภาระ สิ้นหวังตกทุกข์ค่อยไปชักชวนเขามา”
“น้อมรับบัญชา”
สายตาที่จงจี่มองคนนั้นแม่นยำมาตลอด
ต้นฉบับ ‘อิสระ’ ยืดยาวถึงเพียงนั้นเพราะไม่มีคนอ่านตอนที่ลงต่อเนื่องอยู่ในเว็บในทีแรก จงจี่จึงตัดทอนเค้าโครงเรื่องเล็กน้อย เร่งจบให้เร็วขึ้น หลังจากนำเนื้อเรื่อง ‘อิสระ’ ดำเนินไปสู่ตอนอวสานแล้วก็ไม่รู้เลยว่าจะมีการพัฒนาอะไรตามมาในโลกใบนี้
ซือหมิงเองก็ไม่ใช่ตัวประกอบเหล่านั้นที่จงจี่เขียนขึ้นมา เป็นไปได้มากว่านี่เป็นเพียงภูมิหลังที่เขียนบรรยายออกมาอย่างง่ายดายในหนึ่งปากกา หรือไม่ก็เป็นตัวละครพื้นเมืองที่โลกเสริมขึ้นมาเองหลังก่อกำเนิดเป็นรูปเป็นร่าง
แต่ลักษณะนิสัยอย่างไม่แสวงหายศฐาแลอำนาจ ไม่เกลือกกลั้วกับโลกิยะ ทั้งยังกล้าเปิดโปงความมืดมิดเช่นนี้ทำให้จงจี่ชื่นชมอย่างมาก จึงเริ่มมีความคิดเรื่องการดึงตัวเขามาเป็นพวก
ทว่าการสั่งสอนนั้นก็ต้องสอนสั่ง หากดึงตัวเข้ามาในตำหนักลับได้จริง จงจี่จะต้องให้เขาคัดลอกระเบียบของตำหนักลับสักยี่สิบรอบแน่นอน
เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก จวนองค์ชายสิบสองวุ่นกันอยู่วันหนึ่งก็เพื่องานสมโภชของเย็นวันนี้
ยามพลบค่ำโคมไฟน้อยใหญ่ในเมืองไป๋จิงลอยละล่อง แผ่แสงอบอุ่นนวลอ่อนไปในอากาศ ส่องให้ทั้งเมืองอุ่นสบาย ย้อมกลีบดอกไม้ที่บานสะพรั่งให้กลายเป็นสีเปลวไฟ คล้ายกับจะหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับเมฆสีเพลิงอันเรืองรอง
“องค์ชาย ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์…”
รถม้าขบวนหนึ่งเตรียมพร้อมคอยท่าอยู่หน้าจวนองค์ชายแล้ว องค์ชายสิบสองทรงสวมฉลองพระองค์พิธีการขององค์ชายสายตรงอันสลับซับซ้อนยืนอยู่หน้ารถม้าพร้อมสายตาเปี่ยมความหวังด้วยพระองค์เอง พอนานเข้าที่ปรึกษาไร้สมองจำนวนไม่น้อยต่างก็ไม่พอใจอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญคือท่าทีของท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นไม่ให้เกียรติกันเกินไป รอมาใกล้จะหลายก้านธูปแล้ว แม้แต่ชายเสื้อก็ยังไม่เห็น
“หุบปาก!”
ตงสือเอ้อร์สีหน้าเคร่งขรึม แผดเสียงตำหนิโดยพลัน
“ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ใด เพียงแค่มีไมตรีจิตปันกำลังแขนข้างหนึ่งมาอำนวยพรข้าก็เท่านั้น”
แม้เขาจะลอบส่งข้อมูลให้ตำหนักลับไม่น้อย แต่เวลานี้หากได้รับการช่วยเหลือจากผู้ศักดิ์สิทธิ์อีกแรงก็นับว่าได้กำไรแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดในใต้หล้าบูชาผู้แข็งแกร่ง ประจวบเหมาะที่ปีหน้าเองก็เป็นช่วงคัดเลือกจักรพรรดิของราชวงศ์แคว้นตงในรอบสิบปี
ประวัติศาสตร์ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายปี ระบอบนี้เองก็ได้รับการปรับปรุงไปมากมาย ตัวอย่างเช่น…สามารถเชื้อเชิญคนนอกที่เหมาะสมได้
แน่นอนอยู่แล้ว ราชนิกุลแคว้นตงทั่วไปคงจะเชิญลูกพี่ขั้นศักดิ์สิทธิ์มาน้อยอย่างยิ่ง อย่างไรเสียพี่ใหญ่ขั้นศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนต่างรักถนอมขนปีก คงจะไม่เข้าร่วมแวดวงการเมืองของพวกเขา และกระตุ้นคำวิจารณ์อย่างสาดเสียเทเสียจากปัญญาชนเพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่าหัวแมลงวันหรอก
แม้ชักชวนขั้นศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่ชักชวนพี่ใหญ่ขั้นเก้าได้หลายคนก็สำราญใจแล้ว ส่วนจงจี่มีฐานะเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า เป็นป้ายหน้าร้านมีชีวิตผู้หนึ่ง หลังจากผ่านคืนนี้ขอเพียงปล่อยข่าวออกไปก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีผู้ใดเป็นฝ่ายติดต่อเข้ามาหาองค์ชายสิบสองแล้ว
หากจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา การได้รู้ว่าครั้งนี้เจ้าตำหนักลับถึงกับไปขอร้องให้สหายสนิทตนมาออกหน้าก็เพียงพอให้องค์ชายสิบสองปีติยินดีนับหมื่นส่วนแล้ว
การซื้อขายครั้งนี้ไม่ขาดทุนจริงๆ
“ไปกันเถิด”
ในตอนที่ที่ปรึกษาผู้นั้นกำลังหน้าซีดขาว กล่าวยอมรับผิดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกติดต่อกันหลายเสียง เงาร่างสวมหมวกสานก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างภูตผี มือถือโคมส่องสว่างดวงหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมมืดของชายคา สีทองเข้มบนสาบเสื้อราวกับจะกลิ้งตามแสงโคมตกลงไปบนพื้นถนนแผ่นศิลาเขียว
จงจี่ย่อมไม่ใช่ผู้มีวาจาไม่น่าเชื่อถือพรรค์นั้น เขาไม่อยากไปเข้าร่วม แต่ไปเดินเล่นในงานสมโภชแคว้นตงสักรอบหนึ่งเพื่อให้องค์ชายสิบสองได้ยืมใช้อำนาจสักเล็กน้อยนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา
พระราชวังแคว้นตงยิ่งใหญ่โดดเด่น กำแพงแดงกระเบื้องเหลืองซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เสียงระฆังดังบอกเวลาอยู่ในส่วนลึกของพระราชวัง ก้องสะท้อนกังวาน นางกำนัลก้มหน้าเทียวไปเทียวมา มีเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง
แม้จะบอกว่าเป็นงานสมโภช แต่ความจริงแล้วก็เป็นงานเลี้ยงตามธรรมเนียมที่จัดขึ้นใน ‘เทศกาลสรงกระยาหาร’ วันเทศกาลตามประเพณีแคว้นตงงานหนึ่งเท่านั้น ไม่แตกต่างอะไรจากงานเลี้ยงตามปกติมากนัก
ดนตรีบรรเลงอึงอล เริงระบำคล่องแคล่ว คนงามเงยหน้า ข้าราชบริพารกระซิบกระซาบ ประจักษ์แจ้งแก่ใจมิใช้วาจาเหมือนกัน
ภายในตำหนักประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจงยิ่ง มีสีเหลืองสว่างอันสูงส่งล้ำค่าอย่างที่สุดเป็นพื้นฐาน ทุกแห่งหนล้วนเผยให้เห็นความสามารถของท้องพระคลังแคว้นตงอันทรงพลัง มองเห็นถึงฐานะของมหาจักรพรรดิแผ่นดินเสวียนซวีของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ระหว่างการดื่มสุราอย่างครึกครื้นในงานนี้ให้ความรู้สึกมีคลื่นใต้น้ำโหมซัดอยู่บ้างอย่างชัดเจน
ปีหน้าก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของแคว้นตงแล้ว ในใจองค์ชายทั้งสิบแปดองค์ล้วนคิดแต่จะต่อสู้หักหลังกัน เจ้าลวงข้าหลอก ต่างวางขุมอำนาจเอาไว้ภายใต้ชื่อตนอย่างประจักษ์แจ้งแก่ใจมิใช้วาจา ผู้ใดก็ล้วนไม่ยอมปล่อยวางโอกาสในการขึ้นนั่งบนบัลลังก์
มหาเทพตงเหยี่ยนถึงแม้จะมีความสามารถแข็งแกร่ง แต่ก็มิใช่ไร้จุดอ่อนให้โจมตี อย่างไรเสียแม้ภายในสิบแปดองค์ชายจะต่อตีกันไปมา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตงเหยี่ยน ในเวลาปกติทั้งสิบแปดองค์ชายเองก็ถูกบีบบังคับกดดันจากมหาเทพแทบจะพร้อมเพรียงกันอยู่ไม่น้อย ล้วนวางแผนไว้ว่าจะร่วมมือกันลากตงเหยี่ยนลงมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“ประกาศ…! องค์ชายสิบสองเสด็จ!”
สายตาของผู้คนพลันหันไปอย่างพร้อมเพรียงกัน ในตอนที่เห็นเงาร่างสง่างามเฉยชาข้างกายองค์ชายสิบสองแล้วก็ล้วนสูดลมหายใจเย็นเยือกเฮือกหนึ่ง
“เสด็จพี่ ท่านนี้คือสหายรักของสือเอ้อร์ จงจี่ ศิษย์เอกแห่งพรรคไท่ซวี ท่านคงเคยได้ยินมาบ้าง”
ตงสือเอ้อร์ใบหน้าไร้ความผิดปกติ บุคลิกเปลี่ยนไปเป็นเงียบขรึมสงวนวาจาผิดจากที่ผ่านมา ประดับไว้ด้วยรอยยิ้มสุภาพจอมปลอม ทำการคารวะไปยังผู้อยู่ห่างไกลด้านบน
“ข่าวลือเมื่อวานคิดไม่ถึงว่าจะเป็นความจริง…”
“ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์เผยใบหน้าคราหนึ่งยากยิ่ง หลายปีมานี้รู้เพียงว่าท่านรักษาสัมพันธ์อันดีกับเจ้าตำหนักลับ ไม่คิดว่าจะเป็นพระสหายขององค์ชายสิบสองเช่นกัน”
“หากว่าการประชันปีหน้าองค์ชายสิบสองดึงท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ให้มาเป็นพวกได้…”
ในยามปกติองค์ชายสิบสองไม่ได้รับความรักใคร่ ชาติกำเนิดเองก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ล้วนเป็นผู้ที่นิ่งเงียบที่สุด วันนี้ดูแล้วกลับซ่อนเร้นความสามารถ เพียงเพรียกร้องก็สะท้านผู้คน
บรรดาข้าราชบริพารพลันเดือดพล่านดั่งแกงน้ำมันร้อนผะผ่าว แต่กลับหยุดเสียงเอาไว้อย่างรวดเร็วในขณะที่สายตาไม่ไยดีของมหาเทพกวาดผ่าน
“ที่แท้ก็เป็นท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ เลื่อมใสในนามมานานแล้ว”
กายสวมฉลองพระองค์สีเหลืองสว่าง มหาเทพผู้ทรงกลิ่นอายสูงศักดิ์เข้มงวดทั่วทั้งร่างเพียงทรงพระสรวลเล็กน้อย พู่ลูกปัดหน้าพระนลาฏไหวคลอนแผ่วเบา ปกปิดนัยน์พระเนตรสีม่วงเข้มอันลึกล้ำราวกับสระน้ำหนาวเอาไว้ได้อย่างชาญฉลาด
“พระนามของมหาเทพ ผู้แซ่จงเองก็เลื่อมใสมานานเช่นเดียวกัน”
จงจี่ไม่ถ่อมตนไม่โอ้อวด อารมณ์บนใบหน้าเฉยเมยเสียจนเข้าใกล้คำว่าไม่มีขณะผงกศีรษะทักทายผู้ที่อยู่ด้านบน
มุมพระโอษฐ์ของตงเหยี่ยนยกขึ้นอย่างค่อนข้างชั่วร้าย พระหัตถ์ที่แต่เดิมทรงยันเอาไว้ข้างบัลลังก์มังกรอย่างเกียจคร้านก็ทรงเก็บกลับมา ก่อนจะค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นตรงจากที่นั่ง คิดไม่ถึงว่าจะทรงพระดำเนินลงมา เหยียบบนพรมสีแดงเข้มต้อนรับอยู่ตรงหน้าด้วยพระองค์เอง
“เราชื่นชมนามของอันดับหนึ่งในใต้หล้ามานานแล้ว วันนี้ได้มาเห็นท่านคราหนึ่ง เป็นเรื่องน่าสำราญในชีวิตจริงๆ มายกสุราสักหนึ่งจอกใหญ่!”
แผ่นดินเสวียนซวีแม้จะมีอำนาจของจักรพรรดิ แต่หลักสำคัญนั้นยังเป็นการถือยุทธ์เป็นใหญ่ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นสูงเป็นเป้าหมายให้ทุกคนเงยหน้ามอง นอกเสียจากว่าพรสวรรค์ในด้านฝึกบำเพ็ญเพียรค่อนข้างน้อยนิดถึงจะเลือกหนทางอื่น
เวลานี้ตงเหยี่ยนวางท่าทางความเป็นมหาเทพของตนลง มือหนึ่งกางออก เอื้อมไปคว้าจับกลางอากาศว่างเปล่า จอกหยกแก้วหลากสีที่มีสุราเลิศรสรินเต็มจอกคู่หนึ่งหล่นลงมากลางฝ่ามือเขา หยาดสุรากลมกล่อมมิได้กระดอนหกแม้เพียงครึ่งหยด
ตงเหยี่ยนมองตรงไปยังจงจี่ พลันยิ้มเล็กน้อย บนฝ่ามือถ่ายเทพลังวิญญาณ ผลักจอกสุราไปด้านหน้า ใช้พลังถึงเก้าส่วน กระทั่งข้างจอกสุราล้วนห้อมล้อมไปด้วยกระแสลมรุนแรง
พละกำลังเช่นนี้หากซัดลงบนร่างผู้บำเพ็ญเพียรขั้นเก้า เกรงว่าคงจะได้รับบาดเจ็บภายในไม่น้อย
“สุราดี”
จงจี่ก็ไม่ได้ปัดออก แม้จะมองดูแล้วหยาดน้ำไม่กระดอน แต่ความจริงแล้วในใจนั้นกระตุกวาบ รีบโคจรพลังวิญญาณสิบในสิบส่วน ยื่นสามนิ้วออกไป มองดูแล้วคล้ายกับว่าคว้าจอกสุรานั้นมาไว้ในมืออย่างผ่อนคลาย ก่อนสะบัดแขนเสื้อเงยหน้าดื่มจนหมดในรวดเดียว
“ท่านอาจหาญยิ่ง!”
มีเพียงตงเหยี่ยนเท่านั้นที่รู้ว่าในชั่วเวลาเมื่อครู่เขาใช้อะไรไปบ้าง เขากระทั่งหยั่งเชิงความฉลาดในการใช้กำลัง ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนถูกจงจี่แก้ไขได้โดยง่าย
ใช้เพียงสามนิ้วเท่านั้น
ตงเหยี่ยนเวลานี้บำเพ็ญถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์สี่ดาวแล้ว คิดดูแล้วการบำเพ็ญของจงจี่น่าจะสูงกว่าเขาหนึ่งช่วงใหญ่ถึงจะสามารถทำได้โดยง่ายดายถึงเพียงนี้
บางที…
ผู้ทะลวงขั้นเซียนได้เป็นคนแรกในคำเล่าลือคงจะปรากฏตัวขึ้นแล้วจริงๆ
หลังจากคิดเรื่องนี้ตกรอยยิ้มบนใบหน้าของตงเหยี่ยนก็เปลี่ยนเป็นจริงใจเต็มเปี่ยม ถึงขั้นให้นางกำนัลนำเก้าอี้มาเพิ่มข้างบัลลังก์มังกรอย่างใจกว้าง เชื้อเชิญจงจี่ให้ไปชมงานเลี้ยงร่วมดื่มกับเขา
ผู้บำเพ็ญเพียรก็หยาบกระด้างเรียบง่ายเช่นนี้ ขอเพียงความสามารถของเจ้าทำให้พวกเขารู้สึกว่าควรค่าแก่การเคารพเลื่อมใส ท่าทีก็จะเปลี่ยนไปทั้งร่างอย่างสาวน้อยเวทมนตร์ปาลาลา*
ภายใต้สถานการณ์ที่ตงเหยี่ยนสามารถเก็บหมวกทรราชไปได้ก็จะปกครองแคว้นตงเช่นนี้ไปอีกนาน แม้แต่ความหมายในแววตาก็ล้วนมองออก ย่อมจะไม่เป็นฝ่ายสร้างศัตรูที่ไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง
จงจี่ “…”
บนใบหน้าเขายังคงประดับความลึกล้ำยากหยั่งถึงเอาไว้อยู่ ทว่าภายในใจกลับแยกเขี้ยวยิงฟัน ง่ามนิ้วที่ประคองจอกสุราสั่นเทา ถึงจะใช้เคล็ดวิชาฝ่ามือหยกขาวที่หายสาบสูญไปของพรรคไท่ซวีก็ยังชาไปทั้งท่อนแขน
เวร! ตงเหยี่ยนผู้นี้ร้ายจริงๆ
หลังจากขั้นศักดิ์สิทธิ์ ระยะห่างของดาวต้นกำเนิดดวงหนึ่งนั้นล้วนเป็นดั่งฟ้าห่างดินไกล สมมติว่าเวลานี้เปลี่ยนเป็นน้องชายที่เพิ่งย่ำเข้าเขตแดนขั้นศักดิ์สิทธิ์มาได้ผู้หนึ่ง ไม่แน่ว่าคงจะคุกเข่าลงไปแล้ว
แค่นึกถึงพี่ใหญ่หลายสิบคนที่อาศัยแค่อากาศก็สามารถกดศีรษะเขาได้หลังจากโลกหลอมรวมกันแล้วในเวลานี้ ในใจจงจี่ก็พลันเจ็บแปลบระลอกหนึ่ง
สุรารสเลิศไหลลงไปใจเจ็บปวด.jpg
ไหนๆ ก็พูดขึ้นมาแล้ว สุราเลิศรสของแคว้นตงนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่รู้ว่าช่วงนี้นักหมักสุราในพระราชวังเหล่านี้พัฒนาสูตรอะไรออกมาอีก สุราเลิศรสหลายจอกนี้ลงท้องจงจี่ไปแล้วยากลืมเลือน รสชาติติดลิ้นไร้สิ้นสุด
อยากจะไปขโมยสูตรหมักสุราอีกสักรอบเสียจริง
ดังนั้นจงจี่จึงไม่ได้ปฏิเสธคำเชื้อเชิญของตงเหยี่ยนโดยสิ้นเชิง เพื่อละเลียดดื่มสุราจึงทิ้งองค์ชายสิบสองผู้พาเขามาอย่างไม่ลังเล เปลี่ยนมือข้างที่ไม่เจ็บ รับสุราจอกแล้วจอกเล่ามาร่วมดื่มกับตงเหยี่ยน
ภายใต้งานเลี้ยงแห่งนี้เสียงพูดคุยหัวเราะนุ่มนวล แขกและเจ้าภาพสุขสำราญ
** หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง
*** อากาศเย็นแล้ว ถึงเวลาให้ซือหมิงล้มละลายแล้ว มาจากประโยค ‘อากาศเย็นแล้ว เครือสกุลหวังล้มละลาย’ ในนิยายเรื่อง ‘หว่อเตอเลี่ยหั่วเป่าเปียว’ (我的烈火保镖) ความหมายเป็นการเน้นย้ำถึงความมีอำนาจของผู้พูด ซึ่งสามารถทำให้คนที่ไม่ชอบล้มละลายได้อย่างง่ายดาย
* จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ หมายถึงพวกที่แอบอ้างบารมีผู้อื่นมาข่มขู่หลอกลวงผู้คน
* สาวน้อยเวทมนตร์ปาลาลา (Balala the Fairies) เป็นละครแนวแฟนตาซีที่พูดถึงเรื่องราวระหว่างปราสาทเซียนมารกับโลกมนุษย์
บทที่ 20
“ท่านคอแข็งนัก”
ตงเหยี่ยนและจงจี่นั่งอยู่บนแท่นสูงชนจอกสุรากันจอกแล้วจอกเล่า กิริยาองอาจ ไม่ลากโคลนคาดน้ำ* เลยแม้แต่น้อย
“เช่นกันๆ”
เขาต้องเสแสร้งอยู่บ้างเพราะมืออีกข้างที่จงจี่ซุกไว้ในแขนเสื้อยังคงเจ็บอยู่ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับความเร็วในการดื่มสุราของเขา
เพื่อที่จะรับรองอันดับหนึ่งในใต้หล้า มหาเทพตงเหยี่ยนก็มิได้รับรองอย่างลวกๆ เลยแม้แต่น้อย เร่งรีบขุดสุราเลิศรสจากห้องเก็บสุราของท้องพระคลังแคว้นตงออกมาไหแล้วไหเล่า เมื่อดินผนึกเปิดออก กลิ่นหอมหวลที่กำจายออกมาจากภายในก็ทำให้จงจี่อยากจะคว้ามากอดแล้วหนีไปแทบทนไม่ไหว
รสชาติล้ำเลิศของโลกมนุษย์นี่หนา
หากละทิ้งทุกแง่ทุกมุมออกไปเสีย ความจริงแล้วจงจี่เดิมทีกลับไม่ได้รังเกียจอะไรตงเหยี่ยน
ตงเหยี่ยนเป็นตัวร้ายผู้หนึ่ง เพื่อที่จะขับเน้นพระเอกที่เป็นด้านตรงข้ามกันให้โดดเด่นขึ้นมา จงจี่จึงเพิ่มรายละเอียดตัวละครให้เขาไปไม่น้อย อย่างเช่นความทะเยอทะยานไร้ที่เปรียบ เจ้าเล่ห์แสนกล หน้าเหี้ยมร้ายกาจ อำมหิตแต่ก็มีเมตตา เจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรเหล่านั้น พลิกหน้ากระดาษในพจนานุกรมซินหวา* ค้นหาคำที่มีความหมายเชิงลบออกมากองใหญ่แล้วใส่มันลงไปบนร่างเขาแบบไม่คิดเงิน หลากหลายล้นเหลือก็เพื่อที่จะนำเสนอพลังอำนาจในการเป็นตัวรับกระสุนของตงเหยี่ยน
แต่ในความเป็นจริงแล้วหากถอดความหมายของคำเชิงลบเหล่านี้สักหน่อยก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นสง่างามเด็ดขาด กล้าหาญมีแผนการ รอบคอบถ้วนถี่ มั่นใจในตนเองได้
บทบาทของตงเหยี่ยนรวมอยู่ในช่วงครึ่งหลังของเนื้อเรื่อง สถานการณ์ครึ่งหลังของแผ่นดินเสวียนซวีนั้นปั่นป่วน แต่ละแคว้นระส่ำระสายต้องการโยกย้าย ผู้บำเพ็ญเพียรและสำนักพรรคต่างเข้าเรียงแถวของตนเอง สงครามแผ่นดินใหญ่หากเพียงแตะต้องก็จะบังเกิด
และตงเหยี่ยนก็แสดงเป็นตัวละครที่ทะเยอทะยานในการปั่นป่วนโลกผู้หนึ่ง เพื่อที่จะชำระแค้นให้กับจอมมารราตรีมืดมิดสหายรัก เขาไล่ติดตามเข้าไปให้จิงเจ๋อตบหน้า พุ่งเข้าไปถูกจิงเจ๋อจัดการอย่างด้อยปัญญา สุดท้ายก็เดินไปรับกล่องข้าวกลับบ้าน** อย่างน่าเวทนา
โดยธาตุแท้แล้วจงจี่ก็ไม่ได้เกลียดชังตัวละครตัวใดตัวหนึ่งเลย
นี่คือโลกที่เขาสร้างขึ้น ทุกคนในโลกล้วนเป็นคนที่เขาสร้างขึ้น
ไม่มีผู้สร้างคนใดไม่ชอบสิ่งใดก็ตามที่ตนเองสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างตั้งใจ ไม่ว่าสิ่งนั้นที่เขียนจากปลายปากกาตนจะเผยออกมาเป็นความชั่วร้ายหรือว่าความดีงามก็เพียงแค่มีจุดยืนต่างกันเท่านั้น
พูดอีกอย่างก็คือเนื้อเรื่องของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ในเวลานี้ยังไม่ได้แผ่ขยายออกไปทั้งหมด จอมมารราตรีมืดมิดยังไม่ถูกจิงเจ๋อสังหาร ยังห่างไกลจากเนื้อเรื่องที่ตงเหยี่ยนก่อเรื่องอย่างบ้าคลั่ง ปลุกระดมสงครามห้านครขึ้นมาอีกหนึ่งช่วงใหญ่
ขอเพียงตอนนี้ตงเหยี่ยนยังไม่ได้ทำลายความสงบสุขของแผ่นดินเสวียนซวี จงจี่ก็จะไม่ไปหาเรื่องเขา
แน่นอนว่าหากมีเค้าลางว่าต้องการทำลายความสงบสุข จงจี่ก็จะไม่ยั้งมือเด็ดขาด
อีกทั้งอันที่จริงแล้วตงเหยี่ยนก็เป็นคนน่าสังเวชผู้หนึ่ง เพื่อที่จะหาทางออกให้กับอารมณ์แปรปรวนและนิสัยโหดเหี้ยมอหังการของตงเหยี่ยน จงจี่อุตส่าห์ลำบากลำบนคิดเรียบเรียงชาติกำเนิดอันเศร้าสลดให้กับเขาท่อนหนึ่ง
จงจี่ : ต้องโทษที่ตอนแรกฉันเขียนมันออกมาโหดร้ายมากเกินไป เฮ้อ
ชาติกำเนิดของมหาเทพตงเหยี่ยนตอนเด็กเทียบกันแล้วสู้องค์ชายสิบสองไม่ได้เลย มารดาของเขาเป็นนางคณิกาชื่อดังผู้เป็นที่เลื่องลือในเมืองไป๋จิงอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง หากมิใช่เพราะจักรพรรดิองค์ก่อนเวทนาก็อาจจะไม่แม้แต่ได้รับยศเป็นองค์ชาย
แต่ต่อให้ได้รับยศมาแล้ว ชาติกำเนิดอันน่าขายหน้าก็ยังคงเป็นดั่งกระบี่คมเล่มหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น สลักรอยแผลอันอัปยศลงบนร่างของตงเหยี่ยน ทำให้เขาได้รับสายตาเย็นชาและการเมินเฉย ตอนเด็กถูกเสด็จพี่เสด็จน้องคนอื่นรังแกไม่น้อย ได้ลิ้มรสร้อนหนาวทั้งหมด นำไปสู่ข้อบกพร่องเรื่องบุคลิกทิฐิดื้อรั้นไร้ที่เปรียบของเขา
แน่นอนว่าการเพิกเฉยเช่นนี้ก็มอบผลประโยชน์ให้กับตงเหยี่ยนด้วยไม่น้อย บรรดาองค์ชายทั้งหลายในราชวงศ์แคว้นตงย่อมไม่มีผู้ใดจดจำตัวโปร่งแสงน้อยตงเหยี่ยนผู้นี้ได้
เวลานั้นจักรพรรดิองค์ก่อนอายุมากแล้ว เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์แต่ละพระองค์ก็ล้วนมีความคิดของตนเอง ระดมทหารผู้ช่วย รวบรวมพรรคพวกเตรียมขึ้นชิงบัลลังก์แสวงหาอำนาจ
ผลสุดท้ายเรื่องที่คิดไม่ถึงก็คือเจ้าหนุ่มตงเหยี่ยนนี่อาศัยพรสวรรค์ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากที่ใดของตนเองกราบอาจารย์ผู้หนึ่ง สิบปีมานี้ตรากตรำร่ำเรียนหมั่นเพียรฝึกฝน สำเร็จวรยุทธ์ยิ่งใหญ่ในที่สุด สร้างความโดดเด่นอย่างยิ่งในช่วงสงครามชุลมุนครั้งใหญ่ของแคว้นตงในปีหนึ่ง ต่อมาก็เป็นกระบี่ชี้บัลลังก์ ผูกขาดมหาอำนาจ ปกครองใต้หล้า
ผู้ที่รู้ประวัติศาสตร์ส่วนนี้มีไม่มาก
ถึงอย่างไรด้วยระดับความโหดเหี้ยมอำมหิตของตงเหยี่ยนแล้ว ผู้ที่รู้เรื่องเขาในอดีตมากเกินไปล้วนกลายเป็นธุลีไปหมดสิ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนรู้จักเก่าที่เคยส่งสายตาเย็นชาให้เขาในอดีตเลย
กระทั่งแม้แต่อาลักษณ์ของแคว้นตงก็ยังยอมศิโรราบอยู่ภายใต้ฝีมือของตงเหยี่ยน ไม่กล้าทิ้งเรื่องไม่ดีเอาไว้ในตำราประวัติศาสตร์แม้เพียงครึ่งประโยค
แต่จงจี่ไม่เหมือนกัน จงจี่รู้ว่าตอนตงเหยี่ยนไปล่านกเมื่ออายุสามขวบในปีนั้นถูกทำให้ตกใจจนปัสสาวะรดกางเกงขณะนั่งอยู่บนกิ่งไม้
ดังนั้นสายตาที่จงจี่มองตงเหยี่ยนจึงสงบนิ่งอย่างที่สุด ด้านในไม่เพียงไม่มีอคติอย่างที่ชาวโลกมีต่อทรราช ยังไม่มีการสอพลอเหมือนผู้อื่น กลับแฝงไว้ด้วยความเมตตาอ่อนบางและความเข้าอกเข้าใจเล็กน้อย
ราวกับว่าศิษย์เอกพรรคไท่ซวีหนุ่มน้อยผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้าผู้นี้เพียงแค่กำลังมองคนธรรมดาทั่วไปผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่แตกต่างอะไรกับตอนที่เขามองดอกไม้ป่าและหญ้าหางสุนัขข้างทางในยามปกติเลยแม้แต่ครึ่งส่วน
ตงเหยี่ยนไม่รู้สึกว่าถูกล่วงเกิน กลับสัมผัสได้ถึงความแปลกใหม่พิสดารอย่างที่สุด
เขาไม่ได้มีช่วงเวลาสำราญใจเช่นนี้มานานแล้ว
เมื่อมาถึงความสูงระดับตงเหยี่ยนนี้ เงินทอง ชื่อเสียง หรืออำนาจก็เป็นเพียงควันเมฆผ่านตา* ที่สูงไม่ชนะความเหน็บหนาว* ผู้ที่สามารถสนทนาด้วยได้ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งน้อยลง
ความสัมพันธ์ของตงเหยี่ยนและจอมมารราตรีมืดมิดนั้นไม่เลว ทั้งสองล้วนมีความทะเยอทะยานในการครอบครองแผ่นดินเสวียนซวี ดังนั้นจึงเป็นความสัมพันธ์แบบเพียงเคาะทำนองก็สอดประสานกัน* เป้ยกับหมาป่าสมคบกันทำชั่ว*
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ก่อนหน้านี้เดิมทีตงเหยี่ยนก็ยังหารือกับจอมมารราตรีมืดมิดอยู่ว่าจะไปหยั่งเชิงขอคำชี้แนะความร้ายกาจของอันดับหนึ่งในใต้หล้าสักหน่อย กระทั่งตอนที่วางหมากกับมหาราชครูหลัวก่อนหน้านี้ไม่นานในใจก็ยังคิดคำนวณไว้เรียบร้อยแล้วว่าทำอย่างไรถึงจะอาศัยสมญานามของผู้ศักดิ์สิทธิ์ไปก่อเรื่องสักหน่อยได้
ผลคือสุราเวียนสามรอบ* ตงเหยี่ยนพลันเห็นว่าบุรุษชุดดำนัยน์ตาสีทองตรงหน้ายิ่งมองยิ่งสบายตาขึ้นเรื่อยๆ แม้จงจี่จะเป็นอนุชนผู้อายุน้อยกว่าเขาเกือบสองรอบ แต่กลับทำให้ตงเหยี่ยนจับเจตนาเป็นศัตรูใดไม่ได้อย่างไม่อาจอธิบาย
แน่นอนก็เพราะนั่งเผชิญหน้าอยู่กับบุตรที่รักแห่งสวรรค์ต้นตำรับ พระบิดาที่รักแห่งสวรรค์ในปัจจุบันอย่างไรล่ะ กลัวหรือไม่
เมื่อตัวอักษรกลายเป็นความจริง ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับขั้นอย่างพวกเขานี้ โดยพื้นฐานแล้วย่อมไม่มีทางเป็นเหตุผลที่ว่ามีคนแข็งแกร่งกว่าตนเองจึงเกิดเจตนาเป็นศัตรูขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจได้
โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผลประโยชน์ใดขัดแย้งกัน หากได้พบผู้แข็งแกร่ง แน่นอนว่าจะเลือกคบค้าสมาคม ไม่ใช่เอ็ดตะโรพุ่งเข้าไปหาก่อนรอบหนึ่งอย่างในนิยายแนวเลื่อนขั้นอย่างนั้น
กำลังการดื่มสุราของทั้งสองคนล้วนยอดเยี่ยมอย่างที่สุด พวกเขาดื่มสุราที่คนธรรมดาดื่มลงไปจอกหนึ่งก็เมามายแล้วอย่างกับกรอกน้ำเย็น ดื่มไปดื่มมา คาดไม่ถึงว่าจะเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันขึ้นมาบ้างแล้ว
ใช้วรรณกรรมผูกมิตรแม้จะไม่เลว แต่ใช้สุราผูกมิตรก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้
เนื่องจากตงเหยี่ยนในวันนี้อารมณ์ดี เหล่าขุนนางและองค์ชายที่ด้านล่างต่างก็ถอนใจอย่างผ่อนคลาย รอยยิ้มขณะสนทนาก็เยอะยิ่งอย่างแท้จริง
ปกติแล้วพวกเขาได้รับการกดขี่อันแปรปรวนง่ายจากตงเหยี่ยนไม่น้อยเลยจริงๆ จึงไม่แปลกที่ทุกคนล้วนวางแผนว่าจะยืนอยู่ที่แนวหน้าสังหารตงเหยี่ยนให้สิ้นด้วยกันก่อนแล้วค่อยว่ากันต่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ชายสิบสอง เรียกได้ว่าแสงแดงทั่วหน้า* ลมวสันต์ได้ดั่งใจ* มีขุนนางและองค์ชายมาแสดงไมตรีจิตต่อเขาในงานเลี้ยงไม่ขาดสาย ลอบไถ่ถามข้อมูลของอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างแนบเนียน
ใบหน้าขององค์ชายสิบสองนั้นยิ้มแย้มจนหน้าย่นแล้ว เขาแสดงท่าทีอย่างครึ่งเท็จครึ่งจริงว่าตนเองนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับจงจี่ ในตอนที่พวกเขาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องสำคัญของแคว้นตงในปีหน้าก็เพียงเอ่ยถึงไม่อธิบาย ทำให้ภายในใจของเชื้อพระวงศ์พระองค์อื่นค่อนข้างจะไม่แน่ใจ
หากว่าท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ลงทะเล* ในปีหน้า เช่นนั้นตำแหน่งจักรพรรดิแคว้นตงก็ตัดสินได้แล้ว ยังจะสู้กันทำซากอะไรอีกเล่า
องค์ชายสิบสองผู้นี้มอบประโยชน์อะไรให้กับท่าน คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ศิษย์เอกพรรคไท่ซวีผู้ไม่เคลื่อนไหวเพื่อทางโลกในคำเล่าลือผู้นี้ชักดาบเข้าช่วยเหลือได้เลยหรือ
ผู้คนต่างบิดหูเกาแก้ม* ร้อยความคิดไม่อาจไข ทั้งหวาดหวั่นทั้งสั่นกลัว ในงานเลี้ยงแห่งนี้พี่ใหญ่ทั้งสองที่ด้านบนกระดกสุรากันสำราญใจยิ่ง แต่บรรยากาศด้านล่างกลับลึกลับซับซ้อน
หลังจากงานเลี้ยงยามเย็นจบลงต่างคนต่างกลับบ้าน ตงเหยี่ยนนั้นช่างสังเกตโดยแท้ ในตอนที่ใกล้จะกล่าวอำลาก็กำชับให้นางกำนัลนำสุราบ่มร้อยปีเข้ามาหลายไห ด้วยรู้ว่าจงจี่จะต้องไม่รับต่อหน้าแน่ จึงถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาส่งไปยังจวนองค์ชายสิบสองเป็นพิเศษ
“วันนี้เปรมปรีดิ์จริงๆ หากมีโอกาสครั้งหน้าต้องเชิญท่านมาชนจอกอีก”
“ไม่มีปัญหาๆ”
จงจี่ตอบรับอย่างสำราญยิ่ง ทั้งสองสบสายตาประสานมือแล้วจากกันไปเช่นนี้
จนถึงตอนนี้แคว้นตงก็นับว่ามาถึงท้ายหน้ากระดาษแล้ว
จงจี่กลับไปจวนองค์ชายสิบสองก่อน หลังจากยกไหสุราหลายไหขึ้นดื่มอย่างปีติก็ย่ำตรงไปด้านหน้า เดินทางไปเข้าร่วมงานชุมนุมเพื่อการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนของเจ้านิกายนิกายมารที่เป่ยโจว
* ลากโคลนคาดน้ำ หมายถึงอืดอาดยืดยาด
* พจนานุกรมซินหวา เป็นพจนานุกรมภาษาจีนสมัยใหม่เล่มแรกหลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
** เดินไปรับกล่องข้าวกลับบ้าน เป็นคำสแลง หมายถึงเมื่อตัวละครที่แสดงหมดบทบาทหรือตายลงแล้ว นักแสดงก็จะเดินไปรับข้าวกล่องของกองถ่ายแล้วก็กลับบ้าน
* ควันเมฆผ่านตา หมายถึงสิ่งที่ดำรงอยู่ได้ไม่นาน
* ที่สูงไม่ชนะความเหน็บหนาว หมายถึงยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูงยิ่งโดดเดี่ยวอ้างว้างเหน็บหนาว
* เคาะทำนองก็สอดประสานกัน หมายถึงทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้ดี
* เป้ยกับหมาป่าสมคบกันทำชั่ว ตัวเป้ยคือสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายหมาป่า แต่มีขาหน้าสั้นกว่าขาหลัง มักเกาะติดบนหลังของหมาป่าไปไหนมาไหนด้วยตลอด ไม่เดินด้วยตัวเอง หมาป่าและตัวเป้ยมักร่วมมือกันทำร้ายปศุสัตว์ จึงมีสำนวน ‘เป้ยกับหมาป่าสมคบกันทำชั่ว’ ซึ่งอุปมาถึงการร่วมมือกันทำเรื่องเลวร้ายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันอำมหิต
* สุราเวียนสามรอบ หมายถึงดื่มสุราไปในปริมาณมากและดื่มกันมาได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้ว
* แสงแดงทั่วหน้า หมายถึงอารมณ์ดี ใบหน้าเปล่งปลั่งผ่องใส
* ลมวสันต์ได้ดั่งใจ หมายถึงสุขสมหวัง
* ลงทะเล เป็นคำสแลง หมายถึงเข้าร่วมก่อเรื่อง กระทำเรื่องไม่ถูกต้องต้องตามทำนองคลองธรรม
* บิดหูเกาแก้ม หมายถึงมีอาการอย่างคนงุนงง ไม่เข้าใจ
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.