ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11
วันต่อมาแสงนภาส่องสว่าง ในตอนที่ดวงตะวันยังไม่ทันได้บุกทะลวงรุ่งอรุณ รัตติกาลนิรันดร์ก็ถูกสีขาวเคาะม่านประตูอย่างแผ่วเบา จงจี่พลันค่อยๆ ตื่นขึ้นมาจากห้วงฝันนิทราอันหาได้ยาก
เพิ่งตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าเท้าของตนเองนั้นเย็นวาบ
จงจี่ “…”
เขาหลับในท่าเอนกายอิงกระเบื้องหยกเช่นนี้ไปตื่นหนึ่ง ไม่พูดถึงเรื่องที่เท้าห้อยอยู่กลางอากาศ แต่ร่างกายครึ่งหนึ่งล้วนแข็งทื่อ
โชคดีที่ยามนี้องครักษ์ลับของหอไจซิงชั้นที่เจ็ดล้วนรู้ตนเองดีเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่ได้เข้ามารบกวน
จงจี่ถอดหน้ากากบนหน้าออก เริ่มโคจรปราณวิญญาณ อาศัยพวกมันอบอุ่นแขนขาและกระดูกทั่วร่างที่เคยนอนอิงเอน หลังจากรู้สึกว่าไม่มีปัญหาแล้วถึงค่อยสะบัดเสื้อคลุมนกกระเรียนตัวหนา โผขึ้นกลางอากาศเยื้องย่างกลับไปยังระเบียงไม้ที่ด้านนอกชั้นยอดสุด
“เจ้าตำหนัก นี่คือน้ำแกงสร่างสุราที่คุณชายสั่งให้ข้าน้อยนำมาส่ง”
องครักษ์ลับซึ่งประจำการอยู่ในที่นี้อยู่ก่อนแล้วเข้ามาต้อนรับอย่างรู้การรู้งานมาก ในมือประคองถ้วยกระเบื้องขาวลวดลายสีทอง ด้านในเต็มไปด้วยน้ำแกงสร่างสุราสีน้ำตาลเข้ม กวาดมองปราดเดียวก็สามารถระบุได้ถึงเห็ดหลิงจือและน้ำผึ้งข้นที่ตุ๋นจนเนียนละเอียด
“เป่ยชิงมีใจแล้ว”
จงจี่นึกถึงทักษะการจัดการวัตถุดิบของปรมาจารย์นักเล่นพิณผู้นั้นเล็กน้อย แล้วรับถ้วยมาอย่างแช่มช้า และชิมคำหนึ่งอย่างเห็นความตายดั่งการกลับสู่มาตุภูมิ*
…
คิดไม่ถึงว่ารสชาติจะพอไหว
แม้จะใส่น้ำผึ้งเยอะถึงเพียงนี้ แต่ความรู้สึกตอนเข้าไปในปากนั้นไม่หวานเลี่ยน กลับสอดแทรกไว้ด้วยความสดชื่น พอดีกันกับความขมปนหวานเข้มข้นของเห็ดหลิงจือป่า สอดรับกันถึงจุดดี
จงจี่ดื่มไปด้วยพลางจ้องมองแสงนภาทะลวงรุ่งอรุณนอกหน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจไปด้วย ความคิดจิตใจเริ่มแผ่ขยายไปถึงห้วงฝันตระการของเมื่อวานนี้อีกครา
จงจี่จำได้ว่าเมื่อวานเขาฝันถึงพระเอกนิยายแนวเลื่อนขั้นอีกคนหนึ่งที่อยู่ใต้ปากกาตน เนื้อเรื่องของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ยังดำเนินต่อไปในความฝัน จอมกระบี่ผู้นั้นก็มีรูปลักษณ์เหมือนกับที่เขาบรรจงพรรณนาอยู่ใต้ปากกาหมื่นพันรอบ
เย็นเยือกเดียวดาย พร่าพรายหมื่นส่วน
แม้จะเหยียบย่ำความดับดิ้นนับหมื่นพัน แต่ก็ยังคงไม่อาจทำให้อาภรณ์สีขาวของเขาอาบย้อมความคึกคักได้เพียงครึ่ง ก็เหมือนกับเทพผู้ล่วงเข้าแดนมนุษย์มาโดยมิได้ตั้งใจ สูงส่งเหนือโลกีย์
‘เจ้าไม่ไหว’
‘เพราะเหตุใด’
สายตาที่จงจี่มองจิงเจ๋อนั้นเป็นความเมตตากรุณาชนิดหนึ่ง คิดอยากจะพุ่งเข้าไปตบบ่าตามประสาพี่ชายน้องชาย
‘เพราะเจ้าป่วยอย่างไรเล่า อย่าโง่ไปหน่อยเลย’
บนใบหน้าเย็นชาเฉยเมยร้อยปีไม่เปลี่ยนของมือกระบี่ชุดขาวในความฝันในที่สุดก็ผ่อนคลายลง คล้ายกับว่าสะอื้นไห้ไร้วาจาอยู่บ้าง ในตอนที่สะบัดแขนเสื้อกำลังจะจากไป พลันหันกลับมาทิ้งวาจาไว้ประโยคหนึ่ง
‘ใส่ใจร่างกายให้ดีๆ อยู่ห่างจากหญ้าโอบสามัญให้ไกลสักหน่อย’
สีหน้าของจงจี่ถูกหน้ากากผีร้ายสีเงินปกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจิงเจ๋อจึงมองอารมณ์ของเจ้าตำหนักลับท่านนี้ไม่ออก
นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะลึกลับเรื่องหนึ่งอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่อาภรณ์สวรรค์ไร้ตะเข็บ*
หากว่าอีกฝ่ายเป็นตำหนักลับที่ว่ากันว่าไม่มีอะไรไม่รู้ไม่มีอะไรไม่ทราบแล้วล่ะก็ จิงเจ๋อเองย่อมไม่ประหลาดใจ
จอมกระบี่มุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายก็มองเข้าไปยังส่วนลึกในดวงตาของจงจี่ ใต้ฝ่าเท้าพลันขยับ ย่ำจันทร์จากไป
จงจี่ที่สมองยังไม่สร่างดี ‘???’
โอ้ ที่แท้ลูกน้อยของฉันก็ไปแล้ว
แดนฝันนี้สมจริงเกินไปจริงๆ แม้จงจี่จะรู้สึกมาโดยตลอดว่าตนเองนั้นเมามายไม่เบา ขณะคิดเขาก็เอียงถ้วยในมือเล็กน้อยพลางเร่งความเร็วขึ้น คิดจะดื่มให้หมดในรวดเดียวเพื่อให้ขมับที่กระตุกอยู่ของตนนั้นหยุดเต้นเสียที
“เจ้าตำหนัก ต้องกู้คืนหมากร้อยกระเรียนหรือไม่”
องครักษ์ลับเห็นว่าอารมณ์เขาคล้ายจะไม่เลวแล้วจึงเงยหน้าขึ้นสอบถามอย่างระมัดระวัง แต่กลับทำให้จงจี่ที่กำลังกระดกน้ำแกงรวดเดียวอยู่แทบจะสำลัก รีบร้อนโคจรพลังวิญญาณให้น้ำแกงในช่องคอไหลลงไปอย่างราบรื่น
“หมากร้อยกระเรียนหรือ”
เวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นใบหน้าขององครักษ์ลับที่ปรากฏความสงสัยขึ้นมา “เมื่อวานไม่ใช่ว่าท่านเรียกพบผู้แก้หมากท่านนั้นไปแล้วหรือ”
“ท่านใด”
“ท่านจอมกระบี่แห่งพรรคไท่ซู”
จงจี่ “…”
น้ำแกงสร่างสุราถ้วยนี้ควรจะส่งไปให้องครักษ์ลับผู้นี้ดื่มถึงจะถูก
“ไม่ใช่ว่าข้ากำลังฝันอยู่หรอกหรือ”
เขาพูดพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่ง ยื่นมือไปหยิกตนเองทีหนึ่ง เวลาเดียวกับที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด ม่านนัยน์ตาสีทองก็พลันหดลง
เดี๋ยวก่อน ไม่ถูกต้อง
จงจี่พลันนึกถึงข้อความในม้วนคัมภีร์หยกที่ตนเองพลิกอ่านเมื่อวานเย็นเหล่านั้น คณะบุคคลผู้แข็งแกร่งกลุ่มใหญ่ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝน*
จากนั้นเขาพลันโยนถ้วยทิ้ง วินาทีถัดมาก็บิดเบือนห้วงมิติแล้วไปปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังโต๊ะเขียนหนังสือ นำม้วนคัมภีร์หยกระดับดินระดับฟ้าที่เมื่อวานเย็นยังอ่านไม่จบออกมา ฌานวิเศษอันกว้างใหญ่ไพศาลพลันล้นทะลักอย่างไม่อาจระงับยับยั้ง พริบตาเดียวก็นำข้อมูลทั้งหมดทาบประทับลงไปในห้วงสมุทรความทรงจำ
พรรควั่นหมัว พรรคไท่ซู สำนักเสวียน (ลี้ลับ) นิกายจิ้งเยวี่ยเสิน (เทพจันทร์พิสุทธิ์)…
ชื่อสำนักพรรคที่ชัดแจ้งว่าเมื่อเย็นวานยังค่อนข้างเลื่อนลอย เวลานี้พลันทาบประทับอยู่บนนั้นอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจนขึ้นมาแล้ว
แต่จงจี่รับรองได้ว่าในตอนที่เขาอ่านม้วนคัมภีร์หยกเมื่อเย็นวานบนหน้ากระดาษไม่ปรากฏตัวอักษรเหล่านี้เลย
ทว่าในม้วนคัมภีร์หยกของตำหนักลับไม่เพียงปรากฏข้อความขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังเขียนถึงการเคลื่อนไหวในช่วงนี้ของสำนักพรรคเหล่านี้เอาไว้อย่างชัดเจน
ประมุขพรรควั่นหมัวคนใหม่สืบทอดตำแหน่ง…จอมกระบี่พรรคไท่ซูออกจากการกักตน…ภายในนิกายจิ้งเยวี่ยเสินจัดพิธีบวงสรวงใหญ่…ภายในเผ่ามารมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…
ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นสำนักพรรคของใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’
แต่ร่องรอยของเรื่องราวเหล่านี้ก็ชัดแจ้งว่าเป็นโครงเรื่องของแผ่นดินเสวียนซวีเมื่อหมื่นปีก่อน
“จอมกระบี่มีนามว่าอะไร”
เรื่องนี้มันจะน่าตื่นตะลึงเกินไปจริงๆ จงจี่ผู้มีท่าทีหมื่นปีล่องลอยตามแต่ใจก็ยังเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่ไหว มือที่ถือม้วนคัมภีร์หยกเองก็สั่นเทาน้อยๆ
“เรียนตอบเจ้าตำหนัก จอมกระบี่มีนามว่าจิงเจ๋อ”
องครักษ์ลับสับสนงงงวย จับต้นชนปลายไม่ถูก
เมื่อครู่ตอนที่ถูกคุณชายเป่ยชิงกำชับว่าจะต้องส่งน้ำแกงสร่างสุราให้ถึงปากของเจ้าตำหนักให้ได้ องครักษ์ลับยังไม่ค่อยจะใส่ใจนัก
เจ้าตำหนักเป็นถึงอันดับหนึ่งในใต้หล้า พันจอกไม่เมามาย สุราชิวลู่ไป๋เพียงไม่กี่ไหจะสร้างผลกระทบให้กับเจ้าตำหนักผู้รู้แจ้งเกรียงไกรได้อย่างไร
ผลคือเวลานี้องครักษ์ลับรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าตนคงจะต้องกลับไปดื่มสักถ้วยแล้วเช่นกัน
องครักษ์ลับกำลังคิดอะไรจงจี่คงจะไม่รู้ และเขาก็ไม่คิดอยากจะรู้ด้วย
จิงเจ๋อ จิงเจ๋อ จิงเจ๋อ!
หรือว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืน…
จงจี่จิตใจสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก เขาฝืนไม่ให้แสดงความรู้สึกใดบนใบหน้า อันดับแรกหลังจากให้องครักษ์ลับออกไปก่อนแล้ว เวลานี้ถึงค่อยเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือ บังคับตนเองให้สงบนิ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร หรือว่าทั้งสองโลกจะหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว”
ข้อมูลนี้น่าตื่นตระหนกมากเกินไป จงจี่ไม่ได้ประสบกับเหตุการณ์ที่เรื่องราวหลุดจากการควบคุมโดยสิ้นเชิงเช่นนี้มานานมากแล้ว
ตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ไม่ว่าเนื้อเรื่องของ ‘อิสระ’ จะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่พัฒนาการของเส้นเรื่องหลักๆ บนโลกส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในการควบคุมภายใต้น้ำมือของเขานักเขียนคนนี้อย่างมั่นคง แม้ว่าตอนนี้เนื้อเรื่องจะดำเนินมาจนจบแล้ว จงจี่ก็ยังสามารถคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อไปโดยอ้างอิงจากข้อมูลมหาศาลที่ตนเองครอบครองอยู่ในมือได้
แต่ว่าตอนนี้…
จงจี่ยื่นมือออกไป คว้าม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งออกมาจากถุงเฉียนคุน นำฌานวิเศษของตนเองประทับลงไป เปิดรายนามทำเนียบเสวียนจีขึ้นมา
หากอ้างอิงจากม้วนคัมภีร์หยกของตำหนักลับและข้อมูลจำนวนหนึ่งที่เปิดเผยให้กับจิงเจ๋อเมื่อคืนแล้ว จงจี่สามารถระบุเนื้อเรื่องของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ได้คร่าวๆ
จิงเจ๋อในเวลานี้บรรลุถึงจุดสูงสุดของขั้นศักดิ์สิทธิ์เจ็ดดาวแล้ว รอเพียงแค่ทะลวงขั้นเซียนได้เท่านั้น
ทว่าในหมื่นปีให้หลังเหตุการณ์หลักของ ‘อิสระ’ แม้จะถึงช่วงเวลาที่นิยายเรื่องนี้อวสานแล้วก็ตาม จงจี่เองก็อยู่เพียงขั้นศักดิ์สิทธิ์สองดาวเท่านั้น
ม้วนคัมภีร์หยกตอบรับฌานวิเศษ เชื่อมต่อกับปราณวิญญาณฟ้าดินอย่างรวดเร็ว จากนั้นทำเนียบโปร่งใสสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
รายชื่อบนทำเนียบว่างเปล่า เดิมทีสามารถค้นหารายนามของอันดับหนึ่งพันแรกมาดูได้ตามแต่ใจ เวลานี้กลับเป็นความไพศาลไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง เหลือเพียงตัวอักษรสีทองแวววาวสะดุดตาไร้ที่เปรียบอยู่ตรงตำแหน่งใจกลางแถวหนึ่ง
จิตใจของจงจี่เองก็เปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึมแล้ว
แม้ฉากหลังของ ‘อิสระ’ และ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ จะเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าในตอนที่เขียนถึงทำเนียบเสวียนจีนั้นเขาจงใจทำการแก้ไขไปจำนวนหนึ่ง
เพื่อที่จะขับเน้นความเก่งเทพของพระเอก และเพื่อขับเน้นความเจ๋งแจ๋วของตัวร้ายในช่วงแรก ทำเนียบเสวียนจีใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ จึงเปิดเผยรายนามมาแค่ชื่อเดียวเท่านั้น
และชื่อเดียวนี้ก็กลายเป็นความศรัทธาเลื่อมใสของผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดบนแผ่นดินเสวียนซวี
เพราะนั่นคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า
จงจี่เวลานี้สามารถยืนยันได้แล้วว่าโลกของ ‘อิสระ’ และ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ นั้นหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เวลาก็คือเมื่อคืนนี้
แต่เพราะอะไรกัน ชื่อเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่บนทำเนียบเสวียนจีนั้นถึงยังคงเป็น…
‘อันดับหนึ่งในใต้หล้า จงจี่’
* เห็นความตายดั่งการกลับสู่มาตุภูมิ เป็นสำนวน หมายถึงมองว่าความตายเหมือนเป็นการเดินทางกลับสู่บ้านรอบหนึ่ง
* อาภรณ์สวรรค์ไร้ตะเข็บ เป็นสำนวน หมายถึงสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
* หน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝน เป็นสำนวน หมายถึงปรากฏตัวขึ้นมากมาย
บทที่ 12
“เจ้าออกไปก่อนเถิด”
จงจี่ซ้ายครุ่นคิด จากนั้นค่อยๆ หยิบยันต์แผ่นหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะเรียกองครักษ์ลับคนสนิทหมายเลขหนึ่งของตนมาถามคำถามจำนวนหนึ่งอย่างอ้อมค้อม แล้วถึงค่อยโบกมือไหวๆ ให้องครักษ์ลับผู้สับสนงงงวยจากไป
ความคิดนี้น่าตกใจเกินไปอยู่บ้าง เขานั่งบนยอดหออยู่คนเดียวเสียเนิ่นนาน กลับไปตรวจสอบความถูกต้องในม้วนคัมภีร์หยกซ้ำอีกครั้ง และสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชากับปากอีกครา สุดท้ายก็กวาดตาอ่านข่าวใหม่ล่าสุดของแผ่นดินเสวียนซวีในเวลานี้ ถึงค่อยยอมรับความจริงอันหนักอึ้งนี้อย่างจำใจ
ภายใต้เนื้อเรื่องที่ดำเนินไปถึงตอนจบของ ‘อิสระ’ ในยามนี้ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ พลันพุ่งเข้ามาสร้างสถานการณ์อยู่ตรงหน้า และหลอมรวมเข้าด้วยกันกับโลก ‘อิสระ’ แล้ว
สองโลกนี้หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่ามีสาเหตุอะไรอยู่เบื้องหลัง เหมือนกับว่าทุกผู้คนในนิยายทั้งสองเรื่องล้วนถูกบิดเบือนความทรงจำอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีคนสังเกตเห็นปัญหาเลย
ทั้งแผ่นดินใหญ่ล้วนไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องนอกจากฉัน.jpg
ที่สำคัญคือเนื้อเรื่องของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ เพิ่งจะดำเนินมาถึงแค่ครึ่งหนึ่ง แม้แต่บอสคนสำคัญที่สุดก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
พูดให้เข้าใจง่ายหน่อยก็คือนิยายอภิมหายาวล้านตัวอักษรของจงจี่เพิ่งจะเขียนไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง เนื้อเรื่องเพิ่งจะแผ่ขยายออกเขาก็ถูกบังคับให้ทะลุมิติไปไกลลิบแล้ว
เวลาผ่านมานานมากเกินไป จงจี่จำได้แค่วันที่ทะลุมิติ วันนั้นเขาคล้ายกับว่าจะเผยแพร่ต้นฉบับเนื้อเรื่องตอนที่จิงเจ๋อออกจากการกักตนไป
แล้วหลังจากนั้น พอหลับตาและลืมตา คนก็ไม่ได้อยู่ที่โลกนั้นแล้ว
ทว่าเวลานี้โลกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ไม้กลายเป็นเรือแล้ว* จงจี่เองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือพลิกแพลงกอบกู้สถานการณ์อะไรอีก เขาทำได้เพียงนั่งมองตาปริบๆ อยู่บนหอไจซิงเท่านั้น ภายในกู่ก้องร้องคำรามว่าเอ็มเอ็มพี* ไปหมื่นประโยค
ในตอนนี้ทำได้เพียงยืนยันให้แน่ชัดว่าเนื้อเรื่อง ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ดำเนินไปถึงตอนที่จอมกระบี่วางแผนจะไปชำระแค้นพรรควั่นหมัวด้วยตัวของเขาเอง และยังห่างจากเส้นเรื่องตอนอวสานอีกไกล
เนื้อเรื่องหลังจากนั้นจงจี่เองก็ไม่แน่ใจ เวลาเว้นระยะห่างมานานถึงเพียงนี้ ความทรงจำเกี่ยวกับ ‘อิสระ’ เขายังจำได้ชัดเจน แต่ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ นั้นกลับเลือนรางไม่น้อยอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขายังไม่ได้เขียนออกมาเลยว่าเนื้อเรื่องต่อไปจะดำเนินไปทางใด เพราะเขาเขียนไว้เพียงโครงเรื่องคร่าวๆ เท่านั้น
จงจี่ : อมิตาภพุทธ ฟังฟ้าตามชะตากรรม
ด้วยเพราะภูมิหลังโลกที่นิยายสองเรื่องนี้ใช้นั้นเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน นอกจากชื่อของสำนักพรรคที่มีจุดเปลี่ยนแปลงแล้ว อย่างอื่นล้วนเหมือนกันแม้กระทั่งแนวทางของเรื่องราว
ตัวอย่างเช่นสำนักเทียนจีใน ‘อิสระ’ และสำนักเสวียนใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ที่จริงแล้วแค่เปลี่ยนชื่อก็เท่านั้น เปลี่ยนน้ำแกงไม่เปลี่ยนยา* ผลคือตอนนี้เปลี่ยนเป็นสำนักพรรคอิสระสองสำนัก แค่คิดก็รู้แล้วว่าหลังจากโลกหลอมรวมอนุชนเทียนจีจะต้องฉีกกระชากลากถูกันกับอนุชนสำนักเสวียนจนสะบักสะบอมเกือบตาย
แน่นอนว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือพลังยุทธ์ที่ห่างชั้นกันมากของสองโลก
เจ้าตำหนักลับนั่งอยู่ที่ด้านหลังกองเอกสารซึ่งกองซ้อนกันเป็นชั้นๆ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ทั้งใบหน้าก็ปรากฏเป็นความท้อแท้สิ้นหวัง
จงจี่นับนิ้วไปเรื่อยเปื่อยเล็กน้อย…
บุคคลสำคัญผู้มีความสามารถสูงกว่าเขาใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ สองมือล้วนนับได้ไม่หมด
ในเส้นเรื่องนี้จะดำเนินไปถึงจุดที่ว่าจิงเจ๋อต่างหากถึงจะเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่แท้จริง ผลคือเวลานี้ไม่รู้ว่าทำเนียบเสวียนจีสูบลมอะไรเข้าไป ถึงให้ขั้นศักดิ์สิทธิ์สองดาวตัวน้อยๆ อย่างจงจี่เหนือกว่าบุคคลสำคัญอันเป็นจุดสูงสุดเจ็ดดาว นั่งอย่างมั่นคงอยู่บนที่นั่งอันดับหนึ่งในใต้หล้าอันล้ำค่าบนทำเนียบ ขอเพียงหยิบม้วนคัมภีร์หยกมาเปิดออกชื่อของเขาก็วาบประกายระยิบระยับอยู่ด้านบนสุด ราวกับบ้านตะปู* ดื้อรั้นหลังหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะฉุดดึงความพยาบาทเกลียดชังมาได้มากเท่าไร
มารดามันเถอะ เพราะอะไรกัน
ไม่ง่ายอย่างยิ่งที่จะบำเพ็ญเพียรอย่างตั้งอกตั้งใจ นี่เพิ่งจะเปลี่ยนจากไก่ผัก* ตัวน้อยเป็นพี่ใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ยังไม่ทันได้ออกไปโอ้อวดศักดา ผลคือโลกพลันหลอมรวมกัน เพียงหันมาก็หวนกลับไปยังช่วงก่อนปลดแอก
จงจี่ยิ่งคิดยิ่งใจเหน็บหนาว ถือโอกาสหยัดกายลุกขึ้น ใต้เท้ากะพริบวาบติดต่อกันแล้วหายไปดั่งเงาพราย พลังวิญญาณพลันเคลื่อนขยับย่อพิภพเป็นชุ่น แล้วปรากฏตัวขึ้นตรงทิศทางที่มีกลิ่นหอมฟุ้งอบอวล มีเสียงพิณกังวานอยู่ภายในห้องในฉับพลัน
เขาเข้าไปยกเก้าอี้ไม้มานั่ง หยิบป้านชาดินม่วงบนโต๊ะขึ้นมาอย่างค่อนข้างจะคุ้นเคย แล้วรินชาร้อนอันหอมหวนระอุไอให้กับตนเองจนเต็มจอกอย่างสำราญใจ
“…”
นักเล่นพิณผู้กำลังก้มหน้าดีดพิณพลันหนังตากระตุกเล็กน้อยคล้ายว่ารู้อยู่แล้ว มือยังคงไม่หยุด ทั้งยังเปลี่ยนจากพลิ้วลิ่วพลิกผันเป็นเร่งรุกรวดเร็ว
เสียงพิณแผ่วโผยสูงเพรียกขึ้นเสียงหนึ่งต่อเสียงหนึ่ง สั่นสะท้านอึงอล จากป่าไผ่ธารน้อยลอยไปถึงยุคสมัยพันทัพหมื่นทหารม้าในชั่วพริบตา ปรับเปลี่ยนท่วงทำนองอย่างแคล่วคล่อง ไร้สิ่งใดกีดขวาง
จงจี่รู้ว่าเจ้าหนุ่มนี่ดึงดันดื้อรั้นอย่างมาก ผืนฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ ดีดพิณนั้นไซร้ยิ่งใหญ่ที่สุด หากไม่ดีดให้จบสักหนึ่งบทเพลงก็จะไม่หยุดเล่นเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน นั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้นอย่างซื่อตรง
พูดแล้วก็แปลก ชัดแจ้งว่าเสียงพิณเร่าร้อนดุเดือดเช่นนี้ พอหลังจากจบลงหนึ่งบทเพลงแล้วอารมณ์ที่เดิมทีกลัดกลุ้มรุ่มร้อนอยู่บ้างของจงจี่กลับสงบลงในฉับพลัน เหมือนดั่งได้เชื่อมวิญญาณกับสายลม สงัดเงียบไร้เสียง จรรโลงสรรพสัตว์
“ไม่เจอกันห้าปี ศิลปะการดีดพิณของเป่ยชิงก้าวหน้ายิ่งขึ้นแล้ว”
ท่านั่งของจงจี่ดูค่อนข้างตามแต่ใจตน เขาเกือบจะนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ไม่ได้ใส่ใจในภาพลักษณ์แต่อย่างใด
นักเล่นพิณเงยหน้าทอดมองภาพฉากนี้แล้วพลันมุ่นหัวคิ้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงวาดมือสร้างเสียงประสานขึ้นระลอกหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยเปิดปากขึ้นอย่างไม่กระชับไม่เชื่องช้า
“เจ้าตำหนักชมเกินไปแล้ว”
คุณชายเป่ยชิง นักเล่นพิณผู้ทรงเกียรติที่สุดของแผ่นดินเสวียนซวีในเวลานี้ และยังเป็นสหายสนิทควบตำแหน่งปีกซ้ายไหล่ขวา* ของจงจี่อีกด้วย
ใน ‘อิสระ’ ก็เป็นน้องเล็กคนแรกที่พระเอกกำราบ เรื่องความซื่อสัตย์นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย
ในช่วงหลายปีที่จงจี่กักตนก็มีเขาเป็นตัวแทนคอยจัดการเรื่องต่างๆ ของตำหนักลับ บัญชาการม้วนคัมภีร์หยก จำแนกประเภทข้อมูลข่าวสาร กำกับดูแลภาพรวมของหอไจซิง
อีกประการหนึ่ง เป่ยชิงเองก็เป็นบุคคลสำคัญของหอไจซิงเช่นกัน
ใช่ นักเล่นพิณคนสำคัญ
ไม่พูดถึงเรื่องรูปโฉมหล่อเหลา รัศมีทั่วร่างก็ดูสุขุมละโลกีย์ หนึ่งฝ่ามือดีดพิณโบราณนั่นก็ดีดเสียจนสะท้านฟ้าดินสะเทือนเทพผี แม้กำลังรบจะด้อยเล็กน้อย แต่หากพึ่งพิงทักษะศิลป์ก็สามารถท่องห้านครล้วนไม่กลัว ใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ‘ชิง’ นามนี้
ชนชั้นสูงผู้รักดนตรีนับไม่ถ้วนต่างขว้างปาทองนับพันมายังเมืองเซิ่งหยางเพียงเพื่อขอพบนักเล่นพิณท่านนี้สักคราหนึ่ง แต่ก็ห้ามความใจดำของจงจี่ไม่ได้ เขารีบใช้การตลาดแบบหิวโซ* ให้นักเล่นพิณในตำนานท่านนี้เผยโฉมหน้าเพียงสองครั้งในแต่ละเดือน อีกทั้งตั๋วผ่านประตูก็ไม่อาจซื้อได้โดยตรง ทำได้เพียงใช้วิธีการชำระเงินผ่านบัตรสมาชิกซึ่งจัดการโดยหอไจซิงเท่านั้นจึงจะได้มา
แน่นอนว่าบัตรสมาชิกนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่จำกัดเพียงแค่หอไจซิงเท่านั้น ขอแค่เป็นกิจการที่อยู่ภายใต้นามของตำหนักลับ หรือสมาคมการค้าที่มีสัมพันธ์ทางหุ้นส่วนอันดีกับตำหนักลับ เพียงแสดงบัตรสมาชิกก็ล้วนได้รับการบริการและปรนนิบัติอย่างดีที่สุด หลังจากใช้กลยุทธ์นี้ไปหลายเดือนก็กลายเป็นสัญลักษณ์ฐานะที่สมควรจะได้รับบนแผ่นดินเสวียนซวี
เพราะกิจการบัตรสมาชิกนี้ ทำให้บัญชีของตำหนักลับมีเงินทองกองเข้ามาทุกวัน ในช่วงเวลานั้นบนใบหน้าจงจี่ล้วนมีรอยยิ้มจนหน้าย่นขณะพลิกบัญชี
ชาวเมืองแผ่นดินใหญ่ “…”
เจ้าตำหนักลับผู้นี้เป็นอัจฉริยะผู้หนึ่งนี่หนอ
“ม้วนคัมภีร์หยกช่วงห้าปีมานี้ข้าล้วนพลิกอ่านหมดแล้ว พรุ่งนี้ข้าก็จะเริ่มออกเดินทางไปแคว้นตงสักรอบหนึ่ง”
ในม้วนคัมภีร์หยกที่กองพะเนินเหล่านั้นมีเพียงกิจการของแคว้นตงเท่านั้นที่ค่อนข้างเร่งด่วนในช่วงนี้ ตำหนักลับมีสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งที่นั่น ในตอนแรกจงจี่ก็อาศัยเส้นสายนี้ทำข้อมูลลับของแคว้นตงไว้ไม่น้อย ถึงขนาดที่ในบรรดาตำหนักย่อยของทั้งสี่นครที่เหลือ อำนาจตำหนักย่อยของตงโจวนั้นทรงพลังที่สุด
ทว่านี่ไม่ใช่การทำงานเปล่า ในตอนแรกรับเอาผลประโยชน์ของคนเขาไว้แล้ว ตอนนี้จำต้องไปแล้วค่อยกลับมา จงจี่เดิมทีก็ประมาณเอาไว้ว่าเมื่อตนเองออกจากการกักตนครั้งนี้แล้วเนื้อเรื่องก็จะดำเนินไปถึงตอนอวสาน เช่นนี้ไม่สู้ไปเป็นคนว่างงานผู้หนึ่ง ท่องเมฆสี่ทะเล ออกพเนจรไปทั่วชนิดที่บอกว่าจะไปก็ไปเลยสักรอบหนึ่ง
ผลคือคิดไม่ถึงว่าตอนนี้เกิดเรื่องที่ใหญ่โตยิ่งกว่าขึ้นแล้ว ถึงขนาดที่จงจี่ยังต้องคิดใคร่ครวญอย่างจริงจังว่าอีกครู่หนึ่งจะต้องวิ่งกลับไปยังพรรคไท่ซวี ปิดด่านบำเพ็ญเพียรอีกสักสองปีแล้วค่อยลงเขาหรือไม่
“ขอรับ หอไจซิงฝั่งนี้มีข้าอยู่”
แม้เป่ยชิงจะดูไปแล้วเป็นคนเฉยเมยเย็นชา แต่เขาก็เป็นคนที่พึ่งพิงได้อย่างยิ่ง มอบตำหนักลับจงโจวให้เขาดูแล จงจี่วางใจอย่างมาก
“ใช่แล้ว”
นักเล่นพิณพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาโบกมือคราหนึ่ง หยิบเทียบเชิญสีดำทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงเฉียนคุนแล้วส่งออกไป
“นี่คือสิ่งใด”
จงจี่ยื่นมือรับพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย
“เป็นของที่เป่ยโจวส่งมา”
เป่ยชิงถอดปลอกนิ้วในมือออก เขาหยัดกายขึ้น จุดกำยานสีดำด้านข้างที่มอดไปแล้วขึ้นใหม่อีกครั้ง ทิ้งให้จงจี่มองตาปริบๆ กับเทียบเชิญในมืออยู่เพียงคนเดียว
บนหนังสือเทียบเชิญ ‘จดหมายเชิญ’
เนื้อหาคือ
‘เจ้าตำหนักลับที่เคารพ คารวะ!
พวกเราขอเชิญท่านอย่างจริงใจให้เข้าร่วมงานชุมนุมเพื่อการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนของเจ้านิกายนิกายมารครั้งที่หนึ่งซึ่งจะจัดขึ้นที่เป่ยโจวในสัปดาห์หน้า เป่ยโจวอันงดงามรอคอยการมาเยือนของท่าน’
ลงท้าย ‘บรรดาเผ่ามารที่รักของท่าน’
จงจี่ “…”
เรื่องบัดซบเยอะมาก ไม่รู้ว่าควรจะสบถถึงเผ่ามารที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสุภาพสักหน่อยก่อนดีหรือเจ้าของจดหมายเชิญนี้ก่อนดี
เผ่ามารยามเรียกระดมจัดงานชุมนุมไม่ใช่ว่าควรจะพุ่งเข้ามาแล้วเอาดาบพาดคอ ก่อนจะถามว่าน้องชายเจ้าจะมางานชุมนุมหรือไม่หรอกหรือ คิดไม่ถึงว่าจะใช้คำสุภาพนี้ได้อย่าง…ลื่นไหลมาก หากจะกลับมาพูดถึงอีกก็คือคนจากเผ่ามารกลุ่มหนึ่งเรียกระดมการชุมนุมในหัวข้อเพื่อการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนอย่างนั้นหรือ พูดออกไปใครจะเชื่อกัน
จงจี่นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อห้าปีก่อนคณะลาหัวโล้น* กลุ่มนั้นของวัดหานอิ่น (ซ่อนเหมันต์) ได้เรียกระดมจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะของแผ่นดินเสวียนซวีแต่ละคนไปปราบปรามนิกายมารด้วยกันที่เป่ยโจว เดิมทีเขาก็ล้วนเตรียมข้าวโพดคั่วสุราชิวลู่ไป๋เอาไว้เรียบร้อย คิดจะนำติดตัวไปชมละครให้ดีๆ สักหน่อย หากไม่ใช่เพราะกักตนอย่างกะทันหันล่ะก็ จงจี่ก็คงจะเป็นผู้เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์* ไปก่อนแล้ว
หรือว่า…ลาหัวโล้นกลุ่มนั้นจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ จุดประกายให้ทั้งเผ่ามารผู้ป่าเถื่อนได้รู้แจ้งแล้วอย่างนั้นหรือ
* ไม้กลายเป็นเรือแล้ว เป็นสำนวน หมายถึงเรื่องราวที่ดำเนินไปถึงจุดที่ไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงได้
* เอ็มเอ็มพี เป็นคำสบถ แปลตรงตัวได้ว่าแม่ขายตูด น้ำหนักของคำเทียบเท่ากับคำว่า Fuck ในภาษาอังกฤษ
* เปลี่ยนน้ำแกงไม่เปลี่ยนยา เป็นสำนวน หมายถึงการเปลี่ยนแปลงเฉพาะภายนอก แต่เนื้อหาภายในยังคงเดิม
* บ้านตะปู หมายถึงบ้านที่ยืดหยัดต้านการรื้อถอนของเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องการนำที่ดินไปทำโครงการพัฒนาต่างๆ
* ไก่ผัก เป็นคำสแลง หมายถึงอ่อน ห่วย ไร้ประสบการณ์
* ปีกซ้ายไหล่ขวา เป็นสำนวน หมายถึงผู้ช่วยผู้มากความสามารถ
* ชื่อภาษาอังกฤษคือ Hunger Marketing เป็นกลยุทธ์ที่เล่นกับกิเลสของคน เป็นวิธีสร้างความเร้าใจให้เกิดความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างที่สุดจนถึงขั้นแย่งกันซื้อ
* ลาหัวโล้น เป็นคำด่าหรือล้อเลียนพระภิกษุ
* ผู้เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์ มาจากสำนวนที่ว่า ‘หอยกาบกับนกปากซ่อมยื้อแย่งกัน ผู้เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์’ หมายถึงกลับกลายเป็นบุคคลที่สามที่ได้ประโยชน์จากการทะเลาะกันของบุคคลทั้งสอง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.