ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 13
“จู่ๆ เผ่ามารก็ส่งเทียบเชิญมาหรือ”
เวลานี้แม้แต่คุณชายเป่ยชิงก็ยังประหลาดใจอยู่บ้าง เขาวางบทประพันธ์เพลงพิณกลับไปบนโต๊ะไม้กฤษณาสีดำ หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย
ใน ‘อิสระ’ สำนักพรรคที่ถูกจัดประเภทให้เป็นนิกายมารมีเพียงหุบเขาหย่งเยี่ยเท่านั้น แต่เหตุผลที่พวกเขาถูกจัดให้เป็นนิกายมารนั้นมีอยู่สองอย่าง
หนึ่งคือไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องอะไร พวกเขาก็รวมกลุ่มกันไปเก็บค่าคุ้มครองจากชาวเมืองบ้านใกล้เรือนเคียง สองคือสมาชิกในเผ่ามีใจฝักใฝ่ในศิลปะการแสดงเป็นอย่างมาก
ลักษณะพิเศษของเผ่ามารก็คือดวงตาสีแดง เดิมทีก็คร่ำครึอย่างมากแล้ว แต่คนหุบเขาหย่งเยี่ยเหล่านี้ยังย้อมผมให้ตนเองอีกด้วย อีกทั้งบนร่างยังสักลวดลายพิเศษของหุบเขาหย่งเยี่ยที่มองแล้วดูดุร้ายไร้ที่เปรียบอีกหลายลาย ทั่วทั้งร่างอย่างกับผู้เสพความตายผู้หนึ่ง ราวกับกลัวผู้อื่นจะไม่รู้ว่าตนเองเป็นเผ่ามาร
ด้วยเหตุนี้นานวันเข้าพวกเขาจึงถูกแผ่นดินเสวียนซวีจัดให้อยู่ในกลุ่มนิกายมารสายตรง ทุกๆ สองสามปีจะถูกกลุ่มจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะระดมพลมาชกต่อยกันชุลมุนรอบหนึ่งเหมือนการตีบอสในเกมอย่างไรอย่างนั้น
นอกจากหุบเขาหย่งเยี่ยแล้ว ‘อิสระ’ ยังมีหกมหาเจ้าเมืองในเผ่ามารอีก ในฐานะที่ถูกเลือกปฏิบัติว่าเป็นเผ่ามารอันป่าเถื่อนเช่นเดียวกัน พวกเขาย่อมยื่นเท้าเข้ามาร่วมงานชุมนุม ‘สำรวจการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนของนิกายมารแผ่นดินใหญ่’ ด้วยแน่ๆ
หกมหาเจ้าเมืองแต่ละตนล้วนมีภาพลักษณ์ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรนัก วันๆ คิดแต่จะก่อเรื่อง แต่โชคดีที่ภายในกลุ่มหกมหาเจ้าเมืองเองก็ไม่ได้ปรองดองกันอย่างที่สุด จงจี่แค่จำเป็นต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย ยุให้รำตำให้รั่วอย่างไร้ร่องรอยสักรอบหนึ่ง พวกเขาก็จะเหมือนจานทรายใบหนึ่งเริ่มกู่ร้องฆ่าฟันกันเองแล้ว ไม่เปลืองแม้หนึ่งไพร่หนึ่งพล
เมื่อเทียบกันแล้วนิกายมารใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ขนาดเล็กและเจ๋งแจ๋วกว่า ‘อิสระ’ มาก
พรรควั่นหมัว เคยได้ยินหรือไม่ (จุดยาสูบ)
ก็พรรคที่เพียงประกาศชื่อออกไปเด็กสามขวบก็ตกใจจนร้องไห้จ้านั่นอย่างไรเล่า
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่พรรควั่นหมัวนั้นก็เจ๋งจริงๆ
อันดับแรกพูดถึงในแง่ของที่ตั้งก่อน เขานำทั้งพรรคไปตั้งอยู่ในทะเลทรายสื่อหวัง (มฤตยู) ที่เป่ยโจว สังหารศัตรูได้หนึ่งพันตนเองสูญเสียไปแปดร้อย* รับรองได้ว่าไร้ผู้กล้าล่วงเกินเป็นอย่างแรก
อันดับต่อมาก็คือพรรควั่นหมัวชั่วร้ายมากจริงๆ
เกือบทุกครั้งที่ยุทธภพเกิดเรื่องอย่างลมคาวเลือดฝนโลหิตขึ้น เบื้องหลังจะต้องมีเงาของพรรควั่นหมัว ล้วนไม่ขาดแคลนพฤติกรรมไร้มโนธรรมอย่างการสังหารหมู่ฆ่าล้างตระกูล
ผู้คนในยุทธภพหลายคนเกลียดชังพรรควั่นหมัวเข้ากระดูกจริงๆ แต่จนใจที่พวกเขาเข้ายึดครองเป่ยโจว ทั้งยังมีรากฐานนับพันปี ยอดฝีมือดั่งเมฆ* จึงไร้คนทำให้จำนน
นอกจากพรรควั่นหมัวแล้วใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ยังมีพญามารอยู่ตนหนึ่ง บัญชาการทั้งเผ่ามาร ถูกเรียกขานว่าจอมมาร
จอมมารและพรรควั่นหมัวนั้นเป็นพวกคนชั่วตะเภาเดียวกัน ฝ่ายหลังใช้ฝ่ายหน้าเป็นหัวม้าตัวนำ** บอกหนึ่งไม่สอง*** เป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน**** และก็เป็นบอสท้ายด่านของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ครึ่งเรื่องแรกด้วย จำเป็นต้องให้พระเอกจิงเจ๋อถือกระบี่ไปขจัดภัยเพื่อการดำรงอยู่ของชาวประชา
แต่ว่าตอนนี้สองโลกหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว ตัวแทนหกมหาเจ้าเมืองเผ่ามาร จอมมาร พรรควั่นหมัวและหุบเขาหย่งเยี่ย ประกอบกับตำหนักลับของจงจี่ ขั้วอำนาจทั้งห้าจึงจำเป็นต้องมานั่งลงสำรวจปัญหาเกี่ยวกับอนาคตของเผ่ามารกันอย่างสงบเสงี่ยม
ในห้าขั้วอำนาจนี้มีเพียงตำหนักลับที่เป็นเจ้าหนุ่มจอมแฉ
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเจ้าตำหนักลับไม่ใช่ชาวเผ่ามาร
แม้จงจี่จะใช้วิชาลับปกปิดดวงตาสีทองของตนเอาไว้ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใส่คอนแทกเลนส์ตากระต่ายสีแดงสุดเชยเพื่อคอสเพลย์เป็นชาวเผ่ามาร
อีกอย่างคือในตำหนักลับก็ไม่ใช่ชาวเผ่ามารทั้งหมด นอกจากชาวเผ่ามารแล้วก็ยังมีชาวเผ่าปีศาจและชาวเผ่ามนุษย์ไม่น้อย หากว่าตำหนักลับของเขาสามารถไปงานชุมนุมการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนของเผ่ามารได้แล้ว หลังจากนี้หากเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจเริ่มเรียกชุมนุมอะไร ตำหนักลับเองก็สามารถยื่นไม้เข้าไปแทรกได้ชนิดกล้าพูดว่ามีเหตุผล
ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาความสัมพันธ์ของตำหนักลับและเผ่ามารในเป่ยโจวคลุมเครืออย่างยิ่ง ตำหนักลับไม่มีใจจะไปตีสนิทฝ่ายใด แต่จะรักษาความสัมพันธ์สามเส้าชนิดนี้อย่างระมัดระวัง
ทว่าเวลานี้โลกพลันหลอมรวมกัน โครงสร้างเรื่องทั้งหมดต้องล้มและเริ่มใหม่อีกรอบหนึ่ง
กึก กึก กึก
จงจี่งอนิ้วแล้วเคาะลงบนโต๊ะไม้อย่างไม่ใส่ใจ ภายในใจตริตรองถึงสถานการณ์ของเป่ยโจวในยามนี้อยู่บ้าง
หากว่าเผ่ามารกลุ่มนั้นก่อเรื่องอย่างงานเลี้ยงที่หงเหมิน* วางแผนเตะเขาออกจากกลุ่มไปก่อน นั่นก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ
“ใช่แล้ว ยังมิได้แสดงความยินดีกับเจ้าตำหนักที่ชิงเอานามกิตติคุณอันดับหนึ่งในใต้หล้ามาได้”
ขณะกำลังครุ่นคิดเป่ยชิงก็จุดกำยานเสร็จในที่สุด ก่อนหันกายมาเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“จอมกระบี่จิงเจ๋อออกจากการกักตนแล้วบรรลุถึงจุดสูงสุดขั้นศักดิ์สิทธิ์ ครานี้ทำเนียบเสวียนจีมีการเปลี่ยนลำดับ เพราะชื่อเสียง ‘กระบี่เอกชั่วกาล’ ของท่าน ว่ากันว่าแม้แต่คนผู้นั้นของพรรคไท่ซวียังไหวสะท้าน”
“ผู้ใด”
หัวใจจงจี่พลันกระตุกวาบ ลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนักปรากฏขึ้นมาระลอกหนึ่ง
อย่า อย่าเชียวนะ!
“เซียนกระบี่หลิงเฮ่อ”
…
ชื่อที่คุ้นเคยไร้ใดเปรียบอันสมควรตายนี้
“ตอนที่มหาเทพตงเหยี่ยนแห่งแคว้นตงและจอมมารราตรีมืดมิดได้ยินข่าวก็ถอนใจว่าอนุชนน่านับถือ”
“…”
“แน่นอนว่ายังมีจอมกระบี่ผู้เดิมทีเชี่ยวชาญกระบี่และชื่นชอบการท้าประลองท่านนั้น”
เวร
จงจี่อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
เดิมทีเขาคิดเอาไว้จริงๆ ว่าหลังจัดการเรื่องของแคว้นตงเรียบร้อยแล้วก็จะกลับไปหลบทิศทางลมที่พรรคไท่ซวี แต่สถานการณ์ในเวลานี้ก็คือข้างหน้ามีเสือข้างหลังมีหมาป่า ไปที่ใดล้วนไม่สงบ
สามชื่อที่เป่ยชิงพูดถึงนี้ล้วนเป็นพี่ใหญ่ผู้เลื่องชื่อใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ การบำเพ็ญเพียรของแต่ละคนล้วนอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์สี่ห้าดาวขึ้นไป
เซียนกระบี่หลิงเฮ่อก็คือปรมาจารย์เปิดขุนเขาของพรรคไท่ซวี หลายวันก่อนจงจี่ยังหวนรำลึกถึงบรรพชนที่ผาฉางเซิงของตนอยู่เลย ผลคือเวลานี้กลับดียิ่ง จู่ๆ โลกก็ ‘พรึบ…’ แล้วหลอมรวมกัน
โลกหลอมรวมกัน ผาฉางเซิงก็คงไม่ได้แยกเป็นสองผา ดังนั้นนี่ก็หมายความว่าจงจี่เข้าไปยึดครองผาฉางเซิงของเซียนกระบี่หลิงเฮ่อแล้ว มิหนำซ้ำเขาไม่เพียงแค่ยึดครองแต่ยังตกแต่งอย่างกำเริบเสิบสาน ก่อสร้างและปลูกต้นไม้ใบหญ้า เตะเบาะกกน้อยเครื่องเรือนเพียงหนึ่งเดียวของอีกฝ่ายออกไปในหนึ่งฝ่าเท้าจนไปอยู่ที่ใดแล้วก็ไม่รู้
สำหรับยอดฝีมือแล้ว นี่ไม่น้อยไปกว่าความแค้นจากการสังหารบิดาเลย!!!
ถ้าจงจี่กล้ากลับพรรคไท่ซวีไปในเวลานี้ ไม่แน่ว่าต้องได้รับคำชี้แนะเป็น ‘หนึ่งกระบี่น้ำค้างเหมันต์’ กระบวนท่าประจำตัวของหลิงเฮ่อ ถูกส่งไปถึงนอกเก้าวิมาน ได้วัดความสูงกับปู่สวรรค์เป็นแน่
นอกจากนี้มหาเทพตงเหยี่ยนท่านนั้นยังเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของแคว้นตงใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’
ใน ‘อิสระ’ อธิราชแคว้นตงนั้นเป็นเพียงตัวรับกระสุนผู้หนึ่งที่เขียนบรรยายออกมาอย่างง่ายดายในหนึ่งปากกา เพียงแค่กินทุนเก่าที่บรรพชนทิ้งเอาไว้ให้ก็เท่านั้น
ช่างโชคร้ายยิ่งนักที่บรรพชนผู้นั้นก็คือตงเหยี่ยน
ตงเหยี่ยนนั้นเป็นผู้น่าเกรงขามที่มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เขาเปี่ยมไหวพริบมากแผนการ โหดเหี้ยมเด็ดขาด มีกำลังพลมหาศาล ความสามารถของตัวเขาก็ล้ำเลิศ พลังยุทธ์เหนือชั้น
ในยุคสมัยที่ตงเหยี่ยนปกครอง แคว้นตงก็สมชื่อกับแคว้นอันดับหนึ่งของทั้งห้านคร หมื่นประสกยกย่อง เงินในท้องพระคลังที่สะสมไว้สามารถประทานให้อนุชนได้หมื่นปี
ตัวละครประเภทนี้คิดดูแล้วก็เป็นแบบอย่างมาตรฐานของตัวร้ายผู้หนึ่ง
ไม่ผิด ตงเหยี่ยนใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ นั้นเป็นตัวร้าย สนิทกับจอมมารราตรีมืดมิดอย่างที่สุด ในโครงเรื่องคร่าวๆ ที่จงจี่ยังเขียนไม่ถึงนั้นเขาติดร่างแหไปด้วยในตอนหลังจากที่จิงเจ๋อย่ำเข้าขั้นเซียนแล้ว เพียงฟาดฟันหนึ่งกระบี่ก็ผ่าพระราชวังแคว้นตงของเขาไปเสียสิ้น
ส่วนจอมมารราตรีมืดมิด…
เขาคือบอสเล็กหมายเลขหนึ่งของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ช่วงแรก หัวโจกผู้สร้างความแค้นลึกล้ำทะเลโลหิตให้กับจิงเจ๋อตั้งแต่เล็ก เรื่องเลวล้วนกระทำหมด ไร้ซึ่งมโนธรรม เป็นตัวร้ายทั้งกายที่ปักธงไว้ได้เลยว่าเลวจนแม้แต่หัวใจก็ล้วนเป็นสีดำ
ยังมีจิงเจ๋อลูกชายคนรองใต้ปากกาของจงจี่
นิสัยปัสสาวะของจิงเจ๋อนั่น เขายังไม่กระจ่างแจ้งได้หรือ ไม่แน่ว่าหากอีกฝ่ายเก็บกวาดพรรควั่นหมัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะวิ่งหา ‘มือกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ในเวลานี้ไปทั่วแผ่นดินใหญ่เพื่อมานัดรบกัน
“…ข้าจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้”
เวลานี้เมื่อเปิดม้วนคัมภีร์อ่านก็ยังเป็นจงจี่ที่เหนือกว่าจอมกระบี่ ขึ้นพาดหัวข้อข่าวใหม่ล่าสุดว่าอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างทรงเกียรติ
ถ้าแตะไม่ได้ก็จะหลบไม่ได้หรือ
ไม่รู้ว่าทำเนียบเสวียนจีเกิดความผิดปกติอะไรขึ้น จงจี่ถึงยังคงนั่งบนเก้าอี้มังกรอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างมั่นคง คนในใต้หล้าเคยคาดเดาถึงการบำเพ็ญของจอมกระบี่จิงเจ๋อ เวลานี้เห็นพ้องต้องกันอย่างมาก ภายนอกวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ว่าจงจี่นั้นกลายเป็นตัวตนผู้ทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้คนแรกในรอบพันหมื่นปี ดึงดูดความสนใจของบรรดาพี่ใหญ่บนแผ่นดินเสวียนซวีมากมายนับไม่ถ้วน ทุกคนต่างนวดหมัดดัดมือ วางแผนจะออกจากการกักตนลงเขาเพื่อมาขอประสบการณ์บำเพ็ญเพียรสักเล็กน้อย
ในตอนที่จงจี่เขียน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ได้ยืมใช้รูปแบบเก่าจาก ‘อิสระ’ ให้ทั้งโลกมีฉากกำบังการฝึกบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นมาสายหนึ่ง
นั่นก็คือขั้นเซียน
มีเพียงรอจนหลังจากจิงเจ๋อทะลวงขั้นเซียนได้แล้วเท่านั้น เหล่าพี่ใหญ่ของโลกแห่งนี้ถึงจะได้สำรวจระดับขั้นที่สูงยิ่งกว่า เวลานี้กลับดียิ่ง ได้โอกาสแสดงความสามารถในผลงานชื่อฉันตีกับตัวฉันเองแล้ว
การฝึกบำเพ็ญเพียรบนแผ่นดินเสวียนซวีนั้นลึกลับอย่างที่สุด หากมีคนพลันตระหนักรู้กฎเกณฑ์ฟ้าดินระหว่างฝึกบำเพ็ญเพียร เช่นนั้นการเลื่อนระดับข้ามขั้นก็จะไม่ได้เป็นเพียงความฝัน
ตามบันทึกสูงสุดเคยมีคนอาศัยการตระหนักรู้ฟ้าดินโผทะยานจากขั้นสามข้ามไปยังขั้นห้าโดยตรง ชีวิตราวกับเปิดสูตรโกงอย่างไรอย่างนั้น
ภายใต้ภูมิหลังเช่นนี้ต่อให้จงจี่แสดงออกมาว่าตนเองเป็นเพียงน้องชายจุดสูงสุดขั้นเจ็ดผู้หนึ่ง คนอื่นก็คงจะคิดแค่ว่าเขาตระหนักรู้ความลับสุดยอดอะไรในฟ้าดินใช่หรือไม่ ถึงได้กระโดดโผทะยานย่ำเข้าระดับขั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดเข้าไปได้มาก่อน
จงจี่ : ไม่ ไม่ใช่ฉัน ฉันเปล่า!
เพราะความบังเอิญแต่ละอย่าง การที่สองโลกหลอมรวมเข้าด้วยกันได้ เดิมทีก็ควรจะมีบั๊กที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่หลายจุด แต่การที่ผสานกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างเป็นไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็นเช่นนั้นช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนทอดถอนใจจริงๆ
“ประจวบเหมาะทีเดียว ตำหนักย่อยของแคว้นตงช่วงนี้กำลังเป็นเจ้าภาพจัดพิธีเข้าตำหนักใหม่”
นักเล่นพิณรวบแขนเสื้อ พลังวิญญาณพลิกพลิ้วอยู่ระหว่างใต้ฝ่ามือ ท่วงท่าต้มชากรองชาสำเร็จเสร็จในหนึ่งลมหายใจ ดุจเมฆเคลื่อนสายน้ำไหล สง่างามอย่างที่สุด
“ได้”
จงจี่ย่อมเข้าใจความหมายของเขา
เป็นระยะเวลาเนิ่นนานแล้วที่เจ้าตำหนักลับไม่ได้ออกไปปรากฏกายต่อหน้าสาธารณชน คราวที่แล้วเป็นคุณชายเป่ยชิงหาตัวแทนไปเดินเล่นมารอบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหากผู้มีใจติดต่อเข้ามา คงได้ตกม้า* ทุกโมงยาม
ดังนั้นก็ควรเป็นเขาที่ออกไปเดินเล่นสักหน่อย
พรุ่งนี้ออกเดินทางไปแคว้นตง จะได้ถือโอกาสไปดูชายแดนแคว้นตงด้วย
ซากแห่งหยวนกู่ (ดึกดำบรรพ์) ของที่นั่นเป็นร่องรอยของมหาศึกมารเทพเมื่อพันหมื่นปีก่อน ด้านในมีของดีไม่น้อย เดิมทีก็เป็นคลังสรรพาวุธที่จงจี่เตรียมเอาไว้ให้จิงเจ๋อในอนาคต เวลานี้ยังไม่มีใครสามารถแก้ค่ายกลที่ทางเข้าได้เลย แต่นี่กลับกลายเป็นผลประโยชน์ของจงจี่
ดีที่สุดคือสามารถหาโครงกระดูกอสูรร้ายดึกดำบรรพ์สักท่อนหนึ่งมาทำเป็นหมากกระดูกได้
เดิมทีเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แต่เวลานี้ยอดฝีมือบนแผ่นดินเสวียนซวีนั้นดกดื่น คนนับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องป้ายอักษรมีชีวิตอันดับหนึ่งในใต้หล้านี้ จงจี่ไม่ป้องกันไม่ได้ พักความคิดที่จะเก็บซ่อนวิธีการต่อสู้อย่างลับๆ ของเมื่อก่อนเอาไว้ได้เลย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเรื่องก็ตัดสินไปแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์แปลกประหลาดและสับสนอลหม่านในเวลานี้ สิ่งที่ทำได้ก็คือหาหนทางที่เป็นของตำหนักลับให้เจอ
ไอน้ำลอยกรุ่นเหนือโต๊ะน้ำชา ไอสีขาวร้อนผ่าวม้วนเกลียวขึ้นจากผิวน้ำชาอันราบเรียบ ปกคลุมใบหน้าเขาเอาไว้ภายใน
โดยปกติแล้วในยามที่จงจี่ไม่ได้เอ่ยวาจา คิ้วตาก็จะมอบความรู้สึกเฉยชาหมื่นส่วนชนิดหนึ่งให้แก่ผู้คนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ราวกับว่าตัวเขานั้นไม่ควรจะเป็นของโลกมนุษย์นี้ แต่กลับเหมือนนรเซียนผู้ถูกลดขั้นลงมายังโลก ทั่วสรรพางค์กายล้วนปรากฏความไม่สามัญ
“อย่ากังวลเกินไปนัก ทุกอย่างย่อมมีชะตาเป็นของตนเอง”
เป่ยชิงรู้ว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้ภายนอกทำเป็นเก่งกาจไปอย่างนั้น ลักษณะนิสัยภายในเกียจคร้านและเอาแต่ใจ
ทั้งยังปากเสีย
ปากเสียอย่างคนที่จะยิ้มหัวเราะเยาะเย้ยไร้ยารักษาประเภทนั้น เป็นตัวดึงค่าความเกลียดชังออกมาได้อย่างมั่นคง
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เพียงแค่เขายืนอยู่ที่ตรงนั้นก็มีเสน่ห์อันไร้วาจาชนิดหนึ่ง
ภาพลักษณ์ที่กำเริบเสิบสานและไร้ระเบียบแต่กลับทรงพลังจนถึงขั้นหาตัวจับยากประเภทนั้นทำให้คนนับไม่ถ้วนยินยอมพร้อมใจติดตามเขา
“รสชาติไม่เลว”
จงจี่ไม่วางถูกผิด* ภาพลักษณ์บนใบหน้าฟื้นคืนกลับเป็นความเกียจคร้านอย่างในวันวานอีกครา เขายกขาชันสูง อิงไว้บนเบาะนุ่มด้านข้าง “นี่คือชาอะไร รินให้ข้าชิมอีกสักหน่อย”
เป่ยชิงที่เห็นท่าทีราวกับวัวเคี้ยวดอกโบตั๋น* ดื่มชาราคาพันสองพันทองจนหมดแล้วยังทำปากซูดซาดของเขา “…”
“ไม่มีแล้ว”
นักเล่นพิณแค่นหัวเราะเสียงเย็น เหลือบมองอีกฝ่ายปราดหนึ่งอย่างไร้ปรานี เพียงโบกแขนเสื้อคราหนึ่งก็เก็บป้านชาดินม่วงกลับไปจนหมด
* สังหารศัตรูได้หนึ่งพันตนเองสูญเสียไปแปดร้อย หมายถึงการสูญเสียทั้งสองฝ่าย
* ยอดฝีมือดั่งเมฆ หมายถึงมียอดฝีมือมารวมตัวกันมากมายเหมือนเมฆบนท้องฟ้า
** หัวม้าตัวนำ หมายถึงทำตามเป็นแบบอย่าง
*** บอกหนึ่งไม่สอง หมายถึงพูดคำไหนคำนั้น
**** ตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน เป็นการเปรียบเทียบถึงคนสองคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ไม่มีใครหนีความรับผิดชอบพ้น ตรงกับสุภาษิตไทย ‘ลงเรือลำเดียวกัน’
* งานเลี้ยงที่หงเหมิน หมายถึงงานเลี้ยงที่จัดขึ้นอย่างไม่ประสงค์ดี มีที่มาจากงานเลี้ยงที่ฝ่ายเซี่ยงอวี่ (ฉู่ป้าหวัง หรือฌ้อปาอ๋อง) จัดขึ้นในค่ายทหารที่หงเหมิน เพื่อหมายจะลวงหลิวปังมาสังหาร ทว่าสุดท้ายหลิวปังหนีรอดไปได้
* ตกม้า เป็นคำสแลง หมายถึงตัวตนที่สร้างไว้ถูกเปิดเผย มักใช้กับการถูกเปิดเผยตัวตนบนโลกออนไลน์
* ไม่วางถูกผิด เป็นสำนวน หมายถึงการไม่ได้บอกว่าถูกและไม่ได้บอกว่าผิด
* วัวเคี้ยวดอกโบตั๋น เป็นสำนวน หมายถึงผู้ที่ไม่เข้าใจในความงดงาม หรือไม่ปฏิบัติต่อสิ่งที่ดีงามตามมารยาทที่พึงกระทำ
บทที่ 14
หลังจากจงจี่ถูกนักเล่นพิณขับไล่ออกมาก็ทำได้เพียงวิ่งกลับไปยังชั้นบนสุดอย่างเซื่องซึม ก่อนก้มหน้าลงท่ามกลางม้วนคัมภีร์หยกกองพะเนินต่อ เขากวาดตาอ่านทีละหน้า และค่อยๆ เรียงร้อยสถานการณ์หลังจากโลกหลอมรวมกันของแผ่นดินเสวียนซวีในเวลานี้ท่ามกลางข้อมูลข่าวสารอันมหาศาลดั่งทะเลหมอก
แสงสว่างวาบไหวอย่างแช่มช้า ปกคลุมให้ห้องหนังสือแห่งนี้อยู่ในบรรยากาศอบอุ่น เคียงคู่กันกับสีรัตติกาลอันครึ้มเข้มนอกหน้าต่าง มีเค้าลางของเหล่านักเรียนสมัยโบราณถือโคมอ่านตำรายามดึกอยู่บ้าง
หอไจซิงจะปิดอย่างตรงเวลาเมื่อถึงยามสามของทุกวัน ยามเที่ยงคืนจงจี่วิ่งไปยังชั้นหนึ่งของหอไจซิงรอบหนึ่ง มองเห็นกระดานหมากที่ถูกจัดเรียงไว้ตามเดิมแล้วที่ตำหนักหลัก
เรื่องที่หมากร้อยกระเรียนถูกจอมกระบี่แก้หมากได้ในวันนี้ขึ้นไปอยู่บนม้วนคัมภีร์หยกเรียบร้อยแล้ว พอดีกับหลังจากขึ้นพาดหัวข่าว ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ล้วนกำลังคาดเดากันว่าจอมกระบี่จะมีเงื่อนไขอะไรกับตำหนักลับ
ถึงอย่างไรขอบเขตอำนาจของตำหนักลับในยามนี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาทุกคน เจ้าตำหนักลับยังเคยลั่นวาจาเอาไว้อย่างร้ายกาจอีกว่าสามารถตกลงทำตามคำร้องขอของผู้แก้หมากโดยไม่มีเงื่อนไขหนึ่งอย่าง นี่ทำให้ผู้คนไม่น้อยอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
“เจ้าตำหนัก”
เขาพยักหน้าน้อยๆ ตอบรับองครักษ์ลับ แต่เท้ายังก้าวต่อไม่หยุด เดินมาตรงหน้ากระดานหมากนั้นแล้วค้อมตัวลงมอง
กระดานหมากใหญ่มาก บนนั้นประทับภาพนกกระเรียนขาวในท่ากำลังจะกางปีกบินสูงจำนวนหนึ่งร้อยตัวพอดิบพอดี เพราะฝีมืออันลึกล้ำของจิตรกร หลังจากถ่ายเทปราณวิญญาณเข้าไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะทำให้พวกมันดูคล้ายว่าจะหลุดออกมาจากกระดานหมากได้ในทันทีเมื่อร้องเรียก ปราดเปรียวดั่งมีชีวิตจริงๆ
จงจี่ยังจำ ‘หอสมบัติพันชั้น’ ของประเทศจีนยุคโบราณที่ตนอ้างอิงถึงก่อนหน้านี้ได้ เขายืมใช้กลวิธีนี้สร้างหมากกระดานที่แปลกประหลาดและปรวนแปรออกมาหนึ่งกระดาน
ตำแหน่งที่เม็ดหมากสีดำขาวนั้นวางอยู่บนกระดานหมากนี้ประณีตอย่างที่สุด หากมองไม่ละเอียดคงคิดว่าวางส่งเดช แต่หากหยิบหัวใจแห่งการแก้หมากขึ้นมาแล้วพิจารณาอย่างถ้วนถี่จะพบกับจิตสังหารชั้นแล้วชั้นเล่าที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้กระดานหมากนี้จนจำใจต้องล่าถอย สุดท้ายเมื่อถอยแล้วก็จะต้องถอยอีกจนไร้หมากจะวาง
ปรมาจารย์หมากล้อมผู้มีชื่อเสียงแทบทุกคนใน ‘อิสระ’ ล้วนมีผังและคำอธิบายการวางหมากของหมากร้อยกระเรียนคนละฉบับ แต่กลับไม่มีผู้ใดวางหมากได้แม้เพียงครึ่งหนึ่ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จิงเจ๋อแก้หมากได้อย่างไรกัน
จงจี่จำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่ตนออกแบบตัวละครในตอนแรกนั้นเหมือนจะไม่ได้ใส่นิ้วทองคำด้านการวางหมากให้กับจิงเจ๋อ
แต่กระดานหมากตรงหน้ากลับวางหมากได้เบ็ดเสร็จอย่างแท้จริง หลังจากหยุดชีวิตตนเองก็โค่นล้มหมากตายดั้งเดิมได้ในฉับพลัน ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะปรบมือร้องว่าดี
“ไม่จำเป็นต้องวางเรียงแบบเดิมแล้ว ปล่อยมันไว้เช่นนี้เถิด”
“…”
“ไปเตรียมตัวสักหน่อย พรุ่งนี้เช้าข้าจะออกเดินทางไปแคว้นตง”
“ขอรับ”
ในเนื้อเรื่อง ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ หลังจิงเจ๋อออกจากการกักตนก็มาหาอนุชนสำนักเสวียนท่านหนึ่งที่เมืองเซิ่งหยาง ถึงค่อยได้รับข้อมูลสั้นๆ เกี่ยวกับพรรควั่นหมัว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเป็นเรื่องดี จอมกระบี่จับพลัดจับผลูมาเจอตำหนักลับของจงจี่ และตัวนักเขียนเองก็เป็นคนเอาสูตรโกงให้เขาโดยการเผยภูมิหลังของพรรควั่นหมัวออกไปจนหมด
…จงจี่เน้นย้ำแม้กระทั่งตำแหน่งห้องลับของพรรควั่นหมัวที่มีเพียงประมุขพรรคแต่ละรุ่นเท่านั้นที่รู้ให้กับลูกชายของตนด้วย
นี่ก็บังเอิญเกินไปแล้ว เพราะก่อนจะทะลุมิติเข้ามาในนิยาย มีเพียงเนื้อเรื่องของพรรควั่นหมัวเท่านั้นที่ในตอนแรกจงจี่วางแผนเอาไว้ว่าจะเขียนภาคแยกออกมาสักภาคหนึ่งใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสยกพู่กันวาดแผนที่ภูมิศาสตร์ของพรรควั่นหมัวออกมาเพื่อให้ง่ายต่อการวางโครงเรื่องและการขับเคลื่อนเนื้อเรื่อง
จงจี่นึกถึงจอมกระบี่ชุดขาวที่มองเห็นผ่านดวงตาพร่ามัวด้วยความเมามายในคืนนั้น ภายในใจก็สับสน
คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นผลประโยชน์ให้กับจิงเจ๋อ
แสงนภาเจิดจ้านอกหน้าต่างเปลี่ยนเป็นสีราตรีอีกคราหนึ่ง สุดท้ายความมืดครึ้มก็ถูกแสงอาทิตย์ทางบูรพาฉีกทะลวงอีกครั้ง บนถนนหนทางที่ค่อนข้างเงียบสงัดฟุ้งตลบไปด้วยควันมนุษย์อีกครา พ่อค้าหาบเร่ตัวน้อยเริ่มวางสิ่งของของตนเองลงบนพื้นให้เรียบร้อย ก่อนกางร่มบังแดดที่วาดยันต์ลดอุณหภูมิคันหนึ่ง หมายมั่นว่าจะต้อนรับวันที่ดีงามวันใหม่
“ดูเร็ว นั่นอะไรน่ะ!”
“อะไร อะไร!”
“เหมือนว่ามีคนก่อเรื่องที่เมืองเซิ่งหยาง! ผู้ใดหาญกล้าถึงเพียงนี้!”
ริมแม่น้ำเหวยสุ่ยทางเหนือพลันมีเสียงจอแจเอิกเกริกระลอกหนึ่งลอยมา บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรที่ก้มหน้าเดินถนนหรือไม่ก็กำลังทำการค้าขายต่างหยุดเท้าแล้วเงยหน้าชูคอขึ้นดูความคึกคัก
ยามปกติเมืองเซิ่งหยางถูกหลายสำนักพรรคใหญ่ปกครองร่วมกัน ไม่มีใครกล้ากำเริบเสิบสานในที่แห่งนี้
วันนี้ไม่รู้ผู้ใดขวัญกล้าถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าก่อเรื่องที่เมืองเซิ่งหยางเลยหรือ
หรือคนผู้นั้นไม่รู้ว่าที่นี่มีพรรคไท่ซวีเป็นผู้รับผิดชอบดูแล คิดอยากขอคำชี้แนะความเก่งกาจของผู้บังคับกฎพรรคไท่ซวีสักหน่อยใช่หรือไม่
ในตอนที่กลุ่มผู้กินแตงนับไม่ถ้วนล้วนเปิดม้วนคัมภีร์หยกเตรียมชมละครกันแล้วนั้น เหตุการณ์กลับพลันพลิกผันเกินความคาดหมาย
“ประเดี๋ยวก่อน คนผู้นั้น…ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ทรงพลังขั้นศักดิ์สิทธิ์!!!”
“เจ้าว่าอะไรนะ ผู้ทรงพลังขั้นศักดิ์สิทธิ์หรือ!”
แม้โลกจะหลอมรวมกันแล้วอย่างแท้จริง แต่ผู้ที่สามารถทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ในนิยายทั้งสองเรื่องนั้น พูดอย่างไรก็ได้เพียงแค่สามสี่สิบคน บนแผ่นดินเสวียนซวีที่มีอัจฉริยะมากมายพูดได้เลยว่าแต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงเลื่องลือ
ผู้ที่เอ่ยวาจาเมื่อครู่ตะลึงงันไปแล้ว โดยมีพ่อค้าหาบเร่ตัวน้อยผู้หนึ่งเห็นกระบวนการทั้งหมดอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งเข้าพอดี
บุรุษผู้สวมชุดสีดำกระโดดลงมาจากบนหออันดับหนึ่งในใต้หล้า ผมสีดำทั้งศีรษะพลิ้วสยายกลางอากาศตามอำเภอใจ แขนเสื้อที่ปักดิ้นทองแพรวพราวโบกสะบัดรุนแรง กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับดวงอาทิตย์แรกแย้มริมขอบฟ้าซึ่งยังไม่ทันเผยออกมาเต็มดวง
ท่วงท่าก้าวกระโดดของเขานั้นสง่างามอย่างที่สุด ในตอนที่พ่อค้าหาบเร่ตัวน้อยเช็ดเหงื่อเย็นเพราะเขา คนผู้นั้นกลับมุ่นคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ ปลายเท้าแตะลงคราหนึ่งคล้ายย่ำไปตามแต่ใจ มองดูแล้วเป็นเพียงก้าวสั้นๆ แต่กลับยืมอากาศย่ำเหยียบลงบนความว่างเปล่าอย่างมั่นคง
ขั้นศักดิ์สิทธิ์!
เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ชมละครอยู่สูดลมหายใจเย็นเยียบเฮือกหนึ่ง สายตาที่มองไปยังกลางอากาศยิ่งทวีความเร่าร้อน
แผ่นดินเสวียนซวีเดิมทีก็ถือวรยุทธ์เป็นใหญ่ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนใช้ความสามารถมาพูดคุย สำหรับผู้แข็งแกร่งแล้ว ภายในใจของทุกผู้คนล้วนเคารพเลื่อมใส ขั้นศักดิ์สิทธิ์มีฐานะเป็นระดับขั้นสูงสุดที่ผู้บำเพ็ญเพียรสามารถไปถึงได้ในเวลานี้ เป็นตัวตนที่มีคุณสมบัติจะยืนอยู่บนปลายยอดพีระมิดหรือเหนือศีรษะของผู้คนนับหมื่นพัน
นั่นเป็นพี่ใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งกว่าแพนด้ายักษ์เสียอีก
“ผู้ทรงพลังท่านใดมาเยือนเมืองเซิ่งหยางกัน”
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนไถ่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย และคนที่มารวมตัวกันตรงนี้ในเวลานี้ยิ่งมายิ่งเยอะ ผู้บังคับกฎเองก็เริ่มทำตามระเบียบการป้องกันแล้ว
แต่ว่าผู้อยู่บนฟ้าท่านนั้น…หากพูดกันอย่างจริงจังแล้วก็ไม่ได้กระทำการฝ่าฝืนระเบียบใด เพราะเขาย่ำลงบนอากาศ ไม่ได้เหยียบลงบนกระเบื้องหยกจนทำลายระเบียบสาธารณะ
“ดูเหมือน…ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์”
สายลมเย็นพัดผ่าน ใบหน้าของบุรุษผมดำผู้นั้นไม่เปลี่ยนสี ย่างก้าวอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง เพียงสองสามก้าวในชั่วลมหายใจก็ย่ำข้ามเหนือศีรษะผู้คนบนถนนอันรุ่งเรืองที่สุดของเมืองเซิ่งหยางไปแล้ว
เนื่องด้วยระยะอันห่างไกล คนจำนวนมากนั้นมองไม่เห็นโฉมหน้าของเขา แต่ในตอนที่สายลมเย็นพัดผ่าน กระบี่ยาวสีดำทองซึ่งซุกซ่อนอยู่ข้างเอวเขาเล่มนั้นพลันเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาครึ่งหนึ่ง พร้อมด้วยพลังปราณวิญญาณอันสะท้านสะเทือนของผู้เป็นเจ้าของ แม้จะเป็นผู้ที่อยู่ไกลออกไปก็ล้วนสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่อันเข้มงวดที่มาพร้อมกับตัวกระบี่
ผู้บำเพ็ญเพียรที่สวมชุดสีดำทองมีมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนสวมใส่ตามกระแส
ผู้บำเพ็ญเพียรที่สวมชุดสีดำทองและพกกระบี่ยาวสีดำทองเองก็มากมาย เหตุผลเหมือนกันกับด้านบน
แต่ผู้ที่สวมทั้งสองอย่างนี้ในเวลาเดียวกันเป็นเสมือนดั่งทิวทัศน์จันทร์หลังฝน ทั้งยังมีการบำเพ็ญเพียรลึกล้ำไม่อาจหยั่งเช่นนี้ มีเพียงจอมท่านผู้เป็นที่กล่าวขวัญเพียงผู้เดียวแล้ว
“ยามนี้ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวในเมืองเซิ่งหยางแล้ว!”
ผู้สัญจรบนถนนต่างวิ่งโร่ร้องเร่ สีหน้าแปลกใจระคนดีใจ และข่าวนี้ก็ดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วนเข้ามามุงดูภายในเวลาไม่นาน
หลังทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนล้วนจะมีสมญานามเป็นของตนเอง ผู้ที่ใช้กระบี่ก็เป็นจอมกระบี่ เซียนกระบี่ ภูตกระบี่ มารกระบี่อะไรเหล่านั้น ผู้ใช้ดาบก็จะเป็นมารดาบ ภูตดาบ เทพดาบอะไรเหล่านั้นด้วยเหตุผลเดียวกัน หากกล่าวโดยทั่วไปแล้วก็ล้วนใช้อาวุธมามอบสมญานาม
แน่นอน ข้อยกเว้นก็มี ตัวอย่างเช่นมหาเทพจอมมารประเภทนี้คือการใช้ตัวตนมากำหนดสมญานาม
แต่จงจี่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้กลับแตกต่างอย่างหาได้ยาก ทว่าฟังดูแล้วก็เป็นประเภทที่เจ๋งสุดยอด
เขาออกแบบให้ตัวละครของตนเองครอบคลุมไว้ด้วยรัศมีของผู้สูงส่งเฉื่อยชาที่มักเอาสองมือไพล่หลัง หลังปรายตามองฝูงชนเบื้องล่างแล้วเห็นว่าต่างก็สะดุ้งตกใจกันได้ประมาณหนึ่งแล้วถึงค่อยหยิบของวิเศษชิ้นหนึ่งออกมาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นโยนขึ้นไปกลางอากาศ มันหมุนคว้างและขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นวัตถุขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งแผ่ในกลางอากาศ ฉายแสงสีอ่อนจางเรืองรอง
ของวิเศษชิ้นนี้คือแผนที่นครภูผาธาราที่เหมาะแก่การสร้างภาพอย่างที่สุด อย่ามองเพียงว่าชื่อของมันค่อนข้างไพเราะเป็นพิเศษ ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงของวิเศษในการสื่อสารที่ดูดีชิ้นหนึ่งเท่านั้น
จงจี่จงใจสร้างสถานการณ์ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าเขาพึงพอใจผลลัพธ์ในยามนี้มาก
เวลานี้เขาต้องไปให้การสนับสนุนแก่องค์ชายผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานแห่งแคว้นตงผู้นั้นตามคำสัญญา ย่อมต้องคืนฐานะกลับไปเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์พรรคไท่ซวี
ความยากของเรื่องนี้เดิมทีนั้นเป็นระดับ D แต่เพราะว่าโลกหลอมรวมเข้าด้วยกันจนมีมหาเทพตงเหยี่ยนเพิ่มเข้ามา ระดับความยากเลยเปลี่ยนเป็นระดับ S แล้ว
เพราะไม่มีทางเลือก จงจี่ถึงได้ใช้กลยุทธ์นี้
เขาทอดถอนใจอยู่ภายในใจเฮือกหนึ่ง แขนเสื้อยาวโบกสะบัด ยังคงมีท่วงท่ากำเริบเสิบสานไม่เหลียวแลสรรพสิ่ง
ความตระการตาของแผนที่นครภูผาธารานั้นตระการตาจริง แต่จงจี่ยังไม่ค่อยพอใจนัก
เพราะนี่ไม่ใช่การสร้างภาพขั้นสูงสุดของเขา
บุรุษชุดดำรูปร่างระหง ยืนอยู่เหนือเมฆฟ้า มองดูแล้วหล่อเหลาสง่างาม แต่ความจริงในใจกำลังคิดวางแผนอยู่ว่าจะวิ่งไปเมืองฮ่วนไห่ฮวา (ดอกไม้ทะเลมายา) แล้วจับกระเรียนเซียนสักตัวกลับมาทำเป็นสัตว์พาหนะก่อนดีหรือไม่
จากนั้นจงจี่ก็พบว่ายิ่งคิดยิ่งเป็นไปได้
กระเรียนเซียน ของเล่นชนิดนี้เดิมทีก็ได้รับการยกย่องจากผู้บำเพ็ญเพียรอยู่แล้ว ด้วยคิดว่ามันสูงศักดิ์บริสุทธิ์ เหมาะสมตามครรลอง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเซียน
รอจัดการเรื่องของแคว้นตงให้เสร็จ วิ่งไปซากแห่งหยวนกู่สักรอบ ก่อนจะเข้าร่วมงานชุมนุมเพื่อการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนของนิกายมาร จากนั้นค่อยลองไปจับกระเรียนเซียนมาเล่นสักตัวหนึ่งก็ไม่เสียหาย
เขาคิดคำนวณเสร็จสรรพด้วยความพอใจแล้วก็เหยียบแผนที่นครภูผาธารามาเริ่มเร่งปราณวิญญาณ ทันใดนั้นเส้นขนละเอียดทั่วร่างพลันตั้งชัน พร้อมกับสัมผัสได้ว่าถูกปราณกระบี่เข้มงวดสายหนึ่งกำหนดเป้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบสายตากับคนผู้หนึ่ง
มือกระบี่ชุดขาวเหมือนกระบี่ที่ออกจากฝักกำลังยืนอยู่บนกำแพงครามกระเบื้องหยก แม้สีหน้าจะเฉยเมยเสียจนเข้าใกล้คำว่าไม่มี แต่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยความต้องการต่อสู้ ดวงตาสีดำที่ทอดมองมานั้นนิ่งขรึม
จงจี่เห็นความหมายของประโยค ‘แค่ขอต่อสู้ด้วยสักรอบหนึ่ง’ มากมายนับไม่ถ้วนในจากดวงตาสีดำคู่นั้น
จงจี่ “…”
แผนที่พรรควั่นหมัวเขาก็ให้ไปแล้ว เหตุใดไอ้เด็กนี่ถึงยังไม่ไปตามหาค่ายที่มั่นใหญ่ของพวกเขาเล่า
พูดอีกก็คืออย่าคิดว่าเจ้าเป็นจอมกระบี่แล้วจะยืนอยู่บนกระเบื้องหยกของเมืองเซิ่งหยางพวกข้าได้โดยไม่เป็นอะไรนะ นี่คือการทำลายระเบียบสาธารณะเข้าใจหรือไม่
ควรจะเรียกผู้บังคับกฎพรรคไท่ซวีมาที่นี่เพื่อออกใบสั่งสักใบแล้ว (ยิ้มกริ่ม)
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.