ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 17
จิงเจ๋อปรากฏตัวที่นี่ย่อมมีเหตุผล
ด้วยนิสัยประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่ข้าม* ของจอมกระบี่แล้ว สามารถออกจากดินแดนหิมะของภูเขาเทียนซานพรรคไท่ซูได้เช่นนี้ คิดดูแล้วคงเพราะมีเรื่องสำคัญอย่างที่สุด
เขาจะไปชำระแค้น ไปชำระแค้นที่พรรควั่นหมัวของแคว้นเป่ย
เช่นนั้นปัญหาก็มาแล้ว
หากต้องการไปอาณาเขตของเผ่ามารแคว้นเป่ยก็ต้องผ่านเมืองไป๋จิง
จิงเจ๋อย่ำเมฆมาเยือน กำลังวางแผนไปเด็ดชีวิตสุนัขของศัตรูที่พรรควั่นหมัว เวลานี้แค่ผ่านทางมาดื่มชาจอกหนึ่งก็จะจากไปประเภทนั้น
ในตอนที่จงจี่เขียน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ในทีแรก ใช้แค่คำว่าเวทนาเพียงคำเดียวมาบรรยายพระเอกผู้นี้เพื่อที่จะสร้างจุดไคลแมกซ์ให้กับนิยาย
มารดาของจิงเจ๋อเป็นเผ่าปีศาจ ทั้งยังเป็นสายเลือดของเทพเผ่าปีศาจที่ยังหลงเหลืออยู่ในปีนั้นอีกด้วย นางตั้งครรภ์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของเผ่าปีศาจเลยทีเดียว
ในตอนที่จิงเจ๋ออายุเจ็ดขวบ ฐานะของมารดาเขาเปิดเผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อประสบกับโจรโลภ ตระกูลใหญ่โลหิตไหลเป็นธารยาวในหนึ่งราตรี จากคุณชายตระกูลใหญ่จิงเจ๋อต้องระเห็จไปเป็นขอทานข้างถนน รากวิญญาณถูกทำลาย บุตรที่รักแห่งสวรรค์ร่วงตกหุบเหว ได้รับความระทมแห่งโลกิยะถึงที่สุด
เพื่อการชำระแค้นจิงเจ๋ออาศัยความอุตสาหะอันน่าตื่นตะลึงกราบเข้าพรรคไท่ซูสำนักพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า กระโดดเข้าไปก่อรากวิญญาณเย็นยะเยือกขึ้นมาใหม่ ได้รับความทุกข์ยากแล้วถึงค่อยฟื้นคืนร่างแห่งการบำเพ็ญเพียรได้
ถึงอย่างไรก็เป็นมาตรฐานของพระเอก นิ้วทองคำในด้านพรสวรรค์แข็งแกร่งมาก หลังแก้ไขปัญหาเรื่องรากวิญญาณ ความสามารถเองก็พอกพูนสูงขึ้น
เมื่อพรสวรรค์อันน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ถูกมารกระบี่พรรคไท่ซูพบเข้า มารกระบี่จึงคิดจะรับจิงเจ๋อเข้ามาในสำนัก
ในพรรคมารกระบี่มีศิษย์เพียงสองคนเท่านั้น อาจารย์เข้มงวด ศิษย์พี่อ่อนโยน ทำให้จิงเจ๋อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ห่างหายไปเนิ่นนาน
เดิมทีก็คิดว่าความทุกข์ระทมสิ้นสุดแล้ว แต่ผลคือโชคชะตากลับตีแสกหน้าเขาอีกคราหนึ่ง
มารกระบี่อี้เจวี๋ยก็เป็นเพียงเกราะชั้นหนึ่งเท่านั้น เพราะอีกฐานะหนึ่งของอาจารย์ของจิงเจ๋อแท้จริงแล้วเป็นประมุขพรรควั่นหมัว นั่นก็คือจอมมารราตรีมืดมิดผู้ทำให้คนแว่วเสียงลมก็เสียขวัญในทุกวันนี้ และยังเป็นตัวการผู้ก่อการสังหารหมู่ฆ่าล้างตระกูลของจิงเจ๋อ
จอมมารราตรีมืดมิดรับจิงเจ๋อเป็นศิษย์ย่อมวางแผนมุ่งร้าย
จิงเจ๋อมีกระดูกกระบี่โดยกำเนิด แค่เกิดมาก็ย่ำเข้ามรรคาไร้อารมณ์ไปครึ่งก้าวแล้ว คุณสมบัติเช่นนี้ไม่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนไม่ได้
หลายสิบปีก่อนจอมมารราตรีมืดมิดถูกปรมาจารย์ไป๋อวี่แห่งวัดจื่อกวง (แสงม่วง) ทำให้ได้รับบาดเจ็บ ทิ้งบาดแผลบอบช้ำภายในให้เขาไปชั่วชีวิต เวลานี้เกิดความคิดจะแย่งชิงร่างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในภายหลังอี้เจวี๋ยยังพบว่าจิงเจ๋อคือเด็กกำพร้าที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวจากพิบัติฆ่าล้างตระกูลครั้งนั้น
ทว่าการฆ่าล้างตระกูลในคราแรกแม้จะฆ่าล้างจนสิ้นแล้ว แต่สิ่งที่อี้เจวี๋ยต้องการนั้นกลับหาไม่เจอ ภายใต้การคาดเดา ของสิ่งนี้มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะอยู่ในมือจิงเจ๋อ ดังนั้นภายนอกเขาจึงเป็นอาจารย์ที่ดี แต่ในที่ลับกลับเป็นดั่งอสรพิษจำศีลอย่างไรอย่างนั้น เพียงรอให้การบำเพ็ญเพียรของจิงเจ๋อสูงขึ้นอีกสักหน่อยถึงค่อยใช้มหายุทธ์แย่งชิงร่าง
อาจารย์เป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ผู้ภายนอกอ่อนโยนย่อมไม่ใช่สิ่งดีอะไร
ศิษย์พี่อี้โม่นั้นเป็นประมุขน้อยพรรควั่นหมัว และเป็นบุตรคนโตของอี้เจวี๋ย มองจากภายนอกแล้วอ่อนโยนยิ้มละไมอย่างยิ่ง แต่ความจริงแล้วก็มีน้ำเสียเต็มท้อง* ภายนอกดูแล้วเอาใจใส่กวดขันจิงเจ๋อ แต่ความจริงแล้วริษยาพรสวรรค์ของจิงเจ๋ออย่างที่สุด เอาแต่ยุให้รำตำให้รั่ว หาความลำบากมาให้กับจิงเจ๋อโดยไม่ทิ้งร่องรอย
จิงเจ๋อได้พบกับตัวรับกระสุนผู้วิ่งมาขอให้ตบหน้ามากมายถึงเพียงนั้นที่พรรคไท่ซู ครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นฝีมือของศิษย์พี่คนดีผู้นี้
กล่าวโดยสรุปก็คือจิงเจ๋อนั้นล่วงเข้ารังโจร ได้รู้จักอาจารย์จอมปลอม ตอนที่อี้เจวี๋ยต้องการจะใช้วิชาชิงร่างในตอนสุดท้ายนั้นจิงเจ๋อก็ได้พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอย่างชาญฉลาด จากนั้นจึงเป็นฝ่ายดูดซับพลังบำเพ็ญเพียรครึ่งหนึ่งบนร่างของอี้เจวี๋ย แล้วเปิดโปงฐานะจอมมารของเขาต่อหน้าผู้คนพรรคไท่ซู
แต่ของดูต่างหน้าที่มารดาจิงเจ๋อทิ้งเอาไว้ให้ สมบัติลับในตำนานชิ้นนั้นยังคงถูกจอมมารแย่งชิงแล้วเร่งร้อนหนีไป
ดังนั้นเรื่องที่เหตุใดจิงเจ๋อถึงฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างบ้าคลั่งก็ไม่ยากเกินความเข้าใจ เวลานี้หลังออกจากการกักตนอย่างพึงพอใจก็อยากจะถือกระบี่เข้าไปชำระแค้นพรรควั่นหมัวเต็มแก่
ผู้ชายน่าเวทนามากคนหนึ่ง.jpg
ส่วนสาเหตุที่มู่เหยี่ยปรากฏตัวที่นี่นั้น…
ในฐานะศิษย์เอกพรรคอู๋จี๋ มู่เหยี่ยในเวลานี้ใช้วิธีการอันน่าสังเวชใจเช่นนี้ส่งจงจี่ขึ้นตำแหน่ง และก็เป็นวิธีการเดียวกันนี้ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินใหญ่
เวลานี้ห่างจากยามที่เขาถูกจงจี่กำราบต่อหน้าผู้คนทั้งใต้หล้าเพียงไม่กี่วัน มู่เหยี่ยย่อมไม่มีหน้ากลับพรรคไปรับคำเยาะเย้ยถากถางจากทุกคนโดยมีอาจารย์เป็นผู้นำได้ชั่วคราว
ดังนั้นเขาจึงเดินออกจากพรรค
ด้วยเหตุผลอันทรงเกียรติผ่าเผยอย่างยิ่ง
สำรวจพบธรณีประตูของขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไปครู่เดียวก็กลับ ไม่ต้องคิดถึง
ด้วยเหตุนี้มู่เหยี่ยจึงปฏิเสธทุกวิธีการติดต่อสื่อสาร หนึ่งคนหนึ่งดาบ ชุดเทาม้าแกร่ง ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งผู้พเนจรสุดขอบฟ้า
หลังจากนั้นก็บังเอิญเช่นนี้แล คนสามคนพบกันที่เหลาสุรา
เหลาสุราแห่งนี้มีชื่ออย่างยิ่ง เป็นร้านเก่าแก่พันปีของเมืองไป๋จิง ฝีมือในการหมักสุราผ่านการฝึกฝนทำซ้ำตกตะกอนมาแล้ว ถึงได้มีความกลมกล่อมอย่างทุกวันนี้ เป็นจุดเช็กอินที่โด่งดังบนโลกออนไลน์ของเมืองไป๋จิง
แม้มู่เหยี่ยจะสวมหมวกสาน แต่จงจี่ก็ยังจำคนคุ้นเคยเก่าผู้นี้ได้ในปราดเดียว
ไร้สาระ ท่าทางตอนเดินจองหองถึงเพียงนั้น ทั้งยังมีน้ำเสียงดื้อด้านดึงดันตอนควักศิลาวิญญาณออกมา นอกจากมู่เหยี่ยแล้วจะมีผู้ใดอีก
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีลักษณะกวนประสาทโดดเด่นเช่นนี้มาแต่กำเนิด
ตอนแรกจงจี่มองเห็นจิงเจ๋อก็ก้นขมิบคราหนึ่งแล้ว เวลานี้ยังมีมู่เหยี่ยมาอีกคนหนึ่ง ยิ่งปวดไข่เข้าไปอีก กล้าเพียงยื่นมือไปกดขอบหมวกสานให้ต่ำลงแล้วต่ำลงอีก ปิดกั้นฝังตนเองอยู่ในมุมหนึ่งและก้มศีรษะลงดื่มสุราอยู่เงียบๆ
วาจาล้วนไม่กล้าเอ่ย
ถึงอย่างไรเสียงก็เป็นเครื่องระบุตัวตนด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น หากมู่เหยี่ยเจอตัวแล้วต้องยกดาบพุ่งเข้ามาเป็นอันดับแรกแน่
“ลูกค้า ร้านเราคนเต็มแล้ว ท่านลองดูก่อนว่าสามารถนั่งร่วมกับโต๊ะอื่นได้หรือไม่”
ในชั่วพริบตาที่มู่เหยี่ยย่ำเข้ามา เสี่ยวเอ้อร์ร้านพลันเข้าไปต้อนรับ บนใบหน้ามีรอยยิ้มเสียใจเต็มเปี่ยม
“เอาตามสะดวกเถิด”
เสียงนักดาบทุ้มต่ำ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีความกำเริบเสิบสานเอาแต่ใจอย่างในความทรงจำยามปกติของจงจี่
ดูแล้วการประลองครั้งนั้นกระทบเขาไม่น้อยเลยจริงๆ
จงจี่ถอนใจแผ่วเบาแล้วละเลียดสุราต่ออึกหนึ่ง คิดจะหันศีรษะไปลอบมองการเคลื่อนไหวทางนั้นสักเล็กน้อย
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงตอบรับอย่างกระตือรือร้นของเสี่ยวเอ้อร์ “ได้เลย โต๊ะทางนั้นมีแขกอยู่เพียงท่านเดียว…”
ทางนั้น? ทางใด
จงจี่พลันสะดุ้ง เมื่อกวาดตามองปราดหนึ่งก็เห็นว่าโต๊ะเก้าอี้ใกล้เคียงไม่มีที่นั่งว่างเลย
เวร
ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอกมั้ง
“…ลูกค้าสะดวกจะนั่งร่วมโต๊ะกับพี่ชายน้อยท่านนี้หรือไม่”
“ลูกค้า? ลูกค้า?”
ขณะกำลังคิดเสี่ยวเอ้อร์ก็เดินมาถึงตรงหน้าเขา จากนั้นใช้เสียงไม่ดังไม่เบาสอบถามเขาติดต่อกันอยู่หลายครั้ง แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็ถูกตัดบทสนทนา แล้วหันมามองทางนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น
จงจี่ “…”
มารดาเถอะ ฉันต้องตอบหรือไม่ตอบดีล่ะ
ถ้าตอบไปแล้วมู่เหยี่ยมานั่งอยู่ตรงหน้าเขา จะต้องจำจงจี่ได้แน่นอน ถ้าไม่ตอบก็จะหมายความว่าตนเองไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเปิดปากทีหนึ่งเขาก็จะตกม้าอยู่ดี
คล้ายกับว่านี่จะเป็นวังวนแห่งความตาย
จงจี่จำต้องส่ายหมวกสานเล็กน้อย ทนไม่ไหวชนิดอยากจะย่อพิภพเป็นชุ่นเสียเดี๋ยวนี้ หายไปจากที่ตรงนี้ทันที
“หากว่าลูกค้าท่านนี้ไม่ยินยอม เช่นนั้นรบกวนพี่ชายน้อยรออีกสักครู่เถิด”
เสี่ยวเอ้อร์เองก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้รับคำปฏิเสธ ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรท่านนี้เข้ามาก็สั่งสุราหลีฮวาไป๋สิบปีไหหนึ่ง ดูท่าทางแล้วก็เป็นนายท่านไม่ขาดเงินผู้หนึ่ง เสี่ยวเอ้อร์ไม่อาจตัดสินถูกผิด ทำได้เพียงยิ้มสู้ ก่อนหันศีรษะไปเผชิญหน้ากับนักดาบชุดเทาผู้มองดูแล้วยิ่งไม่อาจยั่วยุให้โมโหท่านนั้น
“ลูกค้า ท่านดู…”
“ช้าก่อน”
นักดาบผู้เดิมทีกำลังลูบไล้ด้ามดาบในมือพลันหยุดยืนนิ่งงัน
มู่เหยี่ยเดิมทีเพียงคิดอยากจะมาชิมสุราหลีฮวาไป๋อันเลื่องชื่อของร้านนี้สักหน่อยเท่านั้น ผลคือคิดไม่ถึงว่าเมื่อกวาดสายตาคราหนึ่งก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคย โทสะพลันแล่นสู่หัวใจ
“จงจี่!”
นักดาบชุดเทาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทุกซี่
จงจี่ เจ้าหนุ่มผู้นี้ ต่อให้กลายเป็นฝุ่นเขาก็จำได้! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสวมเพียงหมวกสานใบหนึ่งอย่างในตอนนี้เลย ยังคิดว่าไม่พูดแล้วจะสามารถนั่งตรงนี้แล้วปลอมตัวเป็นหลานชายได้หรือ
เสียงคำรามเสียงนี้สามารถบอกได้เลยว่าแม้แต่คนหูหนวกก็ยังได้ยิน จากที่มีเพียงไม่กี่คนที่สังเกตเห็นมุมนี้เมื่อครู่ เวลานี้ทุกคนกลับนำสายตามารวมศูนย์ไว้ที่จุดเดียวกันแล้ว
รวมถึงจอมกระบี่ชุดขาวที่นั่งอยู่อีกฝั่ง มือถือถ้วยชา ท่วงท่าเย็นชาสง่างามผู้นั้นด้วย
ชื่อนี้โด่งดังมากเกินไปแล้วจริงๆ
จงจี่ “…”
เขาพลันหยิบพัดกระดูกสีดำทองที่ข้างเอวขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก เสียงกางพัดดัง ‘พึ่บ…’ คราหนึ่ง นำพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม ป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อไปของมู่เหยี่ย
จะโทษการป้องกันนี้ของจงจี่ก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรระหว่างเขาสองคนพบกันสิบครั้ง เก้าครั้งในนั้นมู่เหยี่ยเป็นผู้ถือดาบพุ่งเข้าหา ตะลุยฟันระลอกหนึ่ง ตีแล้วค่อยพูด ไม่มีความรู้สึกว่าต้องการสมาคมกันเลยสักนิดเดียว
ที่เกินความคาดหมายก็คือครานี้มู่เหยี่ยกลับไม่พุ่งเข้ามา นักดาบเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าไม่น่ามองอยู่บ้างเล็กน้อย
เวลานี้จงจี่ถึงได้รู้สึกตัวภายหลัง
เขาพลันค่อยๆ เหลือบตาลงไปก็ถูกอักษรตัวใหญ่ที่ตนเองเขียนเอาไว้ในคราแรกทำให้หน้ามืดไปวูบหนึ่ง
อักษรบนพัดดั่งมังกรร่อนหงส์ระบำ แข็งแกร่งทรงพลัง หมึกที่ผสมผงทองวาบประกายเรืองรองอยู่บนหน้าพัด
อันดับหนึ่ง-ใน-ใต้หล้า
นี่ก็คือเรื่องในตอนที่เขาลงมาจากผาฉางเซิง เพื่อที่จะแสดงออกถึงอารมณ์อันปีติยินดีมากมายหลังจากกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า จึงตั้งใจเขียนคำนี้บนหน้าพัดเป็นพิเศษ
จงจี่ “…”
ค่าความเกลียดชังนี้มั่นคงแล้ว
* ประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่ข้าม หมายถึงไม่เตร็ดเตร่นอกบ้านและไม่เปิดรับแขกเข้ามาถึงเรือน เป็นธรรมเนียมของหญิงสาวในสมัยโบราณ
* มีน้ำเสียเต็มท้อง หมายถึงคนจิตใจไม่ดี
บทที่ 18
“จงจี่!!!”
ในเสียงคำรามนี้แฝงไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยว ในความโกรธเกรี้ยวแฝงไว้ด้วยความซับซ้อน ในความซับซ้อนแฝงไว้ด้วยความประหลาดใจ อธิบายถึงความรู้สึกในเวลานี้ของมู่เหยี่ยได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จงจี่ยอมรับว่าแม้ตนเองจะชื่นชอบการเสแสร้งโอ้อวด แต่หลังจากทะลุมิติเข้ามาในนิยายแล้วเขาก็ยังไม่เคยได้พบกับช่วงเวลาที่ต้องอับอายเพราะการเสแสร้งโอ้อวดเลย
ในเหลาสุราเวลานี้สายตาของทุกคนล้วนกวาดผ่านมาอย่างพร้อมเพรียง ในนั้นมีสายตาแหลมคมดุจกระบี่สายหนึ่ง แทบจะตอกจงจี่ติดเข้ากับผนัง
จงจี่ในเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ทั้งยังเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ในด้านระดับขั้นยังเป็นห้วงฝันมายาหลากสีสันที่ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนชื่นชอบที่สุด เพียงวิ่งก็มาถึงการข้ามขั้นเลื่อนระดับ เพียงทะยานก็ทะลวงฟ้า เวลานี้เท้าก็ย่ำจอมกระบี่ หมัดซัดมู่เหยี่ย ขึ้นไปนั่งอันดับต้นบนที่นั่งอันล้ำค่าอย่างมีเกียรติ เลื่องลือไปทั่วหล้า
ลักษณะตัวละครของเขานั้น ในวันปกติยามสมาคมต่อหน้าคนจะตรงไปตรงมาอย่างมาก ทั้งมวลล้วนเป็นภาพศิษย์เอกพรรคไท่ซวีผู้เฉยชาทะนงตน ไม่เคยกระทำเรื่องราวเสียภาพลักษณ์ใดๆ มาก่อน
ประกอบกับเม็ดหมากสีดำขาวศัสตราวุธหายากที่จงจี่ใช้ตอนกำราบมู่เหยี่ยครั้งนั้น ขณะยกแขนเสื้อขึ้นหมากก็เรียกได้ว่าหล่อเหลาสง่างาม ดึงดูดให้กวีนับไม่ถ้วนมากอบหมัดทักทาย
สัตบุรุษดั่งพระพาย สัตบุรุษดั่งสายลม พิณหมากภาพอักษร วายุบุปผาเหมันต์จันทรา เหล่านี้เป็นช่องเพิ่มคะแนนทั้งหมด ปัญญาชนคนชั้นสูงแต่ละแคว้นล้วนชื่นชมในตัวอันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้ออกท่องหล้าปรากฏสู่โลกเป็นอย่างมาก คำวิจารณ์ก็ล้ำเลิศยิ่ง
อ้อ ใช่แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือยังถูกโวว่าวิชากระบี่ของจงจี่นั้นเป็นอัศจรรย์ในอัศจรรย์
ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อน หรือผู้ที่เคยเห็นล้วนตายหมด โบกเคล็ดกระบี่ล่องเมฆา ปราณกระบี่ผุดขวางสารทฤดูอะไรนั่น พูดกันราวกับว่าครู่ถัดมาจงจี่สามารถถือกระบี่ไหล่ชนไหล่กับดวงตะวันได้ แต่ก็ยังมีคนส่วนใหญ่เชื่อ
สายตาที่จิงเจ๋อมองมา ความร้อนแรงหนึ่งร้อยในร้อยส่วนนั้นล้วนเป็นเพราะสาเหตุนี้!!!
นิสัยปัสสาวะของจิงเจ๋อนั่น เขายังไม่กระจ่างแจ้งได้หรือ! เจ้าตัวมีเขี้ยวนี่เป็นคนบ้าการต่อสู้อย่างไม่ลดไม่หักผู้หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นคู่ต่อสู้ที่ใช้กระบี่ หากจับได้คนหนึ่งแล้วก็จะไม่ปล่อยเด็ดขาด ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้เรื่องที่พรรควั่นหมัวกำลังเร่งด่วน จงจี่กล้ารับรองเลยว่าจิงเจ๋อต้องเข้ามาเชิญเขาต่อสู้แน่
หากจิงเจ๋อเอ่ยคำเชิญต่อสู้ต่อหน้าธารกำนัล เพื่อศักดิ์ศรีแล้วจงจี่ไม่อาจปฏิเสธโดยเด็ดขาด
หากไม่ปฏิเสธก็ต้องสู้จนตัวตายกับจุดสูงสุดของขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ตื่นเต้นหรือไม่ ประหลาดใจหรือไม่ รอคอยหรือไม่
พระเอกนิยายเว็บฉี่เตี่ยนจุดสูงสุดขั้นศักดิ์สิทธิ์ประชันสะท้านโลกากับพระเอกนิยายเว็บฉี่เตี่ยนขั้นศักดิ์สิทธิ์สองดาว ผู้ใดผ่านมาเห็นย่อมต้องห้ามพลาด
นี่ก็คือสาเหตุที่จงจี่ไม่กล้าขานตอบชื่อที่มู่เหยี่ยคำรามเรียกเขาอย่างดุร้ายเช่นนี้
เพราะบนหอไจซิงในคืนนั้นจงจี่คิดว่าตนเองเมามายแล้ว แม้ร่างจะสวมชุดของเจ้าตำหนักลับเอาไว้ แต่กลับลืมปลอมเสียงของตนเอง
เวลานี้ขอเพียงเอ่ยปาก จะตกม้าเมื่อใดก็ย่อมได้
พูดอีกอย่างก็คือจิงเจ๋อเกลียดนิกายมารที่สุดมาชั่วชีวิต โศกนาฏกรรมที่เขาพบพานในชีวิตนี้ทั้งหมดล้วนมีพรรควั่นหมัวเป็นผู้ก่อ จึงชิงชังนิกายมารเข้ากระดูก
ตอนที่กำลังกักตนคราแรกจิงเจ๋อยังยืนตรงไต่ถามฟ้าอยู่บนยอดของยอดเขาหลักพรรคไท่ซู ลั่นคำสาบานว่าจะใช้กระบี่ในมือตัดสังหารคนของนิกายมารให้สิ้น ใช้ฆาตพิสูจน์มรรค
เจ้านิกายนิกายมาร จงจี่ “…”
คิดมาถึงตรงนี้จงจี่ก็ทำได้เพียงรวบพัดเบาๆ ใบหน้าไม่เปลี่ยนสีขณะยกอีกมือขึ้นมาตรงหน้า หมายจะเอามาปิดบัง
“เจ้า…!!!”
ชัดแจ้งมากว่าจงจี่ได้ลืมอะไรไปอีกแล้ว
ตัวอย่างเช่นหมูน้ำตาลปั้นตัวน้อยที่เขาถือมาตลอดทาง กำลังงกเงิ่นอยู่บนไม้ ปากยื่นสูง จมูกหมูใหญ่โตเผชิญหน้าอยู่กับสีหน้าไม่น่ามองของมู่เหยี่ยเข้าพอดี
จงจี่ “…”
จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นลำดับต่อไป ใช้นิ้วหัวแม่เท้าตรองดูยังคิดออก ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้ของมู่เหยี่ยจะทนเรื่องนี้ได้ที่ใดกัน สุดท้ายก็ยังออกดาบอย่างเหลืออด
ในช่วงเวลาพันจุนหนึ่งเส้น* จงจี่ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปในหมูน้ำตาลปั้นตัวน้อย เขาไม่กล้าใช้ปราณกระบี่เพราะกลัวว่าจิงเจ๋อจะจำได้ หลังจากอาศัยหมูน้ำตาลปั้นตัวน้อยขวางหนึ่งดาบประจันหน้าของมู่เหยี่ยแล้วก็กระโดดหนีโหยงๆ
นี่คือภัยขวางทะยานมา* จริงๆ
โชคดีที่ตอนกระโดดหน้าต่าง ท่วงท่าของจงจี่นั้นสง่างามตามแต่ใจ ไม่ตกกรอบจารีต เขากรีดกรายจากไปและกู้คืนความประทับใจให้กับตนเองได้เล็กน้อย
ภาพที่ตกกระทบในตาผู้อื่นกลับเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าคร้านจะพัวพันกับผู้ที่เคยพ่ายแพ้ใต้มือให้มากมาย จึงสะบัดแขนเสื้อจากไป ในเหลาสุราพลันเอนศีรษะชื่นชม
“หมูน้ำตาลปั้นนั่นเปราะบางเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะสกัดหนึ่งดาบของขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ สมแล้วที่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์!”
“นั่นสิๆ นี่ก็คือความสามารถของขั้นศักดิ์สิทธิ์…ไม่รู้จริงๆ ว่าหากผู้ศักดิ์สิทธิ์ชักกระบี่ สภาพการณ์นี้จะเป็นเช่นไร”
“ความสามารถปานนี้พวกข้าทำได้เพียงแหงนมองแล้ว! หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรยาวไกลอย่างที่คิด”
จนกระทั่งหลังจากส้นเท้าของจงจี่เจิมน้ำมันลื่นไถลมหามงคลแล้ว ภายในเหลาสุราก็ยังคงวิพากษ์วิจารณ์ถึงอันดับหนึ่งในใต้หล้า สีหน้าของแต่ละคนล้วนตื่นเต้น คิดดูแล้วการได้พบผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้สามารถทำให้พวกเขานำไปคุยโวได้สักช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
จอมกระบี่ชุดขาวผู้นั่งดื่มชาอย่างนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างมาตลอดดวงตาวาวโรจน์คราหนึ่งในตอนที่จงจี่ใช้หมูน้ำตาลปั้นนั่นลงมือ ก่อนจะจดจำอันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้ถูกขนานนามว่า ‘กระบี่เอกชั่วกาล’ ผู้นี้เอาไว้เงียบๆ
แม้ไร้ปราณกระบี่ แต่มีท่วงท่ากระบี่
ในฐานะที่เป็นมือกระบี่อันดับต้นๆ ผู้หนึ่ง จิงเจ๋อสัมผัสเจตจำนงแห่งกระบี่อันเย็นเยียบบนร่างอันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้นี้ได้
คิดดูแล้วก็เป็นมือกระบี่ผู้โดดเด่นมากท่านหนึ่ง
จงจี่ในวันปกติมักยื่นศีรษะเผยหน้าอยู่เป็นประจำ บนม้วนคัมภีร์หยกก็มักมีภาพข่าวเกี่ยวกับเขาอยู่บ่อยครั้ง นานวันเข้าใบหน้าของเขาก็ถูกแผ่นดินเสวียนซวีรับทราบคุ้นเคย มีแฟนคลับตัวน้อยอยู่ทั่วโลก
เทียบกันแล้วจอมกระบี่จิงเจ๋อนั้นเป็นที่นิยมน้อยกว่ามาก
โดยทั่วไปแล้วจิงเจ๋อมักหลบซ่อนตัวอยู่ในพรรคไท่ซูจงโจว ตระหนักรู้มรรคากระบี่ไร้เมตตาอยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะโพลนขาวพันหมื่นลูก
เขาไม่เคยใช้พลังวิญญาณใด ปล่อยให้หิมะใหญ่ดั่งขนห่านซึ่งโปรยปรายลงมาจากสรวงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าตกกระทบลงบนผมยาวสีดำขาวของตน แช่แข็งเกี้ยวครอบผมสีเงินนั่น บนขนตาล้วนปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งเหมันต์หนา ทำให้ชุดสีขาวของเขาไม่อาจแบ่งแยกกันและกันกับหิมะโปรยทั่วฟ้า
วันแล้ววันเล่า ชีวิตก็ผ่านไปอย่างเหน็บหนาวเดียวดายเช่นนี้
ดังนั้นชาวโลกจึงได้ยินเพียงนามของจอมกระบี่ นอกจากจะรู้ว่าจอมกระบี่จิงเจ๋อสวมชุดสีขาว มือถือกระบี่เงินยาว ศีรษะสวมเกี้ยวครอบผมสีเงิน เส้นผมสีดำสลับขาวแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่ารูปลักษณ์ของจอมกระบี่นั้นเป็นเช่นไร
พูดอีกอย่างก็คือผู้บำเพ็ญเพียรเลื่อมใสในผู้แข็งแกร่ง บนถนนมีผู้สวมชุดสีดำทองพร้อมถือพัดแต่งกายเลียนแบบเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งร่างไม่หยุดหย่อน และยังมีผู้อาศัยข้อมูลอันน้อยนิดแต่งกายเลียนแบบเป็นจอมกระบี่ไม่น้อยเช่นกัน
จิงเจ๋อชื่นชอบความเงียบสงบ ที่เขาเดินอยู่เดิมทีก็เป็นมรรคากระบี่ไร้อารมณ์ ไม่ชอบความวุ่นวาย สัตย์อยู่ที่ใจ สัตย์อยู่ที่มรรค สัตย์อยู่ที่กระบี่ก็พอแล้ว
ทว่าตอนนี้จิงเจ๋อไม่มีเวลามากมายที่จะไปเชิญ ‘กระบี่เอกชั่วกาล’ มาสู้รบ
เขาต้องกระทำเรื่องราวตามลำดับความสำคัญ
จอมกระบี่ชุดขาวมองแผ่นหลังที่จากไปของคนผู้นั้นปราดหนึ่งอย่างลึกล้ำ หลังทิ้งศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งเอาไว้ก็พลันหายไปจากที่เดิม เรียกเสียงฮือฮาภายในเหลาสุราขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
จิงเจ๋อต้องข้ามสมุทรแห่งซวีวั่ง มุ่งไปทางทะเลทรายซึ่งเป็นตัวแทนของความตายของเป่ยโจว ย่ำผ่านกองกระดูกขาว เข้าไปในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ในตำนานแห่งนั้น
…พรรควั่นหมัว
อีกด้านหนึ่ง หลังจากจิงเจ๋อกระโดดหน้าต่างและมั่นใจว่าสลัดมู่เหยี่ยพ้นก็ไม่มีอารมณ์เดินเล่นบนถนนอีก หลังเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเจ้าตำหนักลับแล้วก็วิ่งกลับไปยังตำหนักย่อย ได้พบกับองครักษ์ลับที่กลับมามอบข่าวสารล่าสุดของเมืองไป๋จิงให้กับเขาพอดี
“เจ้าตำหนัก เมื่อครู่อันดับหนึ่งในใต้หล้า จอมกระบี่ และขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์มู่เหยี่ยเพิ่งจะปรากฏตัวที่เมืองไป๋จิง”
จงจี่ “…”
“เรื่องของน้องจงไม่จำเป็นต้องรายงานข้า”
เขาพลันนึกถึงบัณฑิตผู้นั้นที่พบเจอในตลาดเมื่อครู่ขึ้นมา จึงโพล่งถาม “ในตำหนักย่อยของเมืองไป๋จิงมีคนหนุ่มที่ชื่อซือหมิงอยู่ผู้หนึ่งใช่หรือไม่”
“ซือหมิงหรือ”
ท่าทีที่อั้นอู่แสดงออกมาดูแล้วมีความสงสัยอยู่บ้าง
เขาคือหนึ่งในองครักษ์ลับสิบสามหมายเลขที่ประจำการอยู่แคว้นตง และก็เป็นผู้รับผิดชอบหลักของตำหนักย่อยนี้ พูดได้ว่าขอเพียงเป็นสมาชิกตำหนักลับที่สังกัดในแคว้นตง อั้นอู่ล้วนรู้แจ้งทั้งหมด
โดยเฉพาะสกุลที่หาได้ยากอย่าง ‘ซือ’ ด้วยแล้ว
“ข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสมาชิกผู้นี้อยู่ แต่นามนี้คล้ายว่าจะเป็นนามเดียวกับจ้วงหยวนที่มหาเทพตงเหยี่ยนทรงเลือกด้วยพระองค์เอง…”
จงจี่ได้ยินถึงตรงนี้ก็รู้สึกมีอะไรไม่เข้าใจอยู่บ้าง สีหน้าเขาพลันดำทะมึน
อั้นอู่จดจำซือหมิงได้ แต่กลับไม่รู้ว่าซือหมิงเป็นสมาชิกตำหนักลับ นี่อธิบายปัญหาได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น
ซือหมิงไม่ใช่คนของตำหนักลับ
“ไปตรวจสอบ”
ตอนแรกคิดว่าได้พบกับคนจากตำหนักลับทรงคุณธรรมผู้ร้องคำรามเมื่อเห็นความอยุติธรรมบนท้องถนน จงจี่ยังค่อนข้างภูมิใจ
ผลคือคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าหนุ่มจอมแฉผู้สวมนามของตำหนักลับปลอมเป็นเสือผู้หนึ่ง น่าโมโหจริงๆ
แต่ไรมามีเพียงจงจี่ที่หลอกลวงผู้อื่น ผลคือเวลานี้ถูกผู้อื่นหลอกลวงเสียแล้ว นี่เรียกว่าลมน้ำไหลเวียนเปลี่ยนผัน*
วันนี้เรียกได้ว่าคลื่นยักษ์ถาโถม ทำเอาจงจี่ไม่อยากอยู่ในเมืองไป๋จิงต่อไปแม้แต่น้อย คิดเพียงว่าพรุ่งนี้จะไปเผยหน้าที่งานเลี้ยง จากนั้นก็จะวิ่งตรงไปยังเป่ยโจวเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมเพื่อการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนของเจ้านิกายนิกายมาร
เมื่อคำนวณอย่างละเอียดแล้ว ถ้านิกายมารคิดจะก่อเรื่อง วันเวลาของแคว้นเป่ยนี้ก็ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว
* พันจุนหนึ่งเส้น หมายถึงสถานการณ์เร่งด่วนรีบร้อน ราวกับของที่หนักพันจุนแขวนอยู่บนเส้นผมหนึ่งเส้น
* ภัยขวางทะยานมา หมายถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
* ลมน้ำไหลเวียนเปลี่ยนผัน หมายถึงเรื่องดีๆ จะไม่อยู่กับตนเองไปตลอด
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.