X
    Categories: everYทดลองอ่านเลิกเรียนแล้วเจอกัน

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 36 – 37 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2

ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)

แปลโดย : Lucky Luna

ผลงานเรื่อง : 放学等我

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 36

 

อาจเป็นเพราะเฉินจิ่งเซินมีตาชั้นเดียว และก็อาจเป็นเพราะรูปตาที่เรียวยาว แววตาของเขาจึงมักสื่อความหมายว่าคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้

หากใช้คำพูดของอวี้ฝานมาพูดก็คือกวนโอ๊ย กวนโอ๊ยมากๆ

แต่เวลาเฉินจิ่งเซินก้มลงมาตั้งใจมองจุดใดจุดหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง ความระแวดระวังและความเย็นชาที่เก๊กไว้อยู่ตลอดเหล่านั้นก็จะหายไป นัยน์ตาดำขลับลุ่มลึกก็จะแปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายมากเช่นกัน

ถ้านายใช้สายตามีมารยาทแบบนี้มองฉันแต่แรก ฉันก็คงไม่หาเรื่องนายหรอก

อวี้ฝานคิดอย่างสับสนวุ่นวาย

กระทั่งเสียงฝีเท้ากระเจิดกระเจิงดังมาจากทางด้านหลัง ในที่สุดอวี้ฝานถึงได้สติกลับมาโดยสมบูรณ์ จึงเก็บมือของตนเอง

ไม่กี่วินาทีต่อมา พอเขาคิดถึงอะไรบางอย่างอีกครั้งก็ยื่นมือไปคลึงหูของตัวเอง

เสียงจั่วควนดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล “นี่ ฉันว่านะ นายวิ่งเร็วขนาดนี้ทำไมเนี่ย หูผางไม่ได้ตามจับนายอยู่ข้างหลังสักหน่อย…อีกอย่างนายลากเด็กท็อปมาทำไม เราจะไปต่อยตีกัน เด็กท็อปจะตามไปด้วยได้ไง”

เฉินจิ่งเซินยืนตัวตรง เอ่ยอย่างเรียบเฉย “ฉันไปด้วย”

ทุกคนเงียบไปโดยปริยายอยู่หลายวินาที “…”

จั่วควนพูดอย่างเสแสร้ง “นี่ไม่ดีหรอกมั้ง ถ้าโดนแตะโดนชนพวกฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ”

หลักๆ คือรู้สึกว่านายจะเป็นตัวถ่วงน่ะ

“ไม่เป็นไร พวกฉันคนเยอะแล้ว เด็กท็อป นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก จะต้องเอาคืนพวกมันให้นายได้แน่นอน ไปกันอวี้ฝาน ฉวยโอกาสตอนพักเที่ยง…” จั่วควนจ้องแผ่นหลังที่อยู่ด้านหน้าแล้วขมวดคิ้ว “นายเอาแต่ขยี้หูทำไมเนี่ย แดงหมดแล้ว”

“ยุงกัดน่ะ” อวี้ฝานกล่าวอย่างเย็นชา

จั่วควน “งั้นนายหันหลังให้ฉันทำไม”

“ไม่อยากเห็นหน้านาย”

“…”

นายนี่มันไม่มีมารยาทเลยสักนิดจริงๆ

จั่วควน “งั้นคุณจะเดินไปข้างหน้ากี่ก้าวล่ะครับ ไปโรงเรียนข้างๆ เพื่อแก้แค้นให้นายน่ะ”

จั่วควนเป็นนักเรียนหัวขบถตัวอย่าง ชอบอ่าน ‘กู่ฮั่วไจ่’* ตั้งแต่เด็ก

เขายึดติดกับเรื่องนี้ หนึ่งเพราะอยากช่วยอวี้ฝานระบายอารมณ์ สองเพราะอยากเสวยสุขกับศักดิ์ศรีและ ‘ชื่อเสียง’ ที่ได้มาจากการต่อยตี บอกไม่ได้ว่าสัดส่วนของสาเหตุไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน

ตอนอวี้ฝานอยู่ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งเคยเล่นกับเขาพักหนึ่ง เห็นเขาชอบนัดต่อยกับคนอื่นทุกวันก็ค่อยๆ ไม่ไปวุ่นวายกับเขาอีก

“วันนี้ไม่ไป” อวี้ฝานว่า “ฉันจะกลับบ้านแล้ว”

จั่วควน “…?”

อวี้ฝานคลึงหูพอแล้วก็ซุกมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนเดินไปทางประตูหลังของโรงเรียนโดยไม่หันกลับมา แต่เมื่อเดินไปได้สองก้าวก็หยุดลงอีกครั้ง

เขาหันหน้าไป มองเฉินจิ่งเซินตาขวางแวบหนึ่ง “แล้วก็นายน่ะ…ไสหัวกลับบ้านไปซะ”

หลังจากอวี้ฝานกลับถึงบ้านก็ล้างหน้า

เขามองผมที่เปียกชุ่มตรงบริเวณหน้าผาก คิดในใจว่าควรตัดผมแล้วหรือเปล่า ตรงนี้พอยาวแล้วเวลาชกต่อยกันจะถูกคว้าผมได้ง่ายๆ เดี๋ยวจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ…

โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนอ่างล้างมือสั่นครืดทีหนึ่ง อวี้ฝานเช็ดมือกับผ้าขนหนูก่อนจะหยิบขึ้นมาดู

s ฉันถึงบ้านแล้ว

วินาทีต่อมารูปถ่ายของฝานฝานรูปหนึ่งก็ถูกส่งมา

เฉินจิ่งเซินจับปลอกคอหนังที่อยู่บนคอสุนัข เส้นเลือดตามข้อมือปูดขึ้นมาเล็กน้อย ปลุกสุนัขน่าสงสารที่กำลังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมาทำหน้าที่อย่างกึ่งบังคับ

น่ารำคาญชะมัด ใครอยากดูหมาของนายกัน

อวี้ฝานจ้องสุนัขสักพัก แล้วเลื่อนสายตาลงไปมองมือที่ดึงสุนัขไว้ จนกระทั่งมีใครสักคนส่งข้อความมาเขาถึงได้ล็อกหน้าจอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เขายืนเงียบๆ อยู่หน้ากระจก จากนั้นก็ยื่นมือไปเปิดก๊อกน้ำและล้างหน้าอีกครั้ง

วันจันทร์ ตอนเช้าเวลาเจ็ดโมงครึ่งดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขึ้นมาแล้ว

ตอนอวี้ฝานมาถึงโรงเรียน ประตูโรงเรียนก็ปิดแล้ว ด้านในกำลังบรรเลงเพลงอยู่ เขาเดินอ้อมไปปีนกำแพงที่ประตูหลัง โดดแถวแล้วกลับไปที่ห้องเรียนทันที

ในห้องเรียนว่างเปล่าไม่มีคน

สองมือของอวี้ฝานซุกกระเป๋ากางเกง หาวพร้อมเดินไปตรงที่นั่งของตัวเอง เดินไปได้สองก้าวจู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง

เขาหยุดอยู่หน้าบอร์ดข่าวและเงยหน้ามอง

เทปที่ติดเกียรติบัตรใบหนึ่งที่ห้องพวกเขาได้รับในวันงานกีฬาหลุด มีมุมหนึ่งลุ่ยลงมาบังชื่อของผู้รับรางวัล

ทว่าอวี้ฝานไม่ต้องดูก็รู้ว่าเกียรติบัตรใบนี้เป็นของใคร

อวี้ฝานหันหน้ากลับไปยังที่นั่ง แล้วเปิดหน้าต่างที่อยู่ด้านข้างตน ให้อากาศสดชื่นโกรกเข้ามาในห้องเรียนที่ไม่ได้เปิดมาสองวัน จากนั้นก็ฟุบศีรษะลงบนโต๊ะเรียนเตรียมหลับ

เขาฟุบอยู่หลายนาทีคล้ายกับปลาตาย เอียงศีรษะไปทางหน้าต่างและลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

วินาทีต่อมาอวี้ฝานก็ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินไปหยิบเทปกาวออกมาจากลิ้นชักของโพเดียม จากนั้นก็หิ้วเก้าอี้ของตนไปทางด้านหลังและวางไว้หน้าบอร์ดข่าวดัง ‘ปึง’

เขาเหยียบเก้าอี้ ยื่นมือไปคลี่มุมของเกียรติบัตรที่หลุดออกมา เผยให้เห็นตัวอักษรทั้งห้าตัว ‘นักเรียนเฉินจิ่งเซิน’

ที่หนึ่งของสายชั้น แม้แต่เกียรติบัตรใบเดียวก็ติดไม่ดี ไร้ประโยชน์จริงๆ

อวี้ฝานฉีกเทปกาวแปะลงไปหลายชั้น จากนั้นก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเพิ่มความมั่นคงให้กับมุมอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดไปอีกสองชั้น

ขณะจัดการกับมุมสุดท้าย เสียงฝีเท้าก็ดังแว่วมาจากนอกประตู

ขณะนี้ฝ่ามือข้างหนึ่งของอวี้ฝานยังแนบอยู่บนผนัง พยายามกดเกียรติบัตรใบนั้นให้แน่นๆ

เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยา วินาทีถัดมาประตูหลังของห้องเรียนก็ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง

อวี้ฝานหันหน้าไปตามปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ ก่อนสบตากับเจ้าของเกียรติบัตรโดยไม่ทันตั้งตัว

เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ที่ประตูหลัง สองมือลู่ลงข้างลำตัวอย่างเป็นธรรมชาติ บางทีสาเหตุอาจเป็นเพราะเพิ่งฟังผู้บริหารโรงเรียนพูดเสร็จมาหมาดๆ สีหน้าจึงล้านิดหน่อย

ทั้งสองสบตากันอยู่พักหนึ่งโดยที่ไม่ขยับเขยื้อน ทันใดนั้นเฉินจิ่งเซินก็ละสายตา มองไปยังจุดที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายกดทับไว้

อวี้ฝาน “…”

ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานอยากจะกลืนเทปกาวที่อยู่ในมือลงไปซะ

สีหน้าของอวี้ฝานจากง่วงนอนกลายมาเป็นตะลึงงัน จากนั้นก็งุนงง ท้ายที่สุดก็เจือด้วยความเย็นยะเยือกที่อยากจะฆ่าปิดปากคน

หากเป็นคนที่เอาตัวรอดเก่งสักหน่อย ล้วนรู้ว่าตอนนี้ควรปิดปากแสร้งตาบอด

เฉินจิ่งเซินถาม “ทำอะไรอยู่”

“ฉีกเกียรติบัตร” อวี้ฝานว่า

เฉินจิ่งเซินวางข้อมือลงบนพนักเก้าอี้โดยไร้สุ้มเสียง กึ่งประคองเก้าอี้และเอ่ยถาม “ทำไมต้องฉีกด้วย”

อวี้ฝาน “ฉันไม่พอใจที่จะติดไว้กับที่สอง”

เฉินจิ่งเซินมองเทปกาวหลายชั้นที่แปะอย่างสะเปะสะปะ

อวี้ฝานหันหน้าเข้าผนังอยู่สักพัก ในใจคิดว่า ฉันแม่งกำลังต่อปากต่อคำอะไรอยู่เนี่ย…หรือไม่ก็ฆ่าปิดปากซะเลยดีกว่า แล้วก็รู้สึกได้ว่ากางเกงนักเรียนถูกคนจับไว้เบาๆ

“ครั้งหน้าฉันจะพยายาม” เฉินจิ่งเซินถามไปตามคำพูดของเขา “ครั้งนี้อนุโลมหน่อยได้ไหม”

อวี้ฝานยืนอยู่บนเก้าอี้ หลุบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเหยียบเก้าอี้ลงมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

วันนี้พิธีเคารพธงชาติเสร็จเร็วกว่าที่ผ่านๆ มา ตอนเลิกแถวเลยยังมีเวลาเหลือก่อนคาบแรกสิบกว่านาที

บรรดานักเรียนต่างทยอยกลับมาแล้ว พอเข้ามาในห้องเรียนก็เห็นร่างคนสองคนที่อยู่กลุ่มท้ายห้อง

พออวี้ฝานกลับไปประจำที่ก็ฟุบลงทันที

อันที่จริงเขาไม่ได้กำลังหลับ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากเห็นหน้าเฉินจิ่งเซินเท่าไรนัก

ความจริงอวี้ฝานเสแสร้งแกล้งทำได้ค่อนข้างดี ไหล่ของเขากระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ ไปตามลมหายใจ คนส่วนใหญ่ต่างนึกว่าเขากำลังหลับอยู่

ขณะเดินมาอู๋ซือเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน

ดังนั้นเมื่อเขายืนอยู่ข้างโต๊ะเฉินจิ่งเซินจึงไม่ได้พะวงอะไร มองท้ายทอยของอวี้ฝานแวบหนึ่งเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เรียกเสียงเบาทีหนึ่ง “เด็กท็อป”

เฉินจิ่งเซินช้อนตามองเขา

“เดี๋ยวในห้องก็จะปรับเปลี่ยนที่นั่งไม่ใช่เหรอ…ฉันเคยถามครูประจำชั้นแล้ว เธอบอกว่าขอแค่นายโอเคก็จะย้ายพวกเราสองคนไปนั่งด้วยกันได้ เอ่อคือ…ฉันรู้ว่าวิชาอื่นๆ ช่วยนายไม่ได้แน่นอน แต่เรียงความวิชาภาษาจีนแต่ละครั้งฉันได้สี่สิบแปดคะแนนอัพตลอด คะแนนเต็มก็ใช่ว่าไม่เคยได้ ฉันคิดว่าฉันอาจจะให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ กับนายในด้านนี้ได้”

อู๋ซืออยากนั่งกับเด็กท็อปจริงๆ ดังนั้นเขาจึงพยายามขายตัวเอง “ก่อนหน้านี้เราเคยนั่งด้วยกัน นายก็รู้ว่าฉันไม่เคยหลับหรือคุยในคาบเลย ไม่รบกวนนายเด็ดขาด เพราะงั้น…”

เสียงพูดของอู๋ซือหยุดชะงักทันที

เพราะศีรษะของคนที่ฟุบอยู่ด้านข้างขยับ

อวี้ฝานเงยหน้าขึ้นมาจากวงแขน มองไปทางอู๋ซือโดยไม่มีท่าทีใดๆ แผลที่เขาได้มาเมื่อสัปดาห์ก่อนยังไม่หายดี มุมปากจึงยังคงติดพลาสเตอร์ไว้แผ่นหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างน่าหวั่นเกรง

อู๋ซือตกใจ เม้มปากอย่างกระอักกระอ่วน “นักเรียนอวี้ ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นนะ…ถ้านายไม่อยากเปลี่ยนที่นั่งก็ช่างเถอะ…”

ใครบอกว่าฉันไม่อยาก อวี้ฝานเกือบหลุดปากพูดออกไป

วินาทีต่อมา อวี้ฝานลุกขึ้นนั่งพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยออกไปประโยคหนึ่งอย่างแข็งกระด้าง “อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน ไม่เป็นไร”

งั้นทำไมนายทำท่าทางดุขนาดนี้เล่า…

อู๋ซือไม่กล้าเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา

ในห้องเรียกเสียงดังโหวกเหวก อวี้ฝานหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกคันไม้คันมือนิดหน่อย อยากจะสูบบุหรี่

อู๋ซือ “งั้นเด็กท็อป…”

“ไม่เปลี่ยน นายไปถามคนอื่นเถอะ”

อวี้ฝานได้ยินคนข้างๆ ตอบอย่างเย็นชา

ทันใดนั้นโทสะที่จู่ๆ ก็พลุ่งพล่านขึ้นมากลับหายวับไป

อารมณ์ที่มาๆ ไปๆ นี้ทำให้เขารู้สึกอธิบายไม่ถูกนิดหน่อย จู่ๆ โต๊ะก็ถูกคนตบทีหนึ่ง ตามมาด้วยขนมปังที่ถูกวางไว้บนโต๊ะของเขา

หวังลู่อันกัดขนมปังที่อยู่ในมือตัวเองคำหนึ่ง “อวี้ฝาน นายไม่ทันได้กินข้าวเช้าสินะ? ฉันเลยถือโอกาสไปซื้อที่โรงอาหารมาให้นายชุดหนึ่ง”

“ขอบใจ”

“อ้อ ใช่แล้ว ฉันจะบอกนายว่าผลสอบกลางภาคออกมาแล้วนะ” หวังลู่อันยิ้มอย่างได้ใจ “ฝ่างฉินเพิ่งบอกฉันว่าฉันสอบได้ไม่เลวเลย นายคอยดูเถอะ รอคะแนนออกมาฉันจะไปคุยเรื่องเปลี่ยนที่นั่งกับฝ่างฉินทันที!”

เขาได้ใจเสร็จก็ยังไม่ลืมที่จะประจบสอพลอ “เด็กท็อป ครั้งนี้ขอบคุณนายมาก วันหลังจะต้องเลี้ยงข้าวนายแน่!”

เฉินจิ่งเซิน “ไม่ต้อง”

“โรงเรียนตรวจข้อสอบเร็วขนาดนี้?” จางเสียนจิ้งสงสัย “แต่นายสอบได้ดีหรือไม่ดีพวกนายสองคนก็ต้องเปลี่ยนที่นั่งอยู่ดีไม่ใช่หรือไง”

หวังลู่อัน “นั่นไม่เหมือนกันสักหน่อย เปลี่ยนที่นั่งได้แต่ต้องให้ฉันเป็นคนออกปาก! ไม่งั้นฉันจะเสียหน้าแค่ไหน!”

“ก็จริง” จู่ๆ อวี้ฝานก็พูดขึ้นมา

พอหวังลู่อันพูดอย่างนี้ อวี้ฝานก็เข้าใจทันทีว่าเมื่อกี้ทำไมตัวเองถึงโมโห

ความรู้สึกที่เขามีต่อเฉินจิ่งเซินก็เหมือนกับที่หวังลู่อันมีต่อกรรมการนักเรียน

ได้นั่งด้วยกันหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่เฉินจิ่งเซินไม่สามารถไปขอให้ครูย้ายได้เอง…และก็ไม่สามารถถูกคนอื่นแย่งไปได้ด้วยเช่นกัน

เฉินจิ่งเซินกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดไม่จา

จวงฝ่างฉินเดินเข้ามาในห้องเรียนราวกับสายลม

“รีบนั่งให้เรียบร้อย อีกสิบนาทีจะเข้าเรียน ครูจะพูดเรื่องสอบกลางภาคกับพวกเธออย่างง่ายๆ สักเดี๋ยว…หวังลู่อัน เธอรีบกินซะ” เธอขมวดคิ้ว “อีกอย่างทำไมนักเรียนบางคนถึงไม่ไปเคารพธงชาติ”

นักเรียนบางคนนั่งเอ้อระเหย “มาสายครับ”

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้อวี้ฝานคงจะไปยืนอยู่ที่หน้าบอร์ดข่าวแล้ว

แต่วันนี้ดูเหมือนจวงฝ่างฉินจะคุยง่ายเป็นพิเศษ

“ต่อไปถึงมาสายก็ต้องมาที่สนามกีฬา…ไม่สิ ต่อไปไม่อนุญาตให้มาสายแล้ว!” จวงฝ่างฉินกระแอม “เอาล่ะ กลับไปที่ประเด็นหลัก การสอบกลางภาคครั้งนี้ ห้องเราก้าวหน้าขึ้น…มากๆ”

พูดถึงคำสุดท้ายเธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา รอยย่นตรงหางตาทับกันเป็นชั้นๆ ทว่าไม่ได้ดูน่าเกลียด

“คะแนนของนักเรียนทุกคนล้วนมีความก้าวหน้าขึ้นไม่มากก็น้อย คะแนนเฉลี่ยของห้องเราอยู่ที่อันดับแปดของสายชั้น” เธอพูดพลางเปิดคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ตารางคะแนนปรากฏขึ้นมาบนหน้าจออย่างรวดเร็ว “อันดับหนึ่งของสายชั้นยังคงเป็นนักเรียนเฉินจิ่งเซินของเรา วิชาอื่นๆ ล้วนสอบได้ดีทีเดียว มีก็แต่วิชาภาษาจีนที่…เรียงความยังคงโดนหักคะแนนเยอะทีเดียว รอเดี๋ยวนะ ครูภาษาจีนเตรียมคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวแล้ว”

เห็นผลสอบแต่ละวิชาของเฉินจิ่งเซินแล้ว คนในห้องล้วนอดไม่ได้ที่จะหันมองไปข้างหลัง

เหมือนกับตอนประกาศผลสอบปลายภาคของเทอมที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน เจ้าตัวถือปากกาและก้มหน้าก้มตา ไม่สนใจคะแนนของตนเลยสักนิด

นี่ก็คือผู้ยิ่งใหญ่สินะ ทุกคนทอดถอนใจอยู่ลึกๆ

เธอเลื่อนลงไป “มีเวลาไม่มาก ครูขอเน้นการชื่นชมนักเรียนไม่กี่คนที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดสักหน่อยก็แล้วกัน หวังลู่อัน หูอวี้เคอ เฉินเสี่ยวเสี่ยว…อวี้ฝาน”

อวี้ฝานกำลังคิดว่าทำไมเฉินจิ่งเซินถึงได้อวดดีอีกแล้ว แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินชื่อของตน จึงเงยหน้าโดยอัตโนมัติ

“คะแนนรวมขึ้นมาแปดสิบกว่าคะแนน โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ จากเก้าคะแนนขึ้นมาเป็นสี่สิบเก้าคะแนน” จวงฝ่างฉินมองเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ “เธอเรียนได้แล้วไม่ใช่หรือไง”

เลิกคาบแรก ครูแต่ละวิชาทยอยเข้ามา ให้ตัวแทนของแต่ละวิชาแจกกระดาษข้อสอบ

“เชี่ย! เชี่ย!” หวังลู่อันว่า “เชี่ย!”

อวี้ฝานอารมณ์เสีย “…ป่วยก็ไปรักษาซะ”

หวังลู่อันคว้ากระดาษข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ของอวี้ฝานมาดูให้ละเอียด “ไม่ถึงสองอาทิตย์นายแม่งดึงคณิตขึ้นมาได้สี่สิบคะแนนเลย? ข้อสอบคณิตที่นายสอบซ่อมยากมากไม่ใช่หรือไง”

อวี้ฝานกดมุมปากลง แสร้งเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แค่เรียน…”

“เด็กท็อป นายเองก็เจ๋งสุดยอดไปเลย!” สีหน้าของจางเสียนจิ้งเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “แค่สองอาทิตย์ก็เอาโคลนสองก้อนฉาบกำแพงได้*!”

“…”

ใครเป็นโคลนนะ

อวี้ฝานพิงหลังกับพนักเก้าอี้ อดไม่ได้ที่จะมองไปด้านข้างแวบหนึ่ง

แปลกมาก

ทั้งๆ ที่เฉินจิ่งเซินไม่มีอารมณ์ใดๆ เหมือนกับตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งของสายชั้นเมื่อกี้นี้แท้ๆ แต่อวี้ฝานกลับรู้สึกได้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายมีความสุขนิดหน่อย

เฉินจิ่งเซินเอ่ยอย่างราบเรียบ “ไม่ใช่เพราะฉันทั้งหมดหรอก พวกเขามีพรสวรรค์”

“ไม่ต้องพูดอีกแล้วเด็กท็อป” หวังลู่อันว่า “คะแนนครั้งนี้ พอพ่อฉันเห็นก็ถึงขั้นเอาเงินยัดใส่มือฉันอย่างกับจะเป็นบ้า…วันหยุดนี้ฉันกับอวี้ฝานเป็นเจ้าภาพเอง จะชวนนายไปเที่ยวที่ถนนไป่เล่อทั้งวันเลย!”

อวี้ฝาน “…?”

ใครจะไปเที่ยวกับเขากัน

พาหนอนหนังสือประเภทนี้ออกไปด้วยมีอะไรน่าสนุก

จางเสียนจิ้งกำลังจะบอกว่าเด็กท็อปไม่มีวันหยุดหรอก ก็เห็นเฉินจิ่งเซินหันหน้าไปถามเพื่อนร่วมโต๊ะของเขา “จริงเหรอ”

อวี้ฝาน “…”

สองมือของอวี้ฝานซุกกระเป๋ากางเกง เปล่งเสียงอืมออกมาจากลำคออย่างฝืนๆ

หวังลู่อัน “งั้นก็ตกลงตามนี้! ฉันคิดไว้เรียบร้อยแล้ว เราไปกินข้าวเที่ยงกันก่อนสักมื้อ ตอนบ่ายก็หาอะไรทำสักหน่อย ร้องเพลง ดูหนัง เล่น Escape Room ได้หมด…”

อวี้ฝานรู้สึกว่าเขาหนวกหู กำลังคิดจะไล่คนไป

ทันใดนั้นเฉินจิ่งเซินก็หยิบกระดาษที่ถูกใส่ไว้ในถุงสีขาวปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้และวางไว้บนโต๊ะของอวี้ฝาน

อวี้ฝานตะลึงงัน แล้วถามอย่างระแวดระวัง “อะไร”

“ของขวัญที่การสอบก้าวหน้า”

“ฮะ? ไม่หรอกมั้งเด็กท็อป มีของเขาแต่ไม่มีของฉัน?” หวังลู่อันพลันรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม

เห็นอวี้ฝานไม่แตะต้อง เขาก็ใช้นิ้วเปิดถุงพลาสติกใบนั้นอย่างนึกอิจฉาจนเผยให้เห็นของที่อยู่ข้างใน ดูไปพลางพูดไปพลาง “เด็กท็อป นายนี่ไม่ไหวเลยนะ ทำไมลำเอียงล่ะเนี่ย ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้ฉัน…”

ถุงพลาสติกแนบบนหน้ากระดาษ ตารางคัดอักษรที่อยู่ด้านบนโผล่ออกมาวับๆ แวมๆ

“แบบคัดลายมือ” เฉินจิ่งเซินถาม “นายเองก็อยากได้?”

หวังลู่อัน “ขอบใจ ไม่ต้องแล้ว ฉันคิดๆ ดูแล้วนายกับอวี้ฝานสนิทกันมากกว่าฉันนิดหน่อยจริงๆ นั่นแหละ จะลำเอียงก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉันไม่น้อยใจหรอก”

อวี้ฝาน “…”

เขาหันไปถาม “นายหมายความว่าไง ด่าฉันว่าตัวหนังสือขี้เหร่?”

หวังลู่อันคิดอย่างแตกตื่นว่าคำพูดนี้นายเองก็ถามออกมาได้ด้วย?

เฉินจิ่งเซินอธิบาย “ภาษาจีนของนายโดนหักคะแนนสอบห้าคะแนน”

“ห้าคะแนนแล้วมันทำไม ฉันมีตั้งหกสิบเอ็ดคะแนนให้เขาหัก”

“ข้อสอบหักมากที่สุดได้แค่ห้าคะแนน”

“…”

หวังลู่อันมือบอน พลิกเปิดแบบคัดลายมือพวกนั้นครู่หนึ่ง “เฮ้ย อวี้ฝาน แบบคัดลายมือแผ่นแรกเป็นคำว่า ‘ฝาน’ ในชื่อนายด้วย”

“ฉันพริ้นต์เอง” เฉินจิ่งเซินกล่าว “ฝึกจากชื่อก่อนก็แล้วกัน”

เคอถิงที่ฟังอยู่นานมากอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าเขียนชื่อมาตั้งหลายปีแล้วเหรอ ยังต้องฝึกอีก?”

จางเสียนจิ้งฉวยโอกาสดึงม้วนข้อสอบที่อยู่บนโต๊ะของอวี้ฝานออกมาแล้วตั้งขึ้นให้เพื่อนร่วมโต๊ะของเธอดูชื่อที่อวี้ฝานเขียน “เธอดูสิ”

เคอถิง “…ดูเหมือนว่า…ฝึกสักหน่อยก็ได้”

อวี้ฝาน “…”

อวี้ฝานกัดฟัน เตรียมจะยัดแบบคัดลายมือใส่เข้าไปในปากเฉินจิ่งเซิน

“ไอ้นี่พริ้นต์เองได้ด้วยเหรอ…จริงด้วย แบบคัดลายมือแผ่นถัดไปเป็นตัวอักษรฝาน” หวังลู่อันพลิกไปอีกหน้า “งั้นแผ่นต่อไป…เอ๊ะ? เฉิน?”

เขาพลิกอีกครั้ง “จิ่ง”

เขาชะงัก ก่อนจะพลิกอีก “…เซิน?”

จางเสียนจิ้งและเคอถิง “…”

อวี้ฝาน “…”

* กู่ฮั่วไจ่ (Teddy Boy) คือการ์ตูนที่เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มซึ่งเติบโตมากับกลุ่มเพื่อนข้างถนน และใช้ชีวิตอย่างเลวร้ายท่ามกลางยุคสมัยที่เศรษฐกิจตกต่ำ มีการฆ่าล้างแค้นกันเกิดขึ้น

* เอาโคลนฉาบกำแพงได้ มาจากสำนวน ‘โคลนฉาบกำแพงไม่ได้’ หมายถึงมีความสามารถอ่อนด้อยหรือมาตรฐานต่ำ ทำอะไรไม่ได้เรื่อง

 

บทที่ 37

 

ระหว่างโต๊ะทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอันแปลกประหลาด พวกเขาล้วนถูกของขวัญชิ้นนี้ทำเอาสั่นสะเทือนกันไปหมด

อวี้ฝานฝึกเขียนชื่อตัวเขาเองฉันยังเข้าใจได้

แต่จะฝึกชื่อนายไปทำไมเนี่ย

อีกอย่างของขวัญนี้น่ะ คนอื่นชอบหรือเปล่าเขาไม่รู้ แต่อวี้ฝานจะต้องไม่ชอบแน่นอน

หวังลู่อันมึนงงนิดๆ รู้สึกสนใจใคร่รู้หน่อยๆ ว่าด้านล่างของแบบคัดลายมือแผ่นนี้เป็นตัวอักษรอะไร ดังนั้นเขาจึงพลิกต่อไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้…

ปึง

อวี้ฝานใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนแบบคัดลายมือ

หวังลู่อันคิดในใจว่าเป็นอย่างที่คิดไว้…

เพียงเห็นอวี้ฝานคว้าถุงสีขาวขึ้นมา ขมวดคิ้วอย่างนึกรังเกียจพลางยัดแบบคัดลายมือเข้าไปในลิ้นชักของตน จากนั้นก็หันไปถาม “เฉินจิ่งเซิน นายวอนโดนตีสินะ?”

หวังลู่อัน “…?”

เพื่อนยาก นายยัดผิดที่หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าควรยัดกลับไปในลิ้นชักของเด็กท็อปหรอกเหรอ

เจ้าตัวที่ให้ของขวัญมีสีหน้าสงบนิ่ง แขนข้างหนึ่งวางบนโต๊ะสบายๆ นิ้วหนีบปากกาอย่างไม่ค่อยมีแรง

“ก่อนหน้านี้ไม่เคยพริ้นต์แบบคัดลายมือ ก็เลยใช้ชื่อตัวเองลองดูสักหน่อย” เฉินจิ่งเซินว่า “ถ้าไม่อยากเขียนของพวกนั้นจะโยนทิ้งก็ได้”

“…ต้องให้นายสอน? ก่อนโยนทิ้งฉันยังจะฉีกเป็นเศษเล็กเศษน้อยด้วย”

เฉินจิ่งเซิน “อืม”

จางเสียนจิ้งหรี่ตา สายตาวนเวียนอยู่ระหว่างคนทั้งสอง

ทำไมเธอถึงรู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูก

กริ่งเข้าเรียนดังขึ้น ครูชีววิทยาปรากฏตัวอยู่ด้านนอกตรงระเบียงทางเดิน

หวังลู่อันกำลังจะกลับไปที่นั่ง จู่ๆ ก็นึกถึงอะไรสักอย่าง ก่อนจะแบมือไปทางอวี้ฝาน “ทำไมนายขี้เกียจขนาดนี้เนี่ย ถังขยะก็อยู่ข้างหลัง ฉันช่วยทิ้งให้นายเลยดีกว่า”

เฉินจิ่งเซินที่กำลังดึงหนังสือเรียนออกมาพลันหยุดชะงัก ยกหนังตากวาดมองเขาอย่างเฉยเมยแวบหนึ่ง

หวังลู่อัน “…?”

มือของเขาถูกดันออกไป

“ฉันจะทิ้งเอง” อวี้ฝานเอามือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง กล่าวอ้อมแอ้มอย่างรวดเร็ว “กลับไปที่นั่งนายซะ”

หวังลู่อัน “…”

 

เดิมทีอวี้ฝานวางแผนไว้ว่าพอสอบกลางภาคเสร็จก็จะเผาแบบฝึกหัด ‘ห้าสาม’* ‘นกโง่’ อะไรพวกนั้นที่อยู่ในลิ้นชักทิ้งให้หมด จากนั้นก็หลับบนโต๊ะเรียนไปเลยสามวันสามคืน

แต่แผนการตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง สภาพของอวี้ฝานสองสามวันมานี้เหมือนกับสองสัปดาห์ก่อน ทุกคาบล้วนเท้าคางฟังด้วยความเกียจคร้าน

ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างลำบากลำบนมาสองสัปดาห์ ทำเอานาฬิกาชีวิตของเขารวนไปหมด ตอนกลางวันไม่หลับ ตอนกลางคืนเที่ยงคืนดูคลิปวิดีโออธิบายโจทย์ที่เฉินจิ่งเซินส่งมาจบก็ง่วงแล้ว

ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมักจะวิดีโอคอลล์กับเฉินจิ่งเซินจนถึงตีสองแท้ๆ…

วันศุกร์ระหว่างพักคาบ จั่วควนชะโงกตัวออกมาจากหน้าต่าง “อวี้ฝาน ไปกัน ไปสูบบุหรี่ที่ห้องน้ำ!”

“ไม่สูบ” อวี้ฝานปฏิเสธ “สูบแล้วจะไม่หลับในคาบ”

“ไม่สูบนายก็ไม่หลับเหมือนกัน ฉันดูออกน่า นายคิดจะเอาชนะฉันไปจนจบ ม.ปลาย ล่ะสิ” หวังลู่อันยักไหล่แล้วเดินออกไปข้างนอก ง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว “ไป จั่วควน ฉันจะไปสูบเป็นเพื่อนนายเอง”

“อวี้ฝาน! เฉินจิ่งเซิน!” เกาสือยืนตะโกนอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียน “ครูเรียกให้พวกนายไปที่ออฟฟิศหัวหน้าครูหู!”

หูผางมีออฟฟิศสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ที่อาคารสำนักงานครู อีกห้องหนึ่งอยู่ที่ชั้นล่างอาคารครูห้องเจ็ดเพื่อสะดวกในการตรวจตราห้องเรียน หูผางจะอยู่ที่ห้องเรียนของอาคารหลังนี้สัปดาห์ละสี่วัน

ทั้งสองคนเพิ่งมาถึงด้านนอกออฟฟิศ อวี้ฝานมองเข้าไปข้างในแวบหนึ่ง

ตรงข้ามโต๊ะทำงานของหูผางมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ติงเซียวก็ยืนอยู่ด้านหลังเธอ สองมือประสานกันอยู่หน้าลำตัว

เฉินจิ่งเซินกำลังจะเคาะประตู แขนเสื้อก็ถูกคนดึงเอาไว้

“เข้าไปแล้วไม่ต้องพูด” อวี้ฝานทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ก่อนจะยื่นมือไปเปิดประตู แล้วตะโกนอย่างเฉื่อยชา “รายงานตัวครับ”

อวี้ฝานกวาดตามองติงเซียวปราดหนึ่ง อีกฝ่ายเห็นเขาก็กดศีรษะลงต่ำกว่าเดิมทันที แม้แต่ไหล่ก็ยังยกขึ้นเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้แม่ของติงเซียวเคยเจออวี้ฝานมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เห็นเขาอารมณ์ก็ยิ่งคุกรุ่นยิ่งกว่าเดิม

“หัวหน้าครู คุณดูสิ!” หญิงวัยกลางคนชี้อวี้ฝาน ใบหน้าของเธอซูบตอบ น้ำเสียงเดือดดาล “คุณดูลูกชายของฉันสิ พอเห็นเขาก็กลัวแล้ว! แสดงว่าลูกชายฉันจะต้องถูกเขารังแกบ่อยๆ แน่นอน!!”

หูผางโบกมือ “โอ๊ย ผู้ปกครองอย่าเพิ่งโมโห พวกเราคุยดีๆ กันเถอะครับ”

รอผู้หญิงคนนั้นสงบสติลงเล็กน้อยแล้ว หูผางถึงได้มองไปทางคนทั้งสองที่เพิ่งเข้ามา “อวี้ฝาน เธอพูดเองซิ หลังจากที่โรงอาหารตอน ม.ปลายปีหนึ่ง ครั้งนั้นแล้วเธอยังรังแกติงเซียวอีกไหม”

อวี้ฝานเอ่ย “ไม่มีครับ”

“งั้นทำไมเขาถึงกลัวเธอขนาดนี้ล่ะ!” แม่ของติงเซียวถาม

“ไม่รู้ครับ อาจเป็นเพราะลูกชายคุณกระจอกล่ะมั้ง”

ผู้หญิงคนนั้นระเบิดอารมณ์ในชั่วพริบตา เธอตบโต๊ะทีหนึ่ง “เด็กอย่างเธอเป็นอะไรกันไปหมด พูดอะไรน่ะ ผู้ปกครองของเธอล่ะ ครั้งก่อนผู้ปกครองของเธอก็ไม่มา! ไม่ได้ ฉันจะต้องพบผู้ปกครองของเธอ ให้พวกเขาสั่งสอนเธอให้ดี…”

อวี้ฝานทำตัวสบายๆ “ไม่ต้องห่วงหรอก ดูแลลูกชายของคุณให้ดีก็พอ คุณดูเขาสิ เสแสร้งจนกลายเป็นยังไงไปแล้ว”

หูผางขมวดคิ้ว กำลังจะบอกให้เขาพูดดีๆ ทว่ากลับเห็นผู้หญิงตรงหน้าจู่ๆ ก็บันดาลโทสะ คว้ากระเป๋าถือขึ้นมาแล้วฟาดไปที่หน้าของนักเรียน!

ก้นบึ้งดวงตาของอวี้ฝานเย็นยะเยือก กำลังจะเคลื่อนไหว ทันใดนั้นบ่าก็ถูกคนคว้าไว้แล้วดึงไปข้างหลัง…

เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ตรงหน้าเขา พอยกมือขึ้นกระเป๋าถือของผู้หญิงคนนั้นก็ถูกเขาปัดออกไปและหล่นลงบนพื้น

ประตูออฟฟิศถูกเปิดออก จวงฝ่างฉินมาถึงทันเวลา เธอเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ตรงหน้าต่าง ทั้งตกใจและไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นคะหัวหน้าครู วันนี้ติงเซียวจะขอโทษนักเรียนในห้องของฉันไม่ใช่เหรอคะ ผู้ปกครองท่านนี้กำลังทำอะไร”

ทางโรงเรียนใช้เวลาหลายวันในการตรวจสอบเรื่องที่นักเรียนโดดสอบ

พวกเขาเช็กกล้องวงจรปิดที่ประตูหลังเป็นอันดับแรก พบว่าสามารถถ่ายปากตรอกของตรอกเล็กๆ ใกล้ๆ กับสนุกเกอร์คลับไว้ได้พอดี สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอวี้ฝานถูกคนของโรงเรียนข้างๆ พาเข้าไปจริงๆ และเฉินจิ่งเซินก็เป็นคนเข้าไปพาเขาออกมาจริงๆ

หลังจากนั้นพวกเขาได้ติดต่อกับผู้ดูแลของโรงเรียนข้างๆ ผู้ดูแลอาศัยลักษณะเด่นของรูปลักษณ์ภายนอกตามหานักเรียนกลุ่มนั้นเจออย่างรวดเร็ว คนเหล่านั้นเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับติงเซียวอยู่แล้ว อยากลากตัวต้นเรื่องออกมารับผิดชอบใจจะขาด จึงเล่าทุกอย่างโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว

ในโทรศัพท์มือถือของนักเรียนหัวเกรียนยังมีประวัติการสนทนากับติงเซียว ความจริงกระจ่างอย่างรวดเร็ว ติงเซียวรู้ว่าอวี้ฝานกับคนของโรงเรียนข้างๆ มีความแค้นกัน จึงร่วมมือกับฝ่ายนั้นทำเรื่องนี้ออกมา

คนของโรงเรียนข้างๆ อยากจะต่อยอวี้ฝานเพื่อระบายโทสะ ติงเซียวอยากจะรายงานว่าเขามีเรื่องชกต่อยเพื่อให้เขาลาออกจากโรงเรียน

แต่พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่าอวี้ฝานที่เมื่อก่อนถูกพวกมัธยมปลายปีสองและปีสามผลัดกันนัดต่อย ต่อยจนจมูกช้ำหน้าบวมก็ไม่ร้องสักแอะ คราวนี้ถึงกับเอาเรื่องชกต่อยไปฟ้องครูเพื่อขอสอบซ่อม

“ติงเซียวบอกว่าเขาถูกอวี้ฝานรังแกที่โรงเรียนมานาน ถึงได้ทำเรื่องประเภทนี้ขึ้นมา” หูผางปวดหัว เคาะโต๊ะพลางกล่าวอย่างจริงจัง “แต่ผู้ปกครองท่านนี้ การกระทำเมื่อครู่ของคุณเองก็เป็นการใช้ความรุนแรง ถ้าคุณอยากจัดการเรื่องนี้ให้ดีจริงๆ ล่ะก็นั่งลงครับ ไม่งั้นคงได้แต่ต้องเชิญคุณออกไปตอนนี้ พวกเราค่อยคุยกันอีกทีคราวหน้า”

ผู้หญิงคนนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายทีถึงได้ฝืนสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็ถลึงตาใส่อวี้ฝานด้วยความเดือดดาลทีหนึ่ง

น่าเสียดายที่นักเรียนชายอีกคนบังตรงหน้าเขาไว้ตลอด นักเรียนชายคนนั้นสูงมาก สายตานี้ของเธอจึงไม่สามารถส่งไปถึงได้

กระทั่งเฉินจิ่งเซินคลายบ่าของเขา อวี้ฝานถึงได้สติกลับมา

จวงฝ่างฉินปิดประตู ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาสองคน “ผู้ปกครองท่านนี้ คุณบอกว่านักเรียนห้องฉันรังแกลูกของคุณ ไม่ทราบว่ามีหลักฐานไหมคะ”

“ยังต้องการหลักฐานอีกเหรอ” แม่ของติงเซียวว่า “ตอน ม.ปลายปีหนึ่ง เขาเอาถาดข้าวคว่ำใส่หัวลูกชายฉัน คุณก็ช่วยขอโทษแทนเขาไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทำไมยังมีหน้ามาถามคำถามประเภทนี้กับฉันอีก”

จวงฝ่างฉิน “เรื่องนั้นอวี้ฝานได้รับโทษแล้ว คุณจะอาศัยแค่เรื่องนี้มาตัดสินว่าหลังจากนั้นอวี้ฝานยังรังแกลูกของคุณไม่ได้ ดังนั้นตกลงว่าคุณมีหลักฐานหรือเปล่าคะ”

ทันใดนั้นอวี้ฝานก็นึกถึงเรื่องเมื่อตอนมัธยมต้นปีสาม มีนักเรียนชายมานัดต่อยกับเขาและเขาก็ต่อยจนฟันของอีกฝ่ายหลุด

หลังจากนั้นนักเรียนชายคนนั้นก็พาผู้ปกครองหลายคนมาหาถึงโรงเรียน ขณะเดียวกันทางโรงเรียนก็แจ้งให้อวี้ข่ายหมิงทราบ

ตอนนั้นเขายืนอยู่ในออฟฟิศ ถูกผู้ปกครองของอีกฝ่ายหลายคนรุมด่า ทั้งยังถูกผลักอีกด้วย เขาไม่ได้ตั้งตัวจึงถูกผลักอย่างง่ายดาย

ขณะนั้นอวี้ข่ายหมิงสูบบุหรี่ เตะหลังเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขอโทษผู้ปกครองของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม บอกว่ากลับบ้านไปจะสั่งสอนให้ดีๆ

นับแต่นั้นมาหากเจอกับผู้ปกครองที่ลงไม้ลงมือเหล่านั้น อวี้ฝานก็จะตอบโต้ตลอด

แต่ตอนนี้เวลานี้

เขามองคนสองคนที่อยู่เบื้องหน้าตน จู่ๆ เรี่ยวแรงที่เพิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมาก็หายไป บ่าผ่อนคลายลงอย่างอธิบายไม่ถูก

ช่างเถอะ

เขาอาศัยที่ทำเลดีนั่งลงบนที่เท้าแขนของโซฟาโดยตรง

ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว หันหน้ามองไปทางลูกชายของเธอ “มา ลูกรัก เล่าเรื่องที่ลูกบอกแม่ที่บ้านอีกรอบซิ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่ตรงนี้”

ติงเซียวที่หดตัวอยู่ตรงมุมไม่พูดไม่จามองแม่ของเขาแวบหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากเสียงเบา “เขา…ต่อยผม ทะ…ที่ห้องน้ำชั้นหนึ่งของตึกปฏิบัติการ”

ผู้หญิงคนนั้น “พวกคุณดูสิ! เขาต่อยลูกชายฉัน!”

สถานที่ที่ติงเซียวบอกเป็นมุมที่ทางโรงเรียนไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิด

เวลานี้หูผางนึกเสียใจภายหลังแล้ว เสียใจมาก ตอนนั้นเขาคิดว่ามุมอับนั้นไม่ได้ใหญ่โต จึงไม่จำเป็นต้องเปลืองเงินเพิ่มจริงๆ…

เสียงเอื่อยเฉื่อยของอวี้ฝานดังมาจากทางด้านหลัง “หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กมาชนเครื่องกระเบื้อง* ถึงที่นี่เลย?”

“เธอเงียบซะ” จวงฝ่างฉินถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งแล้วมองไปทางแม่ของติงเซียวอีกครั้ง “เขาต่อยเมื่อไหร่ ตอนนั้นแถวๆ นั้นมีเพื่อนคนอื่นหรือเปล่า บนตัวติงเซียวมีแผลไหมคะ”

“โอเค คุณอยากให้บนตัวลูกชายฉันมีแผลให้ได้สินะ?” แม่ของติงเซียวขมวดคิ้ว “ฉันไม่เข้าใจเลย คำพูดของนักเรียนที่ซื่อสัตย์ ผลการเรียนดี เคยเข้าสนามสอบห้องหนึ่งมาหลายครั้งอย่างลูกชายฉันพวกคุณไม่เชื่อ พวกคุณเชื่อนักเรียนอย่างเขา…”

“เขาโกงเข้ามา” เสียงอันเย็นชาตัดบทเธอ

ออฟฟิศพลันเงียบลง

ติงเซียวที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอดเงยหน้าขึ้นมาทันใด มองเฉินจิ่งเซินอย่างงุนงง

แม่ของติงเซียวตะลึงงัน ยังไม่ทันได้สติกลับมาชั่วขณะ “เธอพูดเหลวไหลอะ…”

“สอบกลางภาคกับปลายภาคของ ม.ปลายปีหนึ่ง เมื่อเทอมที่แล้วเขาโกงหมด ผมเห็นกับตา” เฉินจิ่งเซินกล่าวอย่างราบเรียบ “ซ่อนมือถือไว้ในรองเท้า ถ้าเปิดดูกล้องวงจรปิดตอนนี้ล่ะก็น่าจะเห็นนะครับ”

ในการสอบแต่ละครั้งโรงเรียนของพวกเขาล้วนเปิดกล้องวงจรปิด และจะมีครูคนหนึ่งคอยจับตาดูอยู่หน้ามอนิเตอร์

แต่ปกติกล้องวงจรปิดจะใช้แค่หลังจากครูจับได้ว่านักเรียนโกงเท่านั้น จึงจะตรวจสอบออกมาเพื่อยืนยัน ถึงอย่างไรครูคนเดียวก็ไม่มีทางดูแลห้องเรียนยี่สิบห้องได้ทั่วถึงอยู่แล้ว

เฉินจิ่งเซินตามอวี้ฝานมา เมื่อกี้ยังช่วยอวี้ฝานอีก ดังนั้นจิตใต้สำนึกของแม่ติงเซียวจึงถือว่าเขาเป็นนักเรียนห่วยๆ เหมือนกับอวี้ฝาน “เธอเห็นได้ยังไงกัน! สองครั้งนี้เขานั่งสอบอยู่ที่ห้องหนึ่ง…”

“เฮ้ย ทำความรู้จักหน่อยสิ” จู่ๆ คนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็เอียงศีรษะออกมาจากด้านหลัง

อวี้ฝานอดไม่ได้ที่จะยืนมือออกไป ปลายนิ้วสะกิดแขนเฉินจิ่งเซิน ชี้ไปพลางพูดไปพลาง “เขา ที่หนึ่งของสายชั้น สอบทุกครั้งนั่งอยู่ห้องหนึ่งตลอด โต๊ะแรกของห้องหนึ่งเขียนชื่อเขาติดอยู่ ทั้งนิสัยและการเรียนลากลูกชายคุณไปบนถนนแปดร้อยสายได้ด้วยซ้ำ เอาลูกชายคุณมาเทียบกับเขา ลูกชายคุณคู่ควรหรือไง”

คนอื่นๆ “…”

ผู้หญิงคนนั้นยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมหลายวินาที จากนั้นก็ก้มลงเก็บกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาแล้วพุ่งไปหาอวี้ฝานอีกครั้ง

หูผางหน้านิ่วคิ้วขมวด รีบเข้าไปดึงคนไว้ “ห้ามตีนักเรียนครับ! คุณจะตีนักเรียนของโรงเรียนเราไม่ได้! ครูจวง! คุณให้พวกเขาสองคนกลับไปก่อน!”

จวงฝ่างฉินจึงหิ้วนักเรียนทั้งสองคนของตนกลับไปที่ออฟฟิศ

เธอดื่มชาติดต่อกันเจ็ดอึกกว่าจะหายใจคล่องขึ้นมา

ครูประจำชั้นห้องแปดถือแผนการสอนกลับมาที่ออฟฟิศ เมื่อมองดูภาพฉากนี้ก็อดพูดด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ทำไม ยืนทำโทษอยู่เหรอ”

จวงฝ่างฉิน “อยากด่านะ แต่เรื่องในวันนี้พวกเขามีเหตุผล ไม่รู้จะด่าอะไรก็เลยให้พวกเขายืนสักแป๊บหนึ่ง ฉันมองก็หายโมโหเอง”

ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ “…”

“ได้ยินมาแล้ว เมื่อกี้ฉันผ่านออฟฟิศหัวหน้าครูมา บอกว่าเดี๋ยวจะไปเช็กกล้องวงจรปิดของสนามสอบน่ะ” ครูประจำชั้นห้องแปดนั่งลงและเอ่ย “เธอยังดีนะ ตรวจสอบให้ชัดเจนก็แก้ปัญหาได้…เด็กคนนั้นในห้องฉันน่ะสิที่ทำให้ฉันหงุดหงิด”

จวงฝ่างฉิน “ทำไม”

ยังจะคุยกันอีก

อวี้ฝานดูเวลาแวบหนึ่ง ก่อนสะกิดหลังมือเฉินจิ่งเซิน แล้วเอ่ยเสียงเบา “โกหกเธอหน่อย บอกว่านายปวดท้อง”

เฉินจิ่งเซินเอียงศีรษะลงมาและตอบเสียงเบา “ทำไมนายไม่โกหกเองล่ะ”

“…”

นายจะพูดก็พูดไปสิ จะขยับมาชิดทำไม

อวี้ฝานขยับไปข้างหลัง “นายโง่หรือไง คำพูดฉันเธอไม่เชื่อหรอก”

เฉินจิ่งเซิน “งั้น…”

“พูดสิ เสียงดังหน่อย” จวงฝ่างฉินว่า “ฉันกับครูกู้รอพวกเธอพูดเสร็จค่อยคุยกันอีกที”

อวี้ฝาน “…”

เมื่อทั้งสองคนเงียบกันหมดแล้ว จวงฝ่างฉินถึงได้เหลือกตาขาวใส่ “คุณพูดต่อซิครูกู้”

“คืออย่างนี้นะ ฉันไปเจอจดหมายรักที่เขียนโดยนักเรียนหญิงคนหนึ่งในห้องฉันน่ะ โอ๊ย น่าขนลุกจะตาย…ฉันยังไม่กล้าอ่านจนจบเลย”

“ช่วยไม่ได้ นักเรียนสมัยนี้มีปั๊ปปี้เลิฟกันทั้งนั้น” จวงฝ่างฉินส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ

“นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักหน่อย ประเด็นสำคัญคือชื่อผู้รับของจดหมายฉบับนั้นเป็นนักเรียนชายของห้องพวกคุณน่ะสิ” ครูกู้เงยหน้าขึ้น “ถือโอกาสตอนที่เขาก็อยู่ที่ออฟฟิศนี่แหละ ฉันจะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ฉันไม่อนุญาตให้นักเรียนในห้องมีแฟน ถ้าสุดท้ายนักเรียนหญิงคนนั้นยังคงส่งความรู้สึกไปถึงเธอผ่านช่องทางอื่นใดอยู่ดี เธอต้องยึดมั่นความบริสุทธิ์ใจของตัวเองเอาไว้นะ นักเรียนอวี้”

อวี้ฝาน “…”

เฉินจิ่งเซินกะพริบตาทีหนึ่งโดยไม่แสดงท่าทีอะไร

“คุณสบายใจได้” จวงฝ่างฉินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ตั้งแต่ ม.ปลายปีหนึ่ง จนถึงตอนนี้ อวี้ฝานได้รับโทษทุกอย่างเท่าที่จะรับได้แล้ว มีแค่ข้อปั๊ปปี้เลิฟนี้ข้อเดียวที่ไม่เคยแตะต้องเลย”

อวี้ฝานสีหน้าเย็นชา ไม่พูดไม่จา

นี่กำลังชมเขาใช่ไหม

ครูกู้ “ฉันรู้ค่ะ แต่ไม่กลัวหนึ่งหมื่นกลัวก็แต่หนึ่งในหมื่น* น่ะสิ สาวๆ ในห้องเราสวยกันจะตายไป”

“สบายใจได้ๆ ไม่เกิดขึ้นแน่นอน” จวงฝ่างฉินเงยหน้าถาม “อวี้ฝาน ครูรับปากครูกู้แล้ว เธออย่าทำให้ครูผิดหวังล่ะ”

อวี้ฝาน “หรือไม่ผมเขียนหนังสือรับรองให้ครูดีไหมครับ รับรองว่าจะไม่มีความรักตลอด ม.ปลาย เลย”

“ไม่ต้องขั้นนั้นหรอก” ในที่สุดจวงฝ่างฉินก็หัวเราะออกมา เธอมองไปทางคนที่อยู่ข้างๆ อวี้ฝานแล้วพูดเล่นๆ “จิ่งเซิน เธอเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะเขา ต่อไปช่วยครูจับตาดูเขาด้วยนะ”

อวี้ฝาน “…?”

“ครับ” เฉินจิ่งเซินตอบรับอย่างเรียบเฉย “จะไม่ให้เขาคบกับคนอื่น”

 

* ห้าสาม คือหนังสือติวสอบเข้ามหาวิทยาลัยของจีนที่รวบรวมข้อสอบจริงห้าปีและข้อสอบเสมือนจริงสามปี นอกจากนี้ยังประกอบด้วยการสรุปเนื้อหา การวิเคราะห์โจทย์ และการเก็งข้อสอบ

* ชนเครื่องกระเบื้อง เป็นพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่เริ่มมาจากการจงใจทำให้คนอื่นชนสิ่งของที่แตกหักง่ายแล้วเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ปัจจุบันรวมถึงการสร้างสถานการณ์ทำให้ตัวเองเป็นเหยื่อหรือผู้เสียหายทุกรูปแบบ

* ไม่กลัวหนึ่งหมื่นกลัวก็แต่หนึ่งในหมื่น หมายถึงไม่กลัวว่าเหตุการณ์ที่อยู่ในความคาดหมายจะเกิดขึ้นหมื่นครั้ง แต่กลัวจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเพียงครั้งเดียว

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: