ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 38
ออฟฟิศของหูผางอยู่ในอาคารเรียน หากคนที่อยู่ข้างในเสียงดังนิดหน่อย ห้องเรียนข้างๆ ก็สามารถได้ยินเจ็ดแปดส่วน
ตกกลางคืนเรื่องนี้ก็ถูกแพร่กระจายไปยังกลุ่มห้องทุกห้องของโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ด
หวังลู่อัน พูดปุ๊บทำปั๊บ! ตอนแม่ติงเซียวพุ่งเข้ามานะ เด็กท็อปปฏิกิริยาไวมาก! ยืดอกออกไปเลย! ขวางหน้าอวี้ฝานไว้แล้วปัดกระเป๋าของผู้หญิงคนนั้นทิ้ง จากนั้นก็พูดอย่างเท่ด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า…‘เพื่อนร่วมโต๊ะของผม คุณอย่าคิดที่จะแตะต้อง’
จางเสียนจิ้ง จากนั้นล่ะ
หวังลู่อัน จากนั้นแม่ของติงเซียวก็ตั้งคำถามกับเด็กท็อป อวี้ฝานที่ไม่พูดไม่จามาตลอดจู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนอย่างโมโห! มือข้างหนึ่งชี้เฉินจิ่งเซิน มือข้างหนึ่งชี้หน้าแม่ติงเซียว พูดอย่างอวดดีและเอิกเกริกว่า… ‘เขาคือขีดจำกัดของผม คุณด่าผมได้ แต่จะมาด่าเพื่อนร่วมโต๊ะของผมไม่ได้ เพื่อนร่วมโต๊ะของผมคือที่หนึ่งในโลก แล้วก็เจ๋งกว่าลูกชายคุณซะอีก’
– ไสหัวไปซะ ใครเป็นคนแต่งเรื่อง
อวี้ฝานนั่งอยู่หน้าโต๊ะ เช็ดผมไปพลางตอบไปพลาง เพราะจิ้มแรงเกินไปหน่อย หน้าจอโทรศัพท์มือถือจึงดังปึกๆ อย่างน่าสงสาร
หวังลู่อัน คืองี้ พวกห้องสิบสองที่อยู่ข้างๆ ออฟฟิศหูผางได้ยินกับหู จากนั้นคนกลุ่มนั้นก็บอกห้องเก้า ห้องเก้าบอกห้องแปด จั่วควนก็เอามาบอกฉันอีกที
จั่วควน แล้วตกลงว่าเรื่องนี้จริงหรือเปล่า ตอนบ่ายถามนาย นายก็ไม่ตอบ
นี่มันเรื่องไร้สาระไม่ใช่หรือไง
เขาพูดคำพูดประเภทที่ว่า ‘ด่าผมได้ แต่จะมาด่าเพื่อนร่วมโต๊ะผมไม่ได้’ ออกไปได้หรือไง
– ออกจากลุ่มแล้วนะ
หวังลู่อัน เฮ้ยๆๆ อย่านะ มาปรึกษาเรื่องที่จะออกไปเที่ยวพรุ่งนี้กันดีกว่า
จางเสียนจิ้ง เด็กท็อปไม่โผล่มาเลย มีอะไรให้ปรึกษา
หวังลู่อัน ฉันแชตถามส่วนตัวแล้ว เด็กท็อปบอกว่าแล้วแต่เลยว่าพวกเราจะจัดการยังไง เขาโอเคหมด
อวี้ฝานพาดผ้าขนหนูไว้บนบ่าแล้วพิงไปข้างหลัง ดูพวกเขาคุยกันเรื่องแผนเที่ยวในวันพรุ่งนี้อย่างครึกครื้น
โทรศัพท์มือถือสั่นครืดทีหนึ่ง
สามทุ่มเฉินจิ่งเซินส่งคลิปวิดีโออธิบายโจทย์มาอย่างตรงเวลา
อวี้ฝานจ้องมือที่โผล่ออกมาในแบนเนอร์แจ้งเตือนหลายวินาทีแล้วพิมพ์ว่า… ‘ต่อไปไม่ต้องส่งมาแล้ว ไม่ติวแล้ว’
หลังจากพิมพ์เสร็จนิ้วของเขาก็เคลื่อนไปที่ปุ่มกดส่ง ก่อนจะนิ่งค้างอยู่สองนาที
ระหว่างที่ลังเลอีกฝ่ายก็ส่งข้อความเสียงมาอีกสองข้อความ
“โจทย์ที่เลือกมาช่วงนี้ยากนิดหน่อย นายลองดูหน่อยว่าตามทันไหม อวี้ฝาน สอบรายเดือนครั้งหน้า พวกเรามาฟิตเป็นท็อปหกร้อยของสายชั้นกันเถอะ”
ใครอยากฟิตเป็นท็อปหกร้อย
ใครเป็น ‘พวกเรา’ กับนายกัน
อวี้ฝานกดเปิดฟังข้อความถัดไป
“ฉันซื้อนกโง่ฉบับแอดวานซ์มา พรุ่งนี้จะพกไปให้นายนะ?”
“…”
ออกไปเที่ยวยังจะพกหนังสือติวอีกเรอะ
“ไสหัวไปซะ” อวี้ฝานกดปุ่มข้อความเสียง “นายลองพกมาสิ ฉันจะให้นายนั่งเขียนมันเองอยู่ข้างทางให้เสร็จ”
ตื่นนอนวันต่อมาอวี้ฝานถึงได้ไปดูแผนเที่ยวที่พวกเขาคุยกันเมื่อคืนอย่างเอื่อยเฉื่อย
จั่วควนกับจางเสียนจิ้งต่างก็บอกว่าจะมา พวกเขาคุยกันหลายร้อยข้อความ ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่าจะไปเล่น Escape Room ที่เพิ่งเปิดกิจการ ทั้งยังมีการบอกต่อกันมาว่าดีมากก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยไปกินมื้อเย็นด้วยกัน
จุดนัดพบก็กำหนดไว้ที่ Escape Room
เพราะข้อความเสียงนั้น ปฏิกิริยาแรกเมื่ออวี้ฝานเห็นเฉินจิ่งเซินก็คือไปดูว่าในมือของอีกฝ่ายถือวัตถุต้องสงสัยอะไรมาด้วยหรือเปล่า
ยังดีที่ทั้งสองมือว่างเปล่า
“ขอโทษด้วย รถติด” เฉินจิ่งเซินว่า
“ไม่เป็นไร เรานัดกันตอนสามโมงอยู่แล้ว นี่ยังไม่ถึงเวลาเลย” หวังลู่อันรีบกล่าว “มา เด็กท็อป นายดูซิว่าอยากเล่นธีมอะไร ธีมใหม่นี้ดังมากเลยนะ”
อวี้ฝานพิงอยู่ข้างเคาน์เตอร์พลางเล่นเกมงูจอมเขมือบด้วยความเบื่อหน่าย รู้สึกได้ว่ากลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ นั้นใกล้เขาเข้ามาเรื่อยๆ
วันนี้เฉินจิ่งเซินสวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงสีดำ กางเกงคาร์โกทำให้ขาของเขาดูยาวมาก ปกติตอนอยู่โรงเรียนทุกคนต่างสวมเครื่องแบบหลวมโพรกจึงดูไม่ออก บ่าของชายหนุ่มบางแต่กว้าง พอเขาไปยืนทางนั้น จั่วควนกับหวังลู่อันที่อยู่ข้างๆ ล้วนเตี้ยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เฉินจิ่งเซินเดินไปยืนข้างอวี้ฝานอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนกวาดตามองโบรชัวร์แนะนำ Escape Room ในมือหวังลู่อันแวบหนึ่ง “ฉันได้หมด”
หวังลู่อันมองไปทางอวี้ฝาน อวี้ฝานเองก็ไม่เงยหน้า “แล้วแต่”
เขาไม่สนใจของพวกนี้เลยสักนิด
“งั้นเล่นอันที่ตื่นเต้นที่สุดก็แล้วกัน!” จางเสียนจิ้งชี้โปสเตอร์ซึ่งติดอยู่บนผนังในตำแหน่งตรงกลาง “อันนี้แหละ!”
อวี้ฝานมองแวบหนึ่ง ตรงกลางโปสเตอร์เป็นผู้หญิงน่าสยดสยองที่คลุมด้วยผ้าคลุมศีรษะสีแดงนั่งอยู่บนเตียงมงคล ด้านข้างเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่สีแดงฉานเอาไว้ว่า…‘ผีออกเรือน’
เถ้าแก่ดีดนิ้ว “ตาถึงมากคนสวย นี่คือธีมที่น่ากลัวที่สุดของเรา ไล่ล่าสยองขวัญ แถมยังเป็น Escape Room ห้าคนพอดีด้วย! คนที่มาเยี่ยมชมร้านไม่มีสักคนที่ไม่กลัว สนุกตื่นเต้นแน่นอน!”
หวังลู่อันขาอ่อน “ไม่ได้มั้ง อันที่จริงฉันคิดว่าเทพนิยายแสนอบอุ่นอันข้างๆ ก็ไม่เลวนะสำหรับการไข Escape Room ‘เจ้าชายที่หลงทางอยู่ในป่าหาเจ้าหญิงนิทราไม่เจอควรไปอย่างไร เริ่มจากไหน ทั้งหมดล้วนอาศัยพวกเราเสี่ยงอันตรายฝ่าด่าน’…”
“นายไปช่วยเจ้าชายไม่ได้เรื่องเอาเองเถอะ” จางเสียนจิ้งมองค้อน “เอางี้ พวกเขาสองคนอะไรก็ได้ งั้นพวกเราสามคนโหวตกัน ตอนนี้ถือว่าหนึ่งต่อหนึ่ง จั่วควน นายว่าไง อยากเล่นอันไหน”
หวังลู่อันคิดในใจว่าตลกชะมัด ตอนมัธยมปลายปีหนึ่งพวกเขาแอบใช้คอมพิวเตอร์ในห้องเปิดเรื่อง ‘เดอะริง คำสาปมรณะ’ จั่วควนที่ยืนดูอยู่นอกหน้าต่างกรีดร้องเสียงดังกว่าเขาซะอีก หลังดูจบพวกเขาสองคนก็คล้ายกับถูกมัดตัวติดกันไปพักใหญ่ๆ ทุกครั้งที่ไปเข้าห้องน้ำก็จะไปพร้อมกันกลับพร้อมกัน บางครั้งยังต้องลากอวี้ฝานติดไปด้วย…
“นี่ยังต้องถามอีก?” จั่วควนเดินไปตรงหน้าโปสเตอร์แล้วตบที่ ‘ผีออกเรือน’ แผ่นนั้น นิ้วโป้งเช็ดจมูก มองจางเสียนจิ้งแล้วพูดว่า “ลูกหมากระจอกๆ สิถึงจะเล่นเทพนิยาย ลูกผู้ชายตัวจริงต้องเล่นอันที่โหดที่สุดกันทั้งนั้น แน่นอนว่าฉันเลือกเหมือนเธอ”
หวังลู่อัน “…”
ทั้งห้าคนถูกพาไปจนถึงทางเข้า Escape Room
พนักงานขอให้พวกเขาใส่ผ้าปิดตา จากนั้นเกาะไหล่กันแล้วเดินเข้าไป
อวี้ฝานเดินอยู่คนแรก เขาถูกคนพาอ้อมซ้ายอ้อมขวาและเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
หลังจากประชาสัมพันธ์ประกาศให้พวกเขาถอดผ้าปิดตา ถึงได้พบว่ารอบด้านมืดสนิทอย่างไร้ขอบเขต ในห้องสไตล์โบราณนี้มีแค่พวกเขาสี่คน
“อ๊ากกก!!!!” เสียงกรีดร้องของจั่วควนดังมาแว่วๆ ฟังดูแล้วน่าจะอยู่ห่างจากพวกเขาพอสมควร “ช่วยด้วย! ฉันไม่ไหวแล้ว! ทำไมฉันอยู่คนเดียว…แกอย่าเปิดดนตรีนี่ ฉันจะเป็นลมแล้ว แค่ก…”
เขาเสียงดังเกินไป ดังจนพนักงานข้างนอกใช้วิทยุสื่อสารแจ้งพวกเขาว่า “นั่นอะไรน่ะ ภารกิจนี้ของเราจะมีคนที่ต้องอยู่คนเดียว พวกเธอจะเปลี่ยนบทบาทไหม”
หวังลู่อันเอามือป้องปาก แล้วตอบเสียงดัง “จั่วควน…ไม่ใช่ว่าเพื่อนไม่ช่วยนาย…อันที่จริงเพื่อนก็กลัวเหมือนกัน…”
“เราไม่เปลี่ยน” จางเสียนจิ้งหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาตอบ “หมอนั่นก็แค่ชอบอวดดี พวกพี่ชายขู่ให้เขาตกใจเต็มที่เลย”
หนวกหูชะมัด อวี้ฝานเหลือกตาขาว กำลังจะบอกว่าตัวเองจะไปแทน จู่ๆ มุมเสื้อก็ถูกคนข้างหลังกระตุกทีหนึ่ง
เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ในความมืด เมื่ออวี้ฝานหันกลับไปก็เห็นเพียงเค้าโครงเลือนรางของเขาเท่านั้น
“อวี้ฝาน” เฉินจิ่งเซินมองเขา “ฉันเองก็กลัวเหมือนกัน”
“…?”
อวี้ฝานขมวดคิ้ว “กลัวแล้วเมื่อกี้ทำไมนายไม่พูด”
เฉินจิ่งเซินว่า “ฉันไม่อยากขายหน้าต่อหน้านาย”
“…ตอนนี้นายขายหน้ายิ่งกว่าอีก”
“ช่วยไม่ได้” เฉินจิ่งเซินจับมุมเสื้อเขาไว้ กล่าวอย่างนิ่งเฉย “มันน่ากลัวเกินไปแล้ว”
“…”
เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของจั่วควนดังมาจากด้านนอกอีกครั้ง
อวี้ฝานใช้สายตาที่มองของไร้ประโยชน์มองคนข้างหลังหลายวินาทีถึงนึกขึ้นได้ว่าในสภาพแวดล้อมแบบนี้เฉินจิ่งเซินคงรับมันไม่ไหว
“ขี้ขลาด” เขาเก็บฝีเท้ากลับมา กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เฉินจิ่งเซินอืมทีหนึ่ง “ใช่ ฉันเอง”
“…”
จางเสียนจิ้งกำลังคิดจะถามว่าพวกนายสองคนกระซิบอะไรกันอยู่ก็เกิดเสียงดังปึง ประตูถูกตัวละครในห้องปริศนาถีบออกมา
คนที่สวมชุดเจ้าบ่าวแบบโบราณ ใบหน้าขาวซีด เลือดสีแดงสดเต็มปากเดินโซซัดโซเซเข้ามา พยายามพุ่งใส่หน้าผู้เล่นแต่ละคน “เธอจะฆ่าฉัน! เธอจะฆ่าฉัน…”
อวี้ฝานรู้สึกได้ว่ามุมเสื้อของตนถูกคนดึงแน่นขึ้น ดูเหมือนว่าเฉินจิ่งเซินจะถูกทำให้ตกใจจนถอยหลังไป
“ตัวละครตัวนี้เตี้ยกว่านายตั้งช่วงหนึ่ง นายกลัวอะไรเนี่ย” อวี้ฝานยื่นมือไปข้างหลังโดยจิตใต้สำนึก ก่อนตีข้อมือของเฉินจิ่งเซินเพื่อบอกเป็นนัยให้เขาเอามือออกไป
เสื้อถูกคลายออกแล้ว
อวี้ฝานกำลังคิดจะเก็บมือกลับมา จู่ๆ มือข้างนั้นที่อยู่ข้างหลังก็เคลื่อนขึ้นไปตามนิ้วของเขา แล้วกุมมือเขาไว้ทันทีทันใด
ฝ่ามือของเฉินจิ่งเซินเย็นเล็กน้อย จับไว้แน่นนิดหน่อย
เมื่อตัวละครได้ยินคำพูดของเขาก็หวีดร้องใส่หน้าอวี้ฝาน “แกมีมารยาทหน่อย…อ๊าก เธอจะฆ่าฉัน!”
อวี้ฝานมองใบหน้าของผีตนนี้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นิ้วที่ถูกกุมไว้ชาเล็กน้อย เขาแกว่งมือของเฉินจิ่งเซิน “เฉินจิ่งเซิน นายถอยหลังไปซิ”
เฉินจิ่งเซินเองก็แกว่งมือเขา “ถอยไม่ได้ ฉันไม่กล้าลืมตา”
“…”
ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานสงสัยว่าเฉินจิ่งเซินแกล้งเล่น
ใครจะกลัวไอ้นี่จนจูงมือคนอื่นมั่วซั่วกัน
พอตัวละครไป ไฟภายในห้องก็สว่างขึ้นมา
หวังลู่อันกอดจางเสียนจิ้ง ซุกหน้าลงบนไหล่เธอ จางเสียนจิ้งตบหลังเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ “ไม่เป็นไร ไปแล้ว ไปแล้ว…ไปแล้วจริงๆ ฉันจะหลอกนายทำไม”
หวังลู่อัน “ฮือๆๆ…”
อวี้ฝาน “…”
เขาแกว่งมือของเฉินจิ่งเซินพร้อมเอ่ยอย่างเย็นชา “คลายหน่อย ไม่ต้องจับแน่นขนาดนี้”
เล่น Escape Room ไปได้ครึ่งทางกว่าจั่วควนจะมาสมทบกับพวกเขา
เขาตกใจจนหน้าซีด กอดแขนหวังลู่อันแล้วก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ เขาจึงหันกลับไปถามเพื่อนสนิทอีกคน “อวี้ฝาน เราสองคนก็จูงมือกันเถอะนะ?”
อวี้ฝานลากเฉินจิ่งเซิน อีกมือหนึ่งหิ้วตะเกียง แสงไฟส่องจากล่างขึ้นบน สะท้อนใบหน้าเขาจนดูเหี้ยมสุดๆ “ไสหัวไปซะ”
จั่วควน “…”
ตัวละครกลับไปที่ห้องควบคุมอย่างกระหืดกระหอบ ก่อนเลิก ‘ยันต์’ บนหน้าขึ้น…เป็นเถ้าแก่ที่ต้อนรับพวกเขาอยู่ด้านนอกเมื่อกี้นี้
พนักงานที่ดูมอนิเตอร์ข้างๆ เถ้าแก่บอกกับพนักงานที่กำลังจะออกไปหลอกคนว่า…
“เดี๋ยวพวกเขาก็จะทำภารกิจทางเดี่ยวแล้ว มา จะแจกแจงกับเธอแป๊บหนึ่ง” เขาชี้หน้าจอพลางเอ่ย “ผู้หญิงคนนี้แล้วก็คนที่หน้าตาดุๆ นี่ไม่ต้องหลอก สองคนนี้จิตแข็ง หลักๆ คือหลอกสามคนที่เหลือ…โดยเฉพาะคนที่สูงที่สุดนี่ เขาหลบอยู่หลังผู้ชายอีกคนตลอด ฉันหลอกไม่ได้เท่าไหร่ เดี๋ยวจะพยายามดู หลอกเขาให้ตกใจตายไปเลย!”
ภารกิจทางเดี่ยวต้องการให้ผู้เล่นแต่ละคนเดินไปหยิบของหนึ่งอย่างที่สุดปลายทางเดินเพียงลำพัง ส่วนผู้เล่นที่เหลือทำได้เพียงคอยอยู่ภายในห้องเท่านั้น
คนอื่นๆ ล้วนทำเสร็จแล้ว แม้แต่จั่วควนก็กลับมาอย่างทุลักทุเล เหลือเพียงผีขี้ขลาดคนสุดท้าย…
เฉินจิ่งเซินยืนอยู่หน้าประตู จู่ๆ ก็หันกลับมาถาม “ถ้าฉันไม่กลับมา นายจะออกไปตามหาฉันไหม”
อวี้ฝาน “ไม่”
“นายพูดกับฉันตลอดได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ยินเสียงฉันจะกลัว”
“ไม่ได้”
“นายจะยืนรอฉันอยู่ที่หน้าประตูไหม”
“นายแม่งเล่นเกมอยู่นะ ไม่ได้จะเข้าสนามรบ” อวี้ฝานเหลืออด “นายจะไปไม่ไป ถ้าไม่ไปฉันจะถีบนายแล้วนะ!”
เฉินจิ่งเซินไปแล้ว
เถ้าแก่จ้องมอนิเตอร์ แล้วเรียกพนักงานด้วยความตื่นเต้น “เร็วๆๆๆ! หลอกเขา! หลอกให้เขากลับไปครั้งหนึ่งก่อน แล้วบังคับเขามาอีกรอบ!”
เฉินจิ่งเซินกำลังจะแตะอุปกรณ์ทำภารกิจ ผีผู้หญิงที่สวมชุดเจ้าสาวตนนั้นก็โผล่ออกมาทันใด คลานมาทางเขาอย่างบ้าคลั่งคล้ายแมงมุม หวีดร้องอย่างน่าสยดสยอง “อ่า…”
คนตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยา
ตัวละครผีผู้หญิงนึกว่าตนเองแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ไม่ดี จึงหวีดร้องอีกครั้ง “อ่า…”
เด็กหนุ่มหยิบของแล้วมองเธออย่างเฉยชาแวบหนึ่ง
จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ขณะเดินก้มหน้ามองพื้นไม้ก็หมุนฝีเท้า เดินอ้อมชุดทำงานของเธอไป
ตัวละครผีผู้หญิง “…?”
เถ้าแก่ “…?”
เมื่อเดินไปถึงมุมเลี้ยว จู่ๆ เฉินจิ่งเซินก็หันกลับมา “สวัสดีครับ ร้องอีกทีได้ไหม”
ตัวละครผีผู้หญิง “…อ่า…”
ในห้อง
จั่วควนอุดหูด้วยความทุกข์ทรมาน “ทำไมแม่งร้องอีกแล้ว”
“ทำไมเด็กท็อปยังไม่กลับมาอีก แถมยังไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวเลยสักนิด” จางเสียนจิ้งว่า “คงไม่ถูกจับไปจริงๆ หรอกนะ”
อวี้ฝานที่ยืนรออยู่หน้าประตูมาหลายวินาทีแล้วจิ๊ปากทีหนึ่งอย่างหงุดหงิด “ฉันจะไปหา…”
ตึกๆๆ
เสียงฝีเท้ารีบเร่งดังมาจากสุดปลายทางเดิน
อวี้ฝานเรียกหยั่งเชิงทีหนึ่ง “เฉินจิ่งเซิน?”
“ฉันเอง”
อีกด้านของทางเดิน เฉินจิ่งเซินวิ่งกลับมา อวี้ฝานยืนอยู่หน้าประตู ยื่นมือไปหาอีกฝ่ายโดยจิตใต้สำนึก
เฉินจิ่งเซินโผเข้ามากอดเขาทันทีเหมือนกับตอนนั้นที่เพิ่งวิ่งสามพันเมตรเสร็จ
อวี้ฝานตะลึงงันเล็กน้อย ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาก็ถูกปล่อยออกแล้ว
จั่วควน “เด็กท็อป ผู้หญิงคนนั้นกระโจนใส่ตัวนายหรือเปล่า นายตกใจแทบแย่เลยใช่ไหม”
เฉินจิ่งเซินวางของไว้บนโต๊ะ กวาดตามองเขาปราดหนึ่งอย่างเรียบเฉยแล้วเอ่ย “อืม ทำฉันตกใจแทบตาย”
เถ้าแก่ที่ดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในมอนิเตอร์ “…?”
ทำนายตกใจแทบตายเรอะ จริงเรอะ
ที่ผ่านมาเคยเจอแค่ผู้หญิงแกล้งกลัวแล้วแนบชิดติดกับแฟนหนุ่ม ผู้ชายตัวโตอย่างนายเสแสร้งแกล้งทำอะไรกันเนี่ย แถมเสแสร้งแล้วนายก็ไม่กระโจนหาสาวสวยคนนั้น จะไปกระโจนหาผู้ชายทำไมกัน
อวี้ฝานเองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน
เขาเล่น Escape Room นี้จนเหนื่อยเป็นพิเศษ ในมือจูงคนขี้ขลาดไว้คนหนึ่ง ตัวละครพวกนั้นยังคงพุ่งเป้ามาที่หน้าเขาตลอดอย่างไม่ยอมแพ้
ภารกิจสุดท้ายจำเป็นต้องเป็นสองคนสองกลุ่มผลัดกันไปปลดปล่อยผีผู้หญิง มีแค่คนเดียวที่สามารถนอนรอชัยชนะอยู่ในห้องได้
โควตาสุดท้ายนี้ยกให้จั่วควน
อวี้ฝานพาเฉินจิ่งเซินไป ‘ทำพิธี’ ให้ผีผู้หญิงที่ ‘ศาลบรรพบุรุษ’
บนทางเดินไฟรอบๆ ค่อยๆ สว่างขึ้นมา อย่างน้อยก็สามารถทำให้เห็นหน้าเพื่อนในทีมได้ชัดๆ
ในตรอกจำลองแคบๆ อวี้ฝานหันไปมองแวบหนึ่ง เฉินจิ่งเซินยังคงทำหน้าตายเหมือนปกติ
จู่ๆ เขาก็รู้สึกสนใจใคร่รู้นิดหน่อยว่าตอนเฉินจิ่งเซินถูกทำให้ตกใจจะมีสีหน้าแบบไหน
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีอวี้ฝานก็เก็บสายตากลับมา แล้วเขย่ามือของเฉินจิ่งเซิน “ตรงนี้ไม่มีคน ปล่อยมือ ฝ่ามือฉันเหงื่อออกหมดแล้ว”
เฉินจิ่งเซินเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วปล่อยมือออก
ตอนเลี้ยวอวี้ฝานผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง ตั้งใจรั้งท้ายเฉินจิ่งเซินก้าวหนึ่ง
จากนั้นก็ยื่นมือไปจิ้มเอวเฉินจิ่งเซิน…
แทบจะในขณะเดียวกัน จู่ๆ เสียงหวีดร้องของ ‘ผีผู้หญิง’ ก็ดังขึ้นมา อวี้ฝานตะลึงงันมอง ‘ผีผู้หญิง’ ที่พุ่งมาทางพวกเขาตรงหน้าพลางคิดในใจ…
เขายังไม่ทันได้คิด
ก่อนไฟจะดับลงเขาเห็นเฉินจิ่งเซินหมุนตัวมา
อวี้ฝานกำลังคิดจะคว้ามือเขาวิ่ง แต่ชั่วขณะต่อมาจู่ๆ เท้าของเขาก็ลอยขึ้นกลางอากาศ…
เขา-ถูก-อุ้ม-ขึ้น-มา-แล้ว
แถมยังอุ้มท่าเจ้าหญิงที่ช้อนข้อพับเข่าประคองแบบนั้นด้วย
อวี้ฝานมึนงงในชั่วพริบตา ตะโกนติดต่อกันหลายที “เฉินจิ่งเซิน! เฉินจิ่งเซิน!”
เฉินจิ่งเซินไม่ตอบ เขาวิ่งเร็วมาก ทางก็แคบมาก ในปากของอวี้ฝานมีคำพูดด่าคนกองเป็นภูเขาอยู่ อาการสั่นกับความอยากจะมีชีวิตรอดทำให้เขาหันกลับไปคล้องคอเฉินจิ่งเซินไว้โดยอัตโนมัติ
พอเขามองไปข้างหลังก็สบตากับตัวละครผีผู้หญิงหลายวินาที
ขณะลอยค้างอยู่กลางอากาศ สภาพจิตใจของคนเราก็จะเปราะบางขึ้นกว่าปกติ
เขาออกแรงคล้องคอของเฉินจิ่งเซิน “วิ่งเร็วหน่อย นายไม่ได้กินข้าวหรือไง เดี๋ยวก่อน นายจะวิ่งไปไหน นี่ไม่ใช่ทางกลับไปที่ห้อง…”
พออวี้ฝานมองไปข้างหน้าก็พบว่าในโถงที่เป็นฉากด้านหน้ามีเกี้ยวมงคลสีแดงซึ่งกำลังปิดม่านไว้หลังหนึ่งตั้งอยู่
อวี้ฝานคิดในใจว่าไม่หรอกมั้ง คงไม่มีคนโง่กล้าเข้าไปในสถานที่พรรค์นี้หรอกมั้ง เข้าไปแล้วก็เป็นการรออยู่ข้างในห้องให้คนมาหลอกไม่ใช่หรือไง
วินาทีถัดมาอวี้ฝานก็ถูกอุ้มเข้าไปแล้ว
อวี้ฝาน “…”
พื้นที่ในเกี้ยวแคบกว่าที่เขาคิด
ผู้ชายสูง 185 คนหนึ่งอุ้มผู้ชายสูง 180 คนหนึ่งนั่งอยู่ข้างใน แทบจะไม่มีพื้นที่ว่างเหลือแล้ว
อวี้ฝานขดตัวครึ่งหนึ่ง รองเท้าเหยียบด้านบนของเกี้ยว แผ่นหลังทั้งหมดแนบอยู่ด้านหลัง
อวี้ฝานผ่อนลมหายใจ ก่อนเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เฉินจิ่งเซิน นาย…”
“เมื่อกี้มีผีแตะฉัน” เสียงของเฉินจิ่งเซินแหบพร่าเล็กน้อย เขาเอ่ยถาม “นายไม่ตกใจเหรอ”
“…” อวี้ฝานพลันเป็นบื้อใบ้
ไม่สิ ก็แค่จิ้มทีเดียว ไม่ถึงขั้นทำให้ตกใจจนกลายเป็นแบบนี้หรอกมั้ง
อวี้ฝานกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเกี้ยวก็ถูกโยกเบาๆ ตามมาด้วยตัวเกี้ยวถูกคนใช้เล็บครูดแรงๆ ที่ด้านนอก
เขาได้แต่หุบปากนิ่ง ให้ความร่วมมือกับการแสดงของคนด้านนอก
อวี้ฝานจ้องม่านในเกี้ยวอยู่ตลอดเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวละครบุกเข้ามาหลอก
หลังจากนั้นสักพักเขาก็ขมวดคิ้ว แล้วเงยหน้าขึ้นราวกับมีเซ้นส์
ในเกี้ยวมืดสนิท แทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย
นอกจากม่านเกี้ยวสีแดงเข้มที่ถูกแสงไฟสะท้อนจนน่าขนลุกกับดวงตาสีดำขลับคู่นั้นของเฉินจิ่งเซิน
มือข้างหนึ่งของเฉินจิ่งเซินวางไว้บนตักเขา มืออีกข้างประคองหลังเขากั้นระหว่างตัวเขากับเกี้ยว และมองเขาอยู่ในความมืดอย่างเงียบเชียบ
เฉินจิ่งเซินอุ้มคนวิ่งไปได้สักระยะ ลมหายใจของเขาจึงหนักหน่วง มันกระทบเข้ากับใบหูของอวี้ฝานอย่างร้อนรุ่ม ร่างกายของพวกเขาแนบชิดกันมาก อวี้ฝานสามารถรู้สึกได้ถึงการหายใจแต่ละครั้งของเฉินจิ่งเซิน
อวี้ฝานรู้สึกว่าตนเองถูกกลิ่นมิ้นต์โอบล้อมไว้
หัวใจเต้นเร็วเกินไป อวี้ฝานงอนิ้วอย่างไม่มีสติ “ดูม่านสิ จะต้องพุ่งเข้ามาแน่นอน”
“ฉันไม่กล้าดู” เฉินจิ่งเซินเอ่ย
“…ใครใช้ให้นายโง่วิ่งมาตรงนี้เล่า”
เฉินจิ่งเซินครุ่นคิด “ฉันกลัวมากนี่”
ด้านนอกมีความเคลื่อนไหว อวี้ฝานหันศีรษะไปด้านหนึ่งแล้วจ้องม่านของเกี้ยวต่อด้วยตัวที่แข็งทื่อ
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเขาก็ยกมืออย่างสุดจะทน คลำหาดวงตาของเฉินจิ่งเซินในความมืดแล้วปิดมันไว้ทั้งหมด “อย่ามองฉัน”
เฉินจิ่งเซินส่งเสียงอืมเบาๆ ลมหายใจเสียดสีข้างมือเขา
ผิวหนังของอวี้ฝานชาหนึบ ร้อนลวกตั้งแต่ลำคอไปจนถึงใบหู เขากัดฟัน ก่อนที่มืออีกข้างจะยกขึ้นมาบีบจมูกของเฉินจิ่งเซินไว้ “…แล้วก็อย่าหายใจ”
เฉินจิ่งเซิน “…”
บทที่ 39
เฉินจิ่งเซินมองความมืดในฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้วหยุดหายใจอย่างว่าง่าย
ไม่กี่วินาทีต่อมาจมูกก็ถูกปล่อย
“นายโง่หรือไง ปิดจมูกแล้วใช้ปากไม่เป็นหรือไง” นิ้วของอวี้ฝานคลำไปที่คางของเขา แล้วตบเบาๆ สองที “หายใจสิ!”
กระทั่งคนใต้ร่างมีแรงกระเพื่อมอีกครั้ง อวี้ฝานถึงได้เก็บสายตากลับมา
คนข้างนอกเคาะเกี้ยวอยู่นานสองนานก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามา ความอดทนของอวี้ฝานถูกบดบี้หมดแล้ว มือที่กดดวงตาของเฉินจิ่งเซินคลายออกเล็กน้อย กำลังจะออกไปดูสักหน่อยว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
ชั่วขณะต่อมาม่านเกี้ยวก็ถูกมือขาวซีดคู่หนึ่งเลิกขึ้นดัง ‘พรึบ’ แสงไฟสีแดงจากด้านนอกส่องเข้ามาภายในเกี้ยว…
สองมือของตัวละครค้ำไว้ทั้งสองด้าน ใบหน้าผีที่น่ากลัวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าพุ่งเข้ามาตรงหน้าอวี้ฝานด้วยความคมชัดระดับสูง
เธออ้าปากสีเลือดและพุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงหวีดร้องแสบหู
ต่อให้อวี้ฝานใจกล้าแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดตายอย่างนี้ก็ยังคงทนไม่ไหวอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นตัวละครตัวนี้แค่ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่ามาแก้แค้น เสียงหวีดร้องดังกว่าก่อนหน้านี้สิบเท่า
บ้าเอ๊ย
มือของอวี้ฝานที่เพิ่งถอนออกมาได้เล็กน้อยถูกดึงกลับไปทันที เขาปิดตาของเฉินจิ่งเซินไว้อีกครั้ง
วินาทีต่อมาจู่ๆ แขนของเฉินจิ่งเซินที่ประคองอยู่ด้านหลังเขาก็งอขึ้นมาและปิดตาเขาไว้ด้วยเช่นกัน
ตัวละครผีผู้หญิงหวีดร้องเสียงแหลมอยู่นานมาก หลังจากนั้นถึงได้หยุดลง
เธอเลิก ‘ผม’ ด้านหน้าขึ้น จ้องพวกเขาหลายวินาที ถึงได้ถอยหลังช้าๆ โดยที่ยังค้างอยู่ในอารมณ์ เปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ‘หึ่ม’ พลางถอยออกไปจากที่นี่
เบื้องหน้าของอวี้ฝานมืดสนิท รู้สึกว่าเปลือกตาร้อนลวกเล็กน้อย ชั่วพริบตาสั้นๆ ในหัวของเขาก็ได้รับแต่ความอบอุ่นและกลิ่นจากฝ่ามือของเฉินจิ่งเซิน
ชั่วขณะที่ดนตรีระทึกขวัญหยุดลง เฉินจิ่งเซินก็ปล่อยมือออก
พอเปลือกตารู้สึกเย็นๆ อวี้ฝานก็พลันได้สติกลับมา เขาปล่อยมือเกือบจะในทันที จากนั้นงอตัวลุกขึ้น ใช้กำปั้นซัดม่านเกี้ยวแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว…
ก็เจอกับสามคนที่เหลือซึ่งออกมาตามหาพวกเขาพอดี
“ชิท ไฟนี่ก็เหมือนนรกเกินไปหน่อยไหม…” หวังลู่อันกลัวแต่ก็อดมองซ้ายมองขวาไม่ได้ เขาถูกไฟสีแดงบนพื้นทำเอาตาพร่า
อวี้ฝานยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ผิวพรรณและรองเท้าสีขาวล้วนถูกอาบย้อมด้วยสีแดงที่ไม่เป็นธรรมชาติไว้ชั้นหนึ่ง
จางเสียนจิ้งเห็นเขาก็ถามว่า “พวกนายไปไหนมา ฉันทำภารกิจแทนพวกนายหมดจนกลับมาแล้ว”
“…ถูกไล่ตาม” อวี้ฝานตอบอย่างรวบรัด
จางเสียนจิ้งร้องอ้อทีหนึ่ง “เด็กท็อปล่ะ”
อวี้ฝานไม่ตอบเธอ เพียงแค่ดึงหน้าแล้วหมุนตัวไป เลิกม่านในเกี้ยวขึ้นอย่างหยาบคาย “ออกมา ไม่มีผีแล้ว”
เฉินจิ่งเซินค้อมตัว ออกมาจากเกี้ยวมงคลอย่างเนิบช้า
จางเสียนจิ้ง “…?”
จางเสียนจิ้งกำลังรู้สึกว่าภาพฉากนี้แปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ทันใดนั้นบ่าก็ถูกคนตบเบาๆ
หวังลู่อัน “พี่จิ้ง ไปกันเถอะ ทำภารกิจสุดท้ายเสร็จก็ออกไปได้แล้ว”
หลังออกจาก Escape Room แล้วเถ้าแก่ก็เสิร์ฟน้ำเสิร์ฟชาให้พวกเขาด้วยตัวเอง พร้อมกับนำคิวอาร์โค้ดสแกนจ่ายเงินและแบบฟอร์มประเมินมาให้ บอกว่ากรอกแล้วจะลดราคาให้พวกเขายี่สิบเปอร์เซ็นต์
ขณะกรอกแบบฟอร์ม เถ้าแก่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปทางชายหนุ่มที่ตัวสูงที่สุด
นิ้วเรียวยาวของอีกฝ่ายกำปากกา กวาดตามองตัวเลือกบางข้อบนกระดาษด้วยสีหน้าเฉยเมย
‘คุณคิดว่าระดับความน่ากลัวของ ‘ผีออกเรือน’ คือ?’
อีกฝ่ายยกนิ้ว ก่อนติ๊กถูกในช่อง ‘น่ากลัวสุดๆ! ฉันตกใจแทบตาย!’ ซึ่งอยู่เป็นข้อสุดท้าย
ด้านล่างยังมีแถบโล่งๆ ที่ใช้เขียนฟีดแบ็กโดยเฉพาะ เฉินจิ่งเซินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเขียนลงไปในนั้นแบบหวัดๆ ว่า
‘พึงพอใจ’
เถ้าแก่เก็บแบบสำรวจเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะส่งลูกค้ากลุ่มนี้ออกไปด้วยสีหน้าเบิกบาน อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูด
ออกมาจากร้านฟ้าก็มืดแล้ว พวกเขาปรึกษากันครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะไปกินหม้อไฟ
หวังลู่อันความคิดเป็นใหญ่ พอนั่งลงก็หยิบเมนูอาหารขึ้นมาสั่งอย่างคล่องแคล่ว จางเสียนจิ้งชะโงกศีรษะไปเสนอความเห็นเป็นครั้งคราว
อวี้ฝานลุกขึ้นไปตักน้ำจิ้ม ตอนกลับมาก็เหลือแค่ที่นั่งข้างๆ เฉินจิ่งเซิน
“พี่จิ้ง หรือไม่เธอก็นั่งข้างเด็กท็อปเถอะ” หวังลู่อันมองจางเสียนจิ้งที่ลากเก้าอี้มานั่งตรงทางเดิน “พนักงานเสิร์ฟอาหารเดินไปเดินมา เดี๋ยวจะทำกระโปรงเธอสกปรกเอา”
“ไม่ล่ะ นั่งเองสบายกว่า” จางเสียนจิ้งถาม “อวี้ฝาน อยากกินเนื้ออะไร บอกให้หวังลู่อันสั่งให้นายสิ”
“แล้วแต่” อวี้ฝานนั่งลงตรงที่ว่างและวางน้ำจิ้มไว้บนโต๊ะ
พอสั่งอาหารเสร็จหวังลู่อันก็พิงหลังบนพนักโซฟา ก่อนพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่งแล้วประกาศว่า “ชาตินี้ฉันจะไม่มาเล่น Escape Room อีกแล้ว”
อวี้ฝานเอ่ย “บอกไว้ก่อนเลยว่าฉันจะไม่มีวันไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนนายกับจั่วควนอีก พวกนายสองคนดูแลกันเองเถอะ”
“นี่ อวี้ฝาน นายเองก็กลัวเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” จั่วควนอดไม่ได้ที่จะพูด
อวี้ฝาน “ฉัน? งั้นเหรอ”
“อย่าคิดปฏิเสธเลยน่า เราได้ยินกันหมดแล้ว ตอนทำภารกิจคู่อย่างสุดท้ายนั่นน่ะ เราได้ยินนายร้องตะโกนแต่ไกล” จั่วควนเลียนแบบเสียงของเขาแล้วร้องเรียก…“เฉินจิ่งเซิน! เฉินจิ่งเซิน!”
อวี้ฝาน “…”
จั่วควนเลียนแบบเสร็จ ยังไปยืนยันกับคนที่อยู่ตรงข้าม “ใช่ไหมเด็กท็อป”
อวี้ฝานฟาดตะเกียบลงบนชาม ชามเกิดเสียงดังกังวานทีหนึ่ง
เฉินจิ่งเซินจึงบอก “ฉันไม่เห็นได้ยิน”
จั่วควน “…”
อวี้ฝานคิดๆ ดูแล้วก็ยังคงไม่พอใจ เขาเพิ่งประเมินให้ Escape Room นั่นไปสองดาว ยังถือว่าสูง น่าจะให้สักครึ่งดาวก็พอ
หวังลู่อันกับจั่วควนคุยกันไปคุยกันมาก็เริ่มเถียงกันว่าใครขี้ขลาดที่สุดใน Escape Room เมื่อกี้นี้ อวี้ฝานข่มกลั้นความคิดที่อยากจะเพิ่มเฉินจิ่งเซินเข้าไปในตัวเลือก จึงหยิบแก้วน้ำขึ้นมากรอกน้ำเย็นๆ ใส่ปาก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคนข้างๆ เหลือบมองมาทางเขา
“เครื่องปรุงของนายหยิบผิดหรือเปล่า”
อวี้ฝานชะงักแล้วก้มหน้าดู “ผิดตรงไหน”
เฉินจิ่งเซินนิ่งเงียบราวกับนึกย้อนกลับไปครู่หนึ่ง “นายกินผักชีได้?”
ร้านหม้อไฟเสียงดังโหวกเหวก
อวี้ฝานยกแก้วค้างกลางอากาศ ถูกถามจนงงงัน จึงหันไปถาม “ทำไมจะไม่ได้”
เฉินจิ่งเซินสบตากับเขาหลายวินาที เนิ่นนานถึงได้เอ่ย “เปล่า คนรอบตัวน้อยมากที่จะชอบกินสิ่งนี้ แถมยังมีคนเคยแพ้สิ่งนี้ด้วย”
อวี้ฝานร้องอ้อทีหนึ่ง “ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยแพ้เหมือนกัน แต่หลังจากขึ้น ม.ต้น จู่ๆ ก็ดีขึ้นแล้ว”
เฉินจิ่งเซินหยิบผ้าขนหนูร้อนๆ ขึ้นมาเช็ดมือ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แบบนี้นี่เอง”
ร้านหม้อไฟตอนนี้คึกคักมาก นั่งรอสิบกว่านาทีอาหารถึงได้มาเสิร์ฟอย่างเอื่อยเฉื่อย
กินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ หวังลู่อันก็ยกถ้วยชาขึ้นมา “เด็กท็อป ครั้งนี้ขอบคุณนายมากที่ช่วยฉัน พอผลสอบออกพ่อฉันตื่นเต้นจนโอนเงินมาให้ฉันทันที…กลัวว่านายจะดื่มไม่ได้ วันนี้ฉันไม่มีเหล้า มา ฉันจะดื่มชาแทนเหล้าคารวะนายสักถ้วย ขอบคุณการอุทิศตนโดยไม่หวังผลตอบแทนของนาย!”
“ไม่เป็นไร” เฉินจิ่งเซินหยิบถ้วยชาและยกมือไปชนกับเขาทีหนึ่ง ตอนเก็บกลับมาก็เหลือบมองคนข้างๆ แวบหนึ่ง
อวี้ฝานถือตะเกียบตั้งใจจุ่มเนื้อโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
หวังลู่อันดื่มชารวดเดียวหมด จากนั้นก็มือบอนไปแตะคนที่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างๆ “จั่วควน เพื่อนยากคนนี้บอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกเราอยู่ ม.ปลายปีสอง กันแล้ว นายไม่คิดจะมุมานะด้วยกันกับพวกฉันบ้างจริงๆ เหรอ ถึงตอนนั้นเกิดฉันกับอวี้ฝานจูงมือกันเข้ามหา’ลัยขึ้นมา นายก็ไปอาชีวะที่อยู่ข้างๆ เองนะ”
จั่วควนสะบัดมือเขาออก “ไสหัวไปซะ นายจะเข้ามหา’ลัยได้กับผีน่ะสิ”
“ฉันจริงจังนะ นายลองตั้งใจเรียนดูสิ ฉันขยันมาสองอาทิตย์ก็รู้สึกว่าการเรียนก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นจริงๆ”
“พอได้แล้ว นายขยันไปเองเถอะ” ในที่สุดจั่วควนก็วางมือถือลง หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเรียกทีหนึ่ง “อวี้ฝาน”
อวี้ฝาน “ว่ามา”
“ห้องของพวกฉันมีนักเรียนหญิงขอวีแชตนายกับฉัน” จั่วควนว่า “ฉันแชร์คอนแทกต์นายให้เธอไปแล้ว”
การกินของอวี้ฝานหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดที่ครูประจำชั้นห้องข้างๆ พูดในออฟฟิศ
มาจริงๆ ด้วย
จิตใต้สำนึกของเขาคิดจะมองคนข้างๆ แต่เพิ่งเอียงหน้าไปเล็กน้อยก็รู้สึกตัวขึ้นมา
ฉันจะมองเขาไปทำไมกัน
อวี้ฝานขยับมุมใบหน้าให้มาอยู่ตรงๆ โดยไม่เผยร่องรอยแล้วขมวดคิ้ว “ฉันอนุญาตให้นายแชร์?”
“ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่เอานายแลกเปลี่ยน ต่อไปฉันก็จะไม่มีการบ้านให้ลอกแล้ว” จั่วควนกล่าวอย่างยินดี “ไม่ต้องร้อนใจไปหรอก ถ้าเธอแอดไปจริงๆ นายก็ปฏิเสธซะสิ ไม่ได้จะให้นายแอดให้ได้สักหน่อย”
อวี้ฝานคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาจึงก้มหน้าจุ่มหม้อไฟต่อ
กินดื่มกันจนอิ่ม หลังจากหวังลู่อันจ่ายเงินก็ถามเอาใบเสร็จจากพนักงาน เสร็จแล้วก็ถามว่ามีใครจะไปสูบบุหรี่ไหม
อวี้ฝาน “พวกนายไปสิ ฉันจะรอใบเสร็จอยู่ที่นี่”
ทั้งสามคนเพิ่งออกไป จู่ๆ โต๊ะที่อยู่ข้างหน้าก็โห่ร้องกันขึ้นมาอย่างครื้นเครง
สายตาของเฉินจิ่งเซินมองไปข้างหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย ดูเหมือนว่าโต๊ะข้างๆ จะมีคนสารภาพรักกัน และก็เหมือนจะสำเร็จแล้วด้วย หนึ่งชายหนึ่งหญิงกอดกันอย่างเขินอาย
มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดๆ เฉินจิ่งเซินเก็บสายตากลับมา หยิบออกมากวาดตามอง สีหน้าเรียบเฉย แล้วล็อกหน้าจอทันที
พนักงานส่งใบเสร็จให้ คนข้างๆ กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ดันเก้าอี้ออกและลุกขึ้น
เฉินจิ่งเซินลุกตาม รออยู่สองวินาทีถึงได้พบว่าคนตรงหน้ายืนนิ่งไม่ขยับ
อวี้ฝานละล้าละลังอยู่สักพักถึงได้เอ่ยปากเรียกเขา “เฉินจิ่งเซิน”
“อืม”
อวี้ฝานหยิบถ้วยชาขึ้นมา ชูไปตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างงุ่มง่าม
เฉินจิ่งเซินเลิกคิ้วทีหนึ่ง ก่อนจะหยิบถ้วยตาม
อวี้ฝานกำลังจะชนแก้วกับเขาก็เห็นว่าเขาหดมือกลับไปเล็กน้อยอย่างกะทันหัน จากนั้นก็หันหน้าไปมองโต๊ะข้างๆ แวบหนึ่ง
อวี้ฝานขมวดคิ้ว มองตามไปอย่างนึกสงสัย…
หนึ่งชายหนึ่งหญิงคล้องแขนกัน ดื่มเหล้าแลกแก้วท่ามกลางเสียงโห่ร้องของคนอื่นๆ
อวี้ฝาน “…”
อวี้ฝานยื่นมือไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วชนถ้วยกับเขาแรงๆ ชนจนชาในถ้วยของเฉินจิ่งเซินกระฉอกออกมา “นายอยากตายก็มองต่อสิ”
หลังจากกินอาหารเสร็จ พวกเขาก็แยกย้ายกันตรงที่เดิม
เมื่อมองส่งคนอื่นๆ ขึ้นรถแล้ว อวี้ฝานถึงได้หันหน้ากลับแล้วเดินไปข้างหลัง
ถนนสายนี้ห่างจากบ้านเขาไม่ไกล เดินสักสิบนาทีกว่าๆ ก็ถึงแล้ว
เขาหยิบมือถือออกมา โอนครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายของพวกเขาในวันนี้ให้หวังลู่อัน
หวังลู่อัน ? โอนเงินให้ฉันทำไม
– บอกว่าจะเป็นเจ้าภาพด้วยกันไม่ใช่หรือไง ฉันกับนาย แชร์ครึ่งๆ
หวังลู่อัน ฉันก็พูดไปงั้น ไม่เป็นไร พ่อโอนเงินให้ฉันเยอะมาก วันนี้ฉันเลี้ยงเอง!
แม้หวังลู่อันจะรู้จักอวี้ฝานมาไม่นานแต่ก็สนิทกับเขา และพอจะรู้สถานะทางครอบครัวของเขามานิดหน่อย
– รับไว้ ไม่ต้องพูดมาก
สุดท้ายหวังลู่อันคิดไปคิดมาก็รับไว้ดีกว่า
หวังลู่อัน งั้นครั้งหน้าตอนฉันบอกว่าจะเลี้ยงนายก็ไม่ต้องแชร์แล้วนะ
ถนนเล็กๆ ที่อวี้ฝานเดินสายนี้ไม่ค่อยมีคนสัญจรไปมาเท่าไรนัก เขาควักบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง กำลังจะจุด จู่ๆ มือถือก็ดังขึ้นทีหนึ่ง
ทำไมหวังลู่อันถึงได้ยึกยักขนาดนี้เนี่ย…
s [รูปภาพ]
โอเค มีคนที่ยึกยักกว่าอีก
อวี้ฝานคาบบุหรี่ที่ยังไม่ทันได้จุด กดเปิดรูปดูแวบหนึ่ง เป็นห้องโดยสารในรถที่มืดสลัวราวกับว่าถ่ายไปส่งๆ
– ?
s ในรถมืดมาก ฉันกลัวนิดหน่อย
– ??
– กลัวอะไร ข้างหน้ามีโชเฟอร์นั่งอยู่ไม่ใช่หรือไง
s มองแวบหนึ่ง โชเฟอร์หน้าตาเหมือนตัวละครตัวเมื่อกี้นี้เลย
– …
s วิดีโอคอลล์ได้ไหม
– ไม่ได้
s โอเค
อวี้ฝานกำลังจะโยนมือถือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง
s ไม่เป็นไร
s วันนี้ฉันแค่ถูกผีแตะ ตกใจนิดหน่อย ผ่านไปสักสองสามเดือนน่าจะดีขึ้น
s รบกวนนายแล้ว
“…”
อวี้ฝานคาบบุหรี่ จ้องถ้อยคำไม่กี่ประโยคนี้อยู่พักหนึ่ง
มือถือถูกเขาหยิบขึ้นมาแล้ววางลง วางลงแล้วก็หยิบขึ้นมาอีกที หลังจากยึกยักอยู่หลายครั้งเขาก็ใส่หูฟังด้วยสีหน้าหงุดหงิด กัดฟันกดวิดีโอคอลล์ไป
อีกฝ่ายรับในไม่กี่วินาที
เพราะเดินบนถนน อวี้ฝานจึงถือโทรศัพท์ไว้ต่ำมาก มุมไม่ค่อยดีนัก
เขาก้มหน้าชำเลืองมองเฉินจิ่งเซินแวบหนึ่ง ท่าทางหงุดหงิด “ขี้ขลาดขนาดนี้ หลับตอนกลางคืนยังต้องให้พ่อแม่นายมาเฝ้าอยู่ข้างๆ ด้วยหรือเปล่า”
เฉินจิ่งเซิน “ในบ้านฉันไม่มีคน”
อวี้ฝานหลุดปากออกไปโดยไม่คิด “ฉันไม่มีทางวิดีโอคอลล์เป็นเพื่อนนายจนหลับหรอก”
ในหูฟังเงียบไปหลายวินาที
อวี้ฝาน “…”
ฉันกำลังพูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย
“ไม่ต้องหรอก” สักพักเสียงของเฉินจิ่งเซินถึงดังออกมา อาจเป็นเพราะนั่งบนรถแท็กซี่นานแล้ว เสียงของเขาจึงล้านิดหน่อย “กลับบ้านไปมีฝานฝานอยู่เป็นเพื่อนฉัน”
อวี้ฝาน “หมาบ้านนายนี่เปลี่ยนชื่อได้ไหม”
“ยากหน่อยนะ เรียกมาหลายปีแล้ว”
อวี้ฝานซุกมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋ากางเกงพลางเดินบนถนน ได้เจอคนที่พาสุนัขออกมาเดินเล่นสองสามคนเป็นครั้งคราว เขาบังเอิญมองแวบหนึ่งก็รู้สึกว่าสุนัขเลี้ยงพวกนี้ไม่ได้ดูดีเท่าตัวที่บ้านเฉินจิ่งเซินตัวนั้น
พวกเขาคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อย ระหว่างนั้นยังเกิดความเงียบครึ่งนาทีเป็นพักๆ เมื่อในหูฟังไม่มีเสียงอวี้ฝานจะก้มหน้าดูแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก จากนั้นก็จะสบตากับเฉินจิ่งเซินผ่านมือถือ
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีอวี้ฝานก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยอย่างเย็นเยียบ “…ไม่ต้องมองฉันตลอดเวลา”
“อืม” เฉินจิ่งเซินละสายตาอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาถาม “นักเรียนหญิงคนนั้นแอดนายมาแล้วเหรอ”
“อะไร”
“นักเรียนหญิงห้องแปดคนนั้น”
“เปล่านี่”
เฉินจิ่งเซินเอ่ยอย่างเรียบเฉย “นายจะคบกับเธอเหรอ”
อวี้ฝานตะลึงงัน
อะไรกับใครนะ
เขาขมวดคิ้ว “ไม่หรอก ฉันไม่ได้รู้จักเธอสักหน่อย”
เฉินจิ่งเซินตอบอืมทีหนึ่ง เสียงเบาลงนิดหน่อย “งั้นนายชอบผู้หญิงแบบไหน”
“…ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” อวี้ฝานก้มหน้ามองเขาแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็พูดอีกครั้ง “ถึงยังไงตอนนี้ก็ไม่มีคนที่ชอบ”
“ในอนาคตก็คงมี”
“…”
“มีแฟนแล้ว งั้นก็วิดีโอคอลล์กับนายไม่ได้แล้วสินะ” เฉินจิ่งเซินเอ่ย “และก็นั่งด้วยกันไม่ได้แล้วด้วย”
อวี้ฝาน “ใครจะถือสาเรื่องนั้น…”
“อืม แต่ฉันไม่อยากเห็นนายนั่งกับคนอื่น”
“ฉันจะขอให้ครูเปลี่ยนที่นั่ง” รถแท็กซี่แล่นไปบนถนนสายเล็กๆ ไฟถนนสลัวๆ วูบวาบบนใบหน้าของเฉินจิ่งเซินสลับไปมา เขาหลุบตาลงและเสียงอ่อนลง
อวี้ฝาน “ฉัน…”
เฉินจิ่งเซิน “จดหมายที่ฉันเขียนให้นายก่อนหน้านี้…นายทิ้งไปเลยก็ได้ ฉันเขียนไม่นานมาก แล้วก็แก้แค่ไม่กี่ครั้ง”
อวี้ฝาน “…”
“ยังมีเกียรติบัตรที่อยู่บนบอร์ดข่าว…”
“ฉันแม่งบอกแล้วไงว่าไม่ได้จะมีแฟน!” อวี้ฝานสุดจะทน ยกโทรศัพท์มือถือมาไว้ที่ข้างปากแล้วพูดตัดบทเขา “แล้วก็ไม่ได้มีผู้หญิงที่ชอบด้วย! นายแม่งอยากวิดีโอคอลล์ก็กดมาหาฉันสิ! อยากนั่งข้างฉันนายก็นั่งไป! เกียรติบัตรอยากติดตรงไหนก็ติดไปสิ! พูดพล่ามร่ำไรอะไรอยู่ได้!”
อวี้ฝานตะโกนจนจบในรวดเดียวแล้วก็หอบหายใจหนักๆ หลายที พอเงยหน้าดูคนและสุนัขที่เดินผ่านไปมาต่างกำลังมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ
…ขืนฉันวิดีโอคอลล์กับเฉินจิ่งเซินบนถนนฉันก็เป็นหมาน่ะสิ
ในหูฟังไม่มีเสียงแล้ว
อวี้ฝานวกกลับเข้าไปในสวนสาธารณะข้างๆ อย่างรักษาหน้าตา หยิบมือถือขึ้นมาดูแวบหนึ่ง หน้าจอมืดสนิท เฉินจิ่งเซินบังกล้องเอาไว้
อวี้ฝานขมวดคิ้วแล้วร้องเรียกทีหนึ่ง “เฉินจิ่งเซิน?”
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น อีกฝ่ายถึงได้ตอบคำหนึ่งอย่างหนักอึ้ง “อืม”
อวี้ฝาน “ที่ฉันพูดเมื่อกี้นายได้ยินหรือเปล่า”
“ได้ยินแล้ว” เฉินจิ่งเซินเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ฉันรู้แล้ว”
จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ อวี้ฝานจ้องมือถืออย่างระแวง “เฉินจิ่งเซิน โผล่หน้านายออกมา”
“…”
วินาทีต่อมานิ้วที่ปิดอยู่หน้ากล้องก็ถูกเคลื่อนออกไป
เฉินจิ่งเซินวางโทรศัพท์มือถือเอียงลงนิดหน่อย จึงโผล่ออกมาเพียงใบหน้าครึ่งล่างของเขา
เฉินจิ่งเซินกดมุมปาก ประจันหน้ากับอีกฝ่ายเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นในที่สุดก็ยกมือขึ้นปิดปากอย่างเกร็งไว้ไม่ไหว ลูกกระเดือกกลิ้งเบาๆ หนึ่งที
สองที
สามที
อวี้ฝาน “…”
ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้นี้ตนเองตะโกนว่าอะไรบ้างถึงสามารถทำให้เฉินจิ่งเซินหัวเราะแบบนี้ได้
“เฉินจิ่งเซิน ขืนหัวเราะอีกนายตายแน่” เขาเอ่ยอย่างน่าสะพรึงกลัว “ถือโทรศัพท์ให้มันดีๆ ซิ”
“อืม ไม่ได้ตั้งใจ”
เฉินจิ่งเซินยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนสบตากับอีกฝ่ายสองวินาที
เฉินจิ่งเซินหันหน้ามองไปนอกหน้าต่างแล้วก็มองกลับมาอย่างรวดเร็ว
เขาดูเหมือนกลั้นไว้ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังเก็บไว้ไม่อยู่ จึงหลุบตาลง เสียงแหบพร่าเพราะกลั้นหัวเราะ “อวี้ฝาน ฉันชะ…”
จู่ๆ คำพูดข้างหลังก็ไม่มีเสียงแล้ว
อวี้ฝานยืนอยู่ในสวนสาธารณะอย่างทึ่มทื่อ ยกมือถือรอเขาอยู่สักพัก หลังจากนั้นจู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมา รีบกดปุ่มวางสายทันทีก่อนที่เฉินจิ่งเซินจะพูดคำต่อไปออกมา!
ตู๊ด วางสายวิดีโอคอลล์แล้ว
สวนสาธารณะในตอนค่ำมีลม
หัวใจของอวี้ฝานเต้นอย่างหนักหน่วงราวกับแนบอยู่ที่แก้วหู ทั้งศีรษะกำลังไหม้
เขาสงบสติอยู่ที่เดิมสักพัก ขยี้หน้าทีหนึ่ง จากนั้นหยิบบุหรี่ที่คาบไว้ในปากเมื่อกี้นี้ออกมา จุดไฟให้ตัวเองอย่างสั่นระริก แล้วเริ่มเดินวนรอบต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ
จะว่าไปก็แปลกมากจริงๆ
ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เฉินจิ่งเซินไม่ได้พูดจนจบประโยค แต่อวี้ฝานกลับรู้สึกว่าตนเองได้ยินเข้าให้แล้ว
เขาได้ยินเฉินจิ่งเซินที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่ รับลมริมหน้าต่าง ด้านหน้ายังมีสายตาแปลกๆ จากคนขับรถอีกด้วย
เฉินจิ่งเซินนั่งพูดอยู่ท่ามกลางไฟถนนที่สว่างวูบวาบ
อวี้ฝาน ฉันชะ…
ชอบนายมากจริงๆ นะ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.