ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 40
ทันใดนั้นเฉินจิ่งเซินก็ส่งข้อความมาถามว่าเขาวางสายทำไม
วางสายทำไมน่ะเหรอ นายว่าไงล่ะ
สายตาที่นายมองฉันนั่นบริสุทธิ์ใจหรือเปล่าล่ะ
แต่อวี้ฝานไม่สามารถพูดคำพูดหน้าไม่อายพรรค์นั้นที่ว่าฉันคิดว่านายจะสารภาพรักกับฉันออกไปได้ เพราะฉะนั้นเขาไม่ตอบกลับไปเลยเสียดีกว่า
เฉินจิ่งเซินเองก็ไม่ได้ถามอีก เพียงแต่หลังจากผ่านไปสิบกว่านาทีก็ส่งรูปสุนัขมาสองสามรูป
อวี้ฝานนั่งลงสูบบุหรี่ไปพลางตากลมยามค่ำไปพลางอยู่ใต้ต้นไม้ ตากจนตนเองใจเย็นลงแล้วถึงได้เปิดดูทีละรูปจนหมด ก่อนจะลุกขึ้นดับบุหรี่แล้วกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้านอวี้ฝานเห็นหน้าต่างบานใหญ่ยังคงเปิดไฟสว่างอยู่ เสียงโทรทัศน์ด้านในดังจนได้ยินกันทั้งอาคาร
อวี้ข่ายหมิงกำลังนั่งคุยกับเพื่อนนักพนันผ่านข้อความเสียงพลางดูการแข่งขันฟุตบอลอยู่บนโซฟา พอเห็นอวี้ฝานเข้ามา เขาก็ปิดสปีกเกอร์โฟนของตนทันที เท้าที่พาดไขว้กันบนโต๊ะชาก็ยกวางลงโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดกระดูกยืด รูปร่างสูงกว่าเขาแล้ว
ปกติเวลาเมาหรือข้างตัวมีคนอยู่ด้วย อวี้ข่ายหมิงจะไม่ค่อยกลัวเขา แต่เมื่อตนเองอยู่ในสภาพมีสติสัมปชัญญะ อวี้ข่ายหมิงจะไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องเขาก่อน
อย่างไรเสียประสบการณ์สองปีที่ผ่านมานี้ได้บอกเขาว่าความเป็นไปได้ที่จะชนะในการสู้ตัวต่อตัวมีไม่มากจริงๆ
หลังจากเข้ามาในบ้านอวี้ฝานก็กวาดตามองโทรทัศน์แวบหนึ่ง ก่อนโยนกุญแจไว้บนตู้รองเท้าแล้วเดินเข้ามาโดยไม่ส่งเสียง
อวี้ข่ายหมิงรีบวางเท้าลงทันที “ฉันขอเตือนแกนะว่าอย่าท้า…”
อวี้ฝานหยิบรีโมตคอนโทรลขึ้นมา ลดระดับเสียงจาก 68 ลงไปถึง 18 จากนั้นก็โยนรีโมตคอนโทรลกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง แล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง ระหว่างนี้ไม่มองอีกฝ่ายเลยสักแวบเดียว
ประตูด้านหลังปิดลง อวี้ข่ายหมิงหันกลับไปมองปราดหนึ่งอย่างอกสั่นขวัญแขวน ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาคุยกับเพื่อนนักพนันต่อ
“ฉันยังอยู่ ไม่ได้หลับ เมื่อกี้ลูกชายฉันเพิ่งกลับมา…ไม่ได้ทะเลาะ ไม่รู้ว่าคืนนี้ไอ้เด็กเวรนั่นไปทำอะไรมา หน้าตาถึงได้ดูแจ่มใส”
วันต่อมาเวลาสามทุ่มอวี้ฝานนั่งแกว่งปากกาอยู่หน้าโต๊ะรอเฉินจิ่งเซินส่งคลิปวิดีโออธิบายโจทย์มา ผลคือไม่ได้รับคลิปวิดีโอ เพราะอีกฝ่ายส่งคำเชิญวิดีโอคอลล์มาหาเขาโดยตรงเลย
อวี้ฝานมึนงงครู่หนึ่ง กระทั่งคำเชิญกำลังจะตัดสายไปโดยอัตโนมัติถึงได้กดรับ
เฉินจิ่งเซินพาดผ้าขนหนูไว้บนบ่า หลุบตาลงพลิกกระดาษข้อสอบในมือ
แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะฉายผ่านบนแก้มเขา ฉาบสีโทนเย็นชั้นหนึ่ง
เขาถามเหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่ทั้งสองคนฟิตเพื่อสอบกลางภาค “โจทย์ปรนัยไม่กี่ข้อในข้อสอบของวันหยุดนี้ไม่เลวเลย ทำสักหน่อยไหม”
อวี้ฝานกำปากกาแน่น สักพักถึงได้ตั้งโทรศัพท์มือถือไว้ด้านข้าง แล้วดึงม้วนข้อสอบออกมาอย่างเงียบๆ “นายน่ารำคาญชะมัด…ช่างเถอะ ถึงยังไงก็น่าเบื่อ สุ่มๆ ทำสักสองสามข้อก็แล้วกัน”
เวลาเฉินจิ่งเซินอธิบายโจทย์จะเปิดกล้องหลัง
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็อธิบายมาถึงโจทย์ข้อใหญ่สองสามข้อสุดท้ายของข้อสอบ
โจทย์ข้อใหญ่สองสามข้อนี้ค่อนข้างยาก อวี้ฝานเจอจุดที่ไม่เข้าใจก็อดเหม่อไม่ได้
เสียงทุ้มต่ำของเฉินจิ่งเซินดังอยู่ในหูฟัง อวี้ฝานควงปากกาฟังอย่างใจลอย จู่ๆ ก็นึกถึงเค้าโครงรอยยิ้มบางๆ ของอีกฝ่ายตอนนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถเมื่อคืนขึ้นมา
“เข้าใจหรือยัง” เฉินจิ่งเซินถาม แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงช้อนตาขึ้นมา “อวี้ฝาน?”
อวี้ฝานใจกระตุกทีหนึ่ง เท้าคางแล้วพลันเงยหน้าขึ้นมา “อ้อ ไม่ได้ฟัง…”
ปลายสายมีเสียงลั่นเอี๊ยดที่ทั้งสั้นและยาวดังขึ้นมาขัดจังหวะคำพูดเขา
ตอนแรกอวี้ฝานนึกว่าตนเองหูฝาด จนกระทั่งเขาเห็นว่าเฉินจิ่งเซินก็หันหน้ามองไปทางหนึ่งอย่างกะทันหัน ก่อนจะตามมาด้วยแสงไฟวาบผ่านบนใบหน้าเขา เหมือนจะเป็นไฟรถ
“ไปโรงเรียนค่อยคุยนะ” สักพักเฉินจิ่งเซินก็มองกลับมาอีกครั้งแล้ววางปากกาลง “ฉันมีเรื่องนิดหน่อย ต้องวางแล้ว”
อวี้ฝานตอบอืมทีหนึ่งโดยอัตโนมัติ วินาทีต่อมาวิดีโอคอลล์ก็ถูกอีกฝ่ายกดวางสายไปแล้ว
อวี้ฝานพิงหลังบนพนักเก้าอี้ ขมวดคิ้วพลางจ้องหน้าต่างแชตของเฉินจิ่งเซินครู่หนึ่ง
เขารู้สึกไปเองหรือเปล่านะ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าก่อนวางสายเฉินจิ่งเซินดูท่าทางไม่พอใจนิดหน่อย
ทั้งๆ ที่ยังคงทำหน้าตายอยู่แท้ๆ
ทำโจทย์มาครึ่งค่อนวันแล้ว อวี้ฝานหยิบมือถือกับบุหรี่แล้วลุกไปตากลมที่ระเบียง
เขตที่พักเก่าในตอนกลางดึกยังนับว่าเงียบสงบ
อวี้ฝานนั่งสูบบุหรี่พลางเล่นมือถืออยู่ที่ระเบียง ระหว่างที่วิดีโอคอลล์นั้นก็ได้รับข้อความจากวีแชตหลายข้อความ ล้วนเป็นข้อความที่หวังลู่อันส่งมาถามว่าทำไมถึงคอลล์หาเขาไม่ติด
อวี้ฝานตอบไปว่าเมื่อกี้กำลังยุ่ง หวังลู่อันไม่ได้ตอบกลับมา คาดว่าคงไปเล่นเกมแล้ว เขาจึงกดเปิดกลุ่มแชตที่แท็กชื่อเขามาไม่หยุดก่อนหน้านี้แล้วเลื่อนแชตขึ้นไป
หวังลู่อัน คอลล์ไปหาอวี้ฝานไม่ติด ถามนักกีฬาของห้องพวกนายคนนั้นหน่อยซิ
จั่วควน คอลล์ไม่ติดเหมือนกัน แม่ง คนกลุ่มนี้เป็นอะไรกันไปหมด อยากเล่นเกมก็ไม่ครบตี้สักที @- ฉันลองดูอีกที
จูซวี่ ฉันมาแล้ว หวังลู่อันแม่งฉันไม่มีชื่อแซ่หรือไง คำก็นักกีฬาสองคำก็นักกีฬา…ฉันเพิ่งวิดีโอคอลล์กับเพื่อนร่วมโต๊ะมาน่ะ
จั่วควน แฟนก็บอกว่าแฟนสิ ยังจะเพื่อนร่วมโต๊ะอีก? เพื่อนร่วมโต๊ะบ้านไหนวิดีโอคอลล์ทุกคืนตอนสองทุ่มเวลาเดิมเป็นชั่วโมงเหมือนกับพวกนายบ้าง
นิ้วของอวี้ฝานหยุดชะงัก “…”
วิดีโอคอลล์แล้วทำไม ไม่วิดีโอคอลล์แล้วจะอธิบายโจทย์ยังไง
เขากวาดตามองรูปโพรไฟล์ตัวละครในเกมของจั่วควนแวบหนึ่ง คิดในใจว่า ช่างเถอะ คนที่ไม่ตั้งใจเรียนอย่างนายไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ
หวังลู่อัน พวกนายเจอหน้ากันที่โรงเรียนทุกวันยังไม่พออีก? หนึ่งชั่วโมงทุกๆ คืน…ไม่รู้สึกว่าเปลืองเวลาหรือไง
จูซวี่ ก็โอเคนะ ยังไงซะฉันกลับบ้านก็ไม่มีอะไรทำ ถ้าจะให้พูดจริงๆ ความจริงเรื่องนี้น่ะนะ ค่อนข้างเปลืองบุหรี่มากกว่า
หวังลู่อัน ?
จูซวี่ คุยสนุกแล้วก็อยากสูบบุหรี่ คุยจนเคลิ้มแล้วก็อยากสูบบุหรี่ เธอไม่มีเรื่องคุยแล้วก็ยังอยากสูบอยู่ดี…เฮ้อ มีความรักนี่มันน่ารำคาญจริงๆ
จั่วควน ไสหัวไปซะนายน่ะ ใครอยากฟัง? ล็อกอินสิ
นิ้วที่กำลังคีบบุหรี่ของอวี้ฝานสั่นระริกน้อยๆ
สักพักเขาก็ปิดมือถือแล้วโยนไปด้านข้าง คิดในใจว่า ฉันก็แค่อยากสูบบุหรี่เฉยๆ ไม่ได้เกี่ยวกับเฉินจิ่งเซินเลยสักนิด
สูบเสร็จไปมวนหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่พอ เขายังอยากจะต่ออีกสักมวน แต่เมื่อยื่นมือเข้าไปหยิบซองบุหรี่ถึงได้พบว่ามันว่างเปล่าแล้ว
อวี้ฝานนึกขึ้นได้อย่างรู้ตัวช้า เมื่อคืนตนเองเดินวนรอบต้นไม้ต้นนั้นแล้วสูบบุหรี่อยู่นานสองนาน
อวี้ฝาน “…”
เขาขยำกล่องบุหรี่ในมือเป็นก้อนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนออกแรงขว้างไปข้างหน้า โยนเข้าไปในถังขยะที่อยู่ข้างประตู
เปิดเรียนวันจันทร์เรื่องที่ติงเซียวถูกลงโทษแพร่กระจายไปทุกห้องของชั้นมัธยมปลายปีสอง
เจ้าตัวไม่ได้มาโรงเรียน คนที่รู้จักกับเขาบอกว่าครอบครัวเขากำลังจัดการเรื่องย้ายโรงเรียนให้เขา
แต่อวี้ฝานไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ปล่อยให้หวังลู่อันกับจั่วควนพูดพล่ามอยู่ข้างหูเขา ไม่ได้ฟังอย่างละเอียดเลยสักคำ
เขาเท้าคางด้วยมือข้างเดียว ฉวยโอกาสตอนที่หวังลู่อันกับจั่วควนเถียงกันไปมาอย่างเป็นบ้าเป็นหลังกับคำถามเดิมๆ ที่ว่าใครขี้ขลาดที่สุด สายตาก็ชำเลืองมองไปทางคนที่ขี้ขลาดที่สุดตัวจริงคนนั้น
เฉินจิ่งเซินนั่งตัวตรงเหมือนอย่างเคย หลุบตาลงพลางเขียนคำนวณบนกระดาษทดอย่างเงียบๆ
ดูท่าทางไม่ได้คิดจะอธิบายเหตุผลที่วางสายวิดีโอคอลล์เมื่อคืนนี้ และก็ไม่มีทีท่าว่าจะอธิบายโจทย์ข้อใหญ่ข้อสุดท้ายในข้อสอบให้เขา
ลืมไปแล้ว?
ช่างเถอะ ไม่อยากสอนก็ไม่ต้องสอน
อวี้ฝานเก็บสายตากลับมา หงุดหงิดเล็กน้อยโดยไม่มีสาเหตุ
กระทั่งครูฟิสิกส์เข้ามาในห้องเรียน ในที่สุดเพื่อนยากที่เอะอะเสียงดังทั้งสองก็จากไป
อวี้ฝานพิงเก้าอี้แล้วก้มตัวลงกึ่งหนึ่ง ยื่นมือเข้าไปในลิ้นชักอยากจะคลำหาหนังสือเรียน…จากนั้นก็เห็นหนังสือเล่มใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเล่มหนึ่ง
หนังสือ ‘นกโง่บินก่อน’ ฉบับแอดวานซ์ สีดำ
พลิกเปิดหน้าแรก บนนั้นมีชื่อของเขา เป็นลายมือเพื่อนร่วมโต๊ะของเขา
“ฉันไฮไลต์โจทย์ข้อที่สำคัญในนั้นไว้แล้ว” เฉินจิ่งเซินที่พิงพนักเก้าอี้เหมือนกับเขาเหลียวมามองเขา “ข้อสอบเมื่อวาน คืนนี้ฉันจะอธิบายให้นายฟังต่อนะ?”
อวี้ฝานหันไปสบตากับอีกฝ่ายแวบหนึ่ง อารมณ์ก็เบาลงอย่างบอกไม่ถูก
เขาหลุบตาลง กลับมาอยู่ในสภาพเฉื่อยชาเหมือนปกติก่อนเอ่ย “…อ้อ”
เลิกคาบแรก ครูฟิสิกส์เพิ่งเดินออกไป จวงฝ่างฉินก็เข้ามาติดๆ
เธอถือโอกาสตอนที่นักเรียนในห้องต่างยังนั่งอยู่ประจำที่ประกาศว่าวันพฤหัสบดีนี้ตอนบ่ายจะจัดประชุมผู้ปกครอง
“ทุกคนจำเป็นต้องแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ ถ้าผู้ปกครองของใครมีธุระมาไม่ได้ก็ให้ผู้ปกครองโทรแจ้งครูก่อน” จวงฝ่างฉินกล่าวจบก็กวาดตามองไปแถวหลังของห้องแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “โอเค แค่นี้แหละ เลิกคาบแล้วก็พักผ่อนเถอะ…อวี้ฝาน เธอตามครูมาที่ออฟฟิศด้วย”
อวี้ฝานเดินตามหลังจวงฝ่างฉินไปยังออฟฟิศอย่างว่าง่าย
จวงฝ่างฉินหันหลังมามองเขาแวบหนึ่ง “ประชุมผู้ปกครองครั้งนี้…”
“ไม่มีใครมาหรอก” อวี้ฝานพูดตรงๆ
“…”
อยู่ในความคาดหมาย ไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด
อันที่จริงเมื่อก่อนจวงฝ่างฉินเองก็เคยพยายามมาแล้ว
เธอเคยคุยกับอวี้ฝาน แต่เขาเป็นคนดื้อด้านทิฐิสูง ต่อมาเธอข้ามหน้าอวี้ฝาน โทรหาผู้ปกครองของเขาโดยตรง โทรไปสองวันล้วนไม่มีคนรับ กระทั่งครั้งสุดท้ายที่โทรติด อีกฝ่ายก็กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า…‘คุณก็รู้ว่าสภาพของบ้านเราเป็นยังไง ผมไม่ไปหรอก เรื่องของโรงเรียนไม่เกี่ยวกับผม’
ดังนั้นจวงฝ่างฉินจึงไม่รั้นอีกต่อไป
“งั้นก็ช่างเถอะ ในเมื่อครั้งนี้ผู้ปกครองเธอไม่มาร่วม เธอเองก็ไม่ต้องไปรับคนที่หน้าประตู ถึงตอนนั้นมาช่วยครูดูแลต้อนรับผู้ปกครองก็แล้วกัน”
“…”
อวี้ฝานนึกว่าตนเองฟังผิดไป “ผม? ไม่เหมาะหรอก ถึงตอนนั้นพอประชุมผู้ปกครองเสร็จ คนในห้องก็จะถูกผู้ปกครองย้ายไปครึ่งหนึ่งสิไม่ว่า”
“จริงจังหน่อย” จวงฝ่างฉินหยิบแผนการสอนมาตีเขา “เธอไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่ถือตารางลงทะเบียนยืนอยู่หน้าห้องเรียน แล้วให้ผู้ปกครองเซ็นชื่อก็พอ”
จวงฝ่างฉินพูดถึงเรื่องนี้สี่วันติด อวี้ฝานก็ต่อต้านตลอดสี่วันเช่นกัน
แล้วก็จนปัญญาเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัส เพิ่งเลิกคาบแรกจวงฝ่างฉินยังคงเอาตารางลงทะเบียนยัดใส่อกเขาเป็นการบังคับ ให้เขาจัดการให้เรียบร้อยแล้วไปรับแขกที่หน้าประตู
ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าการประชุมผู้ปกครองจะเริ่ม
นักเรียนหลายคนในห้องกำลังจัดเตรียมห้องเรียน อวี้ฝานถือตารางลงทะเบียนแผ่นนั้น ยืนพิงราวระเบียงอย่าซังกะตาย มองบรรยากาศครึกครื้นด้านล่างอาคาร
อาคารเรียนของพวกเขาทำเลดีมาก พอยืนตรงระเบียงก็จะสามารถมองเห็นประตูใหญ่ของโรงเรียนรวมถึงถนนที่อยู่ข้างนอกได้ ตอนนี้ถนนด้านนอกโรงเรียนนั้นติดจนแออัด ล้วนเป็นรถของผู้ปกครอง
เฉินจิ่งเซินหิ้วกระเป๋าเป้วางไว้บนโต๊ะอเนกประสงค์ ช้อนตามองแล้วพูดกับเขา “ฉันจะลงไปแล้ว”
อวี้ฝานนึกว่าอีกฝ่ายจะลงไปรับผู้ปกครองที่ชั้นล่าง จึงหันกลับไปตอบรับแบบส่งๆ
ใครจะคิดว่าสิบนาทีต่อมาเขาจะเห็นว่าบนแขนของเพื่อนร่วมโต๊ะของเขามีปลอกแขนสีแดงติดอยู่ บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘ตัวแทนนักเรียนดีเด่น’ เดินไปยังประตูใหญ่ของโรงเรียนและยืนอยู่กับหูผาง
อวี้ฝาน “…เขากำลังทำอะไรอยู่น่ะ”
จางเสียนจิ้งชำเลืองมองไปข้างล่างตามสายตาของเขา “เฉินจิ่งเซิน? ไปยืนเฝ้ายามน่ะสิ ม.ปลายปีหนึ่ง ปีสอง ปีสาม คัดไปยืนที่ประตูใหญ่ชั้นละคน หูผางก็เลยเลือกเด็กท็อป…เขาไม่ได้บอกนายเหรอ”
อวี้ฝานกำลังจะพูดว่าไม่ จู่ๆ ก็นึกถึงตอนวิดีโอคอลล์เมื่อคืน เขาพูดเรื่องที่ตนเองต้องไปเฝ้าประตูแล้วรอบหนึ่ง
ตอนนั้นเฉินจิ่งเซินแกว่งปากกาในมือ บอกว่าถ้าอย่างนั้นเฝ้าด้วยกันสิ
…เขายังนึกว่าเฉินจิ่งเซินหมายถึงจะยืนฟังการประชุมผู้ปกครองด้วยกันตรงทางเดินซะอีก
“อ้อ…ดูเหมือนจะเคยพูด” อวี้ฝานมองคนสองคนที่อยู่ข้างๆ “ทำไมพวกนายไม่ลงไปรับคนล่ะ”
จางเสียนจิ้งเล่นมือถือพลางพูด “ไม่รีบ แม่ฉันยังติดอยู่ตรงทางเข้าบ้านอยู่เลย”
หวังลู่อัน “พ่อฉันยังไม่ออกจากบ้านเลย”
จางเสียนจิ้ง “ทำไม เขาจะมาช่วยเก็บกวาดห้องเรียนหรือไง”
“เธอจะไปเข้าใจอะไร! พ่อฉันขี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษคันนั้น โคตรเร็วเลย ทะลุผ่านกระแสการจราจร ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงแล้ว” หวังลู่อันมองลงไปอย่างได้ใจ “เธอดูสถานการณ์ข้างล่างสิ ต้องติดไปถึงเมื่อ…เชี่ย!!!”
อวี้ฝานถูกเขาตะโกนใส่จนต้องขมวดคิ้ว
เขาเสียงดังเกินไป จั่วควนที่กวาดทางเดินอยู่ห้องข้างๆ ยังเงยหน้าขึ้นมาด่าเขาประโยคหนึ่ง “นายร้องทำบ้าอะไรเนี่ย”
หวังลู่อัน “เชี่ย! พวกนายดูรถคันนั้น! นั่นแม่งเบนต์ลี่ย์ไม่ใช่หรือไง”
ตุ้บ! จั่วควนโยนไม้กวาดทิ้งลงบนพื้นแล้ววิ่งมาทันที
“เชี่ย จริงด้วย…”
จางเสียนจิ้งไม่สนใจ “รถประเภทนี้ราคาเท่าไหร่”
“ไม่มาก” หวังลู่อันที่ชอบรถมาตั้งแต่เด็กเลียริมฝีปากอย่างบ้าคลั่ง “คันนี้ดูจากทรงรถ…คงไม่กี่สิบล้านมั้ง”
จูซวี่ที่ตามมาก็หอบลมหายใจเย็นๆ เฮือกหนึ่ง “เชี่ย โรงเรียนเรา…เสือซุ่มมังกรซ่อน*…เฮ้ย รถจอดแล้ว เร็วเข้า ดูหน่อยซิว่าบ้านใครกันรวยขนาดนี้!”
อวี้ฝานไม่ค่อยสนใจของพวกนี้เท่าไรนัก เขาจ้องแผ่นหลังของคนที่สูงกว่าคนอื่นๆ ช่วงหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างคนนั้น คิดในใจว่าทำไมเฉินจิ่งเซินถึงยืนได้ทึ่มทื่อขนาดนั้นนะ
ผู้ปกครองที่เดินผ่านแทบจะมองไปทางเฉินจิ่งเซินกันทุกคน โดยใช้สายตาที่มองลูกรักในฝันประเภทนั้น
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ในที่สุดคนที่ยืนอยู่โยงก็ขยับ
เห็นเพียงเฉินจิ่งเซินหันหน้าไปพูดอะไรสักอย่างกับหูผาง หูผางพยักหน้า โบกมือเป็นนัยว่าให้เขาไป
อวี้ฝานมองเฉินจิ่งเซินเดินออกจากประตูโรงเรียน ทะลุผ่านฝูงคนที่กรูเข้าประตูโรงเรียนมา เดินไปถึงด้านข้าง…รถหรูคันหนึ่ง
ผู้หญิงที่มีบุคลิกทะมัดทะแมงและใจกว้างคนหนึ่งลงมาจากที่นั่งด้านหลังของรถหรู มองเห็นหน้าไม่ชัด เมื่อเธอเห็นเฉินจิ่งเซินก็ยกมือขึ้นจัดระเบียบปลอกแขนของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
จั่วควน “เชี่ย! เด็กท็อป!”
จูซวี่ “เชี่ย สุดยอด”
“เชี่ย เศรษฐีอยู่ข้างๆ ฉันมาตลอดเหรอเนี่ย” หวังลู่อันสะกิดไหล่คนข้างๆ พูดอย่างตกตะลึง “…เฮ้ย ถ้าเธอเป็นแฟนกับเด็กท็อปได้ล่ะก็ งั้นก็จะได้แต่งเข้าบ้านเศรษฐีเลยนะ!!”
“ไสหัวไปซะ” อวี้ฝานพูดโดยแทบจะเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ “นายอยากแต่งงานก็ไปแต่งเองสิ ฉันไม่แต่งด้วยหรอก”
อวี้ฝานที่กำลังหอบตารางลงทะเบียนแผ่นนั้นพูดจบ ตรงระเบียงทางเดินก็พลันเงียบลงทันที
กระทั่งเข็มตกก็ยังได้ยิน
อวี้ฝานรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ พลันหนังตากระตุกสองที หันหน้าไปด้วยความสงสัย…
เห็นเพียงหวังลู่อันแตะไหล่ของจางเสียนจิ้ง ปากยังคงอ้าค้างอยู่
คนในเหตุการณ์ต่างยืนนิ่ง จ้องเขาไม่วางตาด้วยความงุนงงและตื่นตกใจ
* เสือซุ่มมังกรซ่อน หมายถึงผู้มีความสามารถซุกซ่อนอยู่แต่ยังไม่ถูกค้นพบ หรือผู้ที่เก็บงำความสามารถเอาไว้ไม่เปิดเผย
บทที่ 41
เป็นการสบตากันเนิ่นนานและเงียบเชียบ
ไม่รู้ว่าเวลาหยุดนิ่งไปนานแค่ไหน กระทั่งเกิดเสียง ‘ตุบ’ ไม้กวาดที่อยู่ในมือจูซวี่หล่นลงพื้น เสียงเอะอะโวยวายรอบๆ ถึงได้เข้าหูอีกครั้ง ในที่สุดหวังลู่อันก็ได้สติกลับคืนมา
ปากที่อ้าอยู่นานของเขาในที่สุดก็เปล่งเสียงออกมา “อา นี่…ฉันไม่ได้พูดกับนายสักหน่อย ฉันกำลังพูดกับพี่จิ้ง…”
อวี้ฝาน “…”
อวี้ฝานกวาดตามองพวกเขาที่อยู่รอบๆ ตื่นตกใจกันจนไม่มีปฏิกิริยา แล้วหลุบตาลงมองมือของหวังลู่อันที่วางอยู่บนไหล่ของจางเสียนจิ้ง
ระหว่างนั้นไม่กี่วินาทีความไม่พอใจและการต่อต้านการแต่งงานเหล่านั้นในความรู้สึกเขาก็ค่อยๆ หายไปทีละนิด หว่างคิ้วคลายออก ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงความงุนงงที่แข็งกระด้าง
ตารางลงทะเบียนอันน่าสงสารที่อยู่ในมือถูกกำไว้จนดัง ‘กรอบแกรบ’
สักพักอวี้ฝานถึงได้เปล่งคำหนึ่งออกมาจากลำคอ “นาย…เมื่อกี้ก็…แตะฉันเหมือนกัน”
“…?” หวังลู่อันมองระยะห่างระหว่างตนกับอวี้ฝานแวบหนึ่ง…ก็พอจะยัดจั่วควนมายืนได้อีกคนหนึ่งเลยมั้ง “จริงเหรอ”
“ไม่อย่างงั้นล่ะ?” อวี้ฝานจ้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ดูแลมือนายไว้ให้ดีๆ”
“…โอเค”
สมองของพวกผู้ชายคิดเรียบง่าย พูดสองประโยคก็ปล่อยผ่านแล้ว อวี้ฝานพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งโดยไม่เผยร่องรอย แต่พอละสายตาก็ดันสบสายตาเข้ากับจางเสียนจิ้ง
จางเสียนจิ้งกอดอกมองเขา ประเดี๋ยวเลิกคิ้ว ประเดี๋ยวขมวดคิ้ว
ต่อให้ถูกหวังลู่อันแตะเข้าจริงๆ ก็น่าจะด่าหรือไม่ก็ซัดหวังลู่อันสักยกสิ ไม่ใช่ ‘ฉันไม่แต่ง’ หรอกมั้ง
จางเสียนจิ้งอ้าปาก ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานตัวแข็งทื่อสุดๆ ราวกับมีหนามปักหลัง
ดีที่ชั่วขณะต่อมามือถือที่เธอกำลังถืออยู่ดังขึ้นมาพอดี
ความคิดถูกขัดจังหวะ จางเสียนจิ้งรับสาย “ฮัลโหล แม่…แม่ถึงแล้วเหรอ ทำไมถึงแล้วล่ะ เมื่อกี้ยังอยู่ที่ทางเข้าบ้านอยู่เลยไม่ใช่หรือไง…รู้แล้ว หนูจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ”
หวังลู่อันดูเวลาแวบหนึ่ง “พ่อฉันเองก็น่าจะใกล้ถึงแล้วเหมือนกัน ไปด้วยกันเถอะ”
หลังจากจางเสียนจิ้งไปแล้ว คนของห้องข้างๆ ที่มาร่วมวงสนุกสองคนนั้นก็ถูกครูประจำชั้นเรียกกลับไปกวาดทางเดินต่อ
ข้างกายสงบลง อวี้ฝานก็งอแขนวางบนราวระเบียง ก่อนจะซบหน้าผากลงไป หลุบศีรษะลงต่ำ มืออีกข้างสอดอยู่ในเรือนผมของตน ทึ้งอยู่หลายทีด้วยความอับอาย
แม่งเอ๊ย เมื่อกี้ฉันเป็นบ้าหรือไง…
เป็นเพราะเฉินจิ่งเซินนั่นแหละ
อวี้ฝานสงบสติสักพักถึงได้ยืนตรงอีกครั้ง เขาหลุบตาลง หาตัวการที่อยู่ด้านล่างด้วยท่าทีเย็นยะเยือก เพียงแวบเดียวก็เห็นเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งแล้ว
หน้าประตูป้อม รปภ. ของโรงเรียน หูผางกำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิงที่คล้ายจะเป็นผู้ปกครองของเฉินจิ่งเซิน เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาอย่างนิ่งเงียบ
เขายังคงมีท่าทีเฉยเมยเหมือนกับตอนยืนเฝ้าเมื่อครู่ ราวกับเป็นคนนอกคนหนึ่ง และบทสนทนาของสองคนข้างๆ ไม่เกี่ยวกับเขา
ระยะห่างระหว่างพวกเขาไกลมาก อวี้ฝานมองครู่หนึ่งอย่างเบลอๆ รู้สึกว่าอารมณ์บนใบหน้าเขาดูคุ้นตาเล็กน้อย…
คืนนั้นที่เฉินจิ่งเซินบอกว่ามีธุระต้องวางสายวิดีโอคอลล์ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน เย็นชา ปิดกั้น และไม่พอใจ
หน้าตายสมกับเป็นคนหน้าตาย สีหน้าไร้อารมณ์ก็สามารถตีความออกมาได้หลากหลายอารมณ์ขนาดนี้
แต่เขากำลังไม่พอใจอะไรกัน
ขณะอวี้ฝานกำลังคิดอย่างใจลอย จู่ๆ ศีรษะสีดำที่อยู่ด้านล่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาราวกับมีสัมผัสพิเศษ อีกฝ่ายสบตากับเขาอย่างแม่นยำโดยมีผู้คนและเงาต้นไม้กั้นอยู่
ชั่วพริบตานั้นอารมณ์เย็นชาเหล่านั้นได้สลายหายไปหมดสิ้น
อวี้ฝานกับเขามองหน้ากันสักพัก จู่ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเสียอาการเมื่อกี้นี้ขึ้นมาอีกครั้ง จึงทำหน้าตึงพลางมองเฉินจิ่งเซิน คิดจะชูนิ้วกลางให้เขา
ทว่าสุดท้ายตอนยกมือขึ้นมา นิ้วกลางก็กลายเป็นนิ้วก้อยที่ไม่ได้มีแรงโจมตีเลย
“อวี้ฝาน เธอทำอะไรอยู่ตรงทางเดินน่ะ” เสียงของจวงฝ่างฉินดังมาจากในห้องเรียน “มีผู้ปกครองขึ้นมากันแล้ว รีบมาเปิดลงทะเบียนที่หน้าประตูสิ!”
อวี้ฝานร้อง ‘อ่า’ ทีหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็เก็บนิ้วก้อย ก่อนจะทำสัญลักษณ์มือว่า ‘ฉันจะเข้าไปแล้ว’ ให้เฉินจิ่งเซิน แล้วหมุนตัวกลับไปที่ห้องเรียน
หน้าประตูป้อม รปภ. ของโรงเรียน
หูผางเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “แม้การสอบกลางภาคครั้งนี้ของเฉินจิ่งเซินเกิดความยุ่งยากนิดหน่อย แต่ผลสุดท้ายก็ยังคงเรียบร้อยดี ผมคุยกับเขาแล้วครับว่าต่อไประวังหน่อยก็พอ”
“รบกวนคุณแล้วค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นหันหน้าไปมองลูกชายของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ได้ยินที่หัวหน้าครูพูดหรือยัง”
เมื่อเห็นท่าทีของเฉินจิ่งเซินชัดเจน เธอก็ตะลึงงันเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก “…ลูกกำลังยิ้มอะไรน่ะ”
เฉินจิ่งเซินก้มหน้าลงอีกครั้ง อารมณ์ที่เห็นได้น้อยครั้งบนใบหน้านั้นกลับสู่ความนิ่งสงบอย่างรวดเร็ว “เปล่าครับ”
ไม่นานนักห้องเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองห้องเจ็ดก็มีผู้ปกครองเข้ามานั่งหลายคนแล้ว
พวกเขาเริ่มค้นโต๊ะเรียนของลูกตนเองอย่างเป็นอันรู้กัน ทั้งยังมองไปทางนักเรียนชายที่นั่งตรงจุดลงทะเบียนคนนั้นเป็นครั้งคราว
เมื่อรับผู้ปกครองท่านหนึ่งเข้าไปในห้องเรียนแล้ว จวงฝ่างฉินก็ยืนอยู่ข้างโต๊ะเรียนที่ถูกย้ายออกมาใช้เป็นจุดลงทะเบียนชั่วคราว งอนิ้วแล้วเคาะลงบนโต๊ะ “เธอเอาขาที่นั่งไขว่ห้างลงซะ…ท่าทางอะไรของเธอ ยิ้มหน่อย!”
อวี้ฝานพิงหลังกับผนังพลางเอย “ไม่เอา”
นักเรียนชายจูนิเบียว* ในช่วงวัยรุ่นที่น่าชังพวกนี้
จวงฝ่างฉิน “ยกมุมปากก็พอ จะให้ครูสอนเธอไหม”
อวี้ฝาน “ทำไมครูไม่หาคนที่ชอบยิ้มมานั่งตรงนี้ซะล่ะ”
“ใคร หวังลู่อันเหรอ เทอมที่แล้วเขาก็เคยทำตรงนี้แล้ว”
อวี้ฝานขมวดคิ้ว “งั้นก็เฉินจิ่งเซินสิ”
“…”
จวงฝ่างฉินนึกว่าตนฟังผิด เลยนิ่งงันอยู่นานสองนานกว่าจะเอ่ยปาก “เฉินจิ่งเซินชอบยิ้ม? เขาเคยยิ้มตอนไหน”
อวี้ฝานกำลังจะพูดว่าก็ยิ้มประจำไม่ใช่หรือไง ทว่าคำพูดมาถึงริมปากแล้วก็พลันนึกขึ้นได้ เวลานอกเหนือจากที่พูดคุยกับเขา…ดูเหมือนว่าเฉินจิ่งเซินจะไม่เคยยิ้มจริงๆ…
จงใจแหย่แค่เขาสินะ
อวี้ฝานควงปากกา คิดจะด่าเฉินจิ่งเซินในใจสักหลายประโยค ผลคือจนจวงฝ่างฉินเข้าไปคุยกับผู้ปกครองบางคนในห้องเรียนแล้ว เขาก็ยังคิดไม่ออกเลยสักประโยคเดียว
“ไม่ทราบว่าจำเป็นต้องลงทะเบียนแล้วค่อยเข้าห้องไหม”
อวี้ฝานส่งเสียงอืมทีหนึ่งอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย แล้วส่งปากกาไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
เขาหลุบเปลือกตามองผู้หญิงที่รับปากกาไป กดนิ้วลงบนตารางลงทะเบียนแล้วเลื่อนลงไป ในที่สุดก็หาชื่อลูกของตนเจอ เธอขยับปากกาเขียนตรงด้านหลังชื่อ ‘เฉินจิ่งเซิน’…‘จี้เหลียนอี’
อวี้ฝานตะลึงงัน เงยหน้าขึ้นมาทันใด แผ่นหลังออกห่างจากผนัง นั่งตัวตรงขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
เฉินจิ่งเซินเหมือนแม่ของเขามาก ผู้หญิงคนนี้มีออร่าโดดเด่น เธอวางปากกาลงแล้วเข้าไปในห้องเรียน ดวงตาเรียวยาวอันงดงามคู่นั้นไม่มองเขาเลยสักแวบเดียว
ผู้ปกครองมีวินัยกว่านักเรียน ไม่ทันไรภายในห้องเรียนก็มีคนนั่งกันอยู่ครบแล้ว
ยังเหลืออีกสิบนาทีกว่าจะถึงเวลาประชุม อวี้ฝานเอาตารางลงทะเบียนคืนให้จวงฝ่างฉิน ขณะหมุนตัวกำลังจะไปก็ถูกคนดึงเสื้อไว้
จวงฝ่างฉินส่งกระดาษสองปึกให้เขา ปึกหนึ่งคือ ‘จดหมายถึงผู้ปกครอง’ อีกปึกหนึ่งคือตารางแสดงความเห็นของผู้ปกครอง
“เธอเอาพวกนี้ไปแจก แต่ละชุดมีสี่สิบสองแผ่นพอดี เธอหยิบเอาของเธอไปด้วย เอากลับไปให้ผู้ปกครองเธออ่าน อีกอย่างแจกเสร็จแล้วก็อย่าเพิ่งไป ยังมีเรื่องต้องให้เธอช่วยอีก”
เธอพูดจบโดยไม่ให้โอกาสอวี้ฝานได้ปฏิเสธ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปขึ้นโพเดียมในห้องเรียนเพื่อจัดแจงเนื้อหาที่อีกเดี๋ยวต้องใช้ต่อ
อวี้ฝาน “…”
เขาจิ๊ปากทีหนึ่ง หมุนตัวหมายจะเข้าไปในห้องเรียน แต่เมื่อถึงหน้าประตูจู่ๆ ก็นึกถึงอะไรบางอย่าง
วินาทีต่อมาเขายกมือขึ้นกลัดกระดุมเครื่องแบบนักเรียนจนหมด
ขณะแจกใกล้จะถึงที่นั่งของตนเอง เขาเห็นจี้เหลียนอีกำลังค้นโต๊ะเรียนของเฉินจิ่งเซิน
เทียบกับผู้ปกครองคนอื่นๆ แล้วเธอค้นละเอียดยิ่งกว่า…ผู้หญิงคนนั้นหยิบสมุดจดของเฉินจิ่งเซินขึ้นมา แล้วพลิกเปิดไปข้างหลังทีละหน้าๆ ขมวดคิ้วเบาๆ ไม่ว่าจะมุมใดในสมุดจดล้วนไม่ปล่อยผ่านไปเลย
พรึบ กระดาษแผ่นหนึ่งถูกวางไว้ตรงหน้าเธอ ปิดเนื้อหาที่อยู่บนสมุดจดเอาไว้
การกระทำของจี้เหลียนอีหยุดชะงัก “ขอบคุณ”
อวี้ฝานบอก “ไม่เป็นไรครับ” จากนั้นก็ดึงจดหมายออกมาอีกแผ่นพร้อมกับใบผลสอบกลางภาคที่เพิ่งแจกเมื่อกี้นี้ ยัดเข้าไปในลิ้นชักของตนด้วยกัน
ในที่สุดจี้เหลียนอีก็เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง หลังจากมองสำรวจอย่างเรียบง่ายแล้วเธอก็ถาม “เธอก็คืออวี้ฝาน?”
อวี้ฝาน “ครับ”
จี้เหลียนอีพยักหน้า ไม่ได้ถามอีก
จวงฝ่างฉินไม่ปล่อยคนไป อวี้ฝานรออยู่ที่ทางเดินพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ
จางเสียนจิ้งมองสำรวจผู้ปกครองในห้องเรียน “หวังลู่อัน พ่อนายยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ”
“นั่นแหละ” หวังลู่อันว่า “เธอคอยดูเถอะ พอเลิกประชุมปุ๊บ อย่างแรกที่เขาจะทำคือไปหาแม่ของเธอแล้วถามว่าเธอสอบกลางภาคได้กี่คะแนน”
“…ไสหัวไปซะ” สายตาของจางเสียนจิ้งตกอยู่ที่แถวหลัง เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “แม่ของเด็กท็อปสวยมากจริงๆ”
“รถบ้านเด็กท็อปสวยกว่าอีก” หวังลู่อันพูดจบก็หันกลับไปมองด้านล่างแวบหนึ่ง “เขายังยืนอยู่ที่หน้าประตูอยู่เลย เป็นเด็กท็อปนี่มันลำบากจริงๆ ทั้งต้องเรียนทั้งต้องยืนเฝ้ายาม”
“ปกติ แถมหูผางยังจัดแจงคนไว้ที่ประตูใหญ่เพื่ออัดวิดีโอโดยเฉพาะด้วยนะ คงต้องยืนอีกสักพัก…” จางเสียนจิ้งย้ายสายตาแล้วก็เลิกคิ้ว “อวี้ฝาน ทำไมนายติดกระดุมเสื้อซะหมด ทึ่มชะมัด”
อวี้ฝานก้มหน้าเล่นมือถือ ได้ยินดังนั้นก็ชะงัก “หนาว เธอไม่ต้องยุ่ง”
กำหนดการของการประชุมผู้ปกครองคือให้ครูแต่ละวิชาขึ้นบรรยายก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจะเป็นการกล่าวสุนทรพจน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ของผู้บริหารโรงเรียน สุดท้ายครูประจำชั้นจึงจะกล่าว
เหล่าคุณครูพูดจบและต่างก็ออกจากห้องเรียนไปแล้ว จวงฝ่างฉินเองก็กลับไปที่ออฟฟิศด้วยเช่นกันเพราะขาดข้อมูลหนึ่งฉบับที่ยังไม่ได้พริ้นต์ ผู้ปกครองหลายสิบคนในห้องเรียนกำลังฟังเหล่าผู้บริหารโรงเรียนพูดจาอย่างฉะฉานอยู่ในวิดีโอประชาสัมพันธ์ ตอนนี้กำลังกล่าวถึง ‘การเรียนในระดับชั้นมัธยมปลายมีความกดดันมาก ผู้ปกครองควรดูแลความสัมพันธ์ระหว่างบุตรหลานอย่างไร’
พออวี้ฝานเงยหน้าก็เห็นจี้เหลียนอีลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วหิ้วกระเป๋าเดินออกจากห้องเรียนเสียงเบา และเดินไปยังทิศทางของออฟฟิศครูอย่างนวยนาด
“นักเรียน” ผู้ปกครองท่านหนึ่งที่นั่งริมหน้าต่างเรียกเขา
อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เห็นอวี้ฝานคอยช่วยจวงฝ่างฉินทำงานอยู่ตลอด ผู้ปกครองท่านนั้นจึงยิ้มอย่างเกรงใจทีหนึ่ง “รบกวนเธอช่วยฉันส่งนี่ไปให้ครูประจำชั้นหน่อยได้ไหม เป็นแบบฟอร์มความคิดเห็นผู้ปกครองที่แจกให้พวกเรากรอกเมื่อกี้นี้ ก่อนหน้านี้ฉันส่งผิดน่ะ เอากระดาษอีกแผ่นส่งไปแล้ว”
หวังลู่อันกำลังจะบอกว่าเดี๋ยวครูประจำชั้นจะกลับมาอีกก็เห็นคนข้างๆ เขาโยนมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ย “ได้ครับ”
ประตูหลังของออฟฟิศครูประจำชั้นปิดอยู่ อวี้ฝานกำลังจะเดินอ้อมไปประตูหน้า จู่ๆ ก็มีประโยคหนึ่งดังมาจากด้านใน…
“ฉันหวังว่าคุณจะเปลี่ยนเพื่อนร่วมโต๊ะให้เฉินจิ่งเซินได้นะคะ”
โต๊ะทำงานของจวงฝ่างฉินอยู่เยื้องข้างหลังและติดหน้าต่าง ขอแค่ยืดชิดผนัง ด้านในพูดอะไรก็ได้ยินทั้งหมด
อวี้ฝานกะพริบตาทีหนึ่ง พิงผนังหยุดอยู่ที่เดิม
จวงฝ่างฉิน “คุณแม่จิ่งเซินคะ ตอนนี้น่าจะกำลังฉาย…”
“เทียบกับการประชาสัมพันธ์นั่น ฉันอยากคุยกับคุณมากกว่าค่ะ” จี้เหลียนอีมองนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่ง “อีกหนึ่งชั่วโมงฉันมีประชุมทางโทรศัพท์ จำเป็นต้องออกจากโรงเรียนก่อนเวลา เกรงว่าจะรอไม่ถึงตอนสุนทรพจน์ประชาสัมพันธ์จบ ให้เวลาฉันสักหน่อยได้ไหมคะ”
จวงฝ่างฉินใคร่ครวญสองวินาที ก่อนลุกขึ้นแล้วย้ายเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างไปข้างๆ เธอ “เชิญนั่งค่ะ เหตุผลที่คุณอยากจะเปลี่ยนที่นั่งให้ลูกคือ?”
จี้เหลียนอีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ฉันเห็นผลการสอบเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาแล้ว”
“อ้อ คุณหมายถึงอวี้ฝาน อันที่จริงผลการเรียนของเขาในช่วงนี้ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย…”
“ฉันรู้ค่ะ และฉันยังรู้อีกด้วยว่าเขาก้าวหน้าด้วยความช่วยเหลือของจิ่งเซิน ฉันเห็นวิธีแก้โจทย์ของชั้น ม.ปลายปีหนึ่ง ไปจนถึง ม.ต้น จำนวนหนึ่งในกระดาษทดของเฉินจิ่งเซิน” จี้เหลียนอีหัวเราะอย่างนุ่มนวล เธอกล่าว “ครูจวง อันที่จริงฉันไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าทำไมครูอย่างพวกคุณมักชอบให้นักเรียนที่ผลการเรียนดีเด่นไปช่วยนักเรียนห่วยๆ เรื่องพวกนี้ควรเป็นงานของพวกครูหรือเปล่า”
จวงฝ่างฉิน “คุณคงยังไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วจิ่งเซินเป็นฝ่ายขอฉันเปลี่ยนที่นั่งเองค่ะ อีกอย่างฉันคิดว่านักเรียนอยู่ในโรงเรียนไม่ควรมีแค่ความรู้ด้านการเรียน แต่ต้องเรียนรู้คุณธรรมดั้งเดิมอันดีงามด้วย ยกตัวอย่างเช่นการช่วยเหลือผู้อื่น”
“ค่ะ ฉันไม่มีปัญหากับการที่เขาช่วยเหลือเพื่อนนักเรียน แต่ฉันได้ยินครูประจำชั้นคนก่อนของเขาบอกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาคนนี้ไม่เพียงผลการเรียนไม่ดีเท่านั้น แต่ยังสูบบุหรี่ ชกต่อย ถูกทำโทษบ่อยๆ ขอโทษนะคะ ฉันรับไม่ได้ที่ลูกของฉันนั่งกับนักเรียนแบบนี้”
จี้เหลียนอีชะงัก “อีกอย่างเมื่อกี้ฉันเองก็เจอนักเรียนที่ชื่ออวี้ฝานนั่นแล้ว อย่าว่าแต่แต่งตัวสกปรกมอมแมมเลย…ผมของเขายาวจนฉันมองไม่เห็นตาเขาแล้ว ไม่ทราบว่าปกติทางโรงเรียนไม่ดูแลระเบียบการแต่งกายของนักเรียนเลยเหรอ”
ดูแลยังไงถึงหละหลวมขนาดนี้
อวี้ฝานพิงผนังอย่างไม่สบอารมณ์ จู่ๆ ก็นึกอยากสูบบุหรี่นิดหน่อย
“ฉันเข้าใจความหมายของคุณแล้วค่ะ คุณแม่จิ่งเซิน เรื่องนี้ฉันจะคุยกับจิ่งเซินแล้วค่อยตัดสินใจ” จวงฝ่างฉินเปลี่ยนเรื่อง “อันที่จริงฉันเองก็อยากหาโอกาสคุยกับคุณมาโดยตลอดเหมือนกัน ในเมื่อครั้งนี้ได้พบกันพอดีฉันจะพูดไปด้วยเลยก็แล้วกันค่ะ…เด็กอย่างจิ่งเซิน ด้านการเรียนไม่มีอะไรให้ต้องพูด ยอดเยี่ยมมาโดยตลอด แต่ฉันพบว่าเขาดูเหมือนจะเก็บตัวนิดหน่อย และปกติก็ไม่ชอบคบหากับนักเรียนคนอื่นๆ ด้วย ดังนั้นฉันจึงไปพบครูประจำชั้นคนก่อนของเขาและเคยขอบันทึกการตรวจเยี่ยมบ้านมาจากเธอ”
จวงฝ่างฉินช้อนตา “ดูเหมือนว่าคุณจะแทรกแซงการเข้าสังคมของเขาอยู่ตลอดเลยนะคะ ตอน ม.ปลายปีหนึ่ง ก่อนจะมีการแบ่งห้อง เขาเคยเปลี่ยนมาแล้วสองห้อง เพื่อนร่วมโต๊ะเจ็ดคนล้วนเป็นคนที่คุณเรียกร้องเอง”
สองมือของจี้เหลียนอีหิ้วกระเป๋าวางไว้บนตัก มองจวงฝ่างฉินเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง
“ค่ะ ห้องแรกของเขาตอน ม.ปลายปีหนึ่ง สภาพแวดล้อมแย่นิดหน่อย ส่วนเพื่อนร่วมโต๊ะถ้าไม่เป็นนักเรียนหญิง ก็เป็นนักเรียนชายที่ชอบคุยในคาบ ฉันห่วงว่าเขาจะเสียสมาธิ ฉันอยากให้ลูกชายของฉันมีสภาพแวดล้อมในการเรียนที่ดี ดังนั้นถึงได้เรียกร้องให้เปลี่ยนที่นั่ง นี่คงไม่เกินไปหรอกมั้งคะ”
“แต่ตอนคุณเปลี่ยนที่นั่งให้เขา เคยถามความเห็นของเขาบ้างไหมคะ”
จี้เหลียนอี “เขารู้ว่าฉันหวังดีต่อเขา”
มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดๆ อวี้ฝานหยิบออกมากวาดตามองแวบหนึ่ง
หวังลู่อัน ฉันกับจั่วควนอยู่โรงเรียนอาหารนะ พวกนายอยากกินอะไรไหม @- @จางเสียนจิ้ง
ตอนแรกอวี้ฝานคิดจะบอกว่าไม่ แต่เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนเองจำเป็นต้องดับไฟสักหน่อย
– ถั่วเขียวปั่น
หวังลู่อัน อันนี้ไม่ทันแล้ว นายเปลี่ยนไหม วันนี้โรงอาหารคนเยอะ ถั่วเขียวปั่นดูท่าทางต้องต่อแถวสิบกว่านาทีเลย…ฉันมาช่วยซื้อเครื่องดื่มให้พ่อฉันน่ะ เขาจะเลี้ยงผู้ปกครองในห้อง ต้องรีบกลับไปที่ห้องเรียน
– งั้นก็ช่างเถอะ
อวี้ฝานโยนโทรศัพท์มือถือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วฟังต่อ
จวงฝ่างฉินทยอยถามอีกหลายคำถาม คำตอบของจี้เหลียนอีล้วนเป็น ‘ฉันหวังดีต่อเขา’
จวงฝ่างฉินถอนหายใจไปแล้วหลายรอบ เธอดูเวลาแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ฉันอ่านในบันทึกการตรวจเยี่ยมบ้าน มีเขียนไว้ว่าที่บ้านคุณติดกล้องวงจรปิดไว้เยอะมาก ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ในห้องก็มี…ตอนนั้นครูเฉียวแนะนำคุณว่าควรถอดออกบ้าง ให้เด็กมีพื้นที่ของเขาเอง ไม่ทราบว่าคุณ…”
อวี้ฝานรู้สึกแน่นหน้าอก
เขาหยิบแบบฟอร์มความคิดเห็นแผ่นนั้นขึ้นมา แล้วดึงมุมหนึ่งให้เรียบขึ้นนิดหน่อย
“ฉันกับพ่อของจิ่งเซินงานยุ่ง ไม่อยู่บ้านตลอดทั้งปี ถ้าไม่เตรียมการป้องกันไว้บ้างจะรับรองความปลอดภัยทางร่างกายของลูกได้ยังไง”
แล้วจี้เหลียนอีก็พูดอีกครั้ง “ฉันหวังดีต่อเขา”
คุยกันสักพักใหญ่ๆ จี้เหลียนอีถึงได้ลุกขึ้นและกล่าวลาจวงฝ่างฉิน
ก่อนไปเธอเรียกร้องอีกครั้งหนึ่ง “ขอความกรุณาคุณเปลี่ยนเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ให้เขาโดยเร็วที่สุดด้วยนะคะ”
จากนั้นเมื่อเธอหมุนตัวออกจากประตูก็เจอเข้ากับนักเรียนชายที่นั่งยองๆ พิงอยู่ข้างผนังพอดี
จี้เหลียนอี “…”
เมื่อเห็นเธอออกมา อีกฝ่ายไม่ได้มีปฏิกิริยาอื่นใด เพียงลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นที่เปื้อนข้างหลัง เดินอ้อมเธอเข้าไปในออฟฟิศด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หลังจากเอาของส่งให้จวงฝ่างฉิน อวี้ฝานก็ออกจากออฟฟิศ หมุนตัวไปสูบบุหรี่ที่อาคารปฏิบัติการ
วันนี้มีประชุมผู้ปกครอง อาคารปฏิบัติการจึงไม่มีแม้แต่เงาคน
อวี้ฝานนั่งอยู่บนบันไดชั้นหนึ่งของอาคารปฏิบัติการ สูบบุหรี่อย่างโจ่งแจ้ง
สองขาของเขาอ้าออกอย่างสบายๆ ศอกทั้งสองข้างวางไว้บนเข่า ข้างหนึ่งคีบบุหรี่ อีกข้างหนึ่งเล่นมือถือ
เขาเล่นเกมงูจอมเขมือบไปหลายตาแล้ว ประคองไปได้ไม่นานก็แพ้ พอรู้สึกไม่สนุกแล้วเขาก็เลื่อนเปิดแอพพลิเคชั่นอื่น เมื่อเขาได้สติกลับมา ตรงหน้าก็เป็นสุนัขพันธ์โดเบอร์แมนที่หน้าตากวนโอ๊ยตัวนั้นแล้ว
เขาใช้ฟันกัดบุหรี่และพิมพ์ตัวหนังสือในช่องแชตอย่างช้าๆ ‘เฉินจิ่งเซิน…’
เขาจะพูดอะไรล่ะ ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะพูด เขาไม่สามารถถามได้ว่าทำไมนายเชื่อฟังแม่นายไปซะหมด นายกระจอกใช่หรือเปล่า
ตัวเขาเองมีนิสัยเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องพาลูกบ้านอื่นเสียคนไปด้วยหรอกมั้ง
อวี้ฝานจ้องตัวหนังสือไม่กี่ตัวนั้นพลางคิดครู่หนึ่ง ยกนิ้วขึ้นคิดจะลบ จู่ๆ หน้าต่างแชตก็มีข้อความใหม่เด้งขึ้นมาประโยคหนึ่ง…
s ยังอยู่ที่โรงเรียนเหรอ
– เฉินจิ่งเซินอยู่
s ?
– …พิมพ์ผิดน่ะ อยู่ ทำไม
s อยู่ไหน
– ชั้นหนึ่งอาคารปฏิบัติการ
ผ่านไปหลายนาทีก็ไม่ได้รับการตอบกลับอีก อวี้ฝานจ้องหน้าต่างแชตอยู่สักพัก พ่นควันออกมา และพิมพ์ว่า ‘ฝ่างฉินเรียกหาฉัน?’
ยังไม่ได้ส่งไป ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นสีน้ำเงิน
อวี้ฝานหันหน้าไป เห็นเฉินจิ่งเซินที่กำลังเดินมาทางเขาท่ามกลางควันบุหรี่
กางเกงชุดเครื่องแบบฤดูร้อนสีน้ำเงินโง่ๆ ของโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ดเมื่ออยู่บนร่างเฉินจิ่งเซินราวกับช่วยทำให้ขายาวขึ้น สองมือเขาลู่ลงข้างลำตัว ข้างหนึ่งดูเหมือนจะหิ้วของอะไรไว้ด้วย
เฉินจิ่งเซินเดินมาตรงหน้าเขา กวาดตามองบุหรี่ในมือเขาแวบหนึ่ง ปากอ้าออกแล้วก็เม้ม เบือนหน้าไปไอเบาๆ ทีหนึ่ง
ลูกคุณหนูชะมัด
“…รอฉันสูบเสร็จค่อยเข้ามาไม่ได้หรือไง” อวี้ฝานบี้บุหรี่ ไม่มองอีกฝ่าย เพียงเหลือบมองรองเท้าเขาแวบหนึ่ง “ตามหาฉันทำไม”
เฉินจิ่งเซินว่า “นี่”
รู้สึกได้ถึงความเย็นที่ติดกลิ่นหวานนิดๆ อย่างอธิบายไม่ถูก เมื่ออวี้ฝานก็ช้อนตาขึ้นก็เห็นถุงพลาสติกที่อีกฝ่ายหิ้วอยู่บนนิ้ว ถั่วเขียวปั่นนอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้น
เฉินจิ่งเซินบอก “ตอนกลับมาที่โรงอาหารไม่ค่อยมีคนก็เลยซื้อติดมาด้วย ดื่มไหม”
ถั่วเขียวปั่นเป็นของที่ขายดีที่สุดช่วงฤดูร้อนในโรงอาหารของโรงเรียนพวกเขา ด้วยเหตุนี้เองโรงเรียนจึงซื้อตู้เย็นขนาดใหญ่สองตู้มาโดยเฉพาะ รับรองว่าบรรดานักเรียนจะได้ดื่มของหวานๆ เย็นสดชื่นหลังเลิกเรียนทุกวัน
อวี้ฝานกะพริบตา เขารับมาเจาะ พลันดูดอึกหนึ่ง
เฉินจิ่งเซินเดินขึ้นบันไดไปสองขั้นอยู่ในระดับเดียวกับเขา อวี้ฝานรู้สึกตัวขึ้นมา หันหน้าไปหลุดปากพูด “สก…”
เฉินจิ่งเซินนั่งลงไปแล้ว
ระยะห่างของพวกเขาใกล้กันเพียงไหล่กั้นเหมือนกับตอนอยู่ในห้องเรียน เฉินจิ่งเซินมองเขาแวบหนึ่ง “นายเองก็นั่งไม่ใช่เหรอ”
อวี้ฝานกลืนน้ำปั่น รู้สึกเย็นซาบซ่านไปทั่วทั้งร่าง ร่างกายเย็นสบายขึ้นไม่น้อย “เสื้อผ้าฉันก็ไม่ได้สะอาดเท่าไหร่อยู่แล้ว”
เฉินจิ่งเซินว่า “ฉันก็เหมือนกัน”
“…”
อวี้ฝานมองชุดเครื่องแบบที่สะอาดสะอ้านเหมือนผ่านการฟอกขาวมาของอีกฝ่ายก็ไร้คำพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะถามอีกครั้ง “ทำไมนายไม่กลับไปที่ห้องเรียน”
ขณะประชุมผู้ปกครอง โดยปกติแล้วนักเรียนต่างรอกันอยู่นอกห้องเรียน ไม่เว้นแม้แต่จั่วควนกับหวังลู่อันก็
เฉินจิ่งเซินหยิบมือถือออกมา แล้วเอ่ยโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ประชุมเสร็จค่อยกลับไป”
อวี้ฝานไม่ส่งเสียง จ้องนิ้วของเขาอย่างเบื่อหน่าย มองเขาเปิดเกมเกมหนึ่งในมือถือ
กระทั่งเฉินจิ่งเซินเข้าเกมถึงได้มีปฏิกิริยา อวี้ฝานขมวดคิ้ว “ทำไมนายก็เล่นไอ้นี่ด้วย”
เฉินจิ่งเซินว่า “ดูนายเล่น รู้สึกว่าสนุกดี”
อวี้ฝานพิงไปทางเขาเล็กน้อย ดูเขาเล่นพลางพูด “เรียนรู้ไวนี่”
เฉินจิ่งเซินตอบอืมทีหนึ่ง ก่อนจะกินงูเล็กๆ ทั้งหมดรอบๆ ตนเอง
ฤดูร้อนมาเยือน วันนี้ไม่มีลม จักจั่นร้องระงม ใบไม้สีเขียวชอุ่มลู่ลงกลางอากาศหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่าเวลาผ่านไปช้ามาก
อวี้ฝานมองด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จู่ๆ ก็เอ่ยปากเรียกเขา “เฉินจิ่งเซิน”
“หืม?”
“ผมฉันยาวเกินไปหรือเปล่า”
ปลายนิ้วของเฉินจิ่งเซินหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ไม่นะ”
“อ้อ แต่มันปรกตา คงทำให้คนอื่นรู้สึกว่ามอมแมมมากสินะ” อวี้ฝานเอ่ยส่งๆ “สักสองสามวันจะไปตัดแล้ว”
อันที่จริงอวี้ฝานไม่ได้ตั้งใจจะไว้ยาวขนาดนี้ ตอนเขาไปตัดผมครั้งล่าสุดแค่บอกกับช่างโทนี่ประโยคเดียวว่า ‘ตัดให้บางๆ หน่อย’ สุดท้ายก็สวมหมวกมาเรียนสองสัปดาห์ ต่อให้จวงฝ่างฉินกับหูผางด่าอย่างไรก็ไม่สะทกสะท้าน
หากไปร้านตัดผมที่แพงๆ หน่อย อาจจะไม่กระเซอะกระเซิงขนาดนี้มั้ง
อวี้ฝานคิดอย่างไม่ใส่ใจ เห็นมือของเฉินจิ่งเซินที่กำลังเล่นเกมหยุดลงและหันมามองเขา
เขางุนงง เงยหน้าโดยจิตใต้สำนึกและถามว่า “นายทำอะไรน่ะ อยากโดนกิน?…”
เฉินจิ่งเซินยกมือ จู่ๆ ผมตรงหน้าผากเขาก็ถูกทัดไปข้างหลัง อวี้ฝานใจเต้นแรงมาก ทันใดนั้นเสียงก็หายไป
ใบหน้าทั้งดวงของอวี้ฝานเผยออกมาสู่อากาศอย่างหาได้ยาก ขาวสะอาด ท่าทางมึนงงอยู่บ้าง
อวี้ฝานเส้นผมดำมาก ทั้งหนาและน่าลูบมาก
นิ้วของเฉินจิ่งเซินสอดเข้าไปในเรือนผมเขา ไม่มีทีท่าว่าจะละออกไป
อวี้ฝานค่อยๆ ได้สติกลับมา คิดในใจ เอาอีกแล้วสินะ แม่งแตะหัวฉันอีกแล้วสินะ ถ้าวันนี้ฉันซัดหน้านาย ครั้งหน้ายังจะกล้าอยู่อีกไหม…อวี้ฝานช้อนตาขึ้นมาคิดจะด่า แต่เมื่อสบตากับเฉินจิ่งเซิน จู่ๆ ไฟโทสะก็ดับมอดไปแล้ว
เฉินจิ่งเซินตาชั้นเดียว หางตายกนิดหน่อย นัยน์ตาหลุบลงเล็กน้อยเจือด้วยการสำรวจและพินิจที่หาได้ยากในยามปกติ คล้ายกำลังจินตนาการสภาพของเขาหลังจากตัดผม
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีสายตาของเขาก็เลื่อนลงไป กวาดผ่านบนไฝทั้งสองจุดข้างแก้มขวาของอวี้ฝาน จากนั้นเป็นสันจมูก ปลายจมูก แล้วเลื่อนลงไปอีก…
ลมร้อนอบอ้าวพัดผ่านระหว่างพวกเขา
อวี้ฝานเกลียดการถูกมองสำรวจมาก แต่ตอนนี้เขาตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน หัวใจเต้นเร็วอย่างไม่มีที่มาที่ไป แต่ลมหายใจก็สงบลงมาก
เฉินจิ่งเซินช้อนตา กวาดมองผ่านใบหูที่แดงระเรื่อของอีกฝ่ายปราดหนึ่ง
คนที่ปกติมักจะแยกเขี้ยวยิงฟันและท่าทางดุร้าย พอพูดไปพูดมาก็กลายเป็นว่าง่าย
“อย่าตัดดีกว่า”
นิ้วมือมีความปรารถนาอยากควบคุมอันยากที่จะสังเกตเห็น สอดเข้าไปในเรือนผมของอวี้ฝานแล้วค่อยขยี้ เฉินจิ่งเซินเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ฉันชอบแบบนี้”
* จูนิเบียว หมายถึงเด็กที่มีพฤติกรรมการแสดงออกที่แหวกแนวแตกต่างจากคนทั่วไป มีหลายลักษณะทั้งอาการหลงผิดคิดเอาเอง ต้องการเป็นที่โดดเด่นมีความพิเศษกว่าคนปกติ หรือสร้างตัวตนตามอุดมคติตัวเองให้เป็นที่จับตามอง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.