X
    Categories: everYทดลองอ่านเลิกเรียนแล้วเจอกัน

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม

ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)

แปลโดย : Lucky Luna

ผลงานเรื่อง : 放学等我

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 1

 

ณ ตรอกเล็กๆ อันคับแคบ

กำแพงทั้งสองด้านเป็นรอยกระดำกระด่าง มีโฆษณาอุ้มบุญที่ถูกฉีกไปครึ่งหนึ่งแปะอยู่ ภายในตรอกมีเสียงความเคลื่อนไหวดังเป็นระลอก ตามมาด้วยเสียงหมัดกระทบเนื้อ ถ้อยคำผรุสวาทรุนแรงหลายประโยคถูกพ่นออกมาเป็นครั้งคราว

เมื่อหวังลู่อันมาถึงเสียงร้องครวญครางปานจะขาดใจอันน่าเวทนาก็ดังมาจากด้านในพอดิบพอดี เขาใจสั่น ชูไม้เบสบอลที่เพิ่งขโมยออกมาจากบ้าน แล้วพุ่งเข้ามาในตรอกพลางร้องตะโกน “ไอ้สารเลวหมาลอบกัด มาแตะต้องเพื่อนฉัน! วันนี้พวกแกอย่าคิดหนีแม้แต่คนเดียว! อวี้ฝาน นายทนไว้ ฉันมา…”

แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ในตรอกชัดเจนแล้ว ฝีเท้าของหวังลู่อันก็หยุดลงในทันที กลืนคำพูดที่ยังพูดไม่จบลงท้องไป

เขาเห็นคนหลายคนนอนตัวบิดเบี้ยวอยู่บนพื้น ทั้งหมดล้วนกุมบริเวณที่เจ็บพลางหอบหายใจ ชายหัวเกรียนที่สะบักสะบอมที่สุดในนั้นยังคงส่งเสียงลมหายใจอันเจ็บปวดออกมารางๆ

ข้างๆ ชายหัวเกรียนมีคนคนหนึ่งยืนอยู่

นักเรียนชายรูปร่างผอมเพรียว พับแขนเสื้อถึงข้อศอก เผยให้เห็นแขนที่ทั้งขาวทั้งบาง

อวี้ฝานเช็ดมุมปาก ปัดฝุ่นที่เปื้อนอยู่บนตัวและนั่งยองๆ ลงอย่างเนิบช้า หลุบตามองคนบนพื้น

ในมือเขาถือมีดพับที่อยู่ในลักษณะปิดพับไว้เล่มหนึ่ง ก่อนตบหน้าชายหัวเกรียนแล้วถามกลับเสียงเบา “ต่อไปเจอฉันครั้งหนึ่งก็จะตีครั้งหนึ่ง?”

ชายหัวเกรียนที่เมื่อกี้นี้ยังอวดดีหลับตาทั้งสองข้างแน่น นอนอย่างสงบนิ่ง “ไม่ใช่…ตอนนั้นฉันไม่ได้พูดอย่างนี้…”

อวี้ฝานกล่าว “ครั้งหน้าพาคนมาเยอะๆ หน่อย”

“…”

ยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้หวังลู่อันโทรหาอวี้ฝานอยากนัดเขาไปเล่นอินเตอร์เน็ต ใครจะรู้ว่าเพิ่งคุยโทรศัพท์ไปได้สองประโยคก็เกิดเรื่องแล้ว…อวี้ฝานถูกคนดักตี ฟังจากเสียงเคลื่อนไหวแล้ว อีกฝ่ายยังพาคนอื่นมาด้วย

อวี้ฝานทิ้งท้ายประโยคหนึ่งไว้อย่างเร่งรีบ ‘ค่อยคุยกัน’ แล้วก็วางสายไป ทำให้หวังลู่อันร้อนใจเหลือเกิน ยังดีที่ก่อนเกิดเรื่องเขาถามตำแหน่งของอวี้ฝานไว้แล้วจึงเรียกรถมาอย่างฉุกละหุกได้ทันที

หวังลู่อันวางไม้เบสบอลลงอย่างกระอักกระอ่วน นับๆ ดูแล้วคนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นมีห้าคน แถมยังเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่กันหมด

อวี้ฝานยืดตัวขึ้นแล้วเก็บมีดพับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงลวกๆ ขณะที่เดินผ่านเขาก็ทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง “ไปกัน”

กระทั่งอวี้ฝานเดินออกไปได้ระยะหนึ่ง หวังลู่อันถึงได้สติกลับคืนมา แล้วหิ้วไม้เบสบอลหันหลังตามไป

เดินออกมาจากตรอกไม่กี่ร้อยเมตรก็เป็นถนนอันคุ้นเคย เมื่อเลี้ยวขวาไปอีกไม่กี่ก้าวก็จะเป็นประตูใหญ่โรงเรียนของพวกเขา

เพราะว่ายังไม่เปิดภาคเรียน รอบๆ โรงเรียนจึงเงียบเหงา

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้านชานมไข่มุกที่มักไปเป็นประจำ

หวังลู่อันทักทายเถ้าแก่เนี้ย ก่อนจะมองดูร้านที่คุ้นเคยและคนสัญจรที่เดินขวักไขว่ไปมา ในที่สุดก็พรูลมหายใจเฮือกนั้นออกมา “เชี่ย แม่งตกใจแทบตาย! ทำไมนายไม่รอให้ฉันไปสมทบ”

อวี้ฝานซื้อกระดาษทิชชูมาห่อหนึ่ง เลือกหาม้านั่งที่จัดวางไว้นอกร้านแล้วนั่งลงตามใจ “รอนาย? ความเร็วของนายเนี่ยมาถึงก็ทันแค่คลุมผ้าขาวให้ฉันสิไม่ว่า”

“ถุยๆๆ!” หวังลู่อันกล่าว “ไม่ได้ให้นายยืนรอสักหน่อย นายวิ่งไม่ได้หรือไง พวกมันคนเยอะขนาดนี้ ถ้านายสู้ไม่ได้ล่ะ”

“เหนื่อย ไม่อยากวิ่ง”

หวังลู่อันพยักหน้า นั่นมันเหนื่อยกว่าสู้หนึ่งต่อห้านิดหน่อยจริงๆ

บนใบหน้าของอวี้ฝานมีรอยช้ำอยู่สองที่ มุมปากเปรอะเลือดนิดหน่อย เสื้อผ้าก็เปื้อนสกปรกไปหมด คนสัญจรไปมาไม่กี่คนที่เดินผ่านข้างกายเป็นครั้งคราวต่างก็อดที่จะเหลียวมองไม่ได้

เขาหยิบกระดาษทิชชูออกมาเช็ดอย่างลวกๆ สองที “เมื่อกี้นายว่าจะไปเล่นเน็ตที่ไหนนะ”

“นายสภาพอย่างนี้แล้วยังจะไปอีกเรอะ ช่างมันเถอะ” หวังลู่อันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนกดปุ่มข้อความเสียง “โอ๊ย พวกนายไม่ต้องมาแล้ว อวี้ฝานคนเดียวคว่ำพวกมันไปแล้ว ไม่ต้องมาแล้วๆ”

“นายเรียกคนมาด้วย?”

“แน่นอน ไม่งั้นพวกเราสองต่อห้าก็เสียเปรียบมากน่ะสิ! เฮ้อ แถมฉันยังจิ๊กไม้เบสบอลของพ่อออกมาด้วย…” ทันใดนั้นหวังลู่อันก็นึกถึงอะไรสักอย่าง แล้วมองที่กระเป๋ากางเกงของเขาโดยจิตใต้สำนึก “ใช่แล้ว ทำไมนายออกจากบ้านยังพกมีดด้วยล่ะ”

“ไม่ใช่ของฉัน ของคนพวกนั้นต่างหาก”

“พวกมันดักนายคนเดียวยังพกมีดด้วย?!” หวังลู่อันสูดลมหายใจเย็นๆ เฮือกหนึ่ง มองสำรวจอีกฝ่ายจากบนจรดล่างทันที “เมื่อก่อนฉันก็เคยได้ยินมาว่าคนของโรงเรียนข้างๆ ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่าจะหมาขนาดนี้!”

อวี้ฝานไม่พูดไม่จา หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง

ยังดีที่ไม่พัง

บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือแสดงแจ้งเตือนข้อความจากวีแชต* ยี่สิบกว่าข้อความ ให้เดาก็คงเป็นข้อความจากกลุ่มแชตที่หวังลู่อันลากเข้าไป ซึ่งเขาขี้เกียจอ่าน

แต่หวังลู่อันที่อยู่ข้างๆ คุยอย่างฮึกเหิม เขากดข้อความเสียง ก่อนแค่นหัวเราะแล้วพูดว่า “ยังจะเป็นใครได้อีก คนของโรงเรียนข้างๆ พวกนั้นไง คราวก่อนทางนั้นมีสองคนมารีดไถใกล้ๆ โรงเรียนของพวกเราไม่ใช่หรือไง มาไถเงินถึงถิ่นเราแล้ว ตอนนั้นก็เลยสู้กับพวกมันยกหนึ่ง ผลคือพวกมันเป็นลูกกะจ๊อกของลูกพี่หัวเกรียนคนนั้นที่อยู่โรงเรียนข้างๆ พอคนหัวเกรียนรู้เรื่องนี้เข้าก็ฝากคำพูดไว้ บอกว่าวันหลังเจอพวกเราครั้งหนึ่งก็จะตีครั้งหนึ่ง เฮ้อ พวกนายไม่เห็นท่าทางหัวหดของมันเมื่อกี้นี้ ถูกอวี้ฝานซัดจนไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ”

หวังลู่อันวางมือถือลง พอหันไปก็เห็นอวี้ฝานกำลังถือกระดาษทิชชูจิ้มแผลตรงมุมปากของตัวเอง

เขานิ่วหน้า “ซี้ด…จิ๊…”

อวี้ฝานหยุดการกระทำ “ไปเจ็บบนหน้านายหรือไง”

“ฉันดูแล้วเจ็บ” หวังลู่อันคิดครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้น “หรือไม่พวกเราไปโรง’บาลกัน”

“โอเค นายรีบไปเรียกรถสิ” อวี้ฝานเชิดคาง “ช้ากว่านี้อีกสองนาทีแผลก็สมานแล้ว”

“…” หวังลู่อันกลับลงไปนั่งอีกครั้ง “ต่อยตรงไหนไม่ต่อย ต่อยบนหน้าซะได้ พรุ่งนี้ก็จะเปิดเทอมแล้ว ฝ่างฉินเห็นหน้านายเข้า ไม่ด่านายสิแปลก”

ฝ่างฉินคือครูประจำชั้นของพวกเขา แซ่จวง คนในห้องเรียนล้วนชอบเรียกชื่อของเธอกันเป็นการส่วนตัว

พูดถึงเรื่องเปิดภาคเรียน อวี้ฝานก็เหลือบมองไปทางโรงเรียนแวบหนึ่งโดยอัตโนมัติ

“ทำไมประตูโรงเรียนเปิดอยู่” อวี้ฝานเลิกคิ้ว

“มัธยมปลายปีสามเรียนอยู่ พวกเขาเปิดเทอมล่วงหน้าครึ่งเดือน” หวังลู่อันดูดชานม “ชั้นปีของพวกเราเองก็มีเปิดเทอมล่วงหน้า ดูเหมือนจะเป็นนักเรียนหัวกะทิหลายสิบคนที่โรงเรียนคัดมา รวมกลุ่มคลาสฤดูหนาวอะไรทำนองนั้น เป็นนักเรียนหัวกะทินี่ซวยชะมัด”

อวี้ฝานดึงสายตากลับมา ร้องอ้ออย่างเรียบเฉย

ถึงเวลาเลิกเรียน ร้านบาร์บีคิวที่ถนนฝั่งตรงข้ามเริ่มเปิดทำการ กลิ่นเนื้อย่างที่ห่อหุ้มด้วยผงยี่หร่าก็โชยข้ามมาโดยมีถนนสายหนึ่งกั้น

หวังลู่อันรีบร้อนออกจากบ้านเกินไปจึงไม่ทันได้กินอาหารเย็น เขาขยับจมูก นั่งไม่ติดแล้ว “นายต่อยตีมาครึ่งค่อนวันแล้วจะต้องเหนื่อยแน่เลย ไปกัน พวกเราไปกินอะไรเสริมกำลังกันหน่อย”

“ฉันไม่กิน นายไปเถอะ” อวี้ฝานโบกมือให้เขา

“โอเค นายคอยฉัน ฉันจะไปซื้อกลับมา”

โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังติ๊งๆ อยู่ตลอด ฟังแล้วน่ารำคาญ อวี้ฝานเปิดกลุ่มแชตมากวาดตามองแวบหนึ่ง หวังลู่อันแค่ซื้อบาร์บีคิวก็สามารถอวดคนในกลุ่มได้จนถึง 99+ ข้อความเชียว

เขาเปิดโหมดห้ามรบกวน ขณะที่ยัดมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก็สัมผัสเข้ากับวัตถุโลหะที่อยู่ข้างใน

อวี้ฝานชะงักไปสองวินาทีก่อนจะหยิบมีดพับทหารสีดำเล่มนั้นออกมาอีกครั้ง

 

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน นักเรียนที่สวมเครื่องแบบของโรงเรียนต่างก็ทยอยออกมาจากประตูโรงเรียน

นักเรียนหญิงสองคนจูงมือกันออกมาบ้างพูดคุยบ้างหัวเราะ

“ป็อปควิซครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง”

“อย่าพูดถึงเลย ยากจะตายอยู่แล้ว หัวข้อใหญ่อันสุดท้ายฉันมั่วหมดเลย เธอล่ะ”

“ฉัน? คงบ๊วยอีกตามเคย เฮ้อ แล้วฉันหลงเข้าไปอยู่ในห้องกิฟต์ตอนปิดเทอมฤดูหนาวได้ยังไงเนี่ย ฉันอยู่คนละโลกกับพวกอัจฉริยะอย่างพวกเธอเลย!” คนคนนั้นพูดจบก็ยืดเอวหนาๆ เพื่อบิดขี้เกียจ “ช่างเถอะ ถึงยังไงรอพรุ่งนี้ที่เปิดเทอมอย่างเป็นทางการ ฉันก็จะกลับไปเป็นปลาเค็ม* ที่ห้องเรียนทั่วไปต่อแล้ว ฉันอยากไปซื้อชานมร้อนๆ สักแก้ว ไปด้วยกันไหม”

นักเรียนหญิงอีกคนพยักหน้าตอบรับ แต่เพิ่งหมุนตัวเดินไปทางร้านชานมได้สองก้าว จู่ๆ คนที่อยู่ข้างๆ ก็ออกแรงจับชายเสื้อของเธอไว้แล้วดึงเธอกลับไปทันที

“เป็นอะไรไป” นักเรียนหญิงงงงัน

“ช่างเถอะ พวกเราอย่าไปเลย…” เพื่อนที่มาด้วยกันมองไปยังทิศทางของร้านชานมอย่างไม่ละสายตา แล้วเอ่ยเสียงเบา “เธอดูสิว่าใครนั่งอยู่ตรงนั้น!”

เธอหันไปมองทางร้านชานมไข่มุกตามสัญญาณของเพื่อน

ร้านชานมร้านนี้เปิดอยู่ข้างโรงเรียนมาหลายปีแล้ว รสชาติดีแถมราคาย่อมเยา ปกติทุกครั้งที่ถึงเวลาเลิกเรียนโต๊ะและเก้าอี้ของร้านล้วนถูกคนจับจองกันจนเต็มไปหมด

แต่ในขณะนี้เอง แม้ว่าร้านชานมจะมีลูกค้ากำลังสั่งชาอยู่ แต่ทุกคนล้วนหยิบเอาแล้วจากไป นอกร้านมีแค่คนคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่

คนคนนั้นนั่งอย่างสบายๆ ขายาวๆ สองข้างกางออกตามอำเภอใจ ผมหน้าม้ายาวจนแทบจะติดขนตาของเขา เพราะผิวขาวเกินไป ทำให้รอยแผลสีม่วงช้ำบนใบหน้าเขาโดดเด่นเตะตาเป็นพิเศษ มุมปากก็มีเลือดซึมเล็กน้อย

ผู้คนรอบๆ ต่างสวมเครื่องแบบฤดูหนาวที่ถูกระเบียบ มีเพียงเขาที่สวมเสื้อฮู้ดสีขาวซึ่งเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว

เขากำลังก้มหน้าเล่นมีดพับทหาร ปลายคมมีดถูกเขาดึงออกมา ก่อนกดลงบนหลังมืออีกข้างของตนเองแล้วกรีดอย่างไม่แยแส คล้ายกับกำลังพิสูจน์ว่ามีดเล่มนี้คมแค่ไหน

แม้ว่านักเรียนหญิงจะไม่รู้จัก แต่ก็ถอยหลังก้าวหนึ่งโดยอัตโนมัติ “เขาคือ…”

“อวี้ฝาน!” เพื่อนที่มาด้วยกันกล่าว “นักเรียนห้องเจ็ดคนนั้น!”

“บนหน้าเขาดูเหมือนจะมีแผลด้วย?”

“ปกติน่ะ ต้องเพิ่งต่อยตีกับคนอื่นเสร็จมาแน่ๆ” เพื่อนที่มาด้วยกันไม่อยากจะเชื่อ “เธอไม่เคยได้ยินชื่ออวี้ฝาน?”

“ไม่เคย” นักเรียนหญิงส่ายหน้า คิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แต่ดูเหมือนเคยได้ยินคำประกาศความผิดของเขาหลายครั้งตอนเคารพธงชาติ”

เพื่อนที่มาด้วยกันแสร้งทำเป็นเลือกของในร้านโชห่วย แต่สายตายังคงแอบมองไปทางนั้น “ฉันมีเพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกับเขา ได้ยินว่าเขา…ตอนเพิ่งเข้ามาเรียนชั้น ม.ปลายปีหนึ่ง ก็ตีกับ ม.ปลายปีสาม แล้ว แถมยังตีจน ม.ปลายปีสาม ร้องไห้ ปกติถ้าไม่นอนก็โดดเรียนโต้งๆ เลย แถมนิสัยยังแย่มากด้วย! แค่มีคนมองเขาที่โรงอาหารนานไปหน่อย เขาก็เอาอาหารทั้งถาดราดใส่ตัวคนคนนั้น อ้อ ดูเหมือนจะเคยตีครูด้วย…สรุปว่าเกเรมาก!”

น่ากลัวขนาดนี้เชียว

นักเรียนหญิงฟังจบอย่างนิ่งงัน กำลังจะพูดว่างั้นพวกเราไม่ดื่มชานมแล้วดีกว่า ทันใดนั้นนักเรียนชายที่อยู่ไกลๆ ก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว

อาจเป็นเพราะไม่ได้ควบคุมวิถีมีดให้ดี คมมีดจึงแทงเข้าที่หลังมือของเขา ที่หลังมือของเขาก็มีแผลเล็กๆ และเลือดซึมเพิ่มขึ้นมาอีกรอยหนึ่ง

นักเรียนหญิงสูดลมหายใจเย็นๆ เฮือกหนึ่ง! เธอยังไม่ทันได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกไปก็เห็นอวี้ฝานโยนมีดไปด้านข้าง เขาขมวดคิ้วแล้วใช้ทิชชูกดลงบนแผล จากนั้นก็เหลือบตาขึ้น…มองมาทางพวกเธอ

เมื่ออวี้ฝานเงยหน้า ในที่สุดนักเรียนหญิงถึงได้มองเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน…อันที่จริงก็เคยเห็นตอนเคารพธงชาติอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้เห็นชัดเท่ากับตอนนี้

อวี้ฝานตาเรียวยาว หางตาขวามีไฝเล็กๆ จุดหนึ่ง ถัดลงมาบนแก้มยังมีอีกจุด หนังตาของเขาแคบมาก บนใบหน้ายังมีแผลอีกด้วย พอมองอย่างนี้แล้วนักเรียนหญิงก็รู้สึกเย็นวาบในใจ…

จบเห่แล้ว

เขาจะสาดชานมใส่ตัวฉันแล้ว

แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ถูกต้อง

อวี้ฝานดูเหมือน…ไม่ได้กำลังมองพวกเธอ?

นักเรียนหญิงนิ่งงันไปสองวินาที เมื่อหันหน้าไปถึงได้พบว่าตอนนี้ข้างหลังพวกเธอยังมีนักเรียนชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย

นักเรียนชายรูปร่างสูงมาก ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนราวกับต้นสนที่ตรงแหน็ว เขาสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่ข้างเดียว เครื่องแบบที่อยู่บนร่างสะอาดสะอ้าน ถึงขั้นมีรอยยับแค่ไม่กี่จุด

เธอยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่อีกด้วย

เวลานี้สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ทางร้านชานมเหมือนกับพวกเธอเมื่อกี้นี้

นักเรียนหญิงเบิกตากว้างเล็กน้อย…เธอไม่รู้จักอวี้ฝาน แต่คนคนนี้เธอกลับประทับใจลึกซึ้ง

ในการสอบใหญ่แต่ละครั้งจะเรียงที่นั่งตามผลการเรียน คนคนนี้มักนั่งเป็นคนแรกในแถวแรกของสายชั้นอยู่เสมอ

อวี้ฝานจับได้แต่แรกแล้วว่าที่ด้านข้างมีคนกำลังจ้องตัวเองอยู่

เพียงแต่ไม่คิดว่าเมื่อเขาหันไปมอง อีกฝ่ายก็ยังคงสบตากับเขาอย่างตรงไปตรงมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น อาจเพราะเห็นแผลบนใบหน้าเขา นักเรียนชายจึงขมวดคิ้วครู่หนึ่งอย่างนึกสงสัยและรังเกียจ

คราวนี้ทำให้อวี้ฝานบันดาลโทสะขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

ชั่วขณะนั้นเองเมื่อแน่ใจแล้วว่าผู้ชายคนนั้นกำลังมองสำรวจตนอย่างโจ่งแจ้ง อวี้ฝานก็เก็บมีดเล่มเล็กๆ เอาไว้ ก่อนพยักพเยิดไปตรงที่นั่งข้างๆ ตนแล้วพูดกับคนคนนั้นว่า “ชอบมองขนาดนี้ นายไม่มานั่งใกล้ๆ เลยล่ะ”

 

* วีแชต เป็นแอพพลิเคชั่นโซเชียลมีเดียอย่างหนึ่งของจีน นิยมใช้ในการส่งข้อความ

* ปลาเค็ม เป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยว่าเป็นคนขี้แพ้

บทที่ 2

 

คนที่ขวักไขว่ไปมารอบๆ ในเวลานี้ล้วนเป็นนักเรียน พวกเขาไม่กล้าหยุดฝีเท้าเพราะกลัวถูกลูกหลง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากดูเรื่องสนุกๆ

นักเรียนที่จำโจทย์จนมึนแล้วบางคนเอาคำพูดประโยคนี้ของอวี้ฝานใส่เข้าไปในสมองแล้วทำการตีความ ซึ่งได้ความหมายประมาณว่า ‘นายลองมองอีกสิ ดูซิว่าฉันจะควักลูกตานายออกมาได้หรือเปล่า’

นักเรียนหญิงสองคนที่ถูกหนีบอยู่ตรงกลางสบตากันแล้วตัดสินใจจะเผ่นหนีทันที

แต่นักเรียนชายที่อยู่ข้างหลังกลับชิงลงมือก่อนพวกเธอ

เพียงเห็นเขายกมือแล้วใช้นิ้วโป้งเกี่ยวสายสะพายของกระเป๋าเป้ จากนั้นเดินเข้าไปหาอวี้ฝานด้วยสีหน้าเรียบเฉย สายตาของผู้คนก็ต่างตื่นตกใจและหวาดหวั่น

อวี้ฝานจ้องเขาโดยไม่ที่แสดงออกอะไร พอเห็นเขาเข้ามาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น…

“เลิกเรียนแล้วไม่กลับบ้าน มาป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่ทำไม!”

เสียงอันทรงพลังขัดจังหวะการปะทะครั้งนี้

หนังตาของอวี้ฝานกระตุกทีหนึ่ง เขาเอียงศีรษะแล้วกวาดตามองด้านหลังของนักเรียนชายคนนั้น ตัวคนยังไม่ทันเห็นก็ชิงเห็นหัวล้านเงามาก่อน

“…” ความตึงเครียดของเขาเมื่อครู่สลายหายไปในพริบตา ก่อนจะนั่งกลับลงไปอย่างเอื่อยเฉื่อย

และเห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นเองก็จำเสียงนี้ได้ จึงหยุดฝีเท้าลง

ชายวัยกลางคนที่รูปร่างอ้วนเตี้ยเล็กน้อย ในมือหิ้วกระเป๋าเอกสารสีกรมท่าเดินออกมาจากประตูโรงเรียน เขาเดินมาพลางถลึงตาใส่นักเรียนที่มุงดูเรื่องสนุกเหล่านั้น คนที่อยู่รอบๆ ก็หายเกลี้ยงไปในพริบตา

คนที่มาคือหัวหน้าครูของโรงเรียนพวกเขา พอเห็นคนที่ก่อความวุ่นวาย หัวคิ้วเขาก็พลันยกตั้งขึ้น “อวี้ฝาน? ทำไมเป็นเธออีกแล้ว! วันนี้ยังไม่เปิดเทอม เธอมาทำอะไรที่โรงเรียน”

อวี้ฝานหันไปมองร้านชานมแวบหนึ่งก่อนแล้วมองไปทางเขา “ร้านนี้โรงเรียนเซ้งต่อ?”

“…” หัวหน้าครูเงียบไปสองวินาที หลังจากมองใบหน้าของเขาชัดเจนแล้วก็ถลึงตา “แล้วบนหน้าเธอเป็นอะไร ทะเลาะวิวาทกับคนเขาอีกแล้วล่ะสิ”

“ล้มครับ”

“เธอโกหกฉันให้มันน้อยๆ หน่อย ล้มที่ไหนจะเป็นแบบนี้ได้”

อวี้ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ไม่ไกลครับ ผมพาครูไปดูเอาไหม”

หัวหน้าครูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ปิดเทอมมานานหลายวัน และเพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาดีๆ ไป เขาเกือบลืมรสชาติที่ถูกอวี้ฝานทำให้โมโหจนเจ็บหน้าอกไปแล้ว

“เธอรอก่อน พรุ่งนี้เปิดเทอมฉันจะไปหาครูประจำชั้นของพวกเธอ”

เขาชี้อวี้ฝาน เมื่อพูดจบถึงได้หันหน้าไปมองนักเรียนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตน

ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานนึกว่าตนเองกำลังดูงิ้วเปลี่ยนหน้าของเสฉวน

“จิ่งเซิน เตรียมตัวกลับบ้านแล้วเหรอ” หัวหน้าครูยิ้มอย่างโอบอ้อมอารี

อวี้ฝานเห็นว่าเพื่อนนักเรียนที่หน้าตากวนโอ๊ยคนนั้นละสายตาจากใบหน้าเขาไปในที่สุด แล้วหลุบตาพลางตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ครับ”

หัวหน้าครูตบบ่าเขา “รอเดี๋ยวสิ ครูมีเรื่องจะคุยกับเธอพอดี เธอกลับไปที่โรงเรียนกับครูก่อน”

เมื่อพูดจบตอนที่หัวหน้าครูหันมามองอีกครั้ง หัวคิ้วก็ขมวดมุ่น “แล้วก็เธอ! ไม่มีธุระอะไรก็รีบกลับบ้านไปซะ อย่ามัวเกกมะเหรกไปทั่วอย่างกับนักเลง!”

อวี้ฝานยกมือขึ้นมาเขย่าอย่างขอไปทีสองครั้ง โบกมือกล่าวลากับหัวหน้าครู

นักเรียนที่อยู่รอบๆ “…”

ครูคิดว่าตอนนี้คนคนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวมีตรงไหนไม่เหมือนนักเลงบ้างล่ะ

พอมองหัวหน้าครูผละจากไป อวี้ฝานก็กำลังจะหันหน้ากลับไป ทันใดนั้นคนที่กำลังจะกลับไปที่โรงเรียนพร้อมกับหัวหน้าครูก็หันหน้ากลับมา

อวี้ฝานเลิกคิ้ว ยกมือที่เพิ่งวางลงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พร้อมชูนิ้วกลางให้อีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้ง

ตอนที่หวังลู่อันกลับมาก็เห็นภาพฉากนี้พอดี

หวังลู่อันวางกล่องบรรจุอาหารลงบนโต๊ะอย่างกระหืดกระหอบ เอ่ยอย่างร้อนใจ “ทำไมเสืออ้วนโผล่มาได้ คงไม่ใช่มาจับนายหรอกนะ พวกนายคุยอะไรกัน”

หัวหน้าครูชื่อว่าหูผาง หวังลู่อันแอบเรียกเขาว่าเสืออ้วน

“ทักทายกันเฉยๆ” อวี้ฝานมองเขาแวบหนึ่ง “นายวิ่งทำไม ไม่ได้จ่ายเงิน?”

หวังลู่อันพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วนั่งลงข้างเขา “เมื่อกี้ฉันอยู่ตรงทางม้าลายฝั่งตรงข้าม คิดว่านายจะต่อยคนน่ะสิถึงต้องรีบวิ่งมา เฮ้ย เมื่อกี้ใครแหย่นายล่ะ มีต้นไม้บัง ฉันเห็นไม่ชัด…”

หวังลู่อันพูดพลางมองไปทางประตูใหญ่ของโรงเรียน จับได้แค่เงาร่างที่โฉบผ่านไปแวบเดียว

เขาตะลึงงันแล้วหลุดปากพูดออกมา “เฉินจิ่งเซิน?”

อวี้ฝาน “นายรู้จัก?”

“คนที่อยู่ห้องหนึ่งไม่ใช่หรือไง…” หวังลู่อันชะงัก “นายไม่รู้จักเขา?”

พอได้รับสายตางุนงงจากอวี้ฝาน หวังลู่อันถึงนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนของเขาคนนี้อยู่มาสามเทอมแล้ว เกรงว่าแม้แต่ชื่อเพื่อนในห้องก็คงจำได้ไม่หมด

แต่ว่า…

“นายยังจำตอนอ่านคำสำนึกผิดทั้งหกครั้งต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนเมื่อเทอมที่แล้วได้ไหม”

อวี้ฝานเงียบไปครู่หนึ่ง “จำไม่ได้”

“งั้นนายนึกดีๆ อีกที” หวังลู่อันกล่าว “ทุกครั้งที่นายอ่านคำสำนึกผิดเสร็จแล้วลงมา ก็จะถึงตาเขาขึ้นเวทีไปรับรางวัลและกล่าวสุนทรพจน์”

“…”

ได้รางวัลเยอะแยะขนาดนี้มาจากไหนเนี่ย

“อีกอย่างตารางอันดับผลการเรียนของสายชั้น ชื่อของเขาอยู่อันดับแรกทุกครั้ง…อ้อ เรื่องนี้นายไม่รู้ก็เป็นปกติ นายเองก็ไม่ดูของพรรค์นั้นสักหน่อย”

อ๋อ นักเรียนดีเด่น

อวี้ฝานเข้าใจทันที มิน่าล่ะถึงได้มองแล้วน่าหงุดหงิดขนาดนี้

หวังลู่อันหิวจนหน้าอกแฟบติดหลัง เขาก้มหน้าก้มตากินบาร์บีคิวหลายคำ แล้วเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ก็เลยถามว่า “เมื่อกี้เฉินจิ่งเซินแหย่อะไรนายล่ะ”

“ไม่มีอะไร” อวี้ฝานก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ “นายกินเงียบๆ ได้ไหม”

“มันเผ็ดเกินไป ฉันต้องอ้าปากคลายเผ็ดหน่อย”

หวังลู่อันมองคนที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นตกใจ ยื่นมือไปดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้ “เชี่ย มือนายเป็นอะไร ทำไมถึงมีรอยบาด เมื่อกี้ไม่เห็นแผลนี้นี่”

อวี้ฝานไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไม่ระวังก็เลยบาด”

หวังลู่อันมองเขาที่เหมือนกับไม่ได้เป็นอะไร จึงเอ่ยอย่างตกตะลึง “นี่ก็ไม่ระวังเลย แผลยาวขนาดนี้…นายไม่เจ็บหรือไง”

“มา นายยื่นมือมา ฉันจะช่วยเป่าให้นายสองที” หวังลู่อันเอ่ยพลางแสร้งเป่าลมบนหลังมืออีกฝ่ายสองที

อวี้ฝานผลักศีรษะของเขาที่ขยับเข้ามา “…จะอ้วก”

เขาไม่รู้สึกเจ็บจริงๆ แม้ว่าแผลจะยาวมากแต่ก็ตื้น อาจเป็นเพราะเมื่อกี้ตอนต่อยไม่ได้ใส่สุดแรง ตอนคมมีดทิ่มเนื้อเขาเลยถึงขั้นรู้สึกสะใจอยู่นิดๆ

น่าแปลกทีเดียว อวี้ฝานจ้องหลังมือหลายวินาที ขณะที่สติกลับมาก็มองไปที่มือถือ งูยักษ์จอมเขมือบที่เขาบังคับตัวนั้นก็พุ่งชนขอบหน้าจอมือถือและเกมก็จบลง

เขาปิดมันอย่างเซ็งๆ แล้วลุกขึ้นพูดว่า “ฉันจะกลับแล้ว”

“เร็วเบอร์นี้?” หวังลู่อันว่า “บ้านนายไม่มีใครอยู่ กลับไปก็น่าเบื่อจะตาย หรือไม่ก็ไปบ้านฉันดีกว่า ฉันเพิ่งซื้อแผ่นเกมมาใหม่หลายแผ่นเลย”

“ไม่ไป” อวี้ฝานปฏิเสธตรงๆ เพิ่งทะเลาะกับคนมา เขาเนื้อตัวสกปรก ในโพรงจมูกยังมีกลิ่นคาวเลือดอยู่จางๆ เขาเช็ดจมูกเบาๆ แล้วว่า “ไปแล้วนะ”

เดือนกุมภาพันธ์ของเมืองหนานอากาศแปรปรวนมาก ตอนบ่ายยังมีแดดออก แต่เดี๋ยวเดียวก็ครึ้มฝนแล้ว

อวี้ฝานสวมหมวกของเสื้อฮู้ดคลุมศีรษะ สองมือซุกในกระเป๋าเสื้อ อ้อมซ้ายอ้อมขวา ในที่สุดก็เดินเข้าไปในถนนเก่าๆ สายหนึ่ง

ร้านขายโทรศัพท์มือสองเล็กๆ ซอมซ่อและเป็นอาคารเตี้ยยังเปิดเพลงฉบับรีมิกซ์ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพลงเฮงซวยเพลงไหน

อวี้ฝานเลี้ยวเข้าไปในเขตที่พักอาศัยเก่าๆ ริมถนนเห็นรถบรรทุกเล็กคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูอาคาร คนงานขนย้ายหลายคนกำลังหามเฟอร์นิเจอร์ขึ้นอาคาร มีหญิงวัยกลางคนสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่ที่หลังรถ

อวี้ฝานมองทางเข้าอาคารที่ถูกขวางไว้แวบหนึ่ง ก่อนจะหลีกไปด้านข้าง คิดจะรอให้คนกลุ่มนี้ย้ายของเสร็จแล้วค่อยเข้าไป

คนสองคนที่อยู่ข้างรถไม่เห็นว่าด้านหลังมีคนเพิ่มขึ้นมา ยังคงคุยกันอย่างดุเดือด

“ต่อไปมีเรื่องอะไรเธอก็แค่ขึ้นไปหาพี่ที่ชั้นบน สภาพแวดล้อมของเราแย่นิดหน่อย แต่น้ำใจเต็มเปี่ยมนะ เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยเหลือได้ทุกคนก็จะช่วยกันหมด”

“ขอบคุณพี่มากนะ ฉันห่อเกี๊ยวไว้นิดหน่อย เดี๋ยวฉันเก็บกวาดห้องเสร็จแล้วจะส่งไปให้ทุกคนทีละบ้านๆ”

“เกรงใจอะไรกัน…อ้อใช่ ห้อง 201 นั่นเธออย่าไปนะ”

“หือ? มีอะไรเหรอ”

“ก็ไม่มีอะไร” คนคนนั้นลังเลครู่หนึ่งก่อนจะลดเสียงให้เบาลง “พ่อลูกที่อยู่ห้องนั้นไม่ใช่คนดีอะไร! เมียของผู้ชายคนนั้นหนีไปแล้ว วันๆ ก็เอาแต่ดื่มเหล้าเล่นการพนัน สามวันห้าวันถึงกลับบ้านครั้งหนึ่ง ส่วนคนลูกก็เป็นสวะสังคมที่วันๆ เอาแต่ก่อเรื่อง ไม่เรียนหนังสือหนังหา! เมื่อไม่กี่ปีก่อนพ่อลูกคู่นั้นทะเลาะกันที่บ้านทุกวัน ครั้งนั้นทำเอาฉันตกอกตกใจจนไม่กล้าออกไปข้างนอกทั้งวันเลยล่ะ…”

“หม่าม้า!” เสียงไร้เดียงสาดังมาจากประตูเหล็กสับปะรังเคของเขตที่พักอาศัย

เด็กผู้หญิงที่ถูกเสื้อผ้าห่อจนกลายเป็นก้อนกลมวิ่งมาอย่างลิงโลดพร้อมถืออมยิ้มที่เพิ่งซื้อมา อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าหนักเกินไป พอกระโดดไปกระโดดมาก็กลายเป็นเดินแกว่งแขน ก้าวไม่กี่ก้าวเธอก็เท้าพันกัน ร่างเล็กๆ พลันล้มลงไปบนพื้น…

อวี้ฝานก้มตัวอย่างตาว่องมือไว นิ้วชี้เกี่ยวหมวกที่อยู่ด้านหลังเสื้อบุนวมของเธอไว้

เด็กผู้หญิงถูกคว้าไว้อย่างมั่นคง ร่างของเธอโอนเอนอยู่กลางอากาศ ในมือยังกำอมยิ้มเอาไว้แน่น ท่าทางงงงวยและน่ารัก

ผู้หญิงคนนั้นหัวใจแทบจะหลุดออกมา รีบเข้าไปดูสถานการณ์ทันที เธอนั่งลงแล้วกอดลูกสาวเข้ามาในอ้อมอก หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไรก็เงยหน้ากล่าวอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณเธอ…”

แต่อีกฝ่ายหมุนตัวขึ้นไปชั้นบนแล้ว เธอจึงเห็นเพียงเงาหลังที่สูงโปร่งเท่านั้น

สวะสังคมกลับถึงบ้านก็โยนขนมปังที่แวะซื้อกลับมาไว้อีกด้าน แล้วเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ

ขณะที่ออกมามือถือก็ดังไม่หยุด ในบ้านไม่มีใคร อวี้ฝานเดินไปที่ข้างโต๊ะแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูไปพลางเช็ดผมไปพลาง

 

หวังลู่อัน จะลอกการบ้านปิดเทอมฤดูหนาวไหม จะส่งให้นายชุดหนึ่ง

หวังลู่อัน หรือไม่นายเขียนสักสองสามคำเผื่อไว้สักหน่อยดีกว่า ไม่งั้นพรุ่งนี้ต้องไปยืนที่บอร์ดข่าวทั้งวัน ทำไงล่ะ

หวังลู่อัน อยู่ไหม

หวังลู่อัน เชี่ย ฉันเพิ่งเห็นข่าวในกลุ่มใหญ่ของโรงเรียน บอกว่ากรมการศึกษากำกับดูแลเข้มงวด ห้องนักเรียนหัวกะทิของโรงเรียนเราไม่มีแล้ว นักเรียนหัวกะทิพวกนั้นต้องแยกย้ายกันมาอยู่ในห้องทั่วไปอย่างพวกเรา

หวังลู่อัน ไม่รู้ว่าในห้องเราจะมีเพื่อนใหม่มาไหม

หวังลู่อัน ใช่แล้ว พรุ่งนี้เช้าแปดโมงมีพิธีเปิดภาคเรียน เจ็ดโมงสี่สิบต้องรวมตัวกันที่ห้องเรียน นายอย่าสายล่ะ

หวังลู่อัน ???

 

อวี้ฝานกัดขนมปังแล้วพิมพ์อย่างช้าๆ

 

ส่งให้ฉัน

หวังลู่อัน อะไร

หวังลู่อัน ในที่สุดนายก็กลับมาแล้ว ฉันนึกว่านายถูกคนดักตีอีก

การบ้าน

 

อีกฝ่ายส่งไฟล์มารัวๆ สิบกว่าไฟล์

 

เยอะขนาดนี้?

หวังลู่อัน นายลอกการบ้านวิชาของฝ่างฉินก็พอ ยังไงครูคนอื่นก็ไม่สนใจนายอยู่แล้ว

หวังลู่อัน ไม่สิ นายเห็นที่ฉันบอกก่อนหน้านี้ไหม ในห้องจะมีเพื่อนใหม่มา!

 

อวี้ฝานค้นกล่องค้นตู้อยู่นานสองนานถึงคลำเอาปากกาที่ใช้ได้ออกมาด้ามหนึ่ง

 

เห็นแล้ว ไม่เห็นน่าสนใจ

 

แปดโมงวันถัดมาอวี้ฝานยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนที่ปิดสนิท ฟังเพลงมาร์ชงานกีฬาที่ดังอยู่ด้านใน

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู

 

หวังลู่อัน พี่ชาย คนทั้งโรงเรียนยืนอยู่ที่สนามกีฬากันหมดแล้ว ครูใหญ่ก็มาถึงหมดแล้ว นายล่ะ

ตื่นสาย

หวังลู่อัน งั้นจะทำยังไงดี ตอนนี้ประตูโรงเรียนปิดหมดแล้ว นายปีนกำแพงเข้ามาตอนเข้าแถวคงไม่ค่อยดีมั้ง?

 

เข้าไปตอนนี้จะต่างอะไรกับถูกเชิญขึ้นหน้าเสาธงโดยตรง

อวี้ฝานตอบกลับไปประโยคหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะคิด ‘เข้าแถวเสร็จเรียกฉันก็แล้วกัน’

เขาเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง คิดว่าจะหาที่ฆ่าเวลาสักหน่อย รอคนแยกย้ายกันหมดแล้วค่อยเข้าไป พอเงยหน้ากลับสบตากับคนที่อยู่อีกฝั่งของประตูรั้วโรงเรียน

หูผางเอามือไพล่หลัง ถามเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใย “จะไปไหน”

วันนี้มันวันซวยอะไรกันเนี่ย

อวี้ฝานนิ่งเงียบไปสองวินาที “เข้าแถวครับ”

หูผางพยักหน้าแล้วเปิดประตูเล็กที่อยู่ด้านขวาของประตูรั้ว “เข้ามา”

“…”

หูผางเดินตามเขาตลอดทางจากข้างหลังกลุ่มคนไปจนถึงแถวของชั้นมัธยมปลายปีสองเหมือนกลัวว่าเขาจะหนี

ครูและนักเรียนทั้งโรงเรียนล้วนเรียงแถวอยู่ที่สนามกีฬา นักเรียนที่อยู่แถวหลังเห็นพวกเขาเดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะมองสักแวบหนึ่ง

อวี้ฝานเมินสายตาเหล่านี้ เดินนำหน้าหูผางอย่างเอ้อระเหย

“หน้าบูดแต่เช้าเชียว” หูผางกล่าว “ทำไม ฉันถ่วงเวลาเธอหนีเรียนเหรอ”

“เปล่าครับ” อวี้ฝานง่วงจนไม่มีอารมณ์ “เดี๋ยวตอนเคารพธงชาติผมจะยิ้มเยอะๆ แน่นอน”

“…”

หูผางคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาไปมากกว่านี้ จึงชี้ไปที่แถวซึ่งห่างออกไปไม่กี่ก้าวแล้วพูดว่า “ห้องเรียนของพวกเธออยู่ตรงนี้ รีบไปยืนให้ดีๆ! เรื่องที่มาสายฉันค่อยรายงานกับครูประจำชั้นพวกเธออีกที”

“จำไว้ว่าแถวเรียงตามส่วนสูง เธอหาที่เอาเอง เดี๋ยวฝ่ายช่างกล้องของโรงเรียนจะถ่ายรูป!”

หูผางพูดจบก็เดินจากไป อวี้ฝานเดินไปยังตำแหน่งยืนตรงหางแถวที่เขาชี้เมื่อครู่แล้วก้มหน้าหาว

ครอบครัวนั้นที่เพิ่งขนของเข้าไปในอาคารอาศัยอยู่ชั้นบนของเขา เสียงเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ดังติดต่อกันจนกระทั่งตีสามถึงได้หยุดลง

เขานอนหลับไม่สนิทอยู่ในห้อง แค่มีความเคลื่อนไหวนิดเดียวก็ทำให้ตกใจตื่น จึงถูกบีบให้อดหลับอดนอนทั้งคืนตามไปด้วย

เขากำลังจะยืนหลับก็ได้ยินเสียง ‘ปึง’ เสียดหูดังมาจากลำโพงของโพเดียม เป็นเสียงไมโครโฟนตกพื้น

เสียงนี้ดังสนั่นจนอวี้ฝานปวดหู เขาเงยหน้าด้วยความหงุดหงิด อยากจะดูว่าผู้บริหารโรงเรียนคนไหนที่แม้แต่ไมโครโฟนก็ยังถือดีๆ ไม่ได้…

เขาประจันกับท้ายทอยของคนคนหนึ่ง

เวลานี้อวี้ฝานตะลึงงันไปเล็กน้อย

โรงเรียนของพวกเขามีธรรมเนียมที่ว่าการเข้าแถวในระดับชั้นล้วนเรียงตามส่วนสูง อวี้ฝานเป็นคนที่สูงที่สุดในห้องเรียนของพวกเขา ดังนั้นคนที่ยืนอยู่ท้ายแถวทุกครั้งจะเป็นเขาเสมอ แล้วถัดไปด้านหน้าก็คือหวังลู่อัน

อวี้ฝานมองสำรวจครู่หนึ่ง แจ็กเก็ตเครื่องแบบขาวเสียจนเปล่งแสง มีกลิ่นหอมของผงซักฟอกขุมหนึ่ง

เทียบกันแล้วแจ็กเก็ตเครื่องแบบของหวังลู่อันที่ออกเหลืองและเก่า อีกทั้งยังเขียนคำว่า ‘ฉันบ้าระห่ำที่สุดในโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ด’ ไว้ข้างหลังก็เหมือนกับเก็บมาจากในถังขยะ

แล้วนี่ใครกัน

ชั่วพริบตาถัดมาอีกฝ่ายก็หันมาคล้ายกับว่าได้ยินคำถามของเขา

เพราะว่าง่วงเกินไปปฏิกิริยาของอวี้ฝานจึงเชื่องช้าเล็กน้อย เขาประสานสายตากับดวงตาที่ไร้อารมณ์คู่นั้นอยู่เนิ่นนานกว่าจะรู้ตัว…ใบหน้าที่กวนโอ๊ยนี้เขาเคยเห็นมาก่อน

เป็นคนคนนั้นที่เมื่อวานคิดจะมานัดต่อยกับเขา

ชื่อเฉินอะไรเซินสักอย่าง

อวี้ฝานยังนึกไม่ออก อีกฝ่ายก็ขยับตัวก่อนแล้ว

ทันใดนั้นก็เห็นเฉินอะไรเซินสักอย่างเบี่ยงตัวหลีกไปด้านข้าง ระหว่างพวกเขาจึงมีพื้นที่ว่าง

เดิมทีอวี้ฝานอยากจะยืนยันสักหน่อยว่าตนเองยืนผิดแถวหรือเปล่า พอเห็นแบบนั้นก็ซุกมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋ากางเกง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “หาเรื่องสินะ…”

“คนเตี้ยไปยืนข้างหน้า”

คำพูดประโยคเดียวของอีกฝ่ายพลันทำให้อวี้ฝานหมดคำพูด

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: