X
    Categories: everYทดลองอ่านเลิกเรียนแล้วเจอกัน

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 

ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)

แปลโดย : Lucky Luna

ผลงานเรื่อง : 放学等我

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 3

 

ครูและนักเรียนทั้งโรงเรียนอัดกันอยู่บนสนามหญ้า เข้าแถวอย่างแน่นขนัด

เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นักเรียนไม่กี่คนที่อยู่รอบๆ ก็ลอบมองมาทางพวกเขา

อันที่จริงอวี้ฝานไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะยืนตรงไหน ขอแค่จวงฝ่างฉินยินดี จะให้เขายืนเป็นคนแรกของสายชั้นเขาก็ไม่มีปัญหา

ถ้าเป็นคนอื่น เขาจะต้องยืนอยู่ข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าแน่

อวี้ฝานจ้องอีกฝ่าย “ตาข้างไหนของนายเห็นว่าฉันเตี้ยกว่านาย”

เฉินจิ่งเซินได้ยินดังนั้นก็หลุบตาลง ก่อนจะไล่สายตาขึ้นมาอีกครั้ง “ทั้งสองข้าง”

อวี้ฝานมองประเมินอีกที ก่อนจะพยักหน้า “ว่างๆ ฉันจะช่วยนายดู…”

“ดูอะไร ดูที่ไหน” แผ่นหลังของอวี้ฝานถูกตีด้วยแรงไม่หนักไม่เบาทีหนึ่ง เสียงเข้มงวดของผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง “อะไรมันน่าดูกว่าครูใหญ่อีก มองที่โพเดียมซะ!”

พอได้ยินเสียงอันคุ้นเคย อวี้ฝานก็เบ้ปาก มองที่โพเดียมแวบหนึ่งอย่างขอไปที

วันนี้จวงฝ่างฉินสวมชุดสีดำทั้งตัว มีแค่ผ้าพันคอที่เป็นสีม่วงนิดหน่อย ผมของเธอม้วนไว้ด้านหลังศีรษะอย่างพิถีพิถัน ในมือถือสมุดรายชื่อเล่มหนึ่ง ขมวดคิ้วมองคนที่อยู่ตรงหน้า

เพราะสวมแว่นตามานาน ดวงตาของเธอจึงเล็กนิดหน่อย ฟันเหยินเล็กน้อย ลักษณะท่าทางเข้มงวดอย่างยิ่ง

ชั่วพริบตาที่จวงฝ่างฉินปรากฏตัว จู่ๆ เฉินจิ่งเซินก็รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าผ่อนคลายลง โทสะที่เพิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมาสลายไปแล้วกลับมาอยู่ในท่าทีเฉื่อยชาอีกครั้ง

“แผลพวกนี้บนหน้าเธอ สายๆ ช่วยไปที่ออฟฟิศครูแล้วอธิบายอย่างช้าๆ ด้วยล่ะ” จวงฝ่างฉินก้มหน้า เห็นเสื้อสีดำบนตัวเขา สีหน้าพลันแย่ยิ่งกว่าเดิม “ชุดเครื่องแบบเธอล่ะ”

“ลืมครับ”

“ทำไมเธอไม่ลืมเรื่องเปิดเทอมไปเลยล่ะ” จวงฝ่างฉินว่า “เธอดูซิ คนทั้งโรงเรียนใส่ชุดเครื่องแบบ มีแค่เธอคนเดียวที่แปลกเนี่ย! เดี๋ยวสภานักเรียนมาแล้ว ต้องหักคะแนนความประพฤติห้องเราแน่!”

ครูประจำชั้นของห้องข้างๆ กล่าวอย่างหยอกล้อ “วันนี้มีผู้บริหารมาสำรวจ ต้องขอบคุณเธอนะ ครูประจำชั้นของพวกเธอจะได้ถูกวิจารณ์ในที่ประชุมตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอมอีกแล้ว”

เดิมทีอวี้ฝานไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก เมื่อได้ยินดังนั้นก็งอนิ้ว “งั้นผมจะหลบไปก่อน?”

“หุบปาก” จวงฝ่างฉินปวดหัว ยกนิ้วขึ้นมา “ไปยืมแจ็กเก็ตเครื่องแบบเพื่อนมา”

อวี้ฝานเชิดปลายคางมองหาคน “หวังลู่อัน”

“ไม่ต้องตะโกนแล้ว เขาเองก็ใส่มาแค่แจ็กเก็ต” จวงฝ่างฉินแปลกใจ “เธอไม่ยืมเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ล่ะ”

เพื่อนข้างๆ?

อวี้ฝานไม่แม้แต่จะมองคนข้างๆ สักแวบ “ยืมแจ็กเก็ตของเพื่อนห้องอื่นไม่ดีหรอกมั้งครับ”

“ห้องอื่นอะไร” จวงฝ่างฉินว่า “เขาเป็นเพื่อนห้องเดียวกับเธอ”

“…?”

“คนที่ย้ายมาใหม่ นักเรียนย้ายห้อง ต่อไปจะเรียนที่ห้องเรา” จวงฝ่างฉินกล่าวจบก็มองเฉินจิ่งเซินแวบหนึ่งเป็นเชิงถาม “นักเรียนเฉิน ให้เขายืมเครื่องแบบใส่สักเดี๋ยวได้ไหม แน่นอนว่าถ้าไม่โอเคก็ไม่เป็นไร ไม่บังคับ”

อวี้ฝานขมวดคิ้ว คนที่เป็นฝ่ายขอยืมดูท่าทางจะรังเกียจยิ่งกว่าคนที่ถูกยืมเสียอีก

อวี้ฝาน “ผมไม่ยืม…”

“ได้ครับ” เฉินจิ่งเซินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าเขาไม่รังเกียจที่แจ็กเก็ตยาวเกินไป”

อวี้ฝาน “นายถอดมาตอนนี้เลย”

ครึ่งนาทีให้หลังอวี้ฝานรับแจ็กเก็ตมาสวมบนร่างอย่างลวกๆ หลังจากสวมเสร็จแล้วเขาก็ก้มหน้าเช็กให้แน่ใจแวบหนึ่ง

ไม่ได้ยาว พอดิบพอดี น่าจะไซส์เดียวกับแจ็กเก็ตเครื่องแบบของเขา

“สั้นไปหน่อย” เขาเงยหน้าพูด “เลิกแถวแล้วจะคืนนายก็แล้วกัน”

ตรงกลางเสื้อของอวี้ฝานพิมพ์ลายรูปหัวกะโหลกซึ่งลอกล่อนไปนิดหน่อย เขาสวมกางเกงสีดำ บนใบหน้ายังมีพลาสเตอร์แปะไว้เบี้ยวๆ หลายแผ่น เมื่อเขาสวมแจ็กเก็ตเครื่องแบบที่สะอาดสะอ้าน จึงดูไม่เข้ากันเอาเสียเลย

เฉินจิ่งเซินมองรอยช้ำที่โผล่ออกมาจากขอบพลาสเตอร์ จู่ๆ ก็ยกมือขึ้น

อวี้ฝานปัดออกไปด้วยปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ “จะทำอะไร”

เฉินจิ่งเซินถอดแจ็กเก็ตแล้ว ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตเครื่องแบบของโรงเรียน ติดกระดุมจนถึงบนสุด สันหลังตั้งตรง ถูกระเบียบเป๊ะ

มือของเฉินจิ่งเซินค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ลู่ลงข้างตัว “ปกเสื้อน่ะ”

เดิมทีอวี้ฝานอยากจะพูดว่าเกี่ยวอะไรกับนายด้วย แต่พอคิดๆ ดูแล้วเสื้อที่ตนสวมก็เป็นเครื่องแบบของคนอื่น ดังนั้นเขาจึงจัดเสื้ออย่างลวกๆ ครู่หนึ่ง

จวงฝ่างฉินมองอย่างพึงพอใจ “เอาล่ะ เธอสวมดีๆ ก็แล้วกัน อย่างทำเลอะ เสร็จแล้วก็จำไว้ว่าต้องคืนให้เขาด้วย”

ผ่านไปสักพักเธอก็รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง

ทันใดนั้นก็ใช้มุมสมุดกระทุ้งทั้งสองคน “เดี๋ยวก่อน แถวเรียงตามส่วนสูง เธอสองคนเปลี่ยนที่กันซิ”

อวี้ฝาน “…”

สองวินาทีให้หลังเขาก็เลิกดื้อดึงด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ถอยออกมาจากบัลลังก์ตำแหน่งหลังสุดของแถว

ในที่สุด ‘เพลงมาร์ชงานกีฬา’ ก็หยุดลง ทั้งโรงเรียนเคารพธงชาติพร้อมกัน ครูใหญ่กระแอมแล้วเริ่มกล่าวสุนทรพจน์อันฮึกเหิมของเขา

ปกติเวลานี้อวี้ฝานน่าจะยืนหลับไปแล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังถ่างหนังตา จ้องตีนผมของครูใหญ่อย่างเหม่อลอย

วันนี้เสียงไมโครโฟนของโรงเรียนดังกว่าปกติมาก หนวกหูจนเขาหลับไม่ลง

ครั้งนี้ครูใหญ่มาอย่างเตรียมพร้อม พูดน้ำไหลไฟดับมาครึ่งชั่วโมงแล้ว อวี้ฝานยืนจนหงุดหงิด ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแจ็กเก็ตตามความเคยชิน…จากนั้นก็แตะเข้ากับของบางอย่าง

บางมาก สัมผัสเรียบลื่น มีขอบมุม

เขาง่วงจนปวดหัว และฉวยโอกาสดึงมันออกมา

อวี้ฝานเห็นของในมือชัดเจนแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย

เป็นซองจดหมายสีชมพู ด้านบนไม่มีลายมือใดๆ แต่ดูจากสัมผัสที่มือแล้ว ข้างในน่าจะใส่จดหมายไว้ฉบับหนึ่ง

ตรงผนึกซองมีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีแดงเล็กๆ ดวงหนึ่ง สีพื้นเฉดเดียวกับซองจดหมาย ป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ถึงสถานะของมัน

นี่คือ…จดหมายรัก?

ยัดเข้ามาตอนไหนเนี่ย

อวี้ฝานขมวดคิ้วคิดครู่หนึ่ง นึกที่มาที่ไปของจดหมายฉบับนี้ไม่ออก

ขณะที่เขากำลังคิดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง สายตาก็กวาดไปเห็นแขนเสื้อของเครื่องแบบที่เหมือนเคยผ่านการซักด้วยน้ำยาฟอกขาวและไม่เข้าพวกกับคนรอบๆ

เชี่ย

อวี้ฝานพลันได้สติกลับคืนมา…ที่เขาสวมอยู่ตอนนี้เป็นแจ็กเก็ตของเฉินจิ่งเซิน

จดหมายรักฉบับนี้เป็นของเฉินจิ่งเซิน

อวี้ฝานได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว จึงเก็บจดหมายฉบับนี้กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตเหมือนเดิม จากนั้นก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก

เฉินจิ่งเซินกำลังมองที่โพเดียม ฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ท่าทางตั้งอกตั้งใจทีเดียว

ฝ่ายช่างกล้องของโรงเรียนชอบถ่ายนักเรียนประเภทนี้ที่สุด ลักษณะผึ่งผายและเหมือนหนอนหนังสือ

หนอนหนังสือแบบนี้ก็มีปั๊ปปี้เลิฟเป็นด้วย?

เฉินจิ่งเซินรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา หลุบตาลงเล็กน้อย “มีอะไร”

ดูท่าทางอีกฝ่ายคงไม่ได้สังเกตการกระทำของเขาเมื่อครู่หรอก

อวี้ฝานหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว “เปล่า”

ตอนที่พิธีเปิดภาคเรียนเสร็จสิ้น อวี้ฝานก็ถอดแจ็กเก็ตยัดใส่อกคนข้างหลัง “คืนนาย”

เฉินจิ่งเซินถือแจ็กเก็ตรอสองวินาที “ไม่เป็นไร”

“…”

พอหวังลู่อันที่อยู่กลางแถวหันกลับมาก็เห็นหลังของเพื่อนสนิทเขาผละออกไปแล้ว

เขารีบตามไป “แม่ง ทำไมนายเดินเร็วขนาดนี้เนี่ย นายบอกว่าจะไม่มาเข้าแถวไม่ใช่หรือไง”

หวังลู่อันมักจะคุยไปเรื่อยตอนเคารพธงชาติ ทำให้ห้องถูกหักคะแนน เช้าวันนี้พอจวงฝ่างฉินเห็นเขาก็เตือนว่าถ้าพูดประโยคหนึ่งก็จะเพิ่มการบ้านอีกชุดหนึ่ง เขาถูกบีบให้อดกลั้นตลอดทั้งตอนเคารพธงชาติ

อวี้ฝานบอก “ถูกเสืออ้วนจับได้”

“ซวยขนาดนั้น?” หวังลู่อันมองบันไดอาคารเรียนแวบหนึ่ง คนออกันแน่นขนัด “เชี่ย มันเบียด…หรือไม่พวกเราไปโรงอาหารกันก่อนดีกว่า ฉันกินข้าวเช้าไม่อิ่มพอดี”

“ไม่ไป” อวี้ฝานไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป “ง่วง ฉันจะกลับไปนอน”

 

พอจวงฝ่างฉินเข้าไปในห้องเรียนก็เห็นศีรษะของคนที่กำลังฟุบอยู่แถวสุดท้าย

เธอโยนสมุดรายชื่อไว้บนโพเดียม ก่อนกล่าวด้วยระดับเสียงที่เคยถูกครูห้องข้างๆ หลายคนตำหนิมานับครั้งไม่ถ้วน “นักเรียนที่ง่วงไปล้างหน้าที่ห้องน้ำเอาเองนะ เร็วๆ หน่อย เรายังต้องโฮมรูมอีก”

อวี้ฝานลุกขึ้นนั่งอย่างเนิบช้า ถูกความเคลื่อนไหวนี้ก่อกวนจนขมับเต้นตุบๆ

เขาคลึงหน้า ขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้น

“อวี้ฝาน ไม่อนุญาตให้เธอไป”

อวี้ฝานหยุดอยู่ที่เดิมแล้วเลิกคิ้ว…ทำไมครับ

“เธอไปแล้วยังจะกลับมา?” จวงฝ่างฉินชี้ที่บอร์ดข่าว “ง่วงก็ไปยืนข้างหลัง เดี๋ยวก็ตื่น”

อวี้ฝานอยู่ที่เดิมพร้อมครุ่นคิดไม่กี่วินาทีก็กลับลงไปนั่ง

เขานั่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน ศีรษะลู่ลงกึ่งหนึ่ง ดูท่าทางไม่กระปรี้กระเปร่า

จวงฝ่างฉินข่มกลั้น ก่อนจะก้มลงเสียบแฟลชไดรฟ์ของตนเข้ากับคอมพิวเตอร์ “ก่อนโฮมรูมครูจะพูดก่อนสองเรื่อง”

“เรื่องแรกในห้องจะมีนักเรียนใหม่มาสองคน เฉินจิ่งเซินและอู๋ซือเป็นนักเรียนที่ย้ายมาจากห้องหนึ่ง ตรงนี้ครูจะไม่แนะนำมากแล้ว เลิกเรียนพวกเธอค่อยทำความรู้จักกันก็แล้วกัน นักเรียนใหม่ทั้งสองคนต่างก็มีผลการเรียนดีเด่น พฤติกรรมการเรียนก็ดี พวกเธอเรียนรู้กับพวกเขาให้มากๆ ล่ะ”

“เรื่องที่สอง…” จวงฝ่างฉินเปิดตารางเอ็กซ์เซลที่มีชื่อไฟล์ว่า ‘อันดับผลการสอบปลายภาคเทอมที่แล้วของชั้นมัธยมปลายปีสองห้องเจ็ด’ “ก็คืออันดับผลการสอบปลายภาคเทอมที่แล้วของพวกเธอ”

ในห้องเรียนพลันส่งเสียงร้องระงม

อวี้ฝานไม่ค่อยสนใจเรื่องอันดับเท่าไหร่ เขาเหลือบมองคร่าวๆ แวบเดียวก็เห็นชื่อที่อยู่ลำดับบนสุดแล้ว

“เฉินจิ่งเซิน คณิตศาสตร์ 150 ภาษาจีน 110 ภาษาอังกฤษ 148 วิทยาศาสตร์…เชี่ย คะแนนเต็ม?” หวังลู่อันเอ่ยอย่างตื่นตกใจ “อวี้ฝาน นายตั้งใจลอกเฉลยยังได้คะแนนไม่เท่านี้เลยนะ!”

อวี้ฝานกล่าว “งั้นนายแม่งก็เอาตัวเองมาเปรียบกับฉันดิ”

“โคตรโหด” โต๊ะข้างหน้าหันหน้ามา “หมอนี่น่ากลัวชะมัด นอกจากภาษาจีนแล้วก็ไม่มีจุดอ่อนอย่างอื่นเลย”

หวังลู่อันพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ “ดูท่าทางเด็กท็อปก็ไม่ชอบท่องตำราเหมือนกัน”

“ก็ไม่เชิงหรอก” อีกฝ่ายคิดครู่หนึ่ง “ฉันได้ยินเพื่อนห้องหนึ่งบอกว่าเขาชอบเขียนเรียงความนอกประเด็นน่ะ”

“…”

“ที่หนึ่งของสายชั้นที่มาอยู่ห้องเราก็คือนักเรียนเฉินจิ่งเซิน”

พอพูดประโยคนี้ออกไปจวงฝ่างฉินเองก็ยังรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง “นอกจากการเขียนเรียงความนอกประเด็นในวิชาภาษาจีนที่ทำให้คะแนนหายไปค่อนข้างเยอะแล้ว วิชาอื่นๆ ที่เหลือล้วนไม่มีปัญหาอะไร ก่อนที่ครูแต่ละวิชาจะอธิบายโจทย์ พวกเธอสามารถยืมข้อสอบของเขามาดูก่อนได้”

พอกล่าวคำพูดนี้ออกไปคนในห้องเรียนต่างก็มองไปยังแถวที่เจ็ดของกลุ่มแรกอย่างอดไม่ได้

เฉินจิ่งเซินไม่ได้เงยหน้า ในมือจับปากกา กำลังพลิกอ่านหนังสือตะลุยโจทย์ ดูเหมือนไม่สนใจสิ่งที่ฉายอยู่บนจอเลยสักนิด

ทำเป็นเก่ง

อวี้ฝานเก็บสายตากลับมา

“นักเรียนคนอื่นๆ แสดงศักยภาพได้ค่อนข้างธรรมดา คะแนนเฉลี่ยของห้องยังไม่ติดการสอบจำลองเข้ามหา’ลัยเลย ครูหวังว่าพวกเธอจะคิดกันให้ดีๆ เอาคะแนนนี้ไปสอบเข้ามหา’ลัย พวกเธอจะติดมหา’ลัยอะไรได้?”

ด้านล่างโพเดียมมีคนบ่นว่า “ถ้าสอบเข้ามหา’ลัยยากเท่าข้อสอบครั้งนี้ ฉันไปขนอิฐขนปูนเลยดีกว่า”

“คนอื่นสอบได้คะแนนเต็ม แม้แต่โจทย์ฉันยังอ่านไม่เข้าใจเลย”

“ยังมีนักเรียนส่วนน้อย…” จวงฝ่างฉินเลื่อนตารางลงมาด้านล่างสุด เม้าส์หยุดอยู่ที่ชื่อสุดท้าย

เธอมองวิชาคณิตศาสตร์ที่มีคะแนนอยู่เก้าคะแนน ลูกศรชี้อยู่ตรงนั้นนานมาก สุดท้ายก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว “วางแผนจะไปเก็บขยะหรือไง”

“ยังไม่ได้คิดดีๆ เลยครับ” อวี้ฝานใคร่ครวญครู่หนึ่ง “แต่จะพิจารณาดูก็ได้”

จวงฝ่างฉินคว้าเอาปากกาสีชมพูด้ามหนึ่งขึ้นมาแล้วส่งไปทักทายศีรษะเขา

 

 

บทที่ 4

 

โฮมรูมสี่สิบนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น จวงฝ่างฉินเมินเสียงที่เสียดหูนี้และพูดต่อ “อีกสองวันครูจะปรับที่นั่งใหม่ นักเรียนที่มีไอเดียหรือความเห็นเกี่ยวกับที่นั่งสามารถไปหาครูที่ออฟฟิศเป็นการส่วนตัวได้ ทีมของหัวหน้าห้องก็ยังคงเป็นกลุ่มเดิม…”

ร่างของคนคนหนึ่งหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียน

จวงฝ่างฉินหันไปก็สบสายตากับหูผาง ก็เข้าใจโดยไม่ต้องพูดกัน

“เอาล่ะ งั้นก็เลิกโฮมรูม ตัวแทนของแต่ละวิชาเก็บการบ้านปิดเทอมฤดูหนาวมาด้วย”

ได้ยินคำว่า ‘เลิกโฮมรูม’ ศีรษะของอวี้ฝานก็ฟุบลงไปทันที…

“อวี้ฝาน ครูมีเรื่องจะคุยกับเธอ” เสียงของจวงฝ่างฉินเย็นเยียบ “เธอไปรอที่ออฟฟิศ ครูคุยธุระกับหัวหน้าหูเสร็จจะตามไป”

“…”

เพิ่งเสร็จคาบโฮมรูมไม่นาน ออฟฟิศครูนั้นว่างเปล่า

โต๊ะทำงานของจวงฝ่างฉินมีสมุดวางซ้อนกันเป็นกองสูง อีกด้านหนึ่งมีคอมพิวเตอร์และแผนการสอนวางอยู่ ทั้งโต๊ะมีที่ว่างแค่ตรงกลาง

ลมเย็นๆ เล็ดลอดเข้ามาจากช่องหน้าต่าง สบายตัวสบายใจ

อวี้ฝานจ้องมองพื้นที่ว่างนี้ครู่หนึ่ง ก่อนจะฟุบหลับลงไปโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

 

“อยู่ห้องใหม่ชินไหม”

“ครับ”

“ความคืบหน้าในการเรียนของห้องทั่วไปแย่กว่าห้องหนึ่งมาก เธอต้องทำโจทย์สม่ำเสมอ อย่าให้มีผลกระทบ”

“ครับ”

“ผู้ปกครองของเธอเองก็เป็นห่วงเรื่องนี้มาก วันนี้ตอนเช้าก็โทรมาหาครูโดยเฉพาะ ครูเองก็พูดกับท่านแล้วว่าการจับกลุ่มห้องใหม่เป็นแค่มาตรการรับมืออย่างหนึ่ง รอผ่านช่วงนี้ไปโรงเรียนยังจะมีการจัดการใหม่อีกครั้ง”

อวี้ฝานหลับตารออยู่นานมากแล้ว เขาไม่รอจนถึงคำว่า ‘ครับ’ ที่ไร้ชีวิตชีวานั่น

อวี้ฝานเงยหน้าขึ้นมาจากวงแขน ไม่พอใจที่ถูกรบกวน จึงมองไปข้างหน้าโดยที่มีสมุดแบบฝึกหัดสูงเท่าภูเขากั้นอยู่

อวี้ฝานมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้ชัดเจนแล้วก็หรี่ตา

ตามหลอกหลอนไม่เลิกเลยสินะ

เฉินจิ่งเซินยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานอย่างสงบนิ่งและพูดคุยกับอดีตครูประจำชั้นห้องหนึ่ง

อวี้ฝานไม่ได้เคลื่อนไหวกระโตกกระตาก บวกกับตรงกลางระหว่างพวกเขามีโต๊ะทำงานสามตัวคั่นและพาร์ทิชั่นบังไว้ คนที่อยู่ด้านหน้าจึงไม่เห็นเขา

“แต่ผู้ปกครองของเธอยังคงเป็นห่วง เจตนาของท่านคือจะให้ครูช่วยย้ายเธอไปห้องที่ดีกว่านี้หน่อย ถึงยังไงห้องที่เธออยู่ตอนนี้…”

“ไม่ต้องหรอกครับ” ในที่สุดเขาก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบ

ครูประจำชั้นห้องหนึ่งชะงัก “แต่แม่ของเธอ…”

“จะห้องไหนก็เป็นห้องทั่วไป ไม่มีอะไรต่างกัน”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเย็นชา เปลือกตาชั้นเดียวบางๆ หลุบมองข้างล่าง

อวี้ฝานเท้าคางมองดูละครอย่างเอื่อยเฉื่อย

“เธอเพิ่งย้ายไปที่ห้องนั้น บางทีอาจจะยังไม่รู้” ครูประจำชั้นห้องหนึ่งละล้าละลัง “ถึงจะเป็นห้องทั่วไปเหมือนกันหมด แต่บรรยากาศของห้องเจ็ด…แย่กว่าห้องอื่นนิดหน่อย คะแนนเฉลี่ยเป็นที่โหล่ตลอด การประเมินทางวินัยด้านสุขอนามัยของห้องก็เป็นอันดับสุดท้ายตลอด แถมในห้องยังมีพวกเกเรที่ขึ้นชื่ออีกหลายคน…มีคนที่ชื่ออวี้ฝาน เธอน่าจะเคยเจอ มักอ่านคำสำนึกผิดตอนเคารพธงชาติเป็นประจำ ความกังวลของแม่เธอก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ล้วนเป็นเพราะหวังดีต่อเธอ…”

แกร๊ก

เสียงปากกาหล่นลงพื้น

เสียงของครูประจำชั้นห้องหนึ่งหยุดชะงัก ทั้งสองคนหันไปมองด้านหลังพร้อมกัน

อวี้ฝานก้มเก็บปากกาแล้วเงยหน้าสบตากับพวกเขา

เมื่อเห็นเขา บ่าและหลังของเฉินจิ่งเซินที่เคร่งตึงมาโดยตลอดก็ผ่อนคลายลงทันใด ท่าทางสุขุมกลับคืนมาอีกครั้ง

ครูประจำชั้นห้องหนึ่งยังคงอยู่ในท่าอ้าปาก

เธอเห็นพลาสเตอร์บนใบหน้าของอวี้ฝาน นึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่าอวี้ฝานต่อยครูขึ้นมา ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นรางๆ นานกว่าเธอจะหาเสียงเจอ “เธอ…”

อวี้ฝานกล่าว “ผมคิดว่าครูพูดถูก”

“…?”

ไม่รอให้เธอได้สติกลับมาอวี้ฝานก็พูดต่อ “คนโหดๆ อย่างผมขู่ให้เด็กหัวกะทิตกใจกลัวมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเห็นด้วยที่ให้เขาย้ายไปซะ”

“ใครโหด ใครจะย้ายไป” เสียงของจวงฝ่างฉินดังมาจากหน้าประตู เมื่อเห็นสถานการณ์ข้างในชัดเจน เธอก็ตะคอกด้วยความเดือดดาล “อวี้ฝาน! ใครอนุญาตให้เธอนั่งที่ครู ครูเรียกเธอมาเพื่อให้เธอมาหลับเหรอ ครูไปตั้งเตียงให้เธอถึงห้องเรียนเลยเป็นไง”

ครูประจำชั้นห้องหนึ่งนิ่งเงียบ “…”

อวี้ฝานเอ่ย “ผมไม่ได้หลับ”

“งั้นรอยบนหน้าเธอใครเป็นคนกดให้” จวงฝ่างฉินวางของที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ “ทำไม ยังไม่ลุกขึ้นมาอีก จะให้ครูยืนพูดส่วนเธอนั่งฟังหรือไง”

อวี้ฝานจิ๊ปากทีหนึ่งแล้วลุกขึ้นไปยืนด้านข้างอย่างเชื่องช้า

เฉินจิ่งเซินเก็บสายตากลับมา “ครูครับ ผมจะไม่ย้ายห้อง ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”

ครูประจำชั้นห้องหนึ่งได้สติกลับคืนมา ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา

บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกกระอักกระอ่วน หลังจากนั้นครึ่งนาทีเธอก็หอบแผนการสอนออกไปอย่างเร่งรีบ

ออฟฟิศครูจึงเหลือเพียงสองคน

แม้จวงฝ่างฉินจะไม่ได้ยินทั้งหมด แต่ดูจากสถานการณ์เมื่อครู่ก็เดาได้แปดเก้าส่วนแล้ว

“ดูเธอสิ ทำลายภาพลักษณ์ของห้องเราให้เป็นแบบไหนไปแล้ว” เธอหยิบแก้วเก็บอุณหภูมิขึ้นมาดื่มน้ำอึกหนึ่ง “พูดซิว่าที่หน้าไปทำอะไรมา”

“ล้มครับ”

“คำพูดนี้เธอไว้หลอกหัวหน้าครูก็พอ” จวงฝ่างฉินถาม “ทะเลาะกับคนเขาอีกแล้วใช่ไหม”

อวี้ฝานมองนอกหน้าต่าง ไม่ส่งเสียง

“ครูพูดกับเธอกี่ครั้งแล้ว เธอเป็นนักเรียน อย่าเอาแต่ต่อยตีกับวัยรุ่นที่ไม่เรียนหนังสือหนังหาข้างนอกพวกนั้น ทำเรื่องที่เด็กวัยเธอควรทำจะได้ไหม”

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีท่าทีเอ้อระเหยลอยชาย สีหน้าไม่ยี่หระ ท่าทางเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก*

จวงฝ่างฉินโมโหจนกรอกน้ำอุ่นใส่ปากอึกหนึ่ง “อีกอย่างเมื่อกี้หัวหน้าครูบอกครูว่าเมื่อวานเธอคุกคามนักเรียนใหม่ที่นอกโรงเรียน แถมในมือยังถือมีดด้วย มันเกิดอะไรขึ้น”

อวี้ฝานกล่าว “เขาแต่งเรื่องได้ขนาดนี้ทำไมไม่ตีพิมพ์หนังสือซะล่ะครับ”

“เล่มนี้…” จวงฝ่างฉินเคาะสมุดแบบฝึกหัดเล่มหนึ่งบนโต๊ะ “ก็คือสื่อการสอนคณิตศาสตร์ที่หัวหน้าครูหูเรียบเรียง”

“…”

อวี้ฝานแข็งค้างไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ผมไม่ได้คุกคามเขา มีดเป็นของที่เก็บได้ ส่วนคนไม่ได้รู้จัก”

“บนถนนยังเก็บมีดได้ด้วย?” จวงฝ่างฉินมองกระเป๋ากางเกงเขา “มีดล่ะ”

“อยู่ที่บ้านครับ เก็บไว้หั่นผัก”

“…”

จวงฝ่างฉินจ้องเขาพักหนึ่ง ในใจผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เธอดูแลห้องนี้มานานขนาดนี้ จึงเข้าใจนักเรียนในห้องอยู่บ้าง โดยเฉพาะอวี้ฝาน ดูจากน้ำเสียงและท่าทางของเขาน่าจะไม่ได้ทำอะไรจริงๆ

แต่ดูจากสถานการณ์ตอนเคารพธงชาติเมื่อเช้านี้ประกอบกัน เขาเองก็ไม่ได้ต้อนรับเพื่อนใหม่ขนาดนั้นเหมือนกัน

“จะเชื่อเธอก่อนก็แล้วกัน” สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยน “เริ่มเทอมใหม่แล้ว มีแผนการเรียนอะไรบ้างหรือยัง”

“ท่องตารางสูตรคูณเก้าคูณเก้า* ครับ”

“เธอพูดอีกหน่อยสิ ดูซิว่าจะทำครูโมโหจนเข้าโรงพยาบาลได้หรือเปล่า” จวงฝ่างฉินถลึงตาใส่เขาก่อนจะเปิดลิ้นชัก หยิบเอาหนังสือติวใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้าเขา “นี่คือหนังสือที่ครูตั้งใจไปหาจากร้านหนังสือมาให้เธอโดยเฉพาะ รูปแบบโจทย์ข้างในเป็นแบบพื้นฐานทั้งนั้น วิธีอธิบายก็ง่ายมาก เธอเอากลับไปอ่านไปทำให้เยอะๆ ทำไม่เป็นก็มาหาครูที่ออฟฟิศ”

อวี้ฝานจ้องปกหนังสืออยู่สักพักแล้วก็กลืนคำว่า ‘อย่าเปลืองเงินเลยครับ’ กลับลงคอไป

“อ้อ” ก่อนออกไปจวงฝ่างฉินเรียกเขาไว้อีกครั้ง

“ยังมีอีก” จวงฝ่างฉินกำลังคิดว่าจะพูดอย่างไรดี “นักเรียนที่ย้ายห้องครั้งนี้ล้วนเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่น เธอต้องเอาพวกเขาเป็นแบบอย่าง พยายามอย่าไปปะทะกับพวกเขา…”

“ครูวางใจได้ครับ” อวี้ฝานไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป “ผมเป็นโรคภูมิแพ้นักเรียนหัวกะทิ ต่อไปถ้าเขาเข้าใกล้ผมฟุตหนึ่ง ผมก็จะออกห่างเขาสิบฟุต สร้างสภาพแวดล้อมในการเรียนที่ดีและกลมเกลียวให้นักเรียนใหม่อย่างเต็มที่”

 

วิชาพลศึกษาคาบแรกหลังจากเปิดภาคเรียน อวี้ฝานก็โดดทันที

ห้องน้ำชั้นหนึ่งของตึกปฏิบัติการมีควันบุหรี่ลอยคลุ้ง ปกติทางนี้ไม่มีครู เสืออ้วนที่มักมาลาดตระเวนจับคนเป็นประจำก็ไปประชุม นักเรียนชายหลายคนยืนรวมกลุ่มกันสูบบุหรี่ที่ห้องน้ำอย่างไม่เกรงกลัว

“พวกโง่เง่าของโรงเรียนข้างๆ กลุ่มนั้น ไม่กล้าตัวต่อตัว รู้จักแต่เล่นสกปรก ครั้งหน้าเราหาเวลาไปหาพวกมันที่ประตูหลังโรงเรียนกัน”

“พวกมันก็ตลกจริงๆ ดักใครไม่ดัก ดันมาดักผู้ชายที่เจ๋งที่สุดของโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ด…”

“ขอบคุณที่เชิญ คนในที่เกิดเหตุก็คือเพื่อนฉันเอง โดนซัดไปคนละหมัด ต่อยจนพวกมันอึราดเต็มพื้น” หวังลู่อันมองคนที่อยู่ข้างๆ “ใช่ไหมเพื่อนยาก”

“ไสหัวไป”

อวี้ฝานลากเก้าอี้มาจากห้องเรียนว่างๆ ที่อยู่ด้านข้าง ตอนนี้นั่งไขว่ห้างอย่างเอื่อยเฉื่อย เขาก้มหน้า มือข้างหนึ่งควบคุมตัวละครในเกมในมือถือ มืออีกข้างหนึ่งคีบบุหรี่เอาไว้ “คุยเรื่องของพวกนายไปสิ ไม่ต้องมาคุยกับฉัน”

“แม่ง…” นักเรียนชายที่อยู่ขวาสุดนั่งลงบนพื้น จ้องตารางผลการเรียนที่อยู่ในจอโทรศัพท์มือถือ “ทำไม ม.ปลายปีสอง เทอมหน้ายังมีนักเรียนย้ายห้องด้วย แถมห้องเรายังมาทีเดียวสี่คน ทำให้อันดับของฉันหล่นฮวบจากที่ห้าสิบเจ็ดเป็นหกสิบเอ็ดของห้อง!”

หวังลู่อันหัวเราะเยาะเขา “ไม่เห็นต่างกัน ก็อันดับท้ายสุดอยู่ดี”

“ไสหัวไป” คนคนนั้นพ่นควันใส่หวังลู่อันแล้วลุกขึ้นพูด “เดี๋ยวจะเลิกเรียนแล้ว ไปเล่นบาสไหม”

หนึ่งคนเรียกร้อยคนขานรับ คนอื่นๆ ต่างพากันดับบุหรี่ ทั้งยังโบกมือไล่กลิ่นบุหรี่กันอย่างชำนาญ

เมื่อเห็นคนที่นั่งนิ่งไม่ขยับบนเก้าอี้ คนคนนั้นจึงถามว่า “อวี้ฝาน นายไม่ไปเหรอ”

“ไม่ไป จะเล่นเกม”

หวังลู่อันพูดขึ้นทันที “งั้นฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน”

กลุ่มคนเดินจากไปอย่างเอิกเกริก

อวี้ฝานพิงพนักเก้าอี้ ฆ่าคนในเกมจนสะใจแล้วก็ได้ยินเสียงพิมพ์ข้อความดังต๊อกๆ แต๊กๆ มาจากด้านข้าง

หวังลู่อันมีนิสัยแปลกๆ คือชอบฟังเสียงกดจากการตั้งค่าเริ่มต้นของโทรศัพท์มือถือตอนพิมพ์ข้อความ ซึ่งมันหนวกหูสุดๆ

อวี้ฝานหยุดเกมชั่วคราว แล้วหันหน้าไปถามเขา “นายกำลังส่งโทรเลขหรือไง”

“ฉันแชตอยู่” หวังลู่อันกล่าว “กำลังสืบเรื่องเฉินจิ่งเซินจากคนอื่น”

“…?”

อวี้ฝานแปลกใจ “สืบเรื่องเขาทำไม”

“นายว่าไงล่ะ” หวังลู่อันกล่าว “คนคนนั้นเป็นที่หนึ่งของสายชั้นเชียวนะ! ฉันต้องสืบสักหน่อยว่าเขาคุยง่ายหรือเปล่า ดูว่าต่อไปสอบย่อยหรือการบ้านต่างๆ จะให้เขาช่วยได้ไหม”

อวี้ฝานเมินเฉย “อ้อ”

สักพักหวังลู่อันก็วางโทรศัพท์มือถือแล้วถอนหายใจ

คนที่เขาคุยด้วยคือเพื่อนที่เมื่อก่อนก็อยู่ห้องหนึ่งเหมือนกัน อีกฝ่ายบอกเขาอย่างอ้อมๆ โดยไม่แม้แต่จะคิด ‘หมดหวัง’

อีกฝ่ายเล่าว่าเด็กท็อปคนนี้ตอนอยู่ห้องหนึ่งก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเย็นชาพูดน้อย นิสัยเหมือนกับหน้าตาเป๊ะ ปกติเอาโจทย์ที่ทำไม่เป็นไม่กี่ข้อไปขอให้เขาสอน บางทีเขาอาจจะยื่นมือมาช่วยบ้าง ส่วนเรื่องอื่นลืมไปได้เลย คุยไม่เกินสิบประโยค

“อ้อ ใช่แล้ว เพื่อนฉันยังบอกอีกว่าครอบครัวของเฉินจิ่งเซินดูเหมือนจะรวยสุดๆ” หวังลู่อันกล่าว “เขาบอกว่าประชุมผู้ปกครองครั้งที่แล้วแม่ของเฉินจิ่งเซินไฟต์โคตรเจ๋ง…เฮ้ย แผลที่หลังมือนายหายเร็วดีจัง”

อวี้ฝานเอียงข้อมือ

แผลเล็กๆ อย่างนี้ไม่นานก็สมานได้แล้ว มันเริ่มตกสะเก็ดตั้งแต่ตอนกลับบ้านเมื่อเย็นวาน

เขาจ้องแผลนี้สักพัก ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็อยากจะยื่นมือไปจับสักหน่อย

ทำแผลปริ เลือดก็น่าจะไหลอีกครั้ง จากนั้นเป็นหนอง แล้วก็อักเสบ

มืออีกข้างของอวี้ฝานยกขึ้นมาแตะบนรอยแผล ทันใดนั้นก็ถูกคนข้างๆ กระแทกไหล่แรงๆ หลายที

เขาพลันได้สติกลับคืนมา เหม่อไปสองวินาทีถึงได้ถาม “อยากตาย?”

“เปล่า เชี่ย นายดูนอกหน้าต่างสิ!” หวังลู่อันพูดด้วยเสียงกระซิบ “แม่งว่าคนลับหลังไม่ได้จริงๆ นั่นเฉินจิ่งเซินป้ะ”

อวี้ฝานมองออกไปข้างนอกโดยอัตโนมัติ

ไม่ต้องดูหน้า แค่เห็นชุดเครื่องแบบฤดูหนาวสีเขียวขาวที่ปลิวไหวชุดนั้น อวี้ฝานก็ยืนยันได้ว่าเป็นใคร

จากมุมนี้พวกเขาสามารถเห็นได้เพียงร่างด้านข้างที่สูงโปร่งของเฉินจิ่งเซิน

ตรงหน้าเขามีนักเรียนหญิงคนหนึ่งยืนอยู่

หวังลู่อันหรี่ตา “ข้างๆ เขานั่นคือจางเสียนจิ้ง?”

คนที่ทำให้จวงฝ่างฉินปวดหัวในมัธยมปลายปีสองห้องเจ็ดมีอยู่สองคน หนึ่งคืออวี้ฝาน อีกหนึ่งก็คือจางเสียนจิ้ง

จางเสียนจิ้ง* ดัดผม ย้อมผม สูบบุหรี่ โดดเรียน และเคยตีนักเรียนชายร้องไห้มานับไม่ถ้วนตั้งแต่มัธยมปลายปีหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามกับความหมายในชื่อของเธอโดยสิ้นเชิง เธอรูปร่างหน้าตาสะสวย ตอนมัธยมปลายปีหนึ่งยังมีคนคอยตามจีบเธอเป็นโขยง แต่หลังจากชื่อเสียงขจรขจายไปไกล นักเรียนชายจำนวนมากเห็นเธอแล้วล้วนเป็นอันต้องเดินอ้อม

“พวกเขาทำอะไรกันน่ะ…” หวังลู่อันพึมพำ

เมื่อพูดจบก็เห็นจางเสียนจิ้งเดินไปหาเฉินจิ่งเซินก้าวหนึ่ง ผมลอนสวยๆ ส่ายไปตามการเคลื่อนไหวอยู่กลางสายลม

“นี่ นายชื่อเฉินจิ่งเซินสินะ” เธอยิ้มออกมา ริมฝีปากที่ทาลิปสติกยกขึ้นอย่างสว่างสดใส “ฉันชอบนาย คบกับฉันได้ไหม”

อวี้ฝานหนังตากระตุก ลุกขึ้นคิดจะเดินออกไป

หวังลู่อันรีบคว้าเขาไว้ “จะไปไหน ไม่ดูให้จบก่อนแล้วค่อยไป?”

“น่าเบื่อ”

“อย่าเพิ่ง ดูอีกหน่อยสิ” หวังลู่อันกล่าว “นายว่าจางเสียนจิ้งเป็นบ้าหรือเปล่า นักเรียนสามดี** อย่างเฉินจิ่งเซินจะมีปั๊ปปี้เลิฟกับคนอื่นได้ยังไงกัน”

อวี้ฝานนึกถึงจดหมายรักสีชมพูฉบับนั้นก็คิดในใจว่าช่างเถอะ

 

* หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก เปรียบเปรยถึงคนที่เมื่อทำการตัดสินใจสิ่งใดแล้ว ย่อมไม่มีความหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น

* ตารางสูตรคูณเก้าคูณเก้า หรือตารางสูตรคูณแบบจีน เป็นกฎการคำนวณพื้นฐานที่ใช้ในการคำนวณ เช่น การคูณเลขฐานสิบ การหาร การถอดราก เป็นต้น

* เสียนจิ้ง มีความหมายว่าสุภาพและเยือกเย็น

** นักเรียนสามดี คือนักเรียนที่มีคุณธรรมดี เรียนดี และสุขภาพดี

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: