ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
วันต่อมาอวี้ฝานตื่นสายอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย
เขาปล่อยให้เลยตามเลย เดินไปทางประตูโรงเรียนอย่างเนิบช้า คิดคำนวณในใจว่าจะเจรจากับ รปภ. เฒ่าอย่างไรดีถึงจะสามารถเลี่ยงการกระทำที่ไม่เข้าท่าอย่างการไปปีนกำแพงได้…
“นี่เพิ่งเปิดเทอมวันที่เท่าไหร่เองฮะ” เสียงของเสืออ้วนดังมาจนถึงร้านโชห่วยที่อยู่ใกล้ๆ “เพิ่งเปิดเทอมก็สายแล้ว! หลังจากนี้คิดจะโดดเรียนไปเลยใช่ไหม”
หน้าประตูโรงเรียนมีนักเรียนชายยืนอยู่แถวหนึ่ง มองผ่านๆ แวบเดียวล้วนเป็นคนคุ้นหน้าค่าตา
คนกลุ่มหนึ่งค้อมหลังก้มหน้า ทำตัวเอ้อระเหย ต่างคนต่างมีท่ายืนเป็นของตัวเอง ท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ คงคิดไม่ถึงว่าเปิดเทอมวันที่สองเสืออ้วนก็จะมาจับคนสายที่ประตูโรงเรียนด้วยตัวเอง
คนกลุ่มนี้ดูท่าทางเกเร จึงทำให้คนที่อยู่ทางขวาสุดโดดออกมาจากคนอื่น
หูผางด่าจนเหนื่อย เดินเอามือไพล่หลังไปตรงหน้าคนคนนั้น น้ำเสียงพลันผ่อนปรนลงเจ็ดส่วน “จิ่งเซิน ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ตื่นสาย?”
เห็นร่างที่ตรงแหน็วร่างนั้น อวี้ฝานก็นึกถึงจดหมายเฮงซวยฉบับนั้นขึ้นมาอีกครั้งและตัดสินใจได้ทันที เขาดึงหน้าเตรียมจะหันไปทางประตูหลัง
ทว่าเฉินจิ่งเซินกลับเหมือนมีเซ้นส์ จึงช้อนตามองตรงมาทางเขา
ทั้งสองคนสบสายตากัน อวี้ฝานรู้สึกท่าไม่ดีจึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นโดยสัญชาตญาณ…
“อวี้ฝาน” เฉินจิ่งเซินร้องเรียกทีหนึ่ง
คนอื่นๆ ไม่กี่คนที่ส่งสายตาคิดจะให้เพื่อนหนีไปเร็วๆ มาโดยตลอด “…?”
หูผางหมุนตัวอย่างว่องไว “…?”
อวี้ฝาน “…”
นายแม่งจงใจใช่ไหมเนี่ย
ครึ่งนาทีหลังจากนั้นอวี้ฝานก็เข้าไปอยู่ในนั้นด้วยสีหน้าอาภัพ เขาไม่มองเฉินจิ่งเซินเลยสักนิด ตรงไปยืนด้านซ้ายสุดของแถว
“เรียงแถวจากเตี้ยไปสูง จะให้ฉันบอกกี่รอบ” หูผางชี้ไปที่ข้างๆ เฉินจิ่งเซิน “เธอไปยืนตรงนั้น”
อวี้ฝาน “…”
โรคย้ำคิดย้ำทำสมควรตายของครูนี่เมื่อไหร่จะเปลี่ยนได้สักที
อวี้ฝานย้ายไปอย่างไม่เต็มใจสุดๆ
“เมื่อกี้เธอยังคิดจะหนีด้วยใช่ไหม” รอเขาเข้าประจำที่แล้วหูผางถึงได้กล่าวต่อ “เมื่อวานมาสาย วันนี้ก็มาสาย แถมยังหลอกครูอีก! เธอว่ามาซิ เธอมีสถานะเป็นนักเรียนหรือเปล่า!”
อวี้ฝาน “ผมหลอกอะไรครู”
“ฉันถามครูจวงของพวกเธอมาแล้ว เธอบอกว่าพ่อแม่ของเธอก็แค่ทำงานอยู่ต่างที่ แต่เมื่อวานเธอบอกฉันว่ายังไง”
“…”
“แม้แต่คำพูดไร้มโนธรรมก็พูดออกมาได้ ฉันว่าเธอนี่กู่ไม่กลับแล้วจริงๆ” หูผางกล่าว “แล้วก็ครูจวงของพวกเธอยังเต็มใจดูแลเธอ ฉันล่ะเหนื่อยจะพูดกับนักเรียนอย่างพวกเธอไปมากกว่านี้!”
อวี้ฝานกำลังคิดจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่กี่คนที่อยู่ข้างๆ ก็ยักคิ้วหลิ่วตากันอย่างบ้าคลั่งทันที บอกเป็นนัยว่า…อย่าพูดเลยพี่ชาย ขืนพูดอีกล่ะก็ต้องยืนตลอดทั้งเช้าแน่
อวี้ฝานจิ๊ปากในใจทีหนึ่ง หลบตาและหุบปาก
พูดติดต่อกันมานานขนาดนี้แล้ว หูผางก็หอบนิดหน่อย เขาหมุนเปิดแก้วเก็บอุณหภูมิแล้วดื่มน้ำอึกหนึ่ง ถือโอกาสดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือไปด้วย
“ยืนดีๆ ตัวตรง! อย่ามัวแต่เอ้อระเหย เอาความกระฉับกระเฉงของหนุ่มสาวออกมาหน่อย!”
หูผางพูดจบก็หันไปมองคนข้างๆ “จิ่งเซิน เธอกลับห้องเรียนไปก่อนเถอะ ไม่งั้นจะไม่ทันเข้าคาบแรกเอา ครั้งหน้าต้องใส่ใจเวลาด้วย อย่าสายอีกนะ”
“เฮ้ย หัวหน้าครูหู ครูพูดงี้ผมไม่เห็นด้วยนะ ทุกคนสายกันหมด มีสิทธิ์อะไรให้เขาไปได้แล้วพวกผมยังต้องยืนอยู่” นักเรียนชายที่ทำผมดัดฟอยล์ตรงกลางเอ่ยปาก “นี่มันไม่ยุติธรรม”
นักเรียนชายชื่อจั่วควน เป็นนักเรียนห้องแปดที่อยู่ข้างๆ ในสายตาหูผางช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้คนปวดหัวยิ่งกว่าอวี้ฝานเสียอีก
แม้อวี้ฝานจะเกเร แต่ปกติแล้วไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน หากมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการโดดเรียนหรือหลับในคาบพวกนี้ไปยังพอให้หมดห่วง
แต่จั่วควนไม่ใช่ เขามักเป็นหัวโจกไปต่อยตีกับเด็กมัธยมปลายปีสามหรือไม่ก็โรงเรียนข้างๆ ก่อเรื่องจนโกลาหล ครอบครัวมีภูมิหลังอยู่บ้าง มักจะติดทัณฑ์บนพอเป็นพิธี
จั่วควนพูดจบก็หาพรรคพวกโดยอัตโนมัติ “ใช่ไหม อวี้ฝาน”
อวี้ฝานหลุดปากพูดออกไป “ฉันไม่มีความเห็น”
หากเป็นไปได้ เขาหวังว่าเฉินจิ่งเซินจะหนีไปเลย
จั่วควน “…”
หูผางกำลังจะบันดาลโทสะก็ได้ยินเฉินจิ่งเซินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ต้องหรอกครับ หัวหน้าครู ผมยินดีรับโทษ”
“ดูสิ พวกเธอดูคนอื่นเขา” หูผางมีสีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ เขาเดินไปตรงหน้าจั่วควน “ยุติธรรม? ผลการเรียนหลายวิชาของเธอรวมกันยังสูงไม่เท่าวิชาเดียวของคนอื่นเขาเลย ยังมีสิทธิ์มาพูดเรื่องความยุติธรรมกับฉัน…”
หูผางเปลี่ยนเป้าหมาย ต่อว่าจั่วควนไม่หยุดอยู่นานสองนาน อวี้ฝานฟังอยู่ด้านข้างจนง่วง
หูผางไม่ได้มองมาทางนี้ เขาจึงพิงไปข้างหลัง อิงกับผนังแล้วหาวอย่างเกียจคร้าน
กลิ่นอายอันน่ารำคาญก้อนหนึ่งเข้าประชิดเขาโดยไม่ทันตั้งตัว…
“นายอ่านจดหมายรักของฉันหรือยัง” เฉินจิ่งเซินเบาเสียง ขณะพูดมีความแหบพร่าอยู่บ้าง
“…”
นายแม่งยังมีหน้ามาพูดถึงอีกเหรอ
แถมยังพูดต่อหน้าหัวหน้าครูที่หน้าประตูใหญ่โรงเรียนเนี่ยนะ
อวี้ฝานไม่เงยหน้า น้ำเสียงชั่วร้าย “ฉีกทิ้งแล้ว”
“อืม” เฉินจิ่งเซินยืนล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “เมื่อคืนฉันเขียนใหม่อีกแผ่นหนึ่ง”
“…?”
อวี้ฝานพลันลุกขึ้นยืน ด้วยความมือไวตาไวจึงคว้าข้อมืออีกฝ่ายเพื่อหยุดการกระทำไว้ก่อนจะล้วงเอาของออกมา
ฝ่ามือของอวี้ฝานเย็นนิดหน่อย เฉินจิ่งเซินเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วหยุดการกระทำ
“นายฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง” อวี้ฝานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “บอกแล้วไงว่าฉันไม่ชอบผู้ชาย…”
“อวี้ฝาน! ทำอะไรอยู่น่ะ”
ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว หูผางก็เดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบ เอ่ยอย่างตื่นตกใจ “เธอจับมือคนอื่นเขาทำไม รีบปล่อยซะ!”
อวี้ฝานจะกล้าปล่อยได้อย่างไร ขืนเขาปล่อยแล้วเฉินจิ่งเซินพลิกมือไปล้วงเอาซองจดหมายสีชมพูออกมาอีกใครจะรับผิดชอบ
“ผม…” อวี้ฝานกำไว้แน่น อดกลั้นอยู่นานสองนาน “ผมมือเย็น”
หูผางทำหน้างุนงง “มือเย็นก็เอาซุกกระเป๋ากางเกง ไม่ต้องไปกวนเพื่อนคนอื่น”
“…”
อวี้ฝานยังคงไม่ขยับเขยื้อน เขากำข้อมือของเฉินจิ่งเซินเอาไว้ ทั่วทั้งตัวแข็งค้างเล็กน้อย
เขากำลังคิดว่าจะพูดอะไรดี แต่จู่ๆ คนที่ถูกจับข้อมืออยู่ก็ออกแรง อวี้ฝานเองถึงกับควบคุมอีกฝ่ายไว้ไม่อยู่ ขณะที่เฉินจิ่งเซินดึงมือออกมา ในใจอวี้ฝานพลันเต้นตามไปด้วย…
ยังดีที่ไม่ได้ควักเอาอะไรออกมา
อวี้ฝานปล่อยมืออีกฝ่าย หัวใจเหนื่อยเสียจนเหมือนเพิ่งต่อยตีกับคนเสร็จมายกหนึ่ง
หูผางมองพิรุธออกอยู่บ้าง มุ่นหัวคิ้วถาม “เมื่อกี้พวกเธอกำลังพูดอะไรกัน ผู้ชายอะไร จดอะไร”
หูดีอะไรขนาดนี้เนี่ย
อวี้ฝานอ้าปากกล่าว “เขาจดชื่อหนังสือติวที่เหมาะกับผู้ชายมาแนะนำให้ผม”
เฉินจิ่งเซินหนังตากระตุก ไม่พูดไม่จา
“พูดจาเหลวไหล หนังสือติวที่ไหนเขาแบ่งแยกเพศอ่านกัน อีกอย่างเธอรู้จักอ่านหนังสือติวด้วย?” หูผางมองเขาด้วยความสงสัย “เขาแนะนำหนังสือติวอะไรให้เธอล่ะ ว่ามาให้ฉันฟังซิ”
อวี้ฝาน “สรุปหน่วยความรู้คณิตศาสตร์ ม.ต้น วิถีมือใหม่เรียนคณิตศาสตร์ นกโง่…บินก่อน 2017”
เหล่าคนที่อยู่ข้างๆ “…??”
หูผางคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องหนังสือติวจริงๆ
เขาตะลึงงันอยู่นานก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “หนังสือพวกนี้…ค่อนข้างเหมาะกับเธอจริงๆ ไม่เลวเลย”
คำสบถประโยคหนึ่งของอวี้ฝานมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่สุดท้ายก็กลั้นกลับเข้าไป
มีเฉินจิ่งเซินอยู่ด้วย หูผางจึงไม่ได้ลงโทษให้พวกเขายืนนานเกินไป พอกริ่งเข้าเรียนคาบแรกดังก็โบกมือปล่อยทุกคนไป
นักเรียนที่มีปัญหากลุ่มหนึ่งเดินด้วยกันเป็นขบวนใหญ่ นักเรียนชายในวัยนี้ยังคงเป็นเด็กที่เมื่อถูกลงโทษกันเป็นกลุ่มแล้วก็รู้สึกมีหน้ามีตา ตอนขึ้นอาคารก็จงใจตะเบ็งเสียง ทำให้นักเรียนที่อยู่ในห้องพากันมองออกไปข้างนอก
อวี้ฝานเดินอยู่หน้าสุด รู้สึกหนวกหูจึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
จั่วควนรีบตามมา “อวี้ฝาน เด็กเรียนคนนั้นของห้องพวกนายทำไมเดินเร็วขนาดนี้เนี่ย รีบไปเข้าเรียน?”
อวี้ฝานไม่สนใจเขา
จั่วควนมองสีหน้าเขาแวบหนึ่ง “แม่ง ฉันยังอยากสั่งสอนเขาสักหน่อย ทำให้ฉันถูกเสืออ้วนด่าตั้งนาน เฮ้อ นายเองก็หมั่นไส้เขาใช่ไหม ไม่งั้นพวกเรา…”
จู่ๆ คนที่อยู่ด้านหน้าก็หยุดฝีเท้า จั่วควนเองก็หยุดตามโดยอัตโนมัติ
เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง อวี้ฝานหันหน้ามา กวาดตามองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา
เดิมทีอวี้ฝานก็สูงอยู่แล้ว ทั้งยังยืนสูงกว่าอีกฝ่ายสองขั้นบันได แววตาที่หลุบมองลงมาเจือด้วยความเหี้ยมโหดและการข่มขู่ที่คลุมเครือ แต่เพียงชั่วพริบตาก็หายไปแล้ว
จั่วควนราวกับถูกตะปูตอกไว้ที่เดิม
“ฉันเคยบอกนายแล้วนะ” เนิ่นนานกว่าอวี้ฝานจะเอ่ยปากออกมาอย่างเฉื่อยชา
จั่วควน “อะไร…”
“อย่าแตะต้องคนในห้องฉัน”
ดูเหมือนประโยคนี้จะช่วยให้เขาย้อนคืนความจำ และก็เหมือนเป็นคำเตือน
อวี้ฝานหมุนกายเดินจากไปแล้ว กระทั่งมองไม่เห็นเงาหลังของเขา จั่วควนถึงได้สติกลับมา ก่อนพูดเบาๆ คำหนึ่ง “แม่งเอ๊ย”
ระหว่างทางที่อวี้ฝานเดินขึ้นชั้นสี่ก็เห็นเงาร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าบันได เขาชะงักเล็กน้อยโดยที่แทบมองไม่เห็น
เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ตรงนั้น ในมือยังคงกำกระดาษจดหมายที่คุ้นตาอย่างยิ่งเอาไว้แผ่นหนึ่ง
ยังไม่จบไม่สิ้นสินะ
เป็นอย่างที่คิด อวี้ฝานเพิ่งเดินขึ้นบันไดมาก็ได้ยินคำว่า “นักเรียนอวี้” อันเย็นชานั้น
อวี้ฝานสุดจะทน หมุนตัวไปคว้าคอเสื้อของอีกฝ่าย “นายคิดว่าฉันจะไม่ซัดนายใช่ไหม…”
เฉินจิ่งเซินปล่อยให้เขาจับ ก่อนจะใช้มือข้างเดียวคลี่กระดาษจดหมายไปตรงหน้าเขา
อวี้ฝานคิดในใจ แม่งมาโดยไม่ทันตั้งตัวอีกแล้ว…
‘ฟิสิกส์สบายๆ โจทย์ที่ต้องทำ ม.ต้น พจนานุกรมภาษาอังกฤษที่นักเรียนประถมท่องได้…’
เฉินจิ่งเซินหน้าไม่เปลี่ยนสี “นี่คือหนังสือติวที่ฉันคัดมาให้นายใหม่อีกทีเมื่อวานนี้”
“…”
“แบบนี้เหมาะกับนายมาก” เฉินจิ่งเซินชะงักครู่หนึ่งคล้ายกำลังหาคำที่เหมาะสมอยู่ “คนที่พื้นฐานเป็นศูนย์ทำได้”
“…”
“หวังว่าจะช่วยนายได้บ้าง”
“…”
ตลอดทั้งวันอวี้ฝานไม่มองไปที่นั่งแถวหน้าเลยสักแวบเดียว
คนบางคนสูงเกินไป พอเขาเงยหน้าก็เห็นท้ายทอยที่วอนโดนตีนั่น
“เกมง่อยๆ นี่นายไม่เอียนบ้างหรือไง” หวังลู่อันใช้มือข้างเดียวค้ำพนักเก้าอี้ “เล่นมาทั้งวันแล้ว”
อวี้ฝาน “ยุ่งกับชีวิตคนอื่นให้มันน้อยๆ หน่อย”
กริ่งเลิกเรียนของคาบสุดท้ายดังขึ้น จวงฝ่างฉินย่างเท้าเข้ามาในตอนที่ครูฟิสิกส์ออกไปอย่างตรงเวลาเป๊ะ
หวังลู่อันกระทุ้งเขาทันที “เลิกเล่นได้แล้ว ฝ่างฉินมาแล้ว!”
“อย่ามาแตะ” อวี้ฝานกล่าว “โค้งสำคัญเลย”
“…”
โชคดีที่จวงฝ่างฉินเองไม่ได้สังเกตเห็น
พอเธอเข้ามาในห้องเรียนก็ตรงไปที่คอมพิวเตอร์ แล้วเปิดไฟล์ในแฟลชไดรฟ์ “ก่อนเลิกเรียนจะเปลี่ยนที่นั่งของพวกเธอก่อน”
ตอนนี้ตารางที่นั่งใหม่ปรากฏขึ้นมาบนจอโปรเจ็กเตอร์
“เชี่ย เปลี่ยนที่นั่งแล้วล่ะอวี้ฝาน วาสนาของเราสองคนสิ้นสุดเร็วเกินไปแล้ว” หวังลู่อันหรี่ตาหาชื่อของตนเอง “แม่ง ทำไมฉันได้นั่งกับกรรมการนักเรียนล่ะเนี่ย! ฝ่างฉินจงใจใช่ไหม!”
“ฉันดูหน่อยซิว่านายนั่งกับใคร…เชี่ย!”
“เชี่ย! อวี้ฝาน! นายรีบดูเร็วเข้า เพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของนาย!”
อวี้ฝานกดพอสเกม เงยหน้าอย่างหงุดหงิด “นายนี่มันน่ารำคาญ…”
คำพูดของเขาหยุดลงทันใดหลังจากเห็นคนที่อยู่ในแถวที่สี่กลุ่มที่สามลุกขึ้นยืน
ทั้งห้องล้วนชะเง้อศีรษะหาที่นั่งใหม่ของตนเอง มีเพียงคนเดียวที่กำลังหอบหนังสือลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินมาที่หลังห้อง
บนโต๊ะของหวังลู่อันรกมาก มีเพียงมุมเดียวที่สะอาด เฉินจิ่งเซินวางหนังสือลงตรงมุมนั้น มองหวังลู่อันแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร
หวังลู่อันตรัสรู้ได้ในทันที “เด็กท็อป นายรอเดี๋ยว ฉันจะรีบเก็บของเดี๋ยวนี้…”
อวี้ฝานยื่นมือออกไป กดหนังสือเรียนที่ยับยู่ยี่ของหวังลู่อันเอาไว้
“นายหมายความว่าไง” เขาขมวดคิ้วมองเฉินจิ่งเซิน
เฉินจิ่งเซิน “นายพูดเองไม่ใช่หรือไง”
หวังลู่อันถูกบีบอยู่ตรงกลาง มองซ้ายทีขวาที สีหน้างุนงง
อวี้ฝาน “ฉันพูดอะไร”
“นายพูดว่า…” เฉินจิ่งเซินกล่าว “ถ้าชอบมองก็มานั่งใกล้ๆ”
บทที่ 8
เย็นวันพุธหลังจากสอนวิชาของชั้นเรียนอื่นๆ เสร็จแล้ว จวงฝ่างฉินก็หอบแผนการสอนกลับไปที่ออฟฟิศ
เมื่อเห็นคนที่พิงอยู่ข้างโต๊ะทำงานของตน เธอก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
“โอ้ แขกหาตัวจับยาก” จวงฝ่างฉินถอดเครื่องขยายเสียงพกพาของตนวางลงบนโต๊ะ
อวี้ฝาน “เมื่อวานผมก็มาไม่ใช่เหรอครับ”
“ครูหมายความว่าหาได้ยากที่เธอจะเป็นฝ่ายมาเองสักครั้ง” จวงฝ่างฉินนั่งลงประจำที่ “ว่ามาสิ มีเรื่องอะไร”
อวี้ฝานพูดอย่างตรงไปตรงมา “ผมจะเปลี่ยนที่นั่ง”
“เปลี่ยนไปไหน”
“แถวสุดท้าย ข้างโพเดียม อะไรก็ได้”
จวงฝ่างฉินดื่มน้ำอึกหนึ่ง “เธอก็ให้เหตุผลที่สมเหตุสมผลครูมาสักอย่างสิ ไม่งั้นก็อย่ามาทำให้คนอื่นเสียเวลาอยู่ตรงนี้”
อวี้ฝาน “เพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ส่งผลกับการเรียนของผม”
“…?”
จวงฝ่างฉินมองเขาอย่างแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้พูดคำพูดประเภทนี้ออกมาได้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“เขาส่งผลต่อเธอตรงไหน”
“เขียนหนังสือหนวกหูเกินไป ตัวเหม็น ดูถูกนักเรียนบ๊วย…”
“เหลวไหล!” จวงฝ่างฉินหยิบแผนการสอนขึ้นมาฟาดเขาทีหนึ่ง “ที่นั่งครั้งนี้เป็นเฉินจิ่งเซินเสนอให้ปรับเปลี่ยนกับครูเอง เขาจะดูถูกเธอได้ยังไง”
อวี้ฝานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามย้ำ “เขาเสนอเอง?”
จวงฝ่างฉินถาม “ไม่อย่างนั้นจะใครล่ะ”
แม่ง
ทำไมหมอนี่ถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้นะ
“เขามีสิทธิ์อะไรที่อยากนั่งตรงไหนก็นั่งตรงนั้น” อวี้ฝานพูดจบ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้คุ้นหูอยู่หน่อยๆ
เมื่อวานดูเหมือนจั่วควนเองก็เคยพูดประมาณนี้เหมือนกัน
“เธอว่ายังไงล่ะ” จวงฝ่างฉินเอ่ย “นักเรียนที่หนึ่งของสายชั้นเป็นฝ่ายเสนอเองว่าอยากจะช่วยเพื่อนที่เรียนแย่ นี่เป็นเรื่องดีใหญ่หลวงไม่ใช่หรือไง”
“เรื่องดีนี่ครูยกให้คนอื่นเถอะครับ ผมไม่เอา”
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอ” จวงฝ่างฉินโบกปากกาในมือแล้วพูดตัดบท “กลับห้องเรียนไปซะ รอวันไหนคะแนนคณิตศาสตร์ของเธอมีเลขศูนย์เพิ่มขึ้นมาอีกตัวค่อยมาคุยเรื่องเปลี่ยนที่นั่งกับครู ถึงตอนนั้นเธออยากนั่งตรงไหนก็นั่งตรงนั้น ต่อให้อยากนั่งที่ออฟฟิศหัวหน้าครูหู ครูก็จะคิดหาวิธีช่วยเธอจัดการเรื่องนี้แน่นอน”
“…”
อวี้ฝานหน้าบูดกลับไปที่ห้องเรียน
เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างที่นั่งตนก็ยิ่งบูดบึ้งเข้าไปอีก
ระหว่างเรียนคนในห้องไม่หลับก็คุยกัน แถมยังมีคนจำนวนหนึ่งไปซื้อของกินที่โรงอาหารด้วย ทั้งห้องมีเพียงเฉินจิ่งเซินคนเดียวที่นั่งทำโจทย์ตัวตรงแหน็ว
“อวี้ฝาน นายจะไปไหน”
หวังลู่อันถูกย้ายไปกลุ่มข้างๆ ตอนนี้สองโต๊ะข้างหน้าอวี้ฝานล้วนไม่มีใครอยู่ เขาก็จะไปนั่งที่ของคนอื่นก่อน
อวี้ฝานนั่งที่ ไม่มองคนข้างๆ เลยสักนิด “ห้องน้ำ”
“อ้อ ทำไมไม่เรียกฉันไปด้วยล่ะ”
“เรียกนายทำไม ไปดูต้นทาง?”
“ก็ใช่ว่าไม่ได้สักหน่อย” หวังลู่อันหมุนตัวในท่านั่ง เขาพาดสองมือบนพนักพิง พูดแขวะว่า “เฮ้อ นายไม่รู้หรอกว่าฉันอนาถแค่ไหน กรรมการนักเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันนั่นน่ะคาบไหนบ้างไม่จ้องกัน มองฉันซะขนาดนั้น แม้แต่มือถือฉันก็เล่นไม่ได้…ไม่ได้การ ฉันต้องไปหาฝ่างฉินเพื่อเปลี่ยนที่ ที่นั่งเฮงซวยนี่ใครชอบนั่งก็นั่งไปเถอะ”
“ฉันนั่งเอง” อวี้ฝานว่า “นายแลกกับฉันไหมล่ะ”
หวังลู่อันนิ่งงัน มองคนที่นั่งข้างอวี้ฝานโดยอัตโนมัติ
เฉินจิ่งเซินหลุบตาลง แม้แต่ปากกาก็ยังไม่หยุด
เขาชำเลืองมองหนังสือตะลุยโจทย์ที่เฉินจิ่งเซินกดไว้ใต้มือ เยี่ยมไปเลย มองแวบเดียวก็ง่วงแล้ว
เขามักจะรู้สึกว่าระหว่างเด็กท็อปที่ย้ายมาใหม่คนนี้กับอวี้ฝานมีอะไรแปลกๆ นิดหน่อย แต่ก็ไม่เหมือนอย่างที่อวี้ฝานว่า
“ก็ใช่ว่าไม่ได้” หวังลู่อันพูดไปตามน้ำ “ต้องถามเด็กท็อปก่อนว่ายินดีหรือเปล่า”
อวี้ฝานขมวดคิ้ว “เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย…”
“ไม่แลก” คำพูดลอยมาจากด้านข้างอย่างหนักแน่น
อวี้ฝาน “…”
คิดไม่ถึงว่าเฉินจิ่งเซินจะสนใจเขาด้วย หวังลู่อันเองก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่งเช่นกัน
“ไม่แลกๆ ฉันก็แค่พูดไปงั้น ที่นั่งที่ฝ่างฉินกำหนดปกติก็ไม่มีใครเปลี่ยนได้หรอก” หวังลู่อันย้ายไปด้านข้าง ถือโอกาสถามคำถามที่ตนเองอัดอั้นมาทั้งคืน “อ้อ ใช่ เด็กท็อป เมื่อวานที่นายพูดว่าชอบมองก็เลยมานั่งใกล้ๆ…มองอะไรเหรอ”
‘ตึง’
พอมือของอวี้ฝานแกว่ง มือถือที่เพิ่งหยิบออกมาก็หล่นลงพื้น
เฉินจิ่งเซินกล่าว “มอง…”
อวี้ฝาน “หัวหน้าครูหู”
เฉินจิ่งเซิน “…”
หวังลู่อัน “…”
หวังลู่อันกะพริบตาอย่างงุนงง “หัวหน้าครูหู? เสืออ้วน? เขาเกี่ยวอะไรกับที่นั่งนี่ด้วย”
“อืม” อวี้ฝานนิ่งเฉย “ตรงตำแหน่งฉันพอลุกขึ้นยืนก็เห็นออฟฟิศที่ชั้นล่างได้”
หวังลู่อัน “ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย”
ปกติเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เฉินจิ่งเซินเหลือบมองปากของอวี้ฝานแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงช่างพูดอย่างนี้
หวังลู่อันลองลุกขึ้นยืน “ไม่เห็นนะ”
อวี้ฝาน “นายเตี้ยเกินไป”
“เชี่ย” หวังลู่อันมองไปทางเฉินจิ่งเซิน “เด็กท็อป นายชอบเสือ…หัวหน้าครูหู? ทำไม เขาไม่ได้ประจำห้องเราไม่ใช่เหรอ”
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาเกรี้ยวกราดของคนข้างกาย นิ้วของเฉินจิ่งเซินก็จับปากกาแล้วนิ่งเงียบไปสองวินาที
“อืม” เขากล่าวโดยไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย “ฉันชอบสื่อการสอนวิชาคณิตที่เขาเรียบเรียง”
หวังลู่อัน “…”
อวี้ฝานหยิบเสื้อเครื่องแบบโยนลงบนโต๊ะเพื่อปูเป็นหมอน ก่อนจะเอ่ยปากไล่คน “กลับไปที่นายซะ ฉันจะนอนแล้ว”
เวลาพักสิ้นสุด เสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น ครูฟิสิกส์ก็หอบตำราเดินเข้ามา
หัวหน้าห้องตะโกนให้ลุกขึ้นทำความเคารพ เฉินจิ่งเซินลุกขึ้นยืนแล้วพบว่าข้างตนเองว่างเปล่า
อวี้ฝานฟุบอยู่บนโต๊ะและหลับไปแล้ว
เดิมทีเขากอดแจ็กเก็ตและฟุบหน้าลงไป หลับสนิทจนรู้สึกอึดอัด จึงหันศีรษะเผยใบหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง
ชายหนุ่มหลับตา สันจมูกโด่ง ไฝเล็กๆ สองจุดที่หางตาและแก้มซีกขวารักษาความสมดุลอันละเอียดอ่อนและให้ความรู้สึกก้าวร้าวน้อยกว่าตอนตื่นมาก
เดิมทีไฝก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้นตามอายุอยู่แล้ว
“นั่งลง” ครูฟิสิกส์พูดซ้ำอีกรอบ เขาดันแว่นตา มองคนที่ยังคงยืนอยู่ตรงแถวหลัง “เฉินจิ่งเซิน?”
เฉินจิ่งเซินเก็บสายตาแล้วนั่งกลับลงไป
อวี้ฝานถูกเสียงตบโต๊ะปลุกให้ตื่น
พอเขาเงยหน้าก็ได้รับสายตาเย็นเยียบจากจวงฝ่างฉิน
เมื่อเห็นเขาตื่นแล้ว จวงฝ่างฉินก็หยุดใช้แผนการสอนตบโพเดียม ชูกระดาษข้อสอบที่อยู่ในมือขึ้นมา “เก็บของที่อยู่บนโต๊ะให้หมด คาบทบทวนด้วยตัวเองสองคาบนี้จะใช้สอบก่อน ปิดเทอมนานขนาดนี้ ครูขอดูหน่อยซิว่าพวกเธอลืมความรู้ไปกี่คันรถแล้ว การสอบครั้งนี้ครูจะแบ่งเป็นกลุ่ม ทุกคนจงตั้งใจเขียน นักเรียนคนแรกของแต่ละกลุ่มมาหยิบกระดาษข้อสอบแล้วส่งต่อไปข้างหลัง”
อวี้ฝานขยับนิ้ว ฝังใบหน้าลงกับแขนอีกครั้ง กระทั่งกระดาษข้อสอบถูกส่งมาตรงหน้าเขาถึงได้เหยียดตัวขึ้นนั่งอย่างยากเย็น
จวงฝ่างฉินคุมสอบอย่างเข้มงวด สายตากวาดมองไปรอบด้าน แต่มองไปที่อวี้ฝานน้อยครั้ง
เพราะบรรดาครูต่างรู้แก่ใจดีว่าอวี้ฝานซื่อสัตย์ในการสอบมาก…ได้เท่าไหร่เท่านั้น ขี้เกียจแม้แต่จะโกงมาแต่ไหนแต่ไร
อวี้ฝานควักเอาปากกาออกมาเขียนชื่อ คิดจะฉวยโอกาสหลับอีกครั้งตอนที่จวงฝ่างฉินไม่สนใจ
ตัวหนังสือของเขาบิดๆ เบี้ยวๆ เหมือนตัวหนอนที่ถูกหั่นเป็นหลายท่อนเพราะกำลังง่วง
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีจู่ๆ อวี้ฝานก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นแล้วนึกย้อนกลับไป…
วันนี้จวงฝ่างฉินพูดว่าอะไรนะ
สอบคณิตศาสตร์ผ่านเก้าสิบคะแนน ต่อไปเขาอยากนั่งตรงไหนก็นั่งตรงนั้น
อวี้ฝานเท้าคาง ยิ่งคิดสมองยิ่งตื่นตัว
เขานวดหน้าก่อนนั่งตัวตรง ก้มหน้าพลิกกระดาษข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ที่อยู่ในมืออ่านรอบหนึ่งด้วยความตั้งใจอย่างหาได้ยาก…
ดี
โจทย์ข้อแรกอ่านไม่เข้าใจเลย
อวี้ฝานกำปากกาและสังเกตเพื่อนที่อยู่รอบๆ ตัวเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เปลี่ยนที่นั่งมา
ผลคะแนนของสองคนตรงโต๊ะทางขวาดีกว่าเขานิดหน่อย ทางด้านซ้ายคือหวังลู่อันกับกรรมการนักเรียน โต๊ะข้างหน้าคือจางเสียนจิ้งกับนักเรียนหญิงผมสั้นที่สามเทอมคุยกับเขาไม่เกินสามประโยคและดูท่าทางเป็นอินโทรเวิร์ตอยู่แล้ว
ถ้าลอกไม่ได้ก็สอบไม่ผ่านเก้าสิบคะแนน
อวี้ฝานถ่างตานั่งอยู่สักพัก
กระทั่งจวงฝ่างฉินที่อยู่บนโพเดียมเปลี่ยนท่านั่ง เขาถึงได้เคลื่อนสายตาไปแอบมองคนที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่เต็มใจ
คนรอบตัวเขาต่างยังคงหยุดอยู่ที่โจทย์ปรนัยหน้าแรกของข้อสอบ แต่เฉินจิ่งเซินกลับทำไปจนถึงส่วนท้ายของหน้าที่สองแล้ว
ในใจอวี้ฝานไม่ได้ต่อสู้ดิ้นรนเท่าไรนัก ตอนนี้เขาแค่อยากจะกอดโต๊ะแล้วรีบไสหัวไปที่บอร์ดข่าวซะ สองนาทีหลังจากนั้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าจวงฝ่างฉินไม่ได้มองมาทางนี้ เขาจึงกางมือข้างเดียวบังไว้ตรงหน้าตัวเอง ดวงตาชำเลืองมองไปยังกระดาษข้อสอบที่เฉินจิ่งเซินกดไว้ใต้มือ
โชคดีที่อวี้ฝานไม่ใช่คนรักเรียน แต่สายตาดีมาก เขากำลังจะดูโจทย์ปรนัยข้อแรกให้ชัดๆ…
เฉินจิ่งเซินหยิบกระดาษทดมาปิดส่วนที่เขียนลงบนกระดาษข้อสอบไปแล้วเอาไว้
อวี้ฝาน “…?”
เขามองเจ้าของข้อสอบโดยอัตโนมัติ
เฉินจิ่งเซินก้มหน้าทำโจทย์ ไม่แม้แต่จะส่งสายตามาให้เขา
เฉินจิ่งเซิน “ข้อสอบของตัวเองก็ทำเองสิ”
จวงฝ่างฉินคุมสอบ จะเล่นมือถือไม่ได้ จะหลับก็ไม่ได้เช่นกัน
อวี้ฝานพิงไปข้างหลังอย่างยอมรับชะตากรรม สองมือซุกกระเป๋ากางเกงและเริ่มมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
“นักเรียนบางคน เก็บสมาธิกลับมาด้วย อยากออกไปเก็บขยะจริงๆ ก็ต้องอดทนไป เรียนให้จบ” เสียงของจวงฝ่างฉินลอยมาจากโพเดียมอย่างเยือกเย็น
‘นักเรียนบางคน’ หันหน้ากลับมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก
บนกระดาษข้อสอบล้วนเป็นเส้นขีดและตัวเลข เขาดูจนเวียนหัว
สายตาของเขาเลื่อนลอยสะเปะสะปะและเริ่มมองสำรวจห้องเรียน
คนอื่นๆ ในห้องต่างกำลังทำข้อสอบอย่างตั้งใจ มีเพียงสองคนที่เสียสมาธิเหมือนกับเขา
จางเสียนจิ้งมั่วโจทย์ปรนัยเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังจัดการกับผมแตกปลายของเธออยู่
หวังลู่อัน…เอาฝ่ามือบังตาเพื่อปิดกั้นสายตาของจวงฝ่างฉิน และกำลังแอบดูกระดาษข้อสอบของกรรมการนักเรียน
ศีรษะของหวังลู่อันยังอยู่ท่าเดิมไม่เปลี่ยน ลูกตาเหล่จนกลายเป็นองศาแปลกๆ ถ้าไม่ดูให้ดีๆ ล่ะก็ อวี้ฝานก็จับไม่ได้ว่าเขากำลังแอบดู
แน่นอนว่ากรรมการนักเรียนเองก็จับไม่ได้เหมือนกัน
ถ้างั้นเฉินจิ่งเซินจับได้อย่างไร เขาดูอย่างระมัดระวังขนาดนี้แล้วแท้ๆ
อีกอย่างบอกว่าชอบเขาไม่ใช่หรือไง
แม้แต่ข้อสอบก็ไม่ให้ลอก
ความชอบของเด็กหัวกะทิพวกนี้มีประโยชน์บ้าอะไรกัน
อวี้ฝานคิดแล้วก็เหลือบมองด้านข้างแวบหนึ่ง
เฉินจิ่งเซินกดกระดาษทดไว้ใต้มือทั้งยังกำลังตั้งใจทำโจทย์ กระดาษทดของคนส่วนใหญ่ล้วนยุ่งเหยิงเสียจนถ้าไม่ใช่เจ้าตัวก็อ่านไม่รู้เรื่อง แต่เฉินจิ่งเซินต่างออกไป กระดาษทดของเขาสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ ถ้าไม่รู้ยังนึกว่าเขากำลังเขียนกระดาษคำตอบเสียอีก
เวลานี้สายตาของเฉินจิ่งเซินอยู่ที่โจทย์ข้อสุดท้ายของข้อสอบ เขาเกร็งมุมปาก ยกมือขวาขึ้นมากุมขมับ ท่าทางราวกับกำลังครุ่นคิด
เพียงแค่สองวินาทีหลังจากนั้น หว่างคิ้วของเขาก็คลายออก ปลายนิ้วควงปากกาอย่างคล่องแคล่ว ดึงกระดาษทดมาจรดปากกาและเริ่มเขียน
“อีกหนึ่งนาทีเก็บข้อสอบ ถึงเวลาแล้ววางปากกาลง ห้ามเขียนเพิ่มแม้แต่ขีดเดียว ถ้าไปถึงสนามสอบเข้ามหา’ลัยล่ะก็ไม่มีใครให้เวลาพวกเธอหรอกนะ”
พอเสียงของจวงฝ่างฉินดังขึ้น อวี้ฝานถึงได้สติคืนและเก็บสายตากลับมา
เด็กท็อปอะไรกัน ยังแก้โจทย์จนถึงหนึ่งนาทีสุดท้ายเลยไม่ใช่หรือไง
เขาหิ้วแจ็กเก็ตเครื่องแบบขึ้นมา เตรียมเก็บข้อสอบแล้วก็ไป
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง ‘พรึบ’ กระดาษทดที่ถูกเขียนจนเต็มไปหมดวางอยู่ตรงหน้าเขา
อวี้ฝานที่กำลังสวมเสื้อแจ็กเก็ตหยุดชะงัก สายตาของเขาหยุดอยู่บนกระดาษทดครู่หนึ่ง จำได้ว่านี่คือกระดาษแผ่นที่เฉินจิ่งเซินเขียนอยู่ตลอดเมื่อกี้นี้ สิ่งที่แน่นขนัดอยู่บนนั้นล้วนเป็นสูตรคณิตศาสตร์
เมื่อแน่ใจแล้วว่าบนกระดาษไม่ได้เขียนชื่อหนังสือติวโง่ๆ อะไรนั่น เขาถึงได้เอ่ยถามอย่างเย็นเยียบ “อะไร”
“คำตอบของข้อสอบและวิธีแก้” เฉินจิ่งเซินโยนปากกาเข้าไปในกระเป๋าดินสอ ก่อนจะเคลื่อนสายตามามองเขา “นายอยากดูไม่ใช่เหรอ”
“…”
ใช่ ฉันอยากดู ฉันแม่งอยากดูในนาทีสุดท้ายตอนสอบ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.