X
    Categories: everYทดลองอ่านเลิกเรียนแล้วเจอกัน

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 

ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)

แปลโดย : Lucky Luna

ผลงานเรื่อง : 放学等我

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 9

 

เมื่อเลิกเรียนคนกลุ่มหนึ่งนั่งเล่นไพ่อยู่ในสนุกเกอร์คลับที่ประตูหลังของโรงเรียน

หวังลู่อันพิงหลังบนเก้าอี้ ศีรษะลู่ไปข้างหลังอย่างอ่อนปวกเปียก “เพิ่งเปิดเทอมก็สอบแล้ว ฝ่างฉินนี่โรคจิตจริงๆ”

“ห้องพวกนายส่งผลสอบไปที่กลุ่มผู้ปกครองทุกครั้งเลยใช่ไหม”

“อย่าพูดถึงเลย พ่อฉันต้องเอาไม้เบสบอลมาเสิร์ฟให้ฉันอีกแน่” หวังลู่อันมองไปยังคนข้างๆ ด้วยแววตาซาบซึ้ง “ยังดีที่มีเพื่อนยากของฉันอยู่ด้วย ฉันก็เลยไม่ใช่ที่โหล่ตลอดไป”

อวี้ฝานไม่ได้สนใจเขา ก้มหน้าทิ้งไพ่

จางเสียนจิ้งเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มนี้ เธอนั่งไขว่ห้างพลางดื่มชานม “เพื่อนร่วมโต๊ะนายเป็นกรรมการนักเรียนไม่ใช่หรือไง ไม่ลอกสักหน่อยล่ะ”

“ลอกกับผีน่ะสิ เขาเป็นกรรมการนักเรียนเชียวนะ” หวังลู่อันพูดถึงแล้วก็โมโห “ตัวหนังสือพอๆ กับอวี้ฝานเลย ฉันแทบจะตาเหล่อยู่แล้ว คำเดียวก็อ่านไม่…แม่งเอ๊ย! ฉันออกสามใบ นายเอาไพ่ราชาระเบิดฉันเลยเหรอ”

“เห็นนายแล้วรำคาญ” อวี้ฝานว่า

“…”

จางเสียนจิ้งหัวเราะอย่างเบิกบาน “ว่าแต่อวี้ฝาน เพิ่งเปิดเทอมนายก็ส่งกระดาษเปล่าซะแล้ว แม้แต่โจทย์ปรนัยก็ไม่มั่ว คิดจะยั่วโมโหฝ่างฉินให้ตายจริงๆ เลยหรือไง”

พูดถึงข้อสอบอวี้ฝานก็นึกถึงใครบางคน ทำให้โยนไพ่แรงขึ้นนิดหน่อย

เขาถาม “โจทย์ปรนัยมั่วได้เก้าสิบคะแนน?”

จางเสียนจิ้งคิ้วกระตุก “โจทย์ปรนัยรวมทั้งหมดไม่ถึงเก้าสิบคะแนนสักหน่อย”

นั่นสินะ

สอบไม่ถึงเก้าสิบคะแนน จะเขียนหรือไม่เขียนก็เหมือนกัน

อวี้ฝานคันไม้คันมือ คลำเข้าไปในกระเป๋ากางเกง อยากสูบบุหรี่ผ่อนคลายสักมวน

ผลลัพธ์กลับแตะเข้ากับกระดาษเนื้อหยาบแผ่นหนึ่ง เขาร้อง ‘เชี่ย’ ในใจ ชักมือออกมาอย่างรวดเร็ว

เป็นกระดาษทดที่เฉินจิ่งเซินให้มาแผ่นนั้น

ความตั้งใจเดิมของเขาคืออยากจะขยำมันเป็นก้อนแล้วโยนทิ้งซะ แต่บังเอิญจวงฝ่างฉินเดินผ่านมาจากประตูหลังแล้วเรียกเขา เขาจึงยัดกระดาษแผ่นนั้นเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองด้วยปฏิกิริยาตอบกลับอัตโนมัติ

อวี้ฝานรู้สึกว่าหลังจากนี้ตนเองอาจจะเป็นโรคแพ้กระดาษที่อยู่ในมือเฉินจิ่งเซิน

“ข้อสอบมีอะไรน่าเขียน ที่ผ่านมาฉันเองก็ไม่เขียน” จั่วควนคาบบุหรี่ อวดเก่งอย่างไม่รู้จักแพ้ “ครูไม่เห็นจะกล้ามายุ่งกับฉัน”

หวังลู่อันกล่าว “ครูของพวกนายขี้เกียจยุ่งกับพวกนายน่ะสิ”

จั่วควน “นั่นไม่ยิ่งดีหรือไง ครูประจำชั้นของห้องพวกนายคนนั้นน่ะ ฉันฟังพวกนายพูดก็รู้สึกรำคาญแล้ว ถ้าเธอเป็นครูประจำชั้นห้องฉัน ฉันคง…”

เพียะ อวี้ฝานโยนไพ่ใบสุดท้ายลงบนโต๊ะ

“หยุดพูดมากได้แล้ว” อวี้ฝานว่า “ยื่นหน้ามาซิ”

จั่วควน “…”

หลังจากนั้นครึ่งนาทีบนใบหน้าของจั่วควนก็มีตะพาบน้ำ* ที่วาดด้วยปากกามาร์กเกอร์เพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่ง

“เวร เอาอีกแล้ว…” จั่วควนพูดจบ จู่ๆ คนข้างๆ ก็กระทุ้งแขนเขา จั่วควนขมวดคิ้ว “อะไร”

“พี่ควน นายดูเร็วเข้า ผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกนั่นน่ะ เป็นผู้หญิงที่ตามจีบนายก่อนหน้านี้ใช่หรือเปล่า”

“ใครน่ะ” หวังลู่อันมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง

“เป็นเธอ…” เขาเห็นนักเรียนหญิงที่ออกไปอย่างรีบเร่งด้านนอกสนุกเกอร์คลับชัดเจนแล้ว จั่วควนเลิกคิ้ว “ไม่มีใครแล้ว ผู้หญิงห้องสาม ตามจีบฉันมาสองเดือน ส่งน้ำส่งขนมให้ฉันทุกวัน รำคาญจะตายอยู่แล้ว แถมหน้าตาขี้เหร่อีกต่างหาก ไม่ง่ายเลยกว่าฉันจะสลัดเธอทิ้งได้”

“ผู้หญิงคนนั้นตาบอดหรือไง” จางเสียนจิ้งก้มหน้าเล่นมือถือพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“เหลวไหล ฉันออกจะหล่อขนาดนี้ คนที่ตามจีบฉันเยอะแยะจะตายไป ใช่ไหม” จั่วควนมองไพ่ “ที่น่าคลื่นไส้ที่สุดคืออะไรน่ะเหรอ พวกนายรู้จักห้องสามสินะ ว่ากันว่าเป็นห้องกิฟต์ศิลป์ภาษาล่องหน เมื่อวันจันทร์ผู้หญิงคนนั้นเขียนจดหมายให้ฉันฉบับหนึ่ง ข้างในมีกลอนโบราณเป็นพรืด ฉันแม่งอ่านไม่ออกเลย…”

อวี้ฝานเอ่ย “สลัดยังไง”

คนที่ไม่พูดไม่จามาโดยตลอดจู่ๆ ก็เอ่ยปาก จั่วควนงงงัน “อะไรนะ”

“ฉันพูดว่า…” อวี้ฝานถามซ้ำอีกครั้ง “นายสลัดเธอยังไง”

“ง่ายจะตายไป” จั่วควนกล่าว “ฉันเอาจดหมายที่เธอเขียนให้ฉันไปเบลอชื่อ แล้วเอาไปแปะที่บอร์ดข่าวของห้องเธอ”

จางเสียนจิ้งเหลือกตาขาวใส่เขาทีหนึ่ง “นายนี่มันทุเรศจริงๆ”

“ฮะ? ใครใช้ให้เธอวอแวฉันตลอดล่ะ” จั่วควนถาม “อวี้ฝาน นายถามทำไม มีนักเรียนหญิงตามจีบนายด้วยเหรอ”

“เหลวไหล นักเรียนที่ตามจีบเพื่อนฉันน้อยที่ไหน” หวังลู่อันยักคิ้วอย่างภาคภูมิใจราวกับว่าคนที่ถูกจีบคือตัวเขาเอง “อวี้ฝานเพิ่งได้จดหมายรักมาฉบับหนึ่ง…เชี่ย อวี้ฝาน นายระเบิดฉันอีกแล้ว?! ฉันทีมเดียวกับนายนะ! แล้วฉันก็เป็นแค่ชาวบ้านด้วย!!”

อวี้ฝาน “หนวกหูชะมัด”

จางเสียนจิ้งวางมือถือลง ก่อนเอนพิงขอบโต๊ะด้วยความสนใจไพ่ของพวกเขา “มีเรื่องนี้ด้วย? อวี้ฝาน ใครให้จดหมายรักนายน่ะ”

อวี้ฝาน “เปล่า”

“บอกมาเลยนะ” จางเสียนจิ้งซักไซ้ “ม.ปลายปีหนึ่งหรือปีสอง หน้าตาดีไหม ฉันรู้จักหรือเปล่า หรือว่าเป็น…เฉินจิ่งเซิน?”

อวี้ฝานโยนไพ่ทั้งหมดออกไปทันที

เขาคิดจะโต้แย้งโดยสัญชาตญาณก็ได้ยินจางเสียนจิ้งพูดต่ออีกว่า “นั่นเฉินจิ่งเซินปะ”

อวี้ฝานได้ยินดังนั้นก็ชะงัก หันหน้ากลับไปมองนอกสนุกเกอร์คลับแวบหนึ่ง

เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูหลัง กำลังหันหลังให้พวกเขา บนบ่าของเขาสะพายกระเป๋าเป้ มือทั้งสองข้างลู่ลงข้างลำตัวอย่างเป็นธรรมชาติ

เขายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เบื้องหน้าเขามีผู้ชายอันธพาลสามคนยืนอยู่

“จริงๆ ด้วย” หวังลู่อันขยับไปดูตรงหน้ากระจก “พวกที่อยู่ข้างหน้าเขานั่น…เป็นคนจากโรงเรียนข้างๆ ใช่ไหม พวกมันทำอะไรน่ะ”

“คนของโรงเรียนเส็งเคร็งข้างๆ นั่นยังจะมาทำอะไรโรงเรียนฝั่งเราได้” จางเสียนจิ้งว่า “รีดไถหรือไง”

อวี้ฝานเท้าข้อศอกบนโซฟาที่อยู่ด้านหลัง ดูละครอย่างเฉื่อยชา

ละแวกโรงเรียนพวกเขามีวิทยาลัยเทคนิค ค่อนข้างวุ่นวาย มักมาก่อเรื่องที่นี่บ่อยๆ หูผางจะลาดตระเวนจับคนละแวกนี้วันเว้นวันเป็นระยะๆ เพียงแต่ช่วงนี้เพิ่งเปิดภาคเรียน ค่อนข้างยุ่ง จึงระงับเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว

ผู้ชายสามคนที่ขวางทางเฉินจิ่งเซินล้วนย้อมสีผมแปลกประหลาด สวมเสื้อยืดแขนยาวสีสันฉูดฉาดกับกางเกงขาเดฟสีดำ เลี้ยวซ้ายเข้าร้านตัดผมเสร็จก็ทำงานได้เลย

ยิ่งขับให้เฉินจิ่งเซินที่อยู่ข้างๆ ดูสะอาดสะอ้านมากขึ้น

จั่วควนมองสำรวจท่าทีของเขาแล้วถามหยั่งเชิง “อวี้ฝาน นายไม่สนใจเหรอ เขาเป็นคนของห้องนายไม่ใช่หรือไง”

อวี้ฝานไม่สนใจเขา ยังคงมองเหตุการณ์ตรงนั้น

ดูแลกับผีน่ะสิ คนที่ถูกรีดไถแต่ละเดือนมากมายขนาดนี้ ดูแลไหวเรอะ เสืออ้วนจ่ายค่าคุ้มครองให้เขาแล้วหรือไง

อีกอย่างนะ

ถึงเฉินจิ่งเซินจะเป็นหนอนหนังสือ แต่อย่างน้อยก็ไม่ขาดสารอาหาร ไหล่กว้างกว่าพวกโง่เง่าไม่กี่คนนั่นเป็นเท่าตัว ใครจะไปเชื่อว่าตอนนี้จะมีลิงผอมๆ สามตัวกำลังรีดไถเขาอยู่ ถ้าเฉินจิ่งเซินมีศักดิ์ศรีสักหน่อย ชูกำปั้นโต้กลับ วันนี้สามคนนี้ก็อย่าได้คิดที่จะกลับไปเลย…

ตรงที่ไกลๆ ร่างที่สูงโปร่งชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าควักเงิน

อวี้ฝาน “…?”

 

พวกนักเลงไม่กี่คนมองนักเรียนชายตรงหน้า แม้ความจริงพวกเขาจะไม่มั่นใจเหมือนกัน

พูดตามตรงปกติพวกเขารีดไถแค่คนที่ชั้นปีต่ำๆ หรือไม่ก็นักเรียนหญิง แต่คนคนนี้…รองเท้าผ้าใบที่สวมคู่นั้นสุดยอดมาก ตามความเข้าใจของนักเลงบางคน ราคาคงเกือบแตะห้าหลัก

บวกกับอีกฝ่ายแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นเด็กเรียน ทั้งสามคนจึงตัดสินใจเห็นพ้องต้องกัน…เดิมพันกันไปเลย! เปลี่ยนจากจักรยานเป็นมอเตอร์ไซค์*!

“แก…ได้ยินหรือเปล่า” คนที่เป็นหัวโจกรวบรวมความกล้า ชูคิวอาร์โค้ดวีแชตในมือ “ถ้าไม่โอนมาห้าร้อยหยวนล่ะก็ พวกเราก็คงต้องเชิญแกไปคุยกันที่อื่นแล้ว”

เฉินจิ่งเซินหลุบตาลง กวาดตามองหน้าพวกเขารอบหนึ่ง

พวกเขาถึงได้พบว่าออร่าของเด็กเรียนคนนี้ล้วนได้รับการส่งเสริมจากชุดเครื่องแบบอันสะอาดเรียบร้อยนั่น

เด็กหนุ่มเปลือกตาบาง โครงหน้าเรียบเนียนคมชัด อันที่จริงเป็นรูปร่างหน้าตาที่เย็นชามาก เมื่อมองลงมาจากตำแหน่งที่สูงกว่าก็ทำให้คนอดรู้สึกบีบรัดในใจไม่ได้

ชั่วพริบตานั้นพวกเขารู้สึกเสียใจอยู่บ้าง

เฉินจิ่งเซินใคร่ครวญสองวินาทีก็ยื่นมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

อาจเป็นเพราะสายตานั้น ทำให้จิตใต้สำนึกของคนอื่นคิดว่าเฉินจิ่งเซินจะควักอาวุธออกมาหรือไม่ก็ควักมือถือมาแจ้งตำรวจ จึงรีบถอยหลังไปสองก้าว “แกจะทำอะไร เอามือออกมา ไม่งั้นฉัน…”

คำพูดของเขาพลันหยุดลงในตอนที่เฉินจิ่งเซินควักเงินออกมา

พวกเขามองคนตรงหน้านับแบงก์แดงห้าใบแล้วส่งมาง่ายๆ จนอ้าปากตาค้าง

“ไม่มีวีแชต จ่ายเงินสดแล้วกัน” ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยปากพูดประโยคแรกกับพวกเขา

พวกนักเลงงุนงงไปชั่วขณะ

ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนขอทานที่ได้รับบริจาคล่ะเนี่ย

อีกอย่างนะ แม่งเอ๊ย

นักเรียน ม.ปลาย สมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมด ไปเรียนพกเงินค่าขนมเยอะขนาดนี้ได้เรอะ

“ไม่มีวีแชต? ฉันเชื่อแกกับผีน่ะสิ ปกติแกไม่คุยกับคนอื่นหรือไง ไม่เล่นเกม? ไม่มีแฟน?”

พูดถึงคำสุดท้ายพวกนักเลงก็ชะงักไป คิดว่าคนคนนี้อาจจะไม่มีแฟนจริงๆ ก็ได้

เขารับเงินห้าร้อยหยวนมา ดวงตายังคงจับจ้องที่มือของเฉินจิ่งเซินอย่างละโมบ “ช่างเถอะ ในมือนายมีเท่าไหร่ เอามาให้หมด…”

ตลับไพ่เปล่าๆ ลอยลิ่วมากระแทกใส่หน้าผากของคนคนนั้นอย่างแม่นยำ

ตลับไพ่หล่นลงพื้นเสียงดัง ‘เคร้ง’

คนคนนั้นถูกกระแทกจนงงงันครู่หนึ่ง กุมหน้าผากแล้วมองไปทางข้างหลังคนที่ถูกไถเงิน “แม่งใครวะ…”

พอเห็นใบหน้าคนที่มาอย่างชัดเจนก็หุบปากทันที

ที่โรงเรียนของพวกเขาเคยมีคนพูดกันว่าไปหาเงินมาใช้จ่ายสักหน่อยที่โรงเรียนมัธยมปลายข้างๆ ได้ แต่ถ้าเห็นคนที่บนใบหน้ามีไฝสองจุด ท่าทางดุๆ ให้รีบหนีซะ

ไม่ใช่คนตรงหน้านี้หรอกเหรอ

พอเฉินจิ่งเซินหันหน้าไปก็เห็นเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของเขา

เวลานี้อารมณ์บนใบหน้าของเพื่อนร่วมโต๊ะเขาไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก เหมือนกับตอนที่เขาปฏิเสธไม่ให้อีกฝ่ายลอกข้อสอบ

อวี้ฝานไม่ได้มองเขา

“คืนเงินเขาซะ” อวี้ฝานพูดกับสามคนนั้น “แล้วไสหัวไป”

ทั้งสามคนหน้าถอดสีทันที คนที่ยืนอยู่ตรงกลางเชิดปลายคางขึ้น “แกแม่งเป็นใครวะ”

“ไม่หรอกมั้ง นายไม่รู้จักเขา?” หวังลู่อันที่ตามมายื่นมือไปพาดบ่าของคนคนนั้นแล้วยิ้มอย่างเริงร่า “เขาเพิ่งซัดไอ้คนหัวเกรียนจากโรงเรียนพวกนายมา นายไม่ได้ยินข่าวเลยเหรอ”

“…”

“หลายวันมานี้พวกเขาคงยังไม่ได้ไปเรียนล่ะสิ วันนั้นฉันเห็นมีคนบาดเจ็บสาหัสด้วย”

“…”

สิบกว่าวินาทีหลังจากนั้น คนคนนั้นก็ส่งเงินให้อวี้ฝานอย่างอ่อนข้อ

อวี้ฝานไม่รับ “เงินฉัน?”

คนคนนั้นชะงัก ก่อนจะขยับมือไปตรงหน้าเฉินจิ่งเซิน

คนกลุ่มนั้นเพิ่งหันหน้าจากไป จางเสียนจิ้งก็ออกมาจากสนุกเกอร์คลับ “ไปแล้ว? ขี้ขลาดจริงๆ”

“ก็ไม่ใช่คนเจ๋งอะไรแต่แรกอยู่แล้ว…” คำพูดของหวังลู่อันหยุดลงหลังจากเห็นแว่นตากรอบดำที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาอยู่บนหน้าจางเสียนจิ้ง

“ก็ถูก” จางเสียนจิ้งดันแว่นตา มองไปทางชายหนุ่มด้านข้างอย่างกังวลและเจือด้วยจริต “นักเรียนเฉิน นายไม่ได้ถูกขู่ใช่ไหม”

เฉินจิ่งเซินเก็บเงินเข้ากระเป๋ากางเกง “เปล่า”

จางเสียนจิ้งยิ้มอย่างอ่อนโยน “งั้นก็ดีแล้ว ประตูหลังของโรงเรียนเราค่อนข้างวุ่นวาย ต่อไปนายต้องระวังหน่อยนะ”

หวังลู่อันฟังน้ำเสียงของเธอแล้วก็ขนลุกไปทั้งตัว เขาเบ้ปากแล้วถาม “เด็กท็อป เมื่อกี้ทำไมนายเอาเงินให้ไปซื่อๆ อย่างงี้เนี่ย ประตูหลังยังมี รปภ. อยู่นะ แค่นายตะโกนเขาก็มา ไม่งั้นนายขัดขืนสักหน่อยก็ได้แล้ว พวกมันไม่กล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตหรอก”

เฉินจิ่งเซินว่า “รำคาญ”

ท่าทางสงบนิ่ง น้ำเสียงเย็นชาราวกับว่าคนที่ถูกรีดไถแล้วให้เงินทันทีเมื่อกี้นี้ไม่ใช่ตัวเขา

หวังลู่อัน “…”

“เอางี้นะนักเรียนเฉิน” ดวงตาของจางเสียนจิ้งโค้งขึ้น “หรือไม่พวกเราแอดวีแชตกัน ต่อไปถ้านายเจออันตรายล่ะก็ เรียกหาฉันได้เลย ฉันจะพาคนมาช่วยนายทันที!”

เธอพูดจบก็ชะงักครู่หนึ่ง “อ้อ นายไม่มีวีแชตสินะ เบอร์โทรก็ได้”

เฉินจิ่งเซินนิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะร่ายตัวเลขออกมาเป็นพรวน

จางเสียนจิ้งไม่คิดว่าครั้งนี้เขาจะให้ง่ายๆ ขนาดนี้ เธอตะลึงงันไปพักหนึ่ง หยิบมือถือออกมา “เดี๋ยวๆๆ พูดช้าๆ หน่อย”

ชั่วขณะที่เดินมานั้นอวี้ฝานก็นึกเสียใจภายหลัง เขาด่าตัวเองในใจประโยคหนึ่งว่าอยู่ดีไม่ว่าดี มือข้างหนึ่งซุกกระเป๋ากางเกง หมุนตัวเดินกลับไป

เพิ่งย่างเท้าออกไปได้ก้าวเดียว แขนเสื้อก็ถูกคนคว้าไว้อย่างกะทันหัน

คนอื่นๆ ล้วนตกตะลึง

อวี้ฝานก้มหน้าโดยอัตโนมัติ เขาเห็นมืออันคุ้นเคยและข้อนิ้วที่เด่นชัดข้างนั้นบนเสื้อของตน

เขาออกแรงดึงเสื้อกลับมา

ทว่าเขากลับดึงกลับมาไม่ได้

เขาขมวดคิ้วพลางช้อนตา เอ่ยอย่างเย็นเยียบ “จะทำอะไร…”

“แอดวีแชตนายได้ไหม” เฉินจิ่งเซินถาม

อวี้ฝาน “…”

จางเสียนจิ้งที่กำลังพิมพ์เบอร์ลงไปในรายชื่อผู้ติดต่อในมือถือรู้สึกงุนงง “…?”

 

* ตะพาบน้ำ เป็นคำด่า หมายถึงคนสารเลวหรือคนโง่เง่า คล้ายกับการเปรียบว่าโง่เง่าเต่าตุ่น

* เปลี่ยนจากจักรยานเป็นมอเตอร์ไซค์ หมายถึงคว้าโอกาสไว้และพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น

 

บทที่ 10

 

รอบด้านเงียบเชียบผิดปกติอยู่พักหนึ่ง

“นี่ เด็กท็อป…” หวังลู่อันได้สติกลับมาเป็นคนแรก สายตาของเขามองสลับไปมาระหว่างทั้งสองคน ก่อนเอ่ยอย่างขบขัน “วีแชตของดาวโรงเรียนเรานายไม่แอด นายจะแอดอวี้ฝานไปทำไม หรือว่าคิดจะนัดต่อยกับเขาจริงๆ”

เฉินจิ่งเซินมองเขาแวบหนึ่ง “นัดต่อย?”

หวังลู่อันยังอยากถามอีก ทว่าคนข้างๆ เขากลับเคลื่อนไหวเสียก่อน

อวี้ฝานออกแรงดึงเสื้อของตนออกจากมืออีกฝ่ายอีกครั้ง

“แอดแม่นายสิ บอกกี่รอบแล้วว่าฉันไม่…” พูดไปได้ครึ่งเดียวคำพูดของอวี้ฝานก็ถูกตัดไป ก่อนจะเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไสหัวไปซะ อย่ามากวนฉันอีก”

หวังลู่อันกำลังคิดจะพูดว่าเพื่อนยากไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่เล่นโตขนาดนี้ก็ได้มั้ง แต่พอหันไปมองก็ตะลึงงัน

ทำไมเพื่อนของเขาถึงได้หูแดงล่ะเนี่ย

สีท้องฟ้าค่อนข้างมืด หวังลู่อันกำลังคิดจะดูให้ดีๆ อีกครั้ง อวี้ฝานก็หันหน้าเดินจากไปแล้ว

รถจักรยานที่แล่นผ่านไปด้านข้างยิ่งขับให้แผ่นหลังอันหล่อเหลาของเพื่อนเขาดูค่อนข้างลุกลี้ลุกลนมากขึ้น

 

กลับถึงบ้านอวี้ฝานก็นอนลงบนโซฟา หยิบมือถือขึ้นมาปัดสองที

กลุ่มแชตที่เขามิวต์ไว้ปีกว่าแล้วตอนนี้อยู่บนสุดของวีแชต ข้อความคุยกันไปจนถึง 99+ แล้ว

กลุ่มแชตนี้จั่วควนเป็นคนลากเข้าไป นักเรียนที่หาเรื่องให้ครูล้วนอยู่ในนี้กันหมด มีหลายสิบคนและมากกว่าครึ่งที่อวี้ฝานไม่รู้จัก

ตอนนี้คนไม่กี่คนพวกนั้นจากห้องจั่วควนกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน

 

ที่หนึ่งของสายชั้นคนนั้นเป็นยังไงกันแน่ ฉันเห็นอวี้ฝานดูเหมือนจะเกลียดขี้หน้าเขานะ

‘ไม่หรอกน่า เกลียดขี้หน้าเขาแต่เมื่อกี้ยังช่วยเขาทวงเงินกลับมาด้วยน่ะเรอะ?’

แต่เด็กท็อปขอแอดวีแชตเขานะ เขาก็ไม่ได้ให้ แถมยังเล่นพ่อล่อแม่เด็กท็อปด้วย!

 

อวี้ฝานหนังตากระตุก นึกถึงท่าทางของเฉินจิ่งเซินตอนที่ดึงเสื้อเขาเมื่อกี้อีกครั้ง

แววตาวูบไหวหลุบลง แล้วมองเขาอย่างใจเย็นและจดจ่อ…เหมือนกับตอนยื่นจดหมายรักไม่มีผิดเพี้ยน

แม่ง ตกลงว่าหมอนี่รู้ตัวบ้างหรือเปล่าเนี่ยว่าตัวเองเป็นเกย์

ไม่ใช่ว่าเกย์ควรปิดแล้วหลบๆ ซ่อนๆ กันหรอกเหรอ

เขาทำตัวอย่างกับนกยูงรำแพนหางทุกวันอย่างนี้หมายความว่ายังไง

อวี้ฝานหลับตาพลางคลึงใบหู

เมื่อกี้ออกมาเร็วเกินไป น่าจะต่อยตาเฉินจิ่งเซินสักหมัด

อวี้ฝานขยับนิ้วกดออกจากกลุ่มแชตขยะนี่ ขณะกลับไปยังหน้าหลักของวีแชต จู่ๆ แถบสถานะโคลสเฟรนด์ก็มีเลข ‘1’ สีแดงเพิ่มขึ้นมา

เขากดเปิดอย่างไม่ใส่ใจ มันคือคำขอเป็นเพื่อนใหม่ ผู้ขอใช้เป็นรูปโพรไฟล์ค่าเริ่มต้น เงาไดคัตรูปคนสีขาวเทาเรียบๆ ดูท่าทางเหมือนบัญชีที่สร้างใหม่…

 

[s ขอเพิ่มคุณเป็นเพื่อน ฉันคือเฉินจิ่งเซิน]

[แหล่งที่มา อีกฝ่ายเพิ่มรายชื่อที่ผ่านการแชร์จาก ‘จางเสียนจิ้ง’]

 

หัวคิ้วของอวี้ฝานกระตุก พลันผุดลุกขึ้นนั่งบนโซฟาทันที

เขากดปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด จากนั้นก็แคปรูปแล้วส่งให้จางเสียนจิ้ง

 

?

จางเสียนจิ้ง แหะๆ ฉันบอกว่าฉันแชร์วีแชตของนายให้เขาได้ เฉินจิ่งเซินก็รีบแอดฉันทันทีเลยล่ะ

จางเสียนจิ้ง เด็กท็อปส่งคำขอไปแล้ว นายก็แอดซะสิ

ไม่แอด

จางเสียนจิ้ง โอ๊ย ตามใจนาย ยังไงซะฉันก็ได้วีแชตมาแล้ว ต่อไปถ้าหลอกเอาเฉลยข้อสอบของเขามาได้ก็จะได้ส่งให้ผู้มีคุณูปการอย่างนายด้วยฉบับหนึ่งไง~

 

อวี้ฝานถึงนึกขึ้นได้ว่าในกระเป๋าเสื้อเครื่องแบบของเขายังมีเฉลยข้อสอบอีกฉบับหนึ่ง

เขาลุกขึ้นไปล้วงออกมา กระดาษทดถูกขยำถูกยัดจนยับย่นกลายเป็นก้อนอย่างน่าสงสาร

เขาจ้องมองกระดาษแผ่นนั้นสองวินาที ก่อนจะส่งเสียง ‘จิ๊’ ออกมาเบาๆ แล้วคีบมันขึ้นมาพร้อมเดินไปที่หน้าโต๊ะหนังสือในห้อง จากนั้นเปิดตู้ที่สามจากชั้นล่าง คลี่กระดาษออกมาอย่างลวกๆ แล้วโยนเข้าไป

กระดาษทดถูกพลิกไปมาจนเกิดเสียงสองที ท้ายที่สุดก็นอนแอ้งแม้งอยู่บนซองจดหมายสีชมพูอย่างสงบ

อวี้ฝานต้มเกี๊ยวลวกๆ ชามหนึ่ง เพิ่งกินไปสองคำ เวลาสองทุ่มตรงโทรศัพท์ก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง

 

[s ขอเพิ่มคุณเป็นเพื่อน ฉันคือเฉินจิ่งเซิน]

[- ปฏิเสธ เหตุผลที่ปฏิเสธ ไสหัวไป]

 

สามทุ่ม อวี้ฝานกำลังอาบน้ำ

 

s ฉันคือเฉินจิ่งเซิน

 

ตั้งนาฬิกาปลุกไว้โดยเฉพาะสินะ

อวี้ฝานเช็ดมือกับผ้าขนหนูแล้วกดปฏิเสธ

สี่ทุ่มอวี้ฝานเพิ่งเปิดเกมงูจอมเขมือบ

 

s ฉันคือเฉินจิ่งเซิน

 

ห้าทุ่มอวี้ฝานเล่นเกมงูจอมเขมือบเสร็จ

 

s ฉันคือเฉินจิ่งเซิน

 

เที่ยงคืนอวี้ฝานจ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างเหลืออด กดตกลงในชั่วพริบตาที่คำขอเป็นเพื่อนเด้งขึ้นมา

มา

อวี้ฝานจ้องหน้าต่างแชตที่ว่างเปล่าของเขากับเฉินจิ่งเซินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ฉันจะดูซิว่านายจะพูดเหลวไหลอะไรกันแน่

สิบนาทีผ่านไปอีกฝ่ายก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด

ยี่สิบนาทีผ่านไป ไม่มีข้อความ

สามสิบนาทีผ่านไป ไม่มีข้อความ

หนึ่งชั่วโมงให้หลังอวี้ฝานมองดูหน้าต่างแชตของเขากับเฉินจิ่งเซินที่ว่างเปล่าเหมือนเดิม กดเปิดโพรโฟล์ส่วนตัวของ s ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะบล็อกอีกฝ่าย

 

กลางดึกอวี้ฝานกำลังลืมตาท่ามกลางเสียงสวบสาบ

ความง่วงงุนที่เพิ่งผุดออกมาพลันถูกเก็บกลับเข้าไปอีกครั้ง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา…ตีสามครึ่ง ไก่ยังไม่ตื่นเลย

นอกห้องมีเสียงเคร้งคร้างอีกครั้ง

สีหน้าของอวี้ฝานเย็นเยียบ เลิกผ้าห่มแล้วลุกขึ้นจากเตียง หยิบไม้แบดมินตันที่เอ็นขาดไปหลายเส้นออกมาจากหลังม่านตรงหน้าต่าง

เขาเดินไปที่หน้าประตูด้วยเสียงแผ่วเบา มือเพิ่งกำลูกบิดประตู…

“เมื่อกี้ไม่ได้ยินโทรศัพท์ ฉันเพิ่งถึงบ้าน ตกลงว่าบอลนัดนั้นแกช่วยแทงให้ฉันได้ไหม แทงอะไรนะ…ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่หรือไง แทงสองต่อหนึ่งซื้อหมื่นนึง…แทงแล้วก็จะให้เงิน ฉันยังจะเบี้ยวได้หรือไง”

เสียงของอวี้ข่ายหมิงเหมือนกับสว่านที่กดปุ่มสตาร์ตโดยไม่ทันตั้งตัว แทรกเข้ามาผ่านช่องประตู “ทีวีช่องไหนถ่ายทอดสดบ้าง…รู้แล้วๆ”

เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย อวี้ฝานก็โยนไม้แบดมินตันกลับไปที่เดิม สีหน้ากลับยิ่งเย็นชาขึ้นกว่าเดิม

หลังจากนั้นสองนาทีเสียงของการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลก็ดังขึ้นที่ด้านนอก

ขณะที่อวี้ฝานเปิดประตู อวี้ข่ายหมิงก็กำลังเปิดเบียร์ สองขาพาดบนโต๊ะ ดูการแข่งขันฟุตบอลอย่างสบายอารมณ์

เสียงโทรทัศน์เบาเกินไป อวี้ข่ายหมิงจึงหยิบรีโมตขึ้นมาแล้วเพิ่มเสียงไปสิบระดับ

อวี้ฝานพิงกรอบประตู “หูหนวกก็ไปรักษา”

ท่าทางดื่มเบียร์ของอวี้ข่ายหมิงหยุดชะงัก ก่อนจะเพิ่มระดับเสียงต่อ เขาพาดมือบนโซฟา ยังคงจับจ้องโทรทัศน์ “ฉันพอใจที่จะฟังเสียงดังขนาดนี้ในบ้านตัวเอง ถ้าแกรำคาญก็ไสหัวออกไป”

อวี้ฝานไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง หยิบของบนโต๊ะมาทั้งหมด จากนั้นคว้าเสื้อแจ็กเก็ตแล้วหมุนตัวออกจากประตูไป

เขาปิดประตู พิงรออยู่ตรงหน้ากล่องมิเตอร์ไฟฟ้าครู่หนึ่ง ชั่วขณะที่ได้ยินเสียง ‘ยิงประตู…’ ดังมาจากข้างในก็ยกมือดึงคัตเอาต์ลง จากนั้นก็หยิบแม่กุญแจที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาล็อกมิเตอร์ไฟฟ้า

ตอนอวี้ข่ายหมิงชะโงกศีรษะออกมาจากระเบียงก็เห็นแผ่นหลังของอวี้ฝานพอดี

เขาด่าหยาบคายอย่างหน้าดำหน้าแดง “อวี้ฝาน ไอ้ฉิบหาย! ไสหัวกลับมานะ! ไอ้ลูกหมา! ฉันบอกให้ไสหัวกลับมาได้ยินไหม…”

ท่ามกลางราตรีมืดมิด เด็กหนุ่มร่างผอมบางที่แค่พูดประโยคเดียวก็คร้านจะตอบอีกฝ่ายจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา

อวี้ฝานไปเช่าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่อินเตอร์เน็ตคาเฟ่แล้วหลับไปสองชั่วโมง

อินเตอร์เน็ตคาเฟ่เป็นร้านเล็กๆ มีที่ว่างหนึ่งเดียวอยู่ติดกับหน้าต่างซึ่งบานประตูเสีย

เขาหลับตาท่ามกลางลมหนาวมาสองชั่วโมงแล้ว รอบๆ มีกลิ่นบุหรี่โชยมาไม่ขาดสาย คนที่อยู่ห้องเหมาส่วนตัวข้างๆ เล่นเกมกันเหมือนทำสงคราม เสียงดังยิ่งกว่าเคทีวีที่อยู่ข้างๆ

เมื่อตื่นขึ้นมาอวี้ฝานก็เวียนหัวและปวดหัว ตัวเขารู้สึกว่าแย่ยิ่งกว่าตอนโต้รุ่งเสียอีก

เช้าตรู่ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศเย็นมาก ท้องฟ้ามีสายฝนโปรยปราย

เถ้าแก่ของอินเตอร์เน็ตคาเฟ่กับเขาเป็นคนคุ้นเคยกันมานาน เห็นเขาออกมาก็ชะโงกศีรษะจากเคาน์เตอร์ด้านหน้า “อวี้ฝาน จะไปโรงเรียนแล้วเหรอ นายใส่เสื้อผ้าบางขนาดนี้ ไม่รู้เหรอว่าวันนี้อุณหภูมิลดลง ข้างนอกฝนตก นายหยิบร่มไปสิ”

“ไม่ต้องหรอก”

อวี้ฝานรูดซิปเครื่องแบบแล้วหมุนกายเดินเข้าไปท่ามกลางม่านฝน

ตอนเฉินจิ่งเซินมาถึงโรงเรียน ในห้องยังมีคนแค่ไม่กี่คน

พอเห็นคนที่ฟุบหลับบนโต๊ะเขาก็ชะงักเล็กน้อย เงยหน้ากวาดตามองนาฬิกาที่อยู่เหนือบอร์ดข่าวแวบหนึ่ง

อวี้ฝานฝังใบหน้าลงไปในแขน ผมเผ้ายุ่งเหยิง ไหล่กระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยตามลมหายใจ ดูท่าทางหลับอยู่ตรงนี้มานานมากแล้ว

วันนี้อุณหภูมิลดฮวบ แจ็กเก็ตเครื่องแบบตัวบางๆ บนร่างเขาจึงไม่เข้าพวกกับคนรอบๆ

เฉินจิ่งเซินดึงหนังสือเรียนออกมาจากใต้โต๊ะ พลิกเปิดหนังสือเรียนไปสองหน้า

ลมเย็นๆ พัดเข้ามาระลอกหนึ่ง คนด้านข้างขยับ งอนิ้วเข้าไปในแขนเสื้อกว้างๆ ของเสื้อเครื่องแบบ

เฉินจิ่งเซินลุกขึ้นไปปิดประตูหน้าต่างด้านข้างอย่างเบามือ

เพื่อนในห้องเมื่อเข้าห้องเรียนมาแล้วเห็นคนที่ปกติจะมาสายทว่าตอนนี้กลับนั่งประจำที่แล้วต่างก็ประหลาดใจกันอยู่บ้าง

“อวี้ฝาน วันนี้ทำไมนายมาเช้าขนาดนี้เนี่ย” จางเสียนจิ้งหันกลับไปมองเขา “เพี้ยนหรือไง”

อวี้ฝานขยับปลายนิ้วที่ลู่ลงตรงริมโต๊ะ เนิ่นนานกว่าเขาจะเปล่งเสียงออกมา “อืม”

“ง่วงจนกลายเป็นแบบนี้ เมื่อคืนไปเป็นหัวขโมย?”

หวังลู่อันเลิกคิ้ว “เขาก็ง่วงอย่างนี้ทุกวันไม่ใช่หรือไง”

“ปกติดีร้ายยังไงก็ยังโผล่หน้าสักหน่อย วันนี้เห็นแค่ผม” จางเสียนจิ้งบิดขี้เกียจ ก่อนจะมองคนข้างๆ ตาหยี “เพื่อนร่วมโต๊ะที่รัก การบ้านคณิตเมื่อวานเธอทำแล้วหรือยัง”

หวังลู่อันกล่าว “ฉันเขียนแล้ว ฉันให้เธอลอกแล้วกัน”

“ช่างเถอะ คณิตของนายน่ะ…” จางเสียนจิ้งเอ่ยอย่างรังเกียจ “เดี๋ยวจะทบทวนด้วยตัวเองรอบเช้าแล้ว รีบไสหัวกลับไปนั่งที่ของนายซะ”

“เหอะ เธอเป็นหมากัดหลี่ว์ต้งปิน* หรือไง”

อันที่จริงอวี้ฝานไม่ได้หลับสนิท แต่ก็รู้สึกหนักหัวมาก ทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง ได้แต่ฟุบอยู่บนโต๊ะฟังบ้างไม่ฟังบ้าง

เสียงโดยรอบยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็กลายเป็นเสียงที่เขาฟังไม่รู้เรื่องล่องลอยอยู่ข้างหู

ไม่นานนักเสียงอันทรงพลังของจวงฝ่างฉินก็ดังแว่วมา “นักเรียนบางคนน่ะ เห็นว่ามาค่อนข้างเช้า จริงๆ แล้วหลับตลอดทั้งเช้า”

“ช่างเถอะ ให้เขาหลับไป อนาคตจะต้องมีวันที่เขาเสียใจ”

ผ่านไปสักพักเธอก็เสียใจภายหลัง “หน่วยความรู้ใหม่ในนี้ ทุกคนจดไว้…ใครปิดหน้าต่างห้องเรียนหมด นักเรียนที่อยู่แถวหลังเปิดหน้าต่างที่อยู่รอบๆ พวกเธอให้หมด อุณหภูมิในห้องจะได้ไม่สบายเกินไป บางคนพอนอนแล้วก็จะไม่ลุกขึ้น”

“ผมปิดเองครับครู” เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้าง “ผมหนาว”

จวงฝ่างฉินมองเสื้อขนเป็ดตัวสั้นสีขาวที่อยู่บนตัวเฉินจิ่งเซินอย่างงงงวย “อ้อ…เอาเถอะ งั้นก็ไม่ต้องเปิดแล้ว”

“ข้อสอบที่ครูอธิบายวันนี้กลับไปคัดวิธีทำข้อที่ผิดทั้งหมดมาสิบรอบแล้วมาส่งพรุ่งนี้ นักเรียนที่ไม่ส่ง คาบคณิตสัปดาห์หน้าก็ไปยืนที่บอร์ดข่าวซะ”

 

อวี้ฝานหลับสนิท

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ข้างหูมีเสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้นสองที และเสียงทุบจนขมับของเขาเต้นตุบๆ ตามไปด้วยอีกสองที

เสียงของหวังลู่อันลอยมาจากตรงเหนือศีรษะ “เพื่อนยาก เลิกเรียนแล้ว นายหลับมาทั้งวันแล้วยังจะหลับอีกเหรอ ไปกัน พวกเราไปกินข้าวกัน”

อวี้ฝานปวดหัวจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขาส่ายศีรษะเบาๆ ทีหนึ่ง

หวังลู่อันถาม “นายไม่ไป?”

อวี้ฝานพยักหน้า

“นายไม่หิวเหรอ ฉันได้ยินว่าท้ายถนนมีร้านหมาล่ามาเปิด วันนี้หนาวขนาดนี้ ไม่ไปกินจริงเหรอ” หวังลู่อันว่า “งั้นฉันไปนะ”

ขนตาของอวี้ฝานขยับ คร้านจะสนใจเขา

ก่อนไปหวังลู่อันเหลือบมองคนข้างๆ อวี้ฝานโดยจิตใต้สำนึกแวบหนึ่ง

เลิกเรียนไปได้สักพักแล้ว เฉินจิ่งเซินยังคงเอียงศีรษะทบทวนบทเรียน ท่านั่งของเขาผ่อนคลายกว่าตอนเรียนในเวลาปกตินิดหน่อย สันกรามเคร่งตึงอย่างเย็นชา สายตาตกอยู่ที่โจทย์บนสมุดแบบฝึกหัด

สมกับเป็นเด็กท็อป หวังลู่อันคิดในใจ

ที่หนึ่งของสายชั้นยังคงทำโจทย์อยู่ที่ห้องเรียน ดูท่าทางมุ่งมั่นตั้งใจจะเอาชนะเพื่อนคนอื่นให้ตายเรียบ

คนในห้องทยอยกันออกไป ห้องเรียนจึงเหลือสองคนสุดท้าย

เมื่อทำข้อสอบที่อยู่ในมือเสร็จ หางตาของเฉินจิ่งเซินก็กวาดมองไป คนข้างกายยังคงฟุบอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

เขาพิงไปข้างหลัง หยิบกระดาษข้อสอบแผ่นใหม่ออกมาจากในลิ้นชัก

ทำโจทย์ไปสองข้อ เขาก็ได้ยินคนข้างๆ พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง

ปลายปากกาของเฉินจิ่งเซินหยุดชะงัก เขาหันไปดูถึงได้พบว่าอวี้ฝานผิดปกติไป

อวี้ฝานรู้สึกว่าตนเองหลับจนมึนแล้ว ถึงได้เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน คอแห้งผาก ลมหายใจติดขัด

ลมเย็นพัดเข้ามาจากช่องประตู เขาเย็นจนหดตัว กำลังคิดจะเปลี่ยนท่า แต่จู่ๆ ที่ต้นคอก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นร้อน

เขายังไม่ทันรู้สึกตัวว่าคืออะไร ทันใดนั้นของสิ่งนั้นก็พลิกกลับไปกลับมาบนผิวเขาจนทั่ว

ฝ่ามือของชายหนุ่มทั้งใหญ่กว้างและร้อนผ่าว กุมต้นคอของเขาไว้ได้ทั้งหมดอย่างง่ายดาย

อวี้ฝานตัวสั่น ผิวหนังทั่วทั้งร่างเริ่มชา

เขาพยายามลืมตา เอียงศีรษะแล้วหันหน้าไปเหลือบมองคนข้างๆ

มือของเฉินจิ่งเซินวางที่ต้นคอของเขา มืออีกข้างกดมือถือ รับรู้ได้ถึงสายตานั้น นัยน์ตาจึงช้อนขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

ดวงตาของอวี้ฝานร้อนผ่าวจนแดงเรื่อ ค่อยๆ ลามไปที่ไฝตรงหางตา นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นจับจ้องเขาโดยไม่ขยับเขยื้อน สักพักอวี้ฝานถึงได้ขยับปากอย่างยากลำบาก

คนที่ไม่ได้พูดมานานเสียงเริ่มแปร่ง เรี่ยวแรงก็ไม่มี

“นายแม่ง…” อวี้ฝานหรี่ตา “คุกคามทางเพศ?”

“…”

เฉินจิ่งเซินขมวดคิ้ว ริมฝีปากเม้มจนกลายเป็นเส้นตรง ผ่านไปสักพักถึงได้เอ่ยปาก

“อวี้ฝาน นายกำลังเป็นไข้”

 

* หมากัดหลี่ว์ต้งปิน เป็นสำนวน หมายถึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดี จึงเข้าใจกันและกันผิดไป

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: