X
    Categories: everYทดลองอ่านเลิกเรียนแล้วเจอกัน

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 

ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)

แปลโดย : Lucky Luna

ผลงานเรื่อง : 放学等我

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 11

 

อันที่จริงอวี้ฝานมีลางสังหรณ์อยู่รางๆ

ตั้งแต่เช้าก็เริ่มรู้สึกว่าศีรษะหนักเท้าเบา ทั้งร่างไม่มีเรี่ยวแรง ได้ยินคนพูดคุยกันเหมือนบทสวด

เขาไม่ได้ป่วยมานานมากแล้ว ความรู้สึกประเภทนี้ทรมานยิ่งกว่าเจ็บตามเนื้อหนังเสียอีก

ริมฝีปากแห้งผาก อวี้ฝานกลืนน้ำลายทีหนึ่ง ความเจ็บปวดที่แล่นปราดมาจากคอทำให้เขาขมวดคิ้ว “เอามือออกไป”

คนข้างๆ ไม่พูดไม่จา ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเฉินจิ่งเซินก็ดึงมือกลับไป

อวี้ฝานย้ายศีรษะกลับไปหนุนบนท่อนแขน

“นายควรไปโรงพยาบาล”

อวี้ฝานหลับตา “ยุ่งเรื่องชาวบ้านให้มันน้อยๆ หน่อย”

ด้านข้างไม่มีเสียงแล้ว

ตอนนี้อวี้ฝานเหมือนกับตอนทบทวนด้วยตนเองรอบเช้าไม่มีผิดเพี้ยน สมองเลอะเลือนและยากจะหลับลง เขาสะลึมสะลือฟังคนข้างๆ ปิดหนังสือเรียน เก็บข้าวของ และรูดซิปกระเป๋าเป้

เขาเอียงศีรษะ เห็นเฉินจิ่งเซินสะพายกระเป๋าเป้ไว้บนบ่าทั้งสองข้างพอดี หิ้วเก้าอี้ด้วยมือข้างเดียวแล้วพลิกไปวางไว้บนโต๊ะเรียน

รอคนไปหมดค่อยเอาโต๊ะมาชนกันแล้วหลับสักงีบ

หรือจะไปนอนที่อินเตอร์เน็ตคาเฟ่แก้ขัดอีกสักคืนดีล่ะ สภาพตอนนี้กลับบ้านไปไม่แน่ว่าอาจจะทะเลาะกับอวี้ข่ายหมิงได้…

หนังตาของอวี้ฝานหลุบลงกึ่งหนึ่ง ก็มองเห็นเฉินจิ่งเซินวางมือไว้บนซิปแล้วถอดเสื้อคลุมออกอย่างพร่ามัว

ใต้เสื้อขนเป็ดที่หนาและหนักของเขายังสวมเสื้อกั๊กไหมพรมสีเบจอีกตัวหนึ่ง ข้างในอีกชั้นถึงจะเป็นเสื้อเชิ้ตนักเรียน

อวี้ฝานคิดในใจว่าทำไมหนอนหนังสือพวกนี้ถึงได้อ่อนแอขนาดนี้ อากาศเพิ่งจะกี่องศาเองก็ห่อจนเหมือนบ๊ะจ่างแล้ว บ๊ะจ่างค้อมตัวลงมาจับแขนเขาไว้

?

จับแขนของเขาไว้เรอะ

อวี้ฝานพลันได้สติกลับคืนมา “ทำอะไร”

“ไปโรงพยาบาล” เฉินจิ่งเซินกล่าวอย่างเรียบเฉย

“บอกแล้วไงว่ายุ่งเรื่องชาวบ้านให้มันน้อยๆ หน่อย ปล่อย” อวี้ฝานขมวดคิ้ว “นายลองแตะตัวฉันดูอีกสิ เชื่อไหมว่าฉันจะซัดนายจริงๆ…”

เขาจ้องใบหน้าของเฉินจิ่งเซิน ออกหมัดไปอย่างเหลืออด…จากนั้นข้อมือก็ถูกอีกฝ่ายกำเอาไว้

เขาถูกเฉินจิ่งเซินหิ้วขึ้นมาเหมือนกับเก้าอี้ตัวเมื่อครู่

เขายกกำปั้นขึ้นมาอีกครั้ง…มืออีกข้างหนึ่งก็ถูกยึดไว้เช่นกัน

อวี้ฝานพลันรู้สึกว่าการป่วยยิ่งน่ารำคาญมากกว่าเดิม

เขาสู้อวี้ข่ายหมิงไม่ได้ก็ช่าง แต่นี่ยังสู้ไม่ได้แม้แต่กับเฉินจิ่งเซิน???

เสื้อขนเป็ดถูกคลุมลงบนตัวเขา เฉินจิ่งเซินพูด “ยกมือ”

นอกห้องเรียนมีนักเรียนหญิงสองคนเดินผ่าน เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว พวกเธอจึงมองมาทางนี้พร้อมกัน…

กำปั้นที่อวี้ฝานกำไว้แน่นคลายออกแล้ว

ช่างเถอะ ดิ้นไปจะยิ่งน่าเกลียด

เฉินจิ่งเซินเมินสายตา ‘ถ้าหายป่วยจะฆ่านายเป็นอันดับแรก’ ของคนตรงหน้า นิ้วมือจับซิปแจ็กเก็ตรูดขึ้นมาจนถึงบนสุด

เป็นเสื้อขนเป็ดคอสูง ท้ายทอยของอวี้ฝานจึงมีกำบัง

เขารู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายที่ยังหลงเหลืออยู่ของเจ้าของเสื้อ ก่อนจะเงยหน้าอย่างไม่พอใจ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “คิดจะทำให้อึดอัดตายหรือไง”

เฉินจิ่งเซินชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ยื่นมือมากดคอเสื้อลงไว้ที่ใต้คางของเขา

เพื่อตอบสนองความต้องการด้านที่พักอาศัยของครูจำนวนหนึ่ง หอพักครูของโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ดจึงสร้างไว้ข้างๆ อาคารปฏิบัติการ

ปกติคนที่พักอยู่ที่นี่ล้วนเป็นครูหนุ่มๆ ที่เพิ่งเข้ามาทำงานและครูเก่าผู้กระตือรือร้นจำนวนหนึ่งที่วางแผนลู่ทางก้าวหน้าอีกยี่สิบปีข้างหน้าในโรงเรียนไว้อย่างชัดเจน

หูผางพักอยู่ที่ชั้นห้าของหอพักครู ระเบียงห้องก็หันไปทางโรงเรียน เดินไปข้างนอกสองก้าวก็สามารถมองเห็นประตูใหญ่ของโรงเรียนได้

เย็นวันนี้ก็เหมือนอย่างเคย เขาประคองชามเดินทอดน่องไปจนถึงระเบียง มองดูประตูโรงเรียนซึ่งมีอนาคตของชาติที่เรียนจนลืมตัวเองถึงขนาดที่เพิ่งออกจากโรงเรียนตอนนี้เพื่อไปกินข้าว

เมื่อเห็นเงาร่างสูงโปร่งของเฉินจิ่งเซิน มุมปากของหูผางที่เพิ่งยกขึ้นเล็กน้อยก็แข็งค้างไปอีกครั้ง

เฉินจิ่งเซินโอบคนคนหนึ่งไว้ข้างกาย ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก ท่าทางเหมือนคู่รักปั๊ปปี้เลิฟที่เขามักจะจับได้ที่สวนดอกไม้ของโรงเรียนบ่อยๆ พวกนั้น

เฉินจิ่งเซินก็เป็นไปด้วย???

หูผางตกตะลึง รีบวางชามลงแล้วหยิบแว่นตาขึ้นมา มองไปอีกครั้งก็เห็นเส้นผมอันยุ่งเหยิงบนศีรษะหนึ่ง…

รวมถึงใบหน้าที่เขาแค่มองก็ความดันขึ้น

หูผาง “…”

นายยังไม่เหมาะที่จะมีปั๊ปปี้เลิฟ

ท่านี้ อวี้ฝานเคยต่อต้าน

หลังจากนั้นเขาก็เกือบตกบันได

เวลานี้ในโรงเรียนเหลือแค่ไม่กี่คน แต่ก็ไม่ได้ไปกันจนหมด อวี้ฝานอยากจะจำคนไว้ให้ชัดๆ เพื่อที่จะสะดวกในการฆ่าปิดปากภายหลัง แต่กลับมองเห็นไม่ชัดเลยสักคนเพราะเวียนหัว

ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าไปซะและถูกเฉินจิ่งเซินพาเข้าไปในรถแท็กซี่

พวกเขาไปที่โรงพยาบาลใกล้ๆ โรงเรียน

วัดอุณหภูมิร่างกายแล้ว 39.1 องศาฯ ไข้สูง

“อุณหภูมิร่างกายค่อนข้างสูง มีไข้มานานแค่ไหนแล้ว” หมอดูสีหน้าเขาแวบหนึ่ง “หมอจะจ่ายยาให้เธอก่อน ดูว่าอาการจะดีขึ้นไหม ถ้าพรุ่งนี้ไข้ยังไม่ลด เธอค่อยมาตรวจเลือดและให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล…”

อวี้ฝานขี้เกียจรอ “ให้น้ำเกลือผมเลย”

หลังจากนั้นสิบนาทีอวี้ฝานก็เข้าไปนั่งในห้องให้น้ำเกลือ

เขาดึงแขนเสื้อแล้วยื่นแขนข้างหนึ่งไปตรงหน้าพยาบาล

อวี้ฝานไม่ได้แปะพลาสเตอร์แล้ว พยาบาลเห็นรอยแผลบนใบหน้าเขาก็ตะลึงงัน อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเครื่องแบบที่เขาสวมอยู่ด้านใน

แขนของอวี้ฝานผอมบาง…ความจริงแล้วเขาผอมไปทั้งตัว บนร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อไม่มาก เมื่อฟุบหลับบนโต๊ะเรียน สะบักไหล่มักจะยันเสื้อขึ้นมา ทำให้คนมักสงสัยว่าตอนชกต่อยเขาเอาแรงมาจากไหน

อวี้ฝานหลุบตาลง มองดูเข็มเล่มนั้นค่อยๆ แทงเข้าไปในผิวหนัง หัวเข็มถูกยึดไว้ด้วยเทป ทิ้งเข็มไว้บนหลังมือของเขา

“เสร็จแล้ว” พยาบาลกล่าว “ดื่มน้ำร้อนเยอะๆ สวมเสื้อผ้าหนาๆ ปิดไว้ให้เหงื่อออกจะดีที่สุด”

อวี้ฝาน “ขอบคุณครับ”

หลังจากพยาบาลไปแล้ว อวี้ฝานก็พิงไปข้างหลัง ทิ้งร่างลงบนเก้าอี้ให้น้ำเกลือ เสื้อขนเป็ดยุบลงไปตามการเคลื่อนไหวของเขา

เขาเป็นไข้ขึ้นมาสภาพแย่กว่าคนป่วยคนอื่นๆ ที่เป็นไข้เสียอีก พอเขานอนบนเสื้อคลุมนุ่มๆ ความง่วงงุนก็คืบคลานเข้ามาอีกครั้ง

ยาและน้ำร้อนแก้วหนึ่งถูกวางไว้ตรงหน้าเขา

“กินแล้วค่อยนอน” เสียงของเฉินจิ่งเซินดังลงมาจากด้านบนศีรษะ

อวี้ฝานคร้านจะพูดมาก จึงหยิบยาขึ้นมาแล้วกลืนลงไป ก่อนเอียงศีรษะหาท่าที่สบายตัว ปิดตาลงและนอนหลับไป

 

ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งฟ้าก็มืดแล้ว

อวี้ฝานยังคงอยู่ในท่านอน ข่มความง่วงและหรี่ตากึ่งหนึ่งกวาดมองไปรอบด้าน

ในห้องให้น้ำเกลือมีคนไม่มาก มีแม่ที่กำลังอุ้มลูกชาย คู่รักที่กำลังจูงมือกัน ผู้ใหญ่ที่กำลังหอบคอมพิวเตอร์มาทำงานทั้งที่ให้น้ำเกลือ นักเรียนมัธยมปลายที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนการบ้าน…

?

อวี้ฝานหันหน้ามองไปทางคนสุดท้าย

ตอนนี้ที่ที่ให้ผู้ป่วยใช้วางมือมีกระดาษข้อสอบและสมุดเปล่าวางอยู่ เฉินจิ่งเซินพับแขนเสื้อถึงข้อศอก ก้มหน้ากำปากกาเขียนอยู่

ความรู้สึกที่เอียนกับการเรียนของอวี้ฝานพลันปะทุขึ้นมา เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “ทำไมนายยังไม่ไปอีก”

เฉินจิ่งเซิน “ยังเขียนการบ้านไม่เสร็จ”

“…”

ทำไม เปลี่ยนที่เขียนมันจะขัดจังหวะความคิดการทำโจทย์ของนายหรือไง

ได้น้ำเกลือและหลับไปตื่นหนึ่ง อวี้ฝานก็รู้สึกดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

เขาจ้องปากกาที่โยกไหวอยู่ในมือเฉินจิ่งเซินครู่หนึ่ง คิดถึงก่อนหน้านี้ที่ตนเองถูกแรงของไก่อ่อนตัวนี้กำราบไว้เพราะอาการป่วย ก็คิดว่าจำเป็นต้องเตือนอีกฝ่ายสักหน่อย

เขาส่งเสียงอย่างเฉื่อยชา “เฉินจิ่งเซิน”

เฉินจิ่งเซินไม่ได้หยุดปลายปากกา “อืม”

“รู้ไหมว่าคนที่ยั่วโมโหฉันมีจุดจบยังไง”

เฉินจิ่งเซินหันหน้ามา

อวี้ฝานเอียงศีรษะจ้องตาชั้นเดียวของอีกฝ่าย เอ่ยอย่างเย็นเยียบ “ไหนๆ นายก็อยู่นี่แล้ว จองไว้สักเตียงเลย…”

หลังมืออันเย็นเยียบทาบบนหน้าผากเขา

เสียงของอวี้ฝานพลันหยุดลงทันที เขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาเฉินจิ่งเซินก็เก็บมือกลับไปแล้ว

“ไข้ลดแล้ว” เฉินจิ่งเซินเงยหน้ามองถุงน้ำเกลือ “ฉันจะไปเรียกพยาบาล”

“…”

วัดอุณหภูมิแล้ว ลดเหลือ 37.9 องศาฯ จริงๆ

ตอนพยาบาลดึงเข็มออกก็เอ่ยถามอย่างสบายๆ “พวกเธอเป็นเพื่อนกัน?”

อวี้ฝานตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย “ครับ”

“ความสัมพันธ์ดีทีเดียวนะ” พยาบาลกล่าว “ตอนเธอกำลังหลับอยู่ เขาช่วยดูถุงน้ำเกลือให้เธอตลอดเลย ดูจนน้ำเกลือหมดไปสองถุงแล้ว”

อวี้ฝานที่เพิ่งขู่เพื่อนเสร็จหนังตาก็กระตุก เขาเหลือบมองคนข้างๆ โดยไม่เผยร่องรอย เฉินจิ่งเซินทำโจทย์โดยไม่แม้แต่กะพริบตา คล้ายกับไม่ได้ยินเลยว่าพวกเขาพูดอะไรกัน

อวี้ฝานชะงักครู่หนึ่งแล้วตอบส่งๆ อีกครั้ง “ครับ”

พยาบาลเพิ่งก้าวเท้าออกไป สายจากหวังลู่อันก็เข้ามาทันที

สายตาของเฉินจิ่งเซินเหลือบไปเห็นเขาหยิบก้านสำลีกดบนหลังมืออีกข้างและใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์เอาไว้ รออีกฝ่ายเอ่ยปากอย่างเหนื่อยหน่าย

เสียงของหวังลู่อันดังมาจากปลายสาย “แม่ง นายเปิดวีแชตดูบ้างสิ เมื่อคืนฉันส่งข้อความให้นายสามสิบเจ็ดข้อความ นายไม่ตอบสักข้อความเดียว ฉันแม่งเหมือนลูกกะจ๊อกของนายเลย!”

อวี้ฝานเอ่ย “ไม่เห็น มีอะไร”

หวังลู่อันชะงัก “ทำไมเสียงนายแปลกๆ”

“เป็นหวัด” อวี้ฝานว่า “มีธุระก็พูดมา”

“ก็ไม่มีอะไร ก็แค่เตือนนายว่าอย่าลืมคัดข้อสอบคณิต” หวังลู่อันกล่าว “วันนี้ในคาบจวงฝ่างฉินสั่งว่าให้คัดทุกข้อที่ผิดสิบรอบ ถ้าพรุ่งนี้ไม่ส่ง สัปดาห์หน้าก็จะให้ยืนเรียนวิชาคณิต”

สิบรอบ?

อวี้ฝานนึกถึงกระดาษข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ที่โล่งทั้งแผ่นของตนเองก็พูดหน้าตายว่า “ไม่คัด คาบหน้าไม่เข้าแล้ว”

อวี้ฝานวางสาย เขารู้สึกค่อยยังชั่วแล้ว จึงหยิบก้านสำลีออกเตรียมจะทิ้ง

แล้วสมุดการบ้านเล่มใหม่ที่ยังไม่ได้เขียนชื่อเล่มหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้าเขา

อวี้ฝานจ้องสมุดการบ้านแล้วนิ่งงันไปสองวินาทีถึงเงยหน้าถาม “อะไร”

คนที่กำลังนั่งอยู่เพิ่งรู้สึกว่าเฉินจิ่งเซินนั้นสูงมากจริงๆ

แนวสันกรามของเขาเนียนสวย ขณะพูดลูกกระเดือกที่นูนออกมาก็ขยับกลิ้งน้อยๆ

“การบ้านคณิต”

“ให้ฝ่างฉินสิ ให้ฉันทำไม…” อวี้ฝานชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้รู้ตัว “นายช่วยเขียนให้ฉันแล้ว?”

เฉินจิ่งเซินตอบ “อืม”

“…”

ที่หมอนี่นั่งตวัดปากกาเขียนอยู่ข้างๆ นานสองนานเมื่อกี้นี้คือกำลังเขียนการบ้านให้เขาอย่างนั้นเหรอ

อวี้ฝานมองอีกฝ่ายอย่างตะลึงงัน รู้สึกเหมือนไข้ที่เพิ่งลดไปจะกลับมาอีกรอบ “ใครให้นายช่วยฉันเขียน ฝ่างฉินไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ตัวหนังสือเราต่างกันมากขนาดนี้…”

“ฉันใช้มือซ้ายเขียน”

“…”

ตัวหนังสือฉันไม่ได้น่าเกลียดถึงขั้นนั้นสักหน่อย

เฉินจิ่งเซินกล่าว “ถือซะว่าเป็นการขอบคุณที่นายช่วยฉันไว้ที่ประตูหลังโรงเรียน”

“นายไม่ต้องคิดมากหรอก” อวี้ฝานย่นคิ้ว “ฉันแค่เห็นคนพวกนั้นแล้วไม่สบอารมณ์เฉยๆ”

“อืม” เฉินจิ่งเซินมองอีกฝ่ายหลบเลี่ยงสายตาแล้วตอบรับทีหนึ่ง

พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ถึงอย่างไรคัดข้อผิดพวกนี้เฉินจิ่งเซินก็ไม่จำเป็นต้องใช้ อวี้ฝานจึงดึงการบ้านมา

“ค่ายาวันนี้เท่าไหร่” อวี้ฝานหยิบมือถือออกมา “ฉันจะโอนวีแชตให้นาย”

เฉินจิ่งเซินบอกตัวเลขไป

อวี้ฝานเปิดวีแชตแล้วหาในบัญชีรายชื่ออยู่นานสองนานกว่าจะนึกขึ้นได้…

“อ้อใช่” เฉินจิ่งเซินถาม “ทำไมฉันไม่เห็นฟีดวีแชตของนายล่ะ”

“…”

หมอนี่สมองมีปัญหาหรือไง

ประโยคที่ว่า ‘บล็อกไปแล้ว ก็แน่นอนสิว่าต้องไม่เห็น’ ของอวี้ฝานมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่หลังจากสบสายตากับเฉินจิ่งเซินก็กลืนมันกลับลงไป

แม่งเอ๊ย ทำไมถึงทำอย่างกับเขาเป็นคนนิสัยเสียล่ะเนี่ย???

“ไม่รู้ บั๊กมั้ง” เขายกมือถือแล้วปลดบล็อกเฉินจิ่งเซิน “โอนเงินแล้ว”

เมื่อเฉินจิ่งเซินรับเงิน เขาก็กดที่รูปโพรไฟล์ของอวี้ฝาน

รูปโพรไฟล์ของเขาเป็นแมวจรจัดสองสามตัว ดูท่าทางเหมือนถ่ายแถวๆ โรงเรียน

ฟีดโมเมนต์ไม่กี่โพสต์ที่น้อยจนน่าสงสารเด้งออกมาแล้ว

เขาเลิกคิ้วเงียบๆ “อืม ตอนนี้เห็นแล้ว”

 

จั่วควนโก่งตัวยืนอยู่ในห้องสังเกตอาการ

หญิงวัยกลางคนกำชับอยู่ข้างๆ เขา “เพิ่งขลิบเสร็จต้องระวังแผล กินยาให้ตรงเวลา พยายามอย่าขยับมาก”

หนังศีรษะของจั่วควนชาหนึบ พยักหน้ารัวๆ พิงผนังพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างสะเปะสะปะ พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตนเอง

จากนั้นเขาก็เห็นร่างอันคุ้นเคยสองร่าง

จั่วควนเบิกตากว้างพลันลุกพรวดขึ้นมา ทำให้รั้งแผลเบาๆ เขาเจ็บจนกุมเป้ากางเกงแล้วร้อง “ซี้ด…”

เขาทนเจ็บ มือยันผนังแล้วยืนยันให้แน่ใจรอบหนึ่ง

นักเรียนชายที่เดินอยู่ข้างหน้าสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ท่าทางเอื่อยเฉื่อยสบายๆ เหมือนอย่างเคย บางทีอาจเป็นเพราะอากาศเย็น ใบหน้าจึงขาวซีดเล็กน้อย

คนที่ตามอยู่ข้างหลังสวมเสื้อผ้าบางๆ เสื้อเชิ้ตนักเรียนที่ปกติมักจะเนี้ยบตอนนี้ถึงกับเต็มไปด้วยรอยยับย่น ขณะที่เขาเดินไปถึงหน้าประตูยังยกมือขยี้ตาทีหนึ่ง

จั่วควนได้สติกลับคืนมาจากอาการตื่นตะลึง รีบหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรัวๆ จากนั้นก็ส่งรูปไปในกลุ่มใหญ่ของโรงเรียนที่มีคนร้อยกว่าคน…

 

ห้อง 8 – พี่ควน [รูปภาพ] เชี่ย พวกนายดูสิว่าฉันเจอใคร

ห้อง 7 – จางเสียนจิ้ง นายไปทำอะไรที่แผนกทางเดินปัสสาวะน่ะ

ห้อง 8 – พี่ควน ??

ห้อง 7 – หวังลู่อัน ฮ่าๆๆๆ ยินดีด้วยพี่ควน พรุ่งนี้เล่นบาสด้วยกัน

ห้อง 8 – พี่ควน ไปกับแม่นายสิ

ห้อง 8 – พี่ควน ฉันแม่งส่งรูปไปเพื่อให้พวกนายดูไอ้นี่หรือไง

ห้อง 7 – หวังลู่อัน งั้นดูอะไรล่ะ

 

จั่วควนวงเงาร่างสูงโปร่งของสองคนนั้นที่อยู่ในรูป

 

ห้อง 8 – พี่ควน คนในห้องพวกนายเองจำไม่ได้เลยหรือไง

ห้อง 8 – พี่ควน อวี้ฝานต่อยเฉินจิ่งเซินจนเข้าโรง’บาลแล้ว!

 

 

บทที่ 12

 

ตอนนี้อวี้ฝานรู้สึกว่าสามารถต่อยอวี้ข่ายหมิงสองคนได้ด้วยมือข้างเดียว ดังนั้นหลังออกจากโรงพยาบาลเขาก็ตรงไปโบกรถกลับบ้าน

รถที่คนขับรถแท็กซี่ขับมาแล้วทั้งวันนั้นอึดอัดนิดหน่อย หน้าต่างรถด้านหน้าเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง

เขามองคนที่อยู่เบาะหลังแวบหนึ่ง “น้องชาย เปิดหน้าต่างนิดหน่อยไม่เป็นไรนะ?”

อวี้ฝานตอบ “ไม่เป็นไร”

ลมพัดเข้ามาจากทางเบาะหน้า ทำให้เย็นหน้านิดหน่อย อวี้ฝานหดคางเข้าไปในคอเสื้อโดยอัตโนมัติ กลิ่นน้ำยาซักผ้าอ่อนๆ ขุมหนึ่งโชยเข้ามาในโพรงจมูก

เขาขมวดคิ้ว ก้มหน้าไปตามกลิ่นนั้น มองดูเสื้อขนเป็ดสีขาวที่ค่อนข้างหลวมบนร่างตนเองแวบหนึ่ง

“…”

ลืมคืนเสื้อ

พรุ่งนี้ค่อยเอาไปให้เขาที่โรงเรียนก็แล้วกัน

เมื่อถึงประตูทางเข้าเขตที่พัก หลังลงจากรถอวี้ฝานก็คิดครู่หนึ่ง ก่อนจะถอดเสื้อคลุมแล้วหิ้วไว้ในมือ

เดี๋ยวลงไม้ลงมือกันขึ้นมาจะได้ไม่เปื้อน

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคิดมากเกินไป ในบ้านไฟดับ กลางดึกก็หาคนมาเปิดกุญแจไม่ได้ อวี้ข่ายหมิงจึงออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้วไม่ได้กลับมาจนถึงตอนนี้

อวี้ฝานกลับถึงบ้าน ล็อกประตูใหญ่ ขณะหมุนตัวเข้าห้องก็มองประตูห้องของตัวเองแวบหนึ่ง

ประตูถูกถีบ บนนั้นยังมีรอยเท้าหลงเหลือเด่นชัดหลายรอย มองออกเลยว่าตอนนั้นอวี้ข่ายหมิงบ้าคลั่งแค่ไหน

อวี้ฝานละสายตาและหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องอย่างเฉยเมย

วันต่อมาอวี้ฝานหอบเอาเสื้อขนเป็ดสีขาวที่ทั้งหนาและหนักตัวหนึ่งเดินเข้าประตูโรงเรียน นั่นทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่อย่างไรอย่างนั้น

สวมตอนที่ป่วยเมื่อวานก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ทว่าตอนนี้รู้สึกว่าเสื้อคลุมตัวนี้ก็หนามากเหมือนกัน

เฉินจิ่งเซินร่างกายอ่อนแอสินะ

อวี้ฝานเหยียบย่างเข้าไปในห้องเรียนพร้อมกับเสียงกริ่งท่องหนังสือรอบเช้า วันนี้จวงฝ่างฉินมาเช้าเป็นพิเศษและตอนนี้ก็นั่งอยู่บนโพเดียมแล้ว

หวังลู่อันเห็นเขาก็พยายามยักคิ้วหลิ่วตาให้ อวี้ฝานยังไม่ทันรู้ตัว จวงฝ่างฉินก็ลุกขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“อวี้ฝาน เธอตามครูออกมา” เธอกวาดตามองคนที่อยู่ในห้อง “เริ่มท่องหนังสือรอบเช้าแล้ว ตัวแทนวิชาภาษาอังกฤษขึ้นมานำอ่าน”

ก้นของอวี้ฝานยังไม่ทันได้แตะที่นั่งก็หันหน้าออกไปจากห้องเรียนแล้ว

“เมื่อวานเธอทำอะไร” บนทางเดินจวงฝ่างฉินกอดอกแล้วถาม

อวี้ฝาน “หลับ”

“มีอะไรอีก”

ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนปกติ สิ่งที่เขาพูดได้มีเยอะแยะมากมาย แต่อวี้ฝานคิดอยู่นานสองนานและแน่ใจว่าเมื่อวานนอกจากนอนหลับแล้วเขาก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย

“ไม่บอกสินะ” จวงฝ่างฉินกวาดตามองคนที่อยู่ในห้องเรียน “เธอต่อยเฉินจิ่งเซินจนเข้าโรงพยาบาลใช่ไหม”

“…”

จวงฝ่างฉินเห็นเสื้อผ้าที่อยู่ในมือเขาก็ตื่นตกใจ “เธอต่อยคนก็แล้วไป นี่ยังแย่งเสื้อคลุมของคนอื่นมาอีก?”

ไม่รู้ทำไมจู่ๆ อวี้ฝานก็นึกถึงเรื่องที่ตนเองปล่อยหมัดออกไปแล้วถูกเฉินจิ่งเซินตะครุบไว้ได้อย่างง่ายดายเมื่อวานนี้ขึ้นมา

“ผมไม่ได้ต่อยเขา” อย่างน้อยก็ต่อยไม่โดนสักหน่อย

อวี้ฝานชะงัก “ครูไปฟังมาจากไหน”

“เห็นในกลุ่มโรงเรียน เธอกับเขาที่โรงพยาบาล…” จวงฝ่างฉินพูดไปพูดมาก็หยุด

อวี้ฝานกล่าว “โอเค ครูเนียนเข้าไปอยู่ในกลุ่มโรงเรียน?”

ไม่เพียงเนียนเข้าไปเท่านั้น ยังตั้งค่าแจ้งเตือนคีย์เวิร์ดในกลุ่มด้วย พอมีคนเอ่ยชื่อของอวี้ฝานเธอก็จะได้รับการแจ้งเตือนทันที

จวงฝ่างฉินเอ่ย “แน่นอนว่าเปล่า เป็นนักเรียนคนอื่นส่งรูปมาให้ครู”

“…”

“งั้นเมื่อวานเธอไปทำอะไรที่โรงพยาบาล”

คำอธิบายของอวี้ฝานมาถึงริมฝีปากแล้วกลืนกลับลงไป

“ผมโกหก ผมต่อยเขาเอง” ผ่านไปสักพักอวี้ฝานก็พิงผนังแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “พฤติกรรมของเด็กหัวกะทิอย่างเขาน่ะ ผมเห็นแล้วรำคาญ ไม่แน่ว่าอาจได้อัดอีกสักรอบด้วย”

จวงฝ่างฉินเลิกคิ้ว มองเขาอย่างเงียบๆ

เธอดูแลอวี้ฝานมาหนึ่งปีกว่า สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดเป็นความจริงหรือพูดเล่นแค่แวบเดียวเธอก็มองออก

เป็นไปตามคาด ผ่านไปครู่หนึ่งอวี้ฝานก็พูดว่า “เพราะงั้นครูรีบย้ายที่นั่งเขาไปเถอะ ผมจะได้ไม่ลงมืออีก”

จวงฝ่างฉินที่อกสั่นขวัญแขวนมาทั้งคืนก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงแล้ว

ไม่ได้ชกต่อยก็ดี ตอนนี้อวี้ฝานยังมีโทษติดตัว ขืนติดทัณฑ์บนอีกหนึ่งกระทง ปัญหาก็จะร้ายแรงแล้ว

แม้ในใจเธอจะติดว่าอวี้ฝานคงไม่ลงมือกับเพื่อนโดยไม่มีสาเหตุ แต่ยังคงต้องเรียกออกมาถามเหตุผลให้ชัดเจน

แต่ในเมื่ออวี้ฝานขับไล่ไสส่งขนาดนี้ก็ควรพิจารณาที่จะปรับเปลี่ยนสักหน่อย

หากระหว่างนักเรียนสองคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่ได้ อย่างนั้นก็ยิ่งไม่ต้องไปคาดหวังเรื่องอื่นเลย

“เอาล่ะ” จวงฝ่างฉินพยักพเยิดปลายคางไปทางห้องเรียน “เข้าไปท่องหนังสือรอบเช้าซะ”

อวี้ฝานกลับไปถึงที่นั่งถึงได้พบว่าคนครึ่งห้องต่างกำลังมองมาทางนี้

เขาชินกับการเป็นที่สนใจแบบนี้มานานแล้ว แต่วันนี้รู้สึกอึดอัดมากเป็นพิเศษ จึงถลึงตาจ้องกลับไปทีละคนๆ

หลังจากคนพวกนั้นหันหน้ากลับไปหมดแล้ว อวี้ฝานถึงได้มองไปที่คนข้างๆ

วันนี้เฉินจิ่งเซินสวมเสื้อผ้าบางกว่าเมื่อวาน สวมเพียงเสื้อโค้ตตัวเดียว กำลังท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ

สีหน้าของเขาเหนื่อยหน่าย ริมฝีปากก็ซีดนิดหน่อย ตอนทำหน้าเฉยเมยดูท่าทางเหมือนคนขี้โรค

ดูท่าร่างกายจะอ่อนแอจริงๆ

อวี้ฝานมารู้ตัวทีหลัง ถ้าอย่างนั้นเมื่อคืนอีกฝ่ายถอดเสื้อคลุมนั่งที่โรงพยาบาลทั้งคืนจะไม่ยิ่งทำให้ร่างกายแย่ลงเหรอ

เฉินจิ่งเซินเสียงไม่ดัง แต่โทนเสียงของเขาทุ้มต่ำกว่าคนอื่นหน่อยๆ ท่ามกลางเสียงท่องอันยืดยาวนั้นเสียงของเขาโดดออกมาจากเสียงของคนอื่นๆ

ท่องไปท่องมาจู่ๆ เขาก็ปิดปากไอทีหนึ่ง

อวี้ฝานได้สติกลับมา ยัดเสื้อขนเป็ดให้เขาอย่างหยาบกระด้าง “เมื่อวานลืมคืนให้นาย”

เมื่อคืนเฉินจิ่งเซินทำโจทย์ทั้งคืน จึงไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่าเท่าไรนัก

เขาส่งเสียงตอบรับทีหนึ่ง ก่อนจะรับมาวางไว้บนตักแล้วถ่างตาอ่านคำศัพท์ต่อ

อวี้ฝานพิงหลังที่พนักเก้าอี้ หันหน้าไปมองเขาแวบหนึ่ง

หลังจากนั้นสองนาทีก็หันไปมองเขาอีกรอบหนึ่ง

 

จนกระทั่งตัวแทนวิชาภาษาอังกฤษหอบหนังสือเรียนลงจากโพเดียม เขาถึงได้ร้องอย่างเหลืออด “เฮ้ย”

เฉินจิ่งเซินคล้ายจะเพิ่งรู้สึกตัว “อะไร”

“มันโดนฉันแล้ว” อวี้ฝานนั่งไขว่ห้าง ใช้เข่าดันเสื้อขนเป็ดนุ่มๆ ที่อยู่บนตักอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้ว “สวมซะสิ”

เฉินจิ่งเซินยังคงอยู่ในท่ายัดหนังสือเรียนเข้าไปในลิ้นชัก ก่อนจะหันหน้ามามองเขา

อวี้ฝานถูกเขาจ้องจนหนังตากระตุก จึงถามอย่างเย็นชา “มองอะไร”

“เปล่า” เฉินจิ่งเซินสวมเสื้อขนเป็ด

จากนั้นก็หันหน้าไปและไอแรงขึ้นกว่าเดิม

อวี้ฝาน “…”

ระหว่างพักคาบหวังลู่อันชวนอวี้ฝานไปสูบบุหรี่

คนด้านข้างเอ่ยถาม “พี่ฝาน เมื่อวานเห็นรูปที่จั่วควนส่งมา ฉันยังนึกว่านายต่อยเฉินจิ่งเซินจริงๆ ซะอีก”

“ฉันบอกแล้วไงว่าอวี้ฝานไม่มีทางลงมือกับคนในห้องหรอก” หวังลู่อันพ่นควันออกมา “แล้วเมื่อวานพวกนายไปทำอะไรที่โรง’บาลกันแน่”

อวี้ฝานขี้เกียจอธิบายจึงพูดไปเรื่อย “ฉันผ่านไป เขาออกมาจากโรง’บาล เจอกันพอดี”

หวังลู่อันร้องอ้อทีหนึ่ง “ฉันเห็นพวกนายใกล้ชิดกันขนาดนี้ยังนึกว่าพวกนายไปด้วยกันซะอีก”

“เป็นไปได้หรือไง” อวี้ฝานมองไปนอกหน้าต่าง “ไม่ได้สนิทกับเขาสักหน่อย”

คาบต่อไปเป็นวิชาของจวงฝ่างฉิน พวกเขาสูบบุหรี่ไปมวนหนึ่งก็กลับไปที่ห้องเรียนอย่างเร่งรีบ

พอจวงฝ่างฉินเข้ามาในห้องเรียนก็พูดเข้าประเด็นทันที “เมื่อกี้ครูพลิกดูการบ้านเมื่อวานของพวกเธอคร่าวๆ จับได้ว่ามีหลายคนแอบโกง บางข้อคัดไม่ถึงสิบรอบ คนพวกนี้รู้ตัวเองหน่อยนะ สุดสัปดาห์นี้เอาข้อที่คัดตกหล่นไปคัดใหม่อีกสิบรอบมาให้ครู”

“ยังมีอีก” เธอหยิบสมุดการบ้านที่สอดไว้ออกมาจากในหนังสือเรียน “อวี้ฝาน เธอลุกขึ้นพูดเองซิ”

มีเรื่องอะไรกับเขาอีกล่ะเนี่ย

อวี้ฝานค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ผมพูดอะไร”

“การบ้านเธอเป็นคนอื่นเขียนให้สินะ” จวงฝ่างฉินแกว่งสมุดการบ้านของเขา “ตัวหนังสือเธอสวยขนาดนี้ด้วย? เธอดูซิว่าตัวหนังสือข้างในกับชื่อข้างนอกเป็นคนคนเดียวกันเขียนออกมาได้เหรอ”

“…”

“ครูรับได้ถ้าเธอจะคัดน้อยหรือถึงขั้นไม่ส่ง” จวงฝ่างฉินกล่าว “แต่เธอจะบังคับให้เพื่อนคนอื่นช่วยเธอเขียนการบ้านไม่ได้ นี่มันแย่มาก…”

‘พรึบ’ อวี้ฝานยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ คนข้างๆ ก็เคลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้น

“ครูครับ เขาไม่ได้บังคับคนอื่น”

จวงฝ่างฉินงงงัน “อะไร…”

เฉินจิ่งเซิน “ผมเป็นฝ่ายช่วยเขาเขียนเองครับ”

อวี้ฝาน “…”

จวงฝ่างฉิน “…”

หวังลู่อัน “…???”

ทั้งสองคนหอบหนังสือเรียนมายืนนอกห้องเรียนด้วยกัน

คนหนึ่งยืนตัวตรง คนหนึ่งบิดไปบิดมา

ห้องเรียนของพวกเขาอยู่ใกล้ทางเดิน หน้าต่างทั้งสองบานที่อยู่ด้านทางเดินล้วนใหญ่และกว้าง

อวี้ฝานยืนตัวตรงขึ้นอย่างหงุดหงิดเพื่อขวางทางลม

“นายโง่หรือไง” เขาอดถามไม่ได้ “ลุกขึ้นมาทำไม”

เฉินจิ่งเซินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ขอโทษ”

“…”

ไม่เห็นจำเป็นต้องขอโทษ

อวี้ฝานขยับริมฝีปาก กำลังคิดจะพูดอะไรสักอย่าง

แต่เฉินจิ่งเซินกลับเอ่ยขึ้นมา “ฉันไม่คิดว่าตัวหนังสือของนายจะน่าเกลียดขนาดนั้น”

“…”

“ต่อไปจะฝึกสักหน่อยก็แล้วกัน”

“…”

“อย่างน้อยก็ต้องเขียนชื่อให้คนอื่นอ่านออกสิ…”

“ขืนนายพูดมากอีกประโยคเดียว” อวี้ฝานบีบหนังสือเรียน เอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฉันจะเอาจดหมายรักขยะๆ ของนายไปติดบอร์ดประชาสัมพันธ์ของโรงเรียน ให้คนทั้งโรงเรียนเชยชมตัวหนังสือห่วยๆ ของนายด้วยกัน…”

คนข้างๆ มองมาอย่างอ่อนโยน “นายยังเก็บไว้?”

“…”

คนในห้องจับจ้องคนสองคนที่ตัวติดกันและคุยกันไม่หยุดอยู่ข้างนอกมานานแล้ว

นี่เรียกว่าไม่สนิทกับเขา? หวังลู่อันงุนงง

นี่เรียกว่าเห็นแล้วก็รำคาญ? จวงฝ่างฉินกำหมัดแน่น

เธอกำลังคิดที่จะพูดว่า ‘พวกเธอขึ้นมาคุยบนโพเดียมเลยก็ได้’ แต่ก็เห็นอวี้ฝานถือหนังสือเรียนแล้วหมุนตัวจากไปก่อน ซึ่งนั่นก็เผยให้เห็นใบหูที่แดงก่ำ

เขาเดินมาหยุดยืนที่ประตูหลัง ห่างจากเฉินจิ่งเซินหนึ่งห้องเรียน

 

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: