ทดลองอ่านเรื่อง แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : ซุ่ยหมาง (睡芒)
แปลโดย : G.N Voyager
ผลงานเรื่อง : 满天星 (Man Tian Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบูลลี่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
เซวียโย่วข่าร้องไห้เสียงดังลั่นอยู่ในห้องผ่าตัด น้ำตาไหลรินราวกับสร้อยไข่มุกที่สายขาด
แสงจ้าจากไฟผ่าตัดทำให้ตาพร่า
แพทย์เฉพาะทางด้านสุขภาพเพศชายและพยาบาลหญิงที่ผ่าตัดให้เขาล้วนอ่อนโยนมาก “หนู ไม่ต้องร้องนะ เจ็บแค่แป๊บเดียว ตัดเสร็จก็เรียบร้อยแล้ว ตรงนี้ของหนูดูดีมากเลย ต่อไปก็จะทั้งดูดีและใช้งานได้ดีเลยล่ะ…”
ตอนพันแผลเซวียโย่วข่ายังมีหยดน้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วอยู่บนใบหน้า ในหัวมีแต่ประโยคที่ว่า ‘ดูดีและใช้งานได้ดี’ หลงเหลืออยู่
มันจะดูดีและใช้งานได้ดีจริงๆ เหรอ
แต่มันเจ็บ…เจ็บเกินไปแล้ว
พยาบาลครอบถ้วยกระดาษให้เขาแล้วกำชับว่า “สองสามวันนี้เวลาชิ้งฉ่องอาจจะรู้สึกเจ็บนิดหน่อย ต้องทายาทุกวันนะคะ แม่ของหนูรู้เรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้ว ให้แม่ช่วยทาให้นะ เข้าใจไหม”
เซวียโย่วข่าส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ก้มหน้ากุมถ้วยกระดาษไว้ “พี่ฮะ เสื้อหนูอยู่ไหน”
“หนูจะใส่กางเกงหรือกระโปรงล่ะ แม่หนูเอากระโปรงมาให้…” ยังไม่ทันพูดจบเซวียโย่วข่าก็รีบขัดทันที “หนูจะใส่กางเกง! กางเกง!”
เหอเสี่ยวโหยวเป็นพยาบาลแผนกสูติ-นรีเวชของโรงพยาบาลประจำอำเภอ ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนก่อนลูกชายจะขึ้นชั้นมัธยมต้น เธอได้พาเขามาผ่าตัดหนังหุ้มปลายที่แผนกสุขภาพเพศชายของโรงพยาบาลที่ตัวเองทำงานอยู่
เซวียโย่วข่ามักจะมารอแม่เลิกงานที่โรงพยาบาลบ่อยๆ คนที่แผนกสูติ-นรีเวชแทบทั้งหมดรู้จักเขา แต่เซวียโย่วข่าไม่เคยมาชั้นที่เป็นแผนกระบบทางเดินปัสสาวะและสุขภาพเพศชาย เลยไม่รู้จักหมอหรือพยาบาลที่นี่
เขาใส่กางเกงไม่สะดวกจึงดึงขอบกางเกงยางยืดเอาไว้เดินไปชั้นแผนกสูติ-นรีเวช ระหว่างทางกางเกงเสียดสีกับบาดแผลเป็นพักๆ มันเจ็บจนเขาน้ำตาไหลไม่หยุด พอมาถึงชั้นที่หมายแล้วเขาก็ถามพี่สาวตรงเคาน์เตอร์ทั้งน้ำตาคลอเบ้าว่าแม่อยู่ที่ไหน
“อ้าว นี่เสี่ยวข่าเหรอ” พยาบาลสาวที่เพิ่งจบจากโรงเรียนพยาบาลชะโงกศีรษะออกมาดู ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มตาหยี “ตอนนี้แม่หนูมีเคสผ่าตัด ต้องทำโอที…เอ๊ะ หนูเพิ่งไปผ่าตัดตรงนั้นมาหรือเปล่า”
หน้าเซวียโย่วข่าร้อนขึ้นมา
“เจ็บมากใช่ไหม มานั่งพักก่อนสิ อย่ายืนนานๆ แบบนี้เลย”
“หนูไม่เจ็บ!” เขาส่ายหน้าอย่างดื้อดึง ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป แต่เพราะก้าวขายาวเกินไป มันเลยดึงรั้งถ้วยกระดาษ ทำเอาเขาเจ็บจนแทบตายตรงนั้น…
สิบนาทีต่อมาเซวียโย่วข่าก็ยอมเปลี่ยนมาใส่กระโปรงด้วยความหดหู่ เด็กหนุ่มนั่งรอแม่อยู่บนม้านั่งยาวนอกห้องผ่าตัด เขาไม่กล้าหุบขา ขาเล็กๆ ทั้งสองข้างแยกออกจากกัน เซวียโย่วข่าก้มหน้ามองรองเท้าผ้าใบที่สกปรกนิดๆ อย่างซังกะตาย กลัวคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะเห็นตัวเองเข้า
ประสบการณ์การใส่กระโปรงไม่เหมือนกับที่จินตนาการเอาไว้เลย ขาทั้งสองข้างเย็นวาบ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกสบาย ทว่าด้านล่างที่ไม่มีอะไรเลยทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย เขาจึงเอามือกุมชายกระโปรงไว้
กระโปรงตัวนี้เป็นกระโปรงที่ฟางหลี่ฉิง ลูกพี่ลูกน้องของเขาไม่ใส่แล้ว
เหอเสี่ยวโหยววางแผนให้ลูกชายผ่าตัดทันทีที่ปิดเทอมจึงไปขอยืมกระโปรงที่ไม่ใส่แล้วของลูกพี่ลูกน้องเซวียโย่วข่ามาสองตัว แถมยังบอกเขาว่า ‘แต่ก่อนลูกพี่ลูกน้องเจิ้งซือฉีกับใครต่อใครก็ใส่กระโปรงหลังผ่าตัดนี้ทั้งนั้น พวกเขาไม่เห็นจะอายเลย ไม่เชื่อลูกลองไปถามพวกเขาดูสิ’
เซวียโย่วข่าไม่เชื่อและต่อต้านสุดๆ เขาไม่อยากผ่าตัดเลย แต่สุดท้ายก็ถูกหลอกล่อให้ยอมทำ เพราะแม่บอกว่าไม่เจ็บ แถมพ่อยังบอกอีกว่าทำแล้วถึงจะเรียกว่าเป็นลูกผู้ชาย เขาเลยเชื่อฟัง
ใครจะไปรู้ว่ามันจะเจ็บขนาดนี้ แค่เข็มนั้นแทงลงมาก็เจ็บจนวิญญาณหลุดลอยแตกซ่าน
“ไอ้หยา นี่มันเสี่ยวข่าไม่ใช่เหรอ ฮ่าๆๆ แต่งตัวซะสวยเชียว!”
“เพิ่งไปผ่าตัดที่แผนกสุขภาพเพศชายมาเหรอ ฮ่าๆๆๆ”
“ฮ่าๆๆ เจ้าหนูใส่กระโปรงแล้วสวยมากเลยนะ หน้าตาเหมือนแม่เป๊ะเลย!”
เหอเสี่ยวโหยวหน้าตาสะสวยมาก เธอเป็นสาวสวยประจำโรงพยาบาลประจำอำเภอ เซวียโย่วข่าลูกชายของเธอก็หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็ก คิ้วเข้มตาโต ผมดำยาวระดับใบหู ดวงตาเหมือนอำพันแวววาวกระจ่างใส เครื่องหน้าเนียนขาวละมุนเหมือนเด็กผู้หญิง
หมอพยาบาลที่เดินผ่านล้วนรู้จักเขา เด็กคนนี้ไม่กลัวคนแปลกหน้า ตอนยังเล็กก็มานั่งรอแม่ที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ เจอใครก็ยิ้มให้หมด ชวนให้เอ็นดู ไม่ค่อยเห็นเขาร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำไปหมดแบบนี้
ถึงอย่างไรเซวียโย่วข่าก็ยังเป็นเด็ก เวลาผู้ใหญ่เดินผ่านแล้วเห็นเขาใส่กระโปรงแบบนี้ก็อดที่จะพูดแซวไม่ได้
แต่เซวียโย่วข่ากลับรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตัวเองกำลังถูกเหยียบย่ำ ยิ่งฟังยิ่งไม่กล้าเงยหน้า ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาไม่ได้อยากผ่าตัด แต่ถูกพ่อแม่หลอกให้ทำ
ตั้งแต่โตมาจนตัวเท่านี้เขายังไม่เคยรู้สึกอับอายขนาดนี้มาก่อน จิตใจที่ยังเยาว์วัยของเซวียโย่วข่าโดนโจมตีมากกว่าปกติ ไฟตรงทางเดินโรงพยาบาลกะพริบติดๆ ดับๆ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่คุ้นเคยกลายเป็นกลิ่นฉุนจมูก เมื่อยาชาค่อยๆ หมดฤทธิ์ ความเจ็บปวดก็เพิ่มมากขึ้นทุกทีและลุกลามไปถึงแขนขากับสมอง ผู้ใหญ่ทุกคนที่รู้จักเขาก็เอาแต่หยอกล้อเขา
ไม่รอให้แม่ผ่าตัดเสร็จเซวียโย่วข่าก็ทนไม่ไหวจนต้องหนีออกไป
ผู้คนในโรงพยาบาลเดินกันขวักไขว่ เขาลงลิฟต์แล้ววิ่งออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
บ้านของเขาอยู่ไกลพอสมควร ตอนเขาเพิ่งเข้าเรียนประถม ปู่ต้องขายต้นไม้ไปหลายต้นกว่าจะซื้อห้องชุดสำหรับหนึ่งครอบครัวที่มีสมาชิกสามคนได้ โดยห้องชุดที่ว่านี้แบ่งออกเป็นสองห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการศึกษาของเขา
บ้านของลูกพี่ลูกน้องเขาอยู่ไม่ไกลนัก เหอเสี่ยวโหยวกับพ่อของเซวียโย่วข่าต่างก็ยุ่งด้วยกันทั้งคู่ แม้แต่การไปรับส่งเขาที่โรงเรียนก็ยังไม่มีเวลาหรือบางครั้งก็เลยเวลา ดังนั้นแล้วตอนเรียนหนังสือ พออาหญิงขับรถมารับลูกพี่ลูกน้องก็จะรับเขากลับไปด้วย โดยเซวียโย่วข่ามักจะกินข้าวเย็นที่บ้านของลูกพี่ลูกน้องหรือบางครั้งก็ค้างคืน
เซวียโย่วข่าอายุแค่สิบเอ็ดปีแต่ถือว่ารู้เรื่องอยู่พอสมควร เขารู้ว่าตัวเองต้องขึ้นรถโดยสารสาธารณะ แต่ตอนนี้ตัวเขาโตเกินไปแล้ว จะหน้าด้านขึ้นรถฟรีก็คงไม่ได้
เขาเดินไปถึงป้ายรถโดยสารสาธารณะอย่างเชื่องช้า นิ้วมือแตะเลื่อมที่ปักอยู่บนกระโปรงของลูกพี่ลูกน้อง กระโปรงตัวนี้เป็นสีขาว มีลายดอกไม้สีน้ำเงินเล็กๆ ไม่มีช่องกระเป๋า
เขาไม่มีทั้งเงินและบัตร
พอหันกลับไปมองก็เห็นว่าโรงพยาบาลนั้นอยู่ไกลแสนไกล เซวียโย่วข่าเม้มปาก น้ำตาคลอหน่วย การที่เขาเดินมาจนถึงตรงนี้ ความจริงแล้วมันเหนื่อยมาก ที่แท้การเป็นผู้ชายก็เป็นเรื่องที่ลำบากมากถึงขนาดนี้ เขานั่งกอดแขนตัวเองอยู่บนม้านั่งตรงป้ายรถโดยสารสาธารณะพลางเตะขั้นบันไดริมถนนไปทีหนึ่งด้วยความโกรธ แต่กลับเจ็บจนใบหน้าบิดเบี้ยว ก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลลงมาอีกครั้ง
ชิ่งโจวเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของกุ้ยโจว ส่วนอำเภอซานหลิงนั้นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองชิ่งโจว มีภูเขางดงามแม่น้ำใสกระจ่าง เป็นบ้านเกิดของยาย
“เฉิงอวี้ ดูสิ โรงพยาบาลนี้เมื่อก่อนคุณทวดของหลานเป็นคนก่อตั้งเลยนะ”
พระอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ รถของลุงเว่ยขับผ่านย่านเมืองเก่าไปช้าๆ เขาอธิบายรายละเอียดทุกอย่างของเมืองเก่าแห่งนี้ให้คุณชายใหญ่ที่มาอำเภอซานหลิงเป็นครั้งแรกฟัง
“และแม่น้ำสายนี้เรียกว่าแม่น้ำหลิง อำเภอนี้ตั้งชื่อตามแม่น้ำสายนี้แหละ มันไหลลงใต้เรื่อยๆ จนถึงทะเล หลานเห็นพ่อค้าแม่ค้าขายลิ้นจี่เต็มสองฝั่งถนนไหม ที่ซานหลิงมีลิ้นจี่เยอะมาก ชาวสวนมากมายเลี้ยงชีพจากสิ่งนี้ ข้างบ้านคุณตาของหลานก็มีสวนลิ้นจี่นะ”
รถแล่นข้ามสะพานช้าๆ ลุงเว่ยเห็นเขาไม่พูดจาก็ชินแล้ว คุณชายใหญ่เฉิงคนนี้นิสัยคล้ายแม่ ค่อนข้างเงียบขรึมและเย็นชา ทว่าใบหน้ากลับรับเอาจุดเด่นมาจากทั้งพ่อและแม่ แม้หน้าตาจะยังดูใสซื่ออยู่มาก แต่กลับมีคิ้วรูปกระบี่และมีนัยน์ตาดุจดวงดาว นับว่าหล่อเหลาเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าเขาจะยังอายุไม่ถึงสิบห้าปี แต่กลับใช้ชีวิตราวกับเข้าใจทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย ตลอดทางที่ผ่านมาลุงเว่ยแทบไม่เห็นเขายิ้มเลย ตอนนี้เขาจึงพูดว่า “เสี่ยวอวี้ เห็นเป็ดในแม่น้ำนั่นไหม มันกินแต่ปลาธรรมชาติล้วนๆ เลยนะ เมื่อสองสามปีก่อนคนแถวนี้ยังชอบจับเป็ดในแม่น้ำอยู่เลย แต่ตอนนี้มีนโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมออกมา รัฐบาลไม่ให้จับแล้วล่ะ…”
ขณะที่ลุงเว่ยเล่าเรื่องราวของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เฉิงอวี้ก็ยังคงเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างรถเงียบๆ
ฝั่งนี้อยู่ติดแม่น้ำ เงียบสงบกว่าย่านเมืองเก่า บ้านของคุณตาก็สร้างอยู่ต้นแม่น้ำ เมืองที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ดูเก่าแก่และมีความดั้งเดิม หญ้าทุกใบต้นไม้ทุกต้น อิฐหินทุกก้อนล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของธรรมชาติ
ภาพวิวทิวทัศน์เคลื่อนผ่านตาเขาไปช้าๆ แต่ลุงเว่ยก็เห็นว่าเขายังไม่พูดอะไร
ทันใดนั้นก็เห็นชาวสวนคนหนึ่งตั้งแผงขายลิ้นจี่อยู่ริมถนนภายใต้แดดจัดจึงพูดขึ้น “เดี๋ยวลุงลงไปซื้อลิ้นจี่ให้หลานชิมสดๆ นะ”
ตรงนี้เลยตัวอำเภอมาแล้วเลยมีรถน้อย หลังจากที่ลุงเว่ยจอดรถข้างทาง เฉิงอวี้ก็พยักหน้าพลางส่งเสียงตอบรับ
ขณะที่ลุงเว่ยลงไปซื้อลิ้นจี่ เฉิงอวี้ก็หันไปมองนอกหน้าต่างอีกฝั่ง แล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ริมทาง
เด็กคนนั้นใส่กระโปรงสีขาวลายดอกไม้ ผมสั้น เดินด้วยท่าทางแปลกๆ เหมือนเจ็บขา เดินไปพลางร้องไห้ไปพลาง พอเดินมาถึงกลางสะพานก็หยุดยืน มองแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวอยู่ใต้สะพานด้วยแววตาสับสน
ลุงเว่ยถือถุงลิ้นจี่กะจะกลับขึ้นรถ พอเงยหน้าก็สังเกตเห็นเด็กผู้หญิงผมสั้นบนสะพานฝั่งตรงข้ามเช่นกัน
“หลงทางหรือเปล่านะ” ลุงเว่ยส่งลิ้นจี่ให้เฉิงอวี้ผ่านหน้าต่างรถและคอยสังเกตเด็กผู้หญิงคนนั้นด้วยสีหน้าเป็นกังวลอยู่หลายวินาที “ไม่เห็นผู้ปกครองเลย ร้องไห้น่าสงสารมาก”
เฉิงอวี้มองจากไกลๆ แวบหนึ่งแล้วละสายตากลับมา ก่อนจะใช้ปลายนิ้วขาวผ่องปอกลิ้นจี่สีแดงสดลูกหนึ่ง ทำเป็นเหมือนไม่สนใจ
ลุงเว่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เอาอย่างนี้นะ เสี่ยวอวี้ รอลุงแป๊บนึง เดี๋ยวลุงไปถามหน่อย”
เฉิงอวี้เริ่มรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ แต่ก็ไม่โทษลุงเว่ย เพราะเด็กคนนั้นดูเหมือนจะคิดสั้นจริงๆ
ลุงเว่ยข้ามถนนไปตรงหน้าเด็กคนนั้น ก่อนจะถามเธอด้วยรอยยิ้ม
“แม่หนู พ่อแม่อยู่ไหนล่ะ”
“พ่อแม่หนู…หนูไม่ใช่เด็กผู้หญิงนะ!” เซวียโย่วข่าเบิกตากว้าง มองคุณลุงที่จู่ๆ ก็เข้ามาถามด้วยความระแวดระวัง “พ่อหนูเป็นตำรวจนะ!”
นี่เป็นคำที่เหอเสี่ยวโหยวสอนเขาไว้
เหอเสี่ยวโหยวรู้สึกว่าลูกชายของตัวเองชอบยิ้ม เขายิ้มให้ทุกคน แถมยังชอบเรียกคนอื่นด้วย ปากก็หวานมาก นี่เป็นนิสัยที่ดี แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็กลัวว่าเขาจะประมาทมากเกินไปจนถูกคนอื่นลักพาตัวไปขาย จึงได้กรอกประโยค ‘อย่าคุยกับคนแปลกหน้า อย่ากินของจากคนแปลกหน้าด้วย’ ใส่หัวเขาตั้งแต่เล็ก
ลุงเว่ยเห็นเขาน่ารักก็ไม่โกรธ เจ้าตัวยิ้ม “ลุงไม่ใช่คนไม่ดี อย่ากลัวเลย ลุงอยู่ตรงโน้นเอง” จากนั้นก็ชี้ไปยังบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ตัวบ้านอยู่ไม่ห่างจากต้นน้ำ พอมองจากไกลๆ ก็เห็นแต่หลังคาแหลมๆ
เซวียโย่วข่าเบิกตากว้าง เขารู้จักบ้านหลังนั้นที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ ตรงข้ามสวนผลไม้เล็กๆ ของปู่ แต่ไม่เคยเห็นเจ้าของบ้านมาก่อน
เมื่อก่อนเซวียโย่วข่าเคยว่ายน้ำข้ามไปฝั่งโน้นกับเพื่อนแล้วมองผ่านรั้วเข้าไปด้วยความสงสัย เพราะบ้านนั้นตกแต่งสวยมาก นอกประตูมีโคมไฟหินประณีตสองดวงตั้งอยู่ หลังแนวร่มไม้เขียวชอุ่มหนาแน่นสองแถวมีสวนเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แถมยังมีดอกวิสทีเรียยื่นออกมาจากขอบกำแพงด้วย
ลุงเว่ยก้มตัวลงให้ระดับสายตาเท่ากับเด็กสาว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนปลอบโยนเด็กเล็ก “ลุงขับรถผ่านมาแล้วเห็นหนูร้องไห้ เลยนึกถึงหลานสาวของลุง กลัวว่าหนูจะหลงทาง บ้านหนูอยู่ไหนล่ะ ผู้ใหญ่ไปไหน ทำไมไม่ดูแลหนู”
“บ้านหนูอยู่…ข้างๆ สถานีตำรวจ” เซวียโย่วข่าเดินไม่ไหวแล้ว เขาเงยหน้ามองรถสีดำที่จอดอยู่อีกฝั่ง คุณลุงตรงหน้าก็ดูไม่เหมือนคนร้าย แถมยังคล้ายปู่อีกด้วย เขาจึงเริ่มลดความระแวดระวังลง แต่ก็ยังไม่ลืมคำสอนของแม่
ลุงเว่ยเอ่ย “จำเบอร์โทรของพ่อแม่ได้ไหม ลุงให้ยืมโทรศัพท์โทรให้พ่อแม่มารับก็ได้ ลุงดูแล้วเหมือนหนูเจ็บขา จะเดินกลับได้ยังไง”
“หนู…” เซวียโย่วข่าอยากจะบอกว่าตัวเองไม่ได้เจ็บขาแต่เจ็บตรงนั้นต่างหาก แต่ก็พูดไม่ออกเพราะมันน่าอายมาก
เขาไม่อยากเดินกลับบ้าน แต่เวลานี้แม่อยู่ในห้องผ่าตัด พ่อก็ไม่อยู่บ้าน อาเขยไปประชุมที่ต่างเมือง อาก็น่าจะกำลังเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ แล้วแบบนี้ใครจะมารับเขาได้
เขายืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมองคุณลุงใจดีตรงหน้า ภายในใจกำลังต่อสู้กับคำสั่งของแม่ เขาไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว คงไม่ถูกลักพาตัวไปง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก แต่ตอนนี้เขาบาดเจ็บ ถ้าเจอเรื่องยุ่งยากขึ้นมาคงจะหนีไม่ได้ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเซวียโย่วข่าก็คิดหาวิธีประนีประนอมขึ้นมาได้ จึงพูดอย่างเอียงอายว่า “ลุง หนูขอยืมหนึ่งหยวนได้ไหม ข้างหน้าเป็นป้ายรถเมล์ หนูกลับบ้านเองได้ เดี๋ยววันหลังหนูเอาเงินมาคืนลุงนะ…ลุงไม่ต้องห่วง หนูเคยไปเล่นแถวบ้านลุง เดี๋ยววันหลังจะเอาเงินมาคืนแน่นอน!”
“ฮ่าๆๆ” ลุงเว่ยหัวเราะแล้วหยิบเหรียญหนึ่งหยวนออกมา “หนึ่งหยวนพอขึ้นรถไหม ป้ายรถเมล์อยู่ตรงนั้นใช่ไหม แดดร้อนขนาดนี้ลุงขับรถไปส่งดีกว่า บนรถมีแอร์นะ”
“พอๆ ขอบคุณฮะลุง”
ประตูรถเปิดออก ข้างในเย็นสบายมาก เซวียโย่วข่ารีบก้าวขาเล็กๆ ขึ้นรถไป ทันใดนั้นถึงได้เห็นว่ายังมีคนอีกคนอยู่บนรถด้วย อีกฝ่ายเป็นพี่ชายคนหนึ่ง ตอนเซวียโย่วข่าเงยหน้ามองก็สบตากับอีกฝ่ายเข้าพอดี
เฉิงอวี้กำลังเช็ดมือ สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนเช่นเคย ไฝน้ำตาบนแก้มยิ่งขับให้ออร่าเยือกเย็นของเขาโดดเด่นยิ่งขึ้น
เฉิงอวี้มองเด็กผู้หญิงตัวน้อยคนนั้นแวบหนึ่ง
เซวียโย่วข่าไม่กลัวคนแปลกหน้า แต่ก็ยังมีความขลาดกลัวอยู่บ้าง ดวงตาโตที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำเลื่อนสายตามองไปทางอื่นอย่างกระสับกระส่าย
ในรถอบอวลด้วยกลิ่นหอมของลิ้นจี่สด
ลุงเว่ยขึ้นรถพลางอธิบาย “เสี่ยวอวี้ แม่หนูคนนี้หกล้มตอนจะกลับบ้าน เดี๋ยวลุงจะพาเขาไปส่งที่ป้ายรถเมล์นะ”
“หนูไม่ใช่เด็กผู้หญิงสักหน่อย” เซวียโย่วข่าแก้ต่างอย่างไม่พอใจ เขาอยากบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ากระโปรงที่ตัวเองสวมอยู่เป็นมาอย่างไร เพราะถ้าจะพูดถึงกระโปรงก็ต้องพูดถึงเรื่องผ่าตัด ซึ่งถ้าจะให้อธิบายว่าร้องไห้เพราะเจ็บน้องชายก็คงจะน่าขายหน้าเกินไป
ดังนั้นแล้วเขาเลยไม่สะดวกใจจะพูดอะไร
“ฮ่าๆๆ” ลุงเว่ยรู้สึกขำ เขาเห็นว่าแม่หนูน้อยคนนี้ยังเด็กแต่พูดจาฉะฉาน มีเหตุผล แตกต่างจากเด็กทั่วไป เลยถามว่า “งั้นถ้าหนูไม่ใช่เด็กผู้หญิง แล้วเป็นผู้ใหญ่เหรอ อายุเท่าไรล่ะ”
“หนู…อีกเดี๋ยวก็จะสิบห้าแล้ว!” น้ำเสียงของเขายังมีความเป็นเด็ก โดยบอกว่าตัวเองอายุมากกว่าความจริงถึงสี่ปีอย่างเสียมารยาท แม่เคยบอกไว้ว่าเด็กเล็กมักตกเป็นเป้าหมายของคนร้ายได้ง่าย ถ้าอายุสิบห้าแล้วพวกโจรจะต้องคิดให้รอบก่อนว่าจะลักพาตัวเขาดีหรือเปล่า
ลุงเว่ยดูแปลกใจเล็กน้อย “หนูอายุสิบห้าแล้วเหรอ”
“จะ…จะครบแล้ว!” เขาดูไม่ค่อยมั่นใจนัก ขณะกลอกตาไปมา
ลุงเว่ยหัวเราะ ไม่คิดจะจับผิด “ลุงมีลิ้นจี่นะ ชอบกินไหม”
“ชอบ…” เซวียโย่วข่าเอาทิชชูเช็ดหางตา แต่พอเห็นถุงลิ้นจี่วางอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มคนนั้นก็รีบส่ายศีรษะแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะบอกว่าไม่เอาแล้ว
“ที่บ้านปู่ก็ปลูกลิ้นจี่ ช่วงนี้กินทั้งวัน กินไม่หมดก็เสียดายแย่แล้ว”
“ที่บ้านก็ปลูกลิ้นจี่เหรอ” ลุงเว่ยหันไปส่งสัญญาณให้เฉิงอวี้แบ่งลิ้นจี่ให้เด็กสาว
เฉิงอวี้เด็ดลิ้นจี่ลูกหนึ่งแล้วยื่นให้โดยไม่มอง เซวียโย่วข่าแอบเงยหน้ามองอีกฝ่ายอยู่หลายวินาที จากนั้นก็ยื่นมือออกไปรับพร้อมกับบอกขอบคุณพี่ชาย
เฉิงอวี้ไม่พูดอะไร เพียงแค่วางถุงลิ้นจี่ไว้ตรงที่พักแขนกลางเบาะหลัง ความหมายคือถ้าอยากกินก็หยิบเอาเอง ทว่าสีหน้าก็ยังคงเย็นชาอย่างเคย
แต่เซวียโย่วข่ากลับไม่ได้แตะต้อง เพราะเขามีเจ้านี่ให้กินแบบไม่ขาดแคลน จากนั้นก็พูดอีกว่า “ลุง พวกลุงมาเก็บลิ้นจี่ที่บ้านหนูก็ได้นะ ถูกกว่าซื้อข้างทางอีกนะ”
“ได้เลย บ้านหนูอยู่ที่ไหนล่ะ”
พอถามมาถึงคำถามนี้เซวียโย่วข่าก็ขดตัวทันที “ขะ…ข้างๆ สถานีตำรวจ…”
เด็กหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งคุยกันอย่างเป็นมิตร เฉิงอวี้เผลอหันไปมองโดยไม่ตั้งใจ จากนั้นก็ก้มหน้ามองเด็กผู้หญิงคนนี้ ขอบตาของเธอแดงเรื่อ คงเพราะเมื่อครู่ร้องไห้มาอย่างหนัก ตอนนี้ดวงตายังมีม่านน้ำตาคลออยู่ ขนตาที่ราวกับพัดน้อยๆ หลุบต่ำ จมูกเล็กๆ นั่นก็แดงแจ๋ ใบหน้าเนียนขาวเล็กจ้อย แลดูนุ่มนิ่มและกลมแบบทารก ส่วนสูงคงไม่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร และคงเป็นเพราะขาเจ็บ ท่านั่งจึงไม่เรียบร้อยนัก
รถแล่นมาถึงป้ายรถโดยสารประจำทางในเวลาไม่นาน ลุงเว่ยยิ้มตาหยีพลางถามว่า “บ้านอยู่ไกลไหม ให้ลุงไปส่งไหม”
“ขอบคุณนะลุง แต่ไม่เป็นไร” พอเห็นป้ายรถโดยสารประจำทางเซวียโย่วข่าก็โล่งใจเล็กน้อย ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ใช่โจรลักพาตัวเด็ก เขาเปิดประตูลงจากรถทันที ขณะเดียวกันก็พูดกับคุณลุงอย่างสุภาพและน่ารักว่า “ไว้เจอกันใหม่นะลุง วันหลังหนูจะไปบ้านลุงแล้วเอาเงินไปคืนให้ด้วยตัวเองแน่นอน”
“ไม่เป็นไร ครั้งหน้าออกไปไหนก็ระวังหน่อยนะ อย่าหกล้มอีกล่ะ”
เซวียโย่วข่าพยักหน้าแล้วปิดประตูรถ แต่เพิ่งก้าวไปได้แค่ก้าวเดียวก็ถูกแรงต้านรั้งตัวกลับไป ถ้วยกระดาษที่ห้อยตรงระหว่างขาแกว่งไปมา เขาหน้าซีด เจ็บจนร้องไห้ออกมาทันที
“กระโปรงติดอยู่” เมื่อเฉิงอวี้เปิดประตูรถ ชายกระโปรงลายดอกไม้ที่ติดกับขอบประตูรถก็หลุดออก เซวียโย่วข่าเงยหน้ามองเขาพลางกดกระโปรงเอาไว้ทั้งน้ำตาคลอเบ้า พึมพำเบาๆ ว่า ‘ขอบคุณ’
สีหน้าเย็นชาของเด็กหนุ่มอ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่าไม่เป็นไร
รถเก๋งสีดำแล่นสวนกับรถโดยสารประจำทางไป
“เด็กผู้หญิงคนนี้ดูสดใสมีน้ำมีนวลจริงๆ ซานหลิงนี่เลี้ยงคนดีนะ มีสาวสวยเยอะเลย” ลุงเว่ยเอ่ยชื่อดาราสาวคนหนึ่งออกมาส่งๆ “เธอก็เป็นคนซานหลิงนะ”
เฉิงอวี้ฟังแบบไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ก็อดนึกถึงภาพเมื่อครู่ไม่ได้ ตอนที่เด็กคนนั้นลงรถไม่ทันระวัง เลยเผยให้เห็นขาขาวเนียนช่วงหนึ่ง ดูนวลเนียนเหมือนลิ้นจี่ที่เพิ่งปอกเปลือกในมือเลย
เลี้ยงคนดีจริงๆ
บทที่ 2
“เจ้าลูกคนนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน! บอกให้รอแม่อยู่ที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ! ทำไมถึงหนีออกมาคนเดียวแบบนี้!” เหอเสี่ยวโหยวจับไหล่ลูกชายแน่นแล้วโน้มตัวลงมาสบตากับเขา
เซวียโย่วข่าเห็นอาเดินเข้าประตูมาจากด้านหลัง หน้าก็แดงไปทั้งหมด เขายังไม่ได้ถอดกระโปรงบนตัวเลย
เขาอธิบาย “หนู…หนูหิวก็เลยเดินออกมาเอง”
อาพูดอยู่ข้างๆ ว่า “แล้วทำไมไม่โทรหาอาล่ะ อาไปรับเธอได้ เพิ่งผ่าตัดน้องชายมา…ออกไปเดินเพ่นพ่านคนเดียวได้ยังไง!”
คำว่า ‘น้องชาย’ ที่ผู้ใหญ่พูดออกมาทำให้เซวียโย่วข่าซึ่งยังเป็นเด็กรู้สึกอายยิ่งกว่าเดิม
“หนูขอโทษ หนูฉีดยาชา ยาชา…มันชาไปหมดเลยลืมไป ครั้งหน้าหนูจะจำไว้” เขารู้ดีว่าอาไม่ค่อยมีความอดทนเวลาเล่นไพ่นกกระจอก ยิ่งไปกว่านั้นตอนเซวียโย่วข่าออกมาจากโรงพยาบาลก็เป็นการหนีเตลิดออกมา
“รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม ให้แม่ดูหน่อย” เหอเสี่ยวโหยวขมวดคิ้วแล้วจับเขาหมุนตัวรอบหนึ่ง ก่อนทำท่าจะเปิดกระโปรงเขา
“ไม่มี! ไม่เป็นอะไร!” เขาตะโกนพร้อมดิ้นรน “แม่ หนูจะกลับห้องแล้ว!”
เซวียโย่วข่าวิ่งไม่ไหวแล้ว เขาเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในห้องเหมือนปู พอปิดประตูก็ได้ยินเสียงผู้ใหญ่สองคนคุยกัน
อาพูดว่า “เจ้าเด็กหมี่หมี่นี่รู้ความเกินไป อย่าดุเขาเลย เห็นไหม แม้แต่ข้าวก็ยังหุงไว้รอเธอกลับมาด้วยซ้ำ”
เหอเสี่ยวโหยวเช็ดเหงื่อที่ผุดซึมเต็มหน้าผาก เธอถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “บางครั้งเขาก็รู้ความ แต่บางครั้งก็ทำให้เป็นห่วงจริงๆ ฉันไปทำกับข้าวก่อนนะ บอกให้ฉิงฉิงพาเกาเกามากินข้าวด้วยกันเถอะ หมี่หมี่เป็นแบบนี้คงเดินไม่ไหว”
เซวียโย่วข่าถอดกระโปรง ดึงผ้าม่านปิด ก่อนจะเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะ แล้วมองบาดแผลของตัวเองด้วยความปวดใจ
มันจะใหญ่ขึ้นไหมนะ
เขานั่งอ้าขาอยู่บนเตียงพลางก้มหน้าจ้องมองน้องชายที่มีถ้วยกระดาษครอบอยู่ ก่อนจะถอนหายใจเหมือนผู้ใหญ่
การเป็นผู้ชายนี่มันลำบากจริงๆ
ขณะที่เขากำลังสะลึมสะลืออยากจะนอนก็ได้ยินเสียงปิดประตู เซวียโย่วข่าถอดหูฟัง คิดว่าพ่อกลับมาแล้ว จากนั้นก็จำได้ว่าเป็นเสียงของฟางหลี่ฉิง ลูกพี่ลูกน้องของเขา
“ตัวที่ให้เขาใส่ครั้งก่อนพอดีไหมคะ หนูเอามาเพิ่มอีกหลายตัวเลย ป้าให้หมี่หมี่ลองดูสิ…เขากับหนูสูงพอๆ กัน น่าจะใส่ได้”
“พอดีจ้ะ ตัวที่เอามาจากเธอวันนั้นวันนี้เขาได้ใส่แล้ว พอดีตัวเลย วันนี้เพื่อนร่วมงานที่แผนกป้าเห็นหมี่หมี่ก็บอกว่าสวยเหมือนเด็กผู้หญิงเลย”
อาพูดขึ้น “นั่นสิ หมี่หมี่ได้ยีนดีจากพวกเธอสองคน จมูกเหมือนเธอ ตาเหมือนพี่ชายฉัน…”
เสียงเบาลงเรื่อยๆ จนฟังไม่ค่อยชัด
กระทั่งมีเสียงฝีเท้ามาหยุดอยู่หน้าห้อง พอด้ามจับประตูส่งเสียงแกร๊ก เซวียโย่วข่าก็กระชากผ้าห่มมาคลุมตัวทันที ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“แม่! จะเข้ามาก็เคาะประตูก่อนไม่ได้เหรอ!”
“แค่เรียกไปกินข้าวเฉยๆ ยังไม่ได้เข้าไปเลย” เหอเสี่ยวโหยวยืนอยู่ข้างนอก เปิดประตูแง้มไว้ “รีบลุกได้แล้ว พี่สาวลูกมากันหมดแล้วนะ”
“รีบปิดประตูเลย หนูจะเปลี่ยนเสื้อผ้า!” ปกติเขาไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อน แต่วันนี้เขาทั้งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งรู้สึกว่าถูกหลอกจึงอารมณ์ฉุนเฉียวผิดปกติ เหอเสี่ยวโหยวรู้ว่าเขาไม่สบายใจก็ยอมอดกลั้นอย่างจนใจ
“ลูกเปลี่ยนมาใส่อันนี้สิ” เหอเสี่ยวโหยวยัดถุงช็อปปิ้งเข้าไปในประตูที่แง้มไว้ “ฉิงฉิงพี่สาวลูกตั้งใจเอามาให้เลยนะ”
พอเซวียโย่วข่าเห็นว่าข้างในเป็นกระโปรงสองสามตัวก็ใจสลาย “ไม่เอา! ให้เธอเอากลับไปเลย!”
“พี่ฉิงฉิงหวังดีกับลูกนะ กระโปรงพวกนี้เธอแทบไม่เคยใส่เลย” เสียงพูดจบลงพร้อมกับเสียงปิดประตู เซวียโย่วข่าร้องอ๊ากออกมาอยู่หลายครั้งจนเหอเสี่ยวโหยวเร่งซ้ำอีกรอบเขาถึงค่อยๆ ลุกไปเปิดไฟแล้วรื้อตู้เสื้อผ้าเล็กๆ ของตัวเอง ก่อนจะเอากางเกงขาสั้นที่หลวมที่สุดมาสวม
ตอนนี้จะว่าแต่งตัวตามปกติก็ปกติ แต่มันเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหนมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ เขาแทบไม่กล้าขยับตัวมั่วซั่วเวลานั่ง พอขยับเมื่อไรก็เจ็บเมื่อนั้น ความรู้สึกเหมือนถูกห้าม้าแยกร่าง[1]* มีแต่ผู้ชายที่แท้จริงซึ่งเคยผ่านมันมาแล้วถึงจะเข้าใจ
วันหยุดสุดสัปดาห์ช่วงปลายเดือนมิถุนายนเป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง[2]** ตามปฏิทินจันทรคติ เหอเสี่ยวโหยวแลกเวรกับเพื่อนร่วมงาน ตอนเช้าครอบครัวของอาเขยขับรถมารับพวกเขากลับบ้านเก่าเพื่อไปห่อบ๊ะจ่าง
“หมี่หมี่ เดินได้หรือยัง” อาย่ำรองเท้าส้นหนาเข้ามาในบ้านแล้วเอ่ยถาม “ยังเจ็บอยู่ไหม”
“ไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยฮะ” เซวียโย่วข่าเปลี่ยนกางเกงขาสั้นตัวหลวมออกมา เขาเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งเบาะหลัง ขณะเดียวกันเกาเกาลูกพี่ลูกน้องวัยห้าขวบที่นั่งกอดถังเคเอฟซีก็ชี้มาทางเขาพลางหัวเราะ
“พี่ไม่ใส่กระโปรงแล้วเหรอ!”
“นายต่างหากล่ะที่ใส่!” เซวียโย่วข่าถลึงตา รู้ว่าฟางหลี่ฉิงคงเป็นคนบอกแน่ๆ แต่เธอเหมือนจะไม่ได้อยู่ในรถเลยไม่ได้พูดอะไร พอเขานั่งลงไปแล้วก็รู้สึกได้ทันทีว่าเนื้อผ้าตรงเป้ากางเกงเสียดสีกับแผล
เขาดึงกางเกงด้วยความรู้สึกไม่สบาย อาเขยที่นั่งอยู่ข้างหน้าบอกให้เกาเกาแบ่งปีกไก่ให้พี่ชาย เกาเกาจึงหยิบเฟรนช์ฟรายส์ชิ้นหนึ่งยื่นให้เซวียโย่วข่าอย่างไม่ค่อยเต็มใจ จากนั้นก็ไม่ได้สนใจเขาอีก
เซวียโย่วข่ารู้ว่าเด็กคนนี้ยังเล็กเลยหวงของกินมาก อีกอย่างเกาเกาเป็นขวัญใจของทุกคนในบ้าน ถึงเขาจะไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่คิดที่จะไปแย่งของกินกับอีกฝ่าย
อาเขยถามด้วยความห่วงใย “หมี่หมี่ ไปผ่าตัดมาเมื่อวันไหนเหรอ”
“ก็…ไม่กี่วันก่อนฮะ” เขาพูดตะกุกตะกัก รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
อาเขยหัวเราะเสียงดัง “หมี่หมี่กลายเป็นหนุ่มแล้ว! ตอนนี้สูงเท่าไรแล้วเนี่ย”
“จะถึงร้อยเจ็ดสิบแล้ว” ที่จริงเขาสูงแค่หนึ่งร้อยหกสิบสามจุดห้าเซนติเมตร หากเทียบกับกลุ่มผู้ชายในห้องเรียนแล้ว รูปร่างของเขาไม่ได้ถือว่าสูง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเตี้ย
อาเขยตกใจ “โห โตไวขนาดนี้เลยเหรอ ดีๆ อีกไม่กี่ปีก็ขึ้น ม.ปลาย แล้ว เดี๋ยวก็จะสูงกว่าอาแล้ว!”
เหอเสี่ยวโหยวถือเสื้อผ้าใหม่สองสามตัว อาหารว่าง และโปรตีนสำหรับผู้สูงอายุขึ้นไปนั่งเบาะหลัง เซวียโย่วข่าจึงถูกเบียดให้นั่งตรงกลาง
อาเห็นลูกชายคนเล็กกอดถังเคเอฟซี ทำท่าทางปกป้องของกินก็เอ่ยถาม “เกาเกา แม่สอนลูกว่ายังไง ของตั้งเยอะแยะจะกินคนเดียวได้ยังไง แบ่งให้ป้าด้วย แล้วก็แบ่งให้พี่หมี่หมี่ด้วย เร็วเข้า”
เกาเกาทำท่าลังเล ดูไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไร
“อย่าดุเด็กเลย ฉันไม่ชอบกินของพวกนี้อยู่แล้ว หมี่หมี่ก็กินไม่ได้ ช่วงนี้เขากำลังพักฟื้น ต้องกินอาหารอ่อนๆ ห้ามกินของทอด”
เมื่อเหอเสี่ยวโหยวเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงฟางหลี่ฉิง อาเขยก็ถอนหายใจ “ต้องไปเรียนพิเศษน่ะ ไปไหนไม่ได้เลย อ้อ แล้วเซวียเทียนเลี่ยงล่ะ ยังไม่กลับมาเหรอ”
เขาถามถึงพ่อของเซวียโย่วข่า
“เทียนเลี่ยงยังอยู่ที่เป่ยไห่ น่าจะกลับมาทันตอนบ่าย ไม่ต้องรอเขาหรอก”
บ้านเก่าตั้งอยู่ต้นน้ำของแม่น้ำหลิง อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้ไกล ขับรถไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พอเข้าสู่ถนนเล็กแถบริมแม่น้ำ รถก็ขับช้าลง
ผู้ใหญ่ในรถคุยกันเรื่องการเรียน พูดถึงผลการเรียนที่ดีของฟางหลี่ฉิง คุยกันว่าใช้หนังสืออะไร เธอเรียนเขียนพู่กันจีนในช่วงสุดสัปดาห์ แถมยังเรียนคณิตศาสตร์โอลิมปิกด้วย จากนั้นก็แนะนำให้เหอเสี่ยวโหยวพาหมี่หมี่ไปสมัครเรียนคณิตศาสตร์โอลิมปิกด้วยกัน แต่เหอเสี่ยวโหยวกลับบอกว่าช่างเถอะ
“ตอนสอบเข้ามัธยมต้นเขาทำคะแนนวิชาคณิตได้แค่เก้าสิบคะแนน เพื่อนในห้องสอบได้เก้าสิบแปดกับเต็มร้อยทั้งนั้น เขาเรียนคณิตศาสตร์โอลิมปิกไม่ไหวหรอก”
เรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนพวกนี้ เซวียโย่วข่าเหมือนมีสายตัดสัญญาณอัตโนมัติอยู่เหนือศีรษะ เขาฟังเอ็มพีสามแบบไม่สนใจใครและไม่ร่วมสนทนากับพวกผู้ใหญ่ จนกระทั่งเกาเกาเอื้อมมือมาดึงหูฟังเขา
“พี่ฟังอะไรอยู่ ผมอยากฟังบ้าง” เกาเกาดึงหูฟังข้างหนึ่งออกมายัดใส่หูตัวเองโดยไม่อนุญาตให้เขาพูดอะไรทั้งสิ้น แต่ฟังได้แป๊บเดียวก็เบะปาก “เพลงอะไรเนี่ย ไม่เพราะเลย”
“ภาษาญี่ปุ่น นายฟังไม่รู้เรื่องหรอก” เซวียโย่วข่าดึงสายหูฟังคืน
“ผมไม่ได้อยากฟังเพลงภาษาญี่ปุ่นสักหน่อย!” เกาเกาทำหน้ารังเกียจแล้วแลบลิ้นใส่ “เอ็มพีสามกากๆ ของพี่เสียงก็แย่ ที่บ้านผมมีเครื่องเล่นเพลงโซนี่รุ่นใหม่ล่าสุดเลยนะ!”
เซวียโย่วข่าสูดหายใจเข้าลึก หลับตาลงข่มอารมณ์หงุดหงิดแล้วเร่งเสียงเอ็มพีสามให้ดังขึ้น
อาเขยเลี้ยวรถเข้าสู่ถนนลูกรังที่เล็กกว่าเดิม ขับต่อไปบนถนนเล็กๆ สายนี้อีกเจ็ดแปดนาทีก็ถึงประตูบ้านแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าถนนที่เพิ่งทำไปได้ไม่กี่วัน พอฝนตกลงมาเมื่อวานก็ทำให้เป็นหลุมเป็นบ่อ รถยนต์โคลงเคลงตลอด สีหน้าเซวียโย่วข่าที่นั่งอยู่ตรงกลางก็เปลี่ยนไปทันทีและร้องอื้อออกมาตามจังหวะที่รถกระแทกขึ้นลง
“หมี่หมี่เป็นอะไรไป โดนตรงนั้นเหรอ” อาเขยเบรกรถกะทันหัน ตัวของเซวียโย่วข่าจึงถลาไปข้างหน้าอย่างไม่อาจควบคุม หยดน้ำตาซึมออกมาจากหางตา
“มะ…ไม่ แค่เมารถนิดหน่อย” เขาจะกล้ายอมรับว่าเจ็บตรงนั้นจริงๆ ได้อย่างไร
อาเขยร้องไอ้หยาออกมา “จะลงไปอาเจียนไหม”
เซวียโย่วข่าเมารถนิดหน่อยจริงๆ เรื่องนี้ทั้งบ้านต่างก็รู้กันหมด
เขาจับกางเกงไว้และบอกว่าไม่เป็นไร อาเขยมองเขาผ่านกระจกมองหลัง “งั้นอาขับช้าลงหน่อยแล้วกัน”
ล้อรถค่อยๆ เคลื่อนไปบนถนนสายเล็กที่เต็มไปด้วยหินและโคลน แต่จู่ๆ ก็เหยียบอิฐก้อนหนึ่งเข้า เมื่อกางเกงรั้งเข้ากับแผล ความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปทั้งตัว
สีหน้าของเซวียโย่วข่าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ใบหน้าเล็กๆ ขาวซีด “อา หนูอยากลงจากรถ”
“จะอาเจียนเหรอ”
“อื้อ หนูไม่อยากนั่งรถแล้ว หนูเดินกลับบ้านเองก็ได้”
“เดินไปตั้งสิบนาที หลานเดินไหวเหรอ”
“ไหวๆ”
เหอเสี่ยวโหยวจะลงจากรถมาเดินเป็นเพื่อนเขา แต่เซวียโย่วข่าก็ยืนกรานว่าเขาเดินคนเดียวได้
“เดี๋ยวจะค่อยๆ เดินเลาะแม่น้ำกลับบ้าน พวกแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เขาเปิดประตูรถแล้วก้มหน้ากลั้นใจ
เจ็บชะมัด ฮือๆๆ
ห้ามร้องไห้นะ!
เซวียโย่วข่ากลั้นน้ำตาไว้แล้วมองส่งท้ายรถคันนั้นที่ขับห่างออกไปเรื่อยๆ
เสียงนกร้องนอกหน้าต่างปลุกเฉิงอวี้ให้ตื่นจากฝัน แสงแดดส่องลอดช่องว่างระหว่างใบไม้เป็นลายพร้อย โดยแสงนั้นส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาตกลงบนใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขา เฉิงอวี้ลืมตาขึ้นเพียงครึ่ง หรี่ตามองแสงและหมอกที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์
เขาลุกขึ้นจากเสื่อเย็น ชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเปิดออกเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจในระหว่างที่กำลังหลับฝัน เผยให้เห็นร่างกายขาวเนียนและแข็งแรงของเด็กหนุ่ม การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะพอดีทำให้แขนขาของเขาเรียวยาว ตั้งแต่ช่วงไหล่ก็มีแนวกล้ามเนื้อบางๆ ให้เห็นแล้ว
ใบอ้าย[3]* ที่ห้อยอยู่ตรงผนังห้องส่งกลิ่นหอมปนขมของสมุนไพรออกมาจางๆ
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ลงมาข้างล่าง ตากำลังรดน้ำดอกไม้อยู่ในสวน นกแก้วริงเน็กในกรงเห็นเฉิงอวี้ก็ตีปีกพึ่บพับแล้วจามออกมา
“ฮัดชิ่ว!”
เสียงจามเหมือนกับเสียงตาไม่มีผิด
“ฮัดชิ่ว!”
ตาถือบัวรดน้ำพร้อมกับยืดตัวขึ้น “เสี่ยวอวี้ตื่นแล้วเหรอ บนเตาอุ่นบ๊ะจ่างไส้หมูรมควันไว้ให้แล้วนะ”
เขาวางบัวรดน้ำแล้วเดินเข้าไปในห้องครัวด้านซ้าย จากนั้นก็เปิดฝาหม้อแล้วหยิบบ๊ะจ่างออกมาพร้อมทำมือเป็นท่ากรรไกร
“กินกี่ลูกล่ะ สี่หรือห้าลูกดี”
เฉิงอวี้ใช้ตะเกียบเขี่ยหาถั่วแดงในบ๊ะจ่างกิน ส่วนตาก็แกะใบไผ่ห่อบ๊ะจ่างแล้วกัดเข้าไปคำหนึ่ง “ใครเขากินบ๊ะจ่างแบบหลานกัน แบบนี้จะกินไปถึงเมื่อไรเนี่ย”
“ผมค่อยๆ กินครับ” เฉิงอวี้ตอบ
ตานั่งอยู่ตรงข้ามเขา “อยู่บ้านตาเบื่อไหมลูก วันนี้ตาจะพาไปเล่นในตัวอำเภอดีไหม”
“มีร้านขายเครื่องดนตรีไหมครับ”
“อยากตีกลองเหรอ”
ลุงเว่ยที่เพิ่งซื้อไข่ไก่พื้นเมืองกลับมาหนึ่งตะกร้าโพล่งขึ้นทันที “ตีกลองไม่ได้นะครับ คราวก่อนเกือบเป็นเรื่องใหญ่แล้ว!”
ตาพยักหน้า “ใช่ๆๆ ห้ามตีกลองนะ ต้องพักผ่อนที่ชนบทให้หายดีก่อนค่อยกลับไปเล่น”
คิ้วของเฉิงอวี้ขมวดข้าหากันเล็กน้อย
“งั้นตาจะจัดกิจกรรมอย่างอื่นให้ รอเดี๋ยวเราจะไปจับปลาที่แม่น้ำกัน ดูซิว่าจะจับได้กี่ตัว เที่ยงนี้กินเมนูปลาทั้งโต๊ะเลย!”
ลุงเว่ยดูจะยังไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะรู้สึกว่ามันนับเป็นกิจกรรมต้องออกแรง “ตอนกลับมาผมบอกเสี่ยวอวี้ไปแล้วว่าแถวนี้มีสวนผลไม้เต็มไปหมด พวกเราไปเก็บลิ้นจี่กันได้”
“หรือจะไปเก็บลิ้นจี่ก็ได้ เด็กคนนี้คงไม่เคยทำแน่ เอาแบบนี้พอจับปลาเสร็จ บ่ายก็มานั่งเล่นหมากรุกกับตา แล้วพรุ่งนี้ตาจะพาหลานไปสวนผลไม้ ไปเก็บลิ้นจี่เล่นกัน”
บ้านที่ตาสร้างเองอยู่ใกล้แม่น้ำมาก เดินย่ำก้อนหินไปไม่กี่ก้อนก็ถึงแม่น้ำแล้ว
แม่น้ำสายนี้ไม่ใหญ่นัก กว้างประมาณสิบสองสิบสามเมตรเท่านั้น สายน้ำก็ไหลเอื่อย ก้อนหินและกรวดกลมที่อยู่ใต้สายน้ำมานานมีตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะเป็นชั้นลื่นๆ
ตอนแรกเฉิงอวี้ไม่ยอมลงไป พอเห็นตาถอดรองเท้า ถกขากางเกงเดินลงน้ำ เขาก็ได้แต่ยืนอยู่บนฝั่งแล้วพูดว่า “ตาเดินระวังหน่อยนะครับ”
ตาล้วงมือเข้าไปหยิบหอยขมระหว่างซอกหินออกมาได้หลายตัว ก่อนจะชูขึ้นกลางอากาศ แสงแดดส่องกระทบผิวน้ำสะท้อนแสงระยิบระยับ
ตาให้ลุงเว่ยไปเอาถังแล้วหันมาถามเฉิงอวี้ “ไม่ลงมาเล่นจริงๆ เหรอ น้ำใสมากเลยนะ แถมเย็นสบายด้วย!”
“…”
“โอ้โห! ได้ปูอีกตัวแล้ว!”
เฉิงอวี้เห็นตานั่งยองแล้วลุกขึ้นยืนอยู่ตลอดก็รู้สึกเป็นห่วง ผ่านไปครู่หนึ่งเลยถอดรองเท้าลงน้ำไปด้วย
ระดับน้ำสูงไม่ถึงกลางน่อง น้ำเย็นเฉียบ หินก็ลื่นมาก เฉิงอวี้ไม่ได้ก้มลงจับปลา แต่ยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปอยู่ในท่าคอยประคองผู้สูงอายุเอาไว้
ไม่นานตาก็จับปูได้หลายตัวรวมถึงปลาจี้[4]* ขนาดเท่านิ้วมือตัวหนึ่ง ก่อนจะโยนพวกมันลงถังไป
ลุงเว่ยยืนดูอยู่ริมฝั่งด้วยความวิตกกังวลอยู่สักพัก พอเห็นว่ากิจกรรมนี้ไม่ได้ใช้แรงมากและไม่สร้างภาระใดๆ ให้กับร่างกายของเฉิงอวี้ก็โล่งใจ จากนั้นก็กลับไปเก็บหอมในแปลงผักหน้าบ้าน
ตอนที่ตากำลังก้มตัวลงจะจับปลาตัวใหญ่ จู่ๆ ก็มีหินก้อนหนึ่งลอยเฉียดลงมาบนผิวน้ำทำให้น้ำกระเซ็นโดนปลายขากางเกง ส่วนปลาตัวนั้นก็ว่ายหนีไปอย่างคล่องแคล่ว
“ไอ้เด็กบ้านไหนฮะ!” ตาตะโกนขึ้น ก่อนจะใช้มือบังแดดตรงตาแล้วมองไปยังอีกฝั่ง “โยนหินมั่วซั่วได้ยังไง!”
ตอนแรกเซวียโย่วข่าไม่ได้สังเกตว่ามีคนอยู่ด้วย เขาเดินอยู่ริมน้ำเหมือนเคย เดินไปพลางขว้างก้อนหินไปพลาง หินก้อนหนึ่งถูกขว้างออกไปไกล มันกระเด้งไปบนผิวน้ำทำให้เกิดคลื่นเป็นระลอก
พอได้ยินเสียงตะโกนก็คิดว่าโดนคนเข้าแล้ว เขาจึงรีบแฝงตัวเข้ากับเงาไม้โดยสัญชาตญาณ ก่อนจะชะโงกหน้าออกมาดู
ผ่านไปหลายวินาทีเขาถึงค่อยๆ เดินออกมาแล้วเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจ คุณลุง…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เขามองลงไปในแม่น้ำ เห็นว่ามีผู้สูงอายุคนหนึ่งกับเด็กหนุ่มอีกคน
เด็กหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ในน้ำ ใส่เสื้อยืดตัวหลวม ถกขากางเกงขึ้นจนเห็นหน้าแข้งเรียวยาว ร่างกายครึ่งหนึ่งโดดเด่นอยู่ภายใต้แสงแดด
เซวียโย่วข่าจำเขาได้ทันที อ๊ะ! นั่นคุณชายใหญ่หน้าบูดที่เจอกันบนรถนี่!
เขาสบตากับอีกฝ่ายที่เลื่อนสายตามองมา เซวียโย่วข่าหลบตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตบๆ กระเป๋าตัวเองแต่กลับพบว่าไม่ได้พกเหรียญมาด้วย
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจำเขาได้แล้ว
“เธอ” เฉิงอวี้ชี้มาทางเขา
“ฮะ?”
เฉิงอวี้ตะโกนขึ้นว่า “คืนเงินมา”
เซวียโย่วข่าลำบากใจจนพูดอะไรไม่ออก “ฉะ…ฉันไม่ได้เอาเงินมาด้วย…”
เฉิงอวี้ดูเหมือนจะจงใจ เขาจ้องเด็กคนนั้นเขม็ง ในขณะเดียวกันตาก็รู้สึกประหลาดใจมากจึงเงยหน้ามองเด็กคนนั้น ดูแล้วเหมือนเด็กผู้หญิง แต่ก็เหมือนเด็กผู้ชายนิดหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรแค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนซานหลิงที่ทั้งเกิดและโตที่นี่ แล้วเด็กในชนบทแบบนี้มารู้จักเฉิงอวี้ของพวกเขาได้อย่างไร
เซวียโย่วข่าหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
แค่เงินหนึ่งหยวนเองไม่ใช่เหรอ!
เขาไม่ได้ตั้งใจจะเบี้ยวสักหน่อย
“เดี๋ยวคืนแน่นอน ฉันไม่ใช่คนติดหนี้แล้วไม่จ่ายนะ พรุ่งนี้…ไม่สิ ตอนบ่ายฉันจะเอาเงินมาคืน รอด้วยล่ะ!” พูดจบก็วิ่งหนีไปทันที
ตาหัวเราะ ก่อนจะถามเฉิงอวี้ “เด็กบ้านไหนเนี่ย”
“ไม่รู้จักครับ”
“ไม่รู้จัก? แล้วเด็กผู้ชายนั่นติดหนี้หลานได้ยังไง ฟังไม่ขึ้นเลยนะ!”
“ตาครับ ตาเข้าใจผิดแล้ว” เฉิงอวี้หรี่ตาเพราะแสงแดดแยงตา “นั่นเด็กผู้หญิงต่างหาก”
“จริงเหรอ ไม่ใช่มั้ง เป็นเด็กผู้ชายชัดๆ”
เฉิงอวี้ยืนกราน “เป็นเด็กผู้หญิงครับ”
ก็แค่น้องสาวที่ซุกซนนิดหน่อยเท่านั้นเอง
[1]* ห้าม้าแยกร่าง เป็นวิธีการลงโทษรูปแบบหนึ่งของจีนในสมัยโบราณ โดยจะจับนักโทษนอนกางแขนกางขาแล้วนำม้าห้าตัวมาผูกเชือกกับหัว แขน และขาทั้งสองข้างของนักโทษ ก่อนจะให้ม้าวิ่งออกไปพร้อมกัน
[2]** เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง คือเทศกาลที่มีประเพณีไหว้ขนมบ๊ะจ่างและแข่งเรือมังกร ตรงกับวันที่ห้าเดือนห้าตามปฏิทินจันทรคติของจีน
[3]* ใบอ้าย คือพืชสมุนไพรในสกุลโกฐจุฬาลัมพา มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ มักใช้ปรุงเป็นยาห้ามเลือด บรรเทาอาการหวัด
[4]* ปลาจี้ เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน ลำตัวมีสีคล้ายตะกั่ว
บทที่ 3
เซวียเทียนเลี่ยงเพิ่งมาถึงตอนบ่าย ในบ้านมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด บ้านเก่าหลังนี้เพิ่งรีโนเวตใหม่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่กลับใช้โต๊ะไม้เก่าแก่คู่กับโซฟาแบบยุโรป ผนังที่ทาสีขาวสะอาดเหมือนสีหิมะแขวนพัดขงเบ้งไว้ แถมยังมีเครื่องปรับอากาศกับพัดลมเก่าส่ายไปมา สไตล์โดยรวมของตัวบ้านจึงดูไม่เข้ากัน
เซวียโย่วข่าถูกบังคับให้อ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นเล็กอย่างจำใจ เขาอ่านหนังสือเรียนและแบบฝึกหัดระดับมัธยมต้นที่เหอเสี่ยวโหยวยืมมาจากฟางหลี่ฉิงลูกพี่ลูกน้องของเขา
นอกจากนี้เหอเสี่ยวโหยวยังให้การบ้านเขา โดยในช่วงบ่ายเขาต้องศึกษาวิชาภาษาจีนกับคณิตศาสตร์บทแรกล่วงหน้าด้วยตัวเอง ต่อให้เขาอยากออกไปก็หาเวลาว่างไม่ได้เลย
ในหนังสือเรียนเต็มไปด้วยการจดโน้ตที่แสดงให้เห็นว่าฟางหลี่ฉิงตั้งใจเรียนมากแค่ไหน แต่เซวียโย่วข่ากลับอ่านไปกระสับกระส่ายไปเป็นพักๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงภาพยนตร์แอนิเมชั่นจากห้องข้างๆ นั่นเป็นเสียงของเกาเกาลูกพี่ลูกน้องของเขาที่กำลังกินขนมพลางดูแอนิเมชั่นอยู่ ขณะที่เซวียโย่วข่าอ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคนทักทายกันอยู่ข้างนอก
“เทียนเลี่ยง! ในที่สุดก็มาแล้ว มาช้าจังเลยนะ!”
“ทำไงได้ล่ะ ทำแต่งาน ผมนั่งรถกลับมาตั้งแต่เช้าแล้วแต่รถติด เลยเพิ่งจะมาถึงตอนนี้แหละ”
เซวียโย่วข่าวางหนังสือเรียนทันทีแล้วมองผ่านหน้าต่างออกไป
พ่อของเขากำลังยื่นบุหรี่ให้ญาติผู้ใหญ่หลายคน มือหนึ่งก็คลำหาไฟแช็กจากกระเป๋ากางเกง
ธนบัตรใบละห้าหยวนสิบหยวนหลายใบที่ถูกขยำเป็นก้อนหล่นลงพื้น ญาติคนหนึ่งก้มลงเก็บขึ้นมา “เทียนเลี่ยง เงินนายตก…อ้าว ซื้อลอตเตอรี่ด้วยเหรอ!”
เซวียเทียนเลี่ยงคว้าลอตเตอรี่กลับมาด้วยความกระอักกระอ่วน “ซื้อตามทางนั่นแหละ”
เหล่าญาติๆ พากันหัวเราะ “ถูกรางวัลไหมล่ะ”
“ก็บอกว่าซื้อตามทางเฉยๆ”
ญาติอีกคนพูดกับทุกคนอย่างไม่ใส่ใจ “ลอตเตอรี่เนี่ยติดง่ายนะ พวกนายว่าไหม สองสามปีมานี้ฉันเองก็ชอบซื้อเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีโชคแบบไห่หมิงเลย มากสุดก็ถูกแค่พันเดียว!”
“ไห่หมิง เล่าให้ทุกคนฟังหน่อยซิว่าถูกรางวัลเจ็ดแสนได้ยังไง”
เซวียโย่วข่ามองผ่านหน้าต่างสีน้ำเงินออกไป เห็นอาเขยฟางไห่หมิงกำลังเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด[1]* อีกฝ่ายถือไพ่เต็มมือ บนโต๊ะเต็มไปด้วยเงินมากมายทั้งธนบัตรใหญ่และเล็ก
เขาจำได้ว่าเรื่องอาเขยถูกรางวัลลอตเตอรี่เป็นเรื่องตั้งแต่เขายังเด็กมาก เวลาพวกผู้ใหญ่พูดถึง อาเขยก็มักจะแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้นโชคดีน่ะ”
“นั่นไม่ใช่โชคดีหรอก! มีใครเหมือนนายบ้าง ไม่ใช่แค่ไม่เอาไปใช้หมด แต่ยังใช้เงินเจ็ดแสนนั้นตั้งตัว เปิดโรงงานกระเป๋าหนังอีก! ตอนนี้มีทรัพย์สินตั้งเท่าไรแล้ว ได้ยินมาว่าจะส่งฉิงฉิงไปเรียนที่ปักกิ่งใช่ไหม บ้านก็ซื้อเรียบร้อยแล้ว…”
“หนุ่มหล่อ กำลังอ่านหนังสือเหรอ” เซวียเทียนเลี่ยงยืนอยู่ตรงแสงไฟหน้าประตู ร่างกายเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง เขายิ้มกว้าง ใบหน้าที่ผ่านกาลเวลามากลับยิ่งดูลุ่มลึกและหล่อเหลา
เขาเป็นไกด์นำเที่ยว ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่เป่ยไห่ ในหนึ่งเดือนจะกลับบ้านได้เพียงหนึ่งถึงสองครั้ง แถมแต่ละครั้งอยู่ได้ไม่นานก็ต้องกลับไป
“พ่อ…” เดิมทีเซวียโย่วข่าอยากจะถามว่าทำไมพ่อยังซื้อลอตเตอรี่อีก ไม่ใช่ว่าตกลงกันว่าจะไม่ซื้อแล้วเหรอ แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็กลับพูดไม่ออก
ความหลงใหลที่เซวียเทียนเลี่ยงมีต่อลอตเตอรี่ไม่ใช่แค่ซื้อตามรายทาง แต่ซื้อทุกวันไม่มีขาด ซื้อทีละสิบยี่สิบใบ ถ้าไม่ถูกรางวัลก็โยนลงถุงดำ ไม่ถึงเดือนก็เต็มถุงหนึ่งแล้ว
เขาทะเลาะกับเหอเสี่ยวโหยวเพราะเรื่องนี้ตั้งไม่รู้กี่รอบ
เซวียเทียนเลี่ยงนั่งลงข้างเขาแล้วเปิดดูหนังสือเรียน “นี่หนังสือของฉิงฉิงเหรอ”
“อืม…”
“แม่เป็นคนขอยืมมาให้ลูกเหรอ”
“ใช่ฮะ…” เขาตอบด้วยท่าทีเซื่องซึม
เซวียเทียนเลี่ยงมองโน้ตที่จดไว้บนนั้นแล้วมองลูกชายที่มีท่าทางห่อเหี่ยว ในใจก็พลันกระตุกวูบ “เมื่อไม่กี่วันก่อนลูกเพิ่งผ่าตัดมา ตอนนี้เจ็บอยู่ไหม”
“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว”
ท่าทีว่าง่ายของเซวียโย่วข่าทำให้เซวียเทียนเลี่ยงยิ่งปวดใจ เสียงของเขานุ่มนวลขึ้น “ขอโทษนะหมี่หมี่ วันเกิดลูกวันนั้นพ่อกลับมาไม่ทันเอง เป็นความผิดของพ่อ”
เซวียโย่วข่าเพิ่งฉลองวันเกิดอายุสิบเอ็ดปีไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนนั้นเซวียเทียนเลี่ยงกำลังดูแลนักท่องเที่ยวอยู่ที่เป่ยไห่
“ไม่เป็นไรฮะ” เซวียโย่วข่าเงยหน้ามองเขา “หนูรู้ว่าพ่องานยุ่ง แต่อาเขยซื้อเค้กให้ แล้วก็พาไปเที่ยวสวนสนุกแล้ว”
เซวียเทียนเลี่ยงรู้สึกขมในปาก เขาเอ่ยเบาๆ “หมี่หมี่…”
“หืม?”
“อีกสองวันพ่อจะไปเกาะเหวยโจว ไปด้วยกันไหมลูก พ่อจะพาไปนั่งเรือที่ทะเล”
“หนู…ไม่ไปดีกว่า ขอบคุณพ่อฮะ อีกไม่กี่วันต้องไปตัดไหมที่โรงพยาบาล รอให้แม่ได้หยุดก่อนแล้วเราค่อยไปเที่ยวทะเลด้วยกันดีไหม”
“ได้เลย พ่อสัญญา” เซวียเทียนเลี่ยงลูบผมลูกชาย “ผมยาวแล้วนะ จะตัดไหม”
เซวียโย่วข่าส่ายหน้า เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “พ่อ หนูขอเงินหนึ่งหยวนได้ไหม”
เซวียเทียนเลี่ยงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะควักธนบัตรย่อยออกมาหลายใบ “เอาไปเลยหนึ่งร้อย ค่อยๆ ใช้แล้วกัน”
“หนูไม่ได้อยากได้เยอะขนาดนั้น พ่อเก็บไว้ใช้เถอะ…ให้หนูหนึ่งหยวน อืม…หนึ่งหยวนห้าเหมาก็พอ” เขาอยากไปซื้อลูกรสอมเปรี้ยวที่ร้านขายของชำด้วย
เซวียเทียนเลี่ยงก้มลงมองเข้าไปในดวงตาใสแจ๋วของลูกชาย หัวใจก็ปวดร้าวจนเลือดไหลซิบ
หมี่หมี่รู้ความมากจริงๆ
เซวียโย่วข่าเพิ่งได้มีโอกาสออกไปหลังจากกินข้าวเย็น แต่เขาใส่กางเกงไป ปรากฏว่าพอเดินไปได้ไม่ไกลก็เจ็บจนทนไม่ไหว แถมยังโดนปู่ที่ไปเก็บมะเขือเทศในไร่จับได้
“ไอ้เด็กนี่! ยังเจ็บอยู่เลยจะออกมาทำไม จะไปไหนหา”
“จะ…จะไปเล่นกับหู่ผีฮะ”
หู่ผีเป็นเพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน
“หู่ผีไม่อยู่บ้านนะ กลับมาเลย ไปผ่าตรงนั้นมายังจะออกมาวิ่งเล่นอะไรอีก” ปู่ลากเขากลับไป นับจากตอนนั้นเซวียโย่วข่าก็ยังไม่เจอโอกาสเหมาะๆ ที่จะออกไปคืนเงินอีกเลย
ตกกลางคืน พวกผู้ใหญ่ยังเล่นไพ่กันต่อ พอเลิกเล่นก็ปล่อยให้เซวียโย่วข่าที่หลับสนิทอยู่บนเตียงเล็กนอนต่อไป
เช้าวันถัดมา หลังเซวียโย่วข่ากินไข่ต้มชาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เตรียมจะออกไปคืนเงิน แต่ปรากฏว่าเซวียเทียนเลี่ยงขับรถมาอีกครั้งแล้วเอาของใช้มาให้ลูกชายสองกระเป๋าเต็มๆ “ทั้งหมดแม่ลูกเป็นคนจัดให้นะ นี่แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าเช็ดหน้า แล้วก็เสื้อผ้า…” ตอนเซวียเทียนเลี่ยงหยิบเสื้อผ้าออกมาเขาก็ชะงักไปหลายวินาที
เซวียโย่วข่าก็เห็นเหมือนกัน เขาโอดครวญ “ทำไมแม่ต้องเอากระโปรงมาให้เป็นกองด้วย!”
“เอ่อ…พวกนี้คงเป็นของลูกพี่ลูกน้องลูกแหละ คุณภาพก็ดีอยู่ ลูกเพิ่งผ่าตัดมาได้ไม่กี่วัน เดินเหินลำบาก ลองใส่ไปก่อนไหม หรือให้พ่อกลับไปเอาชุดอื่นมาให้ดี”
“ไม่ต้องหรอกพ่อ อย่าเลย ยังไง…ยังไงที่นี่ก็ไม่มีคนอื่น” เซวียโย่วข่ามองกระโปรงพวกนั้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล จากนั้นก็เปิดกระเป๋าอีกใบที่พองออก เขานึกว่าจะเป็นขนมเสียอีก แต่พอเปิดออกมามันกลับเต็มไปด้วยหนังสือเรียนของชั้นมัธยมต้นปีหนึ่ง แม้แต่หนังสือความคิดและคุณธรรมก็ยังยัดใส่มาด้วย แถมยังมีแผ่นซีดีสอนการออกเสียงโฟเนติกอีกต่างหาก
“แม่ลูกไม่รู้ว่าจะอยู่บ้านย่านานแค่ไหน เลยเอามาให้หมด แม่บอกว่าอีกสักพักจะตรวจการบ้านลูก ห้ามขี้เกียจเข้าใจไหม แต่พ่อว่าก็ไม่ต้องเคร่งมากหรอก เรียนไปด้วยเล่นไปด้วยให้สมดุลกัน อย่าเอาแต่เรียนหรือเอาแต่เล่นเข้าใจไหม”
“อื้ม!” เขาพยักหน้าแรงๆ เมื่อเซวียเทียนเลี่ยงถามอีกว่าต้องการอะไรอีกไหม เซวียโย่วข่าก็ส่ายหน้า พ่อของเขาเลยบอกว่า “พ่อจะอยู่เล่นกับลูกถึงเย็นแล้วค่อยกลับตอนกลางคืน”
“พ่อจะไปเป่ยไห่อีกแล้วเหรอ”
“ออกเดินทางพรุ่งนี้หกโมงเช้า”
ตอนที่เซวียเทียนเลี่ยงกำลังจะกลับ เซวียโย่วข่าก็วิ่งออกมากอดพ่อของเขาไว้และแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ความจริงเขาไม่ใช่คนขี้แย แต่หลังจากผ่าตัดสองวันมานี้เขากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ เซวียโย่วข่ารู้ตัวดีว่าเขาเปลี่ยนไป คิดว่าพอผ่าตัดตรงนั้น แถมยังต้องใส่กระโปรงอีก เลยทำให้เขาเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงและยิ่งรู้สึกหดหู่เข้าไปใหญ่
ตอนที่เซวียเทียนเลี่ยงกลับไปก็เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ปู่กับย่ากำลังแช่เท้าดูโทรทัศน์ เลยไม่ทันสังเกตว่าหลานชายเปลี่ยนชุดและแอบออกจากบ้านไป
เมื่อก่อนเขากับเพื่อนบ้านที่ชื่อหู่ผีชอบปั่นจักรยานเล่นไปทั่วทุกที่เวลาว่างๆ ในพื้นที่แถบนี้เซวียโย่วข่ารู้ทางหมด ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เขาติดหนี้ก็อยู่ริมแม่น้ำ ว่ากันว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่เศรษฐีซื้อที่ดินแล้วสร้างไว้ มีข่าวลือหนาหูในละแวกนี้ว่าไม่เคยมีใครอยู่เลย เมื่อก่อนเซวียโย่วข่ายังเคยไปเล่นแถวบ้านหลังนั้นตั้งหลายครั้ง
เขาเดินไม่ค่อยสะดวก แม้จะใส่กระโปรงก็ยังเดินลำบาก เลยต้องเดินช้าๆ นานถึงสี่สิบนาที เดินตั้งแต่ช่วงที่มีแสงในตอนเย็นไปจนท้องฟ้าแทบจะมืดสนิท ในที่สุดก็มาถึงบ้านหลังนี้
เขายืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะเคาะเบาๆ “มีใครอยู่ไหม”
ไม่มีเสียงตอบรับ
“มีใครไหมฮะ” เซวียโย่วข่ายืนตะโกนเรียกอยู่ข้างนอกหลายครั้งก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ
แต่ในขณะที่กำลังจะเดินกลับ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง ‘ฮัดชิ่ว!’ ดังออกมาจากข้างใน
หือ? มีคนอยู่ไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมไม่เปิดประตูล่ะ…
เซวียโย่วข่าเคาะประตูอีกครั้ง ได้ยินเสียงจามดังมาเป็นพักๆ แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตู เขานั่งลงบนขั้นบันไดหน้าประตูอย่างอึดอัดใจพลางมองดูดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไป พระจันทร์เริ่มปรากฏขึ้นมา แต่ระหว่างที่เตรียมจะลุกกลับบ้านก็เห็นแสงไฟแยงตาสองดวงปรากฏขึ้นตรงหน้า เขายกแขนขึ้นบังแสงไฟจ้า ได้ยินเสียงรถวิ่งผ่านถนนปูนซีเมนต์อย่างชัดเจน
กระทั่งแสงไฟจ้าค่อยๆ อ่อนลง เซวียโย่วข่าก็ได้ยินเสียงปิดประตูรถดังปัง เสียงดังขนาดนั้นดูแล้วคนปิดประตูคงอารมณ์ไม่ดี จากนั้นก็มีเสียงสตาร์ตรถดังขึ้นแล้วรถก็ขับออกไปอีกรอบ
เซวียโย่วข่ารู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นก็กลับพบว่าขาเหมือนจะไม่มีแรง
เฉิงอวี้จ่ายเงินให้คนขับแท็กซี่แล้วเดินไปที่หน้าบ้าน ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูท่ามกลางแสงไฟจากโคมไฟฝังพื้น
เป็นเด็กคนหนึ่ง
เด็กผู้หญิง…
เฉิงอวี้เดินเข้าไป ก่อนจะก้มหน้าถาม “เธอมาทำอะไรที่นี่”
“มาคืนเงินน่ะ” เซวียโย่วข่าใส่กระโปรงที่มีช่องกระเป๋า เขาหยิบเหรียญที่ขอมาจากพ่อเมื่อวานออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้อยู่ในเงามืด โครงหน้าคมเข้มดูดุเป็นพิเศษจนเซวียโย่วข่าไม่กล้าพูดเสียงดังและได้แต่พึมพำว่า “เมื่อวานตอนบ่ายพี่บอกให้ฉันคืนเงิน ฉันพูดว่าจะคืนก็ต้องคืนแน่นอน ฉันรักษาคำพูด ขอบคุณที่ให้ฉันยืมเงินขึ้นรถนะ”
เฉิงอวี้กำลังอารมณ์เสียสุดๆ พอได้ยินก็รับเหรียญไปพลางใช้กุญแจไขเปิดประตู จากนั้นก็พูดเสียงเย็นชา
“หนี้หมดแล้ว เธอกลับไปได้”
“อ๋อ…”
เฉิงอวี้เปิดประตู พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนก็ก้มลงมองด้วยสายตาเย็นเยียบ “ยังไม่ไปอีกเหรอ”
“ฉันลุกไม่ไหว พอดีเจ็บนิดหน่อย พี่อย่าเร่งสิ ฉันจะไปอยู่แล้ว” เซวียโย่วข่าจับโคมไฟหินเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ สีหน้าดูอัดอั้นตันใจเล็กน้อย “ไม่ได้จะมากินข้าวที่บ้านพี่สักหน่อย”
เฉิงอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงวันนั้นที่เจอเด็กสาวครั้งแรก เธอกำลังร้องไห้อยู่บนสะพาน ทำท่าเหมือนจะกระโดดลงแม่น้ำ คล้ายกับได้รับบาดเจ็บตรงไหนสักแห่ง
“เจ็บตรงไหน”
“ฉัน…ขะ…ขา เจ็บขา”
[1]* ไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด เป็นเกมไพ่ที่แบ่งผู้เล่นออกเป็นสองฝ่ายคือเจ้าของที่ดินกับชาวนา โดยเจ้าของที่ดินจะมีความได้เปรียบในการออกไพ่ก่อนและได้รับไพ่มากกว่าชาวนา 3 ใบ ซึ่งชาวนาต้องร่วมมือกันเอาชนะเจ้าของที่ดินให้ได้ ทั้งนี้ฝ่ายที่ไพ่ในมือหมดก่อนจะเป็นผู้ชนะ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.