X
    Categories: everYทดลองอ่านแฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ

ทดลองอ่าน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1 บทที่ 4-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

ทดลองอ่านเรื่อง แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1

ผู้เขียน :  ซุ่ยหมาง (睡芒)

แปลโดย : G.N Voyager

ผลงานเรื่อง : 满天星 (Man Tian Xing)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบูลลี่

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 4

 

“บ้านเธออยู่ไหน ให้คนที่บ้านมารับไหม” ถึงเด็กผู้หญิงคนนี้จะยืนขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเตี้ยกว่าเฉิงอวี้อยู่มาก เพียงแค่เขาก้มลงก็เห็นกลุ่มผมนุ่มๆ พอดี

“กลับเองได้ ใช้เวลาไม่นานหรอก” เซวียโย่วข่าประเมินอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังผ่าตัดต่ำเกินไป เดินจากบ้านมาใช้เวลาตั้งสี่สิบนาที แถมคำแนะนำของหมอคือให้เขาพยายามอย่าเดินเยอะก่อนตัดไหม

ถ้ารู้แต่แรกวันนั้นต่อให้เจ็บให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางยืมเงินนั่นหรอก!

เฉิงอวี้เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นเดินกะโผลกกะเผลก แถมยังเดินช้าเหมือนเต่าคลาน แลดูน่าสงสารมาก แต่สุดท้ายเขาก็ขมวดคิ้วแล้วปิดประตูใส่ไปเลย

จากนั้นเฉิงอวี้ก็ขึ้นไปชั้นบน ลมค่อนข้างแรง เขาเปิดม่านแล้วมองลงไปข้างล่างจากริมหน้าต่าง

ข้างนอกมืดสนิท คืนนี้แสงจันทร์สลัวเป็นพิเศษ ในป่าอันมืดมิดนั้นมองไม่เห็นเงาของเด็กที่เขาไล่กลับไปแล้ว

เซวียโย่วข่าไม่ค่อยกล้าเดินทางลัดหลังฟ้ามืด ในหมู่บ้านชนบทแบบนี้มีหลุมฝังศพอยู่ทุกที่ เขาไม่ได้เอาไฟฉายมาด้วย จะกล้าเดินทางลัดคนเดียวได้อย่างไร

เมื่อฟ้ามืดสนิทเซวียโย่วข่าก็จับกระโปรงเดินไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็มีแสงจ้าแยงตาปรากฏขึ้นตรงหน้า ด้วยมีรถคันหนึ่งแล่นมา เขาจึงหยุดยืนอยู่ข้างทางรอให้รถผ่านไป

ลุงเว่ยรีบขับรถกลับบ้านจึงขับเร็ว แต่เมื่อเห็นว่าเบื้องหน้ามีเด็กผู้หญิงอยู่ไกลๆ ก็ผ่อนคันเร่ง ลดความเร็วลงเหลือสิบไมล์ และพอเข้าไปใกล้เด็กผู้หญิงคนนั้น ลุงเว่ยก็หันไปมองแวบหนึ่ง

หือ?

เขาจอดรถแล้วถอยหลังเล็กน้อย

“หนู ทำไมถึงเป็นหนูล่ะเนี่ย” ลุงเว่ยเปิดกระจกรถ “มืดค่ำป่านนี้มาเดินคนเดียวอยู่ข้างนอกได้ยังไง”

สายตาของเซวียโย่วข่าพร่ามัวเล็กน้อยเพราะแสงจ้าจากไฟหน้ารถ เขาเพ่งอยู่หลายวินาทีก่อนจะจำได้ “อ๊ะ! ลุง!”

“ฮ่าๆๆ ลุงเอง แล้วทำไมมาเดินแถวนี้ล่ะ อยู่แถวนี้เหรอ”

“เปล่า” เขาส่ายหน้า “บ้านหนูไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ พอดีหนูมาคืนเงินน่ะ”

“คืนเงิน?”

บนรถยังมีคนอีกสองคน แต่ตอนนี้ไม่มีใครขัดจังหวะลุงเว่ยที่กำลังคุยกับเด็กที่อยู่ข้างทางเลย เฉิงจื่อเวยที่นั่งอยู่เบาะหลังมองด้วยความสงสัยอยู่หลายครั้ง

เซวียโย่วข่าเล่าทุกอย่างโดยละเอียด บอกว่าช่วงบ่ายของเมื่อวานเจอพี่ชายคนนั้น พี่ชายบอกให้เขาคืนเงิน แต่เมื่อวานไม่มีเวลา วันนี้ถึงได้มีเวลามา แต่พอมาถึงกลับพบว่าในบ้านไม่มีคน ถึงได้รออยู่สักพัก

ลุงเว่ยฟังแล้วอ้าปากค้าง ต่อให้ใช้คิดนิ้วเท้าคิดก็คิดออกว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาออกจากบ้านไปตั้งแต่กินข้าวเที่ยงเสร็จ ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มารออยู่ตรงประตูบ้านนานแค่ไหน เรื่องคงมีประมาณว่าพอเฉิงอวี้กลับไป เด็กน้อยเอาเงินมาคืน แล้วเฉิงอวี้ก็ไล่เธอกลับแน่ๆ

“เธอมาเพียงเพื่อคืนเงินแค่หนึ่งหยวนเนี่ยนะ” ลุงเว่ยต้องมองเด็กผู้หญิงที่ดูเด็กกว่าเฉิงอวี้เล็กน้อยใหม่อีกครั้ง

“แน่นอนสิ คนเราต้องรักษาคำพูด”

“งั้นขึ้นรถมาเลย เดี๋ยวลุงไปส่งบ้าน”

“ไม่เป็นไร หนู…”

“ขึ้นมาเร็ว” ลุงเว่ยเพิ่งพูดจบ ประตูหลังรถก็เปิดออก

เซวียโย่วข่ามองเข้าไปข้างใน เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ อีกฝ่ายยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร “ขึ้นมาสิ”

บนรถลุงเว่ยอธิบายเหตุการณ์วันนั้นคร่าวๆ “วันนั้นเด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บ ร้องไห้อยู่บนสะพาน ลุงเจอพอดีเลยบอกจะไปส่งบ้าน แต่เธอไม่ยอม ลุงเลยให้ยืมเงินหนึ่งหยวนขึ้นรถเมล์”

ตาที่นั่งเบาะข้างคนขับเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดแล้ว เขาพูดประมาณว่ามิน่าล่ะทำไมหลานชายที่เพิ่งมาอำเภอซานหลิงครั้งแรกถึงรู้จักเด็กท้องถิ่น แต่เด็กที่รักษาคำพูดแบบนี้หายาก ตาเลยชมไปหลายประโยค โดยบอกว่าโตไปต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน

อีกฝ่ายพูดจนเซวียโย่วข่าเริ่มรู้สึกเขินขึ้นมา

“แล้วหนูรออยู่นานไหม”

“ก็ไม่นาน…แค่แป๊บเดียว ตอนแรกว่าจะกลับแล้ว แต่ได้ยินเสียงคนในบ้านพูดเลยยังไม่ไป”

“มีคนพูดเหรอ”

“ได้ยินเสียงจามน่ะ”

พอลุงเว่ยกับตาได้ยินก็พากันหัวเราะแล้วอธิบายว่าเป็นเสียงนกแก้วในบ้าน

เซวียโย่วข่าเบิกตาเล็กน้อยแล้วลูบจมูกตัวเองอย่างกลัดกลุ้มใจ

จู่ๆ เฉิงจื่อเวยก็เอ่ยพูดขึ้น “เฉิงอวี้นี่สุดยอดจริงๆ หนึ่งหยวนยังเอามาคิดกับน้องสาวได้ลงคอ”

ตาหันไปมองเขาแวบหนึ่ง “คงเห็นว่าเธอน่ารักเลยแกล้งเล่นนิดหน่อยน่ะ” ตาพอจะเดาเหตุผลได้

เดิมทีเฉิงอวี้ก็มีนิสัยแปลกๆ อยู่แล้ว เมื่อวานแกล้งเด็กคนนั้นไปสองประโยค ใครจะรู้ว่าวันนี้เด็กน้อยจะตามมาใช้หนี้จริงๆ อีกอย่างวันนี้ตอนที่เฉิงจื่อเวยมาหาก็ไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้า ตอนพวกเขากำลังจะไปเที่ยวในตัวเมืองชิ่งโจว ขับรถไปได้ครึ่งทางถึงได้รับโทรศัพท์ว่าลูกพี่ลูกน้องของเฉิงอวี้มาหาและตั้งใจจะมาพักผ่อนอยู่ที่ชิ่งโจวกับเฉิงอวี้โดยเฉพาะ

เนื่องจากสุดวิสัยลุงเว่ยเลยต้องขับรถไปสนามบินเป่ยไห่ตอนนั้นเลย

ไม่คาดคิดว่าเที่ยวบินจะล่าช้า เฉิงอวี้เลยถูกบังคับให้รออยู่ที่สนามบิน เขาไม่ใช่คนที่มีความอดทน แถมไม่สนใจบทบาทพี่ชายรักใคร่น้องชายเคารพอะไรพวกนั้นด้วย รอได้ไม่นานเขาก็ทนไม่ไหวและเรียกแท็กซี่กลับไปเอง

ดังนั้นตอนที่เฉิงอวี้กลับมาถึงคงเหมือนถังดินปืนแน่ๆ เลยไม่ทำหน้าทำตาดีๆ กับเด็กผู้หญิงคนนี้

เมื่อรถมาถึงหน้าบ้านตา ลุงเว่ยก็จอดรถแล้วลงมาเปิดประตูหลังก่อน จากนั้นก็ช่วยเฉิงจื่อเวยยกกระเป๋าเดินทาง

“คุณชายจื่อเวย ห้องยังไม่ได้จัดเลย เดี๋ยวลุงไปส่งหนูน้อยคนนี้เสร็จแล้วจะกลับมาจัดให้นะ”

“ไม่เป็นไรครับลุงเว่ย” เฉิงจื่อเวยยิ้มสุภาพ “ผมจัดเองก็ได้ ไม่รบกวนหรอกครับ”

“งั้นลุงช่วยถือกระเป๋าเข้าไปนะ” พูดจบลุงเว่ยก็หันมาพูดกับเซวียโย่วข่า “หนู รอลุงแป๊บนะ เข้ามานั่งก่อนสิ มากินขนมสักหน่อย”

“ไม่เป็นไร หนูนั่งรอในรถก็ได้”

เฉิงจื่อเวยโน้มตัวลงมาสบตากับเขา “ไม่ต้องเกรงใจหรอก มานั่งเล่นก่อนสิ ฉันเอาขนมอร่อยๆ มาด้วย เธอเป็นคนแถวนี้เหรอ ที่นี่มีอะไรสนุกๆ ไหม”

เซวียโย่วข่าคิดในใจ พี่ชายคนนี้ดีกว่าคนก่อนหน้าเยอะเลย

“ที่นี่…ไม่มีอะไรสนุกหรอก” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ที่บ้านฉันมีไร่ชา เล่นซ่อนแอบได้นะ”

เฉิงจื่อเวยพยักหน้าแล้วบอกว่าคราวหน้าจะไปเล่นด้วย

ไม่นานนักลุงเว่ยก็ออกมาหลังจากเอากระเป๋าเข้าไปเก็บแล้ว แถมยังเอาบิสกิตกับขนมขบเคี้ยวหลายห่อมาให้เซวียโย่วข่าด้วย จากนั้นก็ขับรถพาเซวียโย่วข่ากลับไป

พอเฉิงจื่อเวยเข้าไปในบ้านและเปลี่ยนรองเท้าเสร็จก็ถามว่า “ตาครับ ผมนอนห้องไหนเหรอ”

ฉู่จิ้นได้แต่พาเขาขึ้นไปที่ห้องว่างบนชั้นสอง เขารู้ดีว่าเฉิงอวี้กับเฉิงจื่อเวยไม่ลงรอยกัน แม้ทั้งสองจะเป็นพี่น้อง แต่เฉิงจื่อเวยก็แก่กว่าเฉิงอวี้แค่สองเดือน ความสัมพันธ์จึงไม่เหมือนพี่น้องทั่วไป ในตระกูลเฉิงที่ร่ำรวยระดับแนวหน้าแบบนี้ ระหว่างพี่น้องย่อมมีการชิงดีชิงเด่น เฉิงอวี้ไม่ชอบเขาก็คือไม่ชอบเขาและไม่เสแสร้งแกล้งทำ แต่เฉิงจื่อเวยกลับชอบแสดงบทพี่ชายที่ดี โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ราวกับมีบุคลิกของนักแสดงเลยทีเดียว

เฉิงจื่อเวยไปเคาะประตูห้องข้างๆ

“มีอะไร” ประตูเปิดแง้มออก

เขายิ้ม “เฉิงอวี้ ฉันเพิ่งมาถึง ย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ เลยมาทักทายน่ะ”

“อืม” บ่งบอกว่าทักทายแล้ว

ขณะเฉิงอวี้กำลังจะปิดประตู เฉิงจื่อเวยก็พูดขึ้นอีก “จริงสิ ตอนกลับมาเจอเด็กผู้หญิงที่บาดเจ็บคนหนึ่งด้วย เธอบอกว่ามาคืนเงินให้นาย”

เฉิงจื่อเวยถอนหายใจ “น่าสงสารมาก ดูเหมือนจะร้องไห้เพราะกลัวนายเลย”

เฉิงอวี้ปิดประตูใส่เขา

เฉิงจื่อเวยที่โดนกันอยู่นอกประตูลูบจมูก “จริงๆ เลย ไม่มีความเห็นอกเห็นใจเอาซะเลย”

 

ตอนที่เซวียโย่วข่ากลับถึงบ้าน ปู่กับย่าก็หลับไปแล้ว เขาจึงย่องกลับเข้าห้องเงียบๆ

เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมากินข้าวเสร็จเขาก็ไปเล่นที่สวนกับปู่ แม้จะบอกว่าเป็นไปเล่น แต่จริงๆ แล้วไปช่วยเก็บลิ้นจี่กับลูกพีชต่างหาก

อำเภอซานหลิงปลูกลิ้นจี่เยอะ ที่สวนของตระกูลเซวียก็ปลูกไว้หลายต้น นอกจากลิ้นจี่แล้วยังมีต้นพีชและยังมีต้นมะเดื่อต้นใหญ่อยู่ในสวนด้วย นั่นเป็นฐานทัพเล็กๆ ของเซวียโย่วข่าเอง โดยมีทั้งบ้านต้นไม้ ชิงช้า และไม้กระดกที่ปู่ทำให้เขา

ตอนที่ยังไม่ได้ย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอ เซวียโย่วข่าก็ใช้ชีวิตวัยเด็กที่นี่นี่แหละ

“หมี่หมี่! ผีหู่มาเล่นกับนายแล้วนะ!”

เซวียโย่วข่ากระโดดลงจากชิงช้าทันที เขาตะโกนลั่นแม้จะอยู่ตั้งไกล “เฮ้! เฮ้ย!! หู่ผี!!”

หู่ผีมีชื่อจริงว่าผีหู่ อยู่บ้านติดกัน อายุเท่ากับเซวียโย่วข่าและเป็นเพื่อนเล่นของเขาตั้งแต่เด็ก

ทันทีที่เห็นเขา หู่ผีก็ชะงักไปในทีแรก ดวงตาคู่นั้นที่เล็กลงเรื่อยๆ เนื่องจากใบหน้าที่บวมเป่งขึ้นทุกวันหยุดอยู่บนร่างกายของเขานานหลายวินาทีราวกับกำลังมองอะไรที่น่าเหลือเชื่อ ก่อนจะหัวเราะลั่น

“เซวียโย่วข่า นายใส่กระโปรงจริงด้วย! แม่ฉันเล่าให้ฟัง ฉันยังไม่เชื่อเลย!”

“ไสหัวไปเลย!”

วันนี้เซวียโย่วข่าใส่กระโปรงบานสีดำ ตรงบ่าทั้งสองข้างผูกโบ ผ้าตาข่ายตรงชายกระโปรงขาดรุ่ยไปแล้ว นี่เป็นกระโปรงที่ฟางหลี่ฉิงไม่ใส่แล้ว พอมาอยู่บนตัวเขาแล้วก็รู้สึกคับไปหน่อย ตอนเช้าเซวียโย่วข่าส่องกระจกดูแล้วคิดว่าไม่ได้ดูเป็นผู้หญิงขนาดนั้น แถมกระโปรงยังใส่สบายกว่ากางเกง ที่สำคัญเขาก็อยู่ในบ้านตัวเอง ไม่มีคนนอกเลยยิ่งไม่ต้องสนใจอะไร

ใครจะไปคิดว่าหู่ผีจะโผล่มา แถมอีกฝ่ายยังหัวเราะเยาะเขาอีก

“ขำอะไร ห้ามขำนะ!”

หู่ผีหัวเราะจนหายใจติดขัด ใช้เวลาสักพักกว่าจะยืดตัวตรงได้ อีกฝ่ายไอพลางเหลือบมองเขาอย่างเขินๆ

“สวย…สวยมากเลย…ถ้านายไว้ผมยาวนะ ฉันคงไม่กล้ามองจริงๆ”

เขาหมายความตามนั้นจริงๆ

เด็กผู้ชายวัยนี้เสียงยังไม่เปลี่ยน ลูกกระเดือกยังไม่เด่นชัด อีกทั้งเซวียโย่วข่ายังเกิดมาปากแดงฟันขาว ดวงตาก็สดใส ทำให้ยิ่งดูเหมือนเด็กผู้หญิงสวยๆ คนหนึ่ง

เซวียโย่วข่าหงุดหงิดเล็กน้อย “เดี๋ยวนายก็ต้องผ่าบ้าง แล้วก็ต้องใส่กระโปรงเหมือนกัน! คอยดูเถอะ!”

“ไอ้ที่นายผ่านี่มันคืออะไร” หู่ผีเดินมาอยู่ข้างเขา “มันมีประโยชน์อะไรเหรอ”

“ทำให้มันใหญ่ขึ้นได้”

“เฮ้ย จริงดิ” หู่ผีถามเกี่ยวกับรายละเอียดการผ่าตัดยกใหญ่ และพอมาอยู่ใกล้ๆ แล้วได้กลิ่นหอมจางๆ จากตัวเซวียโย่วข่าก็แปลกใจเล็กน้อย “ทำไมตัวนายหอมจัง กลิ่นเหมือนน้ำนมเลย ออกสาวจัง”

“นายสิที่ออกสาว นี่มันกระโปรงลูกพี่ลูกน้องฉันต่างหาก!” เซวียโย่วข่าปฏิเสธอย่างไม่พอใจ “เธอฉีดน้ำหอมน่ะ”

ฟางหลี่ฉิงชอบน้ำหอมมาก ตอนเซวียโย่วข่าไปอยู่บ้านเธอก็เคยเห็นขวดน้ำหอมหรูหราเต็มตู้ ห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ตู้เสื้อผ้าย่อมมีแต่กลิ่นสารพัด กลิ่นหอมบนเสื้อตัวนี้ของเซวียโย่วข่าก็คือ Givenchy Ptisenbon กลิ่นโปรดของเธอในช่วงนี้ มันเป็นน้ำหอมกลิ่นแบบเด็กๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน

เซวียโย่วข่าถูกล้อจนไม่กล้าเงยหน้า “ฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า”

“เปลี่ยนอะไรอีกเล่า ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว ไม่มีใครล้อหรอก ไป ไปดูการ์ตูนบ้านฉันดีกว่า บ้านฉันไม่มีใครอยู่”

เซวียโย่วข่าบอกว่าไม่ไป

“ที่บ้านฉันมีขนม มีเนื้อชิ้นโตๆ ด้วย! ไปไหม”

ตาของเซวียโย่วข่าเป็นประกายขึ้นมาทันที

ช่วงนี้เป็นฤดูลิ้นจี่ ผู้ใหญ่ต่างก็วุ่นอยู่กับงานในสวนผลไม้

ในอำเภอซานหลิงแห่งนี้ บ้านทุกหลังล้วนปลูกลิ้นจี่กันหมด แต่บ้านตระกูลเซวียกลับปลูกไว้ไม่มาก นี่เป็นความเห็นของอาเขยฟางไห่หมิง เขาบอกว่าปลูกลิ้นจี่มีการแข่งขันสูง ไม่สู้ปลูกอย่างอื่นดีกว่า ดังนั้นที่ดินบนไหล่เขาของปู่จึงใช้ปลูกชาแทน

ด้วยปริมาณการผลิตที่ไม่มาก ใบชาในไร่เลยขายได้แค่ในท้องถิ่นเท่านั้น

บ้านหู่ผีอยู่ไม่ไกลจากบ้านเซวียโย่วข่า ตอนนี้เซวียโย่วข่ามานอนดูวันพีซอยู่บนเตียงในห้องของอีกฝ่าย เนื้อแผ่นชิ้นใหญ่หนึ่งห่อนั้นแบ่งกันหมดเกลี้ยงแล้ว เด็กสองคนเผ็ดจนน้ำตาเล็ด หู่ผีเช็ดปากมันเยิ้ม พอเห็นว่าไม่มีอะไรเหลือให้กินแล้ว เซวียโย่วข่าก็พูดขึ้นว่า “ฉันยังมีของกินอยู่นะ”

พูดจบก็ควักซองซอสมะเขือเทศเคเอฟซีออกมาจากกระเป๋าเล็ก

“แบ่งให้นายครึ่งหนึ่ง”

หู่ผี “ไม่เป็นไร นายเก็บไว้กินเองเถอะ” สายตาที่หู่ผีมองเขาเต็มไปด้วยความเวทนา

“เมื่อวานเกาเกาซื้อเคเอฟซีถังแบบครอบครัวมา เขากินเหลือไว้ ฉันเลยแอบหยิบซอสมะเขือเทศมาซองหนึ่ง” เซวียโย่วข่าฉีกซองแล้วถอนหายใจ “แม่ฉันไม่ให้กินขนม บอกว่าเดี๋ยวฟันผุ”

เขาชอบของกินพวกนี้มาก หู่ผีเห็นว่าเขากินจนปากแดงแจ๋เลยไปคุ้ยโต๊ะกาแฟแล้วหยิบวิตามินซีออกมาขวดหนึ่ง

“นี่อร่อย หวานด้วย” หู่ผีเทมาใส่มือเขาหลายเม็ด “เอ้า เจ้านี่แพงกว่าขนมอีกนะ”

วิตามินซีรสส้ม เคี้ยวไม่กี่ทีก็แตกออก รสชาติเปรี้ยวหวานละลายอยู่ในโพรงปาก

ทั้งสองคนผลัดกันกินไปกินมาแป๊บเดียวหมดไปครึ่งขวด หู่ผีเขย่าขวดแล้วเก็บวิตามินซีกลับเข้าไปที่เดิม

“กินหมดไม่ได้ เดี๋ยวแม่ฉันรู้…จริงด้วย ช่วงนี้มัลเบอรี่ที่ปลูกอยู่ในบ้านปู่รองของฉันสุกแล้ว ฉันพานายไปเก็บดีกว่า”

“ไม่เอา มีหมานี่” เซวียโย่วข่าเคยโดนหมาบ้านนั้นกัด

“ไปที่สวนบ้านเขา หมาล่ามไว้แล้วนะ แถมบ้านปู่รองฉันก็มีแขกมา เขาเลยไปที่สวนปลูกลิ้นจี่เพื่อดูแลนักท่องเที่ยว ไม่มีใครอยู่หรอก” หู่ผีพูดพลางลดเสียงลง “นายรู้ไหมว่ามัลเบอรี่ขายได้เท่าไร”

“เท่าไร”

“ที่ตลาดขายจิน[1]* ละสิบหยวน เราเก็บแค่…” หู่ผีกระซิบแผนการข้างหูเขา “ว่าไงล่ะ แบ่งคนละครึ่ง เอาด้วยไหม”

เซวียโย่วข่าคิดเลขในใจทันที “เอา!”

ที่ชนบทแบบนี้ สวนของแต่ละบ้านมักไม่ล้อมรั้ว เพียงแค่แหวกพุ่มไม้เข้าไปหน่อยก็ถึงสวนมัลเบอรี่แล้ว

หู่ผีหยิบตะกร้ามาสองใบแล้วส่งให้เซวียโย่วข่าใบหนึ่ง ทั้งคู่มุดเข้าไปข้างใน สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือป่าต้นมัลเบอรี่ที่สูงกว่าสองเมตร ผลมัลเบอรี่สีแดงสลับดำพวงแล้วพวงเล่าห้อยอยู่เต็มช่องว่างระหว่างกิ่งใบที่หนาทึบ เซวียโย่วข่าเด็ดลูกสีแดงลูกหนึ่งมากินแบบไม่คิดอะไร พอเข้าปากก็เปรี้ยวจนฟันแทบหลุด เขาเบ้หน้ากล่าว “ยังไม่สุกนี่นา”

“นายมันโง่! ต้องกินลูกสีดำ สีดำคือสุกแล้ว”

“อ๋อ…”

ทั้งสองเก็บไปสักพักก็ได้ประมาณครึ่งตะกร้า เซวียโย่วข่าถาม “เราจะเก็บเท่าไรดี ถ้าปู่รองของนายรู้เข้าจะทำไง…”

“เขาไม่อยู่บ้านจะรู้ได้ยังไง! วันนี้เก็บสักสี่ห้าจินก่อน กินข้าวเที่ยงเสร็จเราจะไปขายบนถนน ขายหมดแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาอีก” หู่ผีมองเพื่อนรักที่ใส่กระโปรง “นายหน้าตาน่ารักแบบนี้ ขายหมดเร็วแน่นอน!”

จินละสิบหยวน สี่ถึงห้าจินก็สี่สิบห้าสิบหยวน ถ้าแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้ตั้งยี่สิบเกือบสามสิบหยวน

ทันใดนั้นดวงตาเซวียโย่วข่าก็เป็นประกายยิ่งกว่าเดิมราวกับเห็นเงินหยวนโปรยปรายลงมาจากฟ้า

ที่ที่พวกเขาอยู่ลิ้นจี่หาได้ทั่วไป เลยขายไม่ได้ราคาดี ส่วนมัลเบอรี่มีคนปลูกน้อย ราคาเลยสูงหน่อย

พวกเขาสองคนแยกกันปีนขึ้นต้นไม้ทุกต้นเหมือนกับลิง ขโมยมัลเบอรี่ไปต้นละนิดละหน่อย หู่ผีวางแผนอย่างเจ้าเล่ห์ บอกว่าทำแบบนี้ปู่รองเขาจะได้จับไม่ได้ แต่แล้วในขณะที่กำลังจะเก็บเสร็จ ทันใดนั้นในสวนก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมา

“แย่แล้ว!” หู่ผีหูผึ่งทันที สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันตา “ปู่รองฉันกลับมาแล้ว!”

ถ้าผู้ใหญ่รู้ว่าเด็กสองคนนี้วางแผนจะเก็บผลไม้จากสวนบ้านตัวเองไปขายล่ะก็ มีหวังโดนดุยกใหญ่แน่

“เซวียโย่วข่า หนีเร็ว!”

หู่ผีพูดจบก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็พุ่งหายไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้

เซวียโย่วข่าไม่ค่อยคุ้นทางในสวนของปู่รอง หันไปก็ไม่เจอหู่ผี เลยรู้สึกมึนงงเล็กน้อย

ทำไมเจ้าอ้วนนี่ถึงว่องไวขนาดนี้นะ

“หู่ผี?” เขาเรียกเบาๆ

เซวียโย่วข่าอาศัยความรู้สึกมุ่งตรงไปยังทางหนึ่ง ไม่นานก็เห็นแนวพุ่มไม้ แต่ในขณะที่กำลังจะมุดผ่านไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกผู้ใหญ่

“ตรงนี้คือสวนมัลเบอรี่ ปลูกไม่เยอะหรอก มีแค่หนึ่งไร่เอง” เป็นเสียงปู่รองของหู่ผี

เซวียโย่วข่าตกใจจนรีบมุดเข้าไปในพุ่มไม้ แต่กลับถูกแรงบางอย่างฉุดรั้งไว้ เดินอย่างไรก็เดินต่อไม่ได้ พอหันไปดูก็พบว่าผ้าตาข่ายบริเวณชายกระโปรงถูกกิ่งไม้เกี่ยวไว้

ในสวนมีเสียงสวบสาบดังมา เป็นเสียงความเคลื่อนไหวที่ผ้าเสียดสีกับกิ่งไม้แห้ง

เมื่อได้ยินว่ามีคนเดินมาเขาก็ยิ่งร้อนใจ พยายามดึงกระโปรงให้หลุดจนเผลอปล่อยตะกร้า มัลเบอรี่หล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น เซวียโย่วข่าเจ็บใจมาก ด้านหนึ่งเขาดึงกระโปรง อีกด้านหนึ่งก็รีบก้มตัวไปเก็บมัลเบอรี่บนพื้นอย่างลนลาน

 

หลังออกจากสวนลิ้นจี่ เฉิงอวี้ก็ตามตามาที่สวนมัลเบอรี่ ตากำลังคุยกับเจ้าของสวนเรื่องใบชา บอกว่าใบชาที่นี่เด็ดด้วยมือ รสชาติดี ที่อื่นหาซื้อแบบนี้ไม่ได้

เฉิงอวี้ไม่อยากเห็นหน้าเฉิงจื่อเวยเลยไม่ได้ไปเดินด้วย เขาได้ยินเหมือนเสียงความเคลื่อนไหวของสัตว์ตัวเล็กๆ เลยเข้าใจว่าเป็นกระรอกจึงเดินอ้อมมาแถวนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เขาเดินผ่านแนวต้นมัลเบอรี่ที่ลูกดกเต็มต้น บริเวณรอบนอกของสวนมีผลสุกสีดำหล่นเกลื่อนพื้น ใกล้เท้ามีตะกร้าผลไม้ตกอยู่ เด็กผู้หญิงใส่กระโปรงสีดำดูท่าทางจนตรอกและยากลำบาก กระโปรงเกี่ยวกิ่งไม้ แถมผมสั้นยังมีใบไม้ติดอยู่

ภาพนี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ชัดเลยว่าเข้ามาขโมยของ

“ขโมยเหรอ”

“บ้านพวกเราเป็นพื้นที่ปลูกมัลเบอรี่ขนาดใหญ่เจ้าเดียวในซานหลิง ไม่เคยใช้ยาฆ่าแมลงเลย…” เสียงปู่รองของหู่ผีเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงสุนัขที่เห่าดังตามมา

พอเห็นว่าเด็กหนุ่มจะอ้าปากพูด เซวียโย่วข่าก็ร้อนใจ รีบใช้มือซ้ายคว้าตัว ส่วนมือขวายกขึ้นปิดปากอีกฝ่ายทันที

“ชู่…”

ใบไม้ร่วงหล่นลงบนไหล่ เซวียโย่วข่ากลัวแทบตาย ฝ่ามือเลยสั่นระริกไปหมด “อย่าส่งเสียงนะ!”

เฉิงอวี้ตัวแข็งค้าง ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ฝ่ามืออ่อนนุ่มมีกลิ่นเปรี้ยวฝาดของมัลเบอรี่ แถมที่ตัวยังมีกลิ่นหอมน้ำนมที่ให้ความรู้สึกไร้พิษภัยอยู่จางๆ

เฉิงอวี้หลุบตาพลางขมวดคิ้ว ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

เซวียโย่วข่าเงยหน้ามองข้ามไหล่ของเขาแล้วชะโงกศีรษะไปดูต้นเสียงที่หมาเห่าอยู่ด้วยความกังวล

“ไปแล้ว” เซวียโย่วข่าได้ยินเสียงฝีเท้าของปู่รองห่างออกไปจึงถอนหายใจแล้วค่อยๆ ผ่อนแรงฝ่ามือที่ชื้นเหงื่อลง

เฉิงอวี้กลับไวกว่า เขาคว้าข้อมือคนตรงหน้าไว้แล้วปัดออกไป ก่อนจะก้มหน้ามองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยหยอกเย้าด้วยมุมปากที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“ตอนนั้นที่เธอเจ็บเพราะโดนคนจับได้ว่าไปขโมยของเลยโดนตีใช่ไหม”

“ฉันไม่ได้ขโมย! พูดบ้าอะไร! นี่…นี่มันสวนของบ้านฉัน!” เขาพูดออกไปมั่วๆ พอก้มลงก็พลันเห็นลูกมัลเบอรี่ที่ถูกรองเท้าของอีกฝ่ายเหยียบจนเละอยู่บนพื้น

ใบหน้าของเซวียโย่วข่าเหยเกอย่างรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ขนตายาวสั่นระริกเหมือนจะร้องไห้

เฉิงอวี้งุนงงเล็กน้อย ทำไมดูเหมือน…ตัวเองกำลังรังแกอีกฝ่ายอยู่เลย

“แค่โดนจับได้ตอนขโมยมัลเบอรี่สองสามลูกเอง ทำไมต้องร้องไห้ด้วย” เมื่อสีหน้าเย็นชา รวมเข้ากับน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ก็ฟังดูเหมือนกำลังข่มขู่อยู่เล็กน้อย “กลัวฉันแจ้งตำรวจเหรอ”

“ฉันไม่ได้ขโมย!” เซวียโย่วข่าขมวดคิ้วจ้องเขา ดวงตาเปียกชื้น ไม่มีพลังโจมตีแม้แต่สักนิด จะพูดก็ยังไม่กล้าพูดเสียงดัง ท่าทางที่ทำเป็นดุนั่นดูเหมือนลูกแมวน้อยที่แยกเขี้ยวกางเล็บเสียมากกว่า “ก็คืนเงินให้หมดแล้วนี่ พี่จะเอาอะไรอีกล่ะ! จะเก็บดอกเบี้ยหรือไง!”

เฉิงอวี้ไม่ค่อยได้คบค้ากับเด็กในวัยเดียวกัน ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กผู้หญิงเลย เขาจึงพูดไม่ออกอยู่เล็กน้อย พอเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็อยากจะปลอบว่าอย่าร้องไห้ เดี๋ยวจะเอามัลเบอรี่มาชดใช้ให้

แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากก็เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นฉีกชายกระโปรงออกจากกิ่งไม้ ก่อนจะมุดออกจากพุ่มไม้อย่างรวดเร็วและหนีไปไกลแล้ว

กว่าเฉิงอวี้จะตั้งสติได้ก็ผ่านไปพักใหญ่

มีเพียงกลิ่นใบไม้และมัลเบอรี่ที่ถูกเหยียบจนเละเทะบนพื้นเตือนเขาว่าขโมยน้อยคนนั้นหนีไปเรียบร้อยแล้ว

[1]* จิน เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีน 1 จินเท่ากับ 500 กรัม

บทที่ 5

 

เซวียโย่วข่าเพิ่งหนีรอดออกมาก็วิ่งไปหาหู่ผี แต่กลับได้ยินเสียงหู่ผีโดนตีอยู่ตรงประตูบ้านจากไกลๆ

เป็นเสียงแม่หู่ผีกำลังสั่งสอนเขาอยู่ “ไม่เรียนรู้อะไรดีๆ! แต่เรียนรู้การขโมยกินสินะ! บ้านปู่รองของแกปลูกมัลเบอรี่ไว้แค่นั้นเอง ยังจะไปเก็บมาหมดอีก!”

หู่ผีดิ้น “ไม่ใช่ผมนะ! ผมไม่ได้ขโมย! เซวียโย่วข่าชวนผมไปเอง เขาเป็นคนชวน เขา อ๊าก…”

“เขาไม่เอาดีแล้วแกจะไม่เอาดีไปด้วยเรอะ!”

เพียะ!

เสียงกิ่งหลิวฟาดลงบนเนื้อดังลั่น แค่ได้ยินก็ชวนให้ตัวสั่นแล้ว

เซวียโย่วข่ายืนฟังหู่ผีร้องโอดโอยอยู่นอกประตูเหล็กสีแดงเงียบๆ สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไปในบ้านพวกเขา แต่หันหลังวิ่งกลับบ้านตัวเองแทน

 

“เฉิงอวี้ ทำไมหลานถึงวิ่งมาตรงนี้คนเดียวล่ะ ลุงตามหาแทบแย่” ลุงเว่ยตามหาเขาอยู่ในสวนมัลเบอรี่พักหนึ่ง พอเห็นเขาเด็ดลูกมัลเบอรี่สีแดงลูกหนึ่งมามองดูอยู่ในฝ่ามือแต่ไม่ได้กินก็พูดขึ้นว่า “สีแดงมันสวยก็จริง แต่กินไปแล้วเปรี้ยวฝาดนะ มันยังไม่สุก หลานต้องเด็ดสีดำๆ อวบๆ ใหญ่ๆ แบบนี้ถึงจะหวาน”

พวกเขามาเก็บผลไม้ที่ฐานต้องซื้อตั๋ว หนึ่งคนหกสิบหยวน กินได้ไม่อั้น แต่เฉิงอวี้แทบไม่กินอะไรเลย

ความเฉยเมยไม่สนใจสิ่งใดของเขาทำให้ลุงเว่ยกับตาหนักใจมาก เพราะเฉิงอวี้ไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด

ตอนที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานเด็กน้อยถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจ อายุได้ไม่กี่เดือนก็ต้องผ่าตัดหัวใจ โชคดีที่การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี เขาจึงมีชีวิตอยู่ต่อมาได้

ด้วยเหตุนี้ตระกูลเฉิงจึงถือว่าเฉิงอวี้เป็นแก้วตาดวงใจและรักใคร่ทะนุถนอมเขาทั้งครอบครัว

แม้แต่การเรียนก็เชิญครูมาสอนถึงที่บ้าน เขาจึงแทบไม่ได้คบหาใครจากโลกภายนอกเลย

เด็กหลายคนที่เคยเป็นโรคหัวใจ เมื่อโตขึ้นมักจะมีร่างกายอ่อนแอ ทั้งนี้เพื่อให้เฉิงอวี้มีสุขภาพแข็งแรงจึงมีผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพคอยวางแผนการออกกำลังกายให้เขา โดยในแต่ละสัปดาห์จะมีการจัดคลาสฟันดาบและขี่ม้าในปริมาณที่เหมาะสม นักโภชนาการเองก็กำหนดรายการอาหารให้เขา อีกทั้งยังมีแพทย์มาตรวจร่างกายถึงบ้านทุกสองสามวันด้วย

ด้วยการดูแลแบบครบวงจรนี้ทำให้เฉิงอวี้ดูเหมือนแข็งแรงมาก การตรวจร่างกายทุกครั้งไม่พบปัญหาอะไร เขาทั้งสูงและแข็งแรงกว่าเฉิงจื่อเวยที่แก่กว่าสองเดือนเสียอีก แต่การใช้ชีวิตในวัยเด็กแบบตัดขาดจากชีวิตปกติก็ทำให้เขากลายเป็นเด็กที่มีนิสัยรักสันโดษในเวลาต่อมา

เมื่อคนในบ้านเริ่มตระหนักถึงปัญหาที่ว่านี้ ถึงได้ส่งเขาไปเรียนหนังสือ

แต่ด้วยนิสัยแบบนี้ของเฉิงอวี้ พอเข้าโรงเรียนก็ไม่สามารถหาเพื่อนสนิทได้ เขาเย็นชากับทุกคน ทั้งยังไม่ค่อยสนใจการเรียน แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรหรือเกิดจากเหตุการณ์อะไร เฉิงอวี้ถึงพูดว่าอยากเรียนกลองชุดขึ้นมา

พ่อแม่ตามใจเขาทุกเรื่องอยู่แล้ว เรื่องเล็กแค่นี้ย่อมไม่มีทางไม่เห็นด้วย พวกเขาไม่รู้จักเครื่องดนตรีประเภทนี้จึงจ้างครูมาสอน พร้อมทั้งสร้างห้องเก็บเสียงไว้ให้เขาซ้อมตีกลองโดยเฉพาะ

ไม่นานก็ได้ยินว่าเฉิงอวี้เข้าร่วมวงดนตรีอะไรสักอย่าง สมาชิกในวงล้วนเป็นผู้ชายที่อายุมากกว่าเขาสามสี่ปี ว่ากันว่าเพราะหามือกลองฝีมือดีไม่ได้ เลยแหกกฎรับเด็กอย่างเขาเข้ามาเป็นมือกลอง

ตอนแรกทุกคนต่างคิดว่าเป็นเรื่องดีที่เขามีงานอดิเรกแล้ว จนกระทั่งได้ยินว่าวงดนตรีที่พวกเขาตั้งขึ้นชื่อ ‘แรดพิโรธโกรธา’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘แรดพิโรธ’ และหลังจากรู้ว่าเฉิงอวี้ตั้งชื่อในวงการให้ตัวเองว่า ‘เทอร์โบ’ ก็เริ่มรู้สึกว่างานอดิเรกนี้ชักจะไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว

แต่เฉิงอวี้ก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะเป็นมือกลองให้ได้ คนในบ้านเลยตามใจเขาและได้แต่ปล่อยให้เขาเล่นดนตรีที่ไม่เข้าท่าแบบนี้มาตลอด เป็นแบบนี้อยู่หลายปีจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ คนใช้ในบ้านได้เข้ามาพบว่าเฉิงอวี้เป็นลมอยู่ในห้องเก็บเสียงตอนเข้ามาทำความสะอาด

สาเหตุคือขณะตีกลองจังหวะมันเร็วเกินไป เลยทำให้หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ

หมอบอกว่า ‘แม้หัวใจจะยังไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็ต้องเฝ้าดูอาการไปก่อน เครื่องดนตรีประเภทนี้ควรงดเล่นชั่วคราวก่อนจะดีกว่า’

ตอนนั้นคนในบ้านถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วกลองชุดเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้อารมณ์ เฉิงอวี้เล่นมันไม่ใช่เพราะดนตรี แต่เพราะต้องการระบายความรู้สึกที่ไม่อาจระบายที่ไหนได้ต่างหาก

เขาถูกสั่งห้ามไม่ให้แตะต้องกลองชุดและถูกบีบให้ถอนตัวจากวงแรดพิโรธโกรธา ประกอบกับที่ฉู่จิ้นกลับมาจากต่างประเทศพร้อมรางวัลและได้โทรศัพท์จากชิ่งโจวไปยังมาเก๊าพอดี ตระกูลเฉิงจึงส่งเรือยอชต์มารับเฉิงอวี้จากมาเก๊า ข้ามช่องแคบฉยงโจวมายังท่าเรือชิ่งโจว แล้วให้ลุงเว่ยขับรถมารับเขาไปยังอำเภอซานหลิง

เฉิงอวี้เล่นไม้กลองอยู่ในห้อง หมุนไม้สองอันนั้นไปมาอยู่ในมือ เวลาเบื่อๆ เขาจะชอบเล่นแบบนี้ บางทีก็หมุนไม้กลอง บางทีก็เคาะ Pen Beat[1]* เมื่อผ้าม่านถูกเปิดออกก็เห็นสายน้ำไหลเอื่อยอยู่ด้านนอกหน้าต่าง เป็นทิวทัศน์กลางฤดูร้อนที่เขียวชอุ่ม

เขาอยู่ที่ซานหลิงมาได้สักพักแล้ว ความจริงเฉิงอวี้ชอบธรรมชาติอันเงียบสงบแบบนี้มาก เพราะมีแรงบันดาลใจมากมายอยู่รอบตัว

ตาเคาะประตู

“เฉิงอวี้” ตายกกาน้ำชาเข้ามา “มาดมดูสิ ชานี่หอมไหม”

เขาเปิดฝากาแล้วพัดให้กลิ่นลอยไป กระทั่งเฉิงอวี้ได้กลิ่นหอมของชาที่ลอยมาแตะจมูก

“หอมครับ” เขารู้เรื่องชาเสียที่ไหน

“งั้นเดี๋ยวไปเก็บใบชากับตากันเถอะ ชานี่เป็นของที่เจ้าของสวนลิ้นจี่วันนั้นให้มา”

พอได้ยินคำว่า ‘สวนลิ้นจี่’ เฉิงอวี้ก็ช้อนตาขึ้น

ตาพูดต่อ “เขาให้มาหนึ่งห่อ ตาเลยโทรไปถาม ใบชานี่เป็นใบชาที่เพื่อนบ้านเขาปลูก เห็นบอกว่ามีไร่ชาอยู่ตรงไหล่เขาน่ะ” ตาพูดพลางขยิบตา “จื่อเวยยังนอนอยู่ เดี๋ยวเราไปกันสองคน ไม่ต้องชวนเขาหรอก”

 

หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ เซวียโย่วข่าก็ขึ้นไปนอนหลับปุ๋ยอยู่คนเดียวในบ้านต้นไม้

เขาเพิ่งตัดไหมไปเมื่อวาน วันนี้ก็กล้าปีนขึ้นไปนอนบนบ้านต้นไม้แล้ว บ้านต้นไม้หลังนี้ปู่เป็นคนสร้างให้เขาเองกับมือตั้งแต่ยังเล็ก ตัวบ้านสูงราวหนึ่งเมตรสามสิบเซนติเมตร ลึกเข้าไปไม่ถึงหนึ่งเมตรหกสิบเซนติเมตร เหนือประตูแขวนม่านเพื่อกันยุงและแมลงเข้ามารบกวน สำหรับเขาในตอนนี้อาจจะเล็กไปสักหน่อย แต่ถ้าก้มตัวคลานเข้าไปก็พอดีเป๊ะ แน่นอนว่าถ้านอนลงย่อมไม่มีปัญหา

เซวียโย่วข่านอนกอดหมอนอิงสองใบ ขดตัวเล็กน้อย ขณะที่กำลังสะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากข้างนอก

“มีใครอยู่ไหม”

เขาลืมตาขึ้นเพียงครึ่งหนึ่ง แสงแดดที่ส่องลอดช่องว่างระหว่างลำต้นของบ้านต้นไม้เข้ามาตกลงบนเปลือกตา

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง “เถ้าแก่ มาซื้อใบชา”

เซวียโย่วข่าตื่นแล้ว จากนั้นเขาก็ปีนลงบันไดแล้วไปเปิดประตูเหล็กบานใหญ่

เขาหาวไปด้วยขยี้ตาไปด้วย “พวกคุณจะมาซื้อใบชาเหรอ”

“หนู ที่บ้านขายใบชาหรือเปล่า ฉันเห็นป้ายตรงข้างทางเขียนว่าใบชา…ตระกูลเซวีย เป็นบ้านพวกเธอใช่ไหม” ตาได้ยินเสียงเขาก็รู้สึกคุ้นหู และพอมองหน้าเขาดีๆ ก็จำได้

“ใช่ ที่บ้านหนูขายใบชา” เซวียโย่วข่ายังลืมตาไม่ค่อยขึ้น เขานอนจนเส้นผมนุ่มๆ ยุ่งเหยิง จากนั้นเจ้าตัวก็เปิดประตูออกกว้างแล้วเชิญแขกเข้ามาข้างใน “อยากได้ใบชาอะไรฮะ กี่จิน”

สายตาของเฉิงอวี้จับจ้องมาที่เขา

ตาจำเขาได้แล้ว “อ้าว หนูนี่เอง”

หือ?

เซวียโย่วข่ามองให้ชัดอีกที ตอนแรกเขายังจำตาคนนี้ไม่ได้ แต่พอเห็นเด็กหนุ่มข้างๆ ถึงได้นึกออก

“สวัสดีคุณลุง”

ลุงคนนี้เป็นคนดี คืนวันนั้นยังชมเขาอยู่เลย แต่พี่ชายคนนี้ไม่ใช่

เซวียโย่วข่าจำได้มาตลอดว่าวันนั้นอีกฝ่ายทวงเงินเขา จำได้ว่าคืนวันนั้นอีกฝ่ายปิดประตูใส่อย่างไม่เกรงใจ อีกทั้งยังจำได้ว่าอีกฝ่ายจะแจ้งตำรวจว่าเขาขโมยของในสวนมัลเบอรี่

“ไม่คิดเลยว่าไร่ชาจะเป็นของบ้านหนูเอง บังเอิญจริงๆ” ตาประทับใจเขามาก น้ำเสียงยิ่งนุ่มนวลขึ้นหลายส่วน “ที่บ้านหนูมีใบชาอะไรบ้าง แล้วไปเก็บชาในไร่ชาได้ไหม”

สองสามปีก่อนตอนที่เซวียโย่วข่ายังไม่ได้ย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอ เขาเคยตามย่าขึ้นเขาไปเก็บชา แต่ตอนนี้ลืมไปนานแล้ว จำได้แค่ว่าเมื่อก่อนร้านขายชาจะมาเก็บใบชาฤดูใบไม้ผลิกับชาหมิงเฉียน[2]* ในช่วงเดือนมีนาคม ราคาน่าจะจินละสิบกว่าหยวน แต่นั่นก็หลายปีแล้ว ขนาดเนื้อหมูยังขึ้นราคาเป็นเท่าตัว แล้วใบชาจะไม่ขึ้นราคาได้อย่างไร

เขาพูดพลางเดินนำเข้าไปด้านใน “ชาไป๋หาวหลิงอวิ๋น[3]* เป็นใบชาที่เก็บก่อนช่วงกู่อวี่[4]** สามสิบหยวนต่อจิน ถ้าพวกคุณจะขึ้นไปไร่ชาต้องซื้ออย่างน้อยสิบจิน ไม่งั้นก็ต้องจ่ายค่าบัตร”

ไร่ชาที่บ้านเขาไม่ใหญ่มาก ตอนเด็กๆ เซวียโย่วข่าชอบไปเล่นซ่อนแอบกับเพื่อนที่นั่น จำได้ว่าเมื่อก่อนเวลามีแขกมาเก็บใบชาช่วงเดือนมีนาคมก็มีกฎเกณฑ์แบบนี้ ถ้าเก็บเยอะจะไม่ต้องจ่ายค่าบัตร แต่ถ้าเก็บน้อยต้องจ่ายค่าชมสวนเพิ่ม

ตาได้ยินเขาพูดเป็นฉากๆ ก็รู้สึกสนใจ เลยถามต่อ “แล้วผู้ใหญ่ในบ้านไปไหนล่ะ”

“ไม่มีใครอยู่บ้านเลย”

“งั้นถ้าผู้ใหญ่ไม่อยู่ หนูจะพาเราไปไร่ชาได้เหรอ”

“หนูพาพวกคุณไปได้นะ ไม่ไกลเลย!” วันนี้เซวียโย่วข่าใส่กางเกงที่ย่าเย็บให้ใหม่ เป็นผ้าฝ้ายผสมลินิน ขากางเกงหลวมใส่สบาย

“ขอเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าผ้าใบก่อนนะ” พาแขกสองคนไปเก็บใบชาในไร่ อย่างน้อยน่าจะได้สักสิบยี่สิบหยวน ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีใครอยู่บ้าน งั้นขอหาเงินค่าขนมสักหน่อยแล้วกัน

เขาเปลี่ยนรองเท้าเรียบร้อยก็สวมหมวกชาวประมงกันแดดแล้วล็อกประตูบ้าน ก่อนจะแบกอุปกรณ์เก็บใบชาพาแขกเดินขึ้นเขาไป

หลังจากตัดไหม ตอนนี้เขาเดินขึ้นเขาได้โดยไม่มีปัญหาแล้ว

เซวียโย่วข่าได้ยินผู้อาวุโสถามตนเอง “หนู อายุเท่าไรแล้วล่ะ”

เมื่อคราวก่อนเขาโกหกไว้หรือเปล่านะ

เซวียโย่วข่าจำไม่ได้แล้ว เขากลอกตาไปมาก่อนจะบอกว่าตัวเองอายุสิบสาม

ความจริงเขาเพิ่งฉลองวันเกิดอายุสิบเอ็ดไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนเอง

“งั้นก็อายุน้อยกว่าเฉิงอวี้ของบ้านเราหนึ่งปี พี่ชายคนนี้อายุสิบสี่แล้วนะ” ตาชี้ไปทางหลานชายที่สูงเกือบจะเท่าตัวเองแล้ว “แล้วหนูชื่ออะไรล่ะ”

“เซวีย…” เขาระวังตัวขึ้นมา “เซวียหลี่ฉิง”

ต่อให้ดูแล้วจะไม่เหมือนคนไม่ดี แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้ เขาเคยดูรายการกฎหมาย คนร้ายไม่มีทางบอกว่าตัวเองเป็นคนร้าย ยิ่งไปกว่านั้นคือเซวียโย่วข่าไม่รู้จักพวกเขาด้วย

เดิมทีตายังไม่มั่นใจว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้หญิงก็ดูทะมัดทะแมงเกินไป แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้ชาย หน้าตาก็ละมุนเกินไป แถมเสียงยังหวานอีก ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เจอเมื่อค่ำวันก่อนยังใส่กระโปรงด้วย ตอนนี้พอมาได้ยินชื่อ ถึงค่อยมั่นใจว่าเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ

ตาถามเขาอีกว่าขึ้นเขาต้องเดินไปนานเท่าไร เซวียโย่วข่าก็บอกว่ายี่สิบนาที

“ผืนข้างบนตรงนั้น เห็นไหม” เขาชี้ไปยังหย่อมสีเขียวเข้มที่เว้าลงไปกลางภูเขา ตรงนั้นคือไร่ชาของตระกูลเซวีย

เส้นทางบนเขาสร้างจากหินธรรมชาติเลยเดินยากเล็กน้อย แถมเมื่อคืนฝนตกถนนหินเลยลื่นอีกทั้งยังมีโคลนจึงทำให้ลื่นง่ายมาก

เซวียโย่วข่ายังเจ็บอยู่นิดหน่อยจึงเดินช้า เขายังตะโกนบอกให้ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหน้าค่อยๆ เดิน “คุณลุง อย่าเดินเร็วเกินไปสิ โค้งข้างหน้ามีหินกลมก้อนหนึ่ง มันลื่นง่ายมากเลยนะ…”

“ฉันใส่รองเท้าปีนเขามา กันลื่นอยู่แล้ว ปกติฉันก็ชอบปีนเขา ไม่ค่อยล้มหรอก แต่ทางบนเขาแบบนี้พวกเธอก็เดินลำบากจริงๆ นั่นแหละ” ตาจงใจพูดด้วยสำเนียงติดภาษาถิ่นเล็กน้อยกับเขา จากนั้นก็ก้าวขาเดินข้ามไป “ว่าแต่หนูไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณลุงหรอก ฉันแซ่ฉู่ เรียกลุงฉู่ก็ได้”

เซวียโย่วข่าเพิ่งเตือนอีกฝ่ายจบ แต่ปรากฏว่าตอนที่ตัวเองเดินขึ้นไปดันเหยียบพลาดเสียเอง เจ้าตัวร้องเสียงหลง ในขณะที่ก้นกำลังจะกระแทกพื้น เฉิงอวี้ที่เดินตามหลังก็ยื่นมือออกมาอย่างรวดเร็ว เขาเหยียดแขนออกไปประคองหลังของคนเด็กกว่าเอาไว้อย่างมั่นคง

ผ่านไปหลายวินาที…

“ไอ้หยา เป็นอะไรไหม” ลุงฉู่ที่เดินอยู่ข้างหน้ายื่นมือมาช่วยฉุดเขาขึ้น เฉิงอวี้จึงผละมือออกทันที

เซวียโย่วข่าพูดขอบคุณเบาๆ

เฉิงอวี้ยังคงมีสีหน้าเย็นชา “อืม”

เซวียโย่วข่ามีประสบการณ์เรื่องนิสัยเข้ากับคนยากของอีกฝ่ายมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วเลยไม่ได้ใส่ใจ

เส้นทางหลังจากนั้นเดินง่ายขึ้นมาก พอถึงไร่ชาเซวียโย่วข่าก็พูดว่า “ฤดูร้อนไม่ใช่ช่วงที่ดีในการเก็บชา เพราะอากาศร้อนใบชาก็เลยจะขม”

เขาเองก็ไม่รู้เหตุผลหรอก แค่เคยได้ยินปู่พูดไว้แบบนี้

ลุงฉู่ชมเขา “หนูนี่รู้อะไรเยอะจริงๆ เลยนะ”

เซวียโย่วข่าโบกมืออย่างถ่อมตัว “ไม่เยอะหรอก ไม่เยอะเลย”

อันที่จริงตาไม่ได้ตั้งใจจะมาเก็บชาฤดูร้อนอยู่แล้ว เหตุผลที่มาเพราะวิวบนเขาสวยมาก อากาศในไร่ชาก็หอมสดชื่น จากตรงนี้ยังมองเห็นตัวอำเภอซานหลิงได้ทั้งเมืองด้วย

เมื่อมองจากที่สูงแบบนี้ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างในด้านสิ่งก่อสร้างและวัฒนธรรมระหว่างเมืองเก่ากับเมืองใหญ่ชัดเจนมาก

เขาตั้งใจพาเฉิงอวี้ออกมาสูดอากาศโดยเฉพาะ

เพื่อให้เด็กคนนี้อารมณ์ดีขึ้น ช่วงนี้เลยต้องคิดหาสารพัดวิธี สิ่งที่เด็กผู้ชายทั่วไปชอบเฉิงอวี้กลับไม่สนใจ ตาเลยต้องหาข้ออ้างขอให้อีกฝ่ายออกมาข้างนอกเป็นเพื่อนตน แต่เฉิงจื่อเวยก็มักจะตามมาด้วยเสมอ ด้วยเหตุนี้เฉิงอวี้จึงมีท่าทีเหมือนเดิมและไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก

เซวียโย่วข่าสอนลุงฉู่ว่าเก็บใบชาอย่างไร ใบชาแบบไหนถึงจะเก็บได้แล้วก็หยิบกรรไกรเตรียมจะไปสอนเฉิงอวี้ แต่เฉิงอวี้ที่ยืนอยู่กลางไร่ชากลับพูดว่า “ไม่ต้องสอน ฉันไม่เก็บใบชา”

“อ้อ…”

ลมบนเขาพัดมาเซวียโย่วข่าไม่อยากไปยุ่งกับเขาเหมือนกันจึงหยิบนิตยสารการ์ตูนเล่มเก่าออกมาจากกระเป๋าเป้

เขาเดาได้อยู่แล้วว่าขึ้นเขาจะต้องน่าเบื่อ เลยเตรียมสิ่งของฆ่าเวลาเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

นิตยสารการ์ตูนเล่มนี้เขายืมมาจากหู่ผีก่อนหน้านี้ เซวียโย่วข่าอ่านไปได้สักพักก็สังเกตว่าเฉิงอวี้กับลุงฉู่ไปหาที่นั่งพักตากลม ชมทิวทัศน์ด้านล่างภูเขาแล้ว

เซวียโย่วข่าเดินผ่านไร่ชาเขียวชอุ่มไปถาม “เก็บได้เท่าไรแล้ว จะเก็บต่อไหม”

ตาตอบว่า “ไม่เก็บแล้ว แต่พักอีกหน่อยแล้วกัน วิวที่นี่สวยจริงๆ เดี๋ยวลงเขาแล้วจะไปซื้อชาฤดูใบไม้ผลิของบ้านเธอนะ ซื้อสิบจินเลย”

สิบจิน!

ตั้งสามร้อยหยวน!

เซวียโย่วข่าโชว์ยิ้มแฉ่งทันที เขานั่งลงข้างๆ พร้อมตีสนิทกับอีกฝ่าย “ลุงฉู่ ลุงไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหม”

“ไม่ใช่หรอก แต่ยายของเด็กคนนี้เป็นคนที่นี่ พอเธอจากไป ฉันก็ไม่ค่อยได้กลับมา”

เซวียโย่วข่าพยักหน้าคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจแล้วถามต่อ “ลุงฉู่ราศีอะไรเหรอ”

“ราศี?” ฉู่จิ้นไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่เขาชอบเด็กคนนี้มากเลยตอบไปอย่างสนอกสนใจ “ช่วยดูให้ลุงหน่อยซิว่าลุงอยู่ราศีอะไร”

เซวียโย่วข่าเปิดนิตยสารการ์ตูน “ลุงเกิดวันไหน”

“ลุงเกิดวันที่สิบมกรา”

“สิบมกรา งั้นลุงอยู่ราศีมังกร คำทำนายราศีนี้เขียนไว้ว่า ‘บอกลาจังหวะชีวิตที่วุ่นวาย ช่วงนี้จะได้พักผ่อนมากขึ้น…’ ” เซวียโย่วข่าอ่านดวงชะตาให้เขาฟัง

ลุงฉู่เอ่ย “แม่นมากเลย งั้นเธอราศีอะไรล่ะ”

“ราศีเมถุน คำทำนายบอกว่าอาทิตย์นี้จะมีโชคแบบไม่คาดคิด”

ตาหัวเราะแล้วพูดอีกว่า “งั้นช่วยดูให้พี่เขาหน่อยสิ เขาเกิดวันที่ยี่สิบเก้าตุลา”

เซวียโย่วข่าดูจะไม่ค่อยเต็มใจนัก “ยี่สิบเก้าตุลา…” เขาเลื่อนสายตาไปตรงช่องของราศีพิจิก “อืม เขียนว่า…คนโสดจะมีดวงความรักวนเวียนอยู่รอบตัว ให้สังเกตคนรอบตัวดูก็ได้”

ลุงฉู่หัวเราะลั่นพลางชี้เฉิงอวี้ “ดูพี่คนนี้สิ ยิ้มเขาก็ไม่ยิ้ม จะมีดวงความรักมาจากไหน”

“แต่พี่เขาหล่อมากเลยนะ”

เฉิงอวี้หันไปมองเขาทันที

เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจังมาก

เซวียโย่วข่าเคยช่วยย่าขายลูกพีชริมทาง ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องกลเม็ดการค้าดี

เวลาเจอลูกค้ากระเป๋าหนัก ถ้าอยากให้พวกเขาใช้จ่ายเงินเยอะๆ ต้องปากหวานหน่อย ดีที่สุดคือชมลูกหลานของเขา เซวียโย่วข่าซึมซับเรื่องพวกนี้มาจนรู้อยู่ไม่น้อย ต่อให้เป็นเด็กหน้าตาน่าเกลียดน่าชังอย่างไร ย่าก็จะชมว่าหน้าตาดูเฉลียวฉลาดจริงๆ อยู่ดี

 

[1]* Pen Beat คือการเลียนแบบเสียงกลองชุดผ่านการเคาะปากกาและมือในตำแหน่งที่ต่างกัน

[2]* ชาหมิงเฉียน หมายถึงใบชาฤดูใบไม้ผลิที่เก็บก่อนเทศกาลเช็งเม้ง

[3]* ชาไป๋หาวหลิงอวิ๋น คือใบชาที่มีลักษณะเรียวยาวเหมือนเข็มและมีสีขาวเงิน รสของชามีความนุ่มละมุน กลิ่นหอมสดชื่น

[4]** ช่วงกู่อวี่ เป็นช่วงสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิ ราวสัปดาห์ที่สองและสามของเดือนเมษายน

บทที่ 6

 

พอลงเขาเซวียโย่วข่าก็ใช้เครื่องชั่งดิจิตอลช่วยพวกเขาชั่งใบชาสิบจิน จากนั้นก็รับเงินมาสามร้อยหยวนถ้วน

เขาไม่ค่อยได้เห็นเงินมากขนาดนี้ ธนบัตรสีชมพูรูปท่านประธานเหมาสามใบทำให้รอยยิ้มบนหน้าของเขาเปล่งประกายยิ่งขึ้นราวกับดวงอาทิตย์ดวงน้อย

“ขอบคุณลุงฉู่! ไว้เจอกันใหม่!” เขายังโบกมือให้เฉิงอวี้ด้วย “บ๊ายบายพี่ชาย!”

แขกที่มาซื้อชาเพิ่งไป ปู่กับย่าก็กลับมาถึง หลังปู่ลงจากรถสามล้อเก่าๆ ก็ตะโกนว่า “หมี่หมี่! ปู่ซื้อของอร่อยมาให้แล้ว!”

เซวียโย่วข่ารีบวิ่งออกมา ก่อนจะเห็นว่ามันเป็นถุงที่มีข้าวซอยตัดกับของกินเล่นอีกหลายอย่าง

“แม่ของหลานไม่ให้ปู่ซื้อลูกอมให้ บอกว่าฟันหลานผุแล้ว”

เซวียโย่วข่าสีหน้าหม่นหมอง หยิบข้าวซอยตัดหนึ่งถุงมาถือไว้เงียบๆ “ขอบคุณฮะปู่ ข้าวซอยตัดหนูก็ชอบกินเหมือนกัน”

ปู่ค้อมตัวลูบศีรษะเขา ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นรองเท้าที่เปื้อนโคลนของเด็กหนุ่ม “ออกไปเที่ยวเล่นมาเหรอ ทำไมรองเท้าเปื้อนโคลนไปหมดเลย”

“อ่า…อันนี้เหรอ คือว่า…” เซวียโย่วข่าซ่อนเงินร้อนๆ สามร้อยหยวนไว้ในกระเป๋า แต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่นิดๆ หลังลังเลอยู่สองสามวินาที สุดท้ายก็หยิบเงินออกมา

เซวียโย่วข่าเล่าทุกอย่างออกมาอย่างละเอียด

“หลานบอกว่าเท่าไรนะ สิบจิน? ชาที่บ้านเราปกติร้านชาจะมารับซื้อในราคาแปดสิบหยวน ลูกค้าขาจรมาซื้อแบบขายส่งยี่สิบห้าหยวน หลานขายไปจินละสามสิบเหรอ แถมยังขายตั้งสิบจินเนี่ยนะ” ปู่ถือธนบัตรร้อยหยวนสามใบอย่างตกตะลึง

หลานชายของเขานี่ช่างมีฝีมือจริงๆ

เซวียโย่วข่าพูดตะกุกตะกัก “ก็…หนูคิดว่าราคาสามสิบหยวน หลายปีก่อนก็สิบกว่าหยวนไม่ใช่เหรอ พวกเขาไม่ใช่คนท้องที่ด้วย ได้กำไรเพิ่มอีกห้าหยวนยังดีกว่าขาดทุนนะปู่ ว่าไหม”

ไม่เพียงเท่านั้นยังย้อนถามกลับมาด้วย

ปู่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เลยให้หลานพาตนเองไปดูว่าขายใบชากล่องไหนไป เซวียโย่วข่าชี้ไปที่กล่องหนึ่งตรงมุมห้อง

“หนูเห็นกล่องนี้เปิดอยู่ กล่องอื่นยังปิดสนิทหมด หนูเลยตักจากกล่องนี้ให้ลูกค้าไปสิบจิน”

“หลานปู่นี่นะ ไปขายชาเก่าเมื่อสองปีก่อนให้เขาได้ยังไง”

“หา? อันนั้นเป็นชาเก่าเหรอ” เซวียโย่วข่าเกาศีรษะ “งั้นหนู…หนูไม่รู้จริงๆ ดูไม่ออกเลย แล้วจะทำยังไงดีล่ะปู่ เขาจะหาว่าพวกเราหลอกขายของหรือเปล่า”

“พวกเขาไม่ใช่คนที่นี่เหรอ มีเบอร์โทรไหม หรือได้บอกไหมว่าไปรู้จักไร่ชาของเราจากที่ไหน”

“หนูรู้ว่าบ้านพวกเขาอยู่ไหน อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำนี่เอง หนูเคยไปมาแล้ว!”

 

เช้าวันถัดมาย่าจัดชาใหม่สิบจินแล้วถือกันไปคนละถุงกับเซวียโย่วข่า พอข้ามสะพานไปเซวียโย่วข่าก็นำทาง

“บ้านสวยๆ หลังนั้นไง ที่ปลูกดอกไม้เยอะๆ น่ะ”

ย่าจำได้เลาๆ เพราะที่ดินตรงนั้นเคยเป็นของคนท้องที่สักคน แต่ขายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้วทุบบ้านหลังเดิมสร้างบ้านหลังใหม่ กลายเป็นคฤหาสน์สวยงามไม่เหมือนบ้านในชนบทเลยสักนิด แต่หลังจากสร้างเสร็จก็เหมือนจะไม่เคยเห็นใครมาอยู่จึงไม่รู้ว่าใครซื้อไป

ย่ากับเซวียโย่วข่าเดินไปสักพัก ด้วยความที่คุ้นเคยกับเส้นทางแถวนี้ดี ไม่นานก็หาคฤหาสน์หลังนั้นเจอ

ดอกวิสทีเรียร่วงโรยไปหมดแล้ว ในฤดูร้อนกำแพงบ้านมีต้นไอวี่สีเขียวเข้มเกาะอยู่ ต้นไม้เขียวชอุ่มล้วนเป็นสายพันธุ์ล้ำค่าและหายาก

“หลังนี้เหรอ” ย่าถาม

“ใช่ หนูเคยมาแล้ว” เซวียโย่วข่าเขย่งเท้ามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงวางถุงชาไว้บนขั้นบันไดแล้วเคาะประตู

“ใครน่ะ”

ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน

ลุงเว่ยเปิดประตูแค่ครึ่งบาน เมื่อเห็นหญิงชราก็เอ่ยถาม “ขอโทษครับ คุณคือ?”

จากนั้นเขาก็เห็นเด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ

ย่ายกถุงชาขึ้นมาเป็นการให้สัญญาณแล้วอธิบายด้วยภาษาถิ่น “คืออย่างนี้ค่ะ พวกเราเป็นเจ้าของไร่ชาตระกูลเซวีย หลานชายฉันบอกว่าเมื่อวานพวกคุณมาซื้อใบชาไปแต่ดันขายผิด ใบชาพวกนั้นเป็นชาเก่า พวกเราเลยตั้งใจเอาใบชาใหม่มาเปลี่ยนให้ค่ะ”

เธอพูดด้วยภาษาถิ่น ซึ่งลุงเว่ยฟังรู้เรื่องแค่ครึ่งเดียว “อ้อๆ ใบชาเหรอครับ!”

เมื่อวานเฉิงอวี้กับตาเขาหิ้วใบชากลับมาเยอะมาก ลุงเว่ยยังสงสัยอยู่ว่าซื้อมาทำไมเยอะขนาดนี้

“มาๆๆ เข้ามาข้างในก่อนครับ!” เขาเชิญสองย่าหลานเข้าไปในบ้านแล้วตะโกนเสียงดัง

นี่เป็นครั้งแรกที่เซวียโย่วข่าได้เข้ามาข้างใน เขามองสำรวจคฤหาสน์หลังนี้ ส่วนลึกในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ปากอ้าค้างเล็กน้อย

ที่แท้ข้างในก็เป็นยิ่งกว่าสรวงสวรรค์ มันสวยมาก เขาไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี แต่นี่คือบ้านที่เงียบสงบและสวยที่สุดที่เขาเคยเห็นมา ลานบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ชายคางอนเชิดและมีระเบียงทางเดินยาวเหยียด เสาคานได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรประณีต ลานหน้าบ้านยิ่งสวยงาม แผ่นหินที่จัดวางอย่างละเอียดด้วยความใส่ใจปกคลุมไปด้วยมอสส์สีเขียว เมื่อประกอบกับภูเขาหินจำลอง ต้นสน โคมไฟหิน รูปปั้นสัตว์หมอบ และอ่างล้างมือแบบญี่ปุ่นแล้วก็เกิดเป็นทัศนียภาพธรรมชาติขนาดย่อม ลานบ้านกับพื้นที่ในบ้านเป็นแบบกึ่งเปิด ภายในตกแต่งอย่างทันสมัยมาก ผนังคอนกรีตเปลือย โซฟาหนังสีดำ เป็นสไตล์วาบิซาบิ[1]* ที่หวนคืนสู่ธรรมชาติและสวนภูเขา[2]** ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ

เมื่อเซวียโย่วข่าเงยหน้าขึ้นมองก็สบตากับคนที่อยู่บนชั้นสองพอดี สายตาของพวกเขาประสานกันกลางอากาศ

เขาพบว่าเป็นพี่ชายที่เจอเมื่อวาน คิดไปคิดมาเลยโบกมือให้

สายตาของเฉิงอวี้หยุดอยู่ที่เขาครู่หนึ่งจากนั้นก็ละสายตาออก ก่อนจะใส่หูฟังทำเพลงของตัวเองในคอมพิวเตอร์ต่อ

ฉู่จิ้นออกมาต้อนรับแขก “อ้าว หนูเองเหรอ”

“สวัสดีลุงฉู่” เซวียโย่วข่าทักทายก่อนจะอธิบายเหตุผลที่มา “เมื่อวานหนูขายผิด เผลอขายชาเก่าให้ลุงไป อันนี้เป็นชาใหม่จากบ้านพวกเราเอง”

“พวกเธอตั้งใจมาเลยเหรอ” เมื่อฉู่จิ้นเห็นว่าย่าของเซวียโย่วข่าหลังค่อม แถมหน้าผากยังมีเหงื่อซึมก็อดทอดถอนใจกับความซื่อสัตย์ของคนชนบทออกมาหนึ่งประโยคไม่ได้

เขาเชิญให้ทั้งสองคนนั่งพักตรงมุมร่มรื่นของลานบ้าน

ลุงเว่ยชงชาผู่เอ๋อร์[3]*** แล้วยกมาให้ ส่วนย่าหยิบธนบัตรห้าสิบหยวนหนึ่งใบออกมาจากกระเป๋าหูรูด

“เด็กคนนี้ยังตั้งราคาผิดอีก ชาไป๋หาวหลิงอวิ๋นนี่สิบจินจะถือว่าขายส่ง จินละยี่สิบห้าหยวน เขารับมาสามร้อย ได้เพิ่มมาห้าสิบหยวน เด็กมันไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ ฉันขอโทษแทนเขาด้วย พวกเราทำการค้าอย่างซื่อสัตย์ ไม่หลอกลูกค้าเด็ดขาด”

ฉู่จิ้นฟังภาษาท้องถิ่นที่นี่เข้าใจประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาเลยแค่ยิ้มตอบ “เด็กบ้านคุณอุตส่าห์พาพวกเราขึ้นเขาไปเก็บใบชา แถมยังเด็ดใบชากลับมานิดหน่อยด้วย เรื่องนี้เขาไม่ได้เก็บเงินเลย ห้าสิบหยวนนี่ไม่ต้องคืนหรอกครับ พวกเราต่างหากที่ได้กำไร พวกคุณถือถุงใบชาหนักๆ มาส่งถึงที่แบบนี้ไม่ง่ายเลย ดื่มชาพักเหนื่อยกันก่อนเถอะครับ ปกติผมชอบดื่มชาอยู่แล้ว บ้านคุณดูแลใบชาพวกนี้เป็นอย่างดี คุณภาพสูงมากเลย”

เซวียโย่วข่านั่งอยู่ข้างๆ ค่อยๆ จิบชาทีละนิด ทว่าเขาดื่มแล้วไม่รู้รสอะไรเลยนอกจากรู้สึกว่าลวกปาก

ลุงเว่ยเห็นเข้าเลยไปหยิบเครื่องดื่มจากตู้เย็นมาให้ขวดหนึ่ง

เครื่องดื่มนี้ฉู่จิ้นซื้อไว้ให้เฉิงอวี้ แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงอวี้ไม่กินขนมและยิ่งไม่ดื่มเครื่องดื่มด้วย

เซวียโย่วข่ารับน้ำส้มขวดนั้นมาพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณลุง

ลุงเว่ยหัวเราะ “ขนมอยู่ชั้นบนหมดเลย เดี๋ยวลุงพาขึ้นไปเล่นบนบ้านดีไหม”

เซวียโย่วข่าหันไปมองย่า

ย่าส่ายหน้าไม่เห็นด้วย ถ้าเป็นบ้านเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยคงไม่เป็นไร แต่ครอบครัวนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา แบบนี้แล้วจะปล่อยให้หลานวิ่งซนตามอำเภอใจในบ้านคนอื่นได้อย่างไร

ฉู่จิ้นพูดขึ้นว่า “พี่ชายเล่นคอมฯ อยู่ในห้องชั้นบน ไปเล่นกับพี่เขาไหม”

พอได้ยินคำว่า ‘เล่นคอมฯ’ เซวียโย่วข่าก็พูดขึ้นทันที “ไป! หนูจะขึ้นไปเล่นกับพี่!”

ฉู่จิ้นขบขัน “งั้นไปเลยๆ”

“ย่า…หนูไปได้ไหม” เซวียโย่วข่าจับแขนเสื้อย่าไว้

ย่าก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรดี “อย่าไปยุ่งกับของคนอื่นมั่วซั่วนะ”

“รู้แล้ว!”

หลังจากนั้นลุงเว่ยก็พาเขาขึ้นไปข้างบน ก่อนจะเคาะประตูห้องที่เปิดอยู่

ลุงเว่ยยืนถามอยู่ข้างประตู “เสี่ยวอวี้ น้องสาวมาหาแน่ะ”

เซวียโย่วข่าอยากจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่น้องสาว แต่กลับถูกคอมพิวเตอร์บนโต๊ะของพี่ชายดึงดูดความสนใจไปจนหมด

ว้าว โน้ตบุ๊ก!!

เซวียโย่วข่าไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์ที่สวยขนาดนี้มาก่อน เขาเคยเห็นแต่คอมพิวเตอร์ของบริษัทชิงหวาถงฟางซึ่งเครื่องใหญ่เทอะทะ ส่วนคอมพิวเตอร์ในห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนกับที่บ้านของหู่ผีก็ล้วนเป็นเครื่องตั้งโต๊ะขนาดใหญ่

ดวงตาสองข้างของเขาเปล่งประกาย แต่ในเมื่อเจ้าของห้องยังไม่เอ่ยปาก เขาก็ไม่กล้าเข้าไปและได้แต่ยืนอยู่หน้าประตู

เฉิงอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ ขณะหมุนตัวมาครึ่งรอบก็เห็นดวงตาเป็นประกายอย่างน่ารักของอีกฝ่ายเข้าพอดี หลังผ่านไปหลายวินาทีก็พูดขึ้น

“เข้ามาสิ”

เซวียโย่วข่าถึงพุ่งตัวเข้าไป

แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนโผล่มาที่หน้าประตู “สาวน้อย! พี่มีมือถือนะ เล่นไหม”

เซวียโย่วข่าเงยหน้ามอง ที่แท้ก็เป็นพี่ชายยิ้มเก่งคนนั้นที่เจอกันบนรถเมื่อคืนวันก่อน

“มีมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบให้กินด้วยนะ”

เฉิงจื่อเวยยืนพิงกรอบประตูพลางกระดิกนิ้วเรียกเซวียโย่วข่า

เขารู้สึกเบื่อสุดๆ ที่ต้องอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเอาหน้าต่อหน้าตาและแสดงบทบาทพี่ชายแสนดีของเฉิงอวี้ ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่ยอมมาใช้เวลาช่วงปิดเทอมหน้าร้อนในที่ห่างไกลและทุรกันดารแบบนี้แน่

เซวียโย่วข่าเงยหน้ามองเฉิงอวี้ที่มีสีหน้าเย็นชา แล้วหันไปมองเฉิงจื่อเวยที่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม

เขาตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่าคนยิ้มยากคนนั้นไม่ยินดีต้อนรับเขานี่นา

เซวียโย่วข่าเดินตามเฉิงจื่อเวยไปโดยไม่แม้แต่จะคิด ตอนลุงเว่ยถือขนมเข้ามาก็พบว่าเด็กคนนั้นหายไปแล้ว พอถามเฉิงอวี้เขาตอบมาแค่ว่า “อยู่ห้องข้างๆ”

ถ้าตั้งใจฟังจะได้ยินว่าห้องข้างๆ กำลังพูดคุยกันจริงๆ

ลุงเว่ยปวดหัวนิดหน่อย เฉิงจื่อเวยนี่ต่อให้แสดงออกอย่างสุภาพมากแค่ไหน แต่ก็มีนิสัยชอบแก่งแย่งมาตั้งแต่เกิด ทำให้เขาชอบแย่งชิงกับเฉิงอวี้โดยไม่รู้ตัว ต่อให้เป็นเรื่องไม่สำคัญก็ยังอยากจะแย่งมา

ห้องในบ้านเก็บเสียงไม่ค่อยดีเท่าไร หลังลุงเว่ยออกไปแล้ว เฉิงอวี้ก็ได้ยินเสียงพูดคุยจากห้องข้างๆ

“สาวน้อย เธออายุเท่าไรแล้ว”

“อืม…สิบสาม” เซวียโย่วข่าก้มหน้ากินมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบพลางใช้มือถือของเขาเล่นเกมจับคู่

“โอ้ สิบสามแล้วเหรอ” เฉิงจื่อเวยเท้าคางมองประเมินเซวียโย่วข่าด้วยรอยยิ้มขี้เล่น เขาไม่เคยมาอำเภอเล็กๆ และล้าหลังแบบนี้มาก่อน ในหมู่บ้านไม่เห็นจะมีสาวสวยประจำอำเภอเลยสักคน แต่เด็กตรงหน้าคนนี้ แม้จะผมสั้น สวมเสื้อผ้าเชยๆ แต่หน้าตาสะสวยมาก ผิวขาวเหมือนเครื่องลายคราม ในที่สุดเฉิงจื่อเวยก็เจอสิ่งน่าสนใจในชีวิตที่แสนน่าเบื่อนี้

ตอนเขาก้มหน้าลง ได้มองเข้าไปในคอเสื้อหลวมๆ ของเด็กสาวอย่างไม่ตั้งใจ

ทำไมถึงแบนล่ะเนี่ย

“ยัยหนู” จู่ๆ เฉิงจื่อเวยก็เอ่ยขึ้น “ทำไมเธอไม่ใส่เสื้อชั้นใน ตั้งใจเหรอ หรือว่าแม่ไม่ซื้อให้”

กร๊อบ

มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบในปากของเซวียโย่วข่าแตกละเอียด ตอนได้ยินคำว่า ‘เสื้อชั้นใน’ เขาทึ่มทื่อไปหนึ่งวินาทีถึงค่อยได้สติกลับมา…คนคนนี้คิดว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ

เซวียโย่วข่าเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วยิ้มหวาน “พี่เคยดูรายการ ‘กฎหมายวันนี้’ ไหม”

“กฎหมายวันนี้? เคยดูนะ ทำไมเหรอ”

“ฉันว่าวันหนึ่งในอนาคตพี่ต้องได้ไปออกรายการนี้แน่ พี่รู้จักคำว่านักโทษคดีข่มขืนไหม ฉันว่าพี่ดูคล้ายอยู่นะ”

เฉิงจื่อเวยตาโตปากอ้าค้าง

“แม่สอนมาตั้งแต่เด็กว่าห้ามล่วงเกินเด็กผู้หญิง ต้องให้เกียรติเด็กผู้หญิง”

ดูเหมือนท่าทางจริงจังของเซวียโย่วข่าจะทำให้เฉิงจื่อเวยรู้สึกขำจนต้องงอตัวลงไปหัวเราะกลิ้งบนพื้น

“แถมพี่ยังเป็นบ้า สมองมีปัญหาอีก!” ถึงแม้เซวียโย่วข่าจะไม่ใช่ผู้หญิง แต่เขาก็ไม่มีทางพูดจาแบบนี้กับผู้หญิงเด็ดขาด

ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดจากด้านนอก เฉิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

“คืนนี้นายไสหัวไปซะ”

ทั้งสองคนหันไปมองเฉิงอวี้พร้อมกัน

“นายพูดถึงฉันเหรอ” เฉิงจื่อเวยหยุดหัวเราะทันที

“เดี๋ยวให้ลุงเว่ยไปส่งนายที่สนามบิน” เฉิงอวี้สีหน้าเย็นยะเยือก มุมปากยังมีรอยยิ้มเย้ยหยัน “ฉันโทรหาปู่แล้ว ตั๋วก็จองไว้เรียบร้อยแล้วด้วย ถ้านายยังอยู่ที่นี่ต่อ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะได้ออกข่าวกฎหมายก็ได้”

เฉิงจื่อเวยหน้าเปลี่ยนสีทันที “เฉิงอวี้ ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของนายนะ!”

“ฉันเป็นพ่อนายไง” พูดจบก็หันไปกวักมือเรียกเซวียโย่วข่า “เธอออกมานี่สิ”

เซวียโย่วข่าตกตะลึง ก่อนจะได้สติในวินาทีต่อมาและรีบโยนมือถือของคนโรคจิตทิ้ง ตอนเดินออกไปยังไม่ลืมคว้าถุงมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบที่ยังกินไม่หมดติดมือมาด้วย

ตอนแรกเฉิงอวี้จะพาเขาลงไปข้างล่าง แต่จู่ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เลยพาเขาเข้าไปในห้องแทน

“เมื่อกี้เขาแตะตัวเธอหรือเปล่า”

เซวียโย่วข่าส่ายหน้า

“ไม่แตะก็ดีแล้ว” เฉิงอวี้เห็นรอยแดงบนคอเขา พอมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นรอยยุงกัด

เซวียโย่วข่าพูดเสียงเบา “ลูกพี่ลูกน้องของพี่ไม่ใช่คนดีเลย”

เฉิงอวี้ยิ้มบางพลางมองมือที่แม้จะกำลังหยิบมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่สายตาก็ยังมองไปที่กองขนมที่ลุงเว่ยเอาเข้ามาเมื่อครู่ด้วยความหิว โดยสายตานั้นแทบจะติดอยู่กับซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั่นอยู่แล้ว

พอนึกถึงว่าเซวียโย่วข่าเพิ่งโดนเฉิงจื่อเวยคุกคาม ในที่สุดเฉิงอวี้ก็มีจิตสำนึกขึ้นมานิดๆ อีกทั้งยังรู้สึกผิดขึ้นมา

“กินเลย”

ตั้งแต่ผ่าตัดมา ของอร่อยที่สุดที่เซวียโย่วข่าเคยกินมีแค่เนื้อแผ่นชิ้นใหญ่กับข้าวซอยตัด เวลานี้เขาถึงกับซาบซึ้งจนน้ำตาจะไหล

เขากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพลางพูดว่า “พี่ คอมพิวเตอร์พี่สวยจังเลย”

“อืม”

เขาไม่ชินกับการทำเพลงโดยที่มีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ ดังนั้นบนหน้าจอเลยเป็นหน้าเสิร์ชเอ็นจิ้นเหมือนกับว่ากำลังหาข้อมูล แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ดูอะไรเลย

เซวียโย่วข่าถามเขา “พี่ คอมฯ พี่ต่อเน็ตได้ไหม”

“อืม”

แสงแดดร้อนแรงลอดผ่านช่องว่างระหว่างผ้าม่านเข้ามา เงาของต้นไม้ที่เป็นลายๆ ตกลงบนร่างเฉิงอวี้ แม้แต่ไฝน้ำตาบนใบหน้าก็ยังดูเหมือนกับว่าจะเปล่งแสงเรืองๆ

“ต่อเน็ตได้จริงๆ ด้วย!”

สวรรค์! นี่มันสวรรค์ชัดๆ!

เซวียโย่วข่ากะพริบตาปริบๆ มองเขา “งั้น…งั้นวันหลังฉันมาอีกได้ไหม พอดีอยากโหลดเพลงหน่อย”

พอเครื่องเล่นเอ็มพีสามของเขาโดนเกาเกาแตะเข้าวันนั้น เพลงข้างในก็ถูกลบไปจนหมด และเนื่องจากเกาเกาเป็นโรคหอบหืด เซวียโย่วข่าเลยไม่เคยกล้าดุเขา ด้วยกลัวว่าเขาจะแกล้งทำเป็นอาการกำเริบ และยิ่งกลัวว่าเขาจะอาการกำเริบขึ้นมาจริงๆ

เฉิงอวี้ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง

“ไม่กลัวว่าฉันจะเป็นคนเลวเหรอ”

เซวียโย่วข่าส่ายศีรษะ

“คนนั้น…” เขาชี้ประตูห้องข้างๆ “เขาน่ะเป็นคนเลวตัวจริง”

เฉิงอวี้คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “งั้นฉันก็เป็นคนดีสินะ”

“พี่ก็…ไม่ค่อยเหมือนคนดีเท่าไร”

เฉิงอวี้ชักสีหน้า “ฉันไปรังแกอะไรเธอหรือไง”

“เปล่า…” เซวียโย่วข่าคิดว่านั่นไม่นับว่าเป็นการรังแกหรอก “ก็แค่ไม่ค่อยยิ้ม หน้าดุนิดหน่อย” เขาเลียเศษบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบนนิ้วแล้วพูดอย่างมีไหวพริบ “แต่พี่หล่อนะ! ฮี่ๆ”

ตอนที่เฉิงอวี้หลุบตาลงยิ้ม ส่วนลึกในดวงตาของเขาดูราวกับดวงดาว

เซวียโย่วข่าที่ถูกจางจวินหย่า[4]* ติดสินบน เมื่อกินของคนอื่นแล้วต้องปากหวาน “พี่ยิ้มแล้วยิ่งหล่อเลย!”

 

[1]* วาบิซาบิ (Wabi-Sabi) คือแนวคิดทางสุนทรียศาสตร์ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยจะเน้นให้เห็นถึงคุณค่าและเสน่ห์ของความไม่สมบูรณ์แบบ รวมถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง ทำให้ผู้คนชื่นชมทุกสิ่งบนโลกในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติที่สุด

[2]** สวนภูเขา เป็นสไตล์การจัดสวนรูปแบบหนึ่งของญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยภูเขาจำลอง กลุ่มก้อนหิน ต้นไม้ ผืนน้ำ และโคมไฟหิน เป็นการจัดสวนเลียนแบบธรรมชาติ

[3]*** ชาผู่เอ๋อร์ คือชาหมักที่ทำจากใบชาที่ปลูกในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน น้ำชามีสีแดงเข้มจนเกือบดำและมีรสชาติเข้มข้น

[4]* จางจวินหย่า คือแบรนด์ขนมขบเคี้ยวของไต้หวัน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: