ทดลองอ่านเรื่อง แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : ซุ่ยหมาง (睡芒)
แปลโดย : G.N Voyager
ผลงานเรื่อง : 满天星 (Man Tian Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบูลลี่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
รอยยิ้มหายากนั้นปรากฏขึ้นแค่ชั่วครู่ ไม่นานเฉิงอวี้ก็กลับไปมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติ ก่อนจะส่งเสียงตอบรับสั้นๆ ว่า “อืม”
ในชั้นเรียนของเซวียโย่วข่าก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบเก็บตัว ไม่ค่อยสนใจใคร แม้จะเป็นเพื่อนร่วมห้องมาตั้งหลายปีแต่ก็ยังไม่เคยคุยกันสักคำ ได้ยินว่าเขาเป็นโรคออทิซึม[1]**
เซวียโย่วข่าเคี้ยวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ดวงตาสีอำพันกลอกไปมา “พี่…พี่เป็นออทิซึมเหรอ”
ถ้าเป็นปกติเฉิงอวี้คงรู้สึกรำคาญไปนานแล้ว แต่วันนี้แปลกมากที่เขาไม่รู้สึกหงุดหงิดเลยสักนิด อาจเพราะแอร์เป่าลงบนศีรษะพอดี เลยไม่เกิดอารมณ์แบบนั้น แถมยังตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยความอดทน
“ไม่ใช่”
“แล้วทำไมพี่ไม่ชอบพูดไม่ชอบยิ้มด้วยล่ะ” เซวียโย่วข่าเอียงคอมองเขาอย่างใสซื่อ “หรือเป็นโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก”
“ไม่ใช่”
เขาแค่ไม่ชอบลดตัวลงมาคลุกคลีกับคนอื่น และแทบจะไม่ค่อยได้พูดคุยกับเด็กผู้หญิงเลย
เฉิงอวี้ไม่เคยรู้สึกอยากเป็นเพื่อนกับคนรุ่นเดียวกันในโรงเรียน หากอิงตามคำพูดของหมอคือเขาเป็นตัวของตัวเองมากเกินไป
หมอบอกพ่อกับแม่ของเขาว่า ‘การเป็นตัวของตัวเองอาจจะไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่ก็ไม่สามารถบอกว่าเป็นเรื่องดีได้ เด็กวัยนี้มักจะมีช่วงที่เป็นแบบนี้ โตขึ้นหน่อยก็จะดีขึ้นเอง’
เซวียโย่วข่ามีคำถามเยอะมาก ถามไปสิบคำถาม เฉิงอวี้ก็ตอบกลับไปประมาณแปดคำถามด้วยคำคำเดียว
แต่เซวียโย่วข่าไม่รู้สึกเบื่อสักนิด ขอแค่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้กินอยู่ตลอด ต่อให้ต้องอยู่กับพี่ชายที่ไม่พูดไม่จาคนนี้ไปตลอดชีวิต เขาก็อดทนไหว
ไม่นานนักย่าก็ตะโกนมาจากข้างล่าง “หมี่หมี่ ได้เวลากลับบ้านแล้ว!”
“โอเค!” เขามองขนมบนโต๊ะอย่างเสียดาย
“อยากกินก็เอากลับไปได้หมดเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวย่าจะว่าเอา…” เซวียโย่วข่าไม่หน้าหนาขนาดนั้น เขาลุกขึ้น “ขอบคุณนะพี่”
เฉิงอวี้หยิบช็อกโกแลตแท่งหนึ่งจากโต๊ะยื่นให้เขา “เก็บไว้เถอะ ย่าเธอมองไม่ออกหรอก”
เซวียโย่วข่าเกรงใจนิดหน่อย ลังเลอยู่หนึ่งวินาทีว่าจะรับหรือไม่
“ขอบคุณนะ…”
“ไม่เป็นไร”
“หมี่หมี่! ลงมาเร็ว!” ย่าตะโกนเรียกจากข้างล่างอีกครั้ง
“ไปแล้วๆ!”
“เธอชื่อหมี่หมี่เหรอ” เฉิงอวี้พลันถามขึ้น
“ชื่อเล่นน่ะ” เซวียโย่วข่าได้รับช็อกโกแลตของคนอื่นมา แถมยังดื่มเครื่องดื่มและกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของคนอื่นไปด้วย เขาเลยเผยยิ้มกว้างจนดวงตาหยีโค้ง เสียงก็อ่อนลงเล็กน้อย “ขอบคุณนะพี่ ไปละ แล้วเจอกันนะ!”
เฉิงอวี้พูดอย่างสงบนิ่ง “แล้วเจอกัน”
ถ้าเซวียโย่วข่าใส่ใจเขามากกว่านี้อีกสักนิดก็อาจจะสังเกตเห็นว่าในดวงตาของเขาเหมือนจะมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น
เซวียโย่วข่าหอบชาเก่ากลับบ้านมาพร้อมกับย่า ก่อนที่หู่ผีจะเรียกให้เขาไปเล่นด้วย ทั้งสองคนนั่งดูอะนิเมะเรื่องใหม่ที่หู่ผีเช่ามาจากร้านซีดีเมื่อเช้าด้วยกัน
เซวียโย่วข่าแบ่งช็อกโกแลตให้เขากินอย่างใจกว้าง
“ย่านายซื้อให้เหรอ ซื้อช็อกโกแลตแพงขนาดนี้ให้นายเลยเหรอ!”
“มันแพงมากเลยเหรอ” เซวียโย่วข่าไม่รู้จักยี่ห้อภาษาอังกฤษบนช็อกโกแลตแท่งนั้น
“แน่นอนสิ ฉันเห็นในโซนของนำเข้าที่ซูเปอร์ฯ เลยนะ แท่งละยี่สิบหยวนแน่ะ!” หู่ผีไม่คิดว่าเซวียโย่วข่าจะแบ่งครึ่งให้ด้วย
พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น เซวียโย่วข่าก็กินไม่ลงเพราะเสียดาย เลยเก็บอีกครึ่งไว้อย่างเงียบๆ
“ฉันไม่ได้ซื้อนะ ฉันเพิ่งมีเพื่อนใหม่ พี่ชายคนนั้นนิสัยดีมากเลย”
“ซื้อขนมแพงขนาดนี้ให้นายเลยเหรอ” หู่ผีถามทั้งฟันดำ
“บ้านเขามีเยอะเลย…ฉันว่าเขาเหมือนจะไม่ชอบกินด้วยเลยให้ฉันมา จริงสิ หู่ผี ช่วงนี้พ่อนายจะไปชิ่งโจวไหม”
พ่อของหู่ผีเป็นคนขับรถบรรทุก
“ช่วงนี้ไม่ได้วิ่งสายนั้นแล้ว ทำไมเหรอ”
“งั้นก็ช่างเถอะ…ตอนแรกฉันอยากนั่งรถไปชิ่งโจวกับอาผี” เซวียโย่วข่าอธิบายด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “อาทิตย์หน้าๆ ก็วันเกิดแม่แล้ว ฉันอยากซื้อรองเท้าหนังแกะให้แม่”
หู่ผีไม่สนใจเลยสักนิด “ไปซื้อแถวนี้สักคู่ก็ได้แล้วนี่ จะต้องไปในเมืองทำไม”
“มันไม่เหมือนกันนี่นา” เขาอยากไปร้านนั้น
วันถัดมาเหอเสี่ยวโหยวถึงรอบหยุดงานพอดี เธอจึงตั้งใจมาดูลูกชายและคอยนั่งประกบให้ทำการบ้านทั้งวัน หลังมื้อเย็นเหอเสี่ยวโหยวต้องไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลต่อ เซวียโย่วข่าถึงสบโอกาสออกจากบ้าน เขาพกเอ็มพีสามกับหูฟัง วิ่งทะยานไปภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น เพียงสิบนาทีกว่าๆ ก็ข้ามสะพานมาถึงบ้านลุงฉู่แล้ว
ลุงเว่ยเปิดประตู ดูประหลาดใจมาก “หนู มาทำไมตอนนี้”
“หนู…หนูจะมายืมคอมพิวเตอร์ของพี่ชาย พอดีจะโหลดเพลงนิดหน่อย เมื่อวานตกลงกันไว้แล้ว”
“เข้ามานั่งก่อนสิ” ลุงเว่ยหยิบเครื่องดื่มจากตู้เย็นมาให้เขา ก่อนจะได้ยินเซวียโย่วข่าถามว่า “พี่ชายคนนั้นล่ะ”
“คนไหน”
“คนที่ชอบยิ้ม”
“กลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ”
กลับบ้านไปจริงๆ ด้วย! เซวียโย่วข่าคิด คำพูดของพี่ชายไม่ชอบยิ้มคนนั้นมีน้ำหนักขนาดนี้เลยเหรอ พอพูดว่าให้ไสหัวไปซะก็ไสหัวไปจริงๆ
ลุงเว่ยถาม “ข้างนอกยุงเยอะขนาดนี้ โดนยุงกัดไหม”
“หนูฉีดสเปรย์กันยุงมาแล้ว” เซวียโย่วข่าขยับเข้าไปสังเกตดูนกแก้วริงเน็กของบ้านพวกเขาอย่างสงสัย “มันชื่ออะไรเหรอ ทำไมตอนนี้ไม่จามแล้ว”
“ชื่อกวนกวน มันจะจามไหมขึ้นอยู่กับอารมณ์ ถ้าอารมณ์ไม่ดีมันจะไม่สนใจใครเลย”
“แล้วมันพูดอย่างอื่นได้ไหม”
“ตอนนี้ได้แค่จามอย่างเดียว อย่างอื่นสอนไม่ได้เลย”
ขณะที่เซวียโย่วข่าถามเรื่องนกแก้วไม่หยุด เฉิงอวี้ที่ยืนอยู่กลางบันไดที่ไม่ได้เปิดไฟก็ตะโกนเรียกเขา
“เฮ้”
“หา?” เซวียโย่วข่าเงยหน้ามอง เห็นเพียงแค่เค้าโครงร่างสูงเพรียว ตัวของเฉิงอวี้ถูกความมืดปกคลุม
“ไม่ใช่จะมาโหลดเพลงเหรอ” เสียงของเฉิงอวี้เพิ่งเริ่มเปลี่ยน เวลาพูดเสียงจะแหบมาก “ขึ้นมาข้างบนสิ”
พอพูดจบเฉิงอวี้ก็หันหลังเดินขึ้นบันไดไป
เซวียโย่วข่ารับคำว่า “อ๋อ” แล้วเดินตามขึ้นไป
เฉิงอวี้เปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะยื่นมือมา “ส่งเอ็มพีสามมา”
เซวียโย่วข่าหยิบเอ็มพีสามกับสายยูเอสบีของตัวเองส่งให้ เฉิงอวี้เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์พลางเอ่ยถาม “จะโหลดเพลงอะไรบ้าง”
“เพลงธีมของสแลมดังก์ เพลงธีมกับเพลงประกอบของวันพีซ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน แล้วก็…”
เขาร่ายชื่ออะนิเมะต่อเนื่องเป็นชุดๆ
เฉิงอวี้เป็นเด็กหนุ่มชาวร็อก ไม่ค่อยปลื้มเพลงแนวนี้เท่าไร แต่ก็ยังช่วยหาเพลงพวกนั้นให้ทีละเพลงๆ เซวียโย่วข่านั่งดื่มน้ำอยู่ข้างๆ ทั้งสองไม่พูดอะไรกัน ผ่านไปสักพักเมื่อเฉิงอวี้เห็นว่าความเร็วในการดาวน์โหลดช้ามาก สิบนาทีแล้วยังไม่ได้สักเพลงเลยถามเขา
“สายยูเอสบีของเธอมีปัญหาหรือเปล่า”
“ไม่น่าจะมีนะ ตอนใช้คราวก่อนก็ยังปกติดี”
เฉิงอวี้ถามต่อ “เอ็มพีสามเคยตกไหม”
“ไม่เคยทำตกนะ…” เขาลูบเอ็มพีสามที่ยังมีฟิล์มพลาสติกหุ้มอยู่พลางพึมพำ “เกาเกาอาจจะเคยทำตก แต่ฉันดูแลเอ็มพีสามดีตลอดนะ”
เฉิงอวี้ไม่พูดอะไรอีก เม้าส์ของเขาเลื่อนดูรายการดาวน์โหลดที่มีอย่างน้อยหนึ่งร้อยเพลง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเพลงที่เซวียโย่วข่าอยากได้
เสียงเอฟเฟ็กต์ดังออกมาจากลำโพงคอมพิวเตอร์ บ่งบอกว่าดาวน์โหลดเสร็จแล้วหนึ่งเพลง
“โหลดเพลงละสิบห้านาที” เฉิงอวี้ชี้ไปยังรายการที่กำลังรอดาวน์โหลด “คงต้องรอหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไร” เซวียโย่วข่าฟุบอยู่บนโต๊ะ ท่าทางว่านอนสอนง่าย “พี่…พี่เล่นคอมฯ ได้เลยนะ ฉันรออยู่ตรงนี้ก็ได้ ไม่ส่งเสียงรบกวนพี่แน่นอน”
“เธอออกมาดึกขนาดนี้ คนที่บ้านไม่เป็นห่วงเหรอ”
“ฉันบอกย่าว่าจะไปดูอะนิเมะบ้านหู่ผีน่ะ”
เฉิงอวี้ไม่รู้ว่าหู่ผีคือใครแต่ก็ไม่ได้ถาม จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นไปหยิบขนมหลายห่อมาให้เซวียโย่วข่า
“ขอบคุณนะพี่!” เซวียโย่วข่ายิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ
“เธอเล่นคอมฯ ได้เลย” เฉิงอวี้รู้สึกว่าอีกฝ่ายคงอยากเล่นคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว เลยเป็นฝ่ายสละที่นั่งให้เอง ก่อนที่เขาจะหยิบหนังสือไปนั่งบนโซฟาข้างหน้าต่าง
“ถ้าพี่ให้ฉันเล่นคอมฯ แล้วพี่จะเล่นอะไรล่ะ”
“หนังสือ” เฉิงอวี้เหยียดแขนเหยียดขา นั่งอ่านชีวประวัติของบ็อบ ดีแลน[2]* ใต้แสงไฟสลัว
ลุงเว่ยเดินขึ้นมาดูสถานการณ์ ก่อนจะเห็นว่าเฉิงอวี้กำลังนั่งอ่านหนังสือ ส่วนน้องสาวที่หน้าตาคล้ายเด็กผู้ชายกำลังเล่นคอมพิวเตอร์ของเฉิงอวี้พลางกินขนมไปด้วย
ลุงเว่ยรู้สึกแปลกใจมาก เขาคอยสังเกตเงียบๆ อยู่หลายวินาทีแล้วไปเล่าให้ตาของเฉิงอวี้ฟัง “เฉิงอวี้หยิบขนมให้เธอกิน แถมยังให้เธอเล่นคอมฯ ด้วยนะครับ”
“จริงเหรอ” ตาฉู่เองก็รู้สึกเหลือเชื่อ
เฉิงอวี้เป็นลูกคนเดียว แต่ในตระกูลยังมีลูกพี่ลูกน้องทางพ่อและทางแม่อีกหลายคน ทว่าพอพวกพี่น้องที่อายุไล่เลี่ยกันเข้าใกล้เมื่อไร เขาก็มักจะชักสีหน้าเสมอ หลายปีก่อนตอนงานรวมญาติครั้งหนึ่ง เฉิงจื่อเวยวิ่งเข้าไปในห้องซ้อมของเขาแล้วไปแตะกลองกับไม้กลองเข้า เฉิงอวี้ก็บอกให้เขาไสหัวไปด้วยสีหน้าเย็นชา
ตอนนั้นเฉิงจื่อเวยยังเด็ก ไม่เหมือนตอนนี้ พอได้ยินคำว่า ‘ไสหัวไป’ ก็ของขึ้น กระโจนเข้าไปต่อยลูกพี่ลูกน้องที่ว่ากันว่าป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่ไม่คิดเลยว่าจะโดนเฉิงอวี้กดลงกับกลองสแนร์[3]** แล้วชกเข้าใส่คอแบบไม่ยั้งจนเกือบตายอยู่บนกลอง
แต่การที่เฉิงอวี้มีนิสัยแบบนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ครอบครัวต่างหากที่ทะนุถนอมเขามากเกินไป ทะนุถนอมเหมือนเขาเป็นเครื่องลายครามแสนเปราะบาง จัดแจงทุกอย่างให้หมด ทั้งยังไม่ยอมให้เขาเข้าสังคมกับเด็กวัยเดียวกันเป็นเวลานาน จนเฉิงอวี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะคบเพื่อนอย่างไร โดยเพื่อนกลุ่มแรกที่เขาคบหาก็คือเด็กหนุ่มในวงแรดพิโรธโกรธาที่อายุมากกว่าเขากลุ่มนั้น
“พวกเขาเข้ากันได้ดีทีเดียว” ลุงเว่ยพูด “เด็กผู้หญิงคนนั้นทั้งรู้ความทั้งสวย ผมเองก็ยังชอบเธอเลย”
ฉู่จิ้นว่า “การที่เฉิงอวี้ชอบเล่นกับเธอถือเป็นเรื่องดีนะ”
ที่ชั้นบนของบ้าน
ขณะที่เฉิงอวี้อ่านหนังสือ เขาก็ได้แบ่งความสนใจไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วย ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นเกมจับคู่ในเว็บเพจ 4399
แม้เซวียโย่วข่าจะกินขนมไปด้วย แต่ก็ระวังไม่ให้เศษขนมตกใส่คอมพิวเตอร์ของคนอื่น มือข้างที่ใช้เม้าส์นั้นไม่แตะขนมเลย พอเล่นเกมไปได้สักพักก็เปิดรายการดาวน์โหลดขึ้นมาเพื่อดูความคืบหน้า ก่อนจะพบว่าแม้เวลาจะผ่านไปชั่วโมงกว่าแต่ก็ยังโหลดได้เพียงแค่ห้าเพลง
ตอนสามทุ่มลุงเว่ยถึงขึ้นมา “หนู จะโทรหาผู้ปกครองหน่อยไหม”
เซวียโย่วข่าเพิ่งสังเกตดูเวลา เขาควรจะกลับบ้านได้แล้ว
เฉิงอวี้วางหนังสือแล้วเดินมาดูความคืบหน้าของการดาวน์โหลด เซวียโย่วข่าลูบเอ็มพีสามที่เริ่มร้อน “โหลดมาได้ยี่สิบเพลง ยังไม่เสร็จเลย”
เฉิงอวี้ว่า “งั้นวางไว้ที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยมาเอา”
ลุงเว่ยถาม “พรุ่งนี้จะเข้าเมืองไม่ใช่เหรอ พวกเราจะออกกี่โมงกันนะ”
เซวียโย่วข่าพูดอย่างสุภาพมากๆ ว่า “ลุง พรุ่งนี้พวกลุงจะออกไปข้างนอกใช่ไหม งั้นเดี๋ยวค่อยมารับวันมะรืน รอให้พวกลุงว่างก่อนแล้วค่อยมาอีกทีก็ได้”
“พรุ่งนี้ไม่ได้ออกไปไหน” เฉิงอวี้พูดตามตรง “บ่ายสองครึ่งมารับได้เลย”
ลุงเว่ยมองเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบไฟฉายออกมา โดยบอกว่าจะไปส่งเซวียโย่วข่ากลับบ้าน
“ไปกันเถอะ ได้เดินเล่นพอดี”
ตาเป็นห่วงนิดๆ ว่าลุงเว่ยจะกลับบ้านไม่ถูกเพราะไม่ชินทาง จึงได้เรียกเฉิงอวี้ให้ไปเป็นเพื่อนลุงเว่ยด้วย
ตอนกลางคืนในหมู่บ้านชนบทไม่เหมือนในเมือง ไม่มีไฟถนน มีแค่พระจันทร์เสี้ยวอยู่กลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มกับดวงดาวไม่กี่ดวง แสงจันทร์อ่อนจางไม่สามารถส่องทางข้างหน้าให้สว่างได้ วันนั้นลุงเว่ยเคยมาทางนี้ครั้งหนึ่ง ถึงทางลัดจะแคบ แต่ก็พอจะจำทางได้ เขาเปิดไฟฉายเดินอยู่ข้างหน้าและคอยถามเซวียโย่วข่าเป็นระยะว่า “เดินมาทางนี้ใช่ไหม”
หากจะเดินข้ามไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำต้องผ่านสะพานเล็กๆ ซึ่งถ้าใช้ความเร็วระดับเดินเล่นก็จะกินเวลาประมาณยี่สิบนาที
เพิ่งจะเดินข้ามแม่น้ำไปแสงจากไฟฉายในมือลุงเว่ยก็สั่นไหว แล้วจู่ๆ แสงสว่างก็สลัวลง แสงจันทร์บางเบาลอดผ่านต้นไม้ลงมาราวกับผ้าโปร่ง มันกลายเป็นแสงสว่างอ่อนๆ จนแทบมองไม่เห็นในเวลากลางดึกแบบนี้
“เอ๊ะ? เสียแล้วเหรอ” ลุงเว่ยเคาะไฟฉายสองสามที “ไฟฉายกระบอกนี้ไม่ค่อยได้ใช้ สงสัยถ่านจะหมดแล้ว”
พอเคาะไปสองสามทีก็สว่างขึ้นหน่อย แต่พอเดินต่อไปอีกสองนาทีไฟฉายก็ดับสนิท คราวนี้ไม่ว่าจะเคาะอย่างไรมันก็ไม่ติด
โชคดีที่ตามทางยังมีบ้านคนอยู่บ้าง ทำให้พอจะมองเห็นทางอยู่ พวกเขาได้แต่เดินไปภายใต้ความมืดมิด โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรเลยสักคน ยิ่งเดินไปเซวียโย่วข่าก็ยิ่งกลัวขึ้นทุกที
เขาพูดเสียงเบา “ตรงนั้นมีหลุมฝังศพ…”
ตอนกลางวันเซวียโย่วข่าเดินผ่านตรงนี้โดยไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด แต่พอตกกลางคืนซึ่งมีแต่ความมืดมิด ต้นสนที่ปลูกอยู่ตรงหลุมศพก็ไหวไปตามลม เสียงซ่าๆ ประกอบกับเสียงน้ำไหลของแม่น้ำชวนให้รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ประกอบกับช่วงเทศกาลจงหยวน[4]* เมื่อหลายปีก่อน เขากับหู่ผีเคยมาเล่นพิสูจน์ความกล้าแถวนี้ สุดท้ายก็บังเอิญกลัวจนช็อก ตอนนั้นหู่ผีวิ่งหนีไป ปล่อยให้เขานอนขดตัวอยู่ในตะกร้าสะพายหลังที่วางคว่ำอยู่คนเดียวตลอดทั้งคืน ดังนั้นเวลาผ่านที่แบบนี้ในตอนกลางคืนเขาถึงได้วิ่งทะยานไปทั้งที่ตัวสั่นเทา
เฉิงอวี้ฟังไม่ชัด “อะไรนะ”
“มีหลุม…”
“ขี้?” เฉิงอวี้เอามือปิดจมูก
“หลุมฝังศพ!!”
คราวนี้เฉิงอวี้เข้าใจแล้ว “ไม่ต้องกลัวหรอก”
เซวียโย่วข่าพยักหน้า แต่ก็อดที่จะคว้าชายเสื้อเขาไว้ไม่ได้
เฉิงอวี้รู้สึกถึงแรงดึงตรงชายเสื้อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ปัดมือเซวียโย่วข่าออก เพียงแค่พูดกับอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยระดับเสียงที่ลุงเว่ยไม่ได้ยินว่า “เซวียหมี่หมี่ จับฉันไว้แน่นๆ นะ”
[1]** โรคออทิซึม เป็นโรคที่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง ส่งผลให้เกิดความบกพร่องในด้านพัฒนาการทางภาษา การสื่อสาร และการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน โดยผู้ป่วยจะมีการแสดงพฤติกรรมที่มีแบบแผนและจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ
[2]* บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกันผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในวงการดนตรี โดยได้รับฉายาว่าราชาแห่งเพลงโฟล์ก
[3]** กลองสแนร์ เป็นกลองที่มีลักษณะเฉพาะคือมีสายสแนร์ที่ทำจากไนล่อนหรือเส้นลวดขึงอยู่ด้านล่างของหนังกลอง เมื่อตีไปแล้วเส้นที่ขึงไว้จะกระทบกับหนังด้านล่างเกิดเป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
[4]* เทศกาลจงหยวน หรือวันสารทจีน ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดตามปฏิทินจีน ถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นวันที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้
บทที่ 8
ใต้ม่านราตรี ดวงตาของเฉิงอวี้สว่างไสวราวกับดวงดาว
ผ่านไปครู่หนึ่งเซวียโย่วข่าก็กลับถึงบ้าน จากนั้นก็ไปหาไฟฉายสองกระบอกออกมาให้พวกเขา
“ลองแล้ว ใช้ได้ทั้งสองกระบอกเลย”
พอกลับมาถึงบ้านเฉิงอวี้ก็เอ่ยว่า “ลุงเว่ย พรุ่งนี้เช้าตอนไปตลาดช่วยซื้อมัลเบอรี่กลับมาสักสองจินหน่อยนะครับ”
ลุงเว่ยว่า “ถ้าพรุ่งนี้ไม่ไปชิ่งโจวแล้ว งั้นไปวันมะรืนไหม”
“ไปวันหยุดแล้วกันครับ” ตอนนี้เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าชื่อจริงของน้องสาวคนนั้นน่าจะเป็นเซวียอะไรสักอย่างที่ลงท้ายด้วยคำว่าฉิง เขาจำไม่ค่อยได้
เซวียโย่วข่าชอบออกไปเล่นข้างนอก ปู่กับย่าก็ไม่ว่าอะไร เพียงแค่คอยกำชับเขาว่า “อย่าลืมทำการบ้านนะ แม่ของหลานบอกไว้ว่าจะมาตรวจการบ้าน”
“รู้แล้วน่า! ทำไว้แล้วด้วย!” ในใจเขายังคิดถึงเอ็มพีสามของตัวเองอยู่จึงรีบใส่กางเกงแล้ววิ่งออกจากบ้าน แต่พอวิ่งพ้นประตูก็นึกอะไรขึ้นได้ เลยรีบวกกลับมาหยิบลิ้นจี่ใส่ถุงจนเต็มแล้ววิ่งออกไปอีกครั้ง
เอาแต่กินของคนอื่นมันก็ไม่ดี ถึงเขาจะยังเด็ก แต่ก็รู้จักหลักการเรื่องตอบแทนบุญคุณดี
เขาวิ่งเร็วมาก พอมาถึงบ้านเฉิงอวี้ก็เล่นเอาหอบ หน้าแดงแจ๋ ดวงตาเป็นประกายใสกระจ่าง เซวียโย่วข่ายื่นลิ้นจี่ให้ลุงเว่ยพร้อมกับบอกว่า “ลุง นี่ลิ้นจี่ที่บ้านหนูปลูก ไม่ได้ฉีดยาเลย อร่อยมาก”
ลุงเว่ยคิดว่าเด็กคนนี้ช่างรู้จักกาลเทศะ เลยยิ้มอย่างเอ็นดู “ลิ้นจี่ที่เพิ่งซื้อมายังกินไม่หมดเลย หนูเอามาซะเยอะ กินไม่ไหวหรอก คราวหลังไม่ต้องก็ได้นะ”
“ไม่ได้ๆ หนูกินขนมของบ้านลุงไปตั้งหลายห่อ!”
เดิมทีลุงเว่ยจะหยิบเครื่องดื่มมาให้เขา แต่พอคิดดูก็เปลี่ยนใจไปหยิบนมมาแทน
เด็กดื่มน้ำหวานเยอะเกินไปก็ไม่ดี ต้องดื่มอะไรที่บำรุงร่างกายบ้าง
เซวียโย่วข่าทำหน้าบูดบึ้งทันที เขาไม่ชอบดื่มนม เพราะเหอเสี่ยวโหยวเคยสั่งนมให้เขา โดยทุกเช้าจะต้องดื่มก่อนเข้าเรียน เขาดื่มจนจะอ้วกอยู่แล้ว
พอถือกล่องนมขึ้นไปชั้นบน สิ่งแรกที่เซวียโย่วข่าทำคือถามหาเอ็มพีสาม
“ยังโหลดไม่เสร็จเลย” วันนี้เฉิงอวี้ยังไม่ได้ออกไปข้างนอกเลยยังสวมชุดนอนอยู่ “เมื่อคืนไม่ได้ปิดคอมฯ ตลอดทั้งคืนเพื่อโหลดเพลงให้เธอ แต่พอดีสายมันพังฉันเพิ่งหาสายมาเปลี่ยนให้ได้”
“งั้นต้องโหลดอีกหลายชั่วโมงเลยใช่ไหม”
“เปลี่ยนสายแล้วเร็วกว่าหน่อย” เฉิงอวี้มองความเร็วแล้วตอบ “แต่ก็ยังช้าอยู่ดี ฉันว่าน่าจะเป็นที่เครื่องเล่นของเธอมีปัญหาเรื่องการอ่านข้อมูล ต้องเปลี่ยนได้แล้วล่ะ”
“ไม่เปลี่ยน!”
เอ็มพีสามของเขาซื้อมาจากหน้าโรงเรียนในราคาเจ็ดสิบหยวน ถึงมันจะถูก แต่เขาก็ใช้มาเป็นปีแล้ว และเซวียโย่วข่ารักมันมาก
เฉิงอวี้ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ดันจานใส่มัลเบอรี่มาให้เขา
เซวียโย่วข่าเห็นมัลเบอรี่ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องในสวนวันนั้น เพียงแค่ถามว่า “พี่ คอมฯ พี่เล่นเกม QQ Speed[1]* ได้ไหม”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยเล่น”
เซวียโย่วข่าเคยเล่นแค่ในอินเตอร์เน็ตคาเฟ่กับห้องคอมพิวเตอร์โรงเรียน ถ้าถามว่าเขาติดเกมนี้มากไหม ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เขาแค่รู้สึกว่ามันแปลกใหม่ เพราะไม่ค่อยได้เล่นเกมคอมฯ บางทีแค่ QQ Pet[2]* ก็เล่นได้ทั้งบ่ายแล้ว
เฉิงอวี้ถามว่าเขาฟังแต่เพลงอะนิเมะอย่างเดียวหรือเปล่า เซวียโย่วข่าก็ตอบว่า “มีฟังอย่างอื่นบ้าง”
“ร็อกล่ะ ฟังไหม”
“ร็อกแบบไหนเหรอ”
“ในเพลย์ลิสต์ของเธอก็มีนะ” เฉิงอวี้เปิดเพลงธีมอะนิเมะที่ร้องโดยวง Flow[3]** ในเพลย์ลิสต์ของเขา
วิชวลร็อก[4]* แบบนี้ต่างจากบริตป็อป[5]** ที่เฉิงอวี้เล่นอยู่มาก แต่เซวียโย่วข่าไม่เข้าใจหรอกว่าร็อกมีกี่แบบ รู้แค่ว่าเป็นเพลงธีมอะนิเมะ ฟังแล้วเลือดลมสูบฉีดพลุ่งพล่าน เป็นภาษาญี่ปุ่นเขาก็ชอบแล้ว
เฉิงอวี้เลยค้นหาเพลงของ Oasis[6]* ให้เขาฟัง “แนวนี้ล่ะ”
“เพลงภาษาอังกฤษเหรอ” เซวียโย่วข่ากินมัลเบอรี่พลางพยักหน้า “เพราะดีนะ นี่ก็เพลงร็อกเหมือนกันเหรอ”
“อืม” เฉิงอวี้ยกคอมพิวเตอร์ให้เขาเล่น “เธอดูอะนิเมะไปเถอะ”
เซวียโย่วข่าแนะนำอะนิเมะที่ตัวเองชอบให้เขาอย่างกระตือรือร้น แต่น่าเสียดายที่เฉิงอวี้ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร เมื่อเห็นว่าเฉิงอวี้ไม่ชอบ สุดท้ายเขาเลยดูคนเดียว
เวลาบ่ายสี่โมงครึ่งเป็นช่วงที่แดดแรงที่สุด เสียงจักจั่นกลางฤดูร้อนดังเซ็งแซ่ เซวียโย่วข่าฟุบตัวดูอะนิเมะ คางเกยอยู่บนโต๊ะ แสงแดดสีทองส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เส้นผมของเขาดูนุ่มฟูจนชวนให้ยื่นมือเข้าไปลูบ
เฉิงอวี้พลันพบว่าเซวียโย่วข่าเหมือนจะหลับไปแล้ว เขามองเซวียโย่วข่าที่ฟุบหน้าลงกับแขนทั้งสองข้างและนอนหลับไป ผ่านไปสักพักก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับจริงๆ
แดดร้อนขนาดนี้ยังหลับได้อีก
แสงแดดตอนบ่ายสี่โมงครึ่งทำให้ขนตาทุกเส้นของเขาดูเหมือนจะลุกเป็นไฟ เฉิงอวี้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปใกล้ก็เห็นขนอ่อนน่ารักเส้นเล็กๆ บนใบหน้าของเขาได้ ลมจากเครื่องปรับอากาศพัดผมสีดำของเขาขึ้นเล็กน้อย เส้นผมบางส่วนที่ไม่ยอมเชื่อฟังตกลงมาปรกหน้าผาก เฉิงอวี้ไม่ค่อยได้สังเกตคนอื่นแบบนี้สักเท่าไร
เขาจำได้ว่าวันนั้นเคยได้กลิ่นหอมแบบเด็กทารกจากตัวเด็กคนนี้ กลิ่นนั้นพิเศษมากจนเขาจดจำมาตลอด เฉิงอวี้โน้มตัวลงไปใกล้เล็กน้อยแล้วก้มหน้าลง แต่กลับพบว่ากลิ่นหอมแบบนั้นหายไปแล้ว ตอนนี้บนเส้นผมของอีกฝ่ายมีกลิ่นแอปเปิ้ลอ่อนๆ ลอยออกมาแทน
เฉิงอวี้แค่ดมนิดหน่อยแล้วถอยห่างออกมา เพราะการไปดมกลิ่นจากตัวคนอื่นแบบนี้มันดูโรคจิตเกินไป
เขาดึงม่านลงครึ่งหนึ่งแล้วปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ จากนั้นก็ปิดอะนิเมะที่ยังเล่นอยู่
เขาเลื่อนคอมพิวเตอร์ออก ก่อนจะมองดูรายการดาวน์โหลด ถึงตอนนี้เพลงทั้งหมดได้โหลดเสร็จแล้ว
เฉิงอวี้ครุ่นคิดสักพักแล้วเปิดแฟลชไดรฟ์ของตัวเอง ค้นหาไฟล์เอ็มพีสี่ชื่อ ‘Bright Star’ จากในนั้น
นี่คือเพลงแรกที่เขาแต่งเอง ทำนองกับเสียงร้องหลักเป็นหน้าที่ของสมาชิกวงคนอื่น นักร้องนำของวงอายุแค่สิบหกสิบเจ็ด เป็นเด็กมัธยมปลาย พอได้เห็นเนื้อเพลงที่เขาเขียนก็ถึงกับตกตะลึงแล้วอุทานว่าอัจฉริยะชัดๆ
แต่เนื้อเพลงนี้เขาแค่นำบทกวีของคีตส์[7]* มาดัดแปลงเท่านั้นเอง
จนถึงตอนนี้หลังจากอัดเดโมแล้วเขาก็ยังไม่เคยให้คนอื่นฟังเลย ในเมื่อเซวียหมี่หมี่ฟังเพลงของ Oasis ได้ก็น่าจะฟังเพลงของแรดพิโรธโกรธาได้เหมือนกัน เผลอๆ นี่อาจจะเปลี่ยนรสนิยมทางดนตรีของอีกฝ่ายได้
เฉิงอวี้ค่อยๆ ขยับเม้าส์อย่างระมัดระวัง ลากเพลง Bright Star ลงไปในเอ็มพีสามของอีกฝ่าย แต่มันกลับขึ้นว่าหน่วยความจำไม่พอ เนื่องจากเป็นไฟล์ที่อัดเอง ขนาดเลยค่อนข้างใหญ่เป็นพิเศษ
ดังนั้นเฉิงอวี้จึงลบเพลงอะนิเมะออกสองสามเพลง เพื่อให้มีพื้นที่พอสำหรับใส่เพลง Bright Star
เขาดึงสายยูเอสบีออก เครื่องเอ็มพีสามแสดงสถานะว่าแบตเตอรี่เต็ม
เฉิงอวี้ลงไปข้างล่าง ส่วนเซวียโย่วข่าก็นอนฟุบต่ออีกสักพัก การหลับครั้งนี้ไม่สบายเอาเสียเลย รู้สึกเหมือนตอนพักกลางวันในโรงเรียน แถมโดนผีอำไปทีหนึ่ง ตอนตื่นมาเหงื่อชุ่มศีรษะ พอลุกนั่งบนเก้าอี้ก็นั่งเอนหลังพิงพนัก
“ฝันร้ายเหรอ” เฉิงอวี้ยืนพิงประตู
“อือ…” เขาขยี้ตา
“ฝันว่าอะไร”
“ฝันถึงทะเล” เขาฝันว่าตัวเองกับพ่อกำลังล่องเรือในทะเลเป่ยไห่ พอตื่นขึ้นมาบนเรือกลับเหลือแค่เขาคนเดียว เป็นฝันซ้อนฝัน
เฉิงอวี้เลิกคิ้วพร้อมกับโยนเอ็มพีสามให้เขา “โหลดเสร็จแล้ว”
เซวียโย่วข่ารีบเปิดดู เมื่อเห็นว่ามีเพลงอยู่เก้าสิบกว่าเพลง ใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม รีบกล่าวขอบคุณเฉิงอวี้
เฉิงอวี้ไม่พูดอะไร แค่ยิ้มมุมปากบางๆ
“จริงสิพี่ ซื้อตั๋วรถในคอมฯ พี่ได้ไหม”
“ไม่รู้สิ” เฉิงอวี้เปิดคอมพิวเตอร์ “จะไปไหนเหรอ”
“ไปชิ่งโจว” เขาขยี้ตา “อีกครึ่งเดือนจะเป็นวันเกิดแม่ เลยอยากซื้อของขวัญให้แม่”
“จะไปคนเดียวเหรอ” เฉิงอวี้หันมามองเขา
บนหน้าเด็กน้อยยังมีเหงื่อและยังมีรอยแดงจากที่เพิ่งตื่น ท่าทางงัวเงียนั้นดูเป็นเด็กดี
“ต้องไปคนเดียวอยู่แล้ว หรืออาจจะลองถามหู่ผีดูก็ได้ เขาอาจจะยอมไปด้วย”
“หู่ผี?”
“เพื่อนซี้ของฉันเอง”
คำว่า ‘เพื่อนซี้’ ทำให้เฉิงอวี้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “สุดสัปดาห์พวกเราจะไปดูนิทรรศการที่ชิ่งโจว เธอจะไปด้วยก็ได้”
เซวียโย่วข่ากะพริบตาปริบๆ
เฉิงอวี้พูดว่าจะไปชิ่งโจวช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งนั่นก็แก้ปัญหาของเขาได้พอดี
ก่อนนอนคืนนั้นเซวียโย่วข่าเปิดเอ็มพีสามฟังเพลงในห้องที่ปิดไฟแล้ว ลมเย็นพัดผ่านผ้าม่านเบาๆ เขานอนเกาตุ่มยุงกัดที่ขาอยู่ในผ้าห่ม และเนื่องจากไม่มีสเปรย์กันยุง เขาเลยเอานิ้วแตะน้ำลายแล้วทาแทน
ตอนพลิกตัวก็เผลอไปโดนเอ็มพีสามเพลงเลยเปลี่ยนไป เขาได้ยินอินโทรยาวๆ
มันไม่ใช่เพลงอะนิเมะที่คุ้นเคย แต่เป็นเพลงภาษาอังกฤษที่ออกเสียงไม่ค่อยชัด
เซวียโย่วข่าฟังอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆ เลยหยิบขึ้นมาดู เห็นตัวอักษรเลื่อนผ่านว่า ‘Bright Star วงแรดพิโรธโกรธา’
แรดพิโรธโกรธา?
นี่มัน…เพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟ[8]* อะไรเนี่ย
ไม่เห็นจะเพราะเลย หายง่วงแล้วด้วย ลบทิ้งเลยดีกว่า
[1]* QQ Speed คือเกมแข่งรถยอดนิยมบนมือถือของประเทศจีน
[2]* QQ Pet คือเกมเลี้ยงสัตว์เสมือนจริง
[3]** Flow เป็นวงดนตรีร็อกจากประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นในปี 1998
[4]* วิชวลร็อก (Visual Rock) คือวัฒนธรรมทางดนตรีรูปแบบหนึ่งของญี่ปุ่นที่มีพื้นฐานมาจากดนตรีร็อก โดยจะใช้การแต่งกายและการแต่งหน้าที่ฉูดฉาด ดูแปลกตามาถ่ายทอดอารมณ์ทางดนตรี
[5]** บริตป็อป (Britpop) คือแนวเพลงและกระแสทางดนตรีร็อกที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษช่วงปี 1990 โดยแนวเพลงแนวนี้พัฒนามาเพื่อเน้นต่อต้านแนวเพลงกรันจ์ (Grunge) จากประเทศสหรัฐอเมริกา
[6]* Oasis เป็นวงดนตรีร็อกจากประเทศอังกฤษ เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 1991 โดยแนวเพลงหลักของวงคือแนวบริตป็อป
[7]* คีตส์ หรือจอห์น คีตส์ (John Keats) เป็นกวีชาวอังกฤษ ถือเป็นกวีคนสำคัญของงานเขียนแนวจินตนิยม
[8]* อัลเทอร์เนทีฟ (Alternative) คือแนวเพลงร็อกทางเลือกที่แตกต่างจากแนวเพลงร็อกกระแสหลักในช่วงปี 1980-1990
บทที่ 9
เซวียโย่วข่าเพิ่งกินข้าวกลางวันเสร็จก็ออกจากบ้าน แถมยังสะพายเป้ไปด้วย ในนั้นมีการบ้านที่เหอเสี่ยวโหยวมอบหมายให้เขา
ช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นมัธยมต้น เดิมทีไม่มีการบ้านช่วงฤดูร้อน แต่เหอเสี่ยวโหยวค่อนข้างเข้มงวดกับเขาจึงซื้อแบบฝึกหัดของชั้นมัธยมต้นปีหนึ่งมาให้ พร้อมกับฉีกเฉลยออกเพื่อให้เขาทำเองด้วย
เขาทำบ้างไม่ทำบ้าง เขียนไปได้แค่นิดเดียว พอใกล้จะถึงเวลาส่งเลยได้แต่ต้องรีบทำให้เสร็จในนาทีสุดท้ายและนำติดตัวออกจากบ้านมาด้วย
เมื่อขึ้นรถเซวียโย่วข่ากอดเป้ไว้ในอ้อมแขน เฉิงอวี้นั่งลงข้างๆ ส่วนฉู่จิ้นก็นั่งตรงเบาะข้างคนขับแล้วถามเขาว่า “จะออกไปเที่ยวยังพกการบ้านไปด้วยเหรอ”
“แม่หนูให้ทำการบ้านฮะ ตอนเย็นกลับบ้านไปแม่จะตรวจ”
ฉู่จิ้นว่า “เด็กดีจริงๆ เป็นการบ้านของชั้นไหนล่ะ มีข้อไหนที่ไม่เข้าใจไหม ถ้ามีก็ให้พี่ช่วยสอนนะ”
เซวียโย่วข่าตอบว่าไม่มี
เฉิงอวี้มองเขาแวบหนึ่ง
ฉู่จิ้นยังคงหัวเราะฮ่าๆ “พี่เขาบอกลุงว่าเธอไปชิ่งโจวครั้งนี้จะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้แม่เหรอ”
เซวียโย่วข่าพยักหน้า
“กตัญญูจริงๆ เลยนะ”
“ลุงฉู่ พวกลุงไปดูนิทรรศการที่ชิ่งโจวเหรอ”
“เป็นนิทรรศการศิลปะเชิงพื้นที่น่ะ”
เซวียโย่วข่าไม่สนใจนิทรรศการศิลปะเท่าไร พอได้ยินก็พูดว่า “ลุงฉู่ พวกลุงจะดูนิทรรศการกันกี่โมง เดี๋ยวหนูนั่งรถเมล์ไปซื้อของ ซื้อเสร็จแล้วค่อยกลับมาหาพวกลุงก็ได้ จะได้ไม่รบกวนพวกลุงด้วย”
ฉู่จิ้นกลับโบกมือ “ซื้อของแค่นิดเดียวจะใช้เวลาขนาดไหนกัน ไปซื้อด้วยกันก่อน แล้วค่อยไปดูนิทรรศการก็ได้”
เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์ พวกเขาพาเธอมาถึงชิ่งโจวจะปล่อยให้เดินเตร็ดเตร่คนเดียวได้อย่างไร
นี่เป็นครั้งแรกที่เซวียโย่วข่าเดินทางไกลกับคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน จากอำเภอซานหลิงไปถึงชิ่งโจวใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางเขานั่งฟังเพลงไปด้วยทำการบ้านไปด้วย หางตาเหลือบเห็นเฉิงอวี้กำลังเล่นตะเกียบอยู่
เฉิงอวี้เล่นตะเกียบเหมือนกับเป็นไม้กลอง เขาได้ยินเสียงเพลงหนักๆ เล็ดลอดออกมาจากหูฟัง ไม่ต้องฟังให้ดีก็รู้ว่าเป็นเพลงประกอบอะนิเมะที่ทำให้เลือดลมพลุ่งพล่าน
ตอนซื้อรองเท้า พอเห็นเซวียโย่วข่าหยิบเหรียญกับธนบัตรย่อยออกมาจากกระเป๋าเป้เป็นกอง พนักงานร้านรองเท้าก็มีสีหน้าแข็งค้าง
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจทันทีว่านี่จะต้องเป็นเงินที่เด็กคนนี้เก็บสะสมมาเป็นเวลานานมากแน่ๆ
พนักงานคิดเงินคนหนึ่งนับเงิน อีกคนก็ห่อรองเท้า เซวียโย่วข่าหันไปถามพนักงานหญิงคนหนึ่งที่ดูจะอายุไล่เลี่ยกับแม่เขา
“พี่ ใช้ริบบิ้นกับกระดาษห่อของขวัญห่อให้สวยๆ หน่อยได้ไหม”
“หนูจ๊ะ ขอโทษนะ ที่ร้านมีแค่ริบบิ้น แต่ไม่มีกระดาษห่อของขวัญ แต่ไปซื้อที่ร้านเครื่องเขียนในห้างได้ ม้วนละสองหยวนเอง”
พนักงานนับเงินถึงสองรอบซึ่งใช้เวลานานพอควร ก่อนจะคืนเหรียญส่วนที่เกินให้เขา จากนั้นเซวียโย่วข่าก็เก็บเหรียญใส่กระปุกแมวกวักแล้วใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเป้
เฉิงอวี้ช่วยถือกระเป๋าเป้ให้เขา “ก็ว่าทำไมกระเป๋าเป้ถึงได้หนักขนาดนี้ เงินพวกนี้เก็บมานานแค่ไหนแล้ว”
“เก็บมาหลายปีแล้ว…”
เงินอั่งเปาช่วงตรุษจีนแม่จะเอาไปเก็บไว้ให้ บอกว่าเป็นค่าเรียนมหาวิทยาลัย เขาเลยต้องกินต้องใช้อย่างประหยัดอดออม เก็บเงินค่าขนมที่ไม่ได้มากมาย นอกจากนี้เขายังทำธุรกิจในโรงเรียนด้วยการเปิดร้านขายของชำช่วงพักคาบเรียน เขาถึงขนาดเก็บหนังสือคู่มือเล่นหุ้นที่แม่ของหู่ผีโยนทิ้งไว้มาอ่าน เวลาว่างก็อ่านไปไม่น้อย โดยหวังว่าจะเรียนรู้ความรู้ทางการเงินเล็กๆ น้อยๆ จากในนั้น
พ่อของหู่ผีซื้อคอมพิวเตอร์มาเล่นหุ้น สุดท้ายดันกระโจนเข้าตลาดตอนปลายช่วงขาขึ้น ไม่นานก็ขาดทุนย่อยยับ ทำให้แม่ของหู่ผีโมโหถึงขั้นทุบคอมพิวเตอร์ ทั้งยังโยนหนังสือวิเคราะห์ตลาดหุ้นทิ้งทั้งหมด
วันนี้เป็นวันที่อิ่มเอมมาก เซวียโย่วข่าซื้อรองเท้า ซื้อกระดาษห่อของขวัญ และยังได้ดูนิทรรศการอีก แม้จะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ก็ได้ถ่ายรูปไว้ พอออกจากงานนิทรรศการ ลุงเว่ยก็เข้าไปซื้อน้ำในซูเปอร์มาร์เก็ตและให้เซวียโย่วข่าเลือกขนม
“อยากกินอะไรก็หยิบเลย ลุงเลี้ยงเอง”
สุดท้ายเซวียโย่วข่าก็หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาหนึ่งห่อ “อันนี้ได้ไหม”
ลุงเว่ยแปลกใจ “ทำไมเลือกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปล่ะ”
“เมื่อกี้ได้ยินว่าพวกลุงบอกว่าจะไปกินอาหารทะเลกันที่ไหนนี่แหละ” เซวียโย่วข่าขยำซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “พวกลุงกินข้าว หนูกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้”
“แพ้อาหารทะเลเหรอ”
“ไม่ใช่…” เขาดูอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิม
ลุงเว่ยเข้าใจได้ทันที ที่แท้ก็แค่เกรงใจ เขายิ้มขำ “เด็กคนนี้นี่นะ จะไม่ให้กินข้าวเย็นได้ยังไง แล้วอีกอย่างเธอซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองแล้วจะเอาไปกินยังไงล่ะ”
“ก็ต้องกินแห้งแบบคลุกผงเครื่องปรุงอยู่แล้ว” ถ้าเป็นไปได้เซวียโย่วข่าสามารถกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบนี้ได้ทุกวันไม่มีเบื่อเลย
ทว่าจู่ๆ ก็มีมือหนึ่งเอื้อมมาจากด้านหลัง เฉิงอวี้ดึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกจากมือเขาแล้วยัดกลับเข้าไปในชั้นวางสินค้า
“พี่ทำอะไรน่ะ” เซวียโย่วข่าหันกลับไป
“ของแบบนี้ฉันไม่จ่ายเงินให้นายหรอก”
“พี่ไม่ซื้อให้ ฉันก็ซื้อเองได้”
เฉิงอวี้ยื่นมือมาคว้าคอเสื้อเขาแล้วลากเขามา “ถ้าไม่เชื่อฟังจะไม่พากลับบ้านนะ”
เซวียโย่วข่ายืนตัวแข็งในท่าถูกจับคอเสื้อ ดวงตาที่เบิกกว้างมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงราวกับกระรอกน้อยที่ถูกคุกคาม เฉิงอวี้ปล่อยมือแล้วก็ก้มหน้ามองเขาเช่นกัน ในแววตานั้นแทบไม่หลงเหลืออารมณ์ใดๆ
“อ๋อ…” เซวียโย่วข่าก้มหน้าลงอย่างว่าง่าย
ลุงเว่ยรีบพูดขึ้น “พี่เขาแค่ล้อเล่น ไม่ให้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ เย็นนี้เรากินอะไรเธอก็กินด้วยกันเถอะ ไม่ต้องเกรงใจนะ”
เขาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
พอขึ้นรถเฉิงอวี้ก็ยื่นไอศกรีมแท่งให้ แต่เซวียโย่วข่าไม่ยอมรับ เฉิงอวี้เลยขมวดคิ้วแล้วโยนไอศกรีมลงบนตัวเขา
ไม่ใช่ว่าเซวียโย่วข่าไม่อยากกิน แต่เขารู้สึกว่าตัวเองกินของบ้านคนอื่นเยอะไปแล้ว แบบนี้จะทำให้เฉิงอวี้ไม่พอใจหรือเปล่า แถมเมื่อครู่ยังพูดว่าจะไม่พาเขากลับบ้านด้วย
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นเฉิงอวี้กำลังกินไอศกรีม เขาก็รู้สึกอยากกินอยู่หน่อยๆ แต่ก็อดทนไว้ ก่อนจะยื่นไอศกรีมแม็กนั่มที่อีกฝ่ายโยนมาให้ฉู่จิ้นซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ
“ลุงฉู่ อันนี้ลุงกินเถอะ”
ฉู่จิ้นมองผ่านกระจกมองหลังก็เห็นเฉิงอวี้นั่งชิดประตูรถ หันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางดูไม่ค่อยพอใจ
เขาถามเซวียโย่วข่า “ทำไมล่ะ นี่พี่เขาซื้อให้ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่กินล่ะ”
เซวียโย่วข่าเม้มปากแน่น คิดหาเหตุผลที่จะอธิบาย “หนู…ไม่ค่อยสบายท้อง” พูดจบก็ยกมือกุมท้องด้วย
“ปวดท้อง…” เดิมทีฉู่จิ้นตั้งใจจะถามว่าปวดแบบไหน จะให้ไปโรงพยาบาลไหม แต่จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างออกจึงไม่ได้ถามต่อ
เฉิงอวี้เห็นเขากุมท้อง ทำหน้าทุกข์ใจ ทั้งยังขมวดคิ้วนิดๆ
ตอนกินข้าวเย็น ฉู่จิ้นเลยไม่ได้สั่งปลาดิบมาเลย เขาเลือกแต่อาหารที่ปรุงสุก เช่น หอยผัดเผ็ด หอยงวงช้าง ไข่ตุ๋นกับปลิงทะเล ด้วยกลัวว่าถ้าเซวียโย่วข่ากินของเย็นหรือของดิบแล้วจะยิ่งส่งผลให้ปวดท้องประจำเดือนหนักหน่วงขึ้น
เซวียโย่วข่ากินอย่างหักห้ามใจ โดยไม่กล้ากินมากเกินไป พอเห็นทุกคนไม่กินกันแล้ว ของที่เหลืออยู่ก็น่าเสียดาย เขาถึงเริ่มลงมือกิน
เขากวาดของที่เหลือบนโต๊ะมากินจนเกลี้ยง กระทั่งลุงเว่ยยังชมว่าเขาเจริญอาหาร คงจะหิวมาทั้งวันแน่ๆ
เซวียโย่วข่าพูด “หนูไม่ได้เจริญอาหารแค่วันนี้นะ ปกติก็กินเยอะอยู่แล้ว เพราะอยากสูงเยอะๆ หน่อย สูงแบบพี่”
เฉิงอวี้ที่สูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
ระหว่างที่อยู่ในรถเซวียโย่วข่าก็เริ่มง่วงนิดๆ แต่การบ้านยังไม่เสร็จ เขาบอกย่าไปแล้วว่าตัวเองจะกลับบ้าน แต่ไม่รู้ว่าย่าจะโทรไปถามที่บ้านไหม แล้วจะมีใครรู้หรือเปล่าว่าเขาไม่ได้อยู่บ้าน
เขาทำการบ้านไปพลางเกาแถวๆ ลำคอไปพลาง ไม่รู้ทำไมถึงคันขึ้นมานิดๆ
ลุงเว่ยขับรถบนทางด่วน จากชิ่งโจวกลับอำเภอซานหลิงใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ
ตอนลงจากทางด่วน รถติดอยู่สักพัก ความเร็วจึงลดลง และเมื่อเฉิงอวี้หันไปก็พลันพบว่าเซวียโย่วข่าดูผิดปกติ
เซวียโย่วข่าเอาปากกาเกาหน้าตัวเอง แถมยังโน้มตัวลงไปเกาขาอีก
เฉิงอวี้ยื่นมือมาจับข้อมือเขาไว้ “อย่าเกา”
เขาเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าและลำคอมีผื่นแดงขึ้นเต็มไปหมด อีกทั้งยังเหงื่อแตก
“ไม่เป็นไร เมื่อกี้อาจจะโดนยุงกัดแถวชายทะเลก็ได้”
เฉิงอวี้ไม่สนใจ “ลุงเว่ย ไปโรงพยาบาลทีครับ เขาแพ้อาหารทะเล”
ลุงเว่ยที่หันกลับมามองเพิ่งตระหนักได้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ จึงได้รีบขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลอำเภอซานหลิงทันที
“บ้านเธออยู่ใกล้ทะเลขนาดนั้น ไม่รู้เหรอว่าตัวเองแพ้อาหารทะเล” เฉิงอวี้เห็นเขาจะเกาอีกเลยตีมือเขา “ยังจะเกาอีก”
“ก็ไม่รู้นี่ ไม่ค่อยได้กินอาหารทะเล” ถึงพ่อของเซวียโย่วข่าจะทำงานที่เป่ยไห่ แต่ก็แทบจะไม่เคยเอาอาหารทะเลกลับมาเลย
เฉิงอวี้จับมือข้างหนึ่งของเขาไว้ เซวียโย่วข่าจึงแอบยื่นมือลงไปข้างล่างโดยหวังว่าจะเกาเท้าอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ก็โดนเฉิงอวี้เห็นเข้า สุดท้ายอีกฝ่ายเลยจับล็อกมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้เสียเลย
ดวงตาของเซวียโย่วข่าเริ่มแดง แถมยังเริ่มรู้สึกปั่นป่วนในท้องด้วย
ไม่นานลุงเว่ยก็ขับรถมาถึงโรงพยาบาล “เร็ว เฉิงอวี้ พาเขาไปลงทะเบียน ลุงจะไปจอดรถ”
ตาก็ตามลงมาด้วยและรีบพาเขาไปที่ห้องฉุกเฉิน ข้างหน้ามีคนต่อแถวอยู่นิดหน่อย ตาเลยไปจัดการลงทะเบียน
โรงพยาบาลแห่งนี้คือที่โรงพยาบาลที่เหอเสี่ยวโหยวทำงานอยู่ แต่เซวียโย่วข่าคุ้นเคยแค่แผนกสูติ-นรีเวช แพทย์พยาบาลแผนกอื่นไม่รู้จักเขา ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาดูน่าสงสารมาก ใบหน้ามีแต่ผื่นเต็มไปหมด
เฉิงอวี้ไปรินน้ำอุ่นให้ พอหันกลับมาก็เห็นเซวียโย่วข่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แอบเกาคออีกแล้ว
“บอกว่าอย่าเกาไง!”
“รู้แล้ว แต่มันคันนี่นา…” เขาค่อยๆ ลดมือลง พอเฉิงอวี้ยื่นน้ำให้ก็รับมาดื่ม
เฉิงอวี้ถามว่ารู้สึกไม่ดีตรงไหนอีกไหม “มีอาการอื่นอีกหรือเปล่า”
“ตา…เริ่มพร่านิดหน่อย” เซวียโย่วข่ากะพริบตา “รู้สึกเหมือนใส่แว่นสายตายาวของย่าเลย”
เฉิงอวี้ได้ยินดังนั้นก็รู้ทันทีว่าอาการหนักขึ้นแล้ว
“รู้งี้ไม่ปล่อยให้เธอกินเยอะขนาดนั้นหรอก”
“ถ้ารู้งี้ก็น่าจะให้ฉันซื้อบะหมี่รสผักกาดดองเนื้อตุ๋น!”
“เงียบไปเลย ตอนนี้เธอหน้าตาน่าเกลียดมาก”
“อ้อ…”
เซวียโย่วข่าเป็นผู้ชาย ไม่สนใจเรื่องสวยหรือขี้เหร่หรอก ขณะที่เขานั่งก้มหน้าอย่างหมดแรง จู่ๆ ก็เห็นคนคุ้นหน้าอยู่ไกลๆ
ไม่ใช่เพราะจำหน้าได้ เนื่องจากสายตาของเขาพร่ามัว แต่เขาจำชุดเดรสนั้นได้ต่างหาก นั่นมันลูกพี่ลูกน้องเขา…ฟางหลี่ฉิง!
หรือว่าเกาเกาจะหอบหืดกำเริบ?
เซวียโย่วข่าตกใจจนหน้าซีด ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ พอเห็นลูกพี่ลูกน้องเดินมาทางห้องฉุกเฉินก็รีบหันหน้าหนีไปทางอื่นแล้วก้มหน้าซุกลงที่ไหล่เฉิงอวี้ทันที
เฉิงอวี้ชะงักไปชั่วครู่ เขาถึงกับกลั้นหายใจ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเบียดไซ้อยู่แถวลำคอของตัวเองทั้งเนื้อตัวสั่นเทา
ไม่รู้ว่าเป็นน้ำลายหรือเหงื่อ ความเปียกชื้นเสียดสีลงบนร่างของเขา เฉิงอวี้ขมวดคิ้ว พยายามจะดันอีกฝ่ายออก
“เดี๋ยวก่อน!” เซวียโย่วข่ากลัวมากว่าลูกพี่ลูกน้องจะเห็นเขาเข้า ตั้งแต่เด็กจนโตเขาก็โดนเธอพูดฉีกหน้ามาโดยตลอด เมื่อก่อนตอนที่ฟางหลี่ฉิงยังไม่ขึ้นมัธยมต้น ถ้าเจอเขาในโรงเรียนก็จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเสมอ โดยเธอเคยบอกเขาว่า ‘เวลาอยู่นอกบ้านเราไม่รู้จักกันนะ’
สีหน้าของเธอตอนนั้นเหมือนกำลังบอกว่า ‘บ้านเราจะไปมีญาติยากจนแบบนายได้ยังไง’
เพราะแบบนั้นเวลาเจอเธอนอกบ้าน เขาก็มักจะหลบหน้าตลอด
“เฉิงอวี้ รอแป๊บนึง…ฉันปวดท้อง” เสียงที่ได้ยินฟังดูอึดอัดเล็กน้อย พอเฉิงอวี้ก้มลงมองก็เห็นว่าที่ต้นคอของอีกฝ่ายนั้นเหงื่อออกจนชุ่ม เหงื่อเปียกเส้นผมอ่อนนุ่มบริเวณท้ายทอย ผื่นแดงเม็ดเล็กๆ คล้ายตุ่มยุงกัดผุดขึ้นทีละเม็ด ไล่จากต้นคอขาวเนียนลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง แถมยังตัวสั่นนิดๆ ด้วย
มือที่เฉิงอวี้ยกขึ้นมาค่อยๆ วางลง จากนั้นก็ลูบศีรษะเขาเบาๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.