ทดลองอ่านเรื่อง แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : ซุ่ยหมาง (睡芒)
แปลโดย : G.N Voyager
ผลงานเรื่อง : 满天星 (Man Tian Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบูลลี่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 10
เซวียโย่วข่าแอบเงยหน้ามอง เมื่อพบว่าลูกพี่ลูกน้องไปแล้วถึงกล้าเงยหน้าขึ้น
เฉิงอวี้ถามเขาด้วยเสียงที่ไม่ได้เย็นชาเหมือนเคย “จะเอาน้ำอุ่นไหม”
เขาส่ายหน้า เมื่อตากลับมาหลังลงทะเบียนเสร็จก็รอให้หมอซักถามอาการ
หลังเซวียโย่วข่าฉีดยาเรียบร้อยแล้วก็ขอยืมมือถือลุงเว่ยโทรกลับบ้าน แต่ตอนนี้เหอเสี่ยวโหยวไม่อยู่บ้าน เลยไม่มีใครรับโทรศัพท์บ้าน เขาจึงโทรเข้ามือถือของอาที่คิดว่าเขายังเล่นอยู่ที่บ้านเพื่อนแทน
เธอบอกว่า “หมี่หมี่ ตอนนี้แม่หลานอยู่โรงพยาบาลกับพวกเรานะ หลานกลับบ้านไปก่อนแล้วกัน หรือไม่ก็ไปบ้านย่าก็ได้”
พอถามละเอียดหน่อยก็พบว่าเกาเกาหอบหืดกำเริบขึ้นมาจริงๆ
“หนูจะไปบ้านย่า เกาเกาเป็นยังไงบ้างฮะ”
“เฮ้อ เหมือนเดิมนั่นแหละ ต้องนอนโรงพยาบาล หลานไม่ต้องห่วงหรอก”
เซวียโย่วข่าพูด “งั้นพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลนะ”
หลังวางสายเฉิงอวี้ก็ถามขึ้นว่า “ที่บ้านไม่มีใครอยู่เหรอ”
“ใช่ ไม่มีใครอยู่เลย” หลังฉีดยาสายตาก็เริ่มชัดขึ้นมาหน่อย แต่ไม่ถึงกับเห็นผลทันที เซวียโย่วข่าลูบหน้าตัวเองที่ยังคงมีผื่นแดงอยู่ “หน้าฉันยังดูแย่มากอยู่ไหม”
เขากลัวว่าถ้ากลับบ้านแล้วจะทำให้ปู่กับย่าตกใจ
เฉิงอวี้พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ดีขึ้นหน่อยแล้ว”
เซวียโย่วข่าดูเป็นกังวล
“ไม่ได้น่าเกลียดมากหรอก สบายใจได้”
ลุงเว่ยขับรถกลับบ้าน “งั้นจะไปส่งเธอกลับบ้าน หรือว่ายังไงดี…” เขาเป็นห่วงว่าอาการแพ้ของเด็กสาวจะยังไม่หายไป ถ้าอาการหนักขึ้นตอนกลางคืนจะทำอย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็เป็นพวกเขาที่พาเธอไปกินอาหารทะเล ซึ่งการแพ้อาหารทะเลนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย
“ไม่งั้นไปบ้านลุงดีไหม แบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนกลางคืนจะได้พาไปโรงพยาบาลง่ายๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกลุง เดี๋ยวกลับบ้านไปหนูจะบอกปู่เอง ไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ลุงเว่ยเองก็คิดว่าการให้เด็กผู้หญิงไปค้างที่บ้านนั้นไม่ค่อยจะเหมาะ โดยหลังจากที่กำชับไปหลายรอบก็ตัดสินใจขับรถไปส่งอีกฝ่ายที่บ้าน
รถจอดเมื่อมาถึงริมถนนหน้าบ้านย่าของเซวียโย่วข่า
จากตรงนี้รถยนต์เข้าไปไม่ได้แล้ว ยังต้องเดินต่ออีกประมาณสองร้อยเมตร ตอนที่เซวียโย่วข่ากำลังจะลงจากรถจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้
“ลุงฉู่ หนูต้องจ่ายค่ายาที่ฉีดไปเท่าไร หนูต้องคืนเงินลุงนะ”
“ไม่เท่าไรหรอก” ฉู่จิ้นหันไปพูดกับเฉิงอวี้ “ไปส่งน้องเขาหน่อย กระเป๋ายิ่งหนักอยู่”
“ไม่ได้ๆ ในกระเป๋าหนูมีเงิน หนูต้องคืนให้ลุงนะ”
“กลับไปพักก่อนเถอะ วันนี้ยังไม่ต้องให้ ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง” วันนี้ตอนซื้อรองเท้าฉู่จิ้นก็เห็นแล้ว เหรียญเป็นร้อย เศษเงินเป็นกองถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เซวียโย่วข่าลงจากรถอย่างจนใจ โดยมีเฉิงอวี้สะพายกระเป๋าและถือกล่องรองเท้าให้เขาพร้อมทั้งเดินไปส่งถึงหน้าบ้าน
นอกประตูเหล็ก เมื่อมองผ่านรั้วเข้าไปก็เห็นแสงไฟเล็กๆ ในบ้าน และได้ยินเสียงรายการทีวีดังลอดออกมา
“เข้าไปแล้วนะ” เซวียโย่วข่ายืนอยู่หน้าประตูแล้วยื่นมือไปขอกระเป๋าจากเฉิงอวี้
เฉิงอวี้ยื่นกระเป๋าให้เขาก่อนเอ่ยเรียก “เซวียหมี่หมี่”
“หืม?” เขาเงยหน้าขึ้น แสงจันทร์ส่องลงบนใบหน้า ผื่นแดงลดลงไปมากแล้ว
“ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันนะ”
“ได้ รู้แล้ว” เขาหิ้วกล่องรองเท้าเตรียมจะเข้าไป แต่เฉิงอวี้ก็เรียกไว้อีก “เธอรับปากอะไรน่ะ มีเบอร์ฉันเหรอ”
“ไม่มี…” เซวียโย่วข่าพูดจริงจัง “ฉันไม่มีมือถือ”
“ใช้โทรศัพท์บ้านโทรมาก็ได้” เฉิงอวี้เปิดซิปกระเป๋าของอีกฝ่าย “หยิบกระเป๋าปากกาออกมา แล้วก็สมุดเล่มหนึ่ง”
เฉิงอวี้เขียนเบอร์ตัวเองไว้ที่ด้านหลังสมุดแบบฝึกหัดด้วยลายมือที่บ่งบอกถึงความเป็นอิสระ “ใส่ยาไว้ในกระเป๋าแล้วนะ อย่าลืมกิน แล้วก็…” เขาทำท่าโทรศัพท์
“จำได้แล้ว” เซวียโย่วข่าโบกมือแล้วพูดเบาๆ “บ๊ายบายนะพี่”
“บ๊ายบาย”
อาจเป็นเพราะความมืด พอเซวียโย่วข่าเข้าบ้าน ย่าเลยไม่สังเกตเห็นผื่นแดงบนหน้าเขาเลย “อ้าว หมี่หมี่ ทำไมกลับดึกจังลูก”
“เกาเกาต้องนอนโรงพยาบาลฮะ พรุ่งนี้หนูจะไปเยี่ยมเขา”
ความสนใจของย่าถูกดึงไปทันที คิดว่าตอนบ่ายเขาไปเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องที่โรงพยาบาล พอได้ยินว่าหลานชายที่แสนดีป่วยก็รีบโทรหาแม่ของเด็กทันใด
เมื่อกลับเข้าห้องเซวียโย่วข่าก็ส่องกระจก เห็นว่ายังมีผื่นแดงบางๆ อยู่บ้างและยังคันหน่อยๆ จากนั้นก็กินยา แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเปิดประตูชั้นล่างจึงเดินออกไปดูที่ระเบียง เห็นปู่กำลังสตาร์ตรถสามล้อเก่าๆ อยู่ ไฟสีแดงของรถในความมืดนั้นดูราวกับแมลงที่มีดวงตาขนาดยักษ์
“ปู่จะไปโรงพยาบาลเหรอ งั้นหนูไปด้วย”
“อยู่เฝ้าบ้านเถอะ เดี๋ยวปู่กับย่าก็กลับมาแล้ว เป็นเด็กดีนะ!”
จนกระทั่งกลางดึก เซวียโย่วข่าที่กำลังจะหลับถึงเพิ่งได้ยินเสียงพวกท่านกลับมา เขาใส่ชุดนอนเดินออกไปดู เห็นคนชราสองคนลงจากรถ
เซวียโย่วข่าเอ่ยขึ้นว่า “ย่า เกาเกาเป็นยังไงบ้าง”
“หือ? หมี่หมี่ หลานทำอะไรอยู่ ทำไมถึงยังไม่นอน” ย่าเงยหน้าขึ้นมองเขา “ไปนอนเร็วเข้า! น้องไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ค่อยไปเยี่ยมเขา”
เช้าวันถัดมา เมื่อเซวียโย่วข่าตื่นขึ้นก็ไปโรงพยาบาลกับผู้สูงอายุทั้งสอง
เขาติดสอยห้อยตามผู้ใหญ่ไปทั้งวัน ระหว่างวันได้กลับบ้านกับอาหนหนึ่ง ต้มโจ๊กให้เกาเกาเสร็จก็กลับไปโรงพยาบาลอีก
เกาเกาที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยถามพี่สาวว่า “พี่ครับ ทำไมพี่หมี่หมี่หน้าบวมๆ น่าเกลียดจัง”
เซวียโย่วข่าไม่อยากจะถือสาหาความ
พอตกเย็น เขาก็กลับบ้านกับเหอเสี่ยวโหยว หลังยุ่งอยู่หลายวันเหอเสี่ยวโหยวก็พอจะมีเวลาว่างบ้างแล้วจึงถามถึงการบ้าน
“หนูทำเสร็จแล้ว แต่กระเป๋าอยู่ที่บ้านย่า…จริงๆ นะ! ตอนเช้ารีบมาหาเกาเกาเลยลืมหยิบมา”
เหอเสี่ยวโหยวจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เชื่อเขา ก่อนจะไปหยิบแบบเรียนวิชาอื่นมาให้ “ท่องบทเรียนก่อนนอนจะได้ผลดีที่สุด ตรงบทนี้แล้วก็ตรงนี้…”
เธอมอบหมายการบ้านก่อนนอนให้เขา แล้วถือนมร้อนเข้ามาให้หนึ่งแก้ว
กลางดึก ทั้งอำเภอตกอยู่ในความเงียบสงัดของยามค่ำคืน แท็กซี่คันหนึ่งจอดลงหน้าบ้านตระกูลเซวีย เซวียเทียนเลี่ยงเดินทางกลับมาอย่างอิดโรย หลังวางกระเป๋าเสร็จ สิ่งแรกที่ทำคือเปิดประตูห้องของเซวียโย่วข่า เข้าไปดูลูกชายอยู่ครู่หนึ่ง
เซวียโย่วข่ารู้สึกตัวรางๆ แต่ไม่ได้ลืมตา แค่พึมพำว่าพ่อ
เซวียเทียนเลี่ยงนั่งอยู่ข้างเตียงเขาสักพักแล้วจึงลุกออกไป
กว่าเซวียเทียนเลี่ยงจะได้กลับมานั้นไม่ง่ายเลย เขาจึงพาเซวียโย่วข่าออกไปเที่ยวเล่นอยู่สองวันเต็มและยังพาไปตัดผมที่ร้านด้วย จนกระทั่งเหอเสี่ยวโหยวเริ่มไม่พอใจ “พอได้แล้วมั้ง เล่นมากเกินไปแล้ว เขายังต้องเรียนหนังสือนะ จะให้เล่นอย่างนี้ไม่ได้หรอก หมี่หมี่ เดี๋ยวไปบ้านย่านะ ไปเอาสมุดแบบฝึกหัดกลับมาด้วย”
ผ่านไปสองสามวันเหอเสี่ยวโหยวยังนึกถึงกระเป๋านักเรียนที่ลูกบอกว่าลืมไว้ที่บ้านย่ามาตลอด เธอให้ความสำคัญกับการเรียนของเซวียโย่วข่ามาก ด้วยกังวลว่าเพราะเขาอายุน้อย พอเปิดเทอมแล้วจะตามนักเรียนคนอื่นไม่ทัน เธอไปฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญอยู่บ่อยๆ รู้ดีว่าขอแค่ช่วงเริ่มต้นตามไม่ทัน ต่อไปก็จะยากมากถ้าหากอยากจะเรียนตามให้ทัน
พอถึงบ้านย่า เหอเสี่ยวโหยวก็แทบจะไม่ให้เวลาเขาได้ดื่มน้ำเลย เธอขึ้นไปชั้นบนแล้วบอกให้เซวียโย่วข่าให้นำสมุดแบบฝึกหัดออกมา
“เอามาให้แม่ดูที่ลูกทำหน่อยสิ”
เซวียโย่วข่าทำส่วนที่เธอสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว เหอเสี่ยวโหยวดูแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ “ทำได้ดีเลย” จากนั้นก็หยิบเฉลยมาตรวจคำตอบแล้วขีดคำตอบที่ผิดให้เขา “ตรงนี้ตอบผิดนะ ทำใหม่อีกรอบ แล้วก็ตรงนี้อีก” เธอพลิกดูทีละหน้าแล้วพับมุมล่างขวาไว้ “ถ้าอยากอยู่บ้านย่า ช่วงสัปดาห์นี้ก็ทำตรงนี้ให้หมดนะ ถึงวันหยุดคราวหน้าแม่จะไปหาและจะตรวจการบ้านลูก”
“แม่…นี่มันเยอะเกินไปหรือเปล่า”
“เยอะตรงไหน ไม่ได้พาไปเรียนพิเศษ ลูกก็ต้องขยันเองสิ อนาคตอยากเรียนแค่โรงเรียนเทคนิคเหมือนแม่กับพ่อหรือไง”
เซวียโย่วข่าทำได้แค่ปิดปากไปเงียบๆ
เหอเสี่ยวโหยวเน้นให้เขาเรียนภาษาจีน คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ โดยทิ้งการบ้านไว้ให้เขาครบทั้งสามวิชา เรียกว่าหนักกว่าเรียนที่โรงเรียนเสียอีก
พอเธอออกไป เซวียโย่วข่าก็วางปากกาลงแล้วเปิดสมุดแบบฝึกหัดไปหน้าหลัง จากนั้นก็เห็นตัวเลขชุดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
แย่แล้ว!
เหมือนว่าเขาจะลืมโทรหาเฉิงอวี้…
ชุดตัวเลขนั้นคือเบอร์โทรศัพท์ที่เฉิงอวี้เขียนทิ้งไว้ให้
จะโทรตอนนี้ดีไหมนะ
แต่นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว…
ช่างมันก็แล้วกัน
คาดว่าเฉิงอวี้เองคงลืมเรื่องนี้ไปแล้วเหมือนกัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายให้เขาโทรไปทำไม
ตอนที่เขากะว่าจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้คืนเงินหรือเปล่านะ
คืนนั้นเขาฉีดยาที่โรงพยาบาลแล้วก็เป็นลุงฉู่ ตาของเฉิงอวี้ที่ช่วยออกเงินให้ก่อน
เซวียโย่วข่าไม่ชอบติดหนี้ใคร และนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องไปคืนเงิน เขาไม่เดินอ้อมไปไกล แต่เดินไปยังริมแม่น้ำแล้วไปหยุดยืนที่ฝั่งตรงข้ามบ้านของเฉิงอวี้ จากนั้นก็ตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายจากระยะประมาณสิบกว่าเมตร
เขาตะโกนอยู่หลายรอบ สุดท้ายลุงเว่ยเป็นคนได้ยิน อีกฝ่ายมายืนที่ริมแม่น้ำแล้วถามเขาว่า “หนูจะหาพี่เหรอ เขานอนอยู่บนบ้าน เดี๋ยวลุงเรียกให้นะ”
ผ่านไปห้านาทีเฉิงอวี้ก็เปิดหน้าต่างออกมา เส้นผมยุ่งเหยิง คิ้วขมวดแน่น สีหน้ายังคงไม่รับแขกเหมือนเดิม
“เรียกฉันทำไม”
เฉิงอวี้ยืนอยู่ข้างบนและก้มลงมามอง ก่อนจะเห็นว่าเขาไปตัดผมมาแล้ว ซึ่งการตัดผมสั้นทำให้ดูเหมือนเด็กผู้ชายมากขึ้น
“พี่เป็นคนบอกให้ฉันโทรหาพี่ไม่ใช่เหรอ!” เซวียโย่วข่าตะโกนตอบ
“บ้านเธอไม่ได้จ่ายค่าโทรศัพท์เหรอ ถึงได้ใช้วิธีโทรแบบนี้น่ะ”
“ว่าไงนะ!”
“ฉันพูดว่า…” เมื่อเฉิงอวี้เปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้น ลมก็พัดเข้ามาทันทีจนผ้าม่านสีขาวลอยขึ้นมา “หายดีหรือยัง”
เซวียโย่วข่าได้ยินไม่ชัด เขาเดินไต่ก้อนหินริมน้ำลงไปในแม่น้ำ “ฉันมาคืนเงิน!”
เขาสะพายกระเป๋าที่ข้างในบรรจุเงินที่เอามาจากกระปุกออมสินและเงินค่าขนมที่ได้จากพ่อเมื่อไม่กี่วันก่อน รวมแล้วมีหกสิบถึงเจ็ดสิบหยวน
เฉิงอวี้เห็นเขาถอดรองเท้าแล้วก้าวลงไปในแม่น้ำ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเด็กคนนี้กำลังมีประจำเดือน เมื่อวันก่อนยังปวดท้องจนซบเขาตัวสั่นอยู่เลย
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย!” เฉิงอวี้ตะโกนใส่เขาเสียงดัง
คราวนี้เซวียโย่วข่าได้ยินชัดจึงหยุดยืนทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง
หน้าต่างบานนั้นมีต้นไม้อยู่ตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังตื่นไม่เต็มตาของเฉิงอวี้โผล่พ้นจากช่องระหว่างพุ่มไม้เขียวชอุ่ม
“กลับบ้านไปซะ”
“ฉันมาคืนเงินนะ!”
“รู้แล้ว เดี๋ยวฉันจะไปหาเธอ” เฉิงอวี้ดูเวลาแล้วบีบสันจมูก “สี่โมง รอก่อน”
“ฉันจะไปรอพี่หน้าบ้าน!”
เฉิงอวี้พยักหน้า จากนั้นก็ปิดหน้าต่างลงทันที
เซวียโย่วข่ากลับบ้านมา พอสี่โมงเย็นนาฬิกาปลุกที่เขาตั้งไว้ก็ดังขึ้น เขาถือเงินออกไป ไม่ช้าก็เห็นเฉิงอวี้ที่สวมแว่นกันแดดยืนอยู่ที่ปลายทางเดินเล็กๆ
เซวียโย่วข่าวิ่งไปหาเขา
“ไปตัดผมมาเหรอ”
“เมื่อวานพ่อพาไปตัด”
“ตัดแล้วดูเหมือนผู้ชายขึ้นเยอะเลย” เฉิงอวี้มองใกล้ๆ นอกจากผิวขาวก็ไม่เห็นลักษณะพิเศษของเด็กผู้หญิง
“ก็ฉันเป็นผู้ชายอยู่แล้วนี่นา”
เฉิงอวี้ยิ้มมุมปาก
เซวียโย่วข่าเปิดกระเป๋า “พี่ ฉันติดเงินพี่เท่าไร”
“เธอมีเท่าไรล่ะ” เฉิงอวี้รู้ว่ากว่าเด็กน้อยจะเก็บเงินเองได้นั้นไม่ง่ายจึงไม่คิดจะเอาเงินคืนจริงๆ
“ฉันมีทั้งหมดเจ็ดสิบสองหยวนสามเหมา” เซวียโย่วข่ากำเศษเงินในมือ “พอไหม”
“ไม่พอ”
“แต่…ฉันมีแค่นี้จริงๆ”
“ฉันให้โทรหาฉันวันเสาร์อาทิตย์ วันนี้มันพฤหัสแล้วนะ” เฉิงอวี้ยืนใต้ร่มไม้ “หรือเธอไม่อยากคืนเงินเลยจงใจไม่โทรมา”
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ แค่…วันนั้นน้องฉันเข้าโรงพยาบาลเลยไปเยี่ยม แล้วแบบฝึกหัดก็อยู่บ้านย่า…วันนี้แม่ก็เอาแบบฝึกหัดไปแล้ว เลยไม่มีเบอร์พี่ แต่ฉันจะคืนแน่นอน” เซวียโย่วข่าควักเศษเงินออกมายื่นให้ “นี่ให้พี่ก่อน ส่วนที่เหลือ…ที่เหลือ…”
เฉิงอวี้ยัดเศษเงินกลับเข้าไปในกระเป๋าเขา “แล้วจะคืนยังไง”
“พี่เอาใบชาไหม” เซวียโย่วข่าพูด “บ้านฉันมีไข่ไก่ไข่เป็ดด้วยนะ”
เฉิงอวี้ยิ้มน้อยๆ “ไม่เอา”
“งั้น…ที่บ้านฉันมีสมบัติอย่างอื่นอยู่หน่อยนึง พี่อยากได้ไหม”
พอเฉิงอวี้ถามว่าสมบัติอะไร เซวียโย่วข่าก็บอกว่าจะพาไปดู
เขาพาเฉิงอวี้เข้าบ้าน ในบ้านมีคนแต่กำลังหลับอยู่ เซวียโย่วข่าจึงพาเขาเดินย่องขึ้นบันไดไปเบาๆ ก่อนจะเข้าไปในห้องของตัวเอง
เฉิงอวี้เพิ่งจะเคยเข้ามาห้องของเด็กผู้หญิงเป็นครั้งแรก แต่เขาไม่คิดเลยว่าผนังห้องจะติดภาพเจ้าหนูปรมาณู แถมยังติดโปสเตอร์ซูเปอร์ไซย่าอีก ห้องเล็กๆ ห้องนี้มีเพียงเตียงเล็กข้างหน้าต่าง โต๊ะเขียนหนังสือธรรมดา และเก้าอี้ไม้หนึ่งตัว
แค่นี้เอง…
ไม่มีแม้แต่สิ่งที่เด็กผู้หญิงมักจะชอบ อย่างเช่นสีชมพูหรือผ้าม่านลูกไม้ เซวียโย่วข่าไม่มีของพวกนั้นแม้สักอย่าง
เฉิงอวี้แค่กวาดตามองแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ “เธอจะให้ฉันดูสมบัติอะไร”
เซวียโย่วข่าก้มตัวลงไปลากกล่องรองเท้าออกมาจากใต้เตียง
ทันทีที่เห็นกล่องรองเท้าเก่าๆ เฉิงอวี้ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมือนที่ตัวเองคิดไว้แล้ว
จนกระทั่งเซวียโย่วข่าเปิดกล่องเผยให้เห็นข้าวของจุกจิกเต็มกล่อง
เมื่อเขายกกล่องมาวางบนโต๊ะ เฉิงอวี้มองเข้าไปก็พบว่าด้านในและด้านบนเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูน นิตยสารเรื่องเล่า โปสเตอร์อะนิเมะ ฟิกเกอร์ สติ๊กเกอร์การ์ด แม้แต่คู่มือเทรดหุ้นก็ยังมี
เซวียโย่วข่าหยิบหนังสือการ์ตูนออกมาหลายเล่ม หนังสือพวกนี้ยืมมาจากหู่ผี จากนั้นก็ส่งของที่เหลือทั้งหมดให้เฉิงอวี้
“ของสะสมทั้งหมดของฉัน ยกให้พี่หมดเลย”
“เซวียหมี่หมี่” เฉิงอวี้มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “เธอเห็นฉันเป็นพ่อค้ารับซื้อของเก่าเหรอ”
เซวียโย่วข่าเกาศีรษะอยู่นานก่อนจะพูดว่า “ฉันเก็บเงินได้นะ แต่มันต้องใช้เวลาหน่อย…”
“ช่างเถอะ” จริงๆ เฉิงอวี้ไม่ได้คิดจะเอาเงินเขาอยู่แล้ว “นายเก็บเงินไว้ซื้อของกินอร่อยๆ เถอะ”
“หือ?” เขาไม่เข้าใจ “แบบนี้ไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” เฉิงอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยื่นมือออกมาสิ”
ถึงจะไม่รู้ว่าเฉิงอวี้จะทำอะไร แต่เซวียโย่วข่าก็ยื่นมือออกไปให้
มือของเด็กคนนี้ใหญ่กว่ามือของเด็กผู้หญิงทั่วไป ผิวขาว ลายมือชัดเจน เล็บก็ตัดแต่งจนสะอาดเรียบร้อยดี
เฉิงอวี้ยกมือขึ้น…
ท่าทางที่เหมือนกับจะตีมืออันคุ้นเคยนี้ทำให้เซวียโย่วข่านึกถึงไม้บรรทัดเหล็กของครูคณิตศาสตร์ขึ้นมาทันที
เขาสะบัดแขนไปข้างหลังอย่างระแวง
“อย่าขยับ”
เฉิงอวี้เอื้อมมือมาคว้าข้อมือบางของเขาไว้แล้วใช้มืออีกข้างตบเบาๆ ที่ฝ่ามือเขา การกระทำนั้นแผ่วเบาจนไม่มีแม้แต่เสียง
“จะได้จำไว้บ้าง” เฉิงอวี้มองตาเขา “กล้าทำเบอร์ฉันหายได้ยังไง”
วันนั้นพวกเขาเป็นห่วงเซวียโย่วข่ากันมาก ลุงเว่ยถึงกับขับรถไปหาเขา แต่กลับไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน
ฝ่ามือรู้สึกชาเล็กน้อย เซวียโย่วข่ามองเขาด้วยความสับสนอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า “งั้นฉันยังต้องคืนเงินไหม”
“เธอคืนไม่ไหวไม่ใช่เหรอ”
“ฉัน…ฉันคืนทีละนิดได้นะ”
“ฉันขัดสนเงินของเธอหรือไง”
เซวียโย่วข่าก้มหน้าคิดเงียบๆ แต่ยังค้างท่ายื่นมืออยู่เหมือนเดิม จากนั้นก็พูดอย่างจริงจังว่า “พี่ ถ้าพี่อยากตีฉันก็ตีเลย จะตีตรงไหนก็ได้ จริงๆ นะ”
บทที่ 11
เฉิงอวี้มองเซวียโย่วข่า ทันใดนั้นก็คิดถึงเรื่องที่ไม่ควรจะคิดเข้าให้
สายตาของเขากวาดผ่านริมฝีปากแดงเรื่อของอีกฝ่าย ไล่ลงมายังร่างกายที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ แล้วมาหยุดที่มือข้างที่ยื่นออกมาให้เขาตีฝ่ามืออย่างว่าง่าย เฉิงอวี้ก้มหน้ายิ้มนิดๆ พูดด้วยเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
“บ้านพวกเธอนอกจากเก็บผลไม้ในสวนผลไม้กับเก็บใบชาในไร่ชาแล้ว ยังมีอะไรให้เล่นอีกไหม” เขาว่า “ใช้หนี้ด้วยการเป็นไกด์ให้ฉันแทนก็แล้วกัน”
เป็นไกด์งั้นเหรอ
เซวียเทียนเลี่ยงก็ทำงานนี้ เซวียโย่วข่าเลยคุ้นเคยดี “ไปว่ายน้ำที่แม่น้ำไหม”
“ไม่เอา” ไปว่ายน้ำกับเด็กผู้หญิงน่าเบื่อจะตาย
“ทุ่งดอกผักกาดก้านขาวล่ะ สวยมากเลยนะ คนในเมืองมาเห็นยังต้องหยุดถ่ายรูปกันเลย”
เฉิงอวี้ส่ายหน้า
“อ้อ! บ้านฉันมีบ้านต้นไม้นะ”
“บ้านต้นไม้เหรอ หน้าตาเป็นยังไง”
“ก็ตรงนั้นไง” เซวียโย่วข่าคุกเข่าลงตรงขอบเตียงแล้วชี้ให้เขาดู “บนต้นมะเดื่อหลังบ้าน ตอนเด็กๆ ปู่ฉันสร้างให้”
ต้นไม้ต้นนั้นสูงใหญ่จนน่าตกใจ มันสูงกว่าตัวบ้านไม่น้อย เฉิงอวี้มองตามไปก็เห็นบ้านต้นไม้ที่อีกฝ่ายว่ากับบันไดลิง มันดูเรียบง่ายจนน่าเหลือเชื่อ
“ฉันชอบนอนในนั้น” เซวียโย่วข่าว่า “พี่เป็นคนในเมืองคงไม่เคยนอนบ้านต้นไม้แน่ สมัยก่อนตอนหน้าร้อนจะมีหิ่งห้อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้ว หายากมาก ตอนกลางคืนปู่จะจับหิ่งห้อยใส่ไว้ในบ้านต้นไม้ด้วย”
“นี่มันคอกหมาชัดๆ” เฉิงอวี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้แล้วแหงนมองขึ้นไป
บันไดที่แนบติดกับลำต้นทำจากไม้กับเชือกป่านดูไม่แข็งแรงนัก ที่หน้าประตูเตี้ยๆ เล็กๆ ของบ้านต้นไม้ยังมีผ้าม่านลายดอกไม้ผืนใหญ่ห้อยอยู่ ดูใส่ใจในรายละเอียดมากเหมือนกัน
“ไม่ใช่คอกหมาสักหน่อย หมามันปีนต้นไม้ไม่ได้นะ”
เมื่อได้ยินเขาอธิบายอย่างจริงจัง เฉิงอวี้ก็พูดไม่ออก เซวียโย่วข่าดื้อจะแสดงให้เขาดู อีกฝ่ายปีนเหมือนลิงขึ้นไปก่อนจะเรียกเฉิงอวี้
“พี่จะขึ้นมาไหม ข้างบนเย็นสบายมากเลยนะ”
เขานั่งอยู่ริมบ้านต้นไม้ แกว่งขาไปมา
เฉิงอวี้ไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงคนไหนเหมือนอีกฝ่ายมาก่อน จึงจ้องมองอยู่นาน “ข้างในเหม็นไหม”
“ไม่เหม็น” เซวียโย่วข่าก้มหน้า แสงแดดจ้าตกลงบนศีรษะเขา “ถ้าพี่มาคืนนี้ ฉันจะจับหิ่งห้อยให้ด้วย”
“ไม่ใช่ว่าหายากเหรอ”
“บนเขายังมีอยู่ ฝั่งไร่ชาน่ะ”
“งั้นเธอจับได้ก่อน ฉันถึงจะขึ้นไป”
เซวียโย่วข่ามองพี่ชายตรงหน้าพักใหญ่ “ก็ได้ๆ คืนนี้จะจับให้ พี่จะไม่ขึ้นมาจริงเหรอ”
เฉิงอวี้เลิกคิ้ว “ถ้าเธอจับหิ่งห้อยได้ก็โทรหาฉัน”
เซวียโย่วข่ามองเฉิงอวี้ที่ยืนอยู่ข้างล่าง ก็รู้สึกเหมือนเห็นตัวเองตอนเด็กๆ ตอนนั้นเขาก็เรียกร้องแบบนี้จากเซวียเทียนเลี่ยงเหมือนกัน ร้องขอให้พ่อจับหิ่งห้อยให้
สุดท้ายตอนนี้ก็ถึงตาตัวเองบ้างแล้ว
เฉิงอวี้ว่า “หยิบปากกามาสิ เดี๋ยวฉันเขียนเบอร์ให้”
เมื่อครู่เซวียโย่วข่าเพิ่งบอกว่าทำเบอร์ของเขาหายไป
เซวียโย่วข่าจนปัญญา ก่อนจะค่อยๆ ปีนลงมา และยังหยิบสมุดโทรศัพท์กับปากกาจากบนบ้านต้นไม้ลงมาด้วย
“ฉันจะใช้สมุดโทรศัพท์จดเอาไว้ คราวนี้ไม่หายแน่ ว่ามาเลย”
เมื่อเฉิงอวี้บอกเบอร์ เขาก็จดลงไป
เฉิงอวี้ยื่นมือมา “ขอดูหน่อย”
สมุดโทรศัพท์เล่มนั้นเล่มเล็กมาก มันมีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือ ข้างในจดเบอร์คนไว้เยอะแยะ ล่าสุดที่จดคือเบอร์ของเฉิงอวี้ อีกทั้งข้างหน้ายังเขียนชื่อด้วยลายมือโย้เย้
‘เฉินอวี้’
เฉิงอวี้ “…”
“เซวียหมี่หมี่ เธอยังเขียนชื่อฉันผิดอีกเหรอ” เขาไม่อยากจะเชื่อเลย
“ไม่ได้เขียนแบบนี้เหรอ”
เฉิงอวี้ทำหน้าไร้อารมณ์ คว้าปากกาลูกลื่นจากมือเขา แล้วขีดฆ่าคำว่า ‘เฉินอวี้’ ก่อนจะเขียนว่า ‘เฉิงอวี้’ ลงไปแทน
“จำไว้ให้ดีว่าเขียนยังไง กลับไปคัดชื่อฉันสองร้อยรอบ”
เซวียโย่วข่ารู้สึกว่าคุณชายคนนี้น่าจะป่วยทางประสาทนิดหน่อย แต่คนที่น่ารำคาญกว่านี้เขาก็เคยเจอมาแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วเฉิงอวี้ยังถือว่าไม่เท่าไร เขากวาดตามองสมุดโทรศัพท์ ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายชื่อ ‘เฉิงอวี้’ แต่ปากก็ยังแข็ง
“ไม่ได้เขียนผิดซะหน่อย ฉันแค่ใช้ตัวพ้องเสียง พี่ก็ไม่ใช่ครู จะมาลงโทษให้คัดทำไม”
เฉิงอวี้แค่พูดไปอย่างนั้น รู้สึกว่าเด็กคนนี้แกล้งแล้วสนุกดีเลยอดเคาะหน้าผากเขาเบาๆ ไม่ได้ “คัดสิบรอบ เดี๋ยวฉันกลับมาตรวจ”
“ทำไมเหมือนแม่ฉันเลย…” เขาบ่นพึมพำ
เฉิงอวี้ว่า “ฉันไปล่ะ ถ้าจับหิ่งห้อยได้ก็โทรมานะ”
“อืม”
ก่อนกลับเฉิงอวี้ยังขอเบอร์โทรศัพท์บ้านของเซวียโย่วข่าไปด้วย
เซวียโย่วข่าเดินไปส่งอีกฝ่ายถึงหน้าบ้าน พอย่าเห็นเขากลับมาพอดีเลยถามว่า “หมี่หมี่ เมื่อกี้หู่ผีมาหาเหรอ”
เซวียโย่วข่าพยักหน้าแบบขอไปที ไม่ได้บอกว่าเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่
“ย่า เดี๋ยวนี้บนเขายังมีหิ่งห้อยอยู่ไหม”
“ช่วงนี้เหรอ ย่าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้ยินคนเขาว่ามีอยู่นะ”
เซวียโย่วข่าไม่ได้เรียกปู่ แต่ไปลากหู่ผีขึ้นเขาไปจับหิ่งห้อยด้วยกัน ท้องฟ้ามืดแล้ว ทั้งสองถือไฟฉายเดินวนอยู่บนภูเขารอบหนึ่ง ทว่ากลับไม่เจอหิ่งห้อยแม้แต่ครึ่งตัว
หู่ผีถาม “เซวียโย่วข่า จู่ๆ ทำไมนายถึงอยากจับหิ่งห้อยขึ้นมาเนี่ย”
“จับมา…เล่นน่ะ”
“แถวบ้านเราไม่มีหรอก แต่ฉันได้ยินมาว่าที่เขาจงซานน่ะยังมีอยู่”
เขาจงซานอยู่ไกลพอสมควร ถ้าจะไปจากตรงนี้ต้องใช้เวลาขับรถครึ่งชั่วโมง
เซวียโย่วข่าถอนหายใจ ไกลขนาดนั้นเขาจะไปจับหิ่งห้อยให้เฉิงอวี้คนเดียวได้อย่างไร
ตอนลงจากเขา หู่ผีถือไฟฉายเดินนำหน้า ส่วนเซวียโย่วข่าเดินตามหลัง แต่ดันเหยียบตะไคร่น้ำ พื้นรองเท้าลื่นไถลทำให้ล้มลงไป
“โอ๊ย…” เขานั่งอยู่บนพื้น
หู่ผีได้ยินก็รีบหันกลับมาดูเขาทันที “นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”
“ไม่เป็นไร ข้อเท้าไม่พลิก แค่ถลอกเฉยๆ” ภายใต้แสงไฟฉายเซวียโย่วข่ารีบดึงขากางเกงขึ้นดู น่องขาทั้งสองข้างถลอกหมด แต่ขาขวาหนักกว่าหน่อย ตรงข้อเท้ามีเลือดซึมออกมาด้วย
หู่ผีก้มดูแผลเขาอย่างละเอียด “ก็หนักอยู่นะ เดินไหวเหรอ งั้นฉันลงไปเรียกคนมาอุ้มนายไหม”
“เว่อร์ไปไหมเนี่ย” เซวียโย่วข่าค่อยๆ ยืนขึ้นแล้วเช็ดดินบนฝ่ามือ แต่กลับพบว่าฝ่ามือก็ถลอกจนมีเลือดซึมเหมือนกัน แต่เขาไม่สนใจ “แค่นี้น่ะเหรอ ยังไม่เจ็บเท่าตอนขลิบเลย”
หู่ผี “…”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ความเร็วของฝีเท้าตอนเดินลงจากเขาก็ช้าลงจริงๆ เซวียโย่วข่าเดินกะเผลกเล็กน้อย แต่เขาโตมาในชนบท หกล้มจนเป็นเรื่องปกติ แผลแค่นี้ไม่นับเป็นอะไร ถึงขั้นขี้เกียจทายาด้วยซ้ำ แค่ใช้ผ้าเช็ดแล้วก็ปล่อยไป
ในเมื่อจับหิ่งห้อยไม่ได้ เขาเลยไม่ได้โทรหาเฉิงอวี้ เซวียโย่วข่านั่งอยู่ใต้หลอดไฟแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้านที่เหอเสี่ยวโหยวสั่งไว้
จนกระทั่งผ่านไปสองวันเฉิงอวี้ถึงเป็นฝ่ายโทรมาเอง
“เซวียหมี่หมี่ หิ่งห้อยที่นายจะจับให้ฉันล่ะ” อยู่ที่นี่เฉิงอวี้เบื่อจะตายอยู่แล้ว ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่าง
“คือว่า…”
“จับไม่ได้เหรอ”
“อืม…บนเขาของเราไม่มีแล้ว” เขาตอบไปตามตรง “ได้ยินมาว่าต้องไปถึงยอดเขาจงซานถึงจะมี แต่ฉันเตรียมอย่างอื่นไว้ให้แทนแล้วนะ พี่อยากมาดูไหม”
“ลึกลับอะไรขนาดนั้น”
“มาแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง!”
เฉิงอวี้ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเชื่ออีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ พอเจ้าตัวบอกตาเสร็จก็ออกจากบ้านไปทันที
“ตอนบ่ายที่บ้านเธอไม่มีใครอยู่เลยเหรอ” ตอนที่เฉิงอวี้มาถึงก็พบว่าไม่มีใครอยู่บ้านอีกแล้ว
“ย่าไปเล่นไพ่น่ะ”
“แล้วปู่ล่ะ”
“ไปนั่งดื่มชา”
“ไม่พาเธอไปด้วยเหรอ”
“ฉันไม่เล่นไพ่แล้วก็ไม่ดื่มชา จะพาไปทำไม”
เฉิงอวี้ว่า “แล้วเธอเตรียมอะไรไว้ให้ฉันล่ะ”
“พี่ขึ้นไปดูก็รู้เองแหละ!”
เฉิงอวี้ยืนอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ สีหน้าดูแข็งทื่ออึดอัดอยู่พักหนึ่ง
เซวียโย่วข่าดันเขาเบาๆ “ขึ้นไปสิ”
เฉิงอวี้สงสัยจริงๆ ว่าเด็กนี่เตรียมเซอร์ไพรส์อะไรให้ตัวเองกันแน่
“อันนี้มันจะแข็งแรงเหรอ” เฉิงอวี้จับเชือกป่านไว้แล้วเหยียบขึ้นไป
“ทำไมจะไม่แข็งแรงล่ะ! ฉันปีนมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ หลายปีแล้วก็ยังไม่พังเลย”
เฉิงอวี้ปีนขึ้นไปก้าวต่อก้าวก็มาถึงด้านบนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกมือขึ้นเลิกม่านดอกไม้ผืนใหญ่ “เล็กแค่นี้เองเหรอ”
ข้างในค่อนข้างมืด แสงแดดอ่อนๆ ลอดเข้ามาจากรอยแยกของลำต้นที่เป็นโครงสร้างของบ้านต้นไม้เป็นริ้วๆ
“ข้างในมีแค่หมอนข้างหนึ่งใบกับลูกบอลสองลูก”
“นั่นคือลูกบอลเรืองแสง พี่ต้องนอนข้างใน” เซวียโย่วข่าที่ยืนอยู่ข้างล่างบอก
เฉิงอวี้ลองดมดู ไม่มีกลิ่นเหม็น มีแต่กลิ่นธรรมชาติของไม้ จึงค่อยๆ คลานเข้าไป
ทั้งชีวิตเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แม้จะบ่นอยู่ในใจ แต่ก็เหมือนถูกพลังงานลึกลับบางอย่างผลักให้ทำ เฉิงอวี้ขมวดคิ้ว บ้านต้นไม้คับแคบมาก เพียงแค่พลิกตัวหัวไหล่ก็ชนเข้ากับผนัง
เขานอนลง แต่ขายังยื่นออกมานอกบ้านต้นไม้
“แล้วไงต่อ” เฉิงอวี้ถาม
“ลองคลำดูซิว่ามีไฟฉายหรือเปล่า”
เฉิงอวี้เอนศีรษะพิงหมอนข้าง ก่อนจะคลำเจอไฟฉายกระบอกเล็ก
“พี่เปิดไฟฉายแล้วมองข้างบนดู”
เฉิงอวี้กดสวิตช์ไฟฉายแล้วมองขึ้นไปที่เพดานของบ้านต้นไม้
มันคือภาพท้องฟ้าที่มีดวงดาวพร่างพราวซึ่งตัดมาจากในหนังสือ
เฉิงอวี้ “…”
“เห็นไหม” เสียงของเซวียโย่วข่าลอยผ่านต้นไม้ขึ้นมา “นั่นคือกลุ่มเนบิวลาผีเสื้อ สวยไหม”
เฉิงอวี้จ้องภาพยับยู่ยี่ที่ถูกติดด้วยเทปใสไว้บนเพดานนิ่งๆ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจรู้สึกพิเศษอย่างบอกไม่ถูกนิดๆ
ที่บ้านเขามีกล้องโทรทรรศน์ เฉิงอวี้เคยเห็นท้องฟ้าที่มีดวงดาวพร่างพราวจริงๆ มาแล้ว แต่เพราะโรคหัวใจที่เกือบคร่าชีวิตตั้งแต่เกิด เขาจึงแทบไม่เคยไปไหนเลยนอกจากอยู่ในมาเก๊า พ่อแม่ก็ไม่ยอมให้เขาเสี่ยงขึ้นเครื่องบิน
นอกจากนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของบ้านอย่างห่อเหี่ยว เฉิงอวี้ก็แทบไม่มีอะไรให้ทำเลย
แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกภาพถ่ายยับๆ ใบนั้นกระแทกใจเข้าอย่างจังโดยที่ไม่สามารถอธิบายได้
ขณะที่เขากำลังคิดแบบนั้น ขาที่ยื่นอยู่นอกบ้านต้นไม้ก็เย็นวาบขึ้นมา เฉิงอวี้สะดุ้งเตะขาออกไปแล้วลุกขึ้นนั่งทันทีจนหน้าผากโขกเข้ากับเพดาน
เฉิงอวี้กัดฟันแน่นโดยไม่ได้ร้องออกมา
เขาทำหน้าเคร่งขรึม เมื่อเลิกม่านแล้วก้มลงไปดูก็เห็นเซวียโย่วข่าเกาะอยู่บนบันได
“เห็นว่ายุงเกาะขาพี่ เลยจะฉีดยากันยุงให้…”
ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นสเปรย์กันยุงที่หอมฉุนจนชวนอึดอัดเหมือนอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
หน้าผากของเฉิงอวี้ปวดตุบๆ เมื่อครู่ศีรษะของเขาโขกแรงไปจริงๆ
เซวียโย่วข่าได้ยินเสียงเมื่อครู่นี้ก็รู้ว่าเขาคงศีรษะโขกแน่ๆ ตอนนี้เลยรู้สึกผิดเล็กน้อย “ขอโทษนะพี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่เจ็บเลย พี่ชอบของข้างในไหม”
เฉิงอวี้ทำหน้านิ่ง “นี่คือที่เธอจะให้ฉันเหรอ”
เซวียโย่วข่าเห็นว่าเฉิงอวี้ไม่ชอบจริงๆ ก็ก้มหน้าอย่างรู้สึกเสียใจ เขาเงียบไปสักพักก่อนจะอธิบายเสียงอ่อย
“แต่บนเขาไม่มีหิ่งห้อยจริงๆ นี่นา…ฉันขึ้นไปหาให้พี่โดยเฉพาะเลยนะ”
“ไม่ใช่บอกว่าที่เขาจงซานมีเหรอ” เฉิงอวี้ปีนลงจากบันไดที่โคลงเคลงพลางลูบหน้าผากตัวเองไปด้วย
เหมือนจะปูดขึ้นมาแล้ว
“มันไกลเกินไป! ต้องขับรถไปตั้งครึ่งชั่วโมง ถ้าปั่นจักรยานก็สองชั่วโมงเลยนะ” ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขายังขี่จักรยานไม่ได้ เพราะเพิ่งผ่าตัดมาได้แค่เดือนเดียว
เซวียโย่วข่าทั้งน้อยใจทั้งโกรธ เขานั่งแปะลงบนไม้กระดกแล้วพับขากางเกงขึ้น เผยให้เห็นรอยช้ำกับแผลถลอกบนขาทั้งสองข้าง
“ฉันไปหาหิ่งห้อยให้พี่ ยังหกล้มอีก ดูสิ!”
เฉิงอวี้นิ่งอึ้ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะย่อตัวลงไปดู
ขาคู่นี้สวยมาก ไม่ได้ผอมเกินไป รูปร่างได้สัดส่วนและเรียวยาว เพียงแค่ตรงเข่ามีรอยฟกช้ำ ที่ด้านข้างขามีแผลถลอกที่ตกสะเก็ดแล้ว ส่วนสะเก็ดแผลที่ข้อเท้าดูจะมีสีเข้มกว่า แสดงให้เห็นว่าแผลตรงบริเวณนั้นรุนแรงกว่า
“ดูสิ! เพราะพี่บอกให้ไปจับหิ่งห้อยไงล่ะ ฉันเอาเงินไปคืนพี่ไม่ได้เหรอ ไม่อยากเล่นกับพี่แล้ว”
เฉิงอวี้มีสีหน้าย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม “แล้วเธอจะไปเล่นกับใครล่ะ”
“ฉันมีเพื่อน!”
“เด็กน้อย”
“อีกไม่กี่วันฉันก็เก็บเงินเอาไปคืนพี่ครบแล้ว ไม่จับหิ่งห้อยให้พี่แล้ว พี่ชอบนักก็ไปจับเองเลย!” ยิ่งพูดยิ่งเสียงดัง ยิ่งพูดยิ่งมั่นใจ ทำเอาเฉิงอวี้โกรธไม่ลง
ช่างเถอะ จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กผู้หญิงทำไม
“หมี่หมี่”
“หืม?” เขาขานรับอย่างลืมตัว
“ยังเจ็บอยู่ไหม”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่างกะทันหันทำให้เซวียโย่วข่ามึนงง เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างอึ้งๆ
“มะ…ไม่เจ็บแล้ว…”
“รอเดี๋ยวนะ” ว่าแล้วเฉิงอวี้ก็ลุกขึ้นเดินออกจากบ้านไปในตอนที่เซวียโย่วข่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว
เซวียโย่วข่ามึนงงยิ่งกว่าเดิม…
เฉิงอวี้เป็นคนที่นิสัยแปรปรวนที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ เมื่อครู่ยังทำหน้าดุใส่อยู่เลย แต่วินาทีต่อมากลับถามอย่างอ่อนโยนว่าเจ็บไหม แล้วอีกวินาทีต่อมาก็ทิ้งเขาไว้แล้วเดินหนีไป
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเฉิงอวี้เดินวนรอบหมู่บ้านจนคุ้นเคยแล้ว เขารู้ว่าตรงทางเข้าถนนมีร้านขายของชำเล็กๆ อยู่
มีแค่เด็กผู้หญิงอายุราวสิบขวบเฝ้าร้าน พอเห็นเฉิงอวี้เดินมาก็หน้าแดงแจ๋ทันที
เมืองเล็กๆ แบบนี้ไม่เคยเห็นผู้ชายแบบเขามาก่อน แต่งตัวสะอาดทันสมัย หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างผอมสูง พับแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นข้อศอกที่ได้รูปและแข็งแรง เป็นผลจากการเรียนฟันดาบและตีกลอง แค่มองแขนก็รู้ว่าถึงร่างกายเขาจะดูผอม แต่จริงๆ แล้วแข็งแรงมาก
“จะ…จะซื้ออะไรคะ” เด็กผู้หญิงถามด้วยภาษาถิ่น เฉิงอวี้พอจะฟังออก เขากวาดตามองร้านขายของชำ แต่ก็มีแต่ขนมขยะทั้งนั้น พวกล่าเถียว[1]* อะไรพวกนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นยี่ห้อที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เดาได้ว่าเซวียหมี่หมี่น่าจะชอบ แต่เขาก็ไม่ได้ซื้อ
“ขอไอติมแท่งหนึ่ง”
พอเปิดตู้แช่เฉิงอวี้ก็เอื้อมมือไปเลือก ปรากฏว่าเจอแต่ยี่ห้อโนเนมไม่รู้จักทั้งนั้น สุดท้ายเลยหยิบยี่ห้อเค่ออ้ายตัวมา
“เอาอันนี้แหละ” เฉิงอวี้จ่ายเงิน
พอกลับถึงบ้านของตระกูลเซวีย เซวียโย่วข่าก็ไม่ได้อยู่ที่ไม้กระดกแล้ว เมื่อเฉิงอวี้เดินขึ้นไปชั้นบนก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนอนอ่านการ์ตูนอยู่ในห้องตามคาด
เฉิงอวี้เคาะประตูที่เปิดอยู่สองทีเป็นการบอกว่าเขาเข้ามาแล้วนะ
“ซื้อของมาให้” เขาซ่อนไอศกรีมไว้ข้างหลัง
เซวียโย่วข่าตาไว “ไอติมโคน!”
“อืม” เฉิงอวี้ยื่นออกมา
“ซื้อให้ฉันเหรอ!!”
เฉิงอวี้เห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยว่าจากที่หมดอาลัยตายอยากอยู่ จู่ๆ ตอนนี้อีกฝ่ายกลับตาลุกวาวขึ้นมาทันที ดวงตาคู่นั้นกำลังเปล่งประกาย
เขารู้สึกขำและอดยิ้มไม่ได้ “ซื้อให้เธอ”
เซวียโย่วข่ากระโดดลงจากเตียง แต่ในขณะที่กำลังจะคว้าเค่ออ้ายตัวจากมือเฉิงอวี้ อีกฝ่ายก็ชักมือกลับ เซวียโย่วข่าที่คว้าได้แต่ความว่างเปล่าเลยมองเขาอีกที
เฉิงอวี้พูดเสียงเนิบ “ยังปวดท้องอยู่ไหม”
เซวียโย่วข่านึกว่าเขาหมายถึงวันก่อนที่กินอาหารทะเลแล้วปวดท้องเลยส่ายหน้า “หายตั้งนานแล้ว”
“อืม” เฉิงอวี้ยื่นไอศกรีมให้เขา
“ขอบคุณนะพี่!”
“แล้วขาล่ะ ยังโอเคไหม” เฉิงอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ
“ไม่เจ็บแล้ว!”
แม้แต่น้ำเสียงตอนพูดก็ต่างออกไป
“แค่กินไอติมก็ไม่เจ็บแล้วเหรอ ถกขากางเกงขึ้นให้ดูหน่อย”
เมื่อครู่เขาเห็นแค่ผ่านๆ ตอนนี้เมื่อมองให้ชัดๆ ก็พบว่าสะเก็ดแผลที่ขาสองข้างนั้นดูแย่จริงๆ เฉิงอวี้ยังนึกเป็นห่วงนิดหน่อยเลยมันจะเป็นแผลเป็น
เซวียโย่วข่าบอกว่าไม่เป็นไร “ตอนเด็กๆ ฉันเคยไปเล่นที่โรงงานเหล็กแล้วล้มก้นจ้ำเบ้า ถูกเหล็กเสียบเข้าก้น เย็บตั้งยี่สิบเข็ม แต่แทบไม่เป็นแผลเป็นเลย แล้วแผลนี่จะนับว่าเป็นอะไร กินไอติมแล้วเดี๋ยวก็หาย” เขาพูดพลางชำเลืองมองหน้าผากที่ขึ้นสีแดงของเฉิงอวี้
ความสุขของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวช่างเรียบง่ายและบริสุทธิ์แบบนี้เอง
เฉิงอวี้ถึงกับคิดว่าในเมื่อไอศกรีมแท่งเดียวก็ทำให้เป็นแบบนี้ได้ งั้นถ้าให้สิบแท่ง…จะเชื่อฟังเขาทุกอย่างเลยไหม
“พี่ หน้าผากพี่โนนะ”
เฉิงอวี้ชะงัก หยุดจินตนาการทุกอย่างทันที เส้นเลือดตรงหน้าผากเต้นตุบๆ
เซวียโย่วข่าลุกขึ้น ในมือถือโคนไอศกรีมที่ค่อยๆ ละลายภายใต้อุณหภูมิกลางฤดูร้อน กลิ่นหอมของไอศกรีมฟุ้งไปทั่วห้อง
เขานั่งลงข้างเตียงพลางเอ่ยเสียงเบา “พี่ย่อตัวลงหน่อย ฉันจะเป่าให้”
บทที่ 12
ด้วยมิตรภาพของไอศกรีมโคนนี้ เซวียโย่วข่าเลยหายโกรธเขา เฉิงอวี้ให้อีกฝ่ายเป่าลมร้อนกลิ่นช็อกโกแลตสองสามทีด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็เบือนหน้าหนี
“พอแล้วๆ”
“งั้นยังเจ็บอยู่ไหม”
“ฉันไม่ใช่เธอ”
“อ๋อ” เซวียโย่วข่าพูดหลังจากที่กินเสร็จ “งั้นวันหลังฉันจะไปจับหิ่งห้อยที่เขาจงซานให้พี่นะ แต่ต้องไปตอนกลางคืนนะถึงจะมี…ต้องให้ปู่พาไป”
“ไม่ต้องไปแล้ว” เฉิงอวี้ตอบ
“แต่พี่อยากดูไม่ใช่เหรอ”
“ตอนนี้ไม่อยากดูแล้ว” เฉิงอวี้ทำหน้าบึ้งเหมือนไม่พอใจเอามากๆ “ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”
“ถึงฉันจะดีใจมากที่พี่จะไม่ให้ไปจับ แต่ฉันก็ยังอยากบอกว่าเวลากลางคืนถ้าจับหิ่งห้อยมาไว้ในมุ้งตอนนอนมันจะสวยมากเลยนะ เหมือนดาวในภาพฝันเลย…” เนื่องจากคลังคำศัพท์ของเขามีจำกัด เลยอธิบายความรู้สึกนั้นในความทรงจำไม่ได้ “หลายอย่างสมัยเด็กฉันก็ลืมไปหมดแล้ว แต่มีปีหนึ่งไม่รู้ตอนนั้นอายุเท่าไร จู่ๆ พ่อก็จับหิ่งห้อยใส่ขวดแก้วให้ขวดหนึ่งแล้วเอามาปล่อยในมุ้ง ฉันกับพ่อนอนอยู่บนเตียงแล้วตั้งชื่อให้พวกมันทีละตัวๆ เลย”
“…”
“แต่ตอนนี้หิ่งห้อยเหลือน้อยลงแล้ว พ่อมีเวลาน้อยลงด้วย” เซวียโย่วข่าเท้าคางนั่งถอนหายใจเศร้าๆ อยู่บนเตียง “วันนั้นที่ไม่ได้จับหิ่งห้อยให้พี่ ฉันฝันว่าฉันกำลังปีนเขาจงซานแล้วจับหิ่งห้อยมาได้เยอะมากเลย” เขาคิดว่าถึงเฉิงอวี้จะไม่ค่อยยิ้ม แต่ถ้าได้เห็นอะไรสวยๆ งามๆ แบบนั้นจะต้องยิ้มออกแน่
เฉิงอวี้คุยเรื่องตอนเด็กกับเขาได้สักพักก็ได้ยินเสียงคนกลับมาถึงบ้าน
เซวียโย่วข่าชะโงกศีรษะออกไปมอง “ย่ากลับมาจากเล่นไพ่แล้ว”
“งั้นฉันกลับก่อนนะ” เฉิงอวี้ลุกขึ้น
“เดี๋ยวฉันไปส่ง” เซวียโย่วข่าพาเขาลงไปชั้นล่าง แต่พอเห็นย่าอยู่ที่ลานบ้านก็รีบดึงเฉิงอวี้ไปทางประตูหลัง
บริเวณหลังบ้านล้อมคอกเลี้ยงไก่ไว้ ทันทีที่เปิดประตูกลิ่นเหม็นที่อธิบายไม่ถูกก็ตีขึ้นมาทันที…
ขี้ไก่ที่กองอยู่เต็มพื้นก็ได้ให้คำตอบนั้นกับเขาแล้ว
“ออกทางนี้เหรอ งั้นฉันออกประตูหน้าดีกว่า”
“รอแป๊บนึง” เซวียโย่วข่าเปิดประตูคอกไก่ ก่อนจะหยิบไข่จากรังมาได้สองฟอง โดยหลังจากที่ล้างน้ำสะอาดแล้วก็ส่งให้เฉิงอวี้ “ให้ไข่ไก่สองฟอง วันนี้แม่ไก่เพิ่งออกไข่ บำรุงได้ดีมากเลยนะ”
เฉิงอวี้มองไข่ไก่เปียกน้ำสองฟองนั้นด้วยแววตาซับซ้อน ไม่รู้จะรับดีหรือไม่รับดี
“เอาไปเถอะ! ไม่ต้องเกรงใจ” เซวียโย่วข่ายัดไข่ไก่ใส่มือเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็คว้าข้อมือพาเขาเดินออกไปทางหลังบ้านทันที
เฉิงอวี้สูดหายใจเข้าลึกแล้วกลั้นหายใจ ก้าวย่องหลบขี้ไก่บนพื้นด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ
“ออกทางนี้ ย่าจะได้ไม่รู้ว่าพี่มา”
“ฉันถึงกับต้องหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้เลยเหรอ”
“ก็ไม่เชิง” เขารู้ว่าย่าเป็นคนชอบต้อนรับแขก ถ้าย่าเห็นเฉิงอวี้เข้าจะต้องชวนกินข้าวเย็นแน่นอน แล้วก็ต้องมาเหนื่อยทำอาหารเต็มโต๊ะ เซวียโย่วข่าทนเห็นย่าเหนื่อยขนาดนั้นไม่ได้ แต่จะพูดตรงๆ กับเฉิงอวี้ก็ไม่ได้อีก เขาจึงบอกว่า “ฉันเขินที่จะให้ย่าเห็นพี่น่ะ”
“เขินอะไรของเธอ”
พอพ้นจากบริเวณที่มีขี้ไก่ เฉิงอวี้ถึงได้หายใจสะดวก
“ก็เขินแหละ…” เซวียโย่วข่าคิดจนหัวแทบแตกก็ยังหาคำอธิบายดีๆ ไม่ได้
เฉิงอวี้เหมือนมองทะลุใจเขา เลยยิ้มน้อยๆ ในใจโดยไม่ซักไซ้ไล่เลียง
พอเฉิงอวี้กลับถึงบ้าน นกแก้วก็จามหนึ่งที ตากำลังจิบชาอยู่ เมื่อเห็นเขากลับมาก็เอ่ยถาม “ตอนบ่ายไปหาแม่หนูคนนั้นเหรอ”
“ไปเก็บเงินครับ”
“จริงเหรอ” ตาไม่เชื่อ เพราะเฉิงอวี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน ต่อให้สร้อยทองตกพื้นยังขี้เกียจจะก้มเก็บเลย
“ไม่ได้เก็บเงินหรอกครับ” ไม่ใช่แค่ไม่เก็บ ยังเสียค่าไอศกรีมไปโคนหนึ่ง “เขาให้ไข่ไก่มาสองฟองแทน”
เฉิงอวี้ถือไข่ไก่สองฟองกลับมาจริงๆ
พอตาเห็นไข่ไก่เข้าก็หัวเราะเสียงดัง จากนั้นเฉิงอวี้ก็บอกว่าจะขึ้นไปชั้นบนแล้ว
ลุงเว่ยมองเขาเดินถือไข่ไก่ขึ้นไปก็ลูบผมสีดอกเลาของตัวเองแล้วกระซิบกับตาว่า “หรือว่าเสี่ยวอวี้กำลังมีความรัก”
“ก็ไม่แน่ ฉันว่าถึงจะไม่ใช่แบบนั้น แต่หลานคนนี้ต้องชอบเขาเข้าแล้วแน่ๆ”
ลุงเว่ยรู้สึกเหลือเชื่อ คุณชายใหญ่ตระกูลเฉิงผู้สูงส่ง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา อารมณ์ก็ร้ายขนาดนั้น ดันยอมเสียเวลายี่สิบนาทีเดินไปหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อทวงเงิน จากนั้นก็กลับมาพร้อมไข่ไก่สองฟอง…
แถมยังเอาไข่ไก่ขึ้นไปไว้บนห้องอีก
“ตาครับ” เสียงดังลงมาจากชั้นบน “ที่บ้านมียาทาลดรอยแผลเป็นไหมครับ”
“ต้องหาดูก่อนนะ เสี่ยวอวี้ หลานบาดเจ็บเหรอ”
เฉิงอวี้บอกว่าแค่เป็นแผลเล็กๆ ที่ขา ก่อนหน้านี้ไม่ได้สังเกต ไม่ได้เป็นอะไรมาก
ผ่านไปสักพักเฉิงอวี้ก็ถามอีกว่า “ตาครับ ที่บ้านมีมุ้งไหม” และ “ตาครับ พรุ่งนี้ตอนกลางวันเราไปเขาจงซานกันไหม”
“หมี่หมี่” ตอนเช้าย่าได้เอาหมาทง ที่เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ ใส่ลงในตะกร้า “เอาไปให้บ้านปู่ผีหน่อยสิ”
หมายถึงปู่ของหู่ผีนั่นเอง
เซวียโย่วข่ารับคำสั่ง เขาต้องเอาหนังสือการ์ตูนสองสามเล่มไปคืนหู่ผีพอดีจึงหยิบตะกร้าแล้วตรงไปที่บ้านหู่ผี เขากับหู่ผีแลกการ์ตูนกันอ่านบ่อยๆ ซึ่งก็ยังมีหนังสือของเขาอีกหลายเล่มอยู่ที่บ้านนั้น
พอมาถึงหน้าลานบ้านของหู่ผี ยังไม่ทันเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเขา
โดนตีอีกแล้วเหรอ
มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
เซวียโย่วข่าคิดว่าจะเข้าไปดีไหม จะได้ช่วยหู่ผีพอดี แต่ก็ได้ยินหู่ผีร้องว่า “ผมไม่ได้ขโมยนะ! ผมไม่ได้ขโมยเงิน!”
“ถ้างั้นใครขโมยเงินยี่สิบหยวนล่ะ นอกจากแกจะมีใครอีก! คุกเข่าซะ!”
เซวียโย่วข่าแอบมองเข้าไปทางช่องประตู
หู่ผีคุกเข่าร้องไห้ฟูมฟายอยู่กับพื้น “ไม่ใช่ผมนะ ต้องมีขโมยเข้าบ้านแน่ๆ!”
“ขโมยจะเข้าห้องแม่แกมาขโมยแค่ยี่สิบหยวนเหรอ ทำไมมันไม่ขโมยทีวีไปด้วยล่ะ!”
“ที…ทีวีมันใหญ่เกินไป ขโมยไม่โง่นะ…แต่ยังไงก็ไม่ใช่ผม!”
แม่ของหู่ผีทั้งโมโหทั้งขำ เลยฟาดเขาทีหนึ่ง “ยังจะไม่ยอมรับอีกเรอะ!”
“อ๊า ไม่ใช่ผมจริงๆ แม่…แม่! อย่าตีผมเลย!”
“ถ้าไม่ใช่แกแล้วใครล่ะ”
“คือ…คือ…เพื่อนครับ! พวกเขามาดูการ์ตูนที่บ้านผม อาจจะเป็นพวกเขาก็ได้”
“ลูกหมายถึงเซวียโย่วข่า”
“ผมไม่รู้อ่า แต่อย่าตีผมเลย โอ๊ยยย เจ็บ…ยังไงก็ไม่ใช่ผมนะ!”
“นอกจากเขา ใครจะมาดูการ์ตูนบ้านเราอีก! วิตามินซีคราวก่อนเขาก็แอบกินใช่ไหม! ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วนะ! อย่าไปเล่นกับเขาให้มาก! ไม่รู้หรือไงว่าพ่อเขาเล่นการพนันอยู่ข้างนอก วันหลังถ้ามาขอยืมเงินบ้านเรา ฉันจะดูซิว่าแกจะทำยังไง!”
“…”
“ครั้งหน้าถ้าเขามาอีกก็เก็บเงินในบ้านให้หมด!”
เซวียโย่วข่ากอดตะกร้ายืนอยู่ข้างนอก ใบหน้าเล็กๆ ห่อเหี่ยวจนย่นไปหมดทั้งหน้า
เขากอดตะกร้าวิ่งหนีออกมา แต่ไม่ได้กลับบ้าน เขาไปนั่งอยู่ที่เขื่อนกั้นน้ำ กินหมาทงร้อนๆ ไปหลายคำด้วยความโมโห
เขาไม่อยากไปหาหู่ผีแล้ว
แล้วหมาทงพวกนี้จะทำยังไงดี
จะกินเองหมดเลยเหรอ
ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำมีบ้านเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ และมันก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเซวียโย่วข่าพอดี
เขายังเป็นหนี้เฉิงอวี้อยู่ แถมเฉิงอวี้ยังซื้อไอศกรีมให้เขาอีก ชัดเจนแล้วว่าไข่ไก่สองฟองไม่พอใช้หนี้อย่างแน่นอน
แต่พอเซวียโย่วข่าไปถึงก็กลับพบว่าไม่มีใครอยู่บ้าน รถก็ไม่อยู่ ดูท่าแล้วคงออกไปข้างนอกกันหมด เขาได้ยินเสียงจามแว่วๆ เขาจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของนกแก้ว
คราวนี้เซวียโย่วข่าไม่ต้องรอนาน พอได้ยินเสียงรถยนต์แล่นมา เขาก็ลุกขึ้นยืน
“อ้าว?” ลุงเว่ยเห็นเขาก็หันไปมองเฉิงอวี้ คุณชายใหญ่ที่เมื่อครู่ยังง่วงอยู่ในรถ ตอนนี้กลับดูสดชื่นขึ้นแล้ว
“ลุง นี่หมาทงที่ย่าเพิ่งทอด” เซวียโย่วข่ารีบบอกจุดประสงค์ “หนูตั้งใจเอามาให้พวกลุงชิม”
“ย่าทำเองเหรอ แล้วตั้งใจเอามาให้เลยเหรอ” ตานึกชื่นชมความมีน้ำใจของผู้คนละแวกนี้ขึ้นมาอีกครั้ง “หนูไม่น่าลำบากเลย เกรงใจจริงๆ วันนี้พวกเราซื้อเงาะมานิดหน่อย เดี๋ยวเอากลับไปฝากย่าหน่อยนะ”
“ไม่ลำบากเลย หนูเดินผ่านทางลัดในทุ่งมา แค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว” เขายื่นตะกร้าให้ จากนั้นลุงเว่ยก็เปิดประตู และพอเฉิงอวี้ล้างมือเสร็จก็หยิบขนมมาชิมหนึ่งชิ้น
เซวียโย่วข่ากินเงาะที่ลุงเว่ยให้ ก่อนจะถามว่า “ลุง พวกลุงไปเที่ยวในเมืองกันเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก เฉิงอวี้เขาบอกว่าจะไปเขาจง…”
“ลุงเว่ย” เฉิงอวี้ที่กำลังกินหมาทงรีบขัดขึ้น “ผมพาเขาขึ้นไปข้างบนก่อนนะ”
ตอนเซวียโย่วข่าเดินตามเฉิงอวี้ขึ้นบันไดไปชั้นบนก็ยังถามว่า “พวกพี่ไปเที่ยวที่ไหนกันเหรอ สนุกไหม”
“ไม่เกี่ยวกับเธอ”
เซวียโย่วข่าชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
พอเฉิงอวี้พูดจบก็รู้ตัวว่าใช้คำพูดแรงไปหน่อย “ไปปีนเขาแถวๆ นี้แหละ แล้วเธอล่ะ ไม่ใช่บอกว่าจะไม่เล่นกับฉันแล้วเหรอ”
“ฉันพูดตอนไหน”
เฉิงอวี้เดินเข้าห้องแล้วมองไปที่เขา “เมื่อวานนายพูดเองว่าจะไปเล่นกับเพื่อนซี้ ลืมแล้วเหรอ”
“ฉันไม่เล่นกับเขาแล้ว”
เซวียโย่วข่าเดินเข้าไปในห้องเขา สิ่งแรกที่ทำคือลอบมองไปที่คอมพิวเตอร์ แต่ปรากฏว่าเขาเห็นเฉิงอวี้วางไข่ไก่เอาไว้บนโต๊ะโดยพับผ้าขนหนูรองเอาไว้
ไข่สองฟองนั้นดูอย่างไรก็เหมือนไข่ที่แม่ไก่บ้านเขาเพิ่งออก
เซวียโย่วข่ารู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ในขณะที่กำลังจะถามก็เห็นเฉิงอวี้หยิบเอกสารปึกหนึ่งมาบังไข่ไว้พลางทำหน้านิ่ง
“ฉันแค่อยากลองดูว่ามันจะฟักเป็นลูกเจี๊ยบได้ไหม”
เซวียโย่วข่า “ที่บ้านฉันไม่มีไก่ตัวผู้นะ”
“…”
“แล้วฟักลูกเจี๊ยบก็ไม่ได้ฟักแบบนี้ พี่ต้อง…”
เฉิงอวี้ไม่สนใจเรื่องวิธีฟักไข่หรอก
“แล้วเพื่อนซี้ของเธอนั่นล่ะ” เขาเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมไม่เล่นกับเขาแล้ว”
“ก็แค่…” พอพูดถึงหู่ผีก็อดนึกถึงคำพูดที่ได้ยินตรงหน้าบ้านอีกฝ่ายไม่ได้ ในใจเขารู้สึกเสียใจ เซวียโย่วข่าหันหน้าหนีเล็กน้อย ไม่ยอมมองเฉิงอวี้ “ฉันไม่อยากเล่นกับเขาแล้ว” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “ฉันชอบเล่นกับพี่มากกว่า”
เฉิงอวี้คิดในใจว่าไอ้คนชื่อหู่ผีนั่นต้องหน้าตาขี้เหร่มากแน่ๆ
เขาไล่สายตาไปตามผมสีดำของอีกฝ่าย แล้วก็เห็นใบหูที่โผล่พ้นไรผมออกมา เฉิงอวี้สังเกตเห็นใบไม้ติดอยู่ในผม คงเพราะตอนมาเซวียโย่วข่าลัดมาจากทางป่าจึงเกี่ยวโดนต้นไม้เข้าโดยไม่รู้ตัว
“เซวียหมี่หมี่” เฉิงอวี้ยกมือขึ้นแหวกผมสั้นของเขาเพื่อเอาใบไม้ออก ก่อนจะพูดเสียงเนิบ “คืนนี้อยู่ต่อก่อน เดี๋ยวจะให้ดูอะไร”
“ดูอะไรเหรอ” เซวียโย่วข่ารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังลูบศีรษะเขา แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน
“เธอต้องชอบแน่ๆ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.