ทดลองอ่านเรื่อง แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : ซุ่ยหมาง (睡芒)
แปลโดย : G.N Voyager
ผลงานเรื่อง : 满天星 (Man Tian Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบูลลี่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 13
“ของดีอะไรเหรอ”
“เธอเป็นเจ้าหนูจำไมหรือไง ถึงถามเยอะขนาดนี้ ถ้าถามอีกทีจะไม่ให้ดูแล้วนะ”
“ฉันผิดไปแล้ว” เซวียโย่วข่าอยากรู้อยากเห็นจริงๆ และกำลังคิดว่าจะเป็นสิ่งที่ตัวเองชอบหรือของอร่อยอะไร เขาลังเลแล้วพูดว่า “แต่พี่ คืนนี้ฉันต้องกลับบ้าน ของดีนั่นวันหลังค่อยมาดูได้ไหม”
“มีธุระเหรอ”
“พรุ่งนี้วันเกิดแม่ คืนนี้ฉันต้องกลับบ้าน พ่อก็จะกลับมาด้วย ของดีนั่น…พี่ให้ดูตอนนี้ได้ไหม”
เฉิงอวี้ทำหน้านิ่ง “ไม่ได้”
“อ้อ…”
“พรุ่งนี้เย็นฉันจะไปรับเธอ เธออยู่บ้านไหน”
เซวียโย่วข่าคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “พรุ่งนี้กินข้าวเย็นเสร็จฉันจะให้พ่อไปส่งที่บ้านย่า แล้วค่อยแอบออกมาหาพี่ แต่ถ้ามืดแล้วฉันไม่กล้ามาคนเดียว”
“ทำไมใจเสาะขนาดนี้นะ” เฉิงอวี้ตำหนิ “เอาเถอะ ฉันกับลุงเว่ยจะไปรับเธอเอง”
ตอนที่เซวียโย่วข่าจะกลับ เฉิงอวี้ก็หยิบกล่องยามาให้เขากล่องหนึ่ง
“นี่คืออะไรเหรอ”
“ยาลดรอยแผลเป็น เอาไปซะ”
“ฉันจะเอายาลดรอยแผลเป็นไปทำไม ไม่เอา…”
“พูดมากน่า” เฉิงอวี้โยนยาใส่ตัวเขา
เซวียโย่วข่าตกใจรีบเอื้อมมือไปรับ พอเห็นคุณชายใหญ่ทำท่าทางไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ เลยได้แต่เก็บยาใส่กระเป๋ากางเกง
เฉิงอวี้คนนี้นิสัยแปลกยิ่งกว่าฟางหลี่ฉิงที่เติบโตมาแบบอยู่ดีกินดีเสียอีก ถ้าอย่างฟางหลี่ฉิงเรียกว่านิสัยเจ้าหญิง เฉิงอวี้ก็คงจะเป็นเจ้าหญิงอีกคน แต่ถึงอย่างนั้นเซวียโย่วข่าก็ชอบเขามากกว่าที่ชอบลูกพี่ลูกน้องของตัวเองเสียอีก
ตอนเหอเสี่ยวโหยวให้กำเนิดเซวียโย่วข่า เธอเพิ่งเรียนจบจากวิทยาลัยการแพทย์ ปีนี้เธอเพิ่งอายุสามสิบเอ็ด ถ้าดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว เธอยังดูเหมือนหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ อยู่เลย เรียกได้ว่ายังสาวและสวยมากจริงๆ
วันเกิดปีนี้จัดที่บ้านของอา เพราะบ้านเดี่ยวของอานั้นกว้างขวาง ทั้งห้องรับแขกและห้องครัวก็ใหญ่ ถ้าจัดปาร์ตี้ทั้งครอบครัวก็ไม่อึดอัด แถมห้องครัวยังทันสมัยมาก ทั้งยังมีแม่บ้านของอาเป็นคนทำอาหารให้ เหอเสี่ยวโหยวเลิกงานแล้วก็กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่กำลังจะไปรับเซวียโย่วข่าเพื่อพาไปที่บ้านลูกพี่ลูกน้องของเขาก็เห็นลูกชายเดินออกมาพร้อมกอดกล่องของขวัญที่ห่ออย่างสวยงามเอาไว้ในอ้อมแขน
“แม่ นี่ของขวัญที่ซื้อให้แม่ ลองแกะดูนะ”
เหอเสี่ยวโหยวทั้งประหลาดใจและดีใจ ไม่รู้จะพูดอะไรดี “ลูกคนนี้นี่…”
ปีก่อนๆ ลูกชายก็เคยซื้อของขวัญให้เธอ ทั้งลูกโลกคริสตัล กล่องดนตรี หรือกิ๊บติดผม เซวียโย่วข่าเริ่มรู้จักให้ของขวัญวันเกิดและฉลองวันเกิดให้เธอตั้งแต่ยังเล็กๆ วันแม่ก็ยังซื้อดอกคาร์เนชั่นช่อเล็กๆ มาให้ด้วย
แต่ปีนี้ไม่คิดไม่ฝันว่าลูกชายจะซื้อรองเท้าหนังแกะสีแดงหรูหราให้เธอหนึ่งคู่
“รองเท้านี่…หมี่หมี่ ลูกใช้เงินซื้อมาเท่าไร ลูกเอาเงินมาจากไหน”
ปฏิกิริยาของเหอเสี่ยวโหยวเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง
“เก็บเงินไปซื้อ แม่ชอบไหม นี่ซื้อไซส์แม่เลยนะ ลองใส่ดูนะว่าใส่ได้พอดีไหม”
“ทำไมใช้เงินฟุ่มเฟือยแบบนี้! นี่ นี่มันต้องแพงมากแน่ๆ” เหอเสี่ยวโหยวรู้จักแบรนด์นี้ดีจึงรู้ว่าไม่ใช่ของราคาถูก หมี่หมี่เองก็เพิ่งสิบเอ็ดขวบ แต่ดันซื้ออะไรแบบนี้มาให้เธอ
“ไม่แพงหรอก” เขาอ้ำอึ้งอธิบาย “แม่ลืมแล้วเหรอ แม่ของเพื่อนร่วมชั้นหนูขายยี่ห้อนี้อยู่ เลยได้ส่วนลดจากป้าเขา ไม่ได้ใช้เงินเยอะเลยนะ”
“ลูกใช้เงินมือเติบแบบนี้ แสดงว่าที่ผ่านมาแม่ให้เงินลูกเยอะเกินไปใช่ไหมเนี่ย! ลูกนี่…”
เซวียเทียนเลี่ยงขัดขึ้น “น้ำใจของลูก เธอก็อย่าไปว่าเขาแบบนั้นเลย ฉลองวันเกิดทั้งที สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความสุข ไม่ใช่รองเท้าคู่เดียวซะหน่อย มันจะแพงอะไรนักหนา”
สุดท้ายเหอเสี่ยวโหยวก็พูดว่า “ต่อไปจะไม่ให้เงินค่าขนมเยอะแล้วนะ แอบซื้อของแพงแบบนี้ แล้วยังคืนไม่ได้อีกต่างหาก”
เธอสวมรองเท้าใหม่แล้วจูงมือเซวียโย่วข่าไปบ้านอา
ที่บ้านจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ที่ผนังห้องรับแขกติดลูกโป่งตัวอักษรคำว่า ‘HAPPY BIRTHDAY’ ตรงกลางผ้าปูโต๊ะตัวยาวประดับด้วยเทียนเล่มยาวที่จุดไว้หลายเล่ม แสงเทียนดูไม่โดดเด่นนักเมื่ออยู่ท่ามกลางการตกแต่งสไตล์ยุโรปสุดหรู ดอกเดซี่ช่อเล็กในแจกันทอดเงาลงบนภาพวาดสีน้ำมันรูปดอกไม้ที่ประดับอยู่บนผนังห้องอาหาร
ตั้งแต่บ้านอาร่ำรวยขึ้น เซวียโย่วข่าก็จำได้ว่าครั้งแรกที่มาบ้านของพวกเขานั้นเขาตกใจมาก รู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในวังเลย
“วันนี้ไม่ใช่แค่ฉลองวันเกิดให้พี่สะใภ้นะ” อากล่าว “แต่เป็นงานเลี้ยงส่งด้วย อีกสองวันฉันกับฉิงฉิงจะไปปักกิ่งกันแล้ว ต่อไปคงต้องรอจนกว่าฉิงฉิงจะปิดเทอมถึงจะได้กลับมา”
“จะไปอีกสองวันเหรอ ไวจัง!”
อาหารมื้อนี้เปลี่ยนจากงานเลี้ยงวันเกิดของเหอเสี่ยวโหยวมาเป็นงานเลี้ยงส่งครอบครัวของอา ส่วนเซวียเทียนเลี่ยงก็นั่งดื่มแข่งกับฟางไห่หมิงตลอดทั้งงาน
หลังมื้ออาหาร เซวียโย่วข่าเห็นว่าใกล้มืดแล้ว และสังเกตเห็นว่าอาถือถุงหูหิ้วสีน้ำตาลอ่อนออกมาจากห้อง
“พี่สะใภ้ นี่ของขวัญวันเกิดของพี่นะ สุขสันต์วันเกิดนะคะ ขอให้เป็นสาวสิบแปดทุกปีเลย”
พอเห็นถุงนั่นเหอเสี่ยวโหยวก็หน้าตาแจ่มใสขึ้นมาทันที เธอถึงกับไม่อยากเชื่อสายตาหน่อยๆ “น้องพี่ นี่…ทำไมเธอถึงซื้อของแพงขนาดนี้ให้พี่ล่ะ มันแพงเกินไปจริงๆ โอ๊ยตายแล้ว”
มันคือถุงของแบรนด์ LV ใบใหญ่ ดูเหมือนจะใส่กระเป๋าเอาไว้ข้างใน
พออาเขยเห็นกล่องนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
อาว่า “อ๋อ เพื่อนเล่นไพ่เธอไปเที่ยวต่างประเทศ ฉันเลยให้เธอซื้อกลับมาจากกรีซ ซื้อของที่กรีซถูกกว่าที่จีนตั้งหลายพัน พี่ไม่ต้องเกรงใจหรอก พวกเราจะเกรงใจกันไปทำไม ใบนี้เป็นกระเป๋า Neverfull จุของได้เยอะมาก พอดีเลยพี่จะได้เอาไว้ใช้ตอนไปทำงาน…” แล้วเธอก็พร่ำอธิบายว่ากระเป๋าใบนี้ดีแค่ไหน รวมถึงใส่ของได้เยอะแค่ไหนไม่หยุด
ถึงแม้เซวียโย่วข่าจะแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าไนกี้กับ Anta ต่างกันอย่างไร แต่สำหรับแบรนด์ที่ชื่อว่า LV นี่ เขาจำได้แม่น
อย่างอื่นไม่รู้หรอก รู้แค่ว่ามันแพงมาก พอได้ยินอาบอกว่า ‘ถูกกว่าที่จีนตั้งหลายพัน’ ตาก็แทบจะถลน
เซวียเทียนเลี่ยงดื่มไปเยอะมาก เซวียโย่วข่าเลยไม่กล้าขอให้พ่อไปส่ง ลูกพี่ลูกน้องก็กลับเข้าห้องไปแล้ว ส่วนเกาเกาที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลวันนี้ก็กำลังดูการ์ตูนอยู่ เซวียโย่วข่าหยิบช็อกโกแลตไส้เหล้าที่อาให้มากินไปหนึ่งชิ้น พอเกาเกาเห็นเข้าก็รีบเอาจานขนมที่อยู่บนโต๊ะไปซ่อนไว้ข้างหลังตัวเองทันที
เซวียโย่วข่าทำเป็นไม่เห็นอะไร ตั้งใจจะไปเรียกอามาถามว่าเธอจะไปส่งเขาที่บ้านย่าได้ไหม แต่พอเดินมาถึงหน้าห้องของอา เขาก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันดังแว่วมาจากข้างใน
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเอากระเป๋าจากโรงงานไปให้คนอื่น ทำไมไม่ฟัง!” เป็นเสียงของอาเขย
อาพูดขึ้นอย่างไม่ยี่หระ “แล้วมันจะเป็นไรล่ะ! ฉันไม่มีเวลาหาของขวัญไม่ใช่เหรอ ฉันยังแยกของจริงของปลอมไม่ออกเลย แล้วคุณคิดว่าพี่สะใภ้ฉันจะแยกออกหรือไง”
“เธอรู้ไหมว่าอันนี้มันมี…”
เซวียโย่วข่าที่อยู่ด้านนอกฟังไม่ชัดเพราะฟางหลี่ฉิงออกมาจากห้องพอดี เธอเหล่มองเขา “ยืนอยู่ตรงนี้ทำไม”
เซวียโย่วข่าหันไปมอง เห็นว่าเธอใส่เดรสสีขาวล้วน ดูเหมือนกำลังจะออกไปเจอใครสักคน
เขาถาม “พี่จะออกไปข้างนอกเหรอ”
“ก็จะไปปักกิ่งแล้วไง พวกเพื่อนฉันบอกว่าจะเลี้ยงส่ง เลยจะไปร้องคาราโอเกะกัน”
เซวียโย่วข่ากลอกตาไปมา แล้วจู่ๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมา “งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งพี่นะ!”
“นายจะไปส่งฉันเนี่ยนะ” ฟางหลี่ฉิงหมดคำจะพูดเล็กน้อย “ฉันจะออกไปก็เรียกแท็กซี่ นายจะไปส่งฉันขึ้นรถหรือไง”
“มืดแล้วนะ พี่ออกไปข้างนอกมันอันตราย เดี๋ยวรอแป๊บนึง!” เซวียโย่วข่าไปหาเหอเสี่ยวโหยวแล้วบอกว่า “แม่ ฟางหลี่ฉิงจะออกไปเที่ยว พี่เขาอยากให้หนูไปด้วย บอกว่าต่อไปจะไม่ได้เจอกันอีกหลายปี…หนูไปด้วยได้ไหม”
“ลูกจะไปกับฉิงฉิงเหรอ” ถึงเหอเสี่ยวโหยวจะนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก แต่ในใจก็อยากกลับบ้านไปแกะกล่องกระเป๋าเต็มที “พวกลูกจะไปไหนกัน”
“เพื่อนพี่เขานัดไปกินเซาเข่า[1]* อะไรทำนองนั้น ไม่นานก็กลับแล้ว”
“แล้วจะกลับกี่โมง แม่จะนั่งรอลูกที่นี่”
เมื่อเหอเสี่ยวโหยวเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าฟางหลี่ฉิงแต่งตัวสวยมาก เธอสวมเครื่องประดับผมที่เป็นมุก เชิดหน้าขึ้นเหมือนหงส์ขาวผู้สูงศักดิ์ กำลังยืนคุยโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิดอยู่ตรงประตู
เซวียโย่วข่าบอกว่าไม่ต้อง “เดี๋ยวหนูกลับพร้อมพี่ แล้วจะกลับบ้านเลย”
“ฉิงฉิง” เหอเสี่ยวโหยวเรียก “ช่วยดูน้องด้วยนะ อย่าปล่อยให้เขาวิ่งพล่านหรือเที่ยวจนดึกเกินไป”
ฟางหลี่ฉิงได้ยินแล้วก็เหลือบตามามองเซวียโย่วข่าแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
เซวียโย่วข่าออกไปกับเธอ ฟางหลี่ฉิงยืนรอรถแท็กซี่อยู่ข้างถนนพลางจ้องมองเขา “เซวียโย่วข่า นายอยากไปเล่นเน็ตที่ร้านเน็ตใช่ไหม”
“ไม่ใช่นะ ฉันแค่มาส่งพี่ พอพี่ขึ้นรถแล้วฉันก็จะกลับบ้านเลย” เขายิ้มให้เธอแบบไร้เดียงสา
“จะทำอะไรก็เรื่องของนายเถอะ นายอยากจะไปไหนก็ไป แต่ถ้าแม่นายโทรมา ฉันไม่ช่วยนายโกหกแน่”
พอรถแท็กซี่มาถึง ฟางหลี่ฉิงก็ขึ้นรถไป เซวียโย่วข่าบอกลาเธอ แต่เธอไม่ตอบอะไร ก่อนจะบอกคนขับให้ออกรถทันที
ตอนอยู่ ป.4 หรือ ป.5 เซวียโย่วข่าก็เคยโกหกแล้วออกมาเล่นตอนกลางคืนเหมือนกัน แถมยังเคยโดนเหอเสี่ยวโหยวจับได้ครั้งหนึ่งก่อนจะซัดเขาไปชุดใหญ่ ตอนนี้เซวียโย่วข่าเริ่มลังเลนิดๆ คิดว่าไม่อย่างนั้นกลับบ้านไปเลยดีหรือเปล่า แต่ก็ต้องโทรไปอธิบายกับเฉิงอวี้ให้ชัดเจน
“พี่ ฉันเอง หมี่หมี่” เซวียโย่วข่าไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ข้างทางแล้วใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปในราคาสองเหมา “พ่อฉันเมา ขับรถไปส่งไม่ได้แล้ว”
“เธออยู่ไหน” เฉิงอวี้ถาม
เซวียโย่วข่าบอกที่อยู่ “ฉันใช้โทรศัพท์สาธารณะของซูเปอร์มาร์เก็ต เหลือเวลาอีกสิบวินาที ฉันต้องวางแล้วนะ”
“รออยู่ตรงนั้นเดี๋ยวฉันไปรับ”
เซวียโย่วข่ากะเวลาหนึ่งนาทีเป๊ะๆ แล้ววางสาย
เขาไม่รู้ว่าเฉิงอวี้จะเอาอะไรมาให้ดู แล้วทำไมต้องรอดูตอนกลางคืนด้วย แต่เซวียโย่วข่าก็นั่งรออย่างว่าง่ายอยู่หน้าร้านซูเปอร์มาร์เก็ต อย่างไรเสียเฉิงอวี้ก็เป็นเจ้าหนี้ และเนื่องจากเมื่อเย็นเขากินไปค่อนข้างเยอะ เลยเริ่มง่วง เขานั่งกอดเข่ารอ สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านตัวทำให้รู้สึกเย็นเล็กน้อย แต่ในระหว่างที่กำลังจะเคลิ้มหลับก็มีเงาใครของบางคนปรากฏขึ้นตรงหน้า
“ตาจะปิดแล้ว ง่วงขนาดนั้นเลยเหรอ” เฉิงอวี้ย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วจ้องมองเขานิ่งๆ
เซวียโย่วข่าเงยหน้าขึ้นมาเผยยิ้มกว้าง “พี่มาซะที”
เฉิงอวี้สบตากับเขาตรงๆ รอยยิ้มกว้างนั้นทำเอาเขาตาพร่าไปทันที จนต้องเบือนหน้าหนีอย่างห้ามไม่ได้
เซวียโย่วข่าหาวหวอดแล้วลุกขึ้นพูดว่า “ง่วง…ง่วงสุดๆ เลย”
เฉิงอวี้ทนไม่ไหวที่เขาทำตัวน่ารัก เลยหันหน้าหนีไปอีกครั้ง “แค่ชั่วโมงเดียว เสร็จแล้วจะพากลับไปส่งที่บ้าน”
“อื้มๆ”
พอขึ้นมาบนรถแล้วเซวียโย่วข่าก็ทักทายลุงเว่ย จากนั้นก็แอบถามเฉิงอวี้ว่า “พี่จะให้ดูอะไรเหรอ”
“ตอนนี้บอกไม่ได้”
ลุงเว่ยที่รู้ความจริง ตอนบ่ายก็แอบปรึกษากับตาแล้ว ทั้งสองคนคิดว่าการที่เฉิงอวี้เอาใจใส่เด็กผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักกันแค่เดือนกว่าขนาดนี้คงเป็นเพราะชอบเธอเข้าแล้วจริงๆ แต่พอตาลองถาม เฉิงอวี้ก็ทำหน้าเย็นชา แล้วบอกว่าพวกเขาคิดมากไปเอง
ตาคิดว่าในเมื่อเฉิงอวี้เล่นกับเด็กที่นี่ได้และยังรู้สึกสนุกด้วย เขาย่อมต้องดีใจด้วยเช่นกัน ตอนแรกที่ตั้งใจพาเฉิงอวี้มาที่นี่ก็เพื่อให้เจ้าตัวได้ผ่อนคลายและมีความสุขไม่ใช่หรือ กลัวก็แต่ว่าถ้าเฉิงอวี้รู้สึกลึกซึ้งมากเกินไป ความรู้สึกระหว่างเด็กๆ ไม่สุกงอม ท้ายที่สุดเด็กทั้งสองคนก็คงต้องเจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่
“วันนี้ได้กินเค้กไหม” เฉิงอวี้ถามระหว่างนั่งรถ
“ได้กินแล้ว!”
“ยังพอกินอย่างอื่นได้อีกไหม”
“ได้อยู่!”
ลุงเว่ยแอบมองจากกระจกมองหลัง คิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แถมพอตัดผมสั้นแล้วก็ดูเหมือนเด็กผู้ชายขึ้นมาจริงๆ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฉิงอวี้ผู้สูงส่งจะชอบคนลักษณะแบบนี้
พอมาถึงเฉิงอวี้ก็พาเขาขึ้นไปชั้นบน แต่ไม่ได้พาเข้าห้องตัวเอง ทว่ากลับพาไปที่ห้องว่างข้างๆ แทน ก่อนหน้านี้เฉิงจื่อเวยเคยมาพักอยู่สองวัน ตอนนี้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ที่นอนก็เปลี่ยนใหม่ ตอนนี้ผ้าม่านปิดสนิททำให้ห้องทั้งห้องมืดสลัว
เฉิงอวี้ไม่ได้เปิดไฟ จากนั้นก็ให้เขาไปนั่งบนเตียง
เซวียโย่วข่านั่งลงบนเตียงในความมืด ก่อนจะรู้สึกเหมือนนั่งทับอะไรบางอย่าง พอเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นว่าเป็นมุ้งทรงยอดแหลมและผ้าม่านที่ล้อมรอบเตียง
“เซวียหมี่หมี่ หลับตา” เฉิงอวี้กลัวว่าเขาจะแอบดูจึงใช้มือซ้ายปิดตาเขาไว้ ส่วนมือขวาก็สอดเข้าไปในมุ้ง ก่อนจะยกชายเสื้อขึ้นเผยให้เห็นขวดแก้วเรืองแสงที่ซ่อนอยู่ข้างใน
เฉิงอวี้ใช้มือข้างเดียวหยิบฝาขวดที่เปิดไว้แล้วออก จากนั้นก็ลดมือที่ปิดตาเขาไว้ลง
เซวียโย่วข่ารู้สึกได้ถึงแสงระยิบระยับวิบวับผ่านเปลือกตาบางๆ เขาไม่รอให้เฉิงอวี้พูดก็แอบลืมตามองแล้ว
“ว้าว”
“ยังไม่ให้ลืมตาเลยนะ”
เซวียโย่วข่ามุดเข้าไปในมุ้งทันที “พี่เฉิงอวี้! พี่ไปจับหิ่งห้อยจากที่ไหนมาน่ะ! เยอะมากเลย!”
ห้องทั้งห้องสว่างไสวด้วยแสงสีเขียวระยิบระยับราวกับดวงดาว พวกมันสะท้อนอยู่ในดวงตาของเซวียโย่วข่า
เฉิงอวี้ยืนอยู่ข้างนอก มองเขาผ่านผ้ามุ้งบางๆ “จับมาจากในฝันของเธอไง”
วันนั้นอีกฝ่ายเคยบอกว่าฝันว่าตัวเองปีนขึ้นไปบนเขาจงซานเพื่อไปจับหิ่งห้อยมาให้เฉิงอวี้
เซวียโย่วข่าโผล่ศีรษะออกมา “พี่ก็เข้ามาดูสิ!”
เฉิงอวี้ถูกลากเข้ามาข้างในอย่างไม่มีทางเลือก
เฉิงอวี้คิดว่านี่มันเด็กน้อยมาก แถมยังเชยอีกต่างหาก เขาจะทำเรื่องเชยๆ แบบนี้ได้อย่างไร ตอนแรกเขาอยากออกไป แต่ตอนที่ถูกอีกฝ่ายลากเข้ามานอนข้างในก็ราวกับโดนมนตร์สะกด
ด้านในและด้านนอกของมุ้งเหมือนเป็นสองโลกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ข้างนอกคือโลกแห่งความจริง ข้างในคือโลกที่งดงามตระการตาเหมือนในความฝันจริงๆ
“เยอะขนาดนี้พี่ต้องไปจับมาจากเขาจงซานแน่เลย วันนี้พี่ไปเที่ยวที่เขาจงซานมาเหรอ” เซวียโย่วข่าไม่ได้เห็นหิ่งห้อยนานมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหิ่งห้อยหลายสิบตัวที่กำลังบินว่อนอยู่ตรงหน้าเขา
“เปล่า ไปเมื่อวาน แล้วก็ถือโอกาสซื้อมาด้วย ใช้เงินให้คนส่งมาให้วันนี้”
“ซื้อมาเหรอ” เซวียโย่วข่าหันหน้ามามองเขา “พี่เสียเงินไปเท่าไร”
“สิบหยวนต่อตัว”
เซวียโย่วข่า “…”
“พี่เฉิงอวี้” จู่ๆ เซวียโย่วข่าก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเรียก
เฉิงอวี้คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะเข้ามาใกล้หน้าของตัวเองขนาดนี้ ขนตาจึงสั่นไหวไปวูบหนึ่ง
ระยะห่างที่ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจนี้ ทำเอาเฉิงอวี้ต้องหันหน้าหนีด้วยความลำบากใจ จากนั้นก็ปรือตาขึ้นมาครึ่งหนึ่งแล้วเหลือบมองเขา จึงเห็นว่าบนใบหน้าของอีกฝ่ายมีรอยยิ้มชวนใจละลายประดับอยู่
“พี่เฉิงอวี้ พี่ยังอยากให้ใครจับหิ่งห้อยมาให้พี่อีกหรือเปล่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปเขาจงซาน พี่อยากได้เท่าไรฉันจะจับมาให้พี่เท่านั้นเลย”
“เด็กเห็นแก่เงิน” เฉิงอวี้ดีดหน้าผากเขาทีหนึ่งแล้วพูดต่อ “วันนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเธอนะ…” เขากล่าวขอโทษแบบสั้นๆ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปอย่างรวดเร็ว “หิ่งห้อยพวกนี้อายุสั้น กลัวจะอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้ เลยต้องให้เธอมาคืนนี้”
เสียงของเฉิงอวี้ภายใต้บรรยากาศแบบนี้ฟังดูแตกต่างไปจากปกติ มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แม้แต่สายตาที่มองมาก็นุ่มนวลขึ้น
สองคนนั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไรกันอยู่พักใหญ่
หิ่งห้อยตัวหนึ่งเหมือนจะบินจนเหนื่อย จู่ๆ ก็ร่วงลงมาอยู่ตรงคิ้วของเฉิงอวี้
ถึงจะดูสวย แต่มันก็ยังเป็นแมลงอยู่ดี เฉิงอวี้กำลังจะโบกมือไล่ แต่ก็สังเกตเห็นว่าเด็กข้างๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ตนเองอีกครั้ง จากนั้นก็เป่าลมใส่หน้าของเขา
ขนตาของเฉิงอวี้สั่นไหว ขณะที่หิ่งห้อยบินจากไปแล้ว
เซวียโย่วข่าฟุบอยู่ข้างๆ พลางถามเขาว่า “พี่ตั้งใจจับมาให้ฉัน ไม่สิ ตั้งใจซื้อหิ่งห้อยพวกนี้มาให้ฉันหรือเปล่า”
“เปล่า” โชคดีที่แสงหิ่งห้อยไม่สว่างพอ เฉิงอวี้รู้สึกว่าหูตัวเองเริ่มร้อนแล้ว “แค่ฉันอยากดูเองต่างหาก แต่พอนึกถึงวันนั้นที่เธอล้ม ฉันก็เลยชวนมาดูด้วยกัน”
“อ้อ…” เซวียโย่วข่าไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร เขาแหงนหน้ามองแสงพร่างพราย “สิ่งสวยงามก็ควรแบ่งปัน ขอบคุณนะพี่”
เป็นเด็กที่สุภาพจริงๆ
เฉิงอวี้อดที่จะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนี้ จำนวนครั้งที่เขาหัวเราะเพราะอารมณ์ดีอาจจะมากกว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาเสียอีก
“เฮ้ เซวียหมี่หมี่ ยาเมื่อวานที่ฉันให้ ทาไปหรือยัง”
“เมื่อวานเหรอ อะไรนะ” เขานึกขึ้นมาได้ “อ๋อ…ลืมทาน่ะ ฉันไม่ได้มีแผลเป็นตรงไหนนี่นา จะทาไปทำไม”
“ที่ขาเธอน่ะ”
“แผลตอนล้มน่ะเหรอ มันใกล้หายแล้ว เดี๋ยวสะเก็ดหลุดก็ดีเอง”
“พวกเด็กผู้หญิงไม่กลัวว่าเป็นแผลแล้วจะดูน่าเกลียดเหรอ”
“ใครบอกว่าฉันเป็นผู้หญิงล่ะ”
เฉิงอวี้จ้องตาเขา
ดวงตาของเซวียโย่วข่าเป็นแบบเด็กๆ โดยแท้ ทั้งใสแจ๋วและไร้สิ่งเจือปน
“ไม่เชื่อเรามาถอดกางเกงเทียบกันเลยว่าใครใหญ่กว่า…” เขาพูดเบาๆ แถมยังเป็นภาษาถิ่น เฉิงอวี้เลยฟังไม่เข้าใจ
“ก็ดูไม่เหมือนนี่” เฉิงอวี้ตอบ “ตอนจะกลับ เธอเอาหิ่งห้อยกลับไปด้วยนะ”
“พี่ไม่เอาเหรอ”
“มันก็แค่แมลง กลางคืนมันบินวนอยู่แถวๆ หัว ฉันรำคาญ”
“โอเค งั้นฉันเอากลับบ้านนะ”
“ลุกขึ้นมาก่อน” เฉิงอวี้ยันตัวลุกขึ้น ขนตายาวหลุบลง ทิ้งเงาที่ดูเหมือนพัดไว้ใต้ดวงตา โดยมีไฝน้ำตาซ่อนอยู่ในเงานั้น
เฉิงอวี้ก้มหน้ามองเขา “ตามฉันมา เดี๋ยวทายาให้”
“ไม่เอา!”
“จะให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งห่อ”
“ก็ได้…”
หิ่งห้อยไม่ชอบแสงไฟ เฉิงอวี้เลยไม่เปิดไฟ เขาพาเซวียโย่วข่าไปที่ห้องของตัวเองแล้วหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ จากนั้นเขาก็แกะยาลดรอยแผลเป็นกล่องใหม่ออกมา ก่อนจะเปิดฝาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
“ทาซะ”
“ฉันกินขนมอยู่นะ” เขาแกว่งมือทั้งสองข้างให้ดูว่ามือไม่ว่าง
เฉิงอวี้ลังเลครู่หนึ่งแล้วดึงทิชชูเปียกมาให้
“เฮ้อ” เซวียโย่วข่าถอนหายใจพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบผู้ใหญ่ พอเช็ดมือแล้วก็พับขากางเกงขึ้น
เฉิงอวี้เบนสายตาไปเล็กน้อย “ไม่พอใจเหรอ”
“ไม่ได้ไม่พอใจ” พี่ชายคนนี้ดูแลคนเก่งไปแล้ว แม้อารมณ์จะขึ้นๆ ลงๆ แต่เซวียโย่วข่าก็ยังชอบเขามากอยู่ดี
ตอนแต้มยาลงบนผิวหนังแดงๆ ที่สะเก็ดเพิ่งหลุด เซวียโย่วข่าก็อดคิดไม่ได้ว่าการเป็นผู้หญิงนี่มันช่างดีจริงๆ ทั้งมีคนเลี้ยงขนม จับหิ่งห้อยให้ เจ็บก็มีคนห่วงใย
เขาทอดถอนใจ “ฉันคิดว่าถ้าได้เป็นแฟนพี่คงมีความสุขมากเลย”
“เพ้อเจ้อ”
เซวียโย่วข่า “…?”
พอเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงงๆ ก็พบว่าเฉิงอวี้หันหลังไปทั้งตัวแล้ว เลยมองไม่เห็นสีหน้า
สายรัดข้อมือตรวจพบว่าอัตราการเต้นของหัวใจเฉิงอวี้ผิดปกติจึงส่งเสียงเตือนขึ้นมา
เซวียโย่วข่าคิดว่าเป็นเพราะนาฬิกาข้อมือเลยไม่ได้ใส่ใจ ยังคงก้มหน้าทายาต่อ อีกมือก็แอบหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากิน
เมื่อเฉิงอวี้เห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่นใจ เขาร้อนรนอยู่ไม่สุขจนรู้สึกเหมือนปลายนิ้วแทบจะไหม้ คิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น
“เอาเถอะ เดี๋ยวฉันจะลองคิดดูแล้วกัน”
[1]* เซาเข่า คือปิ้งย่างหรือบาร์บีคิวของจีน
บทที่ 14
คิดเรื่องอะไรเหรอ
เซวียโย่วข่าไม่รู้ แต่จากนั้นก็ได้ยินเฉิงอวี้พูดขึ้นว่า “เธอได้ยินชัดไหม”
“ได้ยินชัดแล้ว พี่บอกจะคิดดูก่อน อืม…”
เฉิงอวี้เพิ่งจะหันกลับมามอง แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายยังกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างมีความสุขอยู่เลย
ถ้าเราปฏิเสธไปจะร้องไห้หรือเปล่านะ
เฉิงอวี้ยิ่งรู้สึกรำคาญ
“ทายาเสร็จแล้ว” เซวียโย่วข่าเอียงศีรษะมองตาเขา “พี่ นาฬิกาข้อมือพี่มันดังไม่หยุดเลยนะ”
สายรัดข้อมือไม่สามารถปิดเสียงได้ อีกทั้งเฉิงอวี้ยังไม่สามารถถอดมันออกเองได้ เลยทำได้แค่พยายามควบคุมอารมณ์
“ไปเถอะ ฉันจะไปส่งเธอกลับบ้าน”
เซวียโย่วข่ากลัวความแตกเลยกลับไปที่บ้านอาก่อน พอเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องสาวยังไม่กลับมาก็บอกว่าตัวเองกลับมาก่อน ส่วนฟางหลี่ฉิงต้องรออีกสักพัก ซึ่งก็ตรงกับนิสัยของลูกสาวอาอยู่แล้ว อาเลยไม่สงสัยอะไร แถมยังขับรถไปส่งเขาด้วย
บนรถ อาพูดถึงเรื่องที่อีกไม่กี่วันพวกเธอจะย้ายบ้าน “พวกเราย้ายไปแล้ว บ้านนี้ก็จะว่างแล้วนะ”
“พวกอาจะไม่กลับมาอีกแล้วเหรอ”
“ต้องกลับสิ แต่พี่สาวเธอต้องเรียนหนังสือ อาต้องดูแลเกาเกา กลับมาก็อยู่ได้ไม่นานหรอก” เหตุผลสำคัญที่ต้องไปเมืองใหญ่ก็เพราะลูกสาวต้องเรียนหนังสือและลูกชายคนเล็กก็ป่วย “ไว้ถึงเวลานั้นพอเธอปิดเทอมเมื่อไรก็มาหาเราที่ปักกิ่งนะ เดี๋ยวอาจะพาไปปีนกำแพงเมืองจีน”
อาขับรถช้าลง “พอเราย้ายไปแล้วบ้านก็จะว่าง เธอกำลังจะขึ้นมัธยมพอดี งั้นย้ายมาอยู่บ้านอาเลยแล้วกัน”
เซวียโย่วข่าส่ายหน้า บอกว่าเขาขี่จักรยานไปโรงเรียนเองได้
“ก็ไม่ได้ให้เธออยู่ฟรีๆ ซะหน่อย ว่างๆ ก็ช่วยอาเก็บกวาดบ้านบ้างเล็กๆ น้อยๆ บ้านถึงจะได้มีชีวิตชีวา ปู่กับย่าของเธอก็จะย้ายมาอยู่ด้วย ย่าจะได้ทำกับข้าวให้เธอกิน มีคนดูแลเธอเยอะแยะแบบนี้ หลานยังจะกลัวไม่มีแรงเรียนอีกเหรอ” ที่เธอพูดแบบนี้ก็เพราะรู้ดีว่าอาจไม่ได้มีโอกาสกลับมาบ่อยๆ ครั้นจะปล่อยบ้านไว้ให้คนอื่นเช่าก็ไม่ดี สู้ให้ญาติมาอยู่ยังจะดีเสียกว่า
พอมาถึงบ้านเซวียเทียนเลี่ยงก็เมาหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนโซฟา
เหอเสี่ยวโหยวกำลังฮัมเพลงสระผมอยู่ในห้องน้ำ ฟังดูอารมณ์ดี เซวียโย่วข่าทักเธอหนึ่งคำแล้วก็เตรียมจะเข้าห้อง แต่กลับถูกเหอเสี่ยวโหยวตะโกนเรียกเอาไว้ก่อน
เธอหันมาพูดกับเขาทั้งที่ยังมีฟองเต็มศีรษะ “หมี่หมี่ เสาร์อาทิตย์นี้แม่จะพาไปชิ่งโจว ไปฟังบรรยายภาษาอังกฤษนะ”
เหอเสี่ยวโหยวมักจะพาเขาไปฟังการบรรยายแบบนี้เป็นระยะ เซวียโย่วข่าชินแล้ว เขาตอบตกลงแล้วไปล้างหน้าแปรงฟัน หลังเข้าห้องแล้วก็ล็อกประตู จากนั้นก็ปล่อยหิ่งห้อยในขวดออกมา
ในห้องที่ยังไม่เปิดไฟ แสงระยิบระยับของหิ่งห้อยกระจายไปทั่วผนังทั้งสี่ด้านที่เต็มไปด้วยโปสเตอร์อะนิเมะ
ตอนกำลังนอนครึ่งหลับครึ่งตื่น จู่ๆ เซวียโย่วข่าก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างกดดัน
“เซวียเทียนเลี่ยง! ฉันจะไม่ให้เงินคุณสักแดงเดียวอีกแล้ว หมี่หมี่ยังต้องเรียน นี่มันเงินที่เก็บไว้ให้ลูกเรียนหนังสือ อย่าหวังว่าจะได้แตะเลย!”
“…”
“คุณกลับบ้านเดือนละครั้ง ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าพ่ออีกเหรอ!”
“เบาๆ หน่อย…อย่าให้หมี่หมี่ตื่นนะ”
เซวียเทียนเลี่ยงกลับบ้านแค่ไม่กี่วันในแต่ละเดือน แบบนี้ยังหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ในระดับหนึ่ง แต่บางครั้งพวกเขาก็ยังทะเลาะกันอยู่ดี
เซวียโย่วข่าคิดในขณะที่กำลังสะลึมสะลือว่าพ่อกำลังเล่นพนันอยู่ข้างนอกเหมือนที่แม่ของหู่ผีพูดจริงๆ หรือเปล่า
ไม่นานเสียงทะเลาะข้างนอกก็เงียบลง
เช้าวันถัดมา เซวียโย่วข่าพบว่าหิ่งห้อยพวกนั้นตายหมดแล้ว เขาจึงเก็บพวกมันใส่ขวดแก้วไว้เหมือนเดิม
เหอเสี่ยวโหยวทำอาหารเช้าให้เขา “หมี่หมี่ เดี๋ยวพ่อจะพาไปอยู่บ้านย่าสักสองสามวันนะ เสาร์อาทิตย์แม่ค่อยไปรับกลับ”
เซวียโย่วข่ามองเธอแล้วก็หันไปมองเซวียเทียนเลี่ยง ทั้งคู่ดูไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อวานเลย
“โอเค” เขาตอบรับอย่างว่าง่าย
พอมาถึงบ้านย่า เซวียเทียนเลี่ยงก็ดับเครื่องแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ก่อนจะให้เงินเซวียโย่วข่ามาสองร้อยหยวน
“ซื้อของขวัญให้แม่ คงควักหมดกระปุกออมสินแล้วล่ะสิ”
ตอนแรกเซวียโย่วข่าไม่อยากรับ แต่จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่พวกเขาทะเลาะกันเมื่อคืนขึ้นมา เลยยื่นมือไปรับเงิน
“พ่อ เงินนี้หนูขอเก็บไว้ให้เอง แล้วจะคืนให้พ่อทีหลังนะ”
เซวียเทียนเลี่ยงหัวเราะเบาๆ คล้ายถอนหายใจ “เด็กดีจริงๆ”
“พ่ออย่าซื้อลอตเตอรี่อีกเลยนะ” เซวียโย่วข่าไม่รู้ว่าพ่อไปเล่นพนันข้างนอกจริงไหม แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เขาแค่เข้าไปกอดเซวียเทียนเลี่ยง “แล้วพ่อก็อย่าทำให้แม่โกรธเลยนะ”
เซวียเทียนเลี่ยงเริ่มแสบจมูก เขาลูบศีรษะลูกเบาๆ “อืม พ่อสัญญา”
หลังลงจากรถ จู่ๆ เซวียโย่วข่าก็ตะโกนเรียกพ่อผ่านกระจกหน้าต่างรถ
เซวียเทียนเลี่ยงเห็นลูกชายจูบกระจกและได้ยินเสียงเขาพูดว่า “พ่อ หนูรักพ่อนะ” แล้วเซวียโย่วข่าก็วิ่งไป
คำว่า ‘รัก’ เป็นคำที่พูดออกมายาก แต่เซวียโย่วข่าก็พูดออกมาเป็นบางครั้ง เพราะเขารู้ว่าพ่อแม่รักเขา ในขณะเดียวกันความคิดของเขานั้นเรียบง่ายมาก คิดว่าผู้ใหญ่ก็สามารถถูกคำว่ารักพันธนาการไว้ได้ ต่อให้มีความขัดแย้งอะไรกัน มันก็จะสลายไปเพราะคำที่ธรรมดา หากแต่งดงามและยิ่งใหญ่คำนั้น
หู่ผีรู้ว่าเขากลับมาแล้วก็วิ่งมาชวนเขาไปร้านเกม แม้ในใจเซวียโย่วข่าจะอยากไปแต่ก็ปฏิเสธ
“ตอนบ่ายฉันมีธุระนิดหน่อย นัดเพื่อนไว้แล้วน่ะ”
“นายนัดเพื่อนคนไหนไว้ เพื่อนในห้องเหรอ ถ้างั้นก็ไปด้วยกันได้!”
เซวียโย่วข่าคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเฉิงอวี้ต้องไม่ชอบหู่ผีแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
“เป็นคนที่นายไม่รู้จักน่ะ เขาบอกว่าไม่ให้ชวนคนอื่นไป”
ตอนหู่ผีเดินกลับไป อีกฝ่ายดูไม่ค่อยพอใจนัก เซวียโย่วข่าเห็นท่าทางของหู่ผีแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ บางทีเรื่องของเซวียเทียนเลี่ยงกับเหอเสี่ยวโหยวอาจส่งผลกับอารมณ์ของเขา เลยทำให้หงอยเหงาเศร้าซึมทั้งวัน
ตอนบ่ายเขานำขวดแก้วที่ใส่หิ่งห้อยไปฝังไว้ใต้ต้นมะเดื่อ ก่อหลุมฝังศพให้พวกมัน ก่อนจะไปนอนเหม่อฟังเพลงอยู่คนเดียวในบ้านต้นไม้
เด็กในวัยนี้มีประสาทสัมผัสไวต่อโลกภายนอกมากที่สุด พวกผู้ใหญ่ชอบทำเหมือนพวกเขาเป็นเด็กน้อย แต่ความจริงไม่รู้เลยว่าในใจของเด็กนั้นรู้ดีทุกอย่าง เซวียโย่วข่าหลับไปทั้งอย่างนั้น ก่อนจะถูกใครบางคนปลุกขึ้นมา
เขาค่อยๆ คลานออกมาจากบ้านต้นไม้ ก่อนจะเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ด้านล่างก็คือเฉิงอวี้ ทำเอาเขาประหลาดใจมาก
“พี่มาทำไมเหรอ”
“ประตูบ้านเธอเปิดอยู่ ข้างในไม่มีคนเลย ไม่กลัวขโมยเหรอ” เฉิงอวี้เรียกเขา “เธอน่ะ ลงมานี่เลย”
เซวียโย่วข่าขยี้ตา “ไม่มีใครมาขโมยหรอกน่า”
“เธอบอกว่าจะเป็นไกด์ให้ฉัน จำไม่ได้เหรอ”
“งั้นพี่อยากไปไหนล่ะ ฉันพาไปดูน้ำตกไหม”
“แถวนี้ยังมีน้ำตกด้วยเหรอ”
“มีสิ!” เขาพูดพลางปีนลงมาตามบันไดลิง แต่ไม่คิดเลยว่าไม้ของบันไดจะหักอย่างกะทันหัน พอเซวียโย่วข่าเหยียบพลาดก็ร่วงลงมาจากความสูงราวหนึ่งช่วงตัวคนทันทีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว โลกหมุนเคว้งคว้างไปหมดในชั่วพริบตา
เขาร่วงมาตรงที่เฉิงอวี้ยืนอยู่พอดี เฉิงอวี้ตั้งใจจะหลบ แต่ในเวลาแค่เสี้ยววินาทีนั้นเฉิงอวี้กลับยื่นมือออกไปรับตัวเขาไว้โดยไม่ทันได้คิดอะไร
เฉิงอวี้สวมกอดเอวเขาจากด้านหลัง แต่แรงที่ร่วงตกลงมานั้นรุนแรงเกินไปทำให้เฉิงอวี้เซถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วล้มลงกับพื้น
เฉิงอวี้นอนอยู่บนพื้นหญ้า เหนือศีรษะคือใบต้นมะเดื่อที่ลู่ไหวไปตามลมและท้องฟ้าสีฟ้าสดใสแต่งแต้มด้วยเมฆสีขาวบริสุทธิ์ ตรงปลายจมูกคือเส้นผมสั้นๆ ของเซวียโย่วข่า เมื่อได้สัมผัสผิวอุ่นละมุนที่มีกลิ่นสบู่ หัวใจก็เต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่ได้
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่มาก
ผ่านไปหลายวินาทีเซวียโย่วข่าถึงค่อยๆ รู้ตัว เขาไม่ได้บาดเจ็บ เพราะมีคนรับไว้…ข้างใต้เขาคือเบาะเนื้อ เขารู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของเฉิงอวี้
“เฮ้” เฉิงอวี้ที่นอนอยู่ข้างใต้ขยับแขนออกจากเอวของเซวียโย่วข่าก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะต้นแขนของอีกฝ่าย “จะพาไปดูน้ำตกไม่ใช่เหรอ”
“นี่น่ะเหรอน้ำตกที่เธอพูดถึง”
เฉิงอวี้เงยหน้ามองธารน้ำเล็กๆ ที่ไหลออกมาจากกลางหุบเขาลงสู่แอ่งน้ำ
แอ่งน้ำนั้นมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของสนามบาสเกตบอล ไม่ลึกและใสจนเห็นพื้นด้านล่าง
“นี่ก็ต้องเรียกว่าน้ำตกอยู่แล้ว เมื่อก่อนฉันกับหู่ผีแล้วก็เพื่อนอีกสองสามคนมาว่ายน้ำกันที่นี่” เขานั่งลงริมสระน้ำ ถอดรองเท้าแล้วเอาเท้าแช่น้ำ “ข้างใต้นั่น” เขาชี้ไปที่น้ำตก “เราผลัดกันเข้าไปอาบน้ำใต้สายน้ำตก”
“อาบน้ำ?” เฉิงอวี้ได้ยินแล้วก็หันไปมองเขาอย่างอดไม่ได้ “เธอกับ…พวกผู้ชายอีกหลายคนเหรอ”
“ใช่ ตอนนั้นอยู่ ป.สาม หรือ ป.สี่ นี่แหละ ฉันก็ลืมแล้ว” เซวียโย่วข่าเอนตัวลงนอนราบพลางมองขึ้นไปบนฟ้า ดอกเดซี่ข้างสระน้ำพลิ้วไหวไปตามลม
เฉิงอวี้ขมวดคิ้ว หน้าตาก็เหมือนเด็กผู้ชาย นิสัยก็ออกแนวเด็กผู้ชาย แถมยังไปว่ายน้ำกับผู้ชายหลายคนอีก
ช่างมันเถอะ ป.3 หรือ ป.4 ก็ยังเป็นเด็กอยู่ เขาพยายามโน้มน้าวตัวเอง แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ดี
“ต่อไปห้ามไปว่ายน้ำกับพวกผู้ชายแล้วนะ”
“อะไรนะ”
เฉิงอวี้ “น้ำไม่สะอาด อาจจะติดโรคได้”
“จะติดโรคอะไรล่ะ ไม่มีหรอก น้ำพวกนี้เป็นน้ำแร่จากภูเขา ใสสะอาดมากเลย” เซวียโย่วข่าพูดพลางลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะก้มลงตักน้ำขึ้นมาแล้วยกขึ้นดื่มต่อหน้าเฉิงอวี้ จากนั้นก็เอาน้ำสาดเข้าหน้า
เฉิงอวี้ก้มหน้ามองปลายเท้าของเขาที่กวัดแกว่งอยู่ในแอ่งน้ำโดยไม่พูดอะไร
“พี่จะลองดื่มดูไหม หวานนะ” ใบหน้าของเซวียโย่วข่ามีหยดน้ำใสวิบวับเกาะอยู่ เส้นผมเปียกชื้น ดวงตาสีอ่อนเปล่งประกายระยิบระยับใต้แสงแดด
“ไม่” เฉิงอวี้เม้มริมฝีปากแน่น
เซวียโย่วข่าเห็นเขายังไม่หายหงุดหงิดก็รู้สึกจนปัญญา อยากจะง้อให้เขาอารมณ์ดีขึ้นจึงเล่าเรื่องตลกไปหลายเรื่อง ก่อนจะถามว่าขำไหม ซึ่งเฉิงอวี้ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ด้วยการตอบว่าขำทั้งหน้าตาย
“ถ้างั้นพี่ก็หัวเราะหน่อยสิ!” คุยกับเฉิงอวี้มันเหนื่อยจริงๆ เซวียโย่วข่าเซ็งมากแถมยังต้องหาวิธีเอาใจเขาอีก “เป็นแบบนี้ระวังแก่ไปจะเป็นโรคสมองเสื่อมเอาง่ายๆ นะ”
เซวียโย่วข่าพูดไปก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยแอบยื่นมือออกไปแล้วฉวยโอกาสในจังหวะที่เฉิงอวี้ไม่ทันระวังล้วงมือเข้าไปในเสื้อของอีกฝ่ายแล้วจี้เอวทันที เฉิงอวี้ไม่ทันตั้งตัวกับแผนนี้จึงรีบเบี่ยงตัวหนีไปด้านข้าง พอเห็นว่าเฉิงอวี้หลบ เซวียโย่วข่าไม่เพียงแต่ไม่ถอย แถมยังพุ่งเข้าใส่ เฉิงอวี้โดนเขาจี้โดนจุดจั๊กจี้เข้าให้ ยิ่งหนีก็ยิ่งถอยไปด้านหลัง
“เฮ้ย!”
“พอได้แล้ว!”
เซวียโย่วข่ายังหัวเราะอยู่ ถามเขาว่าจั๊กจี้ไหม
จากนั้นเขาไม่ทันระวังก็เลย…
ตูม!
เฉิงอวี้ตกลงไปในน้ำ
เซวียโย่วข่าตกใจ แต่ไม่นานก็ตั้งสติได้ “พี่!”
เขากำลังจะกระโดดลงไปช่วย แต่เฉิงอวี้ก็โผล่ขึ้นมาก่อน
ผมของเฉิงอวี้เปียกแนบไปกับใบหน้า หยดน้ำไหลลงมาตามสันกราม เขาสะบัดหน้าไล่น้ำออก ขณะขึ้นจากสระน้ำด้วยสีหน้าอึมครึม
เขาเพิ่งดื่มน้ำล้างเท้าของคนอื่นเข้าไป
เซวียโย่วข่าเห็นสีหน้าเขาก็ไม่กล้าขยับ ได้แต่พูดขอโทษอย่างลนลาน “พี่เฉิงอวี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
เฉิงอวี้ไม่ตอบอะไร เขาใช้ฝ่ามือลูบน้ำบนหน้า จากนั้นก็ดึงตรงคอเสื้อด้านหลังแล้วถอดเสื้อออกมา ก่อนจะหันหลังไปบิดน้ำ
เขาเปียกโชกทั้งตัว หยดน้ำจากเส้นผมไหลมาตามแผ่นหลังที่หนุ่มแน่นแข็งแรงแล้วหายเข้าไปในกางเกงยีนที่สีเข้มขึ้นเพราะเปียกน้ำ
กางเกงกับรองเท้าเปียกหมด ใส่แล้วไม่สบายตัวเลย แต่เฉิงอวี้ก็ไม่ได้ถอดออกต่อหน้าอีกฝ่าย
เฉิงอวี้บิดเสื้อจนหมาดแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ เสื้อยืดที่ยับยู่ยี่สวมอยู่บนตัว เขาเหลียวหลังมานิดหนึ่ง ใบหน้าที่เปียกน้ำยิ่งขับให้ไฝน้ำตาเม็ดนั้นดูโดดเด่น ปลายจมูกตรงได้รูปยังมีหยดน้ำเล็กๆ ไหลลงมา
เซวียโย่วข่ายิ่งไม่กล้าพูดอะไรเข้าไปใหญ่
“ลงเขา” เฉิงอวี้พูดแค่สองคำ
เซวียโย่วข่าไม่กล้าส่งเสียงอะไร และได้เดินตามหลังเขาไปเงียบๆ ใช้เวลาพักหนึ่งถึงกล้าถาม “พี่โกรธเหรอ”
“เปล่า”
ในหัวเฉิงอวี้มีแต่ความคิดที่ว่า ‘เขาดื่มน้ำล้างเท้าคนอื่นเข้าไป’
“พี่ต้องโกรธแน่เลย พี่ไม่พูดกับฉันเลย…ขอโทษนะพี่ ฉันก็แค่…อยากให้พี่หัวเราะ อยากให้พี่อารมณ์ดีขึ้นน่ะ”
“ไม่ได้โกรธ”
ทั้งสองเดินตามกันไปตามทางลงเขา
เซวียโย่วข่ากลัวว่าเขาจะโกรธจริงๆ เลยพูดไม่หยุดตลอดทาง บอกว่าจะให้ไข่ไก่ไข่เป็ด จับปลาไหลให้ แถมยังถามว่าในบ้านเขามีหนูหรือเปล่า บอกว่าจะไปช่วยเขากำจัดให้ที่บ้าน เจ้าตัวเอ่ยคำพูดดีๆ ออกมาจนจะหมดแล้ว สุดท้ายเฉิงอวี้ก็ทนไม่ไหวและสวนกลับไปว่า “เธอไปจับตัวคนอื่นมั่วๆ แบบนี้ได้ยังไง”
“พี่ไม่ใช่คนอื่นนี่นา จับพี่แล้วทำไมล่ะ”
“เซวียหมี่หมี่” ปลายหูของเฉิงอวี้ดูเหมือนจะเริ่มแดงนิดๆ “ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงเธอเลยนะ”
“อะไรนะ” เขาไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“อ้อ…แล้วพี่ยังโกรธอยู่ไหม” เขามองดูสีหน้าของเฉิงอวี้อย่างพยายามจะเดาใจ แต่ก็มองอะไรไม่ออก
“ไม่โกรธ”
ระหว่างทางลงเขาทั้งสองคนก็ผลัดกันถามตอบวนไปวนมาว่า ‘ยังโกรธอยู่ไหม’ ‘ไม่โกรธแล้วใช่ไหม’ ‘ไม่โกรธแล้วจริงเหรอ’ พอลงมาถึงตีนเขา ขณะเดินผ่านทุ่งดอกผักกาดก้านขาวสีทองอร่าม เฉิงอวี้ก็หันไปมอง เซวียโย่วข่าจึงรีบบอกทันที “สวยใช่ไหม ฉันบอกพี่แล้วว่าสวย แต่พี่ไม่เชื่อ”
เฉิงอวี้ “อืม”
เซวียโย่วข่าแอบเอื้อมมือไปแตะเสื้อเขาเบาๆ
เฉิงอวี้ก้มมอง “แตะฉันอีกแล้วเหรอ”
“แค่จะดูว่าเสื้อพี่แห้งหรือยัง” เขาตอบ “แต่กางเกงยังไม่แห้งเลย”
รองเท้าและถุงเท้าของเฉิงอวี้เปียกทั้งหมด เขาจึงอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด แต่พอเดินๆ ไป ตรงทางแยกก็มีสุนัขพันธุ์พื้นเมืองสีน้ำตาลอ่อนตัวหนึ่งโผล่มา
“เชี่ย…” เซวียโย่วข่าหลุดสบถออกมา
เขาดึงแขนเฉิงอวี้ไว้ไม่ให้เดินต่อ “พี่อย่าขยับนะ เจ้าตัวนี้มันชื่อต้าหวง ดุมากเลย”
เฉิงอวี้หันไปมอง เห็นสุนัขพันธุ์พื้นเมืองตัวนั้นยืนขวางอยู่กลางถนน ท่าทางเหมือนพร้อมจะกระโจนเข้ามาได้ทุกเมื่อ
เฉิงอวี้ไม่รู้ว่าเขากลัวอะไร เลยก้มลงไปเก็บก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง หลังลองชั่งน้ำหนักดูแล้วก็เหวี่ยงมือขว้างหินก้อนนั้นออกไป โดยที่เซวียโย่วข่าไม่ทันได้ห้ามด้วยซ้ำ จากนั้นก็เห็นว่าเจ้าต้าหวงเดือดจัด พุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างบ้าคลั่งทันที
เซวียโย่วข่าตั้งสติได้ไวมาก รีบวิ่งหนีทันที
เฉิงอวี้ยืนอึ้งไปหนึ่งวินาที พอเห็นว่าสุนัขดูท่าจะดุจริงๆ ก็ตั้งตัวไม่ค่อยถูก ก่อนจะรีบหันหลังวิ่งตามไป
เซวียโย่วข่าวิ่งเร็วมาก เมื่อหันไปมองก็เห็นเฉิงอวี้อยู่ข้างหลังโดยมีเจ้าสุนัขวิ่งตามเขามาอย่างรวดเร็ว เห็นแบบนั้นเซวียโย่วข่าจึงหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปจูงมือเขา
“ทำไมพี่ถึงวิ่งช้าขนาดนี้เนี่ย!”
เฉิงอวี้ใส่รองเท้าที่ทั้งหนักและเปียก เดิมทีก็วิ่งไม่ถนัดอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีก เวลานี้มีเพียงสายลมพัดผ่านหูสองข้างไปอย่างรวดเร็ว เขาถูกจูงมือวิ่งไปตามทางสายเล็กในชนบท ลมที่อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกผักกาดก้านขาวพัดมาปะทะใบหน้า เส้นผมสีดำที่ยังไม่แห้งสนิทของเฉิงอวี้ปลิวไสว เขาหันหน้าไปมองคนที่วิ่งอยู่ข้างๆ
เหมือนเวลาเดินช้าลง การเต้นของหัวใจในอกหนักหน่วงขึ้นมา
เซวียโย่วข่าก้มตัวลง มือสองข้างยันเข่าพลางหอบหายใจแรง “เจ้าหมาบ้า โรคจิต เวรเอ๊ย วิ่งไล่เราตั้งเป็นกิโล ไม่เคยเห็นหมาที่แค้นฝังหุ่นขนาดนี้เลย เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” เขาดึงชายเสื้อมาพัดคลายร้อน เผยให้เห็นช่วงเอวขาวบาง
เฉิงอวี้เบือนหน้าหนี เขาหอบหายใจแรง หน้าแดงไปทั้งหน้าเพราะเพิ่งวิ่งมา ปากก็บอกว่า “อย่าพูดคำหยาบ”
เซวียโย่วข่าหัวเราะแหะๆ พลางเช็ดเหงื่อตรงลำคอ “นาฬิกาข้อมือพี่ทำไมถึงร้องอยู่ตลอดเลยล่ะ”
“มันเสียแล้ว” เฉิงอวี้มองเจ้าเด็กแสบที่ดูไม่เหมือนผู้หญิงเลยสักนิด แต่เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเปล่งประกาย
“เมื่อกี้เธอหันกลับมาจูงมือฉัน” เฉิงอวี้ถาม “ทำไมเหรอ”
“ก็กลัวพี่โดนหมากัดน่ะสิ พี่น่ะถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม ไม่เคยเจอหมาจรสินะ” ถ้าเฉิงอวี้โดนกัดขึ้นมาจะให้เขาชดใช้ยังไงล่ะ
“ก็จริง ไม่เคยเจอ…” สายตาเฉิงอวี้ล้ำลึกขึ้นกว่าปกติ ก่อนจะค่อยๆ ยิ้ม “หมาที่ดุขนาดนี้น่ะ”
เซวียโย่วข่าบอกว่าสุนัขตัวนั้นไปแล้ว ขณะกำลังจะลากเขาเดินต่อก็ถูกเฉิงอวี้จับข้อมือไว้
“เฮ้…”
“…”
“เรื่องที่เธอพูดเมื่อสองวันก่อน ฉันคิดได้แล้ว” เฉิงอวี้เว้นจังหวะนิดหนึ่ง “ลองดูก็ได้”
“อะไรนะ” เซวียโย่วข่าเงยหน้าขึ้นมองเขา
สีแดงเรื่อบนหน้าของเฉิงอวี้ลามจากไฝน้ำตาตรงหางตาไปถึงหลังใบหู “เธอรู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไร”
เซวียโย่วข่าอ้าปากค้าง
เขากดเสียงลงต่ำ “เซวียหมี่หมี่ เธออย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ”
บ้าจริง! เฉิงอวี้สบถในใจ ชีวิตนี้เขาไม่เคยทำอะไรน่าอายแบบนี้มาก่อนเลย
ดีที่อยู่กลางป่าเขาเลยไม่มีคนอื่น
เซวียโย่วข่าเห็นเขาเบือนหน้าหนีก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่
คืออะไรเนี่ย…
ช่างเหอะ คุณชายใหญ่คนนี้ก็นิสัยเสียแบบนี้แหละ ถามไปก็ไม่ได้อะไรหรอก
“อ้อ งั้นก็ตามนั้นแหละ” เขาตอบรับแบบส่งๆ
พอเฉิงอวี้ได้ยินว่าเขาตอบตกลง มุมปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย และเนื่องจากไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรดี จึงยกมือขึ้นมาขยี้ศีรษะเขาเสียเลย
“พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอออกไปเที่ยวเอง”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน แฟนสาวของผมเป็นผู้ชายครับ เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.