ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1
ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 天地白驹
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม
อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
เมื่อฝนห่าใหญ่ผ่านพ้นไป อากาศก็พลันเย็นสบายขึ้นไม่น้อย
โจวลั่วหยางสวมเสื้อวอร์มมีฮู้ดวิ่งออกจากเขตที่พัก เลียบไปตามเส้นทางผ่านแยกไฟแดง เมื่อเห็นคุณป้าพาสุนัขมาเดินเล่นข้างทาง และเห็นบรรดาสุนัขที่พากันกระดิกหางสะบัดหัว โจวลั่วหยางก็พลันรู้สึกว่าตนเองจะต้องเลี้ยงสัตว์สักตัวจริงๆ เสียที เพื่อที่จะได้ให้มันอยู่เป็นเพื่อนเล่อเหยาแทนเขาที่ห้อง
บางครั้งคุยกับสัตว์ยังสนุกกว่าคุยกับคนเสียอีก
หลังจากที่วิ่งครบสิบกิโลโจวลั่วหยางก็ไปซื้ออาหารเช้า ทว่าเมื่อกลับถึงห้องแล้วเปิดประตู จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของน้องชาย
เขาผลักประตูเข้าไป ภาพที่เห็นคือตู้จิ่งที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังคุยเล่นกับโจวเล่อเหยา
โจวลั่วหยาง “…”
“พี่กลับมาแล้ว” เล่อเหยาสวมชุดนอน หันมามองพี่ชาย
ตู้จิ่งก็หันมามองโจวลั่วหยางเช่นกัน “ไปวิ่งมาแล้ว? รู้จักแบ่งเวลางานกับเวลาพักผ่อนเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่”
โจวลั่วหยางวางอาหารเช้า รู้สึกผิดคาดอย่างยิ่ง “นาย…”
ตู้จิ่งพูดอย่างสบายๆ “ตอนเรียกรถเมื่อวานนายให้ที่อยู่ฉันแล้ว”
เล่อเหยายิ้มพลางมองดูพี่ชาย โจวลั่วหยางไม่อยากออกอาการต่อหน้าน้องชายมากนัก เขาจึงแนะนำอีกฝ่าย
“เขาเป็นรูมเมตของพี่ตอนเรียน ป.ตรี เมื่อวานบังเอิญเจอกัน วันนี้ไม่คิดว่าจะมาโดยไม่บอกไม่กล่าว”
เล่อเหยายิ้มพลางเอ่ย “เขาบอกแล้ว พวกพี่เป็นคู่โชคชะตาที่สวรรค์จัดสรรจริงๆ”
ตู้จิ่งกล่าวอย่างจริงจัง “อะไรคือไม่บอกไม่กล่าวกันล่ะ คืนเมื่อวานก็บอกชัดๆ ว่าชวนฉันมาดื่มชา”
“ชัดๆ นี่ใคร” โจวลั่วหยางยอกย้อน “ฉันไม่ใช่ชัดๆ ถ้าชัดๆ เป็นคนชวนนาย นายก็ไปบ้านชัดๆ สิ”
เล่อเหยาหลุดขำออกมา โจวลั่วหยางเอ่ยถามเขา “ล้างหน้าล้างตาหรือยัง”
เล่อเหยาหมุนล้อรถเข็นไปที่ห้องน้ำ แต่เมื่อโจวลั่วหยางจะตามเข้าไป เล่อเหยาจึงบอกว่า “ผมไปล้างหน้าเองได้”
โจวลั่วหยางรู้ว่าเล่อเหยาไม่อยากแสดงว่าตนเองเป็นภาระต่อหน้าคนนอก จึงตามใจเขา
โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งจ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่ง หลายปีที่ไม่ได้พบกันความรู้สึกซับซ้อนและลุ่มลึกที่ยากจะอธิบายจึงพลันเอ่อท้นระหว่างคนทั้งสอง
“ไม่นึกเลยว่านายก็มีน้องชายด้วยคนหนึ่ง” ตู้จิ่งถือแว่นตาดำพลางพลิกเล่นไปมา ผิวเลนส์ของแว่นตาดำสะท้อนภาพใบหน้าอย่างชัดเจน รวมทั้งแผลเป็นบนดั้งจมูกรอยนั้นก็ด้วย
มุมปากของโจวลั่วหยางยกขึ้นเล็กน้อยพลางบอก “เขาไม่ค่อยชอบพบปะใครและไม่ยอมหาเพื่อนด้วย ก็เหมือนนายนั่นแหละ ฉันเลยแทบไม่พูดถึงเขา”
ตู้จิ่งเหลือบมองโจวลั่วหยางโดยที่ในแววตานั้นมีความละอายใจเจือปนอยู่เล็กน้อย เขามองเสียจนโจวลั่วหยางชักจะสงสารขึ้นมา
“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ หรือว่านอนไม่หลับอีกแล้ว?” โจวลั่วหยางสังเกตตู้จิ่งแล้วก็พบว่าเขายังแต่งตัวเหมือนตอนที่พบกันเมื่อคืน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
ตู้จิ่งเก็บแว่นตาดำด้วยท่าทางเงอะงะพลางบ่นอุบ “ยังรู้จักฉันดีเหมือนเดิมสินะ”
คนทั้งสองต่างเงียบใส่กัน
จู่ๆ ตู้จิ่งก็โพล่งขึ้นมา “อย่าไปยุ่งกับอวี๋เจี้ยนเฉียง คนคนนี้อันตราย”
โจวลั่วหยางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาค้นหาในสมองว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงเป็นใคร เมื่อวานได้พบกันเพียงหนเดียว พอกลับถึงห้องก็ลืมเรื่องของอีกฝ่ายไปเสียสนิท และการปะทะคารมเล็กๆ น้อยๆ นั้น โจวลั่วหยางก็ไม่เห็นว่าจะสลักสำคัญอะไร
ตอนแรกโจวลั่วหยางว่าจะอธิบายสักหน่อย แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วก็คร้านที่จะพูดมาก จึงแค่ส่งเสียงตอบรับอย่างไม่แยแส
ตู้จิ่งกลับจ้องมองเขาไม่วางตา อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้เขาพูดออกมาให้ชัดๆ
โจวลั่วหยางเดาว่าตู้จิ่งคงยังไม่รู้ว่าเขาไปพบอวี๋เจี้ยนเฉียงเพราะอะไร จึงกล่าวอย่างเหลืออด
“ตอนแรกแค่จะไปหาหุ้นส่วนทางธุรกิจน่ะ”
ตู้จิ่งเอ่ยถาม “ขาดเงินเหรอ ขาดอีกเท่าไหร่”
“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือของนายหรอก” โจวลั่วหยางตัดบท
ตู้จิ่งกล่าว “ฉันก็ไม่มีเงิน แค่ถามไปอย่างนั้นเอง”
โจวลั่วหยางสูดหายใจเข้าลึกๆ “ไม่ได้พบกันสามปี เราต้องคุยกันอย่างนี้ด้วยเหรอ”
สีหน้าของตู้จิ่งเปลี่ยนไปทันที เขารีบแก้คำพูด “ขอโทษที ฉันก็แค่ดีใจมากไปหน่อย เลยไม่ทันได้ระงับอารมณ์”
“ดีใจอะไร” โจวลั่วหยางกำลังหงุดหงิด จึงพูดเสียดสีไปประโยคหนึ่ง “เห็นฉันจนตรอกเลยดีใจมาก?”
ตู้จิ่งแก้คำพูด “นายต้องการเงินเท่าไหร่ ฉันพอจะมีอยู่บ้าง”
เมื่อเห็นโจวลั่วหยางไม่พูดไม่จา ตู้จิ่งจึงอธิบาย “ฉันดีใจมากที่ได้พบนายอีกครั้ง”
โจวลั่วหยางกล่าว “เมื่อคืนไม่เห็นอยากจะพูดกับฉันสักเท่าไหร่ แต่มาวันนี้กลับบอกว่าดีใจมากเนี่ยนะ?”
ตอนนั้นเองก็พลันมีเสียงน้ำดังออกมาจากในห้องน้ำ โจวลั่วหยางนึกอยากจะทุบอีกฝ่ายสักยก
ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่มีนิสัยชอบตำหนิคนอื่น อีกทั้งตอนที่ได้เห็นแววตาอันคุ้นเคยของตู้จิ่ง เขาก็พลันรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา
“กินข้าวเช้ากันเถอะ” โจวลั่วหยางถามต่อ “นายกินแล้วหรือยัง”
ตู้จิ่งตอบ “พวกนายกินเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน”
โจวลั่วหยางไม่คิดว่าตู้จิ่งจะมาเลยซื้ออาหารเช้ามาแค่สองชุด แต่กลับบอกไปว่า “ฉันกินจากข้างนอกมาแล้ว นายกินเถอะ” พูดจบก็กระซิบบอกอย่างร้อนใจ “อย่าพูดอะไรที่ไม่ควรพูดต่อหน้าเล่อเหยานะ”
ตู้จิ่งไม่รับปากหรือปฏิเสธ เขานั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร เปิดถุงกระดาษ หยิบกาแฟออกมาแล้วจิบอึกหนึ่ง โจวลั่วหยางเข็นรถเข็นพาน้องชายมาที่หน้าโต๊ะอาหาร ส่วนตัวเองก็เดินตรงเข้าไปอาบน้ำ
“อยากเปิดร้านของปู่อีกครั้งเหรอ” ตู้จิ่งรอโจวลั่วหยางออกมาแล้วจึงเอ่ยปากถาม
โจวลั่วหยางขมวดคิ้ว ก่อนจะเหลือบมองน้องชาย เขารู้ว่าเล่อเหยาต้องเป็นคนเล่าแน่ๆ
เล่อเหยาเอาแต่ก้มหน้ากินข้าวเช้า เมื่อได้ยินก็หันไปยิ้มให้พี่ชาย
“อีกสักพักฉันจะไปที่โกดังเก็บของเป็นเพื่อนนาย” ตู้จิ่งเสนอ “ฉันขับรถมา”
“ยังไม่ไปหรอก” โจวลั่วหยางเดินออกมาพร้อมกับเสียงรองเท้าแตะพลางเช็ดเส้นผม บนร่างสวมเสื้อบาสเกตบอลแขนกุดกับกางเกงขาสั้น เขาเอ่ยว่า “วันนี้มีนัด”
หัวไหล่ที่เผยออกมายังคงขาวหมดจด ดูเหมือนไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่ยังอยู่มหาวิทยาลัยเลยแม้แต่น้อย
“พี่ ผมอยากกลับไปนอนต่อ” เล่อเหยาบอก “ผมตื่นเช้าเกินไป พี่ไปเถอะ เรื่องงานสำคัญกว่า”
‘มีงานให้ทำที่ไหนกัน’ โจวลั่วหยางอยากตอบออกไปแบบนี้ โกดังเก็บของโทรมๆ นั่นจะเหลือของมีค่าสักเท่าไหร่กันเชียว ของโบราณก็ถูกพวกญาติๆ แบ่งไปหมดแล้ว จะมีก็แต่หนังสือกับเศษกระดาษกองพะเนินเท่านั้นแหละ นอกจากภาพวาดอักษรไม่กี่ภาพ อย่างอื่นที่หลงเหลืออยู่ก็มีแต่ขยะที่เอาไปชั่งกิโลขายให้ร้านรับซื้อของเก่าได้เท่านั้น ค่ากินค่าอยู่ของเดือนหน้าจะหามาจากไหนก็ยังไม่รู้ คงได้แต่เอาเงินจากบัตรเครดิตมาประทังพอให้ผ่านช่วงที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้เสียก่อน ซึ่งมันเหมือนกับการรื้อกำแพงฝั่งตะวันออกเพื่อมาซ่อมแซมกำแพงฝั่งตะวันตกอย่างไรอย่างนั้น
เรซูเม่ที่ส่งไปก็ยังไม่มีการตอบกลับเลย
ตู้จิ่งหันไปเลิกคิ้วให้โจวลั่วหยางเป็นสัญญาณบอกว่า ไปกันเลยไหม
สุดท้ายโจวลั่วหยางจึงต้องพยักหน้าอย่างจนใจ เขาเองก็ยังมีเรื่องราวอีกมากที่อยากคุยกับตู้จิ่ง ถึงอย่างไรตู้จิ่งก็ยังมีน้ำหนักอยู่มากในใจของเขา ไม่สิ…เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง เขาถึงขั้นเคยรู้สึกว่าตู้จิ่งเป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตัวเองเลยต่างหาก
ถ้าต่อมาไม่ได้เกิดเรื่องพลิกผันนั้นขึ้นมาเสียก่อน
“เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่เหรอ” เล่อเหยาถาม
ก่อนออกไปโจวลั่วหยางกำลังสวมรองเท้าอยู่ในห้องนั่งเล่น ส่วนตู้จิ่งก็เดินลงจากอาคารไปขับรถมา
“ใช่” โจวลั่วหยางตอบ “เป็นเพื่อนที่สนิทมากๆ”
เล่อเหยาถามต่อ “แต่พี่ไม่เคยพูดถึงเขาเลย”
โจวลั่วหยางกล่าว “เพราะระหว่างนั้นเกิดเรื่องบางอย่าง…เขากับนายคล้ายกันอยู่บ้าง พี่เลยไม่ค่อยอยากจะนึกถึง แต่ถ้านายอยากรู้ พี่จะ…”
เล่อเหยาเอ่ย “ไม่หรอก ผมไม่ได้อยากรู้อยากเห็น…ก็แค่…อืม…ไม่มีอะไร พี่ไปเถอะ”
“แค่อะไร” โจวลั่วหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย
เล่อเหยายิ้มเศร้าพลางบอก “พอเขารู้ว่าพี่ไม่เคยพูดถึงเขาให้ผมฟังเลย ดูเหมือนเขาจะเสียใจอยู่บ้าง”
“เพราะเขาเป็นคนบัดซบ” โจวลั่วหยางพูดอย่างจริงจัง
เล่อเหยาตำหนิ “ทำไมว่าคนอื่นอย่างนี้ล่ะ”
โจวลั่วหยางกล่าว “ผู้ชายบางคนไม่เพียงทำตัวบัดซบเรื่องความรัก แต่ยังทำตัวบัดซบกับเพื่อนด้วย ไปล่ะ อีกสักพักพี่จะโทรหา” เขาพูดพลางลูบศีรษะของเล่อเหยา
“หลายปีมานี้นายไปอยู่ที่ไหนมากันแน่” โจวลั่วหยางหยิบเสื้อตัวนอกมาด้วยก่อนจะเดินลงจากอาคาร แล้วก็เห็นรถอาวดี้จอดอยู่ที่ปากประตู เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด จากนั้นก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับอย่างคุ้นเคย
“บอกแล้วว่าไปรักษาอาการป่วย” ตู้จิ่งสวมแว่นตาดำ “รักษาไม่หายดี เลยไม่อยากมาพบนาย”
“นี่ ตู้จิ่ง” โจวลั่วหยางพูดขึ้นในที่สุด
ตู้จิ่ง “หืม?”
จากนั้นตู้จิ่งก็หันหน้ามาแล้วจ้องมองโจวลั่วหยางผ่านเลนส์แว่นสีดำ
หลังจากนั้นโจวลั่วหยางก็เหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าหล่อเหลาของตู้จิ่งอย่างแรง หมัดนั้นต่อยลงบนใบหน้าพร้อมกับเสียงทุ้มหนัก ทำเอาแว่นตาดำของตู้จิ่งถึงกับกระเด็นไปกระแทกหน้าต่างรถยนต์
ตู้จิ่ง “…”
ภายในรถเงียบกริบไปพักใหญ่ โจวลั่วหยางสะบัดข้อมือพลางคิดในใจ กระดูกหมอนี่แข็งชะมัด
“ค่อยดีขึ้นหน่อย” โจวลั่วหยางพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ไปกันเลยไหม”
มุมปากของตู้จิ่งข้างที่ถูกต่อยมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย โจวลั่วหยางหยิบทิชชูจากคอนโซลด้านหน้ามาให้แล้วบอก “เช็ดซะ”
ตู้จิ่งเช็ดอย่างไม่ใส่ใจ เจ้าตัวมองดูรอยเลือดที่ติดอยู่บนทิชชูแล้วพยักหน้า จากนั้นก็สวมแว่นตาดำตามเดิม ก่อนจะหมุนพวงมาลัยกลับรถเพื่อออกจากเขตที่พัก
“หลายปีมานี้นายไปไหนมากันแน่ ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ความอดทนของฉันมีขีดจำกัดนะ”
“ฉันไม่ได้โกหกนาย ฉันไปรักษาตัวจริงๆ นายนี่…”
“อะไร”
“ไม่มีอะไร หมัดนายหนักจริงๆ” ตู้จิ่งขับรถพลางตอบคำถาม ในปากยังคงได้กลิ่นคาวเลือด
ขณะที่โจวลั่วหยางมองวิวนอกหน้าต่าง ตู้จิ่งก็ถามอีกว่า “ต้องการเงินเท่าไหร่”
“ฉันไม่รู้” โจวลั่วหยางตอบอย่างสับสนและเหม่อลอยเล็กน้อย “เล่อเหยาเล่าให้นายฟังหมดแล้วสิ?”
ตู้จิ่งปัดหน้าจอมือถือที่ติดไว้ข้างพวงมาลัยก่อนจะเรียกให้โจวลั่วหยางมาดู บนหน้าจอนั้นเป็นบัญชีธนาคารของเขา
ตู้จิ่งบอกว่า “ต้องใช้เท่าไหร่ นายโอนเองก็แล้วกัน”
บนหน้าจอบอกว่ามีเงินอยู่หกแสนกว่า โจวลั่วหยางมองแล้วหยิบมือถือมากดโอนให้ตัวเองสามพัน ก่อนจะให้ตู้จิ่งหันหน้ามา อีกฝ่ายหันไปมองเพื่อสแกนใบหน้าทำการปลดล็อก
“เอาไปให้หมดเถอะ” ตู้จิ่งบอก
โจวลั่วหยางคิดๆ แล้วตอบ “ไว้ตอนที่ต้องใช้ฉันค่อยบอกนาย”
โจวลั่วหยางดูแอพฯ บัญชีสำหรับลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูงของตู้จิ่ง จากนั้นก็ไปดูบันทึกการใช้จ่ายของเขา ตู้จิ่งไม่หันไปมองมือถือตัวเองด้วยซ้ำ ราวกับการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
“ฉันจะชดใช้เงินก้อนนี้ให้นาย” โจวลั่วหยางพูด “แลกกับผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง”
“แล้วแต่” ตู้จิ่งพูดอย่างสบายๆ “สำหรับฉันเงินไม่ได้มีความหมายอะไร”
โจวลั่วหยางพลันชะงักงันก่อนกล่าว “นายไม่มีทางเป็นผู้ช่วยของอวี๋เจี้ยนเฉียงได้”
ตู้จิ่งเอ่ย “ฉันฉลาดขนาดนี้ ทำไมถึงจะเป็นไม่ได้ล่ะ”
โจวลั่วหยางตอบ “นายไม่ได้ขาดเงิน เลยไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเงินเดือน”
ตู้จิ่งกล่าว “คนเราต้องมีงานทำ คำนี้นายพูดเองนะ อีกอย่างนายรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้ฉันมีเงิน ฉันตัดขาดกับทางบ้านแล้ว สองสามปีมานี้ไม่ได้ขอเงินจากพ่อเลยสักเฟิน* เดียว”
“ถึงอย่างนั้นนายก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ช่วยนี่” ยิ่งโจวลั่วหยางฟังตู้จิ่งพูดก็ยิ่งสงสัย ประจวบกับมือถือมีสายเข้า เขาจึงกดเข้าโหมดแฮนด์ฟรี
“ตู้จิ่ง?” เสียงผู้ชายดังมาจากปลายสาย “กำลังหาตัวนายพอดี ไปอยู่ที่ไหนซะล่ะ”
ตู้จิ่งตอบ “ไม่ว่างครับ ไม่ไปแล้ว ลางานให้ผมหน่อย”
โจวลั่วหยางพูดขึ้น “เขาจะไปเดี๋ยวนี้”
ตอนที่โจวลั่วหยางพูดขึ้น สีหน้าของตู้จิ่งพลันเปลี่ยนไปทันที ส่วนทางด้านปลายสายเมื่อได้ยินเสียงของโจวลั่วหยางก็ประหลาดใจเล็กน้อย ฝ่ายนั้นถามว่า “คุณเป็นใคร”
ตู้จิ่งเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา “จะกลับแล้วครับ รอผมยี่สิบนาที”
พูดจบตู้จิ่งก็เหยียบคันเร่งแล้วเลี้ยวรถตรงสี่แยก ขับขึ้นทางยกระดับ มุ่งหน้าไปยังถนนอีกสาย
“ขับช้าๆ หน่อย” โจวลั่วหยางบอก
ตู้จิ่งไม่ตอบรับแม้แต่เสียงเดียว เขาจอดรถตรงหน้าอาคารหลังหนึ่งแล้วมองโจวลั่วหยาง ความหมายคือ จะขึ้นไปด้วยกันไหม
โจวลั่วหยางโบกมือปฏิเสธก่อนจะก้มหน้าเล่นมือถือ ตู้จิ่งจึงปิดประตูรถแต่ไม่ดับเครื่องยนต์ มือถือก็ไม่เอาไปด้วย อีกฝ่ายเพียงสาวเท้าเข้าไปในอาคารหลังใหญ่
โจวลั่วหยางมองแผ่นหลังของตู้จิ่ง เมื่อคิดอีกทีก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง…อาคารหลังนี้ดูเก่าอยู่สักหน่อย ดูแล้วคงไม่ใช่ที่ตั้งบริษัทของอวี๋เจี้ยนเฉียง
เขามองสถานที่ตรงหน้า ทว่าไม่มีป้ายกำกับไว้ แม้แต่ชื่ออาคารก็ไม่มี
* เฟิน เป็นหน่วยเงินที่มีค่าน้อยที่สุดของเงินหยวน โดย 10 เฟิน เท่ากับ 1 เหมา
บทที่ 4
โจวลั่วหยางปรับท่าทางการนั่งบนรถ ก่อนพลิกที่บังแดดลงมาแล้วกวาดตามองทุกจุดที่สายตามองเห็นได้ รถของตู้จิ่งตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่ได้แขวนแม้แต่ตุ๊กตา ดูแล้วไม่เหมือนรถส่วนตัวของเขา
หรือจะเป็นรถที่อวี๋เจี้ยนเฉียงให้เขาขับ?
อวี๋เจี้ยนเฉียงเป็นเกย์ บางทีอาจจะถูกใจตู้จิ่งในระดับหนึ่ง แต่ดูจากสไตล์การนัดบอดของเขาแล้ว โจวลั่วหยางก็อนุมานได้ว่าเจ้าของบริษัทอสังหาฯ คนนี้น่าจะไม่ชอบผู้ชายแบบตู้จิ่ง
เขาหางานนี้ได้ยังไงนะ
โจวลั่วหยางนึกสภาพตอนตู้จิ่งเป็นผู้ช่วยคนอื่นไม่ออกจริงๆ ในภาพความทรงจำที่มีต่อตู้จิ่งนั้น โจวลั่วหยางมักรู้สึกว่าเขาอาจทำงานอื่น แต่จะทำงานอะไรโจวลั่วหยางก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ตู้จิ่งเป็นคนแบบที่ไม่ยอมถูกผูกมัด โจวลั่วหยางมักรู้สึกว่าสักวันเขาจะหนีไปจากกรงนกคอนกรีตเสริมเหล็กแล้วกลับไปยังโลกใบนั้นที่เป็นของเขา
ส่วนโลกใบนี้เป็นอย่างไรนั้น โจวลั่วหยางเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
โจวลั่วหยางยังจำได้ว่าต้องใช้เวลานานมากกว่าที่เขากับตู้จิ่งจะสนิทกัน อาจเพราะยาที่ตู้จิ่งกินทำให้เขารู้สึกสนใจ หรืออาจเป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวของรูมเมต จึงเกิดความรู้สึกรับผิดชอบในฐานะผู้ช่วยชีวิตอยู่ไม่มากก็น้อย และหวังว่าจะเข้าถึงจิตใจของอีกฝ่ายได้
ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อห้าปีก่อน เมื่อกลับมาถึงหอพักหลังฝึกทหารเสร็จ โจวลั่วหยางไม่ได้สวมเสื้อ เขาหันไปเสนอกับตู้จิ่งว่าควรต้องปัดกวาดห้องพักกันบ้างไหม
ตู้จิ่งไม่ออกความเห็นใดๆ กับเรื่องที่โจวลั่วหยางเสนอ เขาเพียงแค่พยักหน้า สวมหูฟัง แล้วลุกขึ้น
โจวลั่วหยางเอ่ย ‘นายไปเอาน้ำมาถังหนึ่งซิ’
ตู้จิ่งไปเอาน้ำ โจวลั่วหยางกลับมาถึงห้องพักด้วยความรู้สึกขัดแย้งในใจเล็กน้อย ด้านหนึ่งเขาอยากจะผูกมิตรกับตู้จิ่ง พูดคุยกันให้มากหน่อย ไม่อย่างนั้นในห้องพักที่มีแต่บรรยากาศเงียบสงัดไร้ชีวิตชีวาคงทะแม่งๆ น่าดู แต่อีกด้านเหตุผลก็คอยบอกเขาไม่หยุดว่าทุกคนจำเป็นที่จะต้องรู้จักเคารพซึ่งกันและกัน ดังนั้นแล้วการดึงดันจะผูกมิตรให้ได้นั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ
ตู้จิ่งนั้นตัวสูง โจวลั่วหยางให้เขาทำอะไรเขาก็ทำ อย่างตอนนี้ที่เขายืนขึ้นแล้วเริ่มเช็ดพัดลม โจวลั่วหยางฉวยโอกาสนี้แอบดูข้าวของที่ตู้จิ่งเอามาจากบ้าน…ข้าวของของเขามีน้อย เครื่องอ่านอีบุ๊กเครื่องหนึ่ง แม็กบุ๊กเครื่องหนึ่ง กับรองเท้าบาสเกตบอลสามคู่ที่ดูมีราคา
‘ฉันเอาเสื้อผ้าไปแขวนให้ไหม’ โจวลั่วหยางเงยหน้าถามอีกฝ่าย
ตู้จิ่งเหลือบมองเขาก่อนจะพยักหน้า
โจวลั่วหยางจึงเปิดตู้เสื้อผ้าของตู้จิ่งอย่างเปิดเผย ในนั้นมีชุดลำลองสองชุดกับพวกเสื้อกีฬาหลายแบบสองสามตัว
‘ฉันก็มีแบบตัวนี้’ โจวลั่วหยางเห็นเสื้อยืดตัวหนึ่งในนั้นแล้วบอก
ตู้จิ่งได้ยินก็พยักหน้า แต่ไม่พูดอะไรเลย
โจวลั่วหยางหยิบลำโพงบลูทูธออกมา ‘ปกตินายฟังเพลงอะไร ฟังด้วยกันไหม’
‘เลือกเพลงที่นายฟังปกตินั่นแหละ’ ในที่สุดตู้จิ่งก็พูดออกมาหนึ่งประโยค
‘ฉันอยากฟังเพลงของนาย’ โจวลั่วหยางเชื่อมต่อลำโพงบลูทูธของตัวเองกับคอมพิวเตอร์ของตู้จิ่ง พอได้ยินท่อนอินโทรก็แปลกใจเล็กน้อย
‘Stan’ โจวลั่วหยางพูด
‘นายก็ชอบเหมือนกัน?’ ตู้จิ่งก็แปลกใจเหมือนกัน
‘ฉันชอบท่อนคอรัสของเขา’ โจวลั่วหยางบอกยิ้มๆ พลางคิดว่าอาจมีเรื่องที่พูดคุยกันได้แล้ว
ตู้จิ่งเช็ดพัดลมเสร็จก็กระโดดลงจากเก้าอี้ก่อนจะเอ่ย ‘ฉันได้ฟังเพลงของเขาครั้งแรกตอนอยู่บนรถงานแต่งงานของแม่กับพ่อเลี้ยง วันนั้นอากาศร้อนมาก ฉันยังจำได้อยู่เลยว่าพิธีกรงานแต่งเป็นผู้ชายตัวอ้วน พวกเขาลองเครื่องเสียงในสถานที่จัดงาน วางแผ่นเสียง ฉันเลยเข้าไปถามว่านี่เป็นเพลงของใคร เขาบอกว่า Eminem*’
โจวลั่วหยาง ‘…’
โจวลั่วหยางไม่คิดว่านักร้องคนหนึ่งจะทำให้ตู้จิ่งพูดเยอะขึ้นขนาดนี้ในทันทีทันใด จึงได้แต่พยักหน้าอย่างตอบอะไรไม่ถูก
ตู้จิ่งมองเขาผ่านเงาสะท้อนของกระจกหน้าต่าง ‘วันนั้นดอกไม้บานสวยมากๆ เป็นกุหลาบแดงทั้งหมด แต่อากาศร้อนจนเหงื่อโชก ตอนนั้นฉันอายุหกขวบ แม่ให้ฉันสวมชุดสูท ฉันไม่ชอบเลย คอเสื้อเชิ้ตก็แน่นเปรี๊ยะ เกือบจะรัดคอฉันตาย…’
‘งะ…งั้นเหรอ’ จู่ๆ โจวลั่วหยางก็รู้สึกว่าเขาตามความคิดอันรวดเร็วของอีกฝ่ายไม่ทัน ‘น่าจะเป็นชุดที่สั่งตัดพิเศษล่ะมั้ง’
‘ถูก’ ตู้จิ่งเอ่ยต่อ ‘หลังจากทะเลาะจนแตกหักกับพ่อฉัน แม่ก็แต่งกับคนที่รวยมากคนหนึ่ง เป็นคนสเปน ทำธุรกิจเกี่ยวกับไวน์อยู่ที่มาดริด หมอนั่นมีลูกสองคน แต่ไอคิวไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ ฉันคิดว่าคงเพราะสองสามีภรรยาชอบสูบกัญชา ลูกที่เกิดมาก็เลยหัวทึบ พวกเขาเห็นฉันก็คงคิดว่าฉันหัวทึบเหมือนกัน’
โจวลั่วหยาง ‘…’
‘นายว่าฉันดูเหมือนคนหัวทึบหรือเปล่า’ ตู้จิ่งถาม
โจวลั่วหยาง ‘…’
โจวลั่วหยางหัวเราะ ในขณะที่ตู้จิ่งเริ่มพูดพึมพำกับตัวเอง ‘ภาษาอังกฤษของนายเป็นยังไง’
‘ก็…ก็พอใช้ได้’ โจวลั่วหยางทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
‘ภาษาสเปนล่ะ พูดได้ไหม’ ตู้จิ่งถาม
โจวลั่วหยางตอบ ‘ไม่ได้’
ตู้จิ่งจึงพูดว่า ‘ภาษาสเปนเรียนง่ายนะ ง่ายกว่าภาษาฝรั่งเศสอีก ช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวพวกเขาฉันเรียนรู้ภาษาสเปนได้เร็วมากเลย แต่ฉันแกล้งทำเป็นฟังไม่ออกแล้วฟังพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับฉันตรงโต๊ะอาหาร สนุกดี’
ในที่สุดโจวลั่วหยางก็หาจังหวะพูดแทรกได้ ‘นายก็เลยตัดสินใจกลับมาเรียนที่จีน?’
‘ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นทั้งหมดหรอก เพราะอีกเรื่องหนึ่งด้วย’ ตู้จิ่งครุ่นคิดแล้วเล่าต่อ ‘ฉันอยากเรียนอะไรที่เกี่ยวกับสายวิทย์ แต่พวกเขาหวังว่าฉันจะเป็นทนายความหรือทำงานเกี่ยวกับการเงิน ไม่ก็เป็นนักการเมือง ซึ่งไม่เหมาะกับนิสัยฉัน’
โจวลั่วหยางส่งเสียงตอบรับแล้วกล่าว ‘นาย…ไม่เอาผ้าขี้ริ้วไปซักสักหน่อยเหรอ’
ตู้จิ่งใช้ผ้าขี้ริ้วผืนเดียวเช็ดข้าวของมากมายจนดำปี๋ ดูออกเลยว่าไม่เคยทำงานบ้านมาก่อน เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็ทำท่าครุ่นคิดแล้วพยักหน้า โจวลั่วหยางหัวเราะขึ้นมา ทว่าตู้จิ่งกลับนิ่งเงียบ เขาทำเพียงมองโจวลั่วหยางในภาพสะท้อนบนกระจกเท่านั้น
‘ฉันยืมหนังสือนายอ่านสักเล่มได้ไหม’ ตู้จิ่งมองดูชั้นหนังสือของโจวลั่วหยาง
‘ได้สิ’ โจวลั่วหยางตอบอย่างร่าเริง ‘อยากอ่านอะไรล่ะ’
เขาหยิบหนังสือเรื่อง ‘L’amant’* ของดูว์ราสยื่นให้ ตู้จิ่งจึงรับมาเปิดดู
‘เราไปกินข้าวกันไหม’ โจวลั่วหยางมองดูห้องพักที่สะอาดเอี่ยมเหมือนใหม่อย่างพึงพอใจแล้วเอ่ย ‘หรือจะออกไปเดินเล่น? ยังไงซะก็ใกล้จะปิดเทอมแล้ว ฉันว่าเราควรจะซื้อเครื่องซักผ้าสักเครื่อง’
หลังฝึกทหารเสร็จก็จะเป็นช่วงวันหยุดเนื่องในวันชาติ ต่อจากนั้นยังมีเวลาอีกนานที่จะให้พวกเขาค่อยๆ ทำความรู้จักกันได้
‘นายกลับบ้านไหม’ โจวลั่วหยางถามกลับ
ตู้จิ่งตอบ ‘ไม่กลับ นายลืมอะไรหรือเปล่า’
ตอนแรกโจวลั่วหยางยังงุนงง แล้วจึงค่อยกวาดตามองไปทั่วห้องพัก ‘มีด้วยเหรอ อะไรล่ะ’
ตู้จิ่งกลับมามีสีหน้าเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้ เขาเปิดตู้เสื้อผ้า เปลี่ยนชุด แล้วทำท่าบอกว่าให้ออกไปกัน
โจวลั่วหยางเอ่ยถาม ‘ฉันลืมอะไรเหรอ’
‘เปล่านี่’ ตู้จิ่งบอก ‘จะไปไหนล่ะ ไปกัน’
ชั่วขณะนั้นโจวลั่วหยางสังเกตได้ว่าตู้จิ่งมีอะไรติดอยู่ในใจ เพราะหลังจากถามว่า ‘นายลืมอะไรหรือเปล่า’ อีกฝ่ายก็เริ่มเงียบขรึม
หากจะบอกว่าหลังจากเปิดประตูออกมาจากห้องพักแล้วเดินไปตามถนนข้างนอก เขาก็กลับมามีท่าทางกีดกันไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้เหมือนเดิมก็เหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่บ้าง อย่างไรเสียความเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันนี้ก็เกิดขึ้นในห้องพัก ซึ่งตอนนั้นทั้งสองยังไม่ได้ตกลงกันเลยว่าจะไปที่ไหน
สรุปแล้วตู้จิ่งก็เงียบขรึมตลอดทั้งค่ำนั้น ไม่แม้แต่จะพูดอะไรสักคำ โจวลั่วหยางพยายามพูดคุยกับเขาสองสามประโยค ตอนกินข้าวยังถามว่า ‘ออกไปเดินเล่นนอกมหา’ลัยกันไหม’
ตู้จิ่งก็เพียงพยักหน้าอย่างเฉยชา นอกจากนี้เขายังใช้เวลาส่วนใหญ่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างยาวจรดพื้นของโรงอาหาร
เมื่อออกนอกเขตมหาวิทยาลัยก็จะเป็นสวนพฤกษศาสตร์ หลังทะลุผ่านสวนพฤกษศาสตร์ก็จะเป็นทะเลสาบซีหูอันกว้างใหญ่ จวนจะถึงวันชาติแล้วเลยมีคนมาเที่ยวที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ
โจวลั่วหยาง ‘นายมาหังโจวครั้งแรกเหรอ’
ตู้จิ่งตอบรับหนึ่งเสียง
โจวลั่วหยาง ‘ฉันก็เพิ่งมาครั้งแรก ฉัน…’
เดิมทีโจวลั่วหยางอยากถามว่าตู้จิ่งเป็นคนที่ไหน แต่ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่อยากคุย จึงไม่ถามอะไรมากอีกและพยายามรักษาความเงียบที่รู้กันสองคน
หลังกินอาหารเสร็จตู้จิ่งล้วงเอาบัตรเครดิตออกมาจ่ายพร้อมพูดว่า ‘ฉันเลี้ยงเอง’
โจวลั่วหยางไม่ได้ขาดเงิน แต่เขาพอจะรู้ว่าตู้จิ่งมีนิสัยอย่างไรจึงไม่แย่งบิลมาจ่าย โดยตอบกลับไปอย่างง่ายๆ
‘ก็ได้’
ตู้จิ่งจ่ายค่าอาหารแล้ว โจวลั่วหยางก็เริ่มเดินเล่นไปตามถนนอีกครั้ง คนหนึ่งนำหน้าอีกคนตามหลัง โดยหยุดยืนหน้าตู้โชว์สินค้าเป็นพักๆ กระทั่งโจวลั่วหยางเดินเข้าไปในร้านแอปเปิ้ล ตู้จิ่งก็เอ่ยปากถามขึ้นทันที
‘นายอยากซื้อ?’
‘บอกว่าจะมาเป็นเพื่อนนายซื้อมือถือใหม่ไม่ใช่เหรอ’ โจวลั่วหยางบอก ‘มือถือนายใช้ไม่ได้แล้วมั้ง’
ชั่วขณะนั้นเขาสัมผัสได้ว่าความรู้สึกกดดันจากตู้จิ่งสลายหายไปในฉับพลัน
‘นายยังจำได้?’ ตู้จิ่งบอก
โจวลั่วหยางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาบอกว่า ‘แน่นอนสิ ไม่มีมือถือใช้ไม่ลำบากแย่เหรอ นายว่ารุ่นที่ออกใหม่เป็นไง’
มือถือที่โจวลั่วหยางใช้เป็นเครื่องใหม่ ส่วนเครื่องที่ตู้จิ่งใช้เป็นรุ่นของปีก่อน เขายืนอยู่ที่หน้าโต๊ะ แล้วให้ตู้จิ่งลองถือมือถือพลางใช้นิ้วปัดหน้าจอไปมา ก่อนจะพูดขึ้น
‘นายมือใหญ่ ใช้รุ่นแม็กซ์ถือมือเดียวได้พอดีเลย ลองดูรุ่นนี้ไหม’
นิ้วมือของตู้จิ่งเรียวยาว ข้อนิ้วเห็นชัด นับว่ามือสวยทีเดียว
ตู้จิ่งพยักหน้าแล้วรูดบัตรเครดิตซื้ออย่างไม่ลังเล
‘ฉันอยากซื้อซิมใหม่สักอัน’ ตู้จิ่งพูดขึ้นอีก ‘มีวิธีลงทะเบียนเบอร์โทรใหม่แบบที่ไม่ต้องใช้บัตรประชาชนไหม’
โจวลั่วหยางถามยิ้มๆ ‘นายเป็นสายลับที่กลับมาจากต่างประเทศหรือไง’
ตอนเดินออกมาจากร้านแอปเปิ้ลตู้จิ่งก็พูดคุยมากขึ้น ‘ฉันไม่อยากให้พ่อเลี้ยงฉันรู้เบอร์โทรน่ะ น่ารำคาญ’
โจวลั่วหยางคิดแล้วบอก ‘ใช้บัตรประชาชนฉันลงทะเบียนเบอร์โทรใหม่ให้นายก็ได้’
ดังนั้นแล้วในคืนนั้นตู้จิ่งจึงใช้บัตรประชาชนของโจวลั่วหยางลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่มีใครรู้สักคน โดยชื่อผู้ติดต่อคนแรกในรายชื่อคือ ลั่วหยาง
ทว่าหลังกลับถึงห้องตู้จิ่งก็นั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือแล้วจ้องมองมือถือ คล้ายกับว่ากำลังจมดิ่งลงไปในภวังค์ของการครุ่นคิดพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นน้อยๆ ดูเหมือนกลัดกลุ้มและหงุดหงิดอะไรบางอย่าง
‘เป็นอะไรไป’ โจวลั่วหยางถามไถ่
‘ฉันอยากลงทะเบียนแอปเปิ้ลไอดีใหม่สักไอดี’ ตู้จิ่งบอก ‘แต่ฉันต้องโหลดแอพฯ วีพีเอ็นแอพฯ หนึ่งก่อนถึงจะลงทะเบียนอีเมลใหม่ได้’
‘นายใช้ของฉันก่อนก็ได้’ โจวลั่วหยางบอกแล้วจดแอปเปิ้ลไอดีของตัวเองใส่เศษกระดาษยื่นให้ตู้จิ่ง จากนั้นตู้จิ่งก็ลงทะเบียนวีแชตใหม่ไว้สำหรับติดต่อ
ตอนนั้นโจวลั่วหยางไม่รู้ว่าการกระทำนี้หมายความว่าอะไร เนิ่นนานหลังจากนั้นพอนึกย้อนกลับไป ถึงค่อยรู้สึกว่าคืนนั้นสำหรับตู้จิ่งแล้วน่าจะเรียกได้ว่าเป็นการเกิดใหม่ของเขาเลยทีเดียว
ในลานจอดรถตู้จิ่งเปิดประตูรถแล้วเข้ามานั่ง โจวลั่วหยางสวมเสื้อกีฬาตัวนอก นั่งขดอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ โดยเอียงหน้าหันมองเขา มุมปากของตู้จิ่งยังมีรอยบวมช้ำเล็กน้อยจากการที่ถูกเขาต่อยอยู่
ตู้จิ่งยื่นกาแฟแก้วหนึ่งให้โจวลั่วหยาง
“นายอธิบายให้ชัดๆ จะดีที่สุด” โจวลั่วหยางบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตู้จิ่งคลายคอเสื้อเชิ้ตแล้วพูดว่า “รัดคอแน่นเกินไปแล้ว หายใจแทบไม่ออกแหนะ”
พูดแล้วเขาก็หยิบกล่องยาออกมา เขาเทยาสีขาวกับสีแดงออกมาสองสามเม็ดก่อนจะโยนเข้าปากโดยที่ไม่ได้ดูด้วยซ้ำ จากนั้นจึงกระดกกาแฟกลืนยาลงไป
“เมื่อคืนได้นอนนานแค่ไหน” โจวลั่วหยางถาม
“ไม่ได้นอน” ตู้จิ่งตอบกลับ
“แล้วยังจะดื่มกาแฟเนี่ยนะ!” โจวลั่วหยางตกใจ “อยากตายหรือไง!”
ตู้จิ่งบอก “แค่อึกเดียวเอง”
โจวลั่วหยางถาม “ที่นี่เป็นบริษัทของอวี๋เจี้ยนเฉียงเหรอ”
ตู้จิ่งพิมพ์ตัวอักษรแถวหนึ่งบนมือถือ แล้วยื่นให้โจวลั่วหยางดู
‘ในรถติดกล้อง’
โจวลั่วหยางได้แต่นิ่งเงียบโดยไม่ถามอะไรอีก “หาที่งีบสักหน่อยเถอะ หลายปีมานี้อาการนอนไม่หลับดีขึ้นบ้างไหม”
“ไม่เลย” ตู้จิ่งบอก “หนักกว่าเมื่อก่อนอีก”
โจวลั่วหยาง “ยาที่กินเยอะกว่าเมื่อก่อนอีกนะ”
ตู้จิ่งเหลือบมองมือถือ เขารู้ว่าโจวลั่วหยางไม่ได้ค้นข้าวของของเขา ถ้าเขาไม่อยู่โจวลั่วหยางไม่เคยค้นอะไรซี้ซั้ว เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่หากอยากจะค้นโจวลั่วหยางจะค้นต่อหน้าเขาเท่านั้น
ตู้จิ่งเป็นคนใจกว้าง ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังจนไม่อาจให้ใครรู้ได้…อย่างน้อยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโจวลั่วหยางก็เป็นเช่นนี้
“ทางบ้านไม่เหลือเงินสดไว้ให้นายเลยเหรอ” ตู้จิ่งถาม
“ไม่มีหรอก” โจวลั่วหยางตอบ “ติดหนี้อยู่ไม่น้อย พินัยกรรมของปู่เขียนว่ายกทรัพย์สินให้ฉัน หนี้ก็ต้องรับมาพร้อมกันด้วย ข้าวของที่มีราคาก็ถูกลุงๆ ป้าๆ แบ่งสันปันส่วนกันไปหมดแล้วตั้งแต่ก่อนปู่จะเสีย ในโกดังตอนนี้เหลือแต่ของผุๆ พังๆ”
ตู้จิ่งถามอีก “พ่อนายล่ะ เขาไม่สนใจ?”
“ตายแล้ว” โจวลั่วหยางตอบ “เมื่อสองปีก่อนช่วงปลายปีเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเดินทางไปสนามบินฮาเนดะ เล่อเหยาต้องเป็นอัมพาตครึ่งท่อนล่างก็เพราะอุบัติเหตุครั้งนี้”
“ขอโทษด้วย” ตู้จิ่งพูดต่อ “ตอนแรกอยากจะบอกว่านายเปลี่ยนไปมาก”
“ไม่เป็นไร เจออะไรๆ มามากขนาดนี้ยังไงก็ต้องเปลี่ยนไปบ้าง” โจวลั่วหยางพูดอย่างสบายๆ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป คนมาแล้วก็ไป ทุกชีวิตบนโลกไม่หยุดนิ่ง ไหลเลื่อนเคลื่อนไปไม่หยุดพัก”
ตู้จิ่งว่า “เฮราคลิตุส* สินะ”
รถจอดลงหน้าตรอกหอกลอง ย่านนี้เป็นย่านเมืองเก่าของเมืองหว่าน การที่รถอาวดี้จะกลับรถนอกตรอกผิงฝางอันคับแคบนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง เหมือนกับฉลามว่ายเข้าไปในดงสาหร่ายขนาดใหญ่อย่างไรอย่างนั้น คนที่อยู่ริมถนนพากันกดกริ่งจักรยานที่ล้าสมัยดังกริ๊งๆ ไม่หยุดพลางมองเข้ามาจากนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าใคร่รู้ในตัวของตู้จิ่งและรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขา
เดี๋ยวนี้ตู้จิ่งไม่ค่อยสนใจสายตาของคนรอบข้างแล้ว เมื่อคนอื่นมองดูรอยแผลเป็นบนใบหน้าเขาก็ปล่อยให้ดูโดยไม่ปกปิด มีเพียงความเย็นชาบนใบหน้าหล่อเหลานั้นที่ทำให้รู้สึกถึงความหยิ่งทะนง
โจวลั่วหยางล้วงเอากุญแจออกมา ก่อนจะไขเปิดประตูไม้โทรมๆ แล้วผลักเปิดออกพร้อมกับเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของประตูไม้
ที่นี่เป็นบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งที่ปู่มีชื่อเป็นเจ้าของในตอนที่ยังมีชีวิต ว่ากันว่าเป็นบ้านที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ตั้งอยู่ที่หมายเลขเจ็ดสิบสามตรอกหอกลอง บ้านหลังนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่ตั้งแต่เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว สิบปีก่อนใช้เป็นที่กองสุมข้าวของที่ถูกคัดออกจากร้านขายของโบราณ ไม่ก็เอาไว้เก็บข้าวของจิปาถะที่ชำรุดเสียหายเกินกว่าจะซ่อมได้
บ้านหลังนี้มีขนาดหกสิบตารางเมตร บนเพดานแขวนหลอดไฟไว้ดวงเดียว โจวลั่วหยางปิดประตูแล้วดึงเชือกหลอดไฟเพื่อกระตุกเปิดสวิตช์ไฟ ภายใต้แสงไฟมืดสลัวมีแต่ตู้กับกล่อง บนชั้นวางของติดผนังมีหนังสือเก่าและกระดาษกองสุมกันอยู่เป็นจำนวนมาก ภาพวาดหลายม้วนถูกแมลงกัดแทะเสียหาย ที่นอนสปริงหลังหนึ่งวางอยู่ตรงมุมห้อง บนเตียงปูด้วยผ้านวม บนผนังแขวนภาพทังกา** ฝุ่นเขลอะ
ตู้จิ่งเดินไปที่บริเวณประตูหลัง ประตูบานนั้นถูกปูนซีเมนต์ฉาบปิดสนิท ส่วนหน้าต่างมีไม้กระดานตอกปิด แสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแยก ฝุ่นที่หมุนวนเหมือนกับลำแสงที่สาดส่องเข้ามาผ่านรอยแตกร้าวแห่งกาลเวลาของอารยธรรมโบราณ
“มีแต่ของพวกนี้” โจวลั่วหยางยืนอยู่กลางห้อง ครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าว “ประเมินแล้วไม่ได้ราคาอะไร”
“เคยประเมินแล้ว?” ตู้จิ่งเดินไปอยู่หน้าโต๊ะเรียบๆ ตัวหนึ่งแล้วดึงลิ้นชักออกมา ก่อนจะพบว่าในนั้นมีหน้าปัดนาฬิกาข้อมือที่ไม่มีสายสองสามเรือนวางทับอยู่บนหนังสือพิมพ์ชานเข่าเซียวซี** ฉบับเมื่อยี่สิบปีก่อน
โจวลั่วหยางตอบ “ฉันประเมินเอง เข้าออกร้านขายของโบราณมาตั้งแต่เด็กย่อมรู้ดี ของมีค่าอย่างเดียวก็คงมีแต่บ้านหลังนี้แหละ น่าจะสักห้าหกล้านได้ล่ะมั้ง ยังไงก็ต้องรอค่าชดเชยจากการให้ย้ายออกเพื่อรื้อถอนตึก แต่ความเป็นไปได้ที่จะให้ย้ายออกเพื่อรื้อถอนตึกมีน้อยมาก…”
ตรอกหอกลองเป็นเขตอนุรักษ์อาคารเก่า ด้านหลังเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ริมทะเลสาบถูกปรับให้เป็นถนนย่านการค้า เต็มไปด้วยร้านชานม ร้านขายของที่ระลึกท้องถิ่น รวมถึงร้านขายสินค้าเชิงวัฒนธรรมและสินค้าสร้างสรรค์เล็กๆ เหมือนกับวัฒนธรรมเมืองเก่าแก่แต่ละแห่งที่มีอยู่ทั่วประเทศ แต่ถ้าเดินเข้าไปสักสามสี่ร้อยเมตรจะเป็นตรอกเล็กๆ และบ้านทรุดโทรมที่คนไม่สนใจ ปล่อยเช่าก็ไม่มีคนมาเช่า ครั้นจะทุบทิ้งรัฐบาลก็ยังไม่กล้าดำเนินการ
“…ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นสมบัติของบรรพบุรุษ” โจวลั่วหยางว่า “ฉันไม่อยากขาย”
ตู้จิ่งหยิบหน้าปัดนาฬิกาเรือนหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะเพ่งมองรายละเอียดกับแสงแดดที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
นาฬิกาเรือนนี้มีความพิเศษจริงๆ ไม่มีทั้งเข็มชี้บอกชั่วโมง นาที และวินาที บนหน้าปัดทรงกลมมีเพียงแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมสามชิ้น แต่ละชิ้นวางเหลื่อมซ้อนกันเป็นมุมสี่สิบห้าองศา จุดที่ตัดเกิดเป็นมุมเล็กๆ สิบสองมุม วงในของหน้าปัดมีขีดแบ่งสิบสองชั่วโมงในหนึ่งวัน วงตรงกลางเป็นหมายเลขจำนวนวันที่สอดคล้องกับรอบการโคจรของดวงจันทร์ ส่วนวงนอกสุดเป็นสเกลวงแหวนเวลาของปฏิทินถาวร*
ตู้จิ่งยกหน้าปัดขึ้นส่องอยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาถูกกลไกอันซับซ้อนของมันดึงดูดเข้าแล้ว
“ใช้ดูเวลายังไง” ตู้จิ่งถาม
“บนมุมของแผ่นสี่เหลี่ยมมีไพลินทรงหยดน้ำเม็ดหนึ่ง” โจวลั่วหยางอธิบาย “ต้องเอาไปส่องกับแดดถึงจะเห็น ทิศทางที่ไพลินชี้ก็คือขีดบอกเวลา เป็นงานช่างสวิส ฉันลองซ่อมแล้วแต่มันไม่ค่อยเดิน”
ตู้จิ่งกล่าว “เพิ่งเคยเห็นนาฬิกาแบบนี้เป็นครั้งแรก สวยมาก”
โจวลั่วหยางเล่า “ไม่มีชื่อ ไม่มีเลขรุ่น น่าจะเป็นรุ่นลิมิเต็ด สินค้าออกมานานหลายปีแล้ว ถ้าชอบก็เอาไปเถอะ หรือจะเปลี่ยนเป็นอันนี้แทน มีเดย์โทนาอยู่เรือนหนึ่ง นายจะเอาไหม”
โจวลั่วหยางเปิดตู้เซฟตู้เล็กที่วางอยู่ตรงมุมห้อง ในนั้นมีนาฬิกาอยู่สองเรือน เขาโยนเรือนหนึ่งให้ตู้จิ่งลองดู
ตู้จิ่งลองนำมาวางทาบบนข้อมือแล้วส่ายหน้า ก่อนจะส่งคืนให้โจวลั่วหยาง
“นายซ่อมตู้เซฟได้ไหม” ตู้จิ่งนั่งลงตรงขอบเตียง ขณะที่ลองปรับนาฬิกาข้อมือพิเศษเรือนนั้นเขาก็ถามขึ้นมา
โจวลั่วหยาง “หืม?”
ตอนแรกโจวลั่วหยางยังไม่เข้าใจ แต่ผ่านไปสักพักถึงค่อยบอก “ต้องมีแบบผัง”
ตู้จิ่งมองตู้เซฟของบ้านโจวลั่วหยาง และรู้สึกว่ามันคล้ายกับตู้เซฟในสำนักงานของอวี๋เจี้ยนเฉียง จึงชี้ไปที่ตู้เซฟนั้น ในขณะที่โจวลั่วหยางลุกขึ้นไปค้นข้าวของ ตู้จิ่งก็พูดขึ้น
“ยี่ห้อ Kubuni รุ่นเก่า ผลิตปี 1973”
ตู้เซฟตู้นี้ของโจวลั่วหยางก็เป็นยี่ห้อ Kubuni แบบใช้จานหมุนรหัส แต่เป็นคนละรุ่น จึงมีการปรับเปลี่ยนด้านการออกแบบ
“รุ่นปี 73?” โจวลั่วหยางว่า “ถ้าได้เห็นของจริงไม่แน่อาจจะซ่อมได้ นายคิดจะทำอะไรล่ะ”
โจวลั่วหยางมองตู้จิ่งด้วยความสงสัย ในใจเต็มไปด้วยความคลางแคลง
ตู้จิ่งส่ายหน้าแล้วตอบ “ไม่มีอะไร”
โจวลั่วหยางเอ่ย “ฉันจำได้ว่าดูเหมือนจะมีคู่มือของมันอยู่นะ”
หลายสิบปีก่อนตู้เซฟของรัสเซียขายดีมาก ในคู่มือได้แนบวิธีรีเซ็ตรหัสผ่านไว้ให้เผื่อในกรณีที่ลืมรหัส แต่วิธีนั้นซับซ้อนพอสมควร โจวลั่วหยางค้นเจอคู่มือที่เก่าจนเหลืองเล่มหนึ่ง แม้จะเป็นของคนละรุ่นกัน แต่หลักการแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่” โจวลั่วหยางถามอย่างคลางแคลงใจ
“ฉันเหนื่อยแล้ว” ตู้จิ่งพลันโพล่งขึ้นมา
“นายนอนเถอะ” โจวลั่วหยางให้ตู้จิ่งไปนอนบนที่นอนสปริง ตู้จิ่งไม่ได้ถอดรองเท้าหนัง เขากระเถิบเข้าไปด้านในโดยเว้นที่ว่างไว้ ส่วนโจวลั่วหยางเอนกายลงไปนอนข้างๆ แล้วเริ่มเปิดคู่มือ
ตู้จิ่งยังคงดูนาฬิกาเรือนนั้นพลางถาม “กี่โมงแล้ว”
“สิบโมง” โจวลั่วหยางเริ่มพลิกอ่านคู่มือ จากนั้นก็เหลือบมองตู้จิ่ง “อย่าปรับเลย พังหมดแล้ว ซ่อมก็ไม่ได้ เก็บไว้เป็นที่ระลึกเถอะ”
ตู้จิ่งปรับหน้าปัด นาฬิกาส่งเสียงออกมาเบาๆ แต่พอจะตั้งวันที่กลับติดขัด ไขลานแค่สองสามครั้งนาฬิกาก็ฝืดเสียแล้ว เขาไม่กล้าบิดแรงเกินไปเพราะกลัวจะบิดจนพัง
วันที่บนหน้าปัดหยุดที่เมื่อวาน…วันที่เจ็ดเดือนเก้า
วันที่ว่านี้เป็นวันที่พวกเขาได้พบกันอีกครั้ง หลังแยกจากกันไปเกือบสามปี
เสียงกลไกดังขึ้นเบาๆ ตู้จิ่งไม่รู้ว่าเผลอไปแตะถูกตรงไหนเข้า นาฬิกาที่หยุดเดินมาหลายปีถึงได้กลับมาเริ่มเดินอีกครั้ง
“ซ่อมได้แล้ว” ตู้จิ่งให้โจวลั่วหยางดู “จะให้รางวัลฉันยังไงดี”
โจวลั่วหยาง “…”
“นายก็แค่ดึงสปริงออกมาแล้วกดกลับเข้าไป ทำซ้ำไปมาสองสามรอบเองไม่ใช่เหรอ!” โจวลั่วหยางกล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
โจวลั่วหยางเหลือบมองตู้จิ่ง พอเห็นเขารั้นจะไขลานนาฬิกาเล่นเหมือนเด็กก็ฉวยเอาไปจากมือเขา ก่อนจะบอกว่า “ไม่ต้องทำแล้ว นอนได้แล้ว”
“อีกสองชั่วโมงเรียกฉันนะ” ตู้จิ่งบอก “ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน”
ตู้จิ่งนอนตะแคงเล็กน้อยแล้วหลับตาลงทั้งสองข้าง เผยสีหน้าอ่อนล้าออกมาให้เห็น
โจวลั่วหยางห่มผ้าให้พวกเขาทั้งสองคน แล้วพลิกอ่านคู่มือตู้เซฟต่อ ในคู่มือเป็นภาษารัสเซีย เขาอ่านจนเวียนหัวก่อนจะโยนคู่มือไว้ใต้เตียงแล้วหลับไป
สิบเอ็ดนาฬิกาสี่สิบห้านาที
ตู้จิ่งลืมตาขึ้นอย่างฉับพลันแล้วล้วงเอามือถือที่กำลังสั่นในกระเป๋ากางเกงชุดสูทออกมารับสาย โดยเอาตัวเครื่องวางแนบใบหู
“พี่จิ่ง” เสียงชายหนุ่มจากปลายสายถามว่า “พี่อยู่ไหนเนี่ย”
ตู้จิ่งค่อยๆ ลุกขึ้น สีหน้ายังมีความงุ่นง่านของคนเพิ่งตื่นนอน เขาพูดเสียงเบา “ว่ามา”
“อวี๋เจี้ยนเฉียงตายแล้ว” ทางนั้นกระซิบบอก
“กลางดึกคืนวาน เขาโดดตึกที่ไซต์ก่อสร้าง! พี่ไม่ได้ดูข่าวเหรอ ข่าวเพิ่งออกมาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนี่เอง!”
สีหน้าของตู้จิ่งเปลี่ยนไปทันที เขาหยิบเสื้อนอกแล้วเปิดประตูออกไป
ในเวลานี้โจวลั่วหยางยังคงหลับสนิท
ตู้จิ่งเดินอ้อมไปทางหลังตรอกแล้วเปลี่ยนไปใส่หูฟังบลูทูธ เสียงของชายหนุ่มยังดังอยู่ในหู
“เวลานั้นของเมื่อคืนพี่อยู่ที่ไหน มีหลักฐานว่าไม่ได้อยู่ที่นั่นหรือเปล่า”
ตู้จิ่งไม่ได้ตอบ ได้ยินแต่เสียงคนในหูฟังกำลังพูดอย่างรวดเร็ว “สันติบาลกำลังควานหาไปทั่ว ผู้ช่วยทุกคนของเขาต้องถูกพาตัวไปสอบสวน พี่หาที่ซ่อนตัวก่อนสักพัก อย่าให้ถูก…”
ตู้จิ่งมาถึงสุดตรอกตรงที่อยู่ห่างจากรถไม่ไกลนัก เมื่อเขาเห็นตำรวจอาชญากรรมสองนายกำลังตบที่แผ่นป้ายทะเบียนรถของเขาก็หยุดฝีเท้าแล้วหันหลังเดินกลับไปทางเดิม
สิบเอ็ดนาฬิกาห้าสิบห้านาที
ขณะที่ตู้จิ่งกำลังจะเดินเข้าไปในถนนย่านการค้าก็มีตำรวจอาชญากรรมสามนายเดินมาหาเขา โดยที่ตำรวจนายหนึ่งขวางอยู่ด้านหน้า ส่วนอีกสองนายประกบอยู่ทางด้านหลัง
“เพื่อน เชิญไปกับพวกเราหน่อย” คนที่เป็นหัวหน้าแสดงบัตรเจ้าหน้าที่
ตู้จิ่งค่อยๆ ยกมือขึ้น โดยที่มือถือเสื้อนอกเอาไว้ ตำรวจดึงหูฟังของเขาออก ก่อนค้นตัวคร่าวๆ แล้วพาเขาไปขึ้นรถตำรวจโดยไม่ได้ใส่กุญแจมือ
สิบเอ็ดนาฬิกาห้าสิบแปดนาที
ในโกดังเก็บของ ข้างหมอนของโจวลั่วหยางที่กำลังหลับสนิท ไพลินรูปหยดน้ำของนาฬิกาที่ตู้จิ่งไขลานไว้ชี้ไปที่เลขโรมัน ‘12’
สิบเอ็ดนาฬิกาห้าสิบเก้านาทีห้าสิบเก้าวินาที…
สิบสองนาฬิกาตรง
แผ่นโลหะรูปสี่เหลี่ยมสามชิ้นเคลื่อนหมุนผ่านโมงยามที่สิบสอง ก่อนจะกลับไปอยู่ตำแหน่งที่ซ้อนทับกันอีกครั้ง ชิ้นส่วนที่แทนเข็มชั่วโมง เข็มนาที และเข็มวินาทีซ้อนกัน ทำให้เกิดเสียงหนึ่งที่เบาอย่างยิ่งเหมือนกับเสียงน้ำไหลที่ดังอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าสปริงจะคลายตัวออก
เข็มนาฬิกาหยุดอยู่ที่สิบสองนาฬิกาเวลาเที่ยงวัน
มือถือของโจวลั่วหยางส่งเสียงปลุก บนหน้าจอขึ้นรายการแจ้งเตือน
‘หกโมงเย็น นัดหุ้นส่วนที่ร้านอาหาร อวี๋เจี้ยนเฉียง’
* Eminem หรือมาร์แชล บรูซ มาเธอร์ที่สาม (Marshall Bruce Mathers III) เป็นแร็พเปอร์ โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวอเมริกัน
* L’amant เป็นนวนิยายของนักเขียนหญิงชาวฝรั่งเศส มาร์เกอริต ดูว์ราส (Marguerite Duras) ได้รับการแปลเป็นฉบับภาษาอังกฤษในชื่อ The Lover เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ต่างวัยระหว่างเด็กสาวชาวฝรั่งเศสกับเศรษฐีหนุ่มชาวจีนในดินแดนอาณานิคมฝรั่งเศสที่เวียดนาม ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 1992
* เฮราคลิตุส (Heraclitus) เป็นนักปรัชญาชาวกรีก มีทัศนคติแบบสุดโต่งว่าสรรพสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป เหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลไปไม่ย้อนกลับ
** ภาพทังกา (Thangka) คือภาพวาดเกี่ยวกับศาสนาที่วาดลงบนผ้าแพรและแขวนไว้เพื่อบูชา เป็นหนึ่งในรูปแบบศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของวัฒนธรรมชาวทิเบต
** ชานเข่าเซียวซี (Reference News) เป็นหนังสือพิมพ์ที่ดำเนินการโดยสำนักข่าวซินหวาของประเทศจีน ก่อตั้งในปี 1931 มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในประเทศจีน
* ปฏิทินถาวร (Perpetual Calendar) เป็นฟังก์ชันหนึ่งบนนาฬิกาข้อมือ คิดค้นโดย Patek Philippe เมื่อปี 1925 โดยฟังก์ชันนี้จะสามารถปรับวันที่ได้โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นเดือนที่มี 30 หรือ 31 วัน รวมถึงเดือนกุมภาพันธ์ในปีที่มี 28 หรือ 29 วัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.