ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1
ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 天地白驹
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม
อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
สิบสองนาฬิกาตรง ตู้จิ่งถูกพาตัวออกมาจากรถตำรวจ
แต่ชั่วขณะที่ก้าวขาออกมายืนนอกรถ ทันใดนั้นเขาก็พบว่ารถไม่ได้จอดที่หน้าประตูสถานีตำรวจ แต่กลับมาจอดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของอาคารสำนักงานของอวี๋เจี้ยนเฉียง
ตู้จิ่ง “…?”
เขาหันหลังกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว รถตำรวจที่พาตัวมากลายเป็นรถสีดำของอวี๋เจี้ยนเฉียงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และตอนนี้ตัวเขาก็กำลังยืนอยู่นอกรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
ตู้จิ่ง “…???”
ตู้จิ่งไม่ได้นอนติดต่อกันมาสี่สิบแปดชั่วโมง เลยคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอนเสียแล้ว คนขับที่อยู่ข้างหลังเลื่อนกระจกรถลงมาแล้วบอกว่า “คุณโทรหาบอสเถอะ อีกสักพักไม่แน่ว่าระหว่างทางรถน่าจะติด ให้เขารีบออกมาเร็วหน่อย”
เขาล้วงมือถือออกมาก่อนมองดูด้วยสายตาว่างเปล่า หัวคิ้วขมวดมุ่น ยังไม่ทันได้โทรออกอวี๋เจี้ยนเฉียงก็ลงมาจากตึก
“ไม่นั่งคันนี้หรอก” อวี๋เจี้ยนเฉียงผิวปากด้วยท่าทางผ่อนคลาย เขาวิ่งซอยเท้าลงมาตามขั้นบันได ก่อนจะบอกว่า “ตู้จิ่ง นายไปขับเบนซ์ของฉัน”
เมื่อกุญแจรถลอยมาตู้จิ่งจึงยื่นมือไปรับไว้ ก่อนจะมองอวี๋เจี้ยนเฉียงราวกับเห็นผี ขณะนี้ความคิดของเขาสับสนเป็นอย่างมาก
อวี๋เจี้ยนเฉียง “…?”
ตู้จิ่ง “…”
ในเวลาเดียวกันโจวลั่วหยางหาวหวอดๆ ก่อนลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนพลางเกาศีรษะแกรกๆ
ตู้จิ่งล่ะ โจวลั่วหยางหันมองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก ทำไมหายไปแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง หมอนี่ไม่รู้จักบอกกล่าวกันบ้างเลยหรือไง ขณะกำลังจะส่งข้อความไปถามก็พบว่ายังไม่ได้เพิ่มช่องทางติดต่อของอีกฝ่ายเอาไว้เลย แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็ไม่รู้
โจวลั่วหยางค้นในมือถืออย่างจริงจัง ขณะคิดว่าจะทิ้งโน้ตไว้ให้ตู้จิ่งบนประตูดีหรือเปล่าก็มีเพื่อนโทรมาหา
“เฮ้ เบบี๋ จำไว้นะว่าบ่ายนี้จะต้องไปคุยกับหุ้นส่วนของนาย อย่าลืมซะล่ะ”
โจวลั่วหยางยืนอยู่ด้านหลังตรอก กวาดตาหาจักรยานสาธารณะแล้วเข็นออกมา
“ทำไมถึงยังมีอีกล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ! เมื่อวานเพิ่งเจอไปนะ”
“ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ คนนี้ทำงานด้านอสังหาฯ อายุประมาณสี่สิบ แซ่อวี๋ อีกอย่างนายก็ว่างอยู่ ไปเจอหน่อยเถอะ”
“จะเล่าให้ฟัง เมื่อวานฉันไปกินข้าวกับเจ้าคนแซ่อวี๋นั่น ทายซิฉันเจอใคร…”
โจวลั่วหยาง “…?”
จู่ๆ โจวลั่วหยางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เสียงในสายยังคงพูดต่อไป “เอ๋? เมื่อวานไปมาแล้ว? คนรวยแซ่อวี๋มีเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”
โจวลั่วหยางยกเท้าขึ้นแล้วเริ่มถีบบันไดจักรยาน ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าสัญญาณไฟจราจรโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเปิดแอพฯ อาลีเพย์* แล้วใช้นิ้วเรียวยาวปัดบนหน้าจอเพื่อค้นหาบันทึกการโอนเงิน…ทว่ากลับไม่มีอะไรเลย
เขาปิดมือถือแล้วเปิดใหม่ และในชั่วขณะสุดท้ายนั้นเองสายตาเขาก็หยุดอยู่ตรงวันที่บนหน้าจอ ‘วันศุกร์ที่เจ็ดเดือนเก้า’
เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย โจวลั่วหยางคิด
“เจอใครเหรอ”
“เปล่า” โจวลั่วหยางตอบอย่างเลื่อนลอย “งั้นฉันวางสายนะ”
“อย่าลืมไปด้วย ห้าโมงเย็นฉันจะมาเตือนนายอีกที”
“รู้แล้ว” โจวลั่วหยางตัดบท “ไม่ลืมหรอก”
ตารางงานวันนี้ของอวี๋เจี้ยนเฉียงเต็มหมดแล้ว หลังมื้อเที่ยงนัดดื่มชากับผู้จัดการธนาคาร พูดคุยเรื่องขยายเวลากู้ยืม ตอนบ่ายพบทนายสองชั่วโมงเพื่อหารือว่าจะแก้ไขปมความขัดแย้งทางการเงินอย่างไรดี จากนั้นบ่ายสี่โมงสี่สิบห้าไปตัดผม ตกเย็นยังจัดเวลาไปนัดบอดที่เพื่อนเป็นคนแนะนำให้ โดยคู่นัดบอดเป็นหนุ่มนักศึกษาอายุประมาณยี่สิบปี
ใช่แล้ว เขาเป็นพวกรักเพศเดียวกัน
ในที่สุดอวี๋เจี้ยนเฉียงก็ตัดสินใจว่าจะเผชิญหน้ากับรสนิยมทางเพศของตัวเอง เขาจะลองตามใจตัวเองดูสักครั้ง อย่างไรเสียเขาก็รู้สึกว่าช่วงนี้มีความกดดันมากเกินไป ผู้ช่วยบอร์ดบริหารที่ตอนแรกจะมาช่วยโปรโมตสินค้าออกสู่ตลาดเกิดตายลงอย่างน่าสงสัย ซ้ำยังตายจากเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ไม่สามารถประกาศต่อสาธารณะได้ บริษัทที่ดูเหมือนเจริญรุ่งเรืองกลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สายโซ่เงินทุนจะถูกตัดขาดได้ทุกเมื่อ ขนาดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นใหญ่เกินไป อีกทั้งพวกผู้ถือหุ้นก็ไม่พอใจเขามานานแล้ว
หากวันหนึ่งเขาถูกโหวตให้ออกจากบอร์ดบริหาร บริษัทเริ่มมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เขาก็จะสูญเสียทุกอย่างที่มีอยู่ไปทั้งหมด ตัวเขาในตอนนี้ถึงจะดูเหมือนกับว่ากำลังรุ่งสุดๆ ทว่าในความเป็นจริงเขายืนอยู่ริมหน้าผาสูงแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาอวี๋เจี้ยนเฉียงเป็นคนกล้าคนหนึ่ง ได้ทุกอย่างมาด้วยสองมือของตัวเอง ใครจะมาแย่งชิงไปย่อมไม่ได้ทั้งนั้น เขาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องการความรักและแรงกระตุ้นทางเพศมาช่วยให้ตัวเองลืมปัญหามากมายเหล่านี้ไปก่อนชั่วคราว
แต่จู่ๆ วันนี้เขาก็รู้สึกว่าสายตาที่ตู้จิ่งมองเขานั้นดูแปลกไป
ผู้ช่วยคนนี้มาอยู่กับเขาได้สองเดือนแล้ว หมอนี่เป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ซื่อสัตย์ดี อวี๋เจี้ยนเฉียงพอใจเขามาก แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ตู้จิ่งถึงเอาแต่มองเขาผ่านกระจกมองหลัง
“มีอะไร” อวี๋เจี้ยนเฉียงถาม
ตู้จิ่งเบนสายตาออกไปแล้วบอก “บอสตัดผมทรงนี้แล้วดูดี ดูเด็กลง หล่อมากครับ”
อวี๋เจี้ยนเฉียงหัวเราะโดยไม่ได้พูดอะไร เขามั่นใจในหน้าตาของตัวเองอยู่แล้ว แม้จะอายุสี่สิบแต่ยังคงดูแลร่างกายได้ดีมาก มีกล้ามท้อง มีกล้ามอก และมีเงิน กำลังอยู่ในช่วงที่มีเสน่ห์ที่สุดในชีวิตของผู้ชาย
ขณะที่ตู้จิ่งเปิดประตูรถก็คิดว่าหลังจากนี้อีกสิบเอ็ดชั่วโมง อวี๋เจี้ยนเฉียงก็จะต้องไปนอนแผ่บนลานไซต์ก่อสร้าง กลายเป็นศพที่ร่างแหลกเหลว เขาตามอวี๋เจี้ยนเฉียงเข้าไปในห้องส่วนตัวที่จองไว้ล่วงหน้า ก่อนจะสั่งให้คนยกน้ำชามาเสิร์ฟ
“ได้เวลาแล้ว นายเลิกงานเถอะ” อวี๋เจี้ยนเฉียงบอก “ให้เสี่ยวอู่มารับฉันกลับก็แล้วกัน”
ตู้จิ่งพยักหน้า เขากลับไปที่ห้องโถงใหญ่ของร้านอาหารแล้วส่งข้อความหาคนขับรถ
เวลาห้าโมงห้าสิบนาทีโจวลั่วหยางก็ผลักประตูเข้ามาในร้านอาหาร
ตู้จิ่ง “…”
โจวลั่วหยางชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองสำรวจรอบๆ ด้วยแววตางงงัน อีกฝ่ายไม่เห็นตู้จิ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมอับสายตา สุดท้ายก็เข้าไปในห้องส่วนตัวหมายเลขสิบสอง
ตู้จิ่งนั่งรออยู่เกือบยี่สิบนาที จนคนขับรถมาแล้วจึงมอบกุญแจรถให้อีกฝ่าย จากนั้นเขาก็ลุกเดินไปตรงห้องส่วนตัว แล้วรอตรงหน้าประตูพลางเงี่ยหูเล็กน้อยเพื่อคอยฟังเสียงในห้อง บทสนทนาระหว่างอวี๋เจี้ยนเฉียงกับโจวลั่วหยางดังแว่วมา
“ยี่สิบเจ็ดปีก่อนเป็นช่วงที่พวกเขาเรียน ม.ปลาย…” อวี๋เจี้ยนเฉียงพูด
โจวลั่วหยางเอ่ย “คุณอวี๋ยังรับซื้อของรีไซเคิลอยู่หรือเปล่าครับ”
อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”
“คุณรู้ได้ยังไง” อวี๋เจี้ยนเฉียงถาม
วันนี้โจวลั่วหยางเป็นคนโง่งมโดยสมบูรณ์ ในเวลาเที่ยงวันเขาตื่นขึ้นมาในโกดังเก็บของ หลังจากตู้จิ่งหายตัวไป เขาก็ได้ประสบกับวันที่เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนเดิม!
หรืออาจพูดได้ว่าเขาได้ใช้ชีวิตในวันที่เจ็ดเดือนเก้าซ้ำอีกครั้ง
เขาขี่จักรยานผ่านสัญญาณไฟจราจรแบบเดิม รับโทรศัพท์สายเดิม โจวเล่อเหยานั่งเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ในห้อง หน้าเว็บเหมือนเดิมเป๊ะ! โจวลั่วหยางเริ่มเกิดความสงสัยจนถึงที่สุดต่อโลกใบนี้ จู่ๆ เขาก็ได้ย้อนเวลากลับไปยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนราวกับเล่นเกมอย่างไรอย่างนั้น!
เขามาถึงร้านอาหารร้านเดิมกับที่ไปมาเมื่อวานและได้พบอวี๋เจี้ยนเฉียงอีกครั้ง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ชีวิตฉันพังทลายแล้ว!
แต่โจวลั่วหยางควบคุมความรู้สึกได้ดีมาก ตลอดทางเขานึกสงสัยอยู่หลายครั้ง นี่ใช่สิ่งที่คนเรียกกันว่า ‘เดจาวู’ หรือเปล่า บางครั้งสมองของเราก็ลวงให้สับสน เมื่ออยู่ในภาพฉากบางอย่างที่กำหนดไว้ ต่อมใต้สมองจะหลั่งกลุ่มฮอร์โมนพิเศษหลายชนิดที่ทำให้เกิดความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่า ‘ฉันเคยมาที่นี่’ ไม่ก็ ‘เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน’
โจวลั่วหยางจึงใช้วิธีที่ง่ายที่สุดมาทดสอบ
การเกิดขึ้นของเดจาวูมีผลต่อเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น ไม่ส่งผลอะไรกับอนาคต หรืออาจพูดได้ว่าถ้าโจวลั่วหยางพูดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ ตามวิถีของการเกิดซ้ำของสรรพสิ่งก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าทุกเรื่องที่เกิดในวันที่เจ็ดเดือนเก้าเคยเกิดขึ้นแล้วจริงๆ!
แล้วถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงล่ะ ในใจโจวลั่วหยางเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา นี่มันพิลึกเกินไปแล้ว! เขาไม่ค่อยกล้าทดสอบ ถึงขั้นบังคับตัวเองว่าอย่าคิดมาก แต่ก็จนใจที่การสะกดจิตตัวเองแบบนี้ไม่ได้ผล ระหว่างเดินทางมาตามนัดโจวลั่วหยางพยายามเตรียมใจมานับครั้งไม่ถ้วน กระทั่งสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าจะใช้อวี๋เจี้ยนเฉียงนี่แหละเป็นตัวทดสอบ
ตอนที่อวี๋เจี้ยนเฉียงเผยสีหน้าแปลกใจนั้น โจวลั่วหยางกลับหวาดหวั่นยิ่งกว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงเสียอีก นี่ถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่าเขาคาดเดาถูกต้อง
ไม่ใช่ภาพหลอนและไม่ใช่เดจาวู
วันนี้ได้เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง!
ให้ตายสิ…โจวลั่วหยางคิด ฉันย้อนเวลากลับมาเมื่อหนึ่งวันก่อนเหรอเนี่ย
“หลังจากนั้นคุณก็ทำงานที่ร้านรับซื้อของรีไซเคิลหนึ่งปีจนได้รู้จักกับพี่ใหญ่ในวงการคนหนึ่ง แล้วคุณก็ออกมากับพี่ใหญ่คนนั้น ทำธุรกิจซื้อมาขายไป ต่อมาพี่ใหญ่คนนั้นล้มป่วยและต้องไปรักษาตัวที่อเมริกา ครอบครัวของพี่ใหญ่ก็พากันไปด้วย คุณเลยรับช่วงทำธุรกิจต่อจากเขา”
อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”
“คุณเคยแต่งงานครั้งหนึ่ง มีลูกชายหนึ่งคน จากนั้นก็หย่า ลูกชายคุณอายุไล่เลี่ยกับผม แต่เป็นคนไม่ค่อยพูด คุณสงสัยว่าเขาก็เป็นพวกรักเพศเดียวกันเหมือนกัน เมื่อก่อนคุณดูหนังโป๊เป็นครั้งคราว สงสัยว่าตอนเขาเอามือถือของคุณไปใช้น่าจะเจอเข้า แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ต่างฝ่ายต่างแสร้งทำเป็นไม่รู้”
อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”
โจวลั่วหยางแอบประเมินจากสีหน้าของอวี๋เจี้ยนเฉียงพลางขุดคำพูดที่อีกฝ่ายเคยพูดออกมาเล่าอีกรอบ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่อวี๋เจี้ยนเฉียงเล่าให้เขาฟังหลังจากดื่มจนเมาเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน
ทว่าสำหรับอวี๋เจี้ยนเฉียงแล้วสิ่งที่น่าตื่นตระหนกที่สุดไม่ได้มาจากการที่โจวลั่วหยางรู้จักตัวเขาดีเหมือนกับชี้ฝ่ามือของตัวเอง แต่เป็นจุดประสงค์เบื้องหลังต่างหาก!
“นายตามสืบฉัน?” น้ำเสียงของอวี๋เจี้ยนเฉียงเปลี่ยนไป
ถึงแม้ในใจของโจวลั่วหยางจะยังคงหวาดหวั่น ทว่าสีหน้ากลับเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน เขาเพียงแค่ดื่มชาแล้วพูดอย่างราบเรียบ
“ผมดูโหงวเฮ้งเป็นน่ะ เป็นวิชาที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ นอกจากตรวจสอบคุณได้แล้ว ยังตรวจสอบได้ด้วยว่าคุณคิดอะไรอยู่”
อวี๋เจี้ยนเฉียงอ้าปากน้อยๆ แม้แต่ไวน์ก็ไม่แตะ เขามองโจวลั่วหยางอย่างตกตะลึง
“นาย…เรื่องพวกนี้ดูจากโหงวเฮ้งได้ด้วยเหรอ!” อวี๋เจี้ยนเฉียงกล่าว
โจวลั่วหยางเกือบจะยืนยันได้แน่นอนแล้ว แต่ในเวลาเดียวกันเขากลับละเลยปัญหาหนึ่งไป…เพราะเอาแต่อยากจะยืนยันเรื่องที่ผ่านมาให้แน่ใจ เลยทำให้อวี๋เจี้ยนเฉียงตกใจจนขวัญผวาโดยไม่คาดคิด ดีที่เขาหัวไวจึงสลับสับเปลี่ยนตัวตนที่สร้างขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน และจู่ๆ ก็รู้สึกสนุกขึ้นมาเลยเปลี่ยนที่นั่งแล้วพูดขึ้น
“มา ให้ผมดูลายมือหน่อย”
อวี๋เจี้ยนเฉียงยื่นมือให้โจวลั่วหยางโดยไม่รู้ตัว โจวลั่วหยางแสร้งทำเป็นดูลายมืออย่างกระตือรือร้น ทั้งที่จริงๆ แล้วดูอะไรไม่ออกทั้งนั้น
โจวลั่วหยางบอก “ดูเส้นนี้สิ นี่บ่งบอกว่าคุณจะมีลูกชายอีกคน…”
อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”
โจวลั่วหยางเริ่มแสดงความสามารถในการคุยโม้โอ้อวดของตัวเอง ส่วนในใจก็คิดว่าจะจบบทสนทนานี้ให้รวดเร็วที่สุดอย่างไรดี เพื่อที่เขาจะได้มีเวลาคิดใคร่ครวญ
ทว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงพลันเปลี่ยนความคิด เขากุมมือโจวลั่วหยางแล้วบอกว่า “ดูไม่ออกเลยว่าคุณที่อายุน้อยขนาดนี้จะเป็นเทพเซียนเดินดิน!”
โจวลั่วหยาง “เอ่อ…”
คำว่า ‘เทพเซียนเดินดิน’ ของอวี๋เจี้ยนเฉียงเปิดโปงนิสัยใจคอเขาอย่างหมดเปลือก เขารีบซักถามทันที
“ขอถามหน่อย เรื่องที่ผมกำลังกลุ้มใจจะคลี่คลายเร็วๆ นี้ไหม”
โจวลั่วหยางดึงมือกลับ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วโบกมือให้อวี๋เจี้ยนเฉียง พร้อมกับหัวเราะอย่างเป็นปริศนา
สีหน้าของอวี๋เจี้ยนเฉียงเปลี่ยนเป็นจริงจังในพริบตา
โจวลั่วหยางเอ่ย “ผมดูได้แค่เรื่องในอดีต ยังดูอนาคตไม่เป็นครับ ปู่ไม่ยอมสอนผม”
“แล้วปู่…ของคุณล่ะ” อวี๋เจี้ยนเฉียงซักถามต่อ
“เสียแล้วครับ” โจวลั่วหยางเริ่มแต่งเรื่องต่อ “พูดเรื่องในอดีตน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ทำนายอนาคต แพร่งพรายความลับสวรรค์อาจนำความเดือดเนื้อร้อนใจมาให้ ฟ้ามีลมฝนที่ไม่อาจคาดเดา คนมีเคราะห์ดีร้ายช่วงสั้นๆ สลับกันไปไม่ใช่เหรอ คุณเองก็ปล่อยวางเถอะ”
มุมปากของอวี๋เจี้ยนเฉียงกระตุกไม่หยุด ต่างฝ่ายต่างสบตากันเงียบๆ
โจวลั่วหยางไม่ค่อยสนใจเงินเดือนเดือนละหมื่นสองสักเท่าไหร่จึงกล่าว “ถ้าอย่างนั้น…วันนี้เราพอแค่นี้ดีกว่าไหมครับ”
‘เทพเซียนเดินดิน’ ขี่จักรยานมาและจะขี่จักรยานกลับอย่างเบิกบานร่าเริงเต็มที่โดยไม่แตะอาหารที่วางไว้เต็มโต๊ะ ราวกับไม่ได้สนใจเรื่องนัดบอดเลยสักนิด จุดประสงค์ที่มาก็เพื่อชี้แนะแนวทางชีวิตให้กับอวี๋เจี้ยนเฉียง ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากภาวะยากลำบากก็เท่านั้น
“ได้ยินว่าคุณเปิดร้านขายของโบราณ?”
ในที่สุดโจวลั่วหยางก็นึกถึงเจตนาเดิมของตัวเองตอนที่มาพบกันหนก่อน ซึ่งก็คือการหาหุ้นส่วนที่ยินดีจะทำธุรกิจและพยายามไปด้วยกัน แต่เขาไม่สนใจอวี๋เจี้ยนเฉียงเท่าไหร่นักเพราะพวกเขาไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน
เรื่องต่อไปที่อยากทำคือออกจากร้านอาหาร หาที่ลับสายตาสักแห่งรอให้ตู้จิ่งปรากฏตัว ตามเหตุผลแล้วตู้จิ่งจะเข้ามาในอีกไม่ช้าเพื่อส่งอวี๋เจี้ยนเฉียงออกไป
“คุณขาดเงินไม่ใช่เหรอ” อวี๋เจี้ยนเฉียงหยิบมือถือออกมา “ได้ยินว่าคุณต้องใช้เงินทุนตั้งต้นเพื่อเปิดร้านอีกครั้ง ขาดอยู่เท่าไหร่ล่ะ” ในเวลาเดียวกันอวี๋เจี้ยนเฉียงก็เกิดความคิดอื่นขึ้นมา ไม่ว่าเจ้าหนุ่มนี่จะดูโหงวเฮ้งได้จริงหรือเป็นแค่นักต้มตุ๋นที่รู้วิธีการสังเกตคำพูดและสีหน้าคนเท่านั้น แต่ต่อไปในอนาคตก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี อย่างตอนที่ร่วมมือกับคู่แข่งทางธุรกิจก็ยังพาเขาไปด้วยได้เพื่อให้ความเห็น
“ไม่ต้องหรอก” โจวลั่วหยางยิ้มแล้วเอ่ย “ไม่ได้ขาดเงิน ผมจะไปแล้ว คืนนี้มีธุระน่ะ”
“แลกช่องทางการติดต่อกันไว้สักอย่างสิ เมื่อไหร่ที่อยากให้พี่ชายช่วยก็บอกมาได้เลย” อวี๋เจี้ยนเฉียงกำลังจะเพิ่มช่องทางการติดต่อกับโจวลั่วหยาง ทว่าโจวลั่วหยางกลับหยิบปากกาออกมาเขียนเบอร์โทรศัพท์กับชื่อของตัวเองไว้บนกระดาษเช็ดปาก
“มีวาสนาคงได้พบกันอีก” โจวลั่วหยางหัวเราะ เขาผลักเปิดประตูห้องส่วนตัวก่อนจะชนเข้ากับตู้จิ่งพอดิบพอดี
เหมือนวันนั้นที่ทั้งสองได้พบกันครั้งแรก ในหอพักที่เต็มไปด้วยน้ำฝนและลมพายุ
เป็นเหมือนอนุภาคควอนตัมสองอนุภาคที่แฝงพลังงานอมตะ ดึงดันจะลอยเข้าหากันภายใต้การจัดสรรของเหตุและผลกับชะตากรรมอันเวิ้งว้าง แล่นฉิวผ่านสถานที่และเวลาอันไร้ขอบเขต ข้ามห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ มาพร้อมกับพลังงานทั้งหมดก่อนจะดับสูญ ระเบิดออกเป็นแรงสั่นสะเทือนที่ถล่มผืนฟ้าทลายผืนดิน กลายเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ที่ร้อนแรงแผดเผา ปลดปล่อยรังสีสว่างโรจน์ท่ามกลางโลกอันมืดมน
“เสี่ยวตู้ ไปส่งคุณโจวหน่อย” อวี๋เจี้ยนเฉียงสั่ง
ไฟประดับเพิ่งสว่าง ถนนหนทางเต็มไปด้วยแสงนีออน ตรงหน้ากระจกของร้านคาเฟ่ที่ยาวจรดพื้น โจวลั่วหยางเหม่อลอยเล็กน้อยพลางมองสำรวจตู้จิ่งด้วยความสงสัย ตู้จิ่งได้ประสบกับเหตุการณ์ในวันที่เจ็ดเดือนเก้าอีกครั้งหรือไม่ หรือจะบอกว่าเขาเป็นเหมือนกับอวี๋เจี้ยนเฉียงที่เป็นคนแปลกหน้าซึ่งผจญภัยอยู่ในห้วงเวลาของตัวเอง
“ช่วยดูให้ผมหน่อย” ตู้จิ่งแบมือข้างซ้ายตรงหน้าโจวลั่วหยาง “เส้นความรัก เส้นชีวิต แต่ละเส้นบอกอะไรบ้าง”
“หลายปีมานี้นายหายไปไหนมา” โจวลั่วหยางเลือกเปิดฉากด้วยประโยคนี้
“ไม่ใช่ว่าเล่าให้ฟังแล้วเหรอ” ตู้จิ่งตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไปรักษาตัวไง”
โจวลั่วหยาง “…!!!”
“นายก็จำได้!” โจวลั่วหยางรีบคว้านิ้วมือตู้จิ่งไว้แล้วพูดอย่างตกใจ “ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ได้เจอกับ…”
“ชู่ว” ตู้จิ่งนิ่วหน้าโดยปล่อยมือซ้ายให้โจวลั่วหยางจับไว้ ส่วนนิ้วชี้มือขวานั้นยกขึ้นจรดริมฝีปาก ทำท่าบอกไม่ให้โจวลั่วหยางกระโตกกระตาก
“นาย…ฉัน…” โจวลั่วหยางปล่อยมือตู้จิ่ง พินิจมองเขาแล้วกระซิบอย่างเร่งรีบ “ตอนแรกฉันคิดว่าฝันไป ตอนตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงนายหายไปไหน เห็นชัดๆ ว่าฉันเคยใช้ชีวิตของวันนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว…”
ตู้จิ่งเอียงคอ มองออกไปนอกหน้าต่างบานยาวจรดพื้น เขาจ้องมองสองตาของโจวลั่วหยางจากเงาสะท้อนพลางตอบกลับ “ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองย้อนกลับมาเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน นี่ไม่ใช่ภาพหลอน”
ว่าแล้วก็หันกลับมาสบตาโจวลั่วหยางอีกครั้ง สีหน้าของเขาเคร่งขรึมอย่างมาก
“ทำไมนายถึงอยากเล่าเรื่องพวกนี้ให้อวี๋เจี้ยนเฉียงฟังล่ะ” ตู้จิ่งถาม “ทำไมไม่โทรหาฉันก่อน โทรกริ๊งเดียวก็รู้เรื่องแจ่มแจ้งแล้ว”
โจวลั่วหยางย้อนถาม “ฉันจะไปรู้เบอร์นายได้ยังไง นายบอกฉันแล้วเหรอ”
“ทำไมเมื่อวานไม่เมมไว้”
“เมมแล้วจะจำได้หรือไง นายจำเบอร์ฉันได้ไหมล่ะ”
ตู้จิ่งบอกเบอร์โทรศัพท์ของโจวลั่วหยางให้ฟัง ยกนี้โจวลั่วหยางเลยเป็นฝ่ายแพ้ไป
“ถ้างั้นทำไมนายไม่โทรหาฉัน” โจวลั่วหยางเปิดฉากโต้กลับอย่างไม่ยินยอม
ตู้จิ่งตอบ “ฉันคิดว่าเรื่องนี้เกิดกับฉันคนเดียวน่ะสิ ฉันไม่กล้าทดสอบเพราะกลัวจะทำให้นายตกใจ ฉันยังตรวจบันทึกการโอนเงินด้วยนะ” วิธีแรกที่ตู้จิ่งใช้ยืนยันก็คือตรวจดูรายการโอนเงินที่โอนให้โจวลั่วหยางเมื่อวาน พอพบว่ารายการนั้นหายไป เขาก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ภาพหลอน
โจวลั่วหยางเล่าบ้าง “ฉันก็ตรวจ แต่ฉันยังไม่แน่ใจ”
ตู้จิ่งย้อนถาม “ทำไมไม่เชื่อมั่นในตัวเอง”
“ความทรงจำมันหลอกลวงได้นี่นา!” แล้วโจวลั่วหยางก็นึกอะไรขึ้นได้จึงยื่นมือแล้วพูดว่า “มือถือ”
“เมมเบอร์ให้ดีล่ะ” ตู้จิ่งทำเสียงเย็นชา “ไม่มีคราวหน้าแล้วนะ”
ขู่ใครกันล่ะนั่น โจวลั่วหยางคิดในใจ
โจวลั่วหยางยื่นมือถือไปตรงหน้าตู้จิ่ง ปลดล็อกแล้วทำการโอนเงินอีกครั้ง ประจวบกับมือถือมีสายเข้า บนหน้าจอขึ้นว่า ‘บอสอวี๋’ โจวลั่วหยางสไลด์หน้าจอวางสายอวี๋เจี้ยนเฉียงที่โทรหาตู้จิ่งทิ้งโดยไม่แม้แต่จะดู
ตู้จิ่งที่จับตาดูทุกการกระทำของโจวลั่วหยางตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พูดขึ้น “นายไม่ควรพูดเรื่องไร้สาระพวกนั้นกับอวี๋เจี้ยนเฉียง นั่นจะทำให้เขาสงสัยและระแวงว่ามีคนกำลังตามสืบเรื่องของเขาอยู่”
“โอ้?” โจวลั่วหยางย้อน “เขาเป็นบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่มากเลยเหรอ เขาจะมาทำอะไรฉันได้”
“เขาไม่ทำอะไรนายหรอก แต่อีกเก้าชั่วโมง ตอนตีสี่คืนนี้ เขาจะกระโดดลงมาจากชั้นยี่สิบเจ็ด” ตู้จิ่งตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
* อาลีเพย์ (Alipay) เป็นแอพพลิเคชั่นที่บริการรับชำระเงินออนไลน์ซึ่งเป็นที่นิยมมากในประเทศจีน
บทที่ 6
สี่ทุ่มครึ่ง รถจอดในโรงจอดรถชั้นใต้ดินของบริษัทอวี๋เจี้ยนเฉียง
“พวกเราคงไม่ได้ติดอยู่ในวันเดิมหรอกนะ”
โจวลั่วหยางนึกถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับการย้อนเวลาที่เคยดู แล้วพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
ตู้จิ่งไม่ได้นอนติดต่อกันเกือบสามสิบหกชั่วโมงแล้ว แต่ยังคงกระปรี้กระเปร่า เขาตอบกลับว่า “วันนี้ยังไม่ผ่านไป”
โจวลั่วหยาง “ทำไมมีแค่นายกับฉัน”
จนถึงตอนนี้โจวลั่วหยางยังคงตกตะลึงและงุนงงราวกับฝันไป
“ไม่รู้สิ” ตู้จิ่งตอบอย่างกระชับและตรงไปตรงมา
จู่ๆ โจวลั่วหยางก็คว้ามือของตู้จิ่งพลางมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ตู้จิ่งรู้ทันทีว่าโจวลั่วหยางอยากพูดอะไรผ่านแววตาของเขา
นายคิดอย่างนี้จริงๆ?
ระหว่างพวกเขามีหลายสิ่งที่รู้ใจกันโดยไม่ต้องพูด ต่อให้จากกันไปหลายปีแต่ความรู้สึกที่รู้กันนี้ไม่ได้ลดลงตามกาลเวลาเลยแม้แต่น้อย
“ใช่” ตู้จิ่งพูดเสียงขรึม “ฉันคิดว่าทุกอย่างนี้เป็นความจริง อย่างน้อยก็ตอนนี้ ทั้งฉันและนายก็มีอยู่จริง”
“แต่เพราะอะไรล่ะ…” โจวลั่วหยางยังงุนงงสงสัย
ตู้จิ่งพาเขาเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะเงยหน้ามองกล้องวงจรปิดตรงเพดาน “พลังเหนือธรรมชาติมั้ง? สำคัญด้วยเหรอ กลับไปค่อยคิดได้หรือเปล่า”
โจวลั่วหยางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาพูดว่า “แล้วตอนนี้ล่ะ จะทำอะไร”
เลขบอกชั้นในลิฟต์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตู้จิ่งตอบ “กลับบริษัท ไปเอาของ”
โจวลั่วหยางเอ่ย “ถ้านายแน่ใจว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงจะฆ่าตัวตาย ตอนนี้นายก็น่าจะอยู่เป็นเพื่อนบอสของนาย แล้วคอยพูดโน้มน้าวเขาไม่ใช่เหรอ…”
ตู้จิ่งตอบ “หลังออกมาจากโกดังเก็บของ ฉันก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัยทันที พวกเขาสงสัยว่าฉันผลักอวี๋เจี้ยนเฉียงลงมา”
โจวลั่วหยาง “…”
โจวลั่วหยางเริ่มเข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว อันที่จริงแล้วตู้จิ่งทำงานอะไรกันแน่ ไม่ได้เจอกันสามปี ตั้งแต่อีกฝ่ายปรากฏตัวอีกครั้งก็ไม่ได้อธิบายเรื่องน่าสงสัยเกี่ยวกับตัวเองให้เขาฟังเลยสักเรื่อง
ตู้จิ่งล้วงเอาบัตรพนักงานออกมารูดที่ชั้นสำนักงานใหญ่ แล้วเดินตรงเข้าไปอย่างคุ้นทาง
“ฉันไม่มีหลักฐานว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ” ตู้จิ่งบอก “ตอนแรกฉันจะไปซื้อข้าวเที่ยงให้นาย เพิ่งเดินออกมาก็ถูกตำรวจอาชญากรรมพาขึ้นรถ ตอนที่ลงจากรถไม่รู้ว่าเพราะอะไรเวลาถึงย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน”
โจวลั่วหยาง “ตอนเขาฆ่าตัวตาย นายทำอะไรอยู่”
ตู้จิ่งไม่ตอบ เพียงแค่พาโจวลั่วหยางเดินผ่านโต๊ะทำงานแล้วบอกว่า “มาทางนี้ ตรงนี้เป็นมุมอับของกล้องวงจรปิด”
ในที่สุดโจวลั่วหยางก็อดรนทนไม่ไหว เขาเค้นถาม “นายทำงานอะไรกันแน่! นายไม่มีทางเป็นผู้ช่วยของอวี๋เจี้ยนเฉียง!”
ตู้จิ่งยังคงไม่ตอบ เขาให้โจวลั่วหยางนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่งออกมาจากตู้พลางบอก “นี่เป็นโต๊ะทำงานของฉัน รออยู่นี่แหละ ฉันจะไปเปิดประตูห้องทำงานของเขา อย่าเดินเพ่นพ่าน”
โจวลั่วหยางบอก “ตอบคำถามฉันมาก่อน ไม่งั้นฉันจะไปแล้ว เล่อเหยายังรอให้ฉันกลับไปช่วยเขาอาบน้ำอยู่ที่ห้อง”
ตู้จิ่งเพิ่งเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว โจวลั่วหยางก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ย “นายไม่เชื่อใจฉันเหรอ”
ตู้จิ่งหยุดเดินโดยไม่ได้หันกลับไป หลังจากนิ่งเงียบไปสามวินาทีจึงตอบกลับมา
“ตั้งแต่สามทุ่ม ใต้อาคารที่พักของนาย ฉันนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ของเขตชุมชนทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า”
โจวลั่วหยางนิ่งเงียบ ตู้จิ่งสวมถุงมือก่อนจะปัดผ่านกลอนประตูดิจิตอลบนประตูห้องทำงานของอวี๋เจี้ยนเฉียง จากนั้นตัวเลขก็สว่างวาบขึ้นตามลำดับ
ตู้จิ่งเปิดแฟ้ม แยกแยะเครื่องหมายลายนิ้วมือโดยเทียบกับภาพถ่าย
โจวลั่วหยางขมวดคิ้วมุ่นพลางจ้องมองแผ่นหลังของร่างสูงโปร่งของตู้จิ่ง มีเสียงตี๊ดดังขึ้นสองสามครั้ง แสงจากตัวเลขบนกลอนประตูดิจิตอลจางลง เป็นอันว่าเปิดประตูไม่สำเร็จ
โจวลั่วหยางเบนความสนใจไปที่โต๊ะทำงานของตู้จิ่ง โต๊ะจัดไว้เรียบร้อยสะอาดสะอ้าน มีเพียงคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เสียบสายชาร์จแบตฯ ไว้หนึ่งเครื่อง กระป๋องเครื่องดื่มหนึ่งใบ ในกระป๋องใส่ดินไว้เล็กน้อยเพื่อปลูกต้นไม้สีเขียวต้นเล็กๆ บนตัวกระป๋องมีสัญลักษณ์ที่ใช้กุญแจขูดขีดให้เป็นรอยอย่างเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ว่า ‘DZ’ โดยเส้นตรงกลางของตัว ‘Z’ ทับซ้อนกับตัว ‘D’
“กลอนประตูดิจิตอลแบบนี้ปกติแล้วกดผิดได้แค่สามครั้ง” เมื่อโจวลั่วหยางได้ยินเสียงเตือนรหัสผิดครั้งที่สองจึงออกปากเตือน “อยากเข้าไปขโมยของในห้องทำงานเจ้านาย คงต้องมาวันหลังแล้วล่ะ”
ตู้จิ่งไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง หัวคิ้วขมวดมุ่น เขารวบรวมเลขรหัสเปิดประตูหกตัวจากลายนิ้วมือ แต่ยากจะหาลำดับตัวเลขที่ถูกต้องได้ หลังจากคอยสังเกตอยู่สองเดือนเต็มๆ ก็จำต้องลองเสี่ยงดูในวันนี้ เพราะอีกไม่นานอวี๋เจี้ยนเฉียงจะฆ่าตัวตาย เมื่อถึงตอนนั้นห้องทำงานจะถูกปิดตายโดยไม่อาจเข้าไปได้อีกแล้ว
“ไม่ต้องรอวันหลัง ถ้าวันที่เจ็ดเดือนเก้าจะวนมาอีกครั้งล่ะ” ตู้จิ่งพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“อย่าพูดอย่างนี้นะ!” โจวลั่วหยางพลันรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ทันใดนั้นกลอนประตูดิจิตอลมีเสียงดนตรีดังขึ้น เปิดประตูได้แล้ว ตู้จิ่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก จากนั้นก็เผชิญกับด่านที่สอง
“มานี่สิ” ตู้จิ่งบอก “ตานายแล้ว”
ตู้จิ่งเปิดโคมไฟในห้องทำงานแล้วปิดประตูตามหลัง ก่อนจะทำท่าบอกให้โจวลั่วหยางดูตู้เซฟซึ่งวางอยู่ที่ด้านล่างของชั้นวางหนังสือ
ตู้จิ่ง “ช่วยฉันเปิดหน่อยสิ”
โจวลั่วหยาง “…”
ทั้งสองมองหน้ากันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดโจวลั่วหยางก็รู้ว่าทำไมเมื่อวานตอนกลางวันตู้จิ่งถึงถามเรื่องตู้เซฟขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ฉันต้องกลับไปเอาคู่มือ” โจวลั่วหยางบอก
“นายทำได้” ตู้จิ่งสวน “ไม่ต้องมีคู่มือหรอก”
โจวลั่วหยาง “…”
“ที่ผ่านมาถ้ามีเรื่องไหนที่ฉันอยากให้นายใส่ใจ ความจำของนายจะดีมากๆ” ตู้จิ่งพูดเสริมอีก
ในที่สุดโจวลั่วหยางก็เอ่ย “เอาแก้วน้ำมาให้ฉันใบหนึ่งสิ”
ตู้จิ่งหาแก้วน้ำจากใต้โต๊ะมาให้เขา พร้อมกับถอดถุงมือแล้วโยนไปให้ด้วยกัน
โจวลั่วหยางได้แต่คุกเข่าลงหน้าชั้นวางหนังสือแล้วสวมถุงมือ ถุงมือนั้นบางมาก ทั้งยังมีไออุ่นจากตัวของตู้จิ่ง กระทั่งกลิ่นกายของเขาก็ติดมาด้วยเล็กน้อย
“นายเปลี่ยนอาชีพมาเป็นโจรแล้วเหรอ” โจวลั่วหยางเอาแก้วน้ำวางแนบบนหลังตู้เซฟ แล้วฟังเสียงที่ดังอยู่ข้างใน
โจวลั่วหยางคุกเข่าข้างเดียว จำเป็นต้องก้มลงฟังเสียงเพื่อแยกแยะเสียงกลไกในตู้ ตู้จิ่งเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ขายาวๆ ที่แยกออกจากกันเล็กน้อยอยู่ตรงหน้าเขาพอดี
ตู้จิ่งนั่งหันมาทางโจวลั่วหยาง โน้มตัวเล็กน้อยพลางจ้องมองดวงตาของเขา
“เคยคิดจะเป็นโจรอยู่” ตู้จิ่งตอบ “แต่น่าเสียดาย โลกนี้มีของหลายอย่างที่ต่อให้มีความสามารถเก่งกาจสักแค่ไหนก็ขโมยมาไม่ได้”
“นายขโมยเวลามาได้แล้วตั้งยี่สิบสี่ชั่วโมง”
โจวลั่วหยางหมุนที่จานหมุนพลางเงยหน้ามองตู้จิ่ง แสงสลัวจากโคมไฟตกกระทบลงบนใบหน้าด้านข้างของเขา รวมถึงแผลเป็นที่พาดอยู่บนสันจมูกและดวงตาลึกซึ้งคู่นั้นจนมีความหล่อเหลาไปอีกแบบ เขาเป็นผู้ใหญ่และสงวนท่าทีมากกว่าเมื่อสามปีก่อน
“สำหรับฉันเวลาไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด” ตู้จิ่งพูดโพล่งออกมา
“งั้นนายอยากขโมยอะไรล่ะ” โจวลั่วหยางมีลางสังหรณ์ว่าของที่อยู่ในตู้เซฟจะต้องเป็นของสำคัญอย่างมาก ไม่อย่างนั้นตู้จิ่งคงไม่ยอมเสี่ยงถึงขนาดเลือกที่จะแอบเข้ามาในห้องทำงานของอวี๋เจี้ยนเฉียงในช่วงเวลาสุดท้ายอย่างนี้แน่
ริมฝีปากของตู้จิ่งขยับเล็กน้อย เขาตอบ “หัวใจของนายไงล่ะ”
โจวลั่วหยางไม่ได้ตอบ ด้วยคร้านจะสนใจเขา จึงตั้งใจฟังเสียงจากในตู้เซฟเพียงเท่านั้น
หลังจากเงียบงันเป็นเวลานาน โจวลั่วหยางก็อดที่จะเอ่ยปากพูดไม่ได้ “พูดอะไรหน่อยไม่ได้เหรอ ฉันง่วงจนจะหลับอยู่แล้ว”
ตู้จิ่ง “กลัวจะรบกวนนาย”
โจวลั่วหยาง “ไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร ดูถูกกันขนาดนี้เชียว?”
ตู้จิ่งจึงถามกลับอย่างจริงจัง “อยากคุยอะไรล่ะ”
ตกดึกภายใต้แสงสว่างจากโคมไฟ กลับทำให้มีบรรยากาศที่โรแมนติกอย่างไม่ธรรมดา
“ฉันไม่ชอบใจเลยที่ต้องคุกเข่าให้นาย” โจวลั่วหยางพยายามเงี่ยหูคอยฟังเสียงจากในตู้เซฟ
ตู้จิ่งจึงลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าโจวลั่วหยาง โจวลั่วหยางนั้นคุกเข่าข้างเดียว ส่วนตู้จิ่งคุกเข่าทั้งสองข้าง ทั้งสองคุกเข่าหันหน้าเข้าหากันอย่างนี้โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็สบตาและไม่ขยับเขยื้อน
“แล้วอย่างนี้ล่ะ” ตู้จิ่งสังเกตสีหน้าของโจวลั่วหยางอย่างละเอียด
“ยังสูงไปหน่อย” โจวลั่วหยางขมวดคิ้วพลางเอ่ย
แม้ตู้จิ่งจะคุกเข่าแต่ก็ยังสูงกว่าโจวลั่วหยางเล็กน้อย พอได้ยินเช่นนี้ตู้จิ่งก็ค้อมหลังลงอีกหน่อยจนใบหน้าค่อยๆ ประชิดเข้าไป
โจวลั่วหยางมองเขาโดยไม่ละสายตาพลางเอ่ย “หลายปีมานี้นายสบายดีไหม”
“แย่มาก” ตู้จิ่งตอบ “แย่จนนายคิดไม่ถึงเลยล่ะ”
“เคยคิดจะฆ่าตัวตายไหม”
“ไม่เคย ฉันเคยรับปากนายไว้แล้วนี่ ต่อให้จะจากไปก็ต้องบอกลาอย่างจริงจัง ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้”
“ตอนนี้เลยกลับมาบอกลางั้นเหรอ”
“ยังไม่ถึงเวลา”
“อย่างนั้นก็ดี” พอได้ยินคำตอบนี้แล้วโจวลั่วหยางก็พึงพอใจ
ตู้จิ่งเอ่ย “นายแค่อยากให้ฉันอยู่อย่างยากลำบากในโลกนี้”
“ใช่แล้ว” โจวลั่วหยางบอก “เห็นนายลำบากแล้วฉันรู้สึกดีมาก”
“นายรู้สึกดีที่ได้ ‘จินตนาการว่าฉันลำบาก’ ต่างหากล่ะ” ตู้จิ่งแก้ให้
โจวลั่วหยางตอบกลับ “คล้ายๆ กันแหละ”
ตู้จิ่ง “ล้าไหม หรือจะเปลี่ยนท่า?”
ในช่วงหนึ่งของระยะเวลาที่ยาวนานนี้ตู้จิ่งกลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง โจวลั่วหยางจึงเปรยว่า “ความเชื่อใจที่นายมีให้ฉันค่อยๆ สั่นคลอนไปตามเวลาทุกนาทีทุกวินาทีที่ผ่านไปสินะ”
ตู้จิ่งตอบกลับ “ไม่ใช่สักหน่อย เรายังมีเวลาอีกมาก ฉันยินดีคุกเข่าจนถึงเช้า ของที่มีรหัสล็อกอย่างนี้ต้องใช้ความอดทน ตอนแรกฉันก็ไม่ได้หวังอะไรมากอยู่แล้ว”
โจวลั่วหยาง “ตราบใดที่อุปกรณ์ในโลกมีการติดตั้งรหัสก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ว่าอาจจะลืมรหัสได้ ตู้เซฟส่วนใหญ่เลยมีวิธีตั้งรหัสผ่านใหม่ แต่คนส่วนมากมักไม่รู้”
โจวลั่วหยางสังหรณ์ใจว่าจวนจะปลดล็อกได้แล้ว กระทั่งได้ยินเสียงดังแว่วมาจากในตู้เซฟ
จากนั้นเขาก็วางแก้วน้ำลง ตู้จิ่งรีบใช้แสงไฟจากมือถือส่องไปที่จานหมุน โจวลั่วหยางพบรอยขีดเล็กๆ ที่ตรงกันจึงเริ่มตั้งรหัสผ่านใหม่ ในที่สุดตู้เซฟก็เปิดได้แล้ว
ตู้จิ่งเอื้อมมือไปหยิบซองเอกสารหนาๆ ซองหนึ่งออกมาจากในตู้เซฟ
“นี่คืออะไร” โจวลั่วหยางถาม
ตู้จิ่งตอบ “สมุดบัญชีกับรายละเอียดทางการเงินของบริษัท”
จากนั้นตู้จิ่งก็ดึงมือโจวลั่วหยาง ก่อนจะยื่นมือเข้าไปคลำในตู้เซฟรอบหนึ่ง เมื่อพบว่าในนั้นไม่มีอะไรแล้วจึงปิดประตูตู้เซฟไว้อย่างเดิม
ทันใดนั้นก็มีเสียงติ๊ดดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
โจวลั่วหยางหันขวับแล้วมองหาไปทั่วว่าเสียงนี้มาจากไหน แต่ตู้จิ่งกลับฟังออกว่าเป็นเสียงเครื่องสแกนนิ้วเข้างาน
ตู้จิ่งตัดสินใจในเสี้ยววินาที เขาดึงโจวลั่วหยางให้ลุกขึ้น แล้วเอาซองเอกสารยัดใส่อกเสื้อของอีกฝ่าย พร้อมทั้งกลิ้งแก้วน้ำไปใต้ชั้นหนังสือ ก่อนจะลุกขึ้นโผไปที่ลูกบิดประตู จากนั้นก็เปิดแล้วออกไปจากห้องทำงาน ขณะเดียวกันก็เอามือปิดปากโจวลั่วหยางไว้ไม่ให้ส่งเสียง
โจวลั่วหยางเดินโซเซเพราะคุกเข่านานเกินไปจนขาชา ตู้จิ่งสังเกตเห็นทันทีจึงอุ้มเขาขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปที่โต๊ะทำงาน ไถลไปบนพื้นพรม หลังจากผลักโจวลั่วหยางเข้าไปใต้โต๊ะทำงานของตัวเองแล้วตู้จิ่งก็ปีนขึ้นมาฟุบบนโต๊ะทันที
วินาทีเดียวหลังจากที่เขานั่งลง ไฟบนชั้นสำนักงานใหญ่ทั้งชั้นก็สว่างพรึบ
อวี๋เจี้ยนเฉียงสะพายกระเป๋ากีฬาเดินเข้ามาในสำนักงาน เมื่อเห็นตู้จิ่งก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ด้วยไม่คิดว่าใกล้เที่ยงคืนแล้วจะยังมีคนอยู่ในสำนักงาน
“นายทำอะไรอยู่”
ตู้จิ่งเงยหน้า สายตาของเขาว่างเปล่าขณะยืนขึ้น จากนั้นอวี๋เจี้ยนเฉียงก็ทำท่าบอกให้ตู้จิ่งนั่งลง
“กลับมาคิดบางเรื่องน่ะครับ” ตู้จิ่งบอก “คิดจนหลับไป”
อวี๋เจี้ยนเฉียงพยักหน้าแต่ไม่ได้ถามอะไรมาก เขาหันไปรูดบัตรแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจ
โจวลั่วหยางนั่งขดอยู่ใต้โต๊ะ เขาถูกสองขายาวๆ ของตู้จิ่งหนีบไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ จะชะโงกหน้าออกมามองก็ไม่ได้ จึงเริ่มแก้เชือกบนซองเอกสารออกโดยที่มีเสียงเล็ดลอดออกไปเล็กน้อย
ตู้จิ่งรีบถอดรองเท้าข้างหนึ่งออกแล้วเหยียบลงบนอกของโจวลั่วหยางเบาๆ เป็นการบอกให้รู้ว่าห้ามแตะต้องซองเอกสารโดยพลการ โจวลั่วหยางจับข้อเท้าของตู้จิ่งเอาไว้มั่น ขณะที่คิดจะจั๊กจี้เขา ตู้จิ่งก็หดเท้ากลับ แล้วยื่นมือลงมาใต้โต๊ะพร้อมกับส่งหูฟังไร้สายข้างหนึ่งมาให้
โจวลั่วหยาง “…?”
โจวลั่วหยางไม่แกล้งอีกฝ่ายแล้ว เขาใส่หูฟังไร้สายข้างนั้น ส่วนตู้จิ่งใส่อีกข้าง มีเสียงพูดคุยทางโทรศัพท์ของอวี๋เจี้ยนเฉียงจากเครื่องดักฟังที่ติดตั้งไว้ในห้องทำงานดังอยู่ในหูฟัง
“นายต้องการเท่าไหร่กันแน่”
อวี๋เจี้ยนเฉียงสะกดอารมณ์โกรธพลางบอก “ครั้งก็แล้ว สองครั้งก็แล้ว ความอดทนของฉันก็มีขีดจำกัดนะ!”
โจวลั่วหยางคิด เขาถูกแบล็กเมล์?
อวี๋เจี้ยนเฉียงตอบกลับ “นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เอาของของนายมาด้วยก็แล้วกัน”
โจวลั่วหยางฟังอวี๋เจี้ยนเฉียงคุยโทรศัพท์พลางสวมรองเท้าให้ตู้จิ่ง จากนั้นก็วางมือขวาที่ยังสวมถุงมือบางๆ ไว้บนต้นขาของตู้จิ่งแล้วตบเบาๆ
ตู้จิ่งวางมือตัวเองบนหลังมือโจวลั่วหยาง เขายื่นนิ้วออกไปเกี่ยวขอบถุงมือแล้วค่อยๆ ถอดออก จากนั้นก็เอามันใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อสูท
อวี๋เจี้ยนเฉียงสะพายกระเป๋าออกมา ตู้จิ่งจึงถาม “ให้ไปส่งไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอก” อวี๋เจี้ยนเฉียงปฏิเสธ “รีบกลับไปนอนพักเถอะ”
ตู้จิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก อวี๋เจี้ยนเฉียงออกจากสำนักงานใหญ่ไปด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย ผ่านไปสักพักโจวลั่วหยางจึงค่อยมุดออกมาจากใต้โต๊ะแล้วประสานสายตากับตู้จิ่ง
“ถ้าเขาบอกว่า ‘ไปสิ’ ล่ะ หมายความว่าจะให้ฉันเดินกลับห้องเองหรือไง” โจวลั่วหยางถอนหายใจ
ตู้จิ่งยกเท้าขึ้นมาวางบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะผูกเชือกรองเท้าหนังให้เรียบร้อย เขายังคงทำสีหน้าเฉยชาเหมือนเดิม
“เขาไม่ให้ฉันไปส่งหรอก ในกระเป๋าคงมีแต่เงินสดสักห้าหกแสนได้”
“หืม?” โจวลั่วหยางวางซองเอกสารลงบนโต๊ะ ตู้จิ่งพันเชือกไว้เหมือนเดิม ก่อนจะลุกขึ้นแล้วบอก “ไปส่งนายกลับห้องก่อนแล้วกัน”
โจวลั่วหยางถาม “จากนั้นก็ไปนั่งใต้อาคารที่พักของฉันทั้งคืนอีกน่ะเหรอ”
ตู้จิ่งไม่พูดอะไร เขาตรงไปที่ห้องรักษาความปลอดภัยเป็นอันดับแรกแล้วลบภาพจากกล้องในลิฟต์
หลังจากขึ้นรถโจวลั่วหยางก็พูดว่า “ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะ”
ตู้จิ่ง “นายไม่ได้นอนนานแล้ว ไม่ง่วงหรือไง”
โจวลั่วหยางตอบ “นายก็ไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวัน ยังดูไม่ง่วงเลย”
“ฉันป่วย นายไม่ได้ป่วย” ตู้จิ่งตอบกลับสั้นๆ
โจวลั่วหยางจึงว่า “นายอยากส่งฉันกลับห้อง แล้วค่อยไปสะกดรอยตามอวี๋เจี้ยนเฉียงใช่ไหม”
ตู้จิ่งหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
โจวลั่วหยางบอก “ฉันไปเป็นเพื่อนแล้วกัน หลับในรถก่อนนะ ถึงแล้วปลุกด้วย”
ตู้จิ่งยังคงไม่ตอบ
สุดท้ายโจวลั่วหยางก็เอ่ยปากบอก “สูทที่ใส่เหมาะดีนะ”
“ของบริษัทน่ะ เสื้อเชิ้ต ถุงเท้า รองเท้าก็ด้วย” ตู้จิ่งฟังความนัยในน้ำเสียงของโจวลั่วหยางออกจึงตอบ “ยังโสด ไม่ได้ไปทำร้ายใครหรอก”
“ก็ดี”
โจวลั่วหยางหลับตาลง เอนศีรษะพิงหน้าต่างแล้วตอบกลับไปอย่างนั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.