ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1
ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 天地白驹
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม
อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
ปกติแล้วโจวลั่วหยางแทบไม่เคยสังเกตตู้จิ่งเป็นพิเศษ หลังมื้อเย็นพวกเขามักทำอะไรตามกิจวัตรประจำวัน ต่างคนต่างสวมหูฟังทำการบ้าน ทำการบ้านเสร็จก็อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์ หรือไม่ก็เล่นอินเตอร์เน็ต โจวลั่วหยางแทบไม่ได้สนใจเลยว่าตู้จิ่งทำอะไร ห้องพักของตึกทิงเป้าเป็นห้องสองคนแบบมาตรฐาน มีโต๊ะเขียนหนังสือกับเตียงแยกกัน ไม่เหมือนห้องแบบสี่คนที่ด้านบนเป็นเตียงด้านล่างเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ
เตียงตั้งอยู่ชิดหน้าต่าง อีกด้านเป็นตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของ และชั้นหนังสือ โต๊ะเขียนหนังสือหันหลังชนกัน เวลาส่วนใหญ่พวกเขาจึงมองไม่เห็นอีกฝ่าย และคงไม่พยายามที่จะหันไปดูแน่
คืนนั้นทุกอย่างเป็นปกติ เวลาห้าทุ่มโจวลั่วหยางมองตู้จิ่งผ่านภาพสะท้อนในกระจกแต่งตัว เขาพบว่าตู้จิ่งนั่งนิ่ง แล้วจ้องมองกระป๋องเครื่องดื่มอย่างเหม่อลอย ภาพที่เห็นทำเอาโจวลั่วหยางชักจะเป็นห่วง
‘นอนกันไหม’ โจวลั่วหยางลุกขึ้นไปล้างหน้าบ้วนปาก ตู้จิ่งจึงปิดไฟกลางห้อง เหลือไว้แต่โคมไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือ
เวลาห้าทุ่มยี่สิบนาทีโจวลั่วหยางนอนอยู่บนเตียง เขาพลิกตัวสองครั้ง เตียงฝั่งตรงข้ามเงียบสนิท โจวลั่วหยางเช็กมือถือ และคิดว่าตู้จิ่งน่าจะเป็นโรคซึมเศร้า เขาไม่เคยเป็นเพื่อนกับคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อน จึงไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร
เขากินยาต่อเนื่อง กินตามเวลาทุกวัน น่าจะไม่เป็นอะไรหรอกน่า
เที่ยงคืนโจวลั่วหยางถอนหายใจแผ่วเบา นึกสงสัยว่าตู้จิ่งอาจจะยังไม่หลับ อย่างไรเสียในแอ็กหลุมเวยป๋อของอีกฝ่ายก็เคยพูดถึงเรื่องนอนไม่หลับ หรือพูดอีกอย่างก็คือก่อนหน้านี้ที่เขาคิดว่าตอนกลางคืนตู้จิ่งเข้านอน ที่จริงแล้วไม่ใช่ มีแต่ตัวเขาโจวลั่วหยางที่นอนหลับได้ดี ส่วนตู้จิ่งนั้นลืมตาตื่นทั้งคืนยันรุ่งเช้า ทั้งยังต้องพยายามไม่ส่งเสียงเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาตื่น
‘ตู้จิ่ง?’ โจวลั่วหยางเรียกเบาๆ
ผ่านไปหลายวินาทีตู้จิ่งถึงค่อยขานตอบ ‘อืม’
โจวลั่วหยางถาม ‘นายนอนหลับไหม’
ตู้จิ่งตอบ ‘ยังไม่หลับ ทำไมนายไม่นอน’
โจวลั่วหยางฟังเสียงตู้จิ่งออก รูมเมตของเขายังตื่นอยู่จริงๆ
เขาเองก็เคยนอนไม่หลับ ซึ่งความรู้สึกอย่างนั้นมันช่างทรมาน กล่าวคือมันทั้งเหนื่อยล้าและไม่อาจหลับลงได้
‘ตอนบ่ายดื่มกาแฟไปสองแก้ว’ โจวลั่วหยางบอก ‘ตอนนี้เลยซวยไป’
‘ดื่มไปเมื่อไหร่น่ะ’
‘ตอนที่นายไปเข้าเรียน ฉันซื้อฝากนายแก้วหนึ่งแต่ลืมว่านายมีเรียนหลายคาบติดกัน ฉันเลยดื่มเองหมดเลย’
‘แล้วตอนนี้ควรทำยังไงดี’ ตู้จิ่งถาม
‘นายว่าไง’ อันที่จริงโจวลั่วหยางไม่ได้ดื่มกาแฟ แต่เขาตัดสินใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนตู้จิ่งสักพัก ไม่อย่างนั้นตู้จิ่งคงต้องนอนลืมตาไปจนกระทั่งฟ้าสาง ซึ่งมันคงทรมานน่าดู
คำตอบของตู้จิ่งยังคงเหมือนอย่างเคย ‘ฉันไม่รู้หรอก นายอยากทำอะไรล่ะ’
ตู้จิ่งพลิกตัว ภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง โจวลั่วหยางเห็นดวงตาคู่นั้นของตู้จิ่งเป็นประกาย เดิมทีเขาอยากจะพูดว่า ‘เรามาคุยกันไหม’ ถึงอย่างไรห้องนี้ก็ต่างจากชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่แล้ว นักศึกษาชายในห้องพักอื่นมักคุยเล่นกันต่อสักสิบยี่สิบนาทีหลังจากปิดไฟ แต่พวกเขาไม่เคยคุยเล่นตอนก่อนนอนกันมาก่อนเลย
แต่โจวลั่วหยางกลัวว่าตู้จิ่งจะไม่อยากแบ่งปันอะไรมากจนเกินไป และกลัวจะพูดอะไรผิดไป
‘ฉันเปิดไฟได้ไหม’ โจวลั่วหยางถาม
ตู้จิ่งเปิดไฟหัวเตียง โจวลั่วหยางเองก็เปิดด้วยเช่นกัน ห้องพักกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง ใต้แสงโคมไฟสองดวงยามดึกนั้น พลันทำให้บรรยากาศอบอุ่นคล้ายกับมีผ้าห่มอันอ่อนโยนแผ่ปกคลุมร่างกายของคนทั้งสองเอาไว้
โจวลั่วหยางเปลี่ยนใจแล้ว ‘ฉันอยากอ่านหนังสือสักพัก ถ้ารบกวนนาย…’
‘ไม่หรอก’ ตู้จิ่งพูดอย่างสบายๆ ‘ฉันก็อยากอ่าน’
โจวลั่วหยางหยิบนิยายเล่มที่ยังอ่านไม่จบขึ้นมา ดึงที่คั่นหนังสือออกแล้วเหลือบมองตู้จิ่ง ตู้จิ่งหยิบหนังสือเฉพาะทางออกมานอนอ่านบนเตียง พอเปิดไฟแล้วก็ราวกับว่าพวกเขาเป็นอิสระจากกรงขังของความมืด สีหน้าของตู้จิ่งดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาดูผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
‘นายเรียนด้วยตัวเองเหรอ’ โจวลั่วหยางไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านหนังสือจึงเอ่ยถามขึ้น
ตู้จิ่งตอบรับเสียงหนึ่ง จากนั้นโจวลั่วหยางจึงชะโงกหน้าเข้าไปดู ‘นายใกล้จะเรียนเนื้อหาพื้นฐานจบแล้ว?’
ตู้จิ่งจึงว่า ‘ฉันไม่มีอะไรทำ เรียนให้จบเร็วหน่อยจะได้เป็นอิสระสักที’
มีสองประโยควนเวียนอยู่ในใจของโจวลั่วหยาง เดิมทีเขาอยากถามว่า ‘ถ้าเป็นอิสระแล้วจะทำอะไร’ แต่พอนึกถึงเวยป๋อของตู้จิ่งจึงชั่งใจสักพักแล้วถามอย่างหยอกล้อ ‘ถ้านายจบเร็วกว่ากำหนดก็จะไปไม่ใช่เหรอ’
ตู้จิ่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาจากหนังสือแล้วมองไปที่โจวลั่วหยาง ราวกับกำลังคิดจะร้องขอบางอย่าง
‘นายก็ยื่นเรื่องขอเรียนจบก่อนกำหนดได้’ ตู้จิ่งบอก ‘จะแข่งกันไหมล่ะ ดูว่าใครจะเรียนจบก่อนกัน’
โจวลั่วหยางพูดเยาะหยันตัวเอง ‘ฉันไม่ได้หัวดีเหมือนนายสักหน่อย แต่ลองพยายามดูก็ได้ หลังเรียนจบพวกเราไปสอบเข้า ป.โท ด้วยกันไหม’
โจวลั่วหยางแค่สานต่อหัวข้อที่คุยกับตู้จิ่งไปอย่างนั้น แต่ตู้จิ่งกลับบอกว่า ‘ได้สิ สองปีเรียน ป.ตรี จบแล้วค่อยไปสอบเข้า ป.โท ด้วยกัน’
โจวลั่วหยางคิดในใจ ไม่เอาหรอก ทำอย่างนี้ฉันเหนื่อยตายแน่
มหาวิทยาลัยที่พวกเขาเข้าเรียนแห่งนี้นับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ว่ากันว่าอยู่ในสามอันดับแรกเลยทีเดียว…ถึงแม้มหาวิทยาลัยที่อยู่ในอันดับสองของประเทศจะมีแค่สองแห่ง แต่ถ้าบอกว่ามหาวิทยาลัยที่อยู่ในอันดับสามแล้วนั้น นับว่ามีมหาวิทยาลัยอันดับสามอีกมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนกับการบอกว่าเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมีเพียงแค่เจ็ดแห่ง แต่ถ้าบอกว่าแปดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแล้วก็คงมีสิ่งที่เป็นอันดับแปดอีกนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ในมหาวิทยาลัยจึงมีนักศึกษาไอคิวสูงจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการเรียนหนังสือเป็นเรื่องเสียเวลา และมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการรีบเรียนให้จบแล้วออกไปบรรลุคุณค่าของชีวิตจริงๆ เป็นจำนวนมาก
ตู้จิ่งเป็นคนหัวดีมาก โจวลั่วหยางรู้ดี เขาอ่านหนังสือรอบเดียวก็จำเนื้อหาได้หมดแล้ว ทั้งยังไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย นี่เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับยีนโรคซึมเศร้าหรืออย่างไรกันนะ
เมื่อตอนบ่ายโจวลั่วหยางเข้าไปเช็กในอินเตอร์เน็ตด้วยอยากจะแน่ใจในอาการของตู้จิ่ง แต่ก็พบว่าพฤติกรรมของตู้จิ่งกับสิ่งที่บรรยายเกี่ยวกับโรคนั้นแตกต่างกันค่อนข้างมาก
โจวลั่วหยางอ้าปากหาว ชักจะรู้สึกง่วงแต่ก็ยังฝืนไว้ เขาปรับโคมไฟหัวเตียงให้สลัวลงแล้วเริ่มเล่นมือถือ ทว่าตู้จิ่งกลับสังเกตได้ในทันทีจึงถามขึ้น
‘ง่วงแล้ว?’
‘อย่าสนใจฉันเลย’ โจวลั่วหยางรีบห้ามตู้จิ่ง ‘ฉันอยากลองเปิดไฟนอนน่ะ ไม่แน่อาจจะหลับได้’
เพราะโจวลั่วหยางขอ ตู้จิ่งเลยยังเปิดโคมไฟดวงนั้นไว้ โจวลั่วหยางพูดขึ้นอีก ‘พอฉันหลับแล้วก็จะหลับสนิท เสียงนายไม่ทำให้ฉันตื่นหรอก’
‘รู้แล้วล่ะ’ ตู้จิ่งตอบ
โจวลั่วหยางยิ้มก่อนจะพลิกตัวหันเข้าด้านใน เปลือกตาของเขาหนักอึ้ง ผ่านไปไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ส่วนทางด้านตู้จิ่งก็ยังคงเปิดโคมไฟฝั่งตัวเองไว้ทั้งคืน
สิบโมงเช้าวันต่อมาเมื่อโจวลั่วหยางตื่นขึ้นก็พบว่าตู้จิ่งดูเหมือนจะหลับได้เสียที เช้าวันนี้ตู้จิ่งไม่ได้โพสต์ข้อความในเวยป๋อ ดังนั้นนับจากคืนนี้เป็นต้นไปโจวลั่วหยางจึงริเริ่มที่จะเป็นคนเข้าไปเปลี่ยนแปลงการทำงานและการพักผ่อนของตู้จิ่ง เดิมทีตอนอยู่บ้านโจวลั่วหยางไม่ชอบเปิดไฟนอน ทั้งยังค่อนข้างไวต่อเสียง แต่เขากลับอดทนเปิดไฟให้ตู้จิ่งดวงหนึ่งได้ และกลายเป็นว่าพอทนไปเรื่อยๆ ก็ชินไปเอง
หลายวันให้หลังโจวลั่วหยางเห็นแอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่งโพสต์ข้อความ
[เบื่อ ทำอะไรก็เบื่อ ความจริงของชีวิตเป็นเรื่องเหลวไหล ก็เหมือนที่กามูว์* บอกไว้ว่าพวกเราล้วนถูกกักขังในกรงที่ไร้ความหมาย]
‘ฉันไม่อยากไป’ โจวลั่วหยางหันไปบอกตู้จิ่ง ‘ฉันกะว่าวันนี้จะโดดเรียน’
ตู้จิ่งตื่นแล้วและกำลังกินยา เขากลืนยาลงไปแล้วถาม ‘จะไปไหนล่ะ หรือจะนอนเล่นที่ห้อง?’
โจวลั่วหยางกล่าว ‘เป็นหมูหรือไง เพิ่งจะตื่นก็หลับอีกแล้ว ฉันอยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก นายจะไปไหม ถ้าไม่อยากไปก็ช่วยเช็กชื่อให้หน่อยสิ’
ตู้จิ่งลังเล โจวลั่วหยางจับความคิดของเขาได้อย่างแม่นยำ…เขากำลังคิดว่าเจตนาของโจวลั่วหยางคือจะให้เขาช่วยเช็กชื่อให้หรืออยากจะชวนเขาไปด้วยกันแน่
‘ไปเถอะ โดดเรียนไปเที่ยวกัน’ โจวลั่วหยางจึงพายเรือตามน้ำ เขาคิดมาตลอดว่าตู้จิ่งจำเป็นต้องออกไปผ่อนคลายบ้าง ‘มีตั้งหลายที่ที่นายยังไม่เคยไป’
‘ไปสิ’ ตู้จิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้ากระเป๋ากีฬา แล้วออกจากมหาวิทยาลัยไปพร้อมกับโจวลั่วหยาง
วันนั้นสภาพอากาศที่หังโจวเลวร้ายมาก พายุฝนฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงกำลังก่อตัวคล้ายใกล้จะตกอยู่รอมร่อ แต่อากาศกลับนิ่งสนิท สีหน้าของผู้คนที่อยู่ริมทะเลสาบซีหูมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเกรงว่าฝนจะเทลงมาอย่างกะทันหันจนทำให้เนื้อตัวเปียกม่อล่อกม่อแล่ก
โจวลั่วหยางพาตู้จิ่งไปกินมื้อเที่ยงที่สวนสาธารณะหลิ่วลั่งเหวินอิง และด้วยความที่รอบด้านส่วนมากเป็นคู่รัก ผู้ชายสองคนที่มานั่งดื่มชาหลงจิ่งด้วยกันจึงกลายเป็นภาพที่น่าประหลาดอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าตู้จิ่งเป็นสาวสวยก็คงจะดี โจวลั่วหยางคิด ต่อให้ต้องโดดเรียนทุกวันฉันก็ยอม
ตู้จิ่งดูเหมือนจะปลอดโปร่งโล่งใจ โจวลั่วหยางมองออกได้จากสีหน้าของเขา เพราะเมื่อเขามองนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวก็มองเขากลับ ตอนที่พวกเขาสังเกตเห็นตู้จิ่ง เขาก็ไม่ได้เบือนหน้าหนีและแสดงรอยแผลเป็นบนสันจมูกของตนเองให้เห็นอย่างไม่สะทกสะท้าน
‘ให้ฉันจ่ายนะ’ ตู้จิ่งเสนอตัว ‘ฝนจะตกแล้ว ไปที่อื่นกันเถอะ ยังมีที่ไหนที่อยากไปอีกไหม’
โจวลั่วหยางส่ายหน้า ความจริงวันนี้ที่ออกมาข้างนอกก็แค่ตามน้ำเท่านั้น ตอนแรกเขาอยากบอกว่า ‘ไม่มีแล้วล่ะ กลับหอกันเลยไหม’ แต่จู่ๆ ก็นึกถึงรูปแบบการสนทนาของตู้จิ่งแล้วเป็นฝ่ายถามกลับ ‘ฉันไม่มี นายล่ะ’
‘ฉันอยากไปที่ที่หนึ่ง’ ตู้จิ่งบอก ‘ไปกัน’
ตู้จิ่งจ่ายค่าอาหารแล้วไปที่พิพิธภัณฑ์กับโจวลั่วหยาง ที่นั่นมีงานแสดงนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับอียิปต์พอดี ขณะเดินดูนิทรรศการโจวลั่วหยางคิดก็ในใจ ดีนะที่ถามกลับไปอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นตู้จิ่งคงเก็บงำความคิดเห็นของตัวเอง แล้วยอมกลับมหาวิทยาลัยกับเราแน่
เมื่อพวกเขาเดินออกมาหลังจากเที่ยวชมเสร็จแล้ว ฝนก็ตกลงมาในที่สุด หน้าพิพิธภัณฑ์มีฟ้าแลบและฟ้าร้องครั่นครืน ฝนเทลงมา นักท่องเที่ยวนับร้อยแออัดกันอยู่ด้านนอก ทุกคนต่างใช้โทรศัพท์เรียกรถ โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งติดอยู่ที่นี่พักหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแต่ท้องฟ้ากลับมืดเหมือนพลบค่ำก็มิปาน
‘ลืมเก็บเสื้อผ้า’ โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้ ‘ทำยังไงดี’
ตู้จิ่งตอบ ‘ช่างมันเถอะ ไปที่ด้านหน้านั่นกัน กินข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยกลับ’
‘เฮ้ย!’ โจวลั่วหยางตะโกนเรียก แต่ตู้จิ่งเดินอาดๆ ฝ่าฝนไปแล้ว โจวลั่วหยางเลยต้องวิ่งตามออกไป เขาวิ่งตามหลังอีกฝ่ายผ่านถนนสองสาย เมื่อตู้จิ่งเห็นโจวลั่วหยางวิ่งไปหลบใต้ต้นไม้ก็หันไปบอก ‘ระวังฟ้าจะผ่า!’ แล้วย้อนกลับไปดึงมือโจวลั่วหยาง ก่อนจะพาเขาวิ่งออกไปที่โล่ง
โจวลั่วหยางเพิ่งเคยจับมือกับผู้ชายเป็นครั้งแรก มือของตู้จิ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝน ทว่าฝ่ามือกลับยังอุ่นร้อน พอวิ่งไปถึงที่หมายแล้วทั้งสองก็เริ่มกินหม้อไฟกันทั้งๆ ที่ตัวยังเปียกชุ่ม เมื่อถูกลมเย็นพัดผ่าน โจวลั่วหยางก็คิดในใจว่า กลับไปอาจจะเป็นหวัด
เส้นผมของตู้จิ่งเปียกชื้นจนตกลงมาปิดบังใบหน้าอย่างกับสุนัขพันธุ์โอลด์อิงลิชชีปด็อกที่งงงวย ตอนเขานั่งก้มหน้าเลือกเมนูอาหารตรงข้ามกับโจวลั่วหยาง จู่ๆ โจวลั่วหยางก็หัวเราะลั่น
‘ขำอะไร’ ตู้จิ่งถาม
‘ไม่มีอะไร’ โจวลั่วหยางตอบ ‘สภาพอย่างนี้นายก็ดูหล่อดีนะ’
ตู้จิ่งเอานิ้วปัดผมที่ตกลงมาระคิ้วหนา โจวลั่วหยางไม่เคยมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับหน้าตาของผู้ชายมาก่อน แต่ตอนนี้เขาพลันพบว่าตู้จิ่งเปี่ยมไปด้วยความเป็นชาย ทั้งยังแฝงไปด้วยความหล่อเหลาแบบเศร้าหมอง ถ้าไม่มีรอยแผลเป็นที่เด่นชัดรอยนั้น ตู้จิ่งจะต้องเป็นหนุ่มหล่อขั้นเทพของสาขาอย่างแน่นอน
‘ฉันเสียโฉมแล้ว’ ตู้จิ่งแย้ง ‘ไม่หล่อหรอก นายสิถึงเรียกว่าหล่อ เมื่อไหร่จะมีแฟนล่ะ’
โจวลั่วหยางรับเมนูมาเลือกสิ่งที่อยากกินพลางตอบกลับ ‘เพราะเสียโฉมไงถึงได้ดูหล่อ เป็นความงดงามที่ไม่สมบูรณ์ อย่างรูปปั้นวีนัสที่แขนขาด ถ้าไม่มีแผลเป็นนายคงจะหล่อแบบหยิ่งๆ และเย็นชา หล่อแบบสูงเกินเอื้อม เป็นแบบตอนนี้ค่อยเข้าถึงง่ายหน่อย’
ตู้จิ่งว่า ‘นายก็ดูเป็นคนแบบนี้แหละ’
‘ฉัน?’ โจวลั่วหยางถามกลับอย่างเหลือเชื่อ ‘ฉันเนี่ยนะหยิ่งและเย็นชา? นายล้อเล่นหรือไง’
‘นายมีมารยาท มนุษยสัมพันธ์ดี’ ตู้จิ่งเอ่ย ‘เป็นคนกระตือรือร้นและใส่ใจ ใครๆ ก็ชอบนาย แต่ไม่มีใครได้ความจริงใจจากนาย’
โจวลั่วหยางถูกตู้จิ่งพูดแทงใจเลยได้แต่หัวเราะเยาะหยันตัวเอง
‘เพราะฉันถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก’ โจวลั่วหยางบอก ‘หวังว่าจะได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง หวังว่าจะได้เป็นเด็กดีที่ทุกคนชื่นชอบ’
ตู้จิ่งพยักหน้าแล้วก็ไม่แสดงความเห็นอะไรอีก โจวลั่วหยางสั่งอาหารแล้วพูดขึ้น
‘แต่ฉันได้เรียนรู้อย่างหนึ่งจากนาย ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง ความรู้สึกของตัวเองต่างหากที่สำคัญที่สุด’
‘ใช่อย่างนั้นแหละ’ ตู้จิ่งตอบกลับอย่างจริงจัง
ฝนยังคงตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ว่าที่ไหนก็เรียกรถไม่ได้ วันนั้นทั้งสองจึงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ โจวลั่วหยางเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า กระทั่งกางเกงในก็เปียกชุ่ม เขาได้แต่พูดในใจ แย่แล้ว กลับไปคราวนี้จะต้องเป็นหวัดอย่างแน่นอน
แต่ข้างหน้ายังมีเรื่องที่แย่ยิ่งกว่าการเป็นหวัดรอพวกเขาอยู่…ตอนกลับไปถึงห้องพัก หน้าต่างตรงหัวเตียงของตู้จิ่งถูกลมพัดจนเปิดอ้า ฝนจึงสาดเข้ามาทางหน้าต่างจนเตียงเปียกฝนไปกว่าครึ่ง แม้แต่เบาะที่นอนก็เปียกชุ่มไปด้วย
โจวลั่วหยาง ‘…’
ตู้จิ่งกล่าว ‘หน้าต่างบานนี้เป็นอย่างนี้ตลอด ตั้งแต่วันที่พายุไต้ฝุ่นเข้าก็ปิดไม่สนิทอีกเลย’
หน้าต่างบานนั้นมีรอยแยกที่ลมพัดเข้ามาได้ โจวลั่วหยางเคยให้คนมาซ่อมหลายครั้ง และหลังจากที่กรอกแบบฟอร์มส่งไป ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยก็ชวนให้ซาบซึ้งใจเสียเหลือเกิน ตู้จิ่งลองฝืนซ่อมเองสองสามครั้ง แต่เพราะเกี่ยวกับตัววัสดุที่เป็นสแตนเลสจึงทำให้ปิดไม่สนิท
โจวลั่วหยางจามออกมาแล้วขอตัวไปอาบน้ำก่อน ส่วนตู้จิ่งก็ลงมืออุดรอยแยกที่หน้าต่าง กันไม่ให้น้ำฝนไหลเข้ามาได้อีก จากนั้นจึงเริ่มคิดหาวิธีการเก็บกวาดซากความเสียหาย
‘คืนนี้ออกไปเปิดโรงแรมนอนชั่วคราวก่อนไหม’ โจวลั่วหยางถาม
ตู้จิ่งจนปัญญา ตอนโจวลั่วหยางออกมาจากห้องน้ำก็เห็นเขาพลิกที่นอนดูทั้งสองด้าน ปรากฏว่าไม่มีสักด้านที่ใช้นอนได้ ทั้งผ้าปูที่นอนทั้งหมอนล้วนเปียกฝนหมด และยังเอาไปอบแห้งข้างล่างไม่ได้ ได้แต่รอให้ถึงพรุ่งนี้เพื่อซักให้สะอาดไปก่อน
ตู้จิ่งเอ่ย ‘ไม่สนละ ฉันไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกัน’
โจวลั่วหยางยกเบาะที่นอนแล้วนำมาวางพิงไว้ข้างๆ โต๊ะเขียนหนังสือ เพื่อให้น้ำหยดจนกว่าจะแห้งเอง เมื่อตู้จิ่งเช็ดผมจนแห้งและเดินออกมา โจวลั่วหยางก็นอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งยกหมอนใบหนึ่งให้ตู้จิ่ง
‘สองสามวันนี้นอนด้วยกันก่อนก็แล้วกัน’ โจวลั่วหยางบอก ‘เตียงแคบหน่อย อย่าว่ากันนะถ้าฉันเผลอถีบนายจนตื่นตอนกลางดึก’
ตู้จิ่งนั่งลงตรงขอบเตียง เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย ‘นายนอนด้านในสิ ฉันกลัวจะเบียดนายตกเตียง’
โจวลั่วหยางจึงเขยิบเข้าไปด้านในอีกเล็กน้อย วันนี้ไปเที่ยวตั้งหลายที่ ง่วงแทบแย่ เขาหมดแรงจะอยู่ดึกเป็นเพื่อนตู้จิ่งแล้ว จึงบอกว่า ‘ฉันนอนก่อนนะ ถ้านายอยากอ่านหนังสือก็…’
ทว่าตู้จิ่งกลับปิดไฟตรงหัวเตียงแล้วบอกว่า ‘นอนเถอะ ฉันก็ง่วงแล้ว’
คืนนั้นโจวลั่วหยางหลับไม่สบายนัก เพราะตั้งแต่เล็กจนโต นับตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขานอนร่วมเตียงกับคนอื่น บางทีตู้จิ่งเองก็อาจจะเหมือนกัน
โจวลั่วหยางตื่นขึ้นมาตอนฟ้าสาง ฝนยังตกอยู่ น้ำท่วมชั้นล่างของอาคารแล้วเนื่องด้วยน้ำในทะเลสาบเฟิ่งเฉวียนเอ่อล้นขึ้นมา กระทั่งสามารถเห็นปลาคาร์พว่ายไปมาอยู่ทั่วทุกที่
โจวลั่วหยางถาม ‘เมื่อคืนหลับสนิทไหม’
‘ก็ดีนะ’ ตู้จิ่งกำลังล้างหน้าบ้วนปาก ‘นายล่ะ’
โจวลั่วหยางตอบ ‘อืม’ อย่างอ่อนเพลียแล้วหยิบมือถือออกมา ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นมาในหัว จึงเข้าไปดูแอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่ง วันนี้ตู้จิ่งโพสต์ไว้สองข้อความ
[ตั้งแต่เข้าเรียนมาจนถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่หลับสนิทถึงเช้า เป็นเพราะนอนกับเขาหรือเปล่านะ]
ด้านล่างมีอีกข้อความ โพสต์ไว้เมื่อเวลาเจ็ดโมงยี่สิบห้า ตอนนั้นตู้จิ่งเพิ่งตื่น โดยโพสต์นั้นเป็นการแบ่งปันเนื้อหานิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับอียิปต์ที่พิพิธภัณฑ์ ทั้งยังเขียนวิจารณ์สิ่งของที่จัดแสดงหลายชิ้นไว้อย่างละเอียด เขาจดบันทึกเนื้อหาในเครื่องฟังคำบรรยายไว้ทั้งหมด แทบไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
ข้อความที่แชร์ไว้ก็คือ ‘คนเราเกิดมาล้วนไม่สมบูรณ์’
หลังจากโจวลั่วหยางล้างหน้าและบ้วนปากแล้ว ทั้งสองก็มายืนอยู่ตรงระเบียงพลางมองลงไปข้างล่าง นักศึกษาจำนวนไม่น้อยพากันถกขากางเกง กางร่มพลางใช้ถุงพลาสติกจับปลา
‘ฉันไม่อยากไปเข้าเรียนอีกแล้ว วันนี้โดดเรียนไม่ดีกว่าเหรอ’ โจวลั่วหยางหันไปพูดกับตู้จิ่ง
ตู้จิ่งตอบ ‘วันนี้วันเสาร์ ไม่มีเรียนอยู่แล้ว เดี๋ยวเอาหมอน ผ้าปูที่นอน กับผ้านวมไปส่งซักก่อน นายอยากไปไหนล่ะ ฉันจะไปเป็นเพื่อนนายเอง’
โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งจึงออกไปเที่ยวเล่นกัน คืนนี้เบาะที่นอนของตู้จิ่งก็ยังไม่แห้งดี ทั้งสองเลยนอนเบียดกันบนเตียงของโจวลั่วหยางอีกคืน จากนั้นก็มีคืนที่สาม คืนที่สี่ จนถึงวันอังคาร…โจวลั่วหยางพบว่าตู้จิ่งแทบไม่มีอาการนอนไม่หลับเลยในคืนที่มานอนกับเขา
ภายหลังเขาเคยถามเรื่องนี้กับตู้จิ่ง ซึ่งตู้จิ่งเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว เมื่อคนที่นอนไม่หลับต้องไปนอนกับคนอื่นน่าจะส่งผลให้นอนไม่หลับหนักขึ้น แต่สำหรับตู้จิ่งกลับส่งผลในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ถ้าอย่างนั้นอาการป่วยของเขาคงหายดีแล้วสินะ โจวลั่วหยางคิดอย่างซื่อๆ แต่ก็พบว่าตู้จิ่งยังคงกินยาเหมือนเดิม
แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาก็ไม่ถูกอาการนอนไม่หลับติดต่อกันรบกวนแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี
เหมือนวันนี้ที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังแยกจากกันไปสามปี
ยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนตู้จิ่งอยู่ในโกดังเก็บของ นอนบนที่นอนสปริงที่ไม่มีแม้แต่ผ้าปูที่นอน ขอเพียงได้อยู่ข้างๆ โจวลั่วหยางไม่นานก็ผล็อยหลับไป หลังจากผ่านค่ำคืนที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวนมาจนถึงห้องของโจวลั่วหยาง พอเขาได้นอนลงบนเตียงไม่นานก็หลับอุตุโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
โจวลั่วหยางฝันประหลาดและพิสดารหลายเรื่อง เขาฝันเห็นคนและเหตุการณ์สมัยยังเรียนหนังสือ ฝันเห็นตู้จิ่งยืนทำท่าจะกระโดดลงไปตรงระเบียง ทันใดนั้นก็ตกใจตื่น แล้วก็พบว่าตู้จิ่งยังนอนอยู่ข้างๆ
โจวลั่วหยางลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเบิกกว้าง และหายใจหอบ
ตู้จิ่งพลิกตัว ร่างกายครึ่งหนึ่งเอนลงไปจนเกือบจะตกเตียง โจวลั่วหยางค่อยๆ ลงจากเตียงเงียบๆ พลางเหลือบมองมือถือ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงเย็น ซึ่งก็เท่ากับว่าพวกเขานอนหลับมาร่วมแปดชั่วโมงแล้ว
ตู้จิ่งก็ตื่นแล้วเช่นกัน
“ขอโทษด้วย ฉันลืม” โจวลั่วหยางเอ่ย “ไม่น่าลุกขึ้นมาเลย อยากให้นายนอนต่ออีกหน่อย”
เมื่อก่อนก็เป็นอย่างนี้ พอโจวลั่วหยางตื่นขึ้นมาตู้จิ่งก็ยังคงหลับต่อได้ ขอแค่โจวลั่วหยางยังนอนอยู่บนเตียง แต่ถ้าเขาลุกออกมาเมื่อไหร่ ไม่นานหลังจากนั้นตู้จิ่งก็จะตื่นขึ้นมาทันที
“ได้หลับก็มีความสุขมากแล้ว” ตู้จิ่งว่า “ฉันหลับไปนานแค่ไหน”
ตู้จิ่งล้วงมือถือออกมาดู แล้วหันไปสบตากับโจวลั่วหยาง
“เลยเที่ยงมาแล้ว”
บ่ายวันที่แปดเดือนเก้า เลยเวลาเที่ยงหรือสิบสองนาฬิกามาแล้ว การย้อนกลับของเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ได้เกิดขึ้นอีก
“ขอบคุณฟ้าดิน” โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้เหมือนกัน “พวกเราไม่ได้ติดอยู่ในวันเดิมแล้ว”
* กามูว์ คืออาลแบร์ กามูว์ (Albert Camus) เป็นนักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส
บทที่ 10
หกโมงเย็น ณ โกดังเก็บของ
“การย้อนเวลาเกิดขึ้นที่นี่” ตู้จิ่งพูดขึ้น “ลองนึกย้อนไปหน่อย พวกเราทำอะไรกันบ้าง”
โจวลั่วหยางบอก “ทำให้นายลำบากแล้วที่ยังจำได้แม่นขนาดนี้ แล้วนี่ไม่ต้องกลับไปรายงานสถานการณ์กับหัวหน้าของนายเหรอ”
ตู้จิ่งตอบ “ขอลางานมาได้วันหนึ่ง อย่าเปลี่ยนเรื่องพูด ก่อนอื่น…”
โจวลั่วหยาง “ฉันว่ามือถือนายใกล้จะระเบิดแล้ว”
มือถือของตู้จิ่งมีสายที่ไม่ได้รับยี่สิบกว่าสาย บนหน้าจอแสดงชื่อของ ‘เสี่ยวลี่’ เหมือนกันทั้งหมด โจวลั่วหยางคร้านจะถามว่าเสี่ยวลี่คือใคร และตู้จิ่งเองก็ไม่ได้อธิบายให้มากความ
ตู้จิ่งพูดอีก “หรือว่าโกดังแห่งนี้จะเป็นจุดเชื่อมต่อของพื้นที่มิติที่สี่กับมิติที่ห้า ตอนฉันเดินออกไปก็ถูกตำรวจอาชญากรรมพาขึ้นรถ พอลงจากรถอีกทีการย้อนเวลาก็เริ่มขึ้นแล้ว”
ตู้จิ่งผลักหลอดไฟแขวนที่ทำขึ้นอย่างลวกๆ เบาๆ หลอดไฟที่ห้อยลงมาแกว่งไกว ส่องไปทางนั้นทีทางนี้ที ทำให้ห้องที่เดิมทีก็มืดสลัวอยู่แล้วยิ่งดูลึกลับมากขึ้นไปอีก
โจวลั่วหยางกล่าว “จินตนาการของนายชักจะบรรเจิดเกินไปแล้ว”
ตู้จิ่งกล่าว “เทียบกับคนป่วยทางจิตแล้วยังแตกต่างกันอยู่บ้างนะ”
โจวลั่วหยางถาม “ถ้าอย่างนั้นจะอธิบายยังไง ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยมาที่นี่แต่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ย้อนเวลากลับไปยี่สิบสี่ชั่วโมงมาก่อน อีกอย่างตอนนี้ฉันชักจะสงสัยแล้วว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริงๆ หรือเปล่า”
“ความทรงจำหลอกลวงเราได้” ตู้จิ่งบอก “เหมือนความฝัน แต่ฉันเชื่อนะ จะต้องมีบางอย่างที่ผิดปกติแน่ นายไม่อยากสืบให้รู้สาเหตุเหรอ”
โจวลั่วหยางจำต้องยอมรับ “เอาเถอะ ที่จริงฉันไม่ได้คิดเรื่องนั้นสักเท่าไหร่”
เมื่อโจวลั่วหยางพบเจอกับเรื่องที่ไม่อาจใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ ส่วนใหญ่เขาก็มักจะหลบเลี่ยงโดยไม่รู้ตัว วิธีคิดของเขาคือต้องรีบลืมเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลไปให้เร็วที่สุด เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงที่เกิดขึ้นอีกครั้งนั้นให้มองว่าเป็นความทรงจำที่เลอะเลือนเพื่อกลบเกลื่อนอดีต ที่จริงคนทั่วไปจำนวนมากก็เลือกที่จะทำเช่นนี้ นี่คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ เป็นกลไกการป้องกันไม่ให้เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย
ทว่าตู้จิ่งไม่เชื่อเช่นนั้น เช่นเดียวกับตอนที่เรียนหนังสือ เมื่อเขาเจอปัญหาแก้ยากที่ไม่ค่อยพบเจอก็จะพยายามขบคิดอย่างจริงจังเพื่อหาทางแก้ไขปัญหานั้นให้ได้
“นายไม่กล้าคิด” ตู้จิ่งบอก “ถ้าใช้เรื่องถูกผีหลอกมาอธิบายปรากฏการณ์แบบนี้อย่างง่ายๆ น่ากลัวว่าพอความจริงคลี่คลายแล้วจะ…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” โจวลั่วหยางขนลุกเกรียวทันที
ตู้จิ่งมองโจวลั่วหยางด้วยสีหน้าจริงจังพลางบอก “มีฉันอยู่ด้วย จะกลัวอะไรล่ะ”
โจวลั่วหยางกลัวผีหลอกจริงๆ ถึงอย่างไรตอนเด็กๆ เขาก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่จำเป็นต้องอยู่ตามลำพังเป็นเวลานาน เขานึกถึงเมื่อก่อนตอนไปเที่ยวสวนสนุกแล้วไปเข้าบ้านผีสิงกับตู้จิ่ง เขาตกใจกลัวแทบแย่จนต้องกอดตู้จิ่งไว้แน่น นี่เป็นเรื่องน่าขายหน้าในชีวิตของเขา มิหนำซ้ำหลังออกมาจากบ้านผีสิงเขายังสั่งตู้จิ่งว่าห้ามพูดถึงเรื่องนี้เป็นอันขาด
คำตอบในวันนั้นของตู้จิ่งยังคงเหมือนกับวันนี้ ‘มีฉันอยู่ด้วย จะกลัวอะไรล่ะ’
“ฉันกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี แล้วเราสองคนอาจจะหลุดเข้าไปอีกครั้งจริงๆ” โจวลั่วหยางเคยดูภาพยนตร์สยองขวัญเกี่ยวกับการล่องเรือสำราญ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาจำฝังใจ “ถ้าไปแตะต้องข้าวของประหลาดๆ อย่างไม่ระวัง เราทั้งสองคนจะต้องติดอยู่ในวังวนเวลาหนึ่งวันอย่างไม่รู้จบ แบบนั้นต้องแย่แน่ๆ”
ตู้จิ่งเอ่ยถาม “อนาคตสำคัญสำหรับนายมากเลยเหรอ”
“แน่นอน” โจวลั่วหยางตอบ “กว่าจะเจอนายไม่ง่ายเลย ฉันหวังว่าเราจะสบายดี ต่อไปยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก”
ตู้จิ่งไม่พูดอะไร โจวลั่วหยางรู้ว่าประโยคนี้ทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนแล้ว
“อีกอย่าง ถ้าเกิดว่า…” โจวลั่วหยางเลือกที่จะเผชิญกับความกลัวของตัวเอง “ไปก่อกวนให้เวลาเกิดความปั่นป่วนจนพบกับตัวเองในอดีตจะทำยังไง”
ตู้จิ่งครุ่นคิดสักพักแล้วพยักหน้า ก่อนจะเอ่ย “มีเหตุผล”
โจวลั่วหยางนั่งบนที่นอนสปริงในโกดังเก็บของ ส่วนตู้จิ่งนั้นไปเดินมาในห้องก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงมุมใต้ชั้นวางของ เขาพยายามทดสอบว่าพื้นที่ตรงไหนที่มีการบิดเบี้ยวของเวลาอย่างไม่ยอมแพ้ ราวกับว่าอีกสักประเดี๋ยวเขาจะถูกส่งตัวไปจากที่นี่ แล้วท่องไปในอดีตและอนาคตได้อย่างไรอย่างนั้น
“แต่เวลาย้อนกลับไปได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง” ตู้จิ่งพูดขึ้น “หมายความว่านายสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง อย่างเช่นซื้อลอตเตอรี่ เท่านี้ปัญหาทางการเงินที่นายไม่ยอมขอความช่วยเหลือก็แก้ไขได้แล้ว”
“พูดถึงเรื่องนี้” โจวลั่วหยางยื่นมือออกไปหาตู้จิ่ง “เอามือถือมา ให้ฉันยืมเงินอีกหน่อย พรุ่งนี้พาเล่อเหยาไปรายงานตัวอาจมีเรื่องที่ต้องใช้เงิน”
ตู้จิ่งยื่นมือถือให้
โจวลั่วหยางโอนเงินพลางพูด “ลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งควรจะเป็นของคนอื่น ไปปั่นป่วนห้วงเวลากับเหตุและผลด้วยการถูกลอตเตอรี่ นี่ไม่เท่ากับฉกเงินจากมือของคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหรอ มันต่างอะไรกับการใช้พลังเหนือธรรมชาติไปปล้นชิงกันล่ะ”
ตู้จิ่งไม่ได้นึกถึงขั้นนี้เลย เขากล่าวอย่างยอมรับ “นายพูดถูก”
โจวลั่วหยางบอก “จำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่เจ็ดเดือนเก้าครั้งแรกได้ไหม นายบอกว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงตายแล้ว ซ้ำยังออกข่าวด้วย ใช่หรือเปล่า”
ตู้จิ่งตอบรับหนึ่งเสียงก่อนนั่งลงข้างๆ โจวลั่วหยาง เขารับมือถือตัวเองกลับไปปัดหน้าจอครู่หนึ่ง ขณะออกจากห้องตอนพลบค่ำ ทั้งสองสนใจฟังข่าวอยู่ตลอด คดีฆาตกรรมเมื่อวานไม่ได้ถูกรายงานข่าวแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเงียบเชียบไปหมด คนตายอยู่ในฐานะอะไรกันแน่สื่อถึงไม่เฮละโลไปที่นั่น ทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตำรวจอาชญากรรมเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุหรือไม่
“ในวันที่เจ็ดเดือนเก้าครั้งที่สองที่เกิดขึ้นอีกครั้ง อวี๋เจี้ยนเฉียงยังมีชีวิตอยู่” โจวลั่วหยางบอก “แต่คนที่มาแบล็กเมล์เขากลับตายแทน นี่หมายความว่าอะไร”
ขณะที่พูดประโยคนี้โจวลั่วหยางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“แค่เรื่องบังเอิญน่ะ” ตู้จิ่งกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย เขาตอบกลับมาอย่างนั้น
โจวลั่วหยางมองตู้จิ่ง แล้วกล่าว “ถ้าเกิดไม่ใช่เรื่องบังเอิญล่ะ ลองนึกย้อนไปสิ ตอนนั้นบนดาดฟ้าชั้นยี่สิบเจ็ดมีคนห้าคน นาย ฉัน อวี๋เจี้ยนเฉียง กับสองคนนั้นที่มาแบล็กเมล์เขา สมมติโชคชะตากำหนดไว้ว่า ณ ช่วงเวลานั้น ในห้าคนนั้นจะต้องมีคนตายหนึ่งคน…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” ตู้จิ่งทำเสียงเครียด “รู้แล้ว!”
คนทั้งสองต่างนิ่งเงียบ ผ่านไปไม่นาน ตู้จิ่งก็พูดขึ้น “ตอนนั้นฉันเลยให้นายซ่อนตัวไว้แล้วบอกว่าอย่าออกมาไง”
ที่จริงโจวลั่วหยางคิดถึงเรื่องนี้อยู่หลายครั้งแต่ไม่ได้พูดออกมา สองวันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากเกินไป ตอนนี้เขาหวังแค่ว่าจะสามารถปิดผนึกทุกอย่างได้โดยเร็วที่สุดและไม่พูดถึงมันอีก ให้เวลาเขาอีกสักหน่อย ให้ทั้งเขาและตู้จิ่งค่อยๆ เดินกลับเข้ามาในชีวิตของกันและกันอีกครั้ง
ดูจากการแสดงออกเมื่อคืนวานแล้ว อาชีพของตู้จิ่งไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไรจะต้องมีความเสี่ยงอย่างแน่นอน และโจวลั่วหยางก็หวังว่าเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งตู้จิ่งจะสามารถถอนตัวจากสายงานนี้ได้ เพียงแต่คำพูดนี้ยังพูดออกมาในตอนนี้ไม่ได้
พวกเขาจำเป็นต้องทำความเข้าใจกันและกันตั้งแต่แรกเริ่ม
“งั้นช่างมันเถอะ” ตู้จิ่งล้มเลิกความคิดนี้อย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียพอเทียบกันระหว่างความสงสัยใคร่รู้ในปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติกับโจวลั่วหยาง โจวลั่วหยางก็ย่อมสำคัญกว่า
โจวลั่วหยางรู้ว่าเขายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ และไม่สงสัยเลยว่าเขาจะต้องก่อปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกปัญหาหนึ่ง เมื่อก่อนเรื่องไหนที่โจวลั่วหยางยืนกรานไม่ให้ยุ่ง ตู้จิ่งก็จะไม่ทำอีก ดูจากตอนนี้ยังนับว่าเขายอมเชื่อฟังอยู่มาก อาจเพราะเคยอยู่ด้วยกันมานาน เขาจึงคุ้นเคยกับการเชื่อฟังคำพูดของโจวลั่วหยางนานแล้ว
ตู้จิ่งดึงลิ้นชักออกมา เขาเห็นสิ่งที่วางอยู่ข้างใน นาฬิกาข้อมือที่ไม่มีสายสองสามเรือนวางอยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน
“เรือนไหนคือเดย์โทนา” ตู้จิ่งถาม
“เรือนสีดำ” โจวลั่วหยางบอกแล้วถามกลับ “นายชอบเหรอ”
ทว่าตู้จิ่งกลับชอบอีกเรือนหนึ่งมากกว่า นาฬิกาเรือนนั้นทำจากแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมสามชิ้นวางเหลื่อมซ้อนกันเป็นมุมสี่สิบห้าองศา
“เรือนนี้เท่าไหร่” ตู้จิ่งถาม
โจวลั่วหยางเอ่ย “นายคุยเรื่องเงินกับฉันงั้นเหรอ”
ตู้จิ่งจึงว่า “ฉันอยากซื้อ จะได้เป็นลูกค้าคนแรกหลังจากที่นายเปิดกิจการ”
โจวลั่วหยางบอก “ฉันให้ฟรี”
“ด้วยเหตุผลอะไรล่ะ” ตู้จิ่งถามอีก
“เป็นของขวัญยินดีเนื่องในโอกาสที่นายได้งาน” โจวลั่วหยางตัดเข้าหัวข้อสนทนาของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังถามตู้จิ่งโดยแฝงความนัย “นายได้งานแล้วไม่เห็นบอกฉันเลย ทำงานสายนี้มานานแค่ไหนแล้ว”
“ไม่นานหรอก” ตู้จิ่งตอบ “แค่ครึ่งปี”
ขณะที่ตู้จิ่งกำลังจะตั้งเวลานาฬิกา โจวลั่วหยางก็ยื่นมือไป ตู้จิ่งจึงส่งนาฬิกาให้ก่อนจะวางมือบนไหล่เขาอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นจึงนั่งลงที่ขอบเตียงข้างๆ เขา
โจวลั่วหยางพิจารณาสักพักแล้วบอกว่า “ฉันจะเอาสายโลหะมาใส่ให้ นายโครงกระดูกใหญ่ สวมนาฬิกาบนข้อมือแล้วน่ามอง นาฬิกาสวยๆ ต้องให้ผู้ชายรูปหล่อสวม”
ตู้จิ่งไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“นายจะไม่จากไปจริงๆ ใช่ไหม” โจวลั่วหยางถาม “สามปีมานี้ ฉันคิดถึงนายเสมอ”
ตู้จิ่งบอก “ฉันคิดว่าตอนที่กลับมา นายคงแต่งงานไปแล้ว”
โจวลั่วหยางหัวเราะขื่น แต่ไม่ได้ตอบอะไร
ตู้จิ่งเงียบงันไปนาน เหมือนกำลังตัดสินใจ
“ฉันย้ายมาอยู่ห้องนายก็แล้วกัน” ตู้จิ่งว่า “ดูแลน้องชายคงลำบากแย่ ให้ฉันช่วยนะ”
โจวลั่วหยางได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาแบบนี้ก็ดีใจ คล้ายมีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในชีวิต ปีนี้ชีวิตของเขาเรียกได้ว่าเป็นทุกข์อย่างถึงที่สุด แต่สิ่งสำคัญคือจะเผยสีหน้าอ่อนล้าออกมาต่อหน้าน้องชายไม่ได้ ทุกวันต้องฝืนทำเป็นร่าเริงแล้วบอกตัวเองว่า ‘ฉันเป็นที่พึ่งของเขา ฉันจะยอมแพ้ไม่ได้’
แรงกดดันของการติดหนี้และความรับผิดชอบที่ต้องดูแลเล่อเหยากดทับบนตัวเขาจนหนักอึ้ง หลายครั้งเล่นเอาแทบหายใจไม่ออก เทียบกับตอนเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว สภาพจิตใจของเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีบางครั้งที่เขานึกสงสัยว่าตัวเองคงใกล้จะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ถ้าเทียบกับที่ตู้จิ่งเคยเป็น โจวลั่วหยางก็รู้สึกว่าตัวเองยังสามารถอดทนต่อไปได้ เพื่อเฝ้ารอวันที่ภูเขาลึกล้ำสายน้ำเคี้ยวคด พลันพบหมู่บ้านหลิวระย้ามืดครึ้มบุปผาสว่างงดงาม*
“ความคิดนี้นับว่าช่วยชีวิตบัดซบของฉันไว้ได้จริงๆ” โจวลั่วหยางพูดขำๆ “แต่ฉันต้องถามความเห็นของเล่อเหยาก่อน”
“ไว้ฉันรอคำตอบจากนายละกัน” ตู้จิ่งว่า “วันนี้ฉันจะกลับไปก่อน”
ตู้จิ่งขับรถพาโจวลั่วหยางไปส่งที่ห้องก่อนจะถามขึ้น “พรุ่งนี้ต้องไปรายงานตัวกี่โมง ฉันจะมารับ”
ตอนแรกโจวลั่วหยางอยากจะบอกปัด แต่หลังจากที่คิดดูแล้ว เอาอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องลำบากเรียกแท็กซี่ โจวลั่วหยางจึงนัดเวลากับเขา จากนั้นตู้จิ่งก็มองส่งโจวลั่วหยางเดินขึ้นอาคารไปแล้วจึงค่อยออกรถ
สิบโมงเช้าวันต่อมา
ตู้จิ่งเดินเข้าไปในอาคารหลังใหญ่ สแกนลายนิ้วมือ แล้วขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสิบเจ็ด ระหว่างนั้นก็ส่องกระจกพลางจัดเสื้อสูทให้เรียบร้อย ก่อนจะผลักเปิดประตูกระจกที่เขียนว่า ‘บริษัทชังอี้’ เหล่านักสืบในชุดสูทสีดำตลอดทั้งตัวอยู่ในห้องประชุม ควันบุหรี่ลอยอบอวล ผู้เป็นหัวหน้าคือชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบปี เขาพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ลงบนกล่องอาหารเช้าที่สั่งดีลิเวอรี่มา
ตู้จิ่งเข้าไปนั่งในตำแหน่งที่สองทางด้านซ้ายมือของชายวัยกลางคนแล้วกวาดตามองทุกคน ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบส่งสายตาให้ตู้จิ่ง แต่เขาทำเป็นไม่เห็น
“นอนอิ่มแล้ว?” ชายวัยกลางคนถาม
ตู้จิ่งไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กวาดตามองทุกคน
ชายวัยกลางคนถามอีก “ไปนอนที่ไหนมาล่ะ ทำไมได้ข่าวว่านายไม่ได้กลับห้องมาสองวันแล้ว”
“ไปนอนบนเก้าอี้สาธารณะมา” ตู้จิ่งตอบไปส่งๆ
“สถานการณ์ทางอวี๋เจี้ยนเฉียงเป็นยังไงบ้าง” ชายวัยกลางคนถาม “เมื่อไหร่จะกลับไปเฝ้าจับตาดูเขา”
ตู้จิ่งคลำหามือถือก่อนจะพบว่าโยนทิ้งไว้ในรถ และเมื่อเขาพลิกมือเอาข้อนิ้วเคาะโต๊ะประชุม ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามคนนั้นก็ยื่นเอกสารปึกหนึ่งมาให้
“รายงานคร่าวๆ แล้วกันนะครับ” ตู้จิ่งพูด “เบาะแสในตอนนี้ยังไม่นับว่ากระจ่าง อวี๋เจี้ยนเฉียง…”
“เบาะแสที่ไม่กระจ่างนายก็ต้องเอามารายงานด้วยหรือ” ชายวัยกลางคนเคาะโต๊ะเช่นกัน เขาตัดบทตู้จิ่ง “คิดว่านายโดนฆ่าปิดปากไปแล้วด้วยซ้ำ”
ตู้จิ่งทำเหมือนไม่ได้ยินแล้วพูดต่อ “หลักฐานอย่างแรกที่พบ อวี๋เจี้ยนเฉียงดูเหมือนจะชอบผู้ชาย ตัดความเป็นไปได้ที่เขาอาจร่วมมือกับเลขาฯ บอร์ดบริหารทำการฆาตกรรม…ใครเป็นคนถ่ายรูป”
“ผมเอง!” ชายหนุ่มคนนั้นรีบชูมือ
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนในห้องประชุมต่างหันไปมองภาพพริ้นต์สีใบหน้าด้านข้างของโจวลั่วหยางบนกระดาษเอสี่ที่วางอยู่ตรงหน้าตู้จิ่ง เวลาที่ถ่ายคือห้าโมงครึ่งในตอนเย็นของวันที่เจ็ดเดือนเก้า โดยภาพนั้นเป็นภาพแอบถ่ายตอนที่โจวลั่วหยางกำลังจะเดินเข้าไปในร้านอาหาร
ตู้จิ่งหันไปมองชายหนุ่ม ซึ่งชายหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงรังสีคุกคามกลุ่มหนึ่งทันที
“ใครให้นายตามไปถ่ายรูป” น้ำเสียงของตู้จิ่งเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
“ผม…ผม…” ชายหนุ่มอ้ำๆ อึ้งๆ
ชายวัยกลางคนพยายามไกล่เกลี่ย “เสี่ยวลี่อยากช่วยงานนายน่ะ เอาล่ะ สรุปว่ายังไง”
“เขาเป็นลูกน้องผมหรือเป็นลูกน้องคุณกันแน่” ตู้จิ่งสวน
พอพูดประโยคนี้ออกไปทุกคนต่างก็ผงะไปเล็กน้อยอย่างพร้อมเพรียงกัน ห้องประชุมเงียบงันจนเกือบจะเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัว ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวลี่’ ไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว ทว่าชายวัยกลางคนกลับหัวเราะร่า
หลังเงียบกริบไปหลายวินาทีในห้องประชุมก็มีเสียงเครื่องทำลายเอกสารดังขึ้น…ตู้จิ่งเดินไปข้างเครื่องทำลายเอกสาร เขาอ่านข้อมูลพลางส่งเอกสารเข้าเครื่อง ทำลายรูปถ่ายสองสามใบ แล้วเก็บเอกสารไว้สองแผ่น แม้แต่การตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของโจวลั่วหยางก็ถูกทำลายไปด้วย
“อวี๋เจี้ยนเฉียงอยากรับเลี้ยงเด็กหนุ่ม ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นพวกรักเพศเดียวกันสักหน่อย” ชายวัยกลางคนแย้ง
“ผมบอกได้ว่าคนคนนี้ก็ไม่ใช่พวกรักเพศเดียวกันเหมือนกัน” ตู้จิ่งพูดเสียงขรึม “เขาแค่ขาดเงิน”
“นักศึกษาหนุ่มไม่ใช่พวกรักเพศเดียวกัน อวี๋เจี้ยนเฉียงก็ไม่ใช่” มีคนหนึ่งเปรยขึ้นมา “เรื่องนี้น่าสนใจดีแฮะ งั้นพวกเขากำลังทำอะไรกันแน่”
ตู้จิ่งตอบ “กำลังติวคณิตศาสตร์ขั้นสูงกันในห้องส่วนตัวน่ะสิ”
ทุกคนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ถึงจะอยากเลี้ยงดูหนุ่มนักศึกษาก็ยังยืนยันในรสนิยมทางเพศของเขาไม่ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะอยากหาแรงกระตุ้น?” ชายวัยกลางคนว่า “พูดตามจริงบางครั้งผมก็อยากหาเด็กหนุ่มสักคนมาอยู่ด้วยเหมือนกัน นายมั่นใจว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงไม่ชอบผู้หญิงมากขนาดนี้เลยเหรอ”
ทุกคนส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
“ลางสังหรณ์ครับ” ตู้จิ่งตอบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “จากบทสนทนาคืนนั้น อวี๋เจี้ยนเฉียงแทบไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตายของหวังเค่อ แต่การที่เขาปิดบังเรื่องนี้ไว้ก็หนีไม่พ้นเรื่อง…ดูจากสมุดบัญชี ได้ข้อสรุปอะไรบ้าง”
ชายวัยกลางคนหยิบซองเอกสารออกมาก่อนจะดันไปให้ตู้จิ่ง “จำไว้ว่าถ้ามีเวลาว่างต้องเอากลับไปคืนที่เดิม เขาน่าจะยังไม่รู้”
ตู้จิ่งรู้ว่าสมุดบัญชีตัวจริงถูกสับเปลี่ยนแล้ว และการทำข้อมูลปลอมก็ไม่ใช่ปัญหา
“ในนี้คือรายงานการตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของผู้ตายครับ” เสี่ยวลี่ตะกุกตะกักเล็กน้อย “พี่จิ่ง ผมจะให้พี่ตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่พี่ไม่ได้กลับ…”
“ข้อสรุป” ตู้จิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เสี่ยวลี่รายงาน “อายุสามสิบสาม เพศชาย สูงร้อยแปดสิบสอง เป็นชาวเจียงซู ก่อนตายทำงานช่วยทวงหนี้ดอกเบี้ยโหด จ้างลูกน้องไว้สี่คน เกรงว่าคงแก้แค้นอวี๋เจี้ยนเฉียง เวลาชั่วข้ามคืนก็พากันหนีไปหมด ทางตำรวจกำลังสืบสวนเรื่องนี้ หมอนี่ทำผิดไว้เยอะเลยยากจะหาข้อสรุปอะไรได้ รองประธานของอวี๋เจี้ยนเฉียงถูกสอบสวนแล้ว นอกจากเรื่องอยู่ในตึกไซต์ก่อสร้างที่มีคนตกลงมาตายก็ยังไม่มีหลักฐานอื่นที่แสดงว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับอวี๋เจี้ยนเฉียง”
ชายวัยกลางคนจึงสั่งการ “ทางอวี๋เจี้ยนเฉียงเอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน ตู้จิ่งรีบกลับไปทำงาน ส่วนเดือนนี้สายสืบที่แทรกซึมเข้าไปทลายแก๊งอาชญากรมีความคืบหน้าอะไร ให้ทั้งสี่กลุ่มออกมารายงาน”
ผู้ดูแลอีกคนตรงหน้าโต๊ะที่ประชุมพลิกเปิดแฟ้มเอกสาร แต่ตู้จิ่งกลับออกจากห้องประชุมไปแล้ว ผู้ช่วยหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวลี่โค้งตัวขออภัยไปทางหัวหน้า ก่อนจะรีบสาวเท้าตามออกไป
“พี่จิ่ง…”
“ลบข้อมูลออกจากธัมป์ไดรฟ์” ตู้จิ่งหยุดยืนที่ปากประตูครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “คราวหน้าอย่าทำอีก วันนี้ฉันอารมณ์ดี ไม่อยากเสียเวลากับนาย”
เสี่ยวลี่รีบพยักหน้ารับคำอย่างหวาดๆ ก่อนจะยื่นกาแฟให้ด้วยความหวั่นใจ ตู้จิ่งรับถุงกระดาษใส่กาแฟมา แล้วลงลิฟต์ไปชั้นล่าง
วันนี้โจวลั่วหยางสวมชุดสูทเช่นกัน เขาอุ้มเล่อเหยาลงมาแล้วอุ้มไปขึ้นรถของตู้จิ่ง ส่วนตู้จิ่งก็ยกรถเข็นลงมาเก็บใส่ช่องเก็บของท้ายรถ
“รถคันนี้นายซื้อเองเหรอ” โจวลั่วหยางขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ
“นั่งสบายกว่าคันก่อนหน้านั้นใช่ไหมล่ะ” ตู้จิ่งตอบพลางปรับเบาะที่นั่งให้โจวลั่วหยาง
โจวลั่วหยางถาม “อวี๋เจี้ยนเฉียงไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอที่นายซึ่งเป็นผู้ช่วยขับเบนซ์”
“คนรู้จักที่แนะนำงานนี้ให้ เดิมทีก็เป็นเศรษฐีรุ่นสองอยู่แล้วน่ะ” ตู้จิ่งตอบอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะหันไปเอื้อมมือช่วยเล่อเหยาคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วจึงออกรถ
ในที่สุดเล่อเหยาก็หาโอกาสแทรกบทสนทนาได้แล้ว จึงพูดขึ้น “ตอนสมัยเรียนพวกพี่ขับรถไปเที่ยวกันไหม”
“แทบไม่ได้ไปหรอก” โจวลั่วหยางบอก “มีคนให้พี่เรียนหลักสูตรมหา’ลัยสี่ปีให้จบภายในสองปี จะไปมีเวลาอะไรมากมายล่ะ”
เล่อเหยาหัวเราะ ตู้จิ่งเหลือบมองเล่อเหยาผ่านกระจกมองหลังแล้วทัก “พวกนายสองคนพี่น้องหน้าตาคล้ายกันมากนะ”
เล่อเหยาจึงว่า “ลำบากให้พี่มาช่วยดูแลแล้ว วันนี้พี่ไม่ไปทำงานเหรอ หรือลางานมาเป็นพิเศษ?”
โจวลั่วหยางกล่าว “เขาชอบโดดงาน ทำตัวเหลวไหล”
ตู้จิ่งจึงบอก “ช่วงนี้บริษัทค้างจ่ายเงินเดือนหนักมาก เงินไม่พอจะจ่ายค่าเช่าห้องแล้ว เจ้าของห้องพักกำลังจะไล่พี่ออก”
สีหน้าของโจวลั่วหยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันไปมองตู้จิ่งพลางใช้สายตาเตือนว่า ‘อย่าพูดจาเหลวไหล’
เขารู้อยู่แล้วว่าตู้จิ่งอยากย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันจนแทบอดรนทนไม่ไหวที่จะเอ่ยปากบอกเล่อเหยาด้วยตัวเอง แต่ในความคิดของโจวลั่วหยาง เขากลับอยากให้ตู้จิ่งไปมาหาสู่ที่ห้องหลายๆ ครั้งก่อน หรือไม่ก็มาค้างคืนบ้างนานๆ ครั้ง รอให้เล่อเหยาคุ้นเคยแล้ว สุดท้ายจึงค่อยถามความเห็น
“พี่จะมาอยู่ห้องกับพวกเราไหมล่ะ” เล่อเหยายิ้มให้ “พอผมเข้าเรียนแล้ว พี่ก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว เขาคงเบื่อน่าดู”
ตู้จิ่งสบตาเล่อเหยาผ่านกระจกมองหลัง ก่อนจะหยั่งเชิงถาม “นายไม่ถือสาใช่ไหม”
โจวลั่วหยางสวน “เล่อเหยา! อย่าไปฟัง เขาเนี่ยนะไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าห้อง”
“แน่นอนว่าไม่ถือหรอกฮะ” เล่อเหยาหัวเราะ “ตั้งแต่พี่กลับมา พี่ชายผมอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย”
โจวลั่วหยางตะโกน “เล่อเหยา!”
ตู้จิ่งกล่าว “พี่ก็รู้สึกว่าเขาอารมณ์ดีสุดๆ”
โจวลั่วหยาง “…”
* ภูเขาลึกล้ำสายน้ำเคี้ยวคด พลันพบหมู่บ้านหลิวระย้ามืดครึ้มบุปผาสว่างงดงาม มาจากบทกวี ‘ท่องภูเขาหมู่บ้านบูรพา’ ของลู่โหยว กวีสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยบทกวีอุปมาว่าเมื่อพบเจอความยากลำบากที่ไม่อาจใช้วิธีการหนึ่งแก้ปัญหาได้ก็ให้ใช้วิธีการอื่นในการแก้ปัญหา แล้วจะพบทางออก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.