X
    Categories: everYทดลองอ่านไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก

ทดลองอ่าน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก บทที่ 3-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก

ผู้เขียน : สือเอ้อร์ซาน (十二三)

แปลโดย :  Lucky Luna

ผลงานเรื่อง : 心动文档 (Xin Dong Wen Dang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับอาการป่วยทางจิต

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

       

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 3

วันที่ 11 กรกฎาคม เผ่าพันธุ์มนุษย์

 

ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาทีสวี่จือเห็นสีหน้าที่ดูมากล้นเกินจริงบนใบหน้าของโจวมู่เป็นครั้งที่สองแล้ว

โจวมู่หน้าตารูปลักษณ์สุขุมหนักแน่น สีหน้าเกินจริงขนาดนี้ไม่ควรปรากฏบนใบหน้าของเขา นี่ทำให้สวี่จือรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

“พ่อ?” โจวมู่เอียงศีรษะไปข้างหนึ่งเล็กน้อย เอ่ยทวนคำพูดของสวี่จือ

“อืม” สวี่จือเบนสายตาหนีอย่างร้อนตัวอยู่บ้าง ดวงตาเขาจ้องมองมือของโจวมู่ที่วางไว้บนตักอย่างสบายๆ “นายเรียกฉันแบบนี้ได้”

ในห้องเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นจู่ๆ โจวมู่ก็หัวเราะออกมา

สวี่จือขมวดคิ้วพลางเงยหน้า พบว่ามุมปากของโจวมู่โค้งขึ้นหน่อยๆ ดวงตาโค้งหยีเล็กน้อย

ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครมองก็ยากจะละสายตา ถึงอย่างไรคุณสมบัติทางกายภาพของพระเอกนิยายก็ค่อนข้างโดดเด่นเหนือชั้นอยู่แล้ว

แต่เงื่อนไขข้อแรกคือต้องไม่ใช่การอยู่ในบรรยากาศแบบนี้

โชคร้ายคือสวี่จือที่กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ในบรรยากาศแบบนี้พอดี และเขาก็เป็นคนที่ทำให้โจวมู่หัวเราะออกมา

“นายหัวเราะอะไร” อาการร้อนตัวที่สวี่จือมีอยู่เล็กน้อยหายไปแล้ว น้ำเสียงเขาเคร่งขรึมขึ้น บรรยากาศที่เดิมทีผ่อนคลายลงไปบ้างแล้วอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่าโมโหสิ” โจวมู่นั่งตัวตรงคิดจะลงจากเตียง แต่ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้ การเคลื่อนไหวจึงหยุดชะงักไปเสียก่อน เขาถามสวี่จือว่า “ฉันลงจากเตียงไปพูดได้ไหม”

สวี่จือจ้องเขา ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร

โจวมู่เสริม “ขาชานิดหน่อย”

สวี่จือคิดว่าตนเองไม่ใช่คนที่ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ จึงพิจารณาครู่หนึ่งก่อนตอบรับ

โจวมู่ลงจากเตียงเป็นครั้งแรกของวันนี้

เขาตัวสูงมาก เมื่อยืนขึ้นทำให้สวี่จือรู้สึกได้ถึงความกดดันอันแข็งแกร่ง สวี่จือเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองทีหลังแล้ว จากนั้นก็ถอยหลังก้าวหนึ่งด้วยความประหม่า

แต่โจวมู่กลับไม่ได้เดินเข้ามาอย่างที่สวี่จือคิด เขาขยับขาเบาๆ สักพักหนึ่งแล้วยืนตัวตรงอยู่ข้างเตียง

บางทีอาจเป็นเพราะโจวมู่ดูท่าทางปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้ สวี่จือจึงเผลอคิดไปว่าส่วนสูงของคนคนนี้ก็สอดคล้องกับที่ตนเองเขียนไว้ในร่างตัวละคร

“พูดมาสิ” สวี่จือได้สติกลับมา ถามด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง “นายยิ้มอะไรอยู่”

โจวมู่ดูเหมือนอยากจะหัวเราะอยู่บ้าง แต่ท่าทีของสวี่จือเคร่งขรึมเกินไป สุดท้ายแล้วเขาจึงไม่ได้หัวเราะ แต่ทำท่าทางครุ่นคิด

ตอนที่สวี่จือรอจนหมดความอดทน โจวมู่ก็ถามขึ้นอย่างจริงจังว่า “ในนิยายของนาย ฉันอายุเท่าไหร่นะ”

“ยี่สิบเจ็ดปี” สวี่จือบอก

“งั้นปีนี้นายอายุเท่าไหร่แล้ว” โจวมู่ถามอีกครั้ง

“เกี่ยวอะไรกับนายด้วย” สวี่จือไม่พอใจที่โจวมู่สอบถามข้อมูลส่วนตัวของเขา น้ำเสียงฉุนเฉียวราวกับเพิ่งกินพริกแห้งมาห้ากิโลกรัม

“ฉันเดาว่าคงไม่ได้อายุมากกว่าฉัน” โจวมู่ไม่ได้รู้สึกใจฝ่อเพราะน้ำเสียงร้ายกาจของเขา หยั่งเชิงถาม “ยี่สิบสาม?”

สวี่จือไม่พูดไม่จา

“ยี่สิบสี่?” โจวมู่ทายอีกครั้ง

โจวมู่ “ยี่สิบห้า?”

“ยี่สิบหก” ในที่สุดสวี่จือก็บอกคำตอบด้วยสีหน้าถมึงทึง

โจวมู่หัวเราะอีกครั้ง เขาก้มหน้าเล็กน้อย ราวกับกำลังอธิบายเหตุผลให้กับเด็กน้อยที่สื่อสารไม่เป็นคนหนึ่งฟัง “งั้นนายคิดว่าผู้ใหญ่ที่อายุยี่สิบเจ็ดจะ…”

เขาชะงักไปหลายวินาที น่าจะกำลังคิดหาวิธีสื่อสารที่เหมาะสมกว่านี้

“จะเรียกคนที่ดูเด็กกว่าเขาคนหนึ่งว่าพ่อเหรอ” โจวมู่ยังคงถามอย่างนี้

สวี่จือมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว ใบหูของเขากลายเป็นสีแดง แต่ยังคงปากแข็งพูดว่า “ฉันเป็นคนสร้างนายขึ้นมานะ”

หลังจากเขาพูดประโยคนี้ออกมาก็เริ่มมีความมั่นใจ และเริ่มตักตวงเพิ่มมากขึ้น “ดังนั้นในเชิงตรรกะแล้วฉันคือพ่อของนายจริงๆ”

โจวมู่ยังคงอยู่ในท่าที่กำลังก้มหน้ามองเขา เมื่อฟังคำพูดนี้แล้วก็ไม่ได้มีการตอบสนองที่พิเศษอะไร เพียงแต่พยักหน้าอย่างจริงจัง

ท่าทางของอีกฝ่ายที่มองสวี่จือนั้นดูใจจดใจจ่อมาก ทำให้สวี่จือคิดว่าโจวมู่น่าจะฟังคำพูดของเขาเข้าใจแล้ว

สวี่จือคิดนอกเรื่องขณะอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้อย่างหาได้ยาก เขาอดคิดถึงคำคำหนึ่งไม่ได้ ‘พฤติกรรมการฝังใจ’*

นี่จัดการยากมาก สวี่จือคิด

“งั้นคุณพ่อ…” โจวมู่ไม่ได้คัดค้านอีกดังคาด “คุณเล่าเรื่องของผมให้ผมฟังได้ไหม ผมยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่”

ตอนที่เขาเอ่ยคำพูดนี้ความสับสนและความใคร่รู้ในน้ำเสียงมีสัดส่วนพอๆ กัน ทว่ากลับไม่มีความกังวลหรือความตื่นตระหนกเลย

เขาดูยอมรับเรื่องที่ตนเองเป็นตัวละครในนิยายได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ตกใจในตอนแรกเริ่มเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดสุขภาพจิตก็ยังดีกว่านักเขียนอย่างสวี่จืออยู่มาก

นี่ทำให้สวี่จือคับข้องใจ เขาเหมือนเป็นคนโลกแคบที่สุดและสุขภาพจิตย่ำแย่ที่สุดในโลก

และตั้งแต่เมื่อกี้นี้บทสนทนาระหว่างพวกเขาที่ดูเหมือนว่าสวี่จือจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทว่าในความเป็นจริงโจวมู่กลับอยู่เหนือกว่ามาโดยตลอด

โจวมู่ราวกับเป็นผู้ท้าชิงที่โค่นแชมป์ได้สำเร็จ ได้สิทธิ์อำนาจมาอย่างชอบธรรม

“คุณพ่อ?” โจวมู่เร่งรัดอีกครั้ง

“อะไร!” สวี่จือตอบกลับประโยคหนึ่งอย่างฉุนเฉียว เขาเดินออกจากตำแหน่งเดิมสองสามก้าว ก่อนตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “ฉันได้ยินแล้ว!”

โจวมู่ถามอีกรอบอย่างใจเย็น “แล้วเล่าให้ผมฟังตอนนี้ได้ไหม”

เมื่อนึกถึงไฟล์เอกสารในโน้ตบุ๊กที่ตอนนี้ได้หายไปพร้อมกับการมาเยือนของโจวมู่ สวี่จือก็ทึ้งหัวอย่างหงุดหงิด แต่ก็ช่วยไม่ได้ จึงทำได้แค่เล่าให้เขาฟังรอบหนึ่งโดยอาศัยความทรงจำ

“นายคือโจวมู่ ปีนี้อายุยี่สิบเจ็ด เป็น…” เสียงของสวี่จือชะงักไป

ตอนที่ร่างตัวละครนี้เขามีไอเดียมากมาย โจวมู่จึงเป็นตัวละครที่มีมิติมากอย่างไม่ต้องสงสัย

ในฐานะนักเขียนเขาควรคุ้นเคยกับตัวละครที่เขียนเป็นอย่างดี แต่เวลานี้สวี่จือกลับพูดเกี่ยวกับการออกแบบตัวละครของตัวเองไม่ออกเลย

เมื่อเผชิญหน้ากับโจวมู่ตัวเป็นๆ ซึ่งกำลังพูดคุยกับเขาอยู่ในห้องนอนของตัวเองแบบนี้ การจะอธิบายกับอีกฝ่ายว่านายเป็นใครนั้นทำให้สวี่จือรู้สึกแปลกมาก

เหมือนกับตอนสอบ ที่แม้ว่าจะได้คำตอบแล้ว แต่กลับพบว่าข้อสอบที่ตนเองทำเป็นอีกชุดหนึ่ง แถมยังมีโจทย์เพิ่มเติมมาเพิ่มระดับความยากง่ายอีก

“เป็นอะไรไปครับคุณพ่อ” โจวมู่ราวกับจงใจ คำก็คุณพ่อ สองคำก็คุณพ่อ เรียกจนสวี่จือรู้สึกเหมือนมีแมลงบินเข้าหูดังหวึ่งๆ

“หุบปาก” สวี่จือหันหน้าไปเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

โจวมู่เองก็หุบปากอย่างว่าง่าย

“ต้นฉบับที่เซฟไว้หายไปแล้ว” สวี่จือพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก ฟังดูค่อนข้างไม่มั่นใจ เหมือนกำลังอธิบายกับตัวเอง

“หืม?” โจวมู่ตอบรับคำหนึ่ง

“เพราะงั้นนาย…” สวี่จือเอ่ยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “นายแสดงตามใจชอบไปก่อนก็แล้วกัน”

“รับทราบครับคุณพ่อ” โจวมู่ตอบรับไปตามน้ำ

แล้วระหว่างพวกเขาก็ตกอยู่ในความเงียบ

เป็นครั้งแรกที่สวี่จือได้สัมผัสกับตัวว่าการยกก้อนหินทับเท้าตนเอง* เป็นความรู้สึกอย่างไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอโจวมู่หยอกแบบนี้ ความรู้สึกตึงเครียดและวิตกกังวลในตอนแรกก็หายไปแล้ว

เขาเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อมองโจวมู่ มองสำรวจอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง

โจวมู่ไม่ได้หลบเลี่ยงใดๆ ถึงขั้นเลิกคิ้วตามสัญชาตญาณเมื่อสายตาของสวี่จือเคลื่อนจากปลายคางตัวเองมายังดวงตา

สวี่จือรู้สึกว่าตัวเองถูกเย้าหยอกเข้าให้แล้ว

บางทีโจวมู่อาจไม่ได้หมายความเช่นนี้ แต่ในสายตาของสวี่จือกลับเป็นแบบนี้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นพระเอกจากปลายปากกาของเขา ทุกอย่างจึงล้วนเกิดขึ้นมาเพราะความชอบของสวี่จือเอง

สวี่จือคิดอย่างไร้ขอบเขตว่าถูกคนแบบนี้เย้าหยอกก็ไม่เป็นไร

“สวี่จือ” จู่ๆ โจวมู่ก็เรียกเขา

“หืม?” สวี่จือได้สติกลับมา ไม่ได้บันดาลโทสะที่อีกฝ่ายเรียกชื่อผู้เป็นพ่อตรงๆ โดยไม่ให้ความเคารพ อย่างไรเสียเสียงของโจวมู่ก็นับว่าน่าฟัง เรียกสวี่จือแล้วทำให้เขาสบายใจกว่าเรียกว่าพ่อไม่น้อย

“ฉันหิวนิดหน่อยน่ะ” ทันใดนั้นโจวมู่ก็กล่าวพลางยกมือชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือดิจิตอลหน้าปัดสี่เหลี่ยมบนตู้หัวเตียง “ใกล้จะเที่ยงแล้ว”

“นายก็ต้องกินข้าวด้วยเหรอ” สวี่จือหลุดพูดออกมา น้ำเสียงประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ทบทวนคำพูดที่พลั้งปากไปทันที

หากแบ่งตามเผ่าพันธุ์โจวมู่ควรจัดอยู่ในหมวดหมู่มนุษย์ และบรรลุนิติภาวะแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

และมนุษย์ต้องกินข้าว

“นายเข้าใจอะไรฉันผิดไปหรือเปล่า” โจวมู่กล่าวพลางกลับลงไปนั่งบนเตียงอย่างสบายๆ เขาเท้าแขนไปด้านหลัง เงยหน้ามองสวี่จือ

ทั้งสองทิ้งระยะห่างระหว่างกัน ขายาวๆ ของโจวมู่เหยียดอยู่บนพื้นตามอำเภอใจ เขาไม่ได้สวมถุงเท้า ฝ่าเท้าย่ำลงบนพรมสีเทาอ่อนซึ่งอยู่ใกล้กับเท้าสวี่จือมาก

บนตัวโจวมู่สวมชุดคลุมนอนสีเทาอ่อนตัวหนึ่ง คอเสื้อแหวกกว้าง กล้ามหน้าท้องแกร่งซ่อนตัวอยู่ในจุดที่ปกปิดมิดชิด

ลูกกระเดือกของสวี่จือขยับขึ้นลง เขาเขยิบเท้าเล็กน้อย

เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองอยู่กับคนแปลกหน้าตามลำพังครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ และเริ่มประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง

การแสดงออกที่เห็นเป็นรูปธรรมคือ…หัวใจเต้นเร็วมาก

“บางทีนายอาจไม่ใช่มนุษย์” สวี่จือคิดอยู่ในหัวว่าบางทีโรควิตกกังวลของตนเองอาจจะกำเริบอีกแล้ว ขณะเดียวกันก็รับมือกับโจวมู่อย่างขอไปที

แม้คำพูดนี้เขาเองจะไม่เชื่อเลยก็ตาม

“ก็จริง” โจวมู่กลับไม่ได้คัดค้านคำพูดนี้ เขาพยักหน้า “งั้นพาฉันไปเช็กหน่อยไหม”

“ได้” สวี่จือว่า

เขาให้เวลาโจวมู่เตรียมตัวห้านาที จากนั้นเรียกรถแท็กซี่พาอีกฝ่ายไปโรงพยาบาล

เทคโนโลยีการรักษาในปัจจุบันสามารถให้คำตอบที่น่าเชื่อถือกับสมมติฐานข้างต้นได้

เพื่อนที่สวี่จือสนิทมากเปิดโรงพยาบาลเอกชน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ทำงานอยู่แผนกจิตเวช สวี่จือคิดว่าบางทีเขาจำเป็นต้องไปรับคำปรึกษาด้านจิตวิทยาสักหน่อย

 

* พฤติกรรมการฝังใจ (Imprinting) เป็นพฤติกรรมสัตว์ที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วงหนึ่งของชีวิต โดยลูกสัตว์ที่เพิ่งเกิดมาจะมองว่าสัตว์ตัวแรกที่มันเห็นคือแม่ของมันและเรียนรู้จากสัตว์ตัวนั้น

* ยกก้อนหินทับเท้าตัวเอง เป็นสำนวน หมายถึงหาเรื่องใส่ตัว

 

บทที่ 4

วันที่ 11 กรกฎาคม คนรักร่วมชายคา

 

ตอนรับสายสวี่จือ เวินซูเหยากำลังตากแอร์อยู่ในห้องทำงาน เขาเพิ่งแกะบะหมี่ที่เพื่อนร่วมงานห่อกลับมาให้ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น

“เสี่ยวจือ?” เวินซูเหยาหยุดมือ ตั้งใจฟังเสียงจากปลายสายโทรศัพท์

“ซูเหยา” เสียงของสวี่จือดังออกมาจากโทรศัพท์ “ตอนนี้นายว่างหรือเปล่า ฉันจะไปที่โรงพยาบาลนายสักหน่อย”

มือของเวินซูเหยาที่กำลังหักตะเกียบหยุดชะงัก เขาเอาฝากล่องอาหารปิดกลับไป นั่งตัวตรงเล็กน้อย “ว่างสิ นายไม่สบายเหรอ”

“ไม่ใช่ฉัน” สวี่จือพูดตะกุกตะกัก อ้ำอึ้งอยู่นานกว่าจะเอ่ย “เป็นเพื่อนคนหนึ่ง”

“เพื่อนคนไหน” เวินซูเหยาถาม

“นายไม่รู้จักหรอก” สวี่จือตอบอย่างรวดเร็ว แต่น้ำเสียงกลับคลุมเครืออยู่บ้าง “งั้นเดี๋ยวฉันไปหานะ”

พูดจบก็วางสาย ไม่ให้โอกาสเวินซูเหยาได้ซักไซ้

เวินซูเหยาขมวดคิ้วใส่เสียงสัญญาณวางสาย เพื่อนของสวี่จือนั้นเขารู้จักเกือบทุกคน

 

ครึ่งชั่วโมงหลังวางสายสวี่จือก็มาถึงโรงพยาบาล เวินซูเหยาออกมารับพวกเขาด้วยตัวเอง

สวี่จือสังเกตเห็นว่าสายตาของเวินซูเหยาวนเวียนอยู่บนตัวโจวมู่

สวี่จือขยับไปด้านข้างอย่างเงียบๆ พยายามบังสายตาของเวินซูเหยา

“เสี่ยวจือ” เวินซูเหยาหันหน้าไปทางสวี่จือ แต่กลับไม่ได้เคลื่อนสายตาออกจากโจวมู่ เขาถามสวี่จือว่า “เพื่อนนาย?”

สวี่จือกลืนน้ำลาย รู้สึกลังเลเล็กน้อยว่าควรบอกความจริงกับเวินซูเหยาหรือไม่ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ร้ายแรงมาก ดังนั้นเขาจึงมองไปทางโจวมู่โดยไม่รู้ตัว

โจวมู่สบตาเขาแวบหนึ่ง ก่อนเดินไปข้างหน้าอย่างอาจหาญ

“สวัสดีครับ” โจวมู่เดินไปตรงหน้าเวินซูเหยา ขวางอยู่ด้านหน้าสวี่จือ “ผมโจวมู่ เป็นเพื่อนสมัยมหา’ลัยของสวี่จือ”

สวี่จือมองไม่เห็นสีหน้าของโจวมู่ แต่กลับเห็นสีหน้าของเวินซูเหยาที่เคร่งขรึมขึ้นชั่วขณะ

กระดิ่งเตือนในใจสวี่จือดังขึ้น เขากล่าวต่อตามคำพูดของโจวมู่อย่างรวดเร็ว “เขารู้สึกไม่สบายตัว ฉันเลยพาเขามาตรวจสักหน่อย”

“ตรวจด้านไหน” เวินซูเหยาถาม

“ทุกด้าน” สวี่จือกล่าว “ที่ตรวจได้ก็ตรวจให้หมดเลย”

“โจวมู่?” เวินซูเหยาไม่มองสวี่จือ เขาพินิจมองโจวมู่อยู่หลายรอบราวกับมีอะไรจะถาม

“ซูเหยา” สวี่จือเอ่ยปากปรามเวินซูเหยา ก่อนยื่นมือไปจับไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อเปลี่ยนทิศทาง ดันเขาให้เดินเข้าไปในโรงพยาบาล “เดี๋ยวฉันค่อยคุยกับนายอีกที”

เวินซูเหยาพยักหน้าแล้วหันกลับไปมองโจวมู่อีกแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่งการ “เข้ามาสิ”

พวกเขาเดินไปยังเคาน์เตอร์เวชระเบียน เวินซูเหยาพูดคุยกับพยาบาลสองสามประโยคแล้วให้คนพาพวกเขาไปตรวจเบื้องต้น

โจวมู่เดินอยู่ข้างหน้า จู่ๆ ก็หันกลับมามองสวี่จือแวบหนึ่ง สวี่จือสบตาอีกฝ่าย ก่อนที่อีกฝ่ายจะขยิบตาให้เขาอย่างได้ใจ

เหมือนเด็กประถมที่วางแผนร้ายสำเร็จ

“เด็กน้อยชะมัด” สวี่จือเอ่ยประโยคหนึ่งเสียงเบา มุมปากยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นองศาที่เล็กน้อยมาก แต่กลับเป็นสีหน้าที่เรียกได้ว่ามีชีวิตชีวาครั้งแรกของสวี่จือนับตั้งแต่เช้าวันนี้เป็นต้นมา

 

ตัวเวินซูเหยาเรียนเฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่ได้ตรวจร่างกายของโจวมู่ด้วยตัวเอง แต่ส่งให้แพทย์เวรจัดการ

ขณะที่โจวมู่รอตรวจก็แสดงท่าทีว่าง่ายเป็นอย่างมาก เขาราวกับรู้ถึงความอันตรายของสถานะตนเอง จึงไม่ได้พูดมาก เพียงสื่อสารกับสวี่จือทางสายตาเป็นครั้งคราว แม้สวี่จือมักจะแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่นก็ตาม

การตรวจรายการแรกของโจวมู่คือการตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจ หลังเวินซูเหยาเห็นพยาบาลพาโจวมู่เข้าไปในห้องอัลตราซาวนด์แล้วเขาก็เรียกสวี่จือไว้

“เสี่ยวจือ” เวินซูเหยาเดินเข้ามาถามด้วยความห่วงใย “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”

คำถามนี้ของเวินซูเหยาพุ่งเป้าไปที่ความรู้สึกและสภาพจิตใจของสวี่จือ

ตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบสวี่จือก็ป่วยเป็นโรควิตกกังวลในระดับรุนแรงพอสมควร เมื่อเวินซูเหยาเริ่มทำงานด้านจิตวิทยาก็ทำหน้าที่แพทย์ประจำตัวสวี่จือมาตลอด

คำถามนี้ตอบง่ายมาก สวี่จือนึกย้อนกลับไปครู่หนึ่ง ช่วงนี้เขารู้สึกเครียดครั้งเดียวคือเช้าวันนี้ที่เจอโจวมู่บนเตียง

แต่สวี่จือคิดว่าการรู้สึกเครียดในสถานการณ์แบบนั้นเป็นสิ่งสมเหตุสมผล จึงเลือกที่จะปิดบัง

“ไม่เป็นยังไง” สวี่จือส่ายหน้า เอ่ยอย่างมีพิรุธ “ทุกอย่างปกติดี”

“งั้นเหรอ” เวินซูเหยามองสวี่จือไม่วางตา ถามด้วยจังหวะเนิบช้า

นี่ทำให้สวี่จือรู้สึกว่าเวินซูเหยาจับได้แล้วว่าเขากำลังโกหก

“อืม” สวี่จือยังคงพยักหน้า ละสายตาออก พยายามหลีกเลี่ยงการสบตากับเวินซูเหยา

เวินซูเหยาไม่ได้ถามต่อ เขาหมุนตัวเดินไปยังทิศทางตรงกันข้าม ชายเสื้อกาวน์สะบัดพลิ้ว “การตรวจยังต้องรออีกสักพัก ไปนั่งที่ห้องทำงานฉันก่อนดีกว่า”

สวี่จือพยักหน้าแล้วตามไป เขารู้ว่าเวินซูเหยาไม่เชื่อ

ห้องทำงานของเวินซูเหยาอยู่เหนือห้องอัลตราซาวนด์ขึ้นไปชั้นหนึ่ง พวกเขาไม่ได้ขึ้นลิฟต์ แต่เดินขึ้นบันไดไป

โรงพยาบาลมีขนาดไม่ใหญ่นัก และเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายจึงค่อนข้างสูง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีคนมาใช้บริการมากนัก บริเวณบันไดเลยมีแค่พวกเขาสองคนกำลังเดินอยู่

สวี่จือจ้องชายเสื้อกาวน์ที่พลิ้วไหวเล็กน้อยของเวินซูเหยาอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง

เวินซูเหยาเดินถึงห้องทำงานแล้วปิดประตู ก่อนให้สวี่จือนั่งลง

หลังเดินผ่านประตูเข้ามาทางซ้ายมือมีโซฟาอยู่ชุดหนึ่ง สวี่จือนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวชิดผนังเหมือนอย่างเคย เวินซูเหยารินน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง จากนั้นนั่งลงตรงข้ามเขา

สวี่จือยื่นมือไปหมุนแก้วน้ำเพื่อจัดให้หูจับของแก้วตรงกับเส้นลายหินอ่อนบนโต๊ะ

“บอกมาเถอะ” เวินซูเหยาพิงโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะพยักพเยิดปลายคางไปทางประตู “คนคนนั้นเป็นใคร”

“เพื่อนสมัยมหา’ลัย” สวี่จือยืนยันหนักแน่น แล้วกล่าวเสริมอย่างนึกว่าตนฉลาด “ไม่ค่อยได้เจอ เพราะงั้นนายเลยไม่รู้จัก”

เวินซูเหยาไม่ได้ตอบกลับทันที แต่ลุกขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วดึงม่านหน้าต่างปิดลง

ตอนกลางวันแดดแรงมาก หลังปิดม่านแสงแดดแรงกล้าก็อ่อนลง บรรยากาศในห้องผ่อนคลายขึ้นมาทันที

นี่เป็นกลยุทธ์ที่เวินซูเหยาทำเป็นประจำเมื่อให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยากับสวี่จือ ใช้สภาพแวดล้อมที่สงบมาลดความระแวดระวังของเขา

“นายคิดว่าฉันเชื่อเหรอ” เวินซูเหยาเดินกลับมานั่งบนโซฟา ยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำอย่างผึ่งผาย รอให้สวี่จือเป็นฝ่ายสารภาพออกมาเอง

สวี่จือจ้องบัตรประจำตัวแพทย์ที่เวินซูเหยาติดไว้บริเวณอกซ้ายของเสื้อกาวน์ ต่อต้านอย่างเงียบๆ

ในฐานะเพื่อนที่มีอยู่ไม่มากของสวี่จือ เวินซูเหยาคือคนที่สวี่จือสามารถเชื่อใจได้ทุกอย่าง แต่การมีอยู่ของโจวมู่ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่จะยิ่งดีกว่า

ความสามารถเฉพาะทางของเวินซูเหยาไม่มีข้อกังขาเลย หากเขาจะถามให้ได้ สวี่จือก็ไม่อาจจะต่อต้าน จึงนิ่งเงียบเท่านั้น

แต่สิ่งที่ทำให้สวี่จือรู้สึกเหนือความคาดหมายคือเวินซูเหยาดูเหมือนจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไป

“เขาใส่เสื้อผ้าของนาย” เวินซูเหยาวางแก้วลง เอ่ยข้อสรุปของตนออกมา “พวกนายอยู่บ้านเดียวกัน”

สวี่จือถูกถามจนตะลึงงัน อ้าปากคิดจะโต้แย้ง แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วก็ตัดสินใจไม่เอ่ยออกไป แบบนี้ดีกว่าให้เวินซูเหยาซักไซ้ถึงตัวตนของโจวมู่เสียอีก

“แฟน?” เวินซูเหยาถาม

“ไม่ใช่” ครั้งนี้สวี่จือตอบเร็วมาก

“งั้นก็วันไนต์สแตนด์” เวินซูเหยาพิงโซฟาไปทางด้านหลัง หมุนไหล่อย่างเกียจคร้าน “ใช่ไหม”

สวี่จือคิดจะบอกว่าพวกเขาสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบคนรัก แต่ทันใดนั้นกลับนึกถึงตอนที่ตื่นขึ้นมาเมื่อเช้า เขากับโจวมู่ตระกองกอดกันโดยที่ร่างกายเปลือยเปล่า ดังนั้นเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็ไม่มีเสียงแล้ว

ทำได้เพียงนิ่งเงียบต่อไป

“ไม่เลวนี่” เวินซูเหยาเห็นเขาไม่ปฏิเสธก็พยักหน้า ประเมินโจวมู่โดยปราศจากอคติ “ดูเหมือนเป็นไทป์ที่นายจะชอบนะ”

สวี่จือคิดครู่หนึ่ง หากเขาจะหาแฟนหรือคู่นอนวันไนต์สแตนด์ล่ะก็ โจวมู่คงเป็นประเภทที่เขาจะเลือกจริงๆ

แต่เงื่อนไขข้อแรกคือโจวมู่ต้องเป็นมนุษย์ที่มีตัวตนจริงๆ และจับต้องได้

“รู้จักกันได้ยังไง” เวินซูเหยาถามอีกครั้ง

คำถามนี้ตอบง่ายมาก คนปกติสามารถตอบออกมาได้ภายในวินาทีเดียว แต่สวี่จือทำไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจอ้อนวอนขอความเมตตา

“พี่เวิน” สวี่จือเอ่ย “อย่าถามเลยนะ”

สวี่จือเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย เสียงที่ค่อนข้างเยือกเย็นแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล นี่เป็นวิธีออดอ้อนที่เขาใช้เป็นประจำ เขาใช้วิธีนี้ในการรับมือกับเวินซูเหยาอย่างช่ำชอง

เวินซูเหยาช้อนตามองเขา ไม่ได้ดึงดันอีก ยกขาไขว่ห้างอย่างสบายๆ แล้วชี้ไปที่ใต้ตาของสวี่จือ “พักนี้หลับไม่สนิทเหรอ”

สวี่จือยกมือคลำใต้ตาแต่ไม่รู้สึกอะไร เขาหยิบแก้วมาดื่มน้ำ คิดถึงสภาวะการนอนในช่วงนี้ของตัวเองครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า “เปล่า นอนหลับเป็นเวลามาก”

เวินซูเหยาถอนหายใจ หยิบกระจกทรงกลมเล็กๆ บานหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะกาแฟแล้วส่งให้เขา “ขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าแล้ว”

สวี่จือรับกระจกมาส่องแล้ววางลงอย่างรวดเร็ว เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันหลับสักสองงีบก็หายแล้ว”

“อีกสองวันนายมาหาฉันที่โรงพยาบาลอีกรอบนะ ฉันจะหาเวลาให้นายช่วงบ่าย ช่วยให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาให้นาย” เวินซูเหยาไม่สนใจน้ำเสียงที่ดูพูดเรื่องสมเหตุสมผลของเขา

“อืม” สวี่จือตอบรับอย่างอ้อมๆ แอ้มๆ “รู้แล้ว”

เวินซูเหยามองเขาอีกสองแวบ ก่อนจะดึงปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกแล้วเดินไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน ขีดๆ เขียนๆ สองสามบรรทัด “เอายานอนหลับกลับไปสักหน่อย”

ยานอนหลับที่เวินซูเหยาจ่ายให้ฤทธิ์แรงมาก ปกติเวลาเริ่มกินแรกๆ สวี่จือมักหลับเป็นตาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงอ้าปากหมายจะปฏิเสธ

แต่เวินซูเหยาไม่ให้โอกาส เขาพับกระดาษไม่กี่ทีแล้วก็ใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ “เดี๋ยวฉันยังมีนัดกับคนไข้ นายนั่งคนเดียวสักพักนะ”

พูดจบก็เดินออกไปจากห้องทำงาน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: