ทดลองอ่านเรื่อง ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก
ผู้เขียน : สือเอ้อร์ซาน (十二三)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 心动文档 (Xin Dong Wen Dang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับอาการป่วยทางจิต
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
วันที่ 11 กรกฎาคม คิดเพ้อเจ้อ
ห้องทำงานของเวินซูเหยากว้างขวาง บริเวณผนังยังวางตู้ไม้จริงขนาดใหญ่เอาไว้สองตู้
ตู้หนึ่งเป็นตู้สำหรับเก็บเวชระเบียน มันถูกล็อกเอาไว้
ส่วนอีกตู้เป็นตู้หนังสือส่วนตัวของเวินซูเหยา
การตรวจร่างกายของโจวมู่ใช้เวลานานมาก เวินซูเหยาไม่อยู่ สวี่จือตั้งใจจะสุ่มหยิบหนังสือจากตู้หนังสือออกมาอ่านฆ่าเวลาสักเล่ม
ตู้หนังสือจัดวางไว้ตำแหน่งด้านใน สวี่จือจำเป็นต้องเดินผ่านด้านหน้าตู้เวชระเบียน
ขณะกำลังเดินผ่านสวี่จือคิดว่าในตู้นี้คงยังเก็บเวชระเบียนของตนเอาไว้ แม้เขาจะไม่เคยอ่าน แต่ก็รู้ว่ามันเล่มใหญ่มาก
ห้องทำงานของเวินซูเหยามีหนังสือเยอะมาก ล้วนเป็นหนังสือเฉพาะทาง สำหรับสวี่จือแล้วทั้งแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา และเข้าใจยาก เขาสุ่มหยิบมาเล่มหนึ่ง แต่พลิกอ่านไปได้แค่ไม่กี่หน้าก็หลับไป
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โจวมู่ก็ตรวจเสร็จและกลับมาแล้ว อีกทั้งในมือยังถือหนังสือเล่มที่เขาอ่านก่อนจะหลับไปอยู่
คนเรามักขาดความระแวดระวังขณะเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน สวี่จือเองก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน
เขาไม่ได้เรียกโจวมู่ในทันที แต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาพร่ามัว
โจวมู่นั่งอยู่บนโซฟาตัวตรงข้าม ก้มหน้าเล็กน้อย ถือหนังสือ ‘คู่มือการรักษาด้วยยาทางจิตเวช’ อ่านอย่างตั้งใจ
นี่น่าจะเป็นหนังสือที่เวินซูเหยาเปิดบ่อยๆ ในช่วงนี้ เนื้อหาส่วนที่เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงด้านลบจากยาและวิธีจัดการในหนังสือถูกพับมุมไว้หลายที่
ม่านหน้าต่างถูกเปิดออก ท้องฟ้าด้านนอกขมุกขมัวเล็กน้อย น่าจะใกล้ค่ำแล้ว
ในห้องทำงานไม่ได้เปิดไฟ แสงจึงไม่ค่อยสว่างนัก แต่ดูแล้วเรื่องแสงไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับโจวมู่ สวี่จือเดาว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตนี้ที่โจวมู่ได้อ่านหนังสือ
ดวงตาของโจวมู่หลุบลงเล็กน้อย จากมุมที่เขาก้มหน้าทำให้มองไม่เห็นดวงตาสีเข้มของเขา มองจากมุมของสวี่จือ เขาดูท่าทางว่านอนสอนง่ายมาก
โจวมู่อ่านหนังสือไม่เร็ว ช้ามากกว่าจะพลิกสักหน้า ขณะที่เขาพลิกหน้าหนังสือครั้งที่สองก็เงยหน้ามองสวี่จือแวบหนึ่ง
สวี่จือยังคงอยู่ในท่าที่กำลังจ้องมองอีกฝ่าย ไม่มีการตอบสนองไปชั่วขณะ การแอบมองถูกจับได้คาหนังคาเขา
สวี่จือเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ตื่นแล้ว?” โจวมู่วางหนังสือที่ถืออยู่ในมือลงบนตัก เงยหน้ามองสวี่จือพลางถาม
“อืม” สวี่จือตอบรับคำหนึ่ง ถามโจวมู่ว่า “เสร็จแล้ว?”
“อืม เสร็จหมดแล้ว” โจวมู่ปิดหนังสือ ลุกขึ้นยืนแล้ววางหนังสือกลับไปไว้บนชั้น ก่อนเดินมาข้างกายสวี่จือ “กลับตอนนี้เลยไหม”
“ซูเหยาล่ะ” สวี่จือหาทั่วห้องรอบหนึ่ง แต่ไม่พบเวินซูเหยา
“หมอเวินมีคนไข้” โจวมู่บอก “บอกให้นายไม่ต้องรอเขา”
“อืม” สวี่จือพยักหน้าอย่างเฉื่อยชา เท้ามือบนที่วางแขนโซฟาแล้วลุกขึ้นอย่างโซเซ “งั้นกลับกันเถอะ”
เขาหลับนานมาก ขาชาเล็กน้อย จึงยืนไม่มั่นคงไปชั่วขณะ เขาพลันถลาไปข้างหน้า ก่อนที่เข่าจะชนเข้ากับโต๊ะกาแฟจนเกิดเสียงดัง
โจวมู่วิ่งเข้าไปอย่างตาไวมือเร็ว ยื่นมือไปโอบเอวเขา ดึงเข้ามาในอ้อมกอดตนเอง “ไม่เป็นไรนะ”
หัวเข่าของสวี่จือชนเข้ากับมุมมนของโต๊ะกาแฟ ไม่ได้แรงแต่โดนจุดพอดี เจ็บจนน้ำตาไหลออกมา
โจวมู่ใช้มืออีกข้างช่วยเช็ดน้ำตาให้เขาอย่างลนลาน ถามด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “เจ็บมากเหรอ”
เขายังคงอยู่ในท่าที่กอดสวี่จือไว้ ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ไอร้อนที่พ่นออกมาระหว่างพูดกระทบบนใบหน้าด้านข้างของสวี่จือ
บางทีอวัยวะที่ผลิตฮอร์โมนทางเพศอาจตื่นตัวเร็วกว่าสมองนิดหน่อย สมาธิของสวี่จือเริ่มแตกกระเจิง
น้อยมากที่เขาจะใกล้ชิดกับคนอื่นแบบนี้ ดังนั้นจึงรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง โดยเฉพาะน้ำเสียงของโจวมู่ที่มีความห่วงใยผิดจากปกติ
สวี่จือมองสีหน้าท่าทางของโจวมู่โดยไม่รู้ตัว
หัวคิ้วของอีกฝ่ายขมวดมุ่นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยังคงยกขึ้นค้างไว้โดยไม่รู้จะทำอย่างไรดี บนข้อนิ้วเปียกชื้นเล็กน้อย คือน้ำตาที่เช็ดมาจากหางตาของเขาเมื่อครู่
สวี่จือยอมรับว่าตนเป็นคนลามกโดยสมบูรณ์
ตอนเขาเขียนตัวละครโจวมู่นี้ เป็นตัวละครที่เขียนขึ้นตามความชอบของตนเองทั้งหมดจริงๆ
โจวมู่คนนี้ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกไปจนถึงออร่าจากภายใน ทั้งหมดสอดคล้องกับมาตรฐานที่ ‘สวี่จือชอบ’
สวี่จือคิดว่าหากโจวมู่ไม่ใช่คนที่มีตัวตนอันตรายอย่างนี้ เขาอาจจะควบคุมตัวเองไม่อยู่และมีอะไรกับโจวมู่ไปแล้ว
“สวี่จือ?” โจวมู่เอียงศีรษะเล็กน้อย ขัดจังหวะความคิดเลื่อนลอยของสวี่จือ “กระแทกโดนตรงไหน”
สวี่จือดึงความคิดกลับมา
น่าจะเป็นเพราะตอนที่เขาหลับมีคนมาปรับเครื่องปรับอากาศ ดังนั้นอุณหภูมิในห้องทำงานของเวินซูเหยาจึงไม่ได้ต่ำมาก อีกทั้งอุณหภูมิร่างกายของโจวมู่เองก็สูง อบอวลจนสวี่จือรู้สึกร้อนรุ่มอยู่บ้าง
มือของโจวมู่ใหญ่ ลำแขนก็แข็งแรงเช่นกัน ขณะโอบอยู่บนเอวของสวี่จือทำให้เขารู้สึกคิดหลอนไปว่าตัวเองถูกเผด็จศึกไปแล้ว
นี่อันตรายมาก
สวี่จือตั้งสติ ยืนตัวตรงแล้วผลักโจวมู่ออก
“ทำอะไรน่ะ!” สวี่จือเริ่มใช้สิ่งที่เขาถนัดอีกครั้ง นั่นก็คือใช้น้ำเสียงดุๆ ที่ใช้กับโจวมู่อย่างเคยชินมาขู่อีกฝ่าย
โจวมู่ปล่อยมือ ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับอารมณ์ที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวของเขา ถามอีกรอบอย่างสุภาพ “กระแทกโดนตรงไหนเหรอ”
เขาพูดจบก็นั่งลงยองๆ เบียดอยู่ระหว่างโต๊ะกาแฟกับโซฟาด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ นิ้วโป้งกดเบาๆ บนเข่าของสวี่จือทีหนึ่ง “ตรงนี้เหรอ”
สวี่จือเองก็แค่รู้สึกเจ็บเล็กน้อยตอนเพิ่งชน ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรนานแล้ว แต่นิ้วร้อนๆ ของโจวมู่กดลงบนหัวเข่าของเขา ทำให้กล้ามเนื้อน่องของเขากระตุกทีหนึ่งโดยปฏิกิริยารีเฟล็กซ์
โจวมู่ไม่รู้เลยว่าสวี่จือกำลังคิดอะไรอยู่ เขานึกว่าตนเองกดจนอีกฝ่ายเจ็บ จึงคลึงด้วยแรงที่เบากว่าเดิม
สวี่จือรู้สึกจั๊กจี้ในใจ แต่เพื่อไม่ให้เสียหน้าจึงยกขาหนีอย่างแข็งทื่อแล้วพูดกับโจวมู่ว่า “ไม่เป็นไร”
โจวมู่เก็บมือกลับมาแล้วลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้สวี่จือ “งั้นก็ดี”
พูดจบก็ชิงเดินไปทางประตูก่อน สวี่จือครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย วันนี้แอร์ไม่ค่อยเย็นเลยจริงๆ
สวี่จือขับรถไม่เป็น ทั้งสองจึงเรียกรถกลับบ้าน รถแท็กซี่จอดบริเวณประตูทางเข้าเขตชุมชน
โจวมู่ตามหลังสวี่จือโดยรักษาระยะห่างประมาณสามก้าว ดังนั้นเวลาที่โจวมู่พูดจึงมักทำให้สวี่จือรู้สึกว่าเสียงของอีกฝ่ายโอบล้อมเขาจากด้านหลัง
โจวมู่เอ่ย “หมอเวินบอกให้ฉันเอายาให้นาย”
สวี่จือฟังคำพูดนี้แล้วก็หันกลับไปถามอย่างตึงเครียด “พวกนายเจอกันแล้ว?”
“อืม” โจวมู่พยักหน้า สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นความภูมิใจและโอ้อวดตนเอง “เขาไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นใคร”
สวี่จือตะลึงงันไปชั่วขณะ
พูดตามตรง ความคิดแรกของเขาไม่ใช่แบบนี้เลย
อาจเป็นเพราะโดยทั่วไปแล้วกลุ่มคนที่มีความผิดปกติทางจิตมักมีความรู้สึกอับอายอย่างรุนแรงต่อภาวะทางจิตของตนเองและรักในศักดิ์ศรีของตนอย่างมาก เมื่อได้ยินโจวมู่บอกว่าเวินซูเหยาฝากตนส่งยาให้ ความคิดแรกของเขาคือโจวมู่จะรู้หรือไม่ว่าเขาป่วยเป็นโรควิตกกังวล
แต่หลังจากตั้งสติได้ถึงพบว่าดูเหมือนวิธีการคิดของโจวมู่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
สวี่จือหันกลับมาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ไม่ได้พูดประเด็นนี้ต่อ
โจวมู่ไม่ได้ยินคำชมจากสวี่จือก็ไม่ได้ท้อถอย เดินอยู่ด้านหลังสวี่จืออย่างเงียบๆ ต่อไป
การที่สวี่จือไม่เห็นโจวมู่ในสายตาทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นจึงสั่งโจวมู่อีกครั้งว่า “นายมาเดินข้างหน้า”
“ได้” โจวมู่ตอบรับคำหนึ่ง ก่อนจะเดินไปด้านหน้าสวี่จือ
บ่าของเขากว้างมาก การสวมเสื้อยืดของสวี่จือจึงไม่พอดีตัวเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นสวี่จือจึงมองเห็นลายกล้ามเนื้อที่เป็นลอนสวยแข็งแรงใต้เสื้อยืดผ้าฝ้ายได้
จู่ๆ สวี่จือก็คิดถึงตอนที่เวินซูเหยาถามว่าโจวมู่เป็นคู่นอนวันไนต์สแตนด์ของเขาหรือเปล่า บอกตามตรงสวี่จือเองก็ยืนยันไม่ได้
ก่อนหน้านี้แม้เขาจะไม่เคยมีประสบการณ์วันไนต์สแตนด์ แต่ก็รู้ว่าผู้ชายสองคนตื่นขึ้นมาโดยที่เปลือยกายกอดกันจะต้องไม่ใช่เรื่องที่บริสุทธิ์ใจแน่นอน
โจวมู่เป็นเกย์หรือเปล่าสวี่จือไม่รู้ ตอนที่เขาร่างคาแร็กเตอร์ก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย แต่ตัวสวี่จือนั้นชอบผู้ชายจริงๆ
“มองฉันอยู่เหรอ” จู่ๆ โจวมู่ก็หยุดฝีเท้า หมุนตัวมาทางสวี่จือและเอ่ยปากถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ
สวี่จือละสายตาออกอย่างร้อนตัว ก่อนจะมองไปรอบๆ และโต้แย้งด้วยความเกรี้ยวกราด “ใครมองนายกัน!”
“อืม ไม่ได้มอง” เสียงของโจวมู่สูงขึ้นเล็กน้อย ฟังแล้วดูเหมือนไม่ได้เชื่อคำพูดของสวี่จือ แต่ขณะที่กำลังจะหัวเราะก็อดกลั้นเอาไว้เพราะความน่าเกรงขามของสวี่จือ
แม้โจวมู่จะหน้าตาเคร่งขรึม แต่อันที่จริงแล้วยิ้มเก่งมาก สวี่จือพบว่าเวลาที่อีกฝ่ายยิ้มบริเวณแก้มฝั่งขวาจะมีลักยิ้มตื้นๆ อยู่จุดหนึ่งซึ่งหากไม่ดูดีๆ ก็มองไม่ออก
สวี่จือราวกับค้นพบของสนุกแปลกใหม่อะไรบางอย่าง เขายื่นมือไปจิ้มร่องบุ๋มเล็กๆ นั้นอย่างซุกซน “นี่คืออะไร”
“ลักยิ้ม” โจวมู่ปล่อยให้สวี่จือจิ้มอย่างไม่หนักไม่เบาโดยไม่หลบเลี่ยงอย่างอารมณ์ดี
“ชิ” สวี่จือจิ้มอีกสองที พูดเหน็บแนมอย่างไร้เหตุผล “ลูกผู้ชาย มีลักยิ้มอะไรกัน”
พูดจบก็ไม่มองโจวมู่อีก เดินไปข้างหน้าตามลำพัง
โจวมู่เดินตามไปจนถึงข้างกายสวี่จือ แล้วจู่ๆ ก็พูดว่า “ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้มอง งั้นตอนนี้มองฉันหน่อยได้ไหม”
บางทีอาจเป็นเพราะการรับรู้ต่อสังคมในโลกแห่งความจริงยังคงมีความคลาดเคลื่อน เขาดูเหมือนไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นคำพูดมีนัยแอบแฝงและมีความออดอ้อนเล็กน้อย
อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยโทนเสียงราบเรียบ ทั้งยังรอสวี่จือตอบอย่างจริงจัง
สวี่จือขี้ร้อนมาก แม้ตอนนี้พระอาทิตย์จะลับลงหลังภูเขาไปแล้ว แต่อุณหภูมิที่สะสมมาตลอดทั้งกลางวันยังไม่สลายไป ดังนั้นลมในตอนนี้จึงล้วนเป็นลมร้อน
สวี่จือรู้สึกว่าแม้แต่คำพูดประโยคนี้ของโจวมู่ก็ถูกลมฤดูร้อนพัดจนร้อนไปด้วย นำมาซึ่งความอบอุ่นที่ไม่ควรจะมี แผดเผาจนหูของเขาร้อนเห่อ
“มองนายทำไม” สวี่จือหยุดฝีเท้าก่อนจะมองไปทางโจวมู่
โจวมู่มีท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง ทำให้สวี่จือคิดเพ้อเจ้อไปไกลได้ง่ายมาก ดังนั้นสวี่จือจึงใช้เวลาสองวินาทีในการทบทวนตัวเองครู่หนึ่ง
เขาพยายามโน้มน้าวตัวเองว่าแม้เขาจะเป็นเกย์ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนคนนี้ก็ไม่แน่ว่าเป็นมนุษย์หรือเปล่า
“ตรงนี้” โจวมู่เอ่ยพลางยื่นมือไปชี้บริเวณกระเพาะอาหาร “ว่างแล้ว”
สวี่จือ “…”
บทที่ 6
พฤติกรรมการฝังใจ
สวี่จือยอมรับว่านอกจากเขาจะเป็นคนลามกตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว ยังเป็นคนที่นิสัยชั่วร้ายอีกด้วย
ตอนเช้าโจวมู่เคยบอกว่าหิวแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเช้าสวี่จือมัวแต่ตื่นตกใจ บวกกับความอยากแก้แค้นในใจที่ตนเองยังไม่เต็มใจจะยอมรับอยู่นิดหน่อย เขาจึงปล่อยให้โจวมู่หิวมาทั้งวัน
ตอนเขาพาโจวมู่ไปตรวจที่โรงพยาบาล พบว่าในห้องทำงานของเวินซูเหยามีบะหมี่ชุดหนึ่งพอดี เขาจึงใช้มันแทนมื้อเที่ยงโดยไม่เกรงใจ
แต่สถานการณ์ในตอนนี้คือโจวมู่ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีเงินติดตัวสักเหรียญ ทั้งโลกรู้จักสวี่จือแค่คนเดียว แต่สวี่จือกลับกินเองจนอิ่มโดยไม่สนใจเขาเลยสักนิด
คราวนี้หูของสวี่จือร้อนขึ้นมาจริงๆ
“งั้นนาย…” สวี่จือแสร้งทำท่ากระแอมทีหนึ่ง หันหลังไม่มองโจวมู่ แล้วถามอ้อมแอ้มว่า “งั้นนายจะกินอะไรล่ะ”
“ได้หมดเลย” โจวมู่ตอบ
จากนั้นเขาก็เน้นย้ำอีกรอบหนึ่งโดยไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ว่า “หิวจัง ตั้งแต่เช้าก็…”
“เงียบนะ!” สวี่จือตัดบท ไม่ให้เขาพูดต่อ
หลังพูดจบก็เดินไปที่ร้านโจ๊กเจ้าประจำของตนอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าโจวมู่ตามมาหรือไม่
แต่สวี่จือยังคงได้ยิน โจวมู่ที่ตามมาด้านหลังคล้ายกับกำลังหัวเราะ
ร้านโจ๊กเปิดอยู่ในเขตชุมชน ใกล้กับยูนิตที่สวี่จืออาศัยอยู่มาก รสชาติก็ไม่เลวทีเดียว ที่นี่จึงกลายเป็นตัวเลือกแรกสำหรับการกินข้าวของสวี่จือ
เถ้าแก่ร้านโจ๊กเป็นชายวัยกลางคนที่ใจดีมาก เรียกได้ว่าเป็นคนที่สวี่จือคุ้นหน้าคุ้นตาเพียงหนึ่งเดียวในเขตชุมชนแห่งนี้
อันที่จริงสวี่จือจำคนไม่ค่อยได้ แต่เถ้าแก่ร้านโจ๊กรูปร่างหน้าตามีเอกลักษณ์มาก บริเวณหางตาขวามีรอยปานสีเขียวขนาดเท่าเล็บมือ ด้วยเหตุนี้สวี่จือจึงจำหน้าตาของเถ้าแก่ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาร้าน
สวี่จือพาโจวมู่เดินเข้าไปในร้าน เถ้าแก่ถือที่คีบไม้กำลังคีบปาท่องโก๋ห่อให้ลูกค้า เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็ผงกศีรษะให้อย่างสุภาพ
อาจเป็นเพราะสวี่จือพาคนแปลกหน้ามา เถ้าแก่จึงไม่ได้คุยเล่นกับเขาเหมือนอย่างเคย เพียงถามว่า “จะสั่งอะไรล่ะ”
“โจ๊กข้าวโอ๊ตชุดหนึ่ง เกี๊ยวกุ้งนึ่งชุดหนึ่ง” สวี่จือสั่งอาหารแล้วเสริมอีกว่า “ห่อกลับดีกว่าครับ”
“ขอโทษที” เถ้าแก่เช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนทีหนึ่งแล้วยิ้มให้สวี่จืออย่างขออภัย “ไม่มีเกี๊ยวนึ่งแล้ว”
สวี่จือนิ่งงันก่อนจะเอ่ยอย่างประนีประนอมว่า “งั้นเอาแค่โจ๊กก็ได้ครับ”
“เอาสองชุดครับ” จู่ๆ โจวมู่ก็ขยับมาข้างหน้า พูดกับเถ้าแก่ว่า “รบกวนคุณด้วยครับ”
จากนั้นหันไปมองสวี่จืออีกครั้งแล้วพูดตามตรงว่า “ชุดเดียวไม่พอหรอก”
“อา…” สวี่จือคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้ เขากะพริบตาปริบๆ อย่างมึนงง บอกเถ้าแก่ว่า “งั้นก็สองชุดครับ”
พูดจบสวี่จือก็เริ่มไม่พอใจ โจวมู่หมายความว่าอะไร จะกินสองชุดพูดกับเขาก็พอแล้วนี่ ทำอย่างกับว่าเขาจงใจไม่ให้คนอื่นกินอิ่มอย่างนั้นแหละ
“ได้เลย” เถ้าแก่พยักหน้า พอห่อเสร็จก็ส่งให้พวกเขาอย่างคล่องแคล่ว และบอกให้กลับดีๆ ด้วยความสุภาพ
สวี่จือรับกล่องอาหารมาแล้วออกไปก่อนโดยไม่รอโจวมู่
เขาพาโจวมู่กลับบ้าน วันนี้อยู่ที่โรงพยาบาลของเวินซูเหยาทั้งวัน ไม่มีเวลาไปเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้สำหรับอีกคน เพราะฉะนั้นหลังจากเข้าประตูมาโจวมู่จึงยังคงเท้าเปล่าอยู่
สวี่จือเปิดไฟตรงโถงทางเข้า หยิบรองเท้าสลิปเปอร์ออกมาจากในตู้รองเท้า แล้วบอกโจวมู่ว่า “นี่เป็นของซูเหยา นายสวมก่อนเถอะ”
โจวมู่เตรียมจะสวมรองเท้าแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ชะงัก จากนั้นก็ย่ำพื้นเท้าเปล่าต่อไป
“เป็นอะไรไป” สวี่จือเปลี่ยนรองเท้าแล้วยืดตัวขึ้นมาถามอีกฝ่าย
“นายบอกว่า…” โจวมู่ยืนยันกับสวี่จือ “นี่เป็นรองเท้าของหมอเวิน?”
“ถูกต้อง” สวี่จือพยักหน้า
“งั้นฉันไม่สวมแล้ว” ไม่รู้ว่าโจวมู่เป็นอะไรไปจึงไม่ยอมสวมรองเท้าของเวินซูเหยา เขาไม่รอให้สวี่จือได้พูดอีก เดินเข้าไปนั่งบนโซฟาในห้องเอง
สวี่จือมองเขาด้วยสีหน้ามึนงง เนิ่นนานกว่าจะได้สติอย่างรู้ตัวช้า ดูเหมือนว่าตนเองจะถูกโจวมู่ชักสีหน้าใส่แล้ว
“นายไม่ชอบสวมก็ไม่ต้องสวม” สวี่จือกล่าว “ไม่สวมก็ดี”
เขาคิดในใจอย่างขุ่นเคือง บางทีพรุ่งนี้เช้าพอตื่นขึ้นมาโจวมู่มาทางไหนก็คงกลับไปทางนั้นแล้ว ใครจะสนว่าอีกฝ่ายจะสวมหรือไม่สวมรองเท้า
โจวมู่นั่งบนโซฟา หันมามองเขาแวบหนึ่ง ถามอีกรอบด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม “เป็นของหมอเวินจริงๆ เหรอ”
“ไม่ใช่ของเขาแล้วจะเป็นของนายหรือไง” สวี่จือหิ้วโจ๊กสองกล่องเดินเข้ามา ไม่สนใจเขาอีก
สวี่จือนั่งบนโซฟา หยิบเอาช้อนใช้แล้วทิ้งสีเหลืองอ่อนคันหนึ่งออกมาจากในถุงแล้วส่งให้โจวมู่
โจวมู่รับช้อนมาแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก หลุบตาลง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ ราวกับกำลังแง่งอน
สวี่จือคิดว่าหากโจวมู่คนนี้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความจริงมาโดยตลอดก็น่าจะเป็นคนประเภทที่ว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่มีใครทำให้เขาไม่พอใจ และไม่มีใครกล้ายั่วโมโหเขา
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าตอนนี้โจวมู่ดูน่าสงสารมาก
คิดถึงตรงนี้สวี่จือยังคงถามอีกฝ่ายว่า “ทำไมนายไม่สวมรองเท้าของซูเหยา”
“นายคิดว่าไงล่ะ” โจวมู่เงยหน้ามองเขา น้ำเสียงราวกับว่าเป็นเรื่องที่สวี่จือควรจะรู้อยู่แล้ว
“ใครจะสนนายว่าเพราะอะไร” สวี่จือบ่นงึมงำ แต่ยังคงพินิจมองอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ บนใบหน้าโจวมู่ไม่วางตา พยายามหาเหตุผลให้เจอ
โจวมู่สบตากับเขาด้วยความใจเย็น ให้เขาได้มองอย่างเปิดเผย
สวี่จือมองโจวมู่ ความคิดที่ค่อนข้างไร้สาระอย่างหนึ่งค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นมา
ในโลกของสัตว์ ลูกนกเกิดใหม่บางตัวจะผลักพี่น้องตัวอื่นๆ ออกจากรังเพราะหวงแม่ โจวมู่คงไม่ได้…
เกิดความรู้สึกอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของบ้าๆ อะไรกับเขาแล้วล่ะมั้ง
สวี่จือกะพริบตาพลางสั่นสะท้าน รู้สึกขยะแขยงกับความคิดเพ้อเจ้อของตนอยู่บ้าง จึงไม่ถามต่ออีก
“รีบกินสิ” สวี่จือเปลี่ยนเรื่อง
โจวมู่มองเขาโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ อยู่หลายวินาที จากนั้นก็พยักหน้า
สวี่จือ “…”
โจวมู่ราวกับขาดความอยากรู้อยากเห็นมาแต่กำเนิด เขาไม่ได้ถามซักไซ้ต่อ แต่แกะฝาของกล่องโปร่งใสนั้นออก ส่งช้อนคันหนึ่งให้สวี่จือ
โจวมู่เมินเฉยต่อคำพูดครึ่งๆ กลางๆ ของสวี่จือไปโดยสิ้นเชิง
“นี่ นายไม่มีอะไรจะถามฉันเลยเหรอ” สวี่จือจ้องโจวมู่อย่างเหลือเชื่อ
“ไม่มีนะ” โจวมู่กินโจ๊ก “นายมีอะไรจะถามฉัน?”
สวี่จือถูกดักจนไปไม่เป็น ทั้งที่ประเด็นเมื่อครู่ยังไม่จบแท้ๆ
“รีบกินเถอะ” โจวมู่ดันกล่องอาหารไปทางสวี่จือ “เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”
สวี่จือไม่ใช่คนกินจุ ตอนบ่ายกินบะหมี่ของเวินซูเหยาไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยไม่ค่อยหิว บวกกับเขายังอยู่ในอาการตื่นตระหนกเล็กน้อย จึงไม่ได้สนใจคำพูดของโจวมู่
โจวมู่หรี่ตา ราวกับจู่ๆ ก็นึกถึงอะไรขึ้นได้ เขาหยั่งเชิงถามสวี่จือ “นายกินมาแล้ว?”
สวี่จือกะพริบตา นึกถึงตอนที่ตัวเองกินอาหารคนเดียวลับหลังโจวมู่ก็พลันอ่อนลง ทว่ายังคงตะคอกอย่างปากแข็ง “ฉันเป็นคนแบบนั้นหรือไง!”
“งั้นทำไมไม่กินล่ะ” โจวมู่ถาม
สวี่จือหันหน้าหนีไม่มองเขาอีก พูดพึมพำว่านายไม่ต้องยุ่ง
โจวมู่จึงไม่สนใจเขาอีก ตักโจ๊กเข้าปากช้อนหนึ่ง เคี้ยวอย่างเนิบช้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่พอใจอย่างยิ่ง “กินมาแล้วแน่เลย”
คราวนี้สวี่จือถูกน้ำเสียงที่ทำเหมือนตัวเองเป็นเจ้านายของโจวมู่ทำให้โมโห เขามองอีกฝ่ายกินโจ๊กด้วยท่าทางผึ่งผายก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ย้ายชามโจ๊กหนีอย่างวางอำนาจ
โจวมู่เงยหน้ามองเขา ใช้สายตาถามเขาว่าเป็นอะไรไป
“ใครอนุญาตให้นายพูดกับฉันแบบนี้” สวี่จือเอ่ย
สวี่จือถลึงตาใส่โจวมู่ แจกแจงกฎระเบียบที่เขาตั้งเอาเองฝ่ายเดียวให้อีกฝ่ายฟัง “นายพูดกับฉัน ท่าทีต้องเคารพกัน น้ำเสียงต้อง…”
“สวี่จือ” โจวมู่ขัดจังหวะสวี่จือ
“อะไร” สวี่จือถามกลับโดยอัตโนมัติ
จู่ๆ โจวมู่ก็วางช้อนแล้วขยับเข้ามาใกล้สวี่จือ เขาเหมือนไม่รู้จักมารยาททางสังคมอะไรนัก เข้ามาใกล้จนสวี่จือสามารถนับขนตาของเขาได้ในพริบตา
โจวมู่มองสวี่จือ เอ่ยอย่างเนิบช้า “ตาของนายเป็นประกายมาก”
โจวมู่เหมือนไม่รู้จักทักษะการสื่อสารอะไร เมื่อกี้ยังคุยกันเรื่องกินโจ๊กอยู่แท้ๆ จู่ๆ กลับพูดถึงรูปร่างหน้าตาของสวี่จือ
“มีใครเคยบอกนายไหมว่า…” โจวมู่กล่าวต่อ “นายหน้าตาดีมาก”
ขณะที่เขาพูดไอร้อนก็พ่นกระทบบนใบหน้าด้านข้างของสวี่จือ รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ลูกกระเดือกของสวี่จือขยับ แต่ตัวไม่ได้ผละออก
เมื่อรู้ตัวว่าโจวมู่กำลังพูดอะไรอยู่ สวี่จือจึงกัดลิ้นด้วยความประหม่าเล็กน้อย กล่าวโทษเขาอย่างแข็งนอกอ่อนใน “ทำไมนายเป็นคนแบบนี้เนี่ย!”
พูดก็พูดไปสิ เข้ามาใกล้ขนาดนี้ทำไม!
โจวมู่ราวกับได้ยินความในใจของสวี่จือ จึงยกมุมปากหัวเราะออกมาทีหนึ่งแล้วผละออกไป “แบบไหนล่ะ”
สวี่จือรู้สึกว่าเวลานี้ตนเองเหมือนถูกตัณหาครอบงำจิตใจ สมองไม่ค่อยแจ่มชัด จึงไม่พูดจาอีก
“งั้นฉันจะพูดกับนายดีๆ นะ” โจวมู่ดึงกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งมารองบนโต๊ะแล้ววางช้อนลงไป เมื่อเอ่ยปากกลับเป็นการตอบคำถามก่อนหน้าของสวี่จือ
“ฉันไม่สวมรองเท้าของเวินซูเหยา” โจวมู่เอ่ย
“ทำไม” สวี่จือถาม
“ไม่ว่าอะไรก็ตามฉันยอมรับแค่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับสวี่จือเท่านั้น” น้ำเสียงของโจวมู่ดื้อดึงอย่างยิ่ง “ฉันรู้จักแค่สวี่จือ”
“คนอื่นฉันไม่ยอมรับ” โจวมู่เสริม
สีหน้าของเขามุ่งมั่นอย่างยิ่ง คำพูดเหมือนกับว่าโจวมู่ไว้วางใจและยอมรับสวี่จือแบบไม่มีข้อกังขา และมีความสมเหตุสมผลโดยธรรมชาติ
สวี่จือใจเต้นรัวเร็วในทันใด เขาหลบสายตาของโจวมู่ ก้มหน้าอย่างรวดเร็ว สงบสติอารมณ์ของตนเองอยู่ตลอด
“งั้นก่อนหน้านี้ล่ะ” สวี่จือถาม “ก่อนหน้านี้ นายเป็นใคร”
“ไม่ใช่ใครทั้งนั้น” โจวมู่กล่าว “ในฐานะที่เป็นตัวละครในนิยาย ชีวิตของฉันเริ่มต้นตั้งแต่ที่ลืมตาขึ้นมาเห็นนาย”
เสียงของเขาทุ้มต่ำเล็กน้อย เอ่ยช้าๆ “ฉันเป็นแค่โจวมู่”
นี่เป็นคำพูดที่ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาได้อีก แต่ท่าทางตอนโจวมู่พูดนั้นจริงจังมาก ทำให้คำพูดเหล่านี้มีความหนักแน่นขึ้นมา
สวี่จือเงยหน้ามองเครื่องปรับอากาศส่วนกลางครู่หนึ่ง ไฟสีเขียวสว่างอยู่ แสดงว่าทำงานปกติ แต่เขากลับรู้สึกร้อนนิดหน่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ
เขาดันโจ๊กไปข้างหน้าโจวมู่ “นายนอนที่ห้องรับแขกแล้วกัน”
จากนั้นก็เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.