ทดลองอ่านเรื่อง ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก
ผู้เขียน : สือเอ้อร์ซาน (十二三)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 心动文档 (Xin Dong Wen Dang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับอาการป่วยทางจิต
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
Doc1 กำหนดรสนิยม
สวี่จือเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องวิ่งหนีในบ้านของตัวเอง แต่การอยู่กับโจวมู่ตามลำพังในที่รโหฐานมักทำให้เขาไม่อาจคิดไตร่ตรองได้
หน้าต่างห้องนอนยังคงเปิดอยู่ ม่านผ้าโปร่งถูกลมพัดสะบัดพลิ้ว ทำให้อุณหภูมิร่างกายของสวี่จือที่ค่อนข้างร้อนรุ่มเย็นลง
เขาหยิบโน้ตบุ๊กจากบนโต๊ะขึ้นมา เดินไปนั่งบนเก้าอี้พักผ่อนตรงระเบียงตัวนั้น ค้นหาร่างคาแร็กเตอร์ที่เกี่ยวกับโจวมู่อีกรอบหนึ่งอย่างไม่ยอมแพ้
แต่ยังคงไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง
สภาพจิตใจของสวี่จือยังนับว่าดีอยู่ เขาคิดว่าในเมื่อโครงร่างหายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ต้องเขียนจากจุดเริ่มต้นแรกสุดแล้ว
เขาสร้างไฟล์ใหม่ขึ้นมา พิมพ์วันที่ 11 กรกฎาคมลงไป
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
สวี่จือวางโน้ตบุ๊กลงแล้วเดินไปเปิดประตู แขนของโจวมู่ที่ยกค้างไว้ครึ่งหนึ่งก็ปล่อยลง “ฉันอยากอาบน้ำ”
หัวใจของสวี่จือยังคงเต้นโครมคราม แต่เขาไม่สนใจ เพียงพยักหน้า “ฉันจะพานายไปห้องอาบน้ำ”
สวี่จืออาศัยอยู่ลำพัง ห้องพักเป็นอพาร์ตเมนต์แบบหนึ่งห้องนอน ในห้องนอนไม่มีห้องอาบน้ำ มีเพียงห้องอาบน้ำที่พื้นที่ไม่ใหญ่นักหนึ่งห้องตรงห้องรับแขกเท่านั้น
เมื่อเขาเดินออกจากห้องนอนก็พบว่ากล่องอาหารห่อกลับบ้านบนโต๊ะกาแฟถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว แต่มีอาหารชุดหนึ่งที่ไม่ได้ถูกแตะเลย
โจวมู่สังเกตเห็นสายตาของเขา จึงอธิบายว่า “กลัวว่าอีกเดี๋ยวนายจะหิว เลยไม่ได้ทิ้ง”
สวี่จือชะงักก่อนจะมองแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เดินนำเขาไปถึงห้องอาบน้ำ “นายใช้เครื่องทำน้ำอุ่นเป็นไหม”
“ใช้เป็นครับ” โจวมู่กล่าว
“งั้นก็ดี” สวี่จือหยิบแปรงสีฟันอันใหม่ออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้เขา “งั้นฉันออกไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน” โจวมู่เรียกสวี่จือไว้ “มีผ้าขนหนูไหม”
สวี่จือนิ่งงัน เมื่อเช้าเขาเอาผ้าขนหนูทั้งหมดใส่เข้าไปในตู้และล็อกไว้หมดแล้ว สาเหตุเป็นเพราะไม่แน่ใจในตัวตนของโจวมู่ จึงกลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายฆ่ารัดคอ
เขาเงยหน้ามองชายหนุ่มอีกคน รูปร่างที่มีข้อได้เปรียบของอีกฝ่ายยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่ออยู่ในห้องอาบน้ำเล็กแคบ ทั้งตัวสวี่จือถูกบดบังเอาไว้หมด
“มีสิ” สวี่จือบอก ก่อนจะเปิดตู้หยิบผ้าขนหนูออกมาสองผืน เขาส่งให้โจวมู่ผืนหนึ่ง “ผืนนี้เป็นของใหม่”
สวี่จือคิดว่าคงไม่มีฆาตกรคนไหนเก็บอาหารเย็นไว้ให้เหยื่อหรอก
“ขอบคุณครับ” โจวมู่เอ่ย จากนั้นก็รับผ้าขนหนูมาถือไว้
สวี่จือถอยออกมาจากห้องอาบน้ำ เดิมทีคิดจะกลับไปเขียนอะไรสักหน่อยที่ห้องนอน แต่กลับไม่มีแรงบันดาลใจสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงไปนั่งที่โซฟาแล้วแกะโจ๊กข้าวโอ๊ตที่ยังไม่ได้กินชุดนั้น
แม้ในห้องจะเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่โจ๊กข้าวโอ๊ตยังคงอุ่นอยู่
เสียงน้ำในห้องอาบน้ำดังขึ้น สวี่จือกินไปฟังไปอย่างกระอักกระอ่วน
โจวมู่อาบน้ำเร็วมาก สวี่จือเพิ่งกินโจ๊กเสร็จ เสียงน้ำไหลซู่ซ่าในห้องอาบน้ำก็หยุดแล้ว
เสียงฝีเท้าหนักแน่นของโจวมู่ดังมาจากข้างหลัง สวี่จือไม่ได้หันกลับไปมอง เขาเอากล่องอาหารห่อกลับบ้านใส่ถุงแล้วผูกให้เรียบร้อย “ฉันจะไปหาผ้าห่มมาให้นาย”
“สวี่จือ” โจวมู่เดินอ้อมมาด้านหน้าโซฟา เสียงน้ำที่หลงเหลือใต้ฝ่าเท้าเสียดสีกับพื้นเกิดเป็นเสียงที่ค่อนข้างคลุมเครือ “ฉันไม่มีเสื้อผ้า”
สวี่จือหันไปมองเขาแวบหนึ่ง การกระทำในมือหยุดชะงัก
โจวมู่ยืนเปลือยอยู่ตรงหน้าเขา หยดน้ำบริเวณช่วงเอวและหน้าท้องที่ไม่ได้เช็ดให้แห้งไหลลงมาตามวีไลน์ที่เด่นชัด จมหายเข้าไปในพงไพรอันเป็นสัญลักษณ์ของเรือนกายเพศชาย
สวี่จือละสายตาออกอย่างร้อนรน โยนถุงขยะในมือกลับไปไว้บนโต๊ะกาแฟ “เมื่อเช้านายยังมีชุดคลุมนอนอยู่ตัวหนึ่งไม่ใช่เหรอ”
“อาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนชุดใหม่ดีกว่า” โจวมู่ดูท่าทางไม่ได้สนใจเลยว่าเขากำลังคุยกับคนอื่นโดยที่เปลือยล่อนจ้อนอยู่ พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติมาก
เมื่อเช้านี้ยังขอเสื้อผ้าจากสวี่จืออย่างขัดเขินอยู่แท้ๆ ตอนนี้กลับตรงไปตรงมาแบบนี้เสียแล้ว
เมื่อเช้านี้สวี่จือแค่เหลือบไปเห็นร่างเปลือยของโจวมู่เพียงชั่วแวบสั้นๆ แต่ตอนนั้นตื่นตกใจเกินไปจึงไม่ได้เกิดความคิดอื่นใด ตอนนี้พอมองอีกครั้งกลับรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมาอยู่บ้าง
ทันใดนั้นเขาก็นึกไปถึงหุ่นปูนปลาสเตอร์ที่จัดวางอยู่ในห้องเรียนตอนเรียนวาดรูปสมัยเด็กๆ เขาคิดว่ารูปร่างของโจวมู่เป็นสัดส่วนที่ตรงตามหลักสุนทรียศาสตร์ของร่างกายมนุษย์มาก น่าดึงดูดอย่างยิ่ง
สวี่จือเงยหน้าขึ้นมองโจวมู่โดยแสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจมากนัก ดวงตาจับจ้องไปที่คางของอีกฝ่าย ไม่กล้ามองลงไป “งั้นฉันจะไปหามาให้นายสักชุดก็แล้วกัน”
จู่ๆ โจวมู่ก็หัวเราะหึ เขาเดินมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง มองสำรวจสวี่จืออย่างจริงจัง
“สวี่จือ นายหน้าแดงแล้ว” โจวมู่พูดข้อสรุปจากการเฝ้าสังเกตออกมา
สวี่จือเอ่ยเสียงเย็น “เกี่ยวอะไรกับนายด้วย”
แต่กลับไร้พลังในการขัดขวางอย่างสิ้นเชิง
“ไม่เกี่ยวกับฉันเหรอ” โจวมู่เอ่ยพลางเดินมาข้างหน้าอีกก้าว ทั้งสองใกล้กันยิ่งกว่าเดิม “ฉันนึกว่านายกำลังเขินซะอีก”
สวี่จือถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไร้สุ้มเสียง จากนั้นยื่นนิ้วชี้ข้างขวาออกไปจิ้มหน้าอกของโจวมู่ ดวงตายังคงไม่กล้ามองส่งเดช เขาเตือนโจวมู่ว่า “ไม่ต้องเข้ามาแล้ว”
เขาเดินอ้อมออกไปจากอีกฝั่งของโต๊ะกาแฟ “ฉันจะไปหยิบเสื้อผ้าให้นาย”
พูดจบก็เข้าไปในห้องนอน ก่อนจะหยิบชุดคลุมนอนออกมาชุดหนึ่ง รวมถึงผ้าห่มฤดูร้อนบางๆ อีกผืนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เขาโยนชุดคลุมนอนใส่ตัวโจวมู่โดยทิ้งระยะห่างเอาไว้ โจวมู่ยื่นมือไปรับมา
โจวมู่สวมเสื้อผ้าด้วยความเคลื่อนไหวเชื่องช้า แผ่ความสง่างามสูงศักดิ์ที่ติดตัวมาแต่เกิด กระทั่งสายรัดของชุดคลุมนอนกลายเป็นปมโบสวยงามในมือเขา สวี่จือถึงได้เอ่ยปากพูด
“ฉันหน้าแดงก็เพราะเขินจริงๆ นั่นแหละ” สวี่จือตอบคำถามเมื่อครู่ของโจวมู่ “แต่ต่อให้เปลี่ยนเป็นใครสักคนก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน”
สวี่จือเตือนโจวมู่ “เพราะงั้นนายอย่าหลงตัวเองเกินไปล่ะ”
โจวมู่หัวเราะทีหนึ่ง เดินมานั่งลงบนโซฟา แล้วเอ่ยด้วยเสียงฉะฉานอย่างยิ่ง “ทำยังไงดีล่ะ หลงตัวเองไปแล้ว”
สวี่จือคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ ไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ
โจวมู่ดูเหมือนจะชอบมองท่าทางแบบนี้ของสวี่จือเป็นพิเศษ เขาพิงไปข้างหลังเล็กน้อย ยกมือข้างหนึ่งวางไว้บนพนักโซฟา ท่วงท่าราวกับนักธุรกิจกำลังเจรจากัน
เขาเงยหน้ามองสวี่จือแล้วถามว่า “ตอนที่นายกำลังเขียนถึงฉัน นายกำหนดรสนิยมทางเพศของฉันไว้ยังไงเหรอ”
สวี่จือกอดผ้าห่มยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้กำหนดรสนิยมทางเพศของโจวมู่เอาไว้จริงๆ
“หืม? สวี่จือ” โจวมู่ยังคงถามซักไซ้
สวี่จือคิดว่าโจวมู่เองก็ใช่ว่าไม่อยากรู้อยากเห็นเลย แต่เขาแค่จะยึดติดกับคำถามที่ตัวเองรู้สึกสนใจเท่านั้น
สวี่จือก้มหน้ามองโจวมู่ ไม่รู้อะไรดลใจ จู่ๆ ก็บอกไปว่า “นายชอบเพศเดียวกัน”
เสียงของเขาแข็งกระด้าง แห้งผากราวกับถุงพลาสติกแข็งๆ ที่ถูกดึงจนสุด ช่างแตกต่างกับน้ำเสียงที่ดุโจวมู่เมื่อตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง
“อ๋อ…” โจวมู่ตอบรับด้วยเสียงลากเสียงยาว จากนั้นถามอีกครั้งว่า “งั้นฉันอยู่ในนิยายของนายก็โสดเหรอ”
“ใช่” สวี่จือตอบเสียงเบามาก
โจวมู่พยักหน้า ถามคำถามไม่จบไม่สิ้น “งั้นฉันมีคนที่ชอบไหม”
โจวมู่ยังคงอยู่ในท่าทางเจรจา เวลาที่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรทำให้รู้สึกว่าเคร่งขรึมมาก เมื่อคนทั่วไปถูกจ้องเช่นนี้จะต้องไม่กล้าพูดโกหกแน่นอน
แต่สวี่จือยังคงพูดมั่วๆ ไปอยู่ดี
“ไม่มี” สวี่จือบอก
โจวมู่ไม่ได้ตอบรับในทันที ห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
โจวมู่จ้องมองสวี่จือเนิ่นนาน เห็นแขนขาของสวี่จือแข็งเกร็งหมดแล้ว จากนั้นจึงก้มหน้าลง เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงเล็กน้อย “ไม่มีเหรอ”
ข้างนอกมืดมากแล้ว ในห้องรับแขกเปิดโคมไฟตั้งพื้นซึ่งวางอยู่ตรงข้ามกับโซฟาเอาไว้ดวงหนึ่ง ทั้งตัวโจวมู่ถูกปกคลุมอยู่ในแสงไฟสีเหลืองนวล
เครื่องหน้าทั้งหน้าที่ดูเย็นชาแข็งกระด้างถูกทำให้อ่อนลง ดูท่าทางเป็นมิตรเข้าถึงง่ายขึ้นมา
เส้นผมตรงหน้าผากเขายังคงชื้นอยู่ ลู่ลงมาเกิดเป็นเงาเล็กๆ บริเวณกลางสันจมูก สวี่จือมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัด
“ฉันเขียนไว้แบบนี้” สวี่จือพูดอย่างเหม่อลอย
โจวมู่เงยหน้ามองสวี่จือ นัยน์ตาสีเข้มลุ่มลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ทั้งอ่อนโยนทั้งอันตรายอยู่บ้าง
สวี่จืออ้าปาก พูดด้วยความอึดอัดว่า “แต่ในเมื่อนายมาแล้วก็อาจจะไม่ตรงกันซะทั้งหมด”
“อืม” ครั้งนี้โจวมู่ตอบเร็วมาก เขามองสวี่จือแล้วหัวเราะทีหนึ่งอย่างผ่อนคลาย “ฉันก็คิดว่างั้น”
ความหมายของโจวมู่คือรสนิยมทางเพศไม่ตรงกับร่างคาแร็กเตอร์ หรือว่าไม่ตรงกับข้อที่ว่า ‘ไม่มีคนที่ชอบ’ กันแน่ สวี่จือไม่ได้ถาม
เขาโยนผ้าห่มฤดูร้อนที่กอดไว้ไปบนโซฟา “ราตรีสวัสดิ์”
จากนั้นก็หนีกลับไปในห้องนอนอีกครั้ง
สวี่จือเดินไปที่ระเบียง โน้ตบุ๊กของเขาตั้งค่าไว้ไม่ให้หน้าจอดับ ดังนั้นบนหน้าเดสก์ท็อปจึงยังเปิดไฟล์ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เอาไว้
สวี่จือหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้พักผ่อน เริ่มครุ่นคิดถึงสาระสำคัญของการสร้างไฟล์เอกสารไฟล์นี้
“สวี่จือ!” โจวมู่ตะโกนอยู่ด้านนอก “ยาที่หมอเวินจ่ายให้ยังอยู่ที่ฉันนะ”
สวี่จือได้ยินแล้ว แต่ไม่ได้สนใจ
นิ้วมือของเขาเคาะลงบนแป้นพิมพ์ พิมพ์ตัวอักษรบรรทัดหนึ่ง
วันที่ 11 กรกฎาคม การจดบันทึกที่เกี่ยวกับโจวมู่มีได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ‘โจวมู่โผล่ขึ้นมาบนเตียงของสวี่จืออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาสวี่จือตกใจจนโรควิตกกังวลเกือบจะกำเริบ’
เช่น ‘วันนี้โจวมู่ตรวจร่างกายทั้งหมดสิบสองรายการ’
เช่น ‘โจวมู่รสนิยมทางเพศไม่ชัดเจน’ หรือ ‘กินจุมาก ต้องการโจ๊กสองชาม’
“สวี่จือ?” โจวมู่หยุดอยู่หน้าประตู พูดกับอีกฝ่ายว่า “เอายามาให้นายแล้ว”
“รู้แล้ว” สวี่จือตอบรับคำหนึ่ง
สวี่จือกดเซฟแล้วปิดไฟล์ ชื่อไฟล์ตั้งเป็น Doc1 โดยอัตโนมัติ
เขาคิดว่าหากวันไหนโจวมู่หายไปกะทันหัน อย่างน้อยไฟล์พวกนี้ก็สามารถทิ้งความคิดถึงเอาไว้ได้ แม้โจวมู่จะเป็นปัญหายุ่งยากชิ้นใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เลวร้าย…ไม่ใช่หรือ
‘Doc1 : วันที่ 11 กรกฎาคม โจวมู่ทำให้สวี่จือใจเต้นรัว’
บทที่ 8
Doc2 อุปกรณ์เร่งความเร็ว
แม้จะกินยาแล้ว แต่นาฬิกาชีวภาพ* ของสวี่จือก็ไม่ได้รับผลกระทบ เขายังคงตื่นตอนสิบโมงเช้าของวันต่อมาอย่างตรงเวลา
ทว่าฤทธิ์ยายังไม่หมด เขารู้สึกหนักศีรษะเล็กน้อยเหมือนแฮงก์เหล้า
สวี่จือนอนเอ้อระเหยอยู่บนเตียงสักพักกว่าสติจะกลับมา เรื่องแรกที่คิดถึงก็คือไปดูสักหน่อยว่าโจวมู่ยังอยู่หรือไม่
เขาลงจากเตียงอย่างรีบร้อน พอออกจากห้องนอนก็เห็นโจวมู่ที่กำลังเตรียมจะเคาะประตู
“อรุณสวัสดิ์” โจวมู่ปล่อยแขนที่ยกขึ้นมากลางอากาศลง ก่อนจะทักทายสวี่จือ
จู่ๆ ก็อยู่ประชิดโจวมู่ขนาดนี้ สวี่จือตกใจจนสร่างทันตา
เขาชะงักฝีเท้าอัตโนมัติ ร่างกายท่อนบนหงายไปข้างหลัง โจวมู่ยื่นมือมาประคองเขาไว้
“หมอเวินให้ไปเอารายงานผลวันนี้” โจวมู่เอ่ย “ฉันกำลังจะปลุกนาย”
“อืม” สวี่จือพยักหน้า มองสำรวจโจวมู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายที ยืนยันแล้วว่าโจวมู่ยังอยู่จริงๆ “ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”
โจวมู่พยักหน้า “ฉันจะรอนายที่ห้องรับแขก”
“เข้ามาสิ” สวี่จือบอก “ฉันจะหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นาย”
โจวมู่ยังคงสวมชุดคลุมนอนที่สวี่จือให้เขาเมื่อวาน พอได้ยินคำพูดนี้แล้วก็เดินตามสวี่จือเข้ามาในห้องนอน
สวี่จือเป็นคนที่เข้มงวดกับรายละเอียดในชีวิตมาก ค่อนข้างเจ้าระเบียบ การจัดวางทุกอย่างในห้องนอนล้วนเหมือนกับเมื่อวานทุกกระเบียดนิ้ว โจวมู่ยังคงเดินไปนั่งตรงขอบเตียง รอสวี่จือหยิบเสื้อผ้าให้เขา
สวี่จือหยิบเสื้อผ้าแบบเดียวกันแต่สีต่างกันออกมาจากตู้เสื้อผ้าสองชุด พอหันกลับไปก็เห็นโจวมู่ถอดชุดคลุมนอนแล้ว กำลังนั่งมองเขาอยู่บนเตียง
แถมยังเปลือยกาย
“นายมีนิสัยชอบโชว์หรือไง” สวี่จือถามอีกฝ่ายเสียงดัง
“เปล่า” โจวมู่ส่ายหน้า ปอยผมลื่นสลวยไหวเบาๆ ไปตามการเคลื่อนไหวของเขา “ถึงยังไงนายก็เคยเห็นหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”
สวี่จือคิดจะโต้แย้ง โจวมู่ก็พูดอีกว่า “ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย”
“ฉันไม่ได้อยากดูสักหน่อย” สวี่จือพึมพำประโยคหนึ่งก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น เขาส่งเสื้อผ้าชุดหนึ่งในนั้นให้โจวมู่ “รีบใส่ซะ”
โจวมู่รับเสื้อผ้าแล้วไม่สวม แต่เงยหน้ามองสวี่จือพลางยิ้ม “สวี่จือ ฉันไม่มีกางเกงชั้นในเปลี่ยน นายจะให้ฉันโป๊เหรอ”
สวี่จือมองท่อนล่างของเขาโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็คิดอย่างควบคุมไม่ได้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกทางกายภาพของโจวมู่ยอดเยี่ยมมาก หากขึ้นเตียงกับเขาคงจะสาแก่ใจทีเดียว
“ดูดีเหรอครับ” โจวมู่เอ่ยปาก ขัดจังหวะความคิดที่ไม่อาจเปิดเผยได้ของสวี่จือ น้ำเสียงแฝงแววล้อเลียนอยู่บ้าง
สวี่จือละสายตา พูดอย่างเก้อเขินและเกรี้ยวกราด “ก็ประมาณนั้นแหละ”
เขาพูดจบก็หมุนตัวไปอย่างรวดเร็ว กางเกงชั้นในตัวใหม่วางอยู่ในช่องชั้นที่สองของตู้เสื้อผ้า สวี่จือหยิบออกมาตัวหนึ่ง
โจวมู่ยังคงไม่ยอมปล่อยเขาไป ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้างหลังสวี่จือ ก่อนยื่นมือไปแตะใบหูของคนตรงหน้าทีหนึ่ง
สวี่จือขนลุกชันทั้งร่าง กล้ามเนื้อเต้นตุบๆ โดยอัตโนมัติ มือที่ถือกางเกงชั้นในออกแรงขยำ
“ทำอะไรน่ะ!” สวี่จือหันกลับมาตะคอก ทว่ากลับไม่มองตาโจวมู่
โจวมู่ขยับเข้าใกล้ใบหูของสวี่จือแล้วใช้มือแตะอีกครั้ง “สวี่จือ หูนายแดงแล้ว”
สวี่จือยัดกางเกงชั้นในใส่มือโจวมู่ แก้ต่างให้ตัวเองว่า “ร้อนเกินไปน่ะ”
พูดจบก็หยิบเสื้อผ้าชุดนั้นของตนวิ่งออกไป
กระทั่งวิ่งออกจากห้องนอน สวี่จือก็ยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของโจวมู่ที่ติดหนึบอยู่บนแผ่นหลังของตัวเอง
โรงพยาบาลของเวินซูเหยามีประสิทธิภาพมาก โจวมู่ทำการตรวจหลายรายการ บางรายการก็ออกผลในวันนั้นเลย ส่วนผลการตรวจที่ช้าที่สุดก็รอแค่วันเดียว
เมื่อพวกเขามาถึง เวินซูเหยาก็กำลังถือรายงานผลการตรวจปึกหนึ่งรอพวกเขาอยู่ พอเห็นพวกเขามาแล้วก็กวาดตามองทั้งสองคนกลับไปกลับมาอยู่หลายทีก่อนถึงได้ส่งรายงานผลการตรวจให้โจวมู่
โจวมู่รับรายงานผลการตรวจมาพลิกอ่านทีละหน้าๆ ท่าทางผ่อนคลายมาก
สวี่จือขยับเข้าไปดูด้วยความอยากรู้ แต่ถูกเวินซูเหยาขัดจังหวะ ชายหนุ่มพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีอะไรให้ดูหรอก ทุกอย่างปกติดี เพราะงั้นตกลงว่าเมื่อวานนายพาเขามาตรวจอะไรกันแน่”
“ก็ถือซะว่าตรวจร่างกายไง” สวี่จือโล่งใจแล้ว พูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
คนที่สามารถมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลของเวินซูเหยาได้ในเมืองนี้มีไม่มากนัก ถึงอย่างไรที่นี่ก็ราคาแพงหูฉี่
“งั้นนายจะจ่ายยังไง” เวินซูเหยายื่นมือออกมาทำท่าทางทวงเงิน
“พี่เวิน” สวี่จือยิ้มอย่างเก้อเขิน ค่อยๆ ขยับเข้าไปทำท่าออดอ้อนตรงหน้าเวินซูเหยา “นายยังจะเอาเงินกับฉันอีกเหรอ”
เวินซูเหยาสูงกว่าสวี่จือประมาณหนึ่ง เวลาที่สวี่จือพูดคุยกับอีกฝ่ายจำต้องเงยหน้าขึ้น
เส้นผมที่เขาเพิ่งสระก่อนออกจากบ้านปอยผมลื่นสลวยลู่ลงไปสองฝั่ง เผยให้เห็นหน้าผากเกลี้ยงเกลาและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่หนึ่ง
ดวงตาของสวี่จือค่อนข้างกลม สีเหมือนอำพันสีน้ำตาลโปร่งแสง เวลาทำท่าออดอ้อนหางตาจะยกขึ้นเล็กน้อย งดงามเกินกว่าจะบรรยายได้
สวี่จือที่เป็นแบบนี้ แม้แต่เวินซูเหยาก็ไม่รอดเหมือนกัน
เขากำลังจะบอกว่าช่างเถอะ โจวมู่ก็ถามขึ้นโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ “เท่าไหร่”
สีหน้าเขาถมึงทึง ดูไม่เหมือนเขาติดเงินเวินซูเหยา แต่กลับเหมือนเวินซูเหยาติดเงินเขาไม่ได้ชำระสะสางมาหลายภพชาติเสียมากกว่า
เวินซูเหยายกมุมปากพลางถามอย่างนึกสนุก “ทำไม นายจะให้เงินเหรอ”
โจวมู่ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “ไม่ให้”
เวินซูเหยา “…”
งั้นนายจะพูดทำบ้าอะไร
“ฉันไม่มีเงินหรอก” โจวมู่ไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้น่าละอายเลยสักนิด เพื่อยืนยันว่าตนเองไม่มีเงินจริงๆ เขาจึงเอ่ยเสริมไปอีกประโยค “แม้แต่กางเกงชั้นในฉันยังต้องใส่ของสวี่จือเลย”
เวินซูเหยา “…”
สวี่จือ “…”
“โจวมู่…” สวี่จือที่ได้สติแล้วยื่นมือไปปิดปากอีกฝ่าย สั่งสอนเขาอย่างเคร่งขรึมและจริงจัง “คำพูดบางอย่างจะพูดข้างนอกไม่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอก” เวินซูเหยาดูท่าทางไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก “ฉันรู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
เขาควักกระดาษและปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนเขียนตัวเลขยาวเป็นพรวนอย่างรวดเร็วแล้วส่งให้สวี่จือ ดวงตาจ้องมองโจวมู่ “ให้สวี่จือจ่ายค่าตรวจให้นายเป็นเรื่องสมควรแล้ว”
สวี่จือกำกระดาษที่เขียนจำนวนเงินที่ต้องจ่ายแผ่นนั้นเอาไว้ เตรียมจะแสดงท่าทางออดอ้อน ทว่าเวินซูเหยากลับหมุนตัวหนีไม่มองเขา
สวี่จือทำได้แค่ควักโทรศัพท์มือถือออกมากดโอนเงินอย่างไม่พอใจ ยังไม่ลืมที่จะแขวะเขา “ขี้เหนียว”
โทรศัพท์มือถือของเวินซูเหยาสั่นครืด เขาล้วงเอาออกมาดูแวบหนึ่ง “ก็ไม่ใช่วันแรกซะหน่อย” จากนั้นก็เก็บมันกลับเข้าไป “เงินแค่นี้คุณชายสวี่จ่ายไหวอยู่แล้ว”
สวี่จือไม่สนใจเขา เก็บโทรศัพท์มือถือแล้วถลึงตาใส่โจวมู่ทีหนึ่ง ก่อนจะเดินหนีไปอย่างแง่งอน
โจวมู่ไล่ตามเขาไป ก่อนโน้มตัวเข้าไปใกล้หูสวี่จือแล้วปลอบเสียงเบาอย่างใกล้ชิดราวกับว่ารอบข้างไม่มีใคร จากนั้นก็ออกมาจากโรงพยาบาลของเวินซูเหยา
หลังพวกเขาออกมาจากโรงพยาบาลก็ไม่ได้กลับบ้านทันที สวี่จือพาโจวมู่ไปกินข้าวที่ร้านอาหารแถวนั้น แล้วพาเขาไปห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกเสื้อผ้าสองสามชุดและข้าวของเครื่องใช้จำนวนหนึ่ง รวมถึงรองเท้าสลิปเปอร์ด้วย เวลาได้รูดบัตรรู้สึกสบายใจดี
ตอนพวกเขากลับถึงบ้านข้างนอกก็มืดแล้ว โจวมู่หยิบรายงานผลการตรวจร่างกายหนาเกือบหนึ่งเซนติเมตรขึ้นมา พร้อมพูดกับสวี่จือด้วยท่าทางเหมือนรู้ตั้งแต่แรกแล้ว “ฉันก็บอกแล้วไง”
แม้สวี่จือจะเป็นคนขี้สงสัย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสงสัยเทคโนโลยีการแพทย์สมัยนี้
เกี่ยวกับข้อสรุปที่ว่า ‘โจวมู่เป็นมนุษย์’ นี้เขายอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แต่กลับไม่ได้ดีใจเท่าโจวมู่ขนาดนั้น
สำหรับสวี่จือแล้วการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนยุ่งยากยิ่งกว่าการใช้ชีวิตอยู่กับอมนุษย์เสียอีก
“โจวมู่” สวี่จือหยิบรายงานผลการตรวจมาพลิกดูอย่างลวกๆ แล้วถามเขา “นายมีแพลนอะไรต่อ”
“หืม?” โจวมู่กำลังจะไปรินน้ำที่ห้องครัวเพื่อให้สวี่จือกินยา พอได้ยินคำพูดนี้ก็หยุดฝีเท้าแล้วถามเขา “หมายความว่ายังไง”
คิดถึงพฤติกรรมการฝังใจของโจวมู่ สวี่จือก็ชะงักงัน แต่ยังคงพูดอยู่ดี “ในเมื่อผลการตรวจไม่ได้ผิดปกติ พรุ่งนี้ฉันจะช่วยหาบ้านให้นาย”
เป็นไปตามคาด โจวมู่ฟังคำพูดนี้แล้วพลันหน้าถมึงทึง
ในห้องรับแขกอบอวลไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด แม้มีอากาศเพียงพอ แต่สวี่จือกลับรู้สึกหายใจไม่ออก เหตุผลนั้นง่ายมาก สีหน้าของโจวมู่ไม่น่ามองอย่างยิ่ง
ทั้งสองชะงักค้างไปหลายวินาที โจวมู่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรและเดินไปยังห้องครัวต่อ
เขาไปรินน้ำอุ่นหนึ่งแก้วที่ห้องครัว หยิบกล่องยาขึ้นมาจากโต๊ะกาแฟ นับยาออกมาสองสามเม็ดก่อนจะส่งให้ “ไม่ได้”
“หืม?” สวี่จือรับยามา สมองยังไม่ทันประมวลผล
“ไม่ได้” โจวมู่พูดซ้ำอีกรอบ “ฉันไม่ย้ายออก”
น้ำเสียงของเขาทั้งดื้อดึงและน้อยใจอยู่บ้าง อย่างกับว่าถ้าสวี่จือทิ้งเขา เขาก็ไม่มีหนทางอื่นใดแล้ว
สวี่จือคิด เขาอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว แถมยังโตกว่าตนตั้งปีหนึ่งแท้ๆ
สวี่จือยกแก้วน้ำแล้วกินยาตามลงไป ก่อนจะถามเขาว่า “ทำไม”
“ทำไมถึงมีตัวละครในนิยายโผล่ขึ้นมาในชีวิตจริง ฉันอธิบายไม่ถูก และก็จินตนาการไม่ออก” โจวมู่พูดถึงตรงนี้แล้วก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้ากวาดตามองห้องของสวี่จือหนึ่งรอบ
“แต่ว่านะสวี่จือ” เขาเอ่ยพลางเดินไปนั่งข้างๆ สวี่จือ และพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ฉันห่างจากนายไม่ได้หรอก”
สวี่จือ ฉันห่างจากนายไม่ได้หรอก
สวี่จือมั่นใจว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครพูดคำพูดประโยคนี้กับเขา และโจวมู่ก็ไม่เคยพูดคำพูดทำนองนี้กับใครแน่นอน
แต่เมื่อโจวมู่เอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา อีกฝ่ายพูดอย่างจริงจังและไหลลื่นมากทีเดียว ราวกับว่าเคยพูดกับสวี่จือมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ชั่ววูบหนึ่งสวี่จือรู้สึกเหมือนเขาเคยฟังคำพูดประโยคนี้มาก่อนจนถึงขั้นไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้สวี่จือไม่อาจคิดไตร่ตรองได้แล้ว เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะกินยา ยาที่เวินซูเหยาจ่ายให้เห็นผลเร็วมากมาแต่ไหนแต่ไร
บางคำถามเขาก็คิดไม่ตก
สวี่จือเป็นคนที่ไม่ขาดแคลนเวลาที่สุด ทุกวันเขาใช้ชีวิตแบบเดียวกันซ้ำไปซ้ำมาเป็นเครื่องจักร ผ่านวันเวลาอันแสนยาวนานไปอย่างแห้งแล้งน่าเบื่อ วันหนึ่งดูนาฬิกาสิบกว่าครั้ง
แต่โจวมู่เป็นเหมือนอุปกรณ์เร่งความเร็วของเวลาที่ฝืนกฎธรรมชาติ ไม่มีกลไกกระตุ้นใดๆ ลำพังแค่วางไว้ข้างกายสวี่จือก็ทำให้เวลาของสวี่จือผ่านไปเร็วขึ้นแล้ว
สุดท้ายสวี่จือพูดขึ้นตาปริบๆ ว่า “งั้นเอาเถอะ”
ตัวเลือกที่สามารถบันทึกเข้าไปใน Doc2 มีเยอะมาก
ยกตัวอย่างเช่น โจวมู่มักอยากทำให้สวี่จือหน้าแดง โจวมู่เกาะอยู่ที่บ้านของสวี่จืออย่างหน้าด้านๆ โดยไม่ยอมไป เรื่องจุกจิกหยุมหยิม แต่ไม่รู้ทำไมถึงกินเวลาไปทั้งวัน
สวี่จือคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือกสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุดแต่ควรค่าแก่การจดบันทึกไว้ที่สุดออกมาจากในบรรดาเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิมเหล่านั้น
‘Doc2 : วันที่ 12 กรกฎาคม โจวมู่ ยืนยันว่าเป็นมนุษย์’
* นาฬิกาชีวภาพ (Biological Clock) หรือนาฬิกาชีวิต คือวงจรของระบบการทำงานในร่างกายมนุษย์ มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น การตื่นและนอนหลับ การหลั่งฮอร์โมน อุณหภูมิในร่างกาย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.