X
    Categories: everYทดลองอ่านไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก

ทดลองอ่าน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก บทที่ 11-12 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก

ผู้เขียน : สือเอ้อร์ซาน (十二三)

แปลโดย :  Lucky Luna

ผลงานเรื่อง : 心动文档 (Xin Dong Wen Dang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับอาการป่วยทางจิต

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

       

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 11

เกณฑ์การคิดค่าใช้จ่าย

 

เมื่อตื่นขึ้นในวันต่อมา โจวมู่ก็ไม่อยู่ที่เตียงแล้ว

สวี่จือหรี่ตาพลางลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะคลำหานาฬิกาข้อมือดิจิตอลบนตู้หัวเตียงมาดูเวลา…บ่ายโมงยี่สิบนาที

ชุดคลุมนอนของโจวมู่พับวางไว้บนตู้หัวเตียงอย่างเป็นระเบียบ ราวกับว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สวี่จือคิดอย่างไร้ขอบเขต แม้โจวมู่จะจูบเขา ลูบคลำเขา แถมอาจจะยังอยากขึ้นคร่อมเขาด้วย แต่บางทีคงมีสักวันที่พอเขาลืมตาขึ้นมาในห้องก็ไม่มีแม้แต่ชุดนอนชุดนั้นแล้ว

สวี่จือหยิบแก้วน้ำที่ตู้หัวเตียง ดื่มน้ำอุ่นที่โจวมู่เตรียมไว้ให้เขาจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะเดินเท้าเปล่าออกไปจากห้องนอน

โจวมู่กำลังยุ่งอยู่ในห้องครัว พอเห็นเขาออกมาก็หันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง “ตื่นแล้ว?”

“อืม” สวี่จือตอบ โซเซไปถึงห้องครัวอย่างไร้ชีวิตชีวา

โจวมู่ก้มหน้ามองเท้าที่เปลือยเปล่าของเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะถอดรองเท้าสลิปเปอร์ของตัวเองให้แล้วเตะไปถึงข้างเท้าเขา

สวี่จือก้มหน้ามองสองวินาทีแล้วสวมเข้าไป

เสียงฉ่าดังมาจากในห้องครัว จากนั้นตามมาด้วยกลิ่นหอมของน้ำมันพืชเดือดๆ สัมผัสกับโปรตีน สวี่จือทำอาหารไม่เป็น แต่เขารู้ว่าโจวมู่กำลังทอดไข่ดาวอยู่

เขาเดินเข้าไป แล้วบอกความต้องการอย่างไม่เกรงใจ “ขอไข่สุกทั่วๆ”

“รับทราบครับ” โจวมู่เอ่ย ก่อนจะหยิบทัพพีไม้ที่แขวนอยู่บนผนัง เปิดฝาของหม้อเคลือบเอนนาเมล* แล้วคนไปมา

สวี่จือเพิ่งจะพบว่าโจวมู่ยังต้มโจ๊กอีกด้วย

เหมือนจะเป็นโจ๊กข้าวโอ๊ต

สวี่จือขยับเข้าไปอย่างสนอกสนใจ ยืนอยู่ข้างๆ โจวมู่ มองอีกฝ่ายคนสิ่งที่อยู่ในหม้อใบเล็กไปมา แน่ใจแล้วว่านั่นก็คือโจ๊กข้าวโอ๊ตนมสด

“นายทำอาหารเป็น?” สวี่จือถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง

“เป็นสิ” โจวมู่หยิบช้อนออกมาสะบัดข้างหม้อ แล้ววางช้อนลงในชาม “ล้างมือแล้วกินข้าว”

สวี่จือไม่ได้สนใจเขา หยิบช้อนขึ้นมาคนในหม้อเลียนแบบท่าทางของโจวมู่ มองดูโจ๊กข้าวโอ๊ตข้นหนืดเดือดเป็นวงมีไอร้อนพวยพุ่ง ก่อนจะพูดอย่างได้ใจว่า “ง่ายมาก”

“ใช่ครับ” โจวมู่หยิบช้อนจากมือเขาแล้ววางลง ก่อนจะดันไหล่เขาให้เดินไปข้างอ่างล้างมือ เอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “ง่ายมาก เพราะงั้นล้างมือแล้วกินข้าวเถอะ”

“นายรีบอะไร” ความไม่มีเหตุผลของสวี่จือมักมาโดยไม่ทันตั้งตัว ในบ้านหลังนี้มีแค่สวี่จือเท่านั้นที่หงุดหงิดได้ ยังไม่ถึงตาโจวมู่

“นายไม่หิวเหรอ” โจวมู่ถาม “หลับจนถึงป่านนี้”

สวี่จือหิวอยู่บ้างจริงๆ แต่ท่าทางช่ำชองของโจวมู่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ เพราะฉะนั้นจึงยอมไม่กินและต้องการอธิบายกับโจวมู่ว่าใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้กันแน่

แม้เมื่อคืนทั้งสองจะจูบกันจนไม่ยอมแยกจาก แต่ก็เป็นความต้องการของสวี่จือ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโจวมู่

“ฉันอยากกินเมื่อไหร่ก็จะกินเมื่อนั้น” สวี่จือกล่าว

นิสัยใจคอของสวี่จืออ่านออกง่ายมาก การเอาใจสวี่จือมีกฎเพียงข้อเดียว นั่นคือเวลาจะพูดจากับเขาต้องใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยน

ไม่อย่างนั้นสวี่จือจะโมโหง่ายมาก แม้การโมโหจะไม่มีประโยชน์ต่อทั้งสองคนเลยก็ตาม

เพราะฉะนั้นโจวมู่จึงจูงมือของสวี่จือ ลากเขามาอยู่ข้างหน้าตน แล้วโอบเขาจากด้านหลังเพื่อเปิดก๊อกน้ำ

อีกฝ่ายล้างนิ้วของสวี่จือทีละนิ้วอย่างละเมียดละไม จากนั้นดึงกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งมาเช็ดคราบน้ำอย่างละเอียด

กระทั่งสวี่จือดิ้นอยู่ในอ้อมอกของอีกฝ่ายด้วยความอึดอัด โจวมู่ถึงได้บีบนิ้วมือเขาเบาๆ ก่อนจะขยับเข้าไปพูดข้างหูเขาเสียงเบาราวกับจงใจ “งั้นตอนนี้คุณชายสวี่จะกินข้าวไหมครับ”

สวี่จือใคร่ครวญครู่หนึ่ง กลไกป้องกันตัวที่เขามีต่อโจวมู่ไม่รู้ว่าพังทลายลงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่ในตอนแรกเริ่มโจวมู่แค่ขยับเข้ามาใกล้หน่อยเดียว สวี่จือก็จะตะโกนสุดเสียงให้อีกฝ่ายหยุดอยู่ที่เดิม

เขานึกถึงตอนที่โจวมู่จูบเขาเมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง มีครั้งหนึ่งที่ทั้งสองนอนตะแคงอยู่บนเตียง โจวมู่บิดคางของเขาให้เขาหันกลับมา ก่อนจะเล็มเลียและกัดเขา จูบพลางบังคับให้เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ท่าทางคลั่งไคล้ราวกับห่างจากสวี่จือไม่ได้จริงๆ

สวี่จือครุ่นคิด แลบลิ้นเลียริมฝีปากล่างโดยไม่รู้ตัว

เขาได้ยินโจวมู่หายใจสะดุดไปจังหวะหนึ่งอยู่ด้านหลัง ก่อนที่เขาจะถูกโจวมู่คว้าไหล่หมุนเปลี่ยนทิศทาง และมายืนประจันหน้ากับอีกฝ่าย

เขาเห็นลูกกระเดือกของโจวมู่ขยับ จากนั้นอีกฝ่ายก็ก้มลงมาจูบย้ำเขาซ้ำๆ

เป็นจูบอันชื้นแฉะที่ยาวนาน สวี่จือถึงขั้นได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลาย รวมถึงเสียงครางเบาๆ ที่กลั้นไว้ไม่ไหวของโจวมู่

สวี่จือคิดว่าหากโจวมู่อยากจะร่วมรักกับเขามากจริงๆ เขาจะพิจารณาสักหน่อยก็ได้

โจวมู่ถอยห่างออกไปเล็กน้อยแล้วถามสวี่จือ “งั้นตอนนี้จะกินข้าวไหม”

สวี่จือกะพริบตา เบือนหน้าหนีไม่มองอีกฝ่าย “ไปจัดสิ”

โจวมู่ฝีมือดีมาก ไข่ที่เขาทอดสุกทั่วทั้งหมดแต่ไม่แห้งแข็ง เป็นรสสัมผัสที่สวี่จือชอบ และโจ๊กข้าวโอ๊ตนมสดก็รสชาติดีกว่าของร้านด้านล่างตึกเสียอีก

สวี่จือพอใจในจุดนี้มาก

“โจ๊กอร่อยมาก” เมื่อสวี่จือมีความสุขก็ยอมชื่นชมโจวมู่ เขาละเลียดกินโจ๊ก “ไข่ก็ดี”

สวี่จือพูดขึ้นมาแล้วนึกถึงท่าทีที่เถ้าแก่ร้านโจ๊กไม่ค่อยสนใจเขา แอบโมโหอยู่สองสามวินาทีก็กล่าวเสริม “ต่อไปไม่ไปซื้อที่นั่นแล้ว นายทำก็แล้วกัน”

โจวมู่ไม่ได้ภูมิใจเพราะคำชมของสวี่จือ เขาเหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ก้มหน้ากินโจ๊ก ตอบรับคำหนึ่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ทั้งสองกำลังกินโจ๊กกันอยู่ ทันใดนั้นโทรศัพท์ของสวี่จือก็ดังขึ้น…เป็นเวินซูเหยา

“ซูเหยา” ในปากสวี่จือยังอมโจ๊กไว้อยู่ เขากดเปิดลำโพงแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ “ว่าไง”

“เสี่ยวจือ” น้ำเสียงของเวินซูเหยาฟังดูไม่ค่อยดี “ฉันได้บอกให้นายมาโรงพยาบาลวันนี้หรือเปล่า”

ตอนพาโจวมู่ไปตรวจที่โรงพยาบาลวันนั้น เวินซูเหยาก็บอกว่าอีกสองวันจะหาเวลาช่วงบ่ายให้สวี่จือ ให้สวี่จือมารับคำปรึกษาด้านจิตวิทยาที่โรงพยาบาลอย่างจริงจัง

ตอนนั้นสวี่จือไม่อยากให้ตัวตนของโจวมู่ถูกเปิดเผย จึงตอบตกลงไปส่งๆ จากนั้นก็พาโจวมู่เผ่นหนีออกมา

“ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ไปสักหน่อย” สวี่จือเถียงข้างๆ คูๆ อย่างร้อนตัว

“ใกล้จะบ่ายสองแล้ว นายจะมาเมื่อไหร่” เวินซูเหยารูปร่างหน้าตามีเสน่ห์และบุคลิกสง่า แต่เวลาพูดจากลับเย็นชาสุดๆ

ข้อแรกสวี่จือยังอยากสู้เพื่อตัวเองสักตั้ง ข้อสองเขาไม่อยากให้เวินซูเหยาไม่พอใจ จึงเริ่มเล่นลิ้น “งั้นนายให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยากับฉันฟรีไหมล่ะ”

เวินซูเหยาแค่นเสียงเย็นอยู่ปลายสาย เอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “ฉันว่านายนี่ใจป้ำทีเดียวนะที่ออกเงินค่าตรวจให้คนรักน่ะ”

สวี่จือเงยหน้าโดยอัตโนมัติ โจวมู่กำลังมองเขาด้วยสีหน้าล้อเลียน

เขาพูดอย่างเก้อเขินว่าจะไปเดี๋ยวนี้แล้ววางสาย ก่อนแสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตากินโจ๊กต่อ

“นายบอกหมอเวินว่าเรามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน” โจวมู่เองก็ไม่กินแล้ว ถามสวี่จือพลางยิ้มร้าย

“เขาทึกทักเอาเอง” สวี่จือยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตนเองเสียงดัง พยายามปัดความเกี่ยวข้องกับคำพูดแบบนี้ “อีกอย่างฉันจ่ายเงินให้นาย ต่อไปนายก็ต้องคืนฉันด้วย!”

“ฉันไม่มีเงินหรอก” โจวมู่พิงพนักเก้าอี้ทางด้านหลัง เอ่ยคำพูดที่เคยพูดกับเวินซูเหยาที่โรงพยาบาลซ้ำอีกครั้งอย่างหน้าซื่อตาใส “แม้แต่กางเกงชั้นในฉันยังใส่ของนายเลย”

สวี่จือลุกพรวด ตะโกนเสียงดังอย่างหน้าแดงหูแดง “งั้นก็ไปหาเงินซะสิ! ไปทำงาน! ขาดไปแม้แต่เฟิน* เดียวก็ไม่ได้!”

“ฉันไม่มีบัตรประชาชน” โจวมู่หลุบตาลงมองสวี่จือ “ออกไปก็อาจจะถูกจับ นายต้องรับผิดชอบฉันนะ”

เป็นครั้งแรกที่สวี่จือรู้สึกว่ามีสถานการณ์ที่ทำให้เขาจนคำพูดจริงๆ ได้แต่อ้าปากพะงาบไม่พูดจาอีก

“ไม่งั้นก็เอาอย่างนี้สิ” โจวมู่เสนอวิธีแก้ไขปัญหา “ฉันทำงานให้นาย นายก็ให้เงินเดือนฉันเป็นไง”

สวี่จือที่หาทางลงได้แล้วจึงรีบลงทันที

เขาตั้งมาตรฐานเงินเดือนให้โจวมู่แล้ว กำหนดไว้ว่าในแต่ละครั้งที่ปรนนิบัติเขา โจวมู่จะได้ค่าตอบแทนหนึ่งร้อยหยวน ตัดเศษออกไป โจวมู่จำเป็นต้องปรนนิบัติเขาห้าร้อยยี่สิบหกครั้ง

“ฉันแพงขนาดนี้เลยเหรอ” โจวมู่ลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างๆ สวี่จือ เลิกคิ้วถาม

สวี่จือก้มหน้าไม่ตอบ

โจวมู่ถามอีกครั้ง “งั้นการจูบนับว่าอยู่ในขอบเขตที่โจวมู่ปรนนิบัติสวี่จือแล้วได้รับค่าตอบแทนหรือเปล่า”

เสียงของโจวมู่แผ่วเบา ฟังแล้วเหมือนกำลังมอมเมาสวี่จือ

สวี่จือนึกถึงตอนที่เขายังเด็กมาก ในห้องเรียนมีเด็กผู้หญิงพกหนังสือนิทานมาด้วย ในหนังสือมีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง

กล่าวว่าปีศาจที่อาศัยอยู่ในป่าลึกจะร้องเพลงอันไพเราะ กล่าววาจาเสนาะหู เพื่อล่อลวงเด็กสาวที่หลงทาง ทำให้เด็กสาวยินยอมพร้อมใจอยู่เป็นเพื่อนเขา

สวี่จือจำตอนสุดท้ายของเรื่องราวไม่ได้แล้ว แต่คร่าวๆ คือพระราชาช่วยเหลือเด็กสาวหลงทาง

แต่สวี่จือไม่ใช่เด็กสาวที่ไร้เดียงสาอะไรนั่น และก็ไม่มีพระราชาที่จะมาช่วยเขาได้ ดังนั้นเขาจึงตกหลุมพรางเข้าแล้ว

สวี่จือเงยหน้ามองโจวมู่ พูดกับเขาว่า “งั้นนับก็แล้วกัน”

“คิดยังไงล่ะครับ” โจวมู่เข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว

สวี่จือไม่ได้ต่อต้าน ถามออกไปอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ “นายอยากคิดยังไงล่ะ”

“งั้นหนึ่งหยวนก็แล้วกัน” โจวมู่ก้มลงมาจรดกับปลายจมูกของสวี่จือ ระหว่างที่พูดริมฝีปากของทั้งสองก็แตะกันเป็นพักๆ

โจวมู่เอ่ย “สวี่จือ สำหรับนาย ฉันคิดไม่แพงหรอก”

พูดจบก็ประกบจูบสวี่จือ

สวี่จือผลักไหล่โจวมู่อย่างไร้เรี่ยวแรง คิดอย่างเหม่อลอยว่าโจวมู่ดูเหมือนไม่ได้พูดอะไรที่เสนาะหูนัก เป็นสวี่จือที่หลงเดินเข้าไปหาอันตรายเองแท้ๆ

โจวมู่ยังคงจูบเขาอย่างอ่อนโยน เขาคำนวณง่ายๆ ครู่หนึ่ง ตามเกณฑ์การคิดค่าใช้จ่ายนี้โจวมู่ยังต้องคืนหนี้รวมทั้งสิ้นห้าหมื่นสองพันหกร้อยครั้ง

ก็ไม่ได้มากเท่าไหร่

วันนี้ก่อนสวี่จือออกจากบ้าน โจวมู่ก็คืนไปแล้วรวมสามหยวน

* หม้อเคลือบเอนนาเมล เป็นหม้อที่เคลือบผิวด้วยสารเอนนาเมลซึ่งเป็นแก้วชนิดหนึ่ง ทำให้มีคุณสมบัติเรียบลื่น ไม่ทำปฏิกิริยากับอาหาร และทนความร้อนได้ดี ทำความสะอาดง่าย

* เฟิน เป็นหน่วยเงินตราที่เล็กที่สุดของจีน โดย 10 เฟิน เท่ากับ 1 เหมา

บทที่ 12

14 กรกฎาคม น้ำเสียงเน้นหนัก

 

สวี่จือเสียเวลาไปเพราะเก็บหนี้กับโจวมู่ อีกทั้งตอนเรียกแท็กซี่ก็ยังเจอรถติด ดังนั้นกว่าจะมาถึงโรงพยาบาลของเวินซูเหยาเวลาก็ผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว เวินซูเหยารอจนหน้าดำคร่ำเครียด

สวี่จืออธิบายกับเขาว่า “ซูเหยา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไม่มานะ”

“รู้น่ะ” เวินซูเหยาพยักหน้า จ้องริมฝีปากที่แดงชุ่มของเขา ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด “คนรักอยู่ในอ้อมอก ปลีกตัวไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา”

สวี่จือเห็นเขาไม่ได้โกรธจริงๆ ก็เริ่มแหย่ไม่เข้าท่า “เวลานายกับสุดหล่อของนายเมกเลิฟในเวลางาน ฉันก็ไม่เคยกวนนาย”

เวินซูเหยาถูกเขาจี้จุดจนไปไม่เป็น จึงหันหน้าหนีโดยไม่พูดไม่จา

สวี่จือเม้มปากยิ้ม นึกถึงจูบตอนก่อนออกจากบ้านพวกนั้นอีกครั้ง แล้วเกิดจิตใจฟุ้งซ่านขึ้นมา

เวินซูเหยาถอนหายใจหนักๆ กล่าวด้วยความผิดหวัง “นายเองก็ได้แค่นี้แหละ”

ทั้งสองคนไปที่ห้องทำงานของเวินซูเหยา อีกฝ่ายเดินไปปิดม่านผ้าโปร่งที่ข้างหน้าต่างก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะรินน้ำแก้วหนึ่งให้สวี่จือและให้เขานั่ง

สวี่จือรับน้ำมา เดินไปนั่งริมโซฟาที่อยู่ชิดผนัง รอการซักถามตามปกติจากเวินซูเหยา

เวินซูเหยาเดินไปนั่งลงตรงข้ามเขา เฝ้าสังเกตอาการของสวี่จืออย่างละเอียด ตั้งแต่สีหน้าไปจนถึงอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ไม่ตกหล่นแม้แต่อย่างเดียว

สวี่จือถนัดในการจับสังเกตคนอื่น แต่ไม่ชินกับการถูกคนอื่นจับสังเกต แม้เวินซูเหยาจะวินิจฉัยเขาอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เขายังคงมีความรู้สึกตึงเครียดแบบเวลาที่ผู้ป่วยต้องเผชิญหน้ากับหมอ

“เสี่ยวจือ” เวินซูเหยาเอ่ยปากช้าๆ “ผ่อนคลาย”

สวี่จือสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง ค่อยๆ ผ่อนคลาย แต่ก็ได้ผลเพียงน้อยนิด

เวินซูเหยาถอดเสื้อกาวน์ที่แสดงฐานะของแพทย์ออก นั่งพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย แล้วถามสวี่จือว่า “เมื่อคืนเล่นกันหนักเกิน?”

สวี่จือถือแก้วน้ำหมุนไปมา ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แม้ว่าเมื่อคืนจะไม่ได้ทำอะไร แต่การจูบก็กระทบต่อการนอนหลับ ถือว่าเกินไปหน่อยจริงๆ จึงยอมรับตามตรง

เวินซูเหยาเองก็ไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจ เขาพยักหน้าและถามต่อว่า “กินยาที่ฉันจ่ายให้นายแล้วหรือยัง”

“กินแล้ว” สวี่จือบอก

“แต่ผลข้างเคียงชัดมาก” สวี่จือกล่าวต่อ “เวียนหัว คิดช้า เซื่องซึม”

เวินซูเหยาอธิบายให้เขาฟังอย่างชำนาญ “ส่วนประกอบบางอย่างที่อยู่ในยาจิตเวชจะมีผลอย่างนี้จริงๆ” กล่าวจบก็เน้นย้ำกับสวี่จือว่า “แต่นายจะหยุดยาเองไม่ได้”

สวี่จือไม่พูดไม่จา เวินซูเหยาบอกอีกครั้ง “กระบวนการรักษาจะต้องครบถ้วน…”

สวี่จือต่อบทสนทนาเขา “…หลังจากผลการรักษาทางคลินิกชัดเจนแล้ว ระยะรักษาเสริมความคงที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงหกเดือน ในขั้นตอนการรักษาเสริมความคงที่และประคับประคอง การใช้จิตบำบัดร่วมด้วยก็จำเป็นเหมือนกัน”

คำพูดนี้เวินซูเหยาพูดมาตลอดตั้งแต่ที่สวี่จือมารับคำปรึกษาด้านจิตวิทยากับเขาครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนจนสวี่จือท่องจำได้แล้ว

เวินซูเหยา “…”

เวินซูเหยา “ในเมื่อนายรู้ ก็อย่าทำให้เป็นห่วง”

“อืม” สวี่จือพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ฉันรู้แล้ว”

“โจวมู่ไม่ได้มากับนาย?” เวินซูเหยาถามผ่านๆ

เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวตนของโจวมู่ถูกเปิดเผย สวี่จือจึงไม่ได้พาโจวมู่มาด้วย แต่ให้รออยู่ที่บ้านคนเดียว

สวี่จือเงยหน้ามองเวินซูเหยา ไม่ได้สัมผัสถึงท่าทีสืบเสาะอะไรบนใบหน้าเขา จึงพยักหน้า

ดูท่าทางเวินซูเหยายังคิดจะถามต่อ สวี่จือจึงพูดอย่างต่อต้านเล็กน้อย “ไม่ต้องพูดถึงเขาแล้ว ซูเหยา”

เวินซูเหยานิ่งงันไปและไม่ได้พูดถึงอีก จากนั้นก็คุยเรื่องอื่นกับเขาต่อ

ท่าทีบนใบหน้าของสวี่จือดูเหมือนกำลังตั้งใจฟัง แต่ในความเป็นจริงความคิดหลุดลอยไปนานแล้ว

เขาไม่ได้ซื้อโทรศัพท์ให้โจวมู่ ตอนนี้จึงไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้

เขาอยากรู้มากว่าเวลาที่เขาไม่อยู่โจวมู่กำลังทำอะไรอยู่ที่บ้าน ถึงอย่างไรโจวมู่ก็เป็นบุคคลอันตราย มีความเป็นไปได้สูงว่าจะก่อความเสียหายต่อบ้านและทรัพย์สินของเขา

ดังนั้นขณะที่เวินซูเหยาพูดโน้มน้าวปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี สวี่จือจึงแอบกดสั่งซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง และระบุหมายเหตุเป็นคำพูดที่ต้องการให้พนักงานส่งของบอกต่อโจวมู่

เวินซูเหยาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางใจลอยของเขา ยังคงให้คำแนะนำทางจิตวิทยากับเขาโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น

จนกระทั่งท้ายที่สุดเวินซูเหยาพูดจนเหนื่อยแล้ว สวี่จือก็ยังไม่หลุดจากท่าทีรอสายโทรศัพท์

ราวๆ ยี่สิบนาทีหลังจากนั้น จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของสวี่จือก็สั่นครืด

เบอร์โทรศัพท์เป็นซิมการ์ดสำรองสักอันหนึ่งที่เขาเอาไว้ที่บ้าน

สวี่จือดีใจขึ้นมาทันที แต่ไม่อยากแสดงออกชัดเจนต่อหน้าเวินซูเหยา จึงแสร้งทำเป็นว่ามีธุระสำคัญ ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วรีบเดินไปที่ทางเดินของอาคาร

เมื่อรับสาย เสียงของโจวมู่ก็ดังผ่านลำโพงออกมา

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาโทรคุยกัน สวี่จือรู้สึกแปลกใหม่มากและค่อนข้างตื่นเต้น

“สวี่จือ” โจวมู่เรียกอยู่ในโทรศัพท์เสียงค่อย

“อืม” สวี่จือตอบรับอย่างเย็นชา ถามโจวมู่ว่า “โทรมาทำไม”

น้ำเสียงเหมือนกับว่าเขาไม่รู้เลยว่าใครอยากคุยโทรศัพท์กับโจวมู่ และใครซื้อโทรศัพท์มือถือให้โจวมู่แล้วให้คนไปส่งถึงบ้านทันที

โจวมู่ไม่ได้เปิดโปงเขา ถามด้วยรอยยิ้มอยู่ในสายว่า “นายจะกลับบ้านเมื่อไหร่”

หัวใจของสวี่จือเต้นแรงเพราะคำพูดธรรมดาๆ ประโยคนี้ จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปราวกับลูกโป่งอัดแก๊สที่หลุดจากพันธนาการ

“ทำไม” สวี่จือยังคงแสดงท่าทีไม่สะทกสะท้าน

“หิวแล้วครับ” โจวมู่พูดอยู่ในสาย “อยากรอนายกลับมาพาฉันไปซื้อข้าว ฉันไม่มีเงิน”

มือของสวี่จือที่ถือโทรศัพท์มือถือกำแน่นขึ้น พึมพำเสียงเบามาก “ห่างจากฉันไม่ได้ขนาดนี้เชียว?”

คำพูดประโยคนี้หากนิยามตามระดับความดังของเสียงนั้นน่าจะเป็นการพูดกับตัวเองมากกว่า แต่โจวมู่ได้ยินแล้ว

โจวมู่ยอมรับ “ใช่ ห่างจากนายไม่ได้”

สุดท้ายสวี่จือก็วางสายอย่างรวดเร็ว ก่อนเดินกลับไปยังห้องทำงานของเวินซูเหยาแล้วบอกกับอีกฝ่ายว่า “ฉันจะกลับบ้านแล้ว”

เวินซูเหยาไม่แปลกใจเลยสักนิด ถามสวี่จือว่า “โจวมู่?”

“อืม” สวี่จือพยักหน้า น้ำเสียงอิ่มเอมใจอยู่บ้าง “ในสายเขาเร่งฉันกลับบ้านตลอด”

พูดจบก็มองเวินซูเหยาด้วยสีหน้าโอ้อวด

ในคำพูดประโยคนี้สวี่จือใช้น้ำเสียงเน้นหนักสองจุด ใส่ไว้ตรง ‘เร่ง’ คำหนึ่ง และอีกคำหนึ่งใส่ไว้ตรง ‘บ้าน’ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ แต่เขาหวังว่าเวินซูเหยาจะจับได้

เวินซูเหยาถอนหายใจ พูดอย่างไว้หน้าว่า “รู้แล้วว่าโจวมู่เร่งนายกลับบ้าน”

เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงเน้นหนัก สวี่จือมองเขาอย่างไม่พอใจ

เวินซูเหยาสบตาเขาไม่กี่วินาทีก็ชิงยอมแพ้ พูดประโยคนี้ใหม่ ใช้น้ำเสียงเน้นหนักที่สองคำนั้นเหมือนกับสวี่จือ

สวี่จือพยักหน้าอย่างพอใจ

“ติดหนึบกันจริงๆ” เวินซูเหยาอับจนคำพูดสุดๆ แล้ว อดพูดแขวะไม่ได้

สวี่จือไม่เพียงแค่ไม่โกรธ แต่ยังเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเวินซูเหยาด้วย สีหน้าดูกลัดกลุ้มใจ “อืม เขาติดคน”

พูดจบก็เดินออกไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์เลยสักนิด “งั้นฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะ”

เวินซูเหยามองเขากำลังจะเดินออกไป ทันใดนั้นก็เอ่ยปากเรียกเขาไว้ “เสี่ยวจือ”

สวี่จือหมุนตัวกลับมาเล็กน้อย ถามว่ามีอะไร

“ไม่มีอะไร” เวินซูเหยามองเขาสองสามวินาทีแล้วยิ้ม “มีปัญหาก็มาหาฉันได้ตลอด”

สวี่จือขมวดคิ้ว ก่อนจะโบกมือไปมาเป็นเชิงว่ารู้แล้ว

เขาคิดในใจ ตอนนี้ไม่มีเวลาจะทำกิจกรรมปรึกษาด้านจิตวิทยาอันไร้ความหมายกับเวินซูเหยาแล้ว ถึงอย่างไรที่บ้านก็ยังมีคนที่อยู่ห่างจากเขาไม่ได้คนหนึ่ง โจวมู่ที่ติดคนกำลังรอเขาอยู่

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: