ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
ลู่เหยียนเหยียบเนินที่ก่อตัวขึ้นมาจากก้อนหินระเกะระกะตรงปากซอยแล้วย่อตัวลง มองแผ่นกระดาษกับใบปลิวที่ติดเต็มประตูร้านอยู่ห่างๆ
ด้านบนติดคำว่า ‘ลายสัก’ แบบส่งๆ ตัวอักษรโย้เย้ ตรงคำว่าลายสักนี้ยังมีคำโฆษณาสั้นกระชับอีกสองสามประโยคว่า ‘ลดราคา หัวละ 40% สองหัวลด 50%’
ไม่มีบริการพิเศษ
บรรทัดที่มีตัวอักษรขนาดใหญ่สุดเขียนว่า ‘ยินดีต้อนรับขาไพ่มาเรียนรู้ทักษะการเล่นไพ่กัน’
เขาไม่สนใจว่าที่นี่จริงๆ แล้วจะเป็นบ่อนไพ่หรือร้านตัดผม แต่สรุปได้ว่าราคาสระไดร์ของที่นี่ลดสี่สิบเปอร์เซ็นต์อย่างที่หลี่เจิ้นบอก แต่มีข้อแม้ว่าราคาลดนี้ห้ามทำเกินสามคน
พอหาร้านตัดผมเจอ หลี่เจิ้นก็ส่งข้อความมาให้เขาไม่ต่ำกว่าสิบข้อความ
[หลี่เจิ้น] คุณพี่เหยียนครับ หาร้านเจอหรือยัง
[หลี่เจิ้น] ฉันแชร์โลเกชั่นของร้านไว้ในกรุ๊ปแล้วนะ ถ้าหาไม่เจอก็ไปดูได้
[หลี่เจิ้น] อย่าไปเชื่อเซ้นส์เรื่องทิศทางพิสดารของนาย รวมไปถึงสัมผัสที่หกล่ะ
[หลี่เจิ้น] ถึงหรือยัง
[หลี่เจิ้น] ถึงยัง
ลู่เหยียนดีดเถ้าบุหรี่แล้วตอบกลับหนึ่งบรรทัด
[ลู่เหยียน] ถึงแล้ว เพี้ยนเอาเรื่อง
ไม่ใช่แค่เพี้ยนอย่างเดียว แต่แผนการนี้มันชวนให้รู้สึกไม่มั่นใจเอามากๆ เพราะก้อนหินไม่รู้ที่มาซึ่งเขากำลังเหยียบอยู่ตอนนี้กองนี้อาจจะเป็นขยะที่เหลือจากงานก่อสร้างที่ไหนสักแห่ง
มองจากไกลๆ เหมือนละแวกนี้จะมีปล่องไฟโรงงานที่กำลังพ่นควันออกมาหลายสาย
ควันพิษลอยออกมาไม่หยุด ทำเอาท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาทะมึนไปครึ่งผืน
ลู่เหยียนเอาบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งตัวมาคาบไว้ในปากแล้วอัดควันหนึ่งครั้ง ในสมองมีคำพูดของเจ้าของผับดังวนเวียนอยู่ ‘ฉันมีคำขอกับข้อเสนอแนะเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการแสดงของพวกนายครั้งนี้…’
คำขอเล็กๆ
ข้อเสนอแนะ
เขามีความรู้สึกว่าพอตัวเองมานั่งยองๆ อยู่ที่นี่แล้ว มันทำเอาแทบลุกไม่ขึ้นจริงๆ
ลู่เหยียนนั่งยองอยู่ครู่หนึ่งก่อนทิ้งบุหรี่ลงพื้น ใช้ปลายเท้าขยี้ดับก้นบุหรี่ แล้วเดินลงจากกองหินไป
ร้านตัดผมเบื้องหน้ามีขนาดเล็กอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยมีเนื้อที่แค่ครึ่งเดียวของหน้าร้าน ส่วนอีกครึ่งฝืนใช้ไม้กระดานกั้นไว้ โต๊ะที่ใช้เล่นไพ่ยังกว้างกว่าพื้นที่สำหรับตัดผมเสียอีก
ตอนลู่เหยียนก้มหน้าเดินเข้าไป คนที่โต๊ะข้างในกำลังพูดเกทับกัน “สองรอบ”
“สามเอาหนึ่ง”
“แม่มันสิ จ๊าก!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาด้านใน “ช่างครับ ทำผม”
ดูท่าคนกลุ่มนี้จะเคยเจอเรื่องที่ทำให้ต้องแยกวงอย่างกะทันหันกันมาไม่น้อยแล้ว เพียงไม่ถึงสามนาทีก็เผ่นหนีกันชนิดไม่เห็นเงา
เหลือแค่พี่ชายเจ้าของร้านที่ย้อมผมทอง บนลอนยุ่งๆ ยังมีโรลพลาสติกสองอันม้วนติดอยู่
“คุณมาได้จังหวะพอดีเลย ขืนเล่นต่อได้แพ้แน่” เจ้าของร้านเก็บไพ่ขึ้น แล้วยืนพิงผนัง พูดภาษาถิ่นเสียงเข้มว่า “ช่วงนี้มือตกฉิบหาย…”
เจ้าของร้านพูดพลางแอบมองไปทางประตูแวบหนึ่งเพื่อพิจารณารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายตามความเคยชินของอาชีพ
ภาพลักษณ์แรกคือความร้าย
บอกไม่ถูกว่าร้ายตรงไหน แต่ทั่วทั้งตัวมีกลิ่นอายความร้ายกระจายออกมา
คนที่เข้ามาทางประตูสวมเสื้อยืดสกรีนลายภาษาอังกฤษ ตรงหางคิ้วที่ตวัดเฉียงขึ้นมีหมุดคิ้วสองตัว ลักษณะไม่เหมือนคนทั่วไป ถึงบนหูจะไม่มีอะไร แต่ก็เห็นรูเจาะเป็นแถวถี่ยิบ ซึ่งอยู่ตามแนวกระดูกหูถึงเจ็ดแปดรู
ขายาวตรง ผมยาวมาก
เนื่องจากเขายืนย้อนแสงจึงทำให้มองเห็นหน้าไม่ค่อยชัด ข้างหลังสะพายกระเป๋ากีตาร์ทรงยาวสีดำ
ลู่เหยียนวางกระเป๋ากีตาร์ลง ประโยคแรกที่พูดดูไม่เข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกของเขาอย่างยิ่ง ชายหนุ่มต่อราคาเอาดื้อๆ ว่า “ไม่เป็นไร แค่คิดราคาให้ผมถูกหน่อยก็พอ”
เจ้าของร้านเป็นคนร่าเริงดีเหมือนกัน “ได้สิ อยากทำทรงอะไร”
“เดี๋ยวนะ ขอผมหารูปก่อน” ลู่เหยียนก้มหน้าสไลด์หาข้อความในแชต ปัดขึ้นไปหลายอัน “ทรงตามนี้”
“นี่ผมไม่ได้โม้นะ แต่ไม่มีทางหาช่างฝีมือดีในละแวกนี้ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะทรงอะไรผมก็ทำให้คุณได้แบบเป๊ะๆ เลย”
เจ้าของร้านยอตัวเองจนติดลมมากขึ้นเรื่อยๆ “ขอผมดูหน่อย รับประกันว่าตัดออกมาเหมือนเด๊ะ…”
พอเขาพูดมาถึงตรงนี้ ลู่เหยียนก็ค้นรูปออกมาได้พอดี
เสียงของเจ้าของร้านหายไปทันควัน
ผมทรงนั้นกระแทกสายตาอย่างรุนแรง
ทั้งแดง ทั้งม่วง ไล่เลเยอร์หลายชั้น มีหน้าม้าปิดตา ทั้งที่ผมครึ่งหัวยังตั้งเด่อย่างบ้าคลั่งเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่บนหัว เส้นผมที่ดูพิลึกกึกกือทุกเส้นล้วนแสดงให้เห็นถึงออร่าของนายแบบในรูป…แนวพั้งก์ร็อก
ผมทรงนี้ของลู่เหยียนใช้เวลาทำกว่าสี่ชั่วโมง กว่าจะเดินออกจากร้าน ฟ้าก็มืดแล้ว
หมดสเปรย์จัดแต่งทรงผมไปสองกระป๋อง แถมยังต้องไดร์ผมจนปวดหัวอีก
ตอนนี้ในหัวเขามีเพลงหนึ่งดังวนไม่ยอมหยุด พั้งก์ พั้งก์ สระตัด สระตัด เป่าวู้ๆ
ลู่เหยียนได้กลิ่นแสบจมูกของน้ำยาย้อมผม เขาเปิดกล้องหน้ามือถือ อาศัยแสงจากบาร์เบอร์โพลสามสีเขากวาดตามองเร็วๆ แล้วอดสบถด่าคำหยาบเบาๆ หนึ่งประโยคไม่ได้
เมื่อภาพตัวอย่างกลายมาเป็นความจริง ผลงานที่อยู่บนหัวของเขาน่าตกใจกว่าที่จินตนาการเอาไว้เยอะ
นี่มันอะไร
นี่เขากำลังทำบ้าอะไร
การเดินบนถนนมันต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนบ้าที่โดดเด่นที่สุดบนถนนงั้นเหรอ
ลู่เหยียนจ้องมองตัวเองในกล้อง ก่อนจะกดปุ่มเปิดล็อกหน้าจอเพื่อปิดหน้าจอ
บาร์เบอร์โพลสามสีหมุนติ้ว
ข้างๆ นั้นมีลำโพงขนาดใหญ่ มีเสียงดังออกมาจากชิ้นส่วนเก่าๆ เป็นเสียงซ่าๆ ซึ่งเพลงที่เปิดนั้นเป็นเพลงเก่า [ขอโทษที่ฉันไม่ยอมเชื่อฟัง มีเสรี เป็นอิสระ]* ลำโพงขนาดใหญ่ร้องไปได้ครึ่งเพลง จอมือถือที่เพิ่งจะดับลงไปก็พลันสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
[หลี่เจิ้น] ทำผมเสร็จแล้วหรือยัง
[หลี่เจิ้น] ทำจริงอะ?
[หลี่เจิ้น] ไหนตอนอยู่ต่อหน้าพี่เฉียนบอกว่าต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ยอมทำ ใครจะไปหาวงใหม่ก็เอาเลย ไม่ว่ายังไงเหล่าจือ** ก็ไม่ยอมทำไม่ใช่เหรอ
[หลี่เจิ้น] นายนี่มันยืดได้หดได้จริงๆ
[หลี่เจิ้น] ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน คืนนี้ที่ผับไม่มีงาน พี่เฉียนให้ฉันบอกนายว่าให้เลื่อนการแสดงไปเป็นคืนพรุ่งนี้ นายก็เก็บทรงผมตอนนี้ไว้ให้ดีๆ ล่ะ
[หลี่เจิ้น] หรือไม่นายหามุมดีๆ เซลฟี่มาให้พวกพี่ๆ ดูสักรูปได้ปะ
ลู่เหยียนขี้เกียจพิมพ์เลยส่งข้อความเสียงไปหนึ่งข้อความ รู้สึกโกรธจนขำ “ฉันยังต้องเก็บทรงผมไว้?”
พอพูดจบ เขาก็ปล่อยมือ
หลังคิดทบทวนแล้ว ลู่เหยียนก็กดปุ่มข้อความเสียงอีกครั้ง
“ถ่ายบ้าอะไร” ลู่เหยียนบอก “ตอนนี้เหล่าจืออารมณ์ไม่ดีเบอร์สุด”
หลายปีมานี้เขาตั้งวงดนตรีขึ้นมาหนึ่งวง งานหลักคือการเล่นประจำที่ผับ
วันนั้นตอนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ในผับ เขาบอกปัดซุนเฉียนไปอย่างสิ้นเยื่อขาดใยจริงๆ
เรื่องแบบนี้ใครทำคนนั้นบ้า
แต่บางครั้งคนเราก็จำเป็นต้องยอมก้มศีรษะเพื่อความอยู่รอด
ลู่เหยียนยัดมือถือใส่กระเป๋า เดินออกไปสองก้าว ลำโพงก็ส่งเสียงมาอีกว่า [วิ่งไล่ตามท่ามกลางสายลม…ท่ามกลางสายหมอก มองไม่เห็นเงา…]
ลู่เหยียนฟังเพลงแล้วนึกย้อนไปถึงสายตาของเจ้าของร้านทำผมตอนที่เขาเดินออกจากร้าน สายตานั้นบอกชัดว่าหน้าก็ตาดี ทำไมถึงมีรสนิยมแปลกๆ
พื้นที่บริเวณนี้อยู่ใกล้กับที่อยู่ของเขามาก ใช้เวลาเดินแค่สิบกว่านาทีก็ถึง
เพราะอยู่ใกล้กัน สภาพแวดล้อมจึงไม่ต่างกันมากนักคือมีดัชนีชี้วัดความเจริญในระดับต่ำเตี้ยเหมือนกัน ทั้งแบบก่อสร้างที่ดูงงๆ รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยที่ไม่เอาอ่าว
ร้านที่เปิดอยู่ตามข้างทางก็เหมือนเปิดกันเล่นๆ
ร้านอาหารหลายร้านแทบจะเขียนว่าไม่ได้จดทะเบียนการค้า อาหารไม่ถูกสุขอนามัย ถ้าไม่กลัวเจอน้ำมันด้อยคุณภาพก็มาได้เลย
ส่วนร้านอินเตอร์เน็ตยิ่งแล้วใหญ่ เหลือแค่ยังไม่ได้แขวนป้ายบอกว่าตัวเองเป็นร้านอินเตอร์เน็ตเถื่อนก็เท่านั้น
แน่นอนว่าที่นี่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เนื่องจากปีที่แล้วมันเพิ่งได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่หลักในการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบซึ่งมีการถ่ายโอนและซื้อขายประจำปี 2018…กฎข้อแรกของการมีชีวิตรอดอยู่ในเมืองซย่าจิงคือถ้าเจอคนจากเขตซย่าเฉิงให้เดินอ้อมคนที่มาจากเขตนี้ไปได้เลย เนื่องจากแปดในสิบนั้นย่อมไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
คิดอะไรย่อมได้แบบนั้น
ลู่เหยียนเพิ่งจะเดินผ่านถนนสายอาหารมาถึงละแวกปากทางเข้าคอนโดฯ ก็เห็นว่าใต้แสงไฟริมทางห่างออกไปห้าเมตรมีคนสองคนนั่งอยู่
ท้องฟ้ามืดสนิท แสงไฟริมทางเลยทำให้เงาของทั้งคู่ดูยืดยาว
หนึ่งในนั้นตบไหล่อีกคน
“น้องชาย ฉันรู้ว่าการเลี้ยงลูกคนเดียวมันไม่ง่าย ฉันก็เลิกกับเมียและเอาลูกมาเลี้ยงเหมือนกัน มันเหนื่อยหน่อยแหละ แต่พวกเราเป็นผู้ชาย มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ทุกครั้งที่กลับถึงบ้านไปเห็นท่าทางตอนนอนของลูก ฉันก็รู้สึกได้ถึงคำคำหนึ่งก็คือคุ้มค่า! ไอ้ความเหนื่อยยากทั้งหลายนี่มันคุ้มค่าแล้ว…”
ชายอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ “พี่ครับ นั่นมันสองคำนะ”
“ช่างหัวมันเถอะว่าจะหนึ่งหรือสองคำ สรุปคือฉันเข้าใจนาย ฉันรู้ดีว่าตอนนี้นายรู้สึกยังไง ฉันเองก็เคยรู้สึกแย่อย่างนายเหมือนกัน”
คนพูดใส่ชุดคนงานก่อสร้างสีเทา ไม่รู้ว่านี่เป็นสีเดิมของชุดอยู่แล้ว หรือใส่นานจนกลายเป็นแบบนี้ เขามีรูปร่างหน้าตาธรรมดา บนหน้ามีรอยมีดลากยาวจากหางตาไปถึงหลังหู
ลู่เหยียนชะงักฝีเท้า
จากนั้นเขาก็เดินก้าวออกไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว แล้วไปนั่งยองๆ อยู่หลังชายทั้งสองคนอย่างเงียบๆ
ราวกับวิญญาณเกาะหลัง
ทั้งสองกำลังคุยกันแบบอินจัดจนไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใดๆ
คอยจนคนหน้าบากพูดจบ คนจิตตกก็พยักหน้าสุดชีวิตเหมือนได้เจอคนที่รู้ใจ เขาพูดเสียงสำเนียงต่างถิ่นว่า “ใช่ครับ มันแย่มากจริงๆ เขาบอกจะไปก็ไปเลย ไม่ได้สนใจความรู้สึกของผมเลยสักนิด ลูกเป็นของผมคนเดียวหรือไง!”
รอจนอีกฝ่ายตัดพ้อจบ คนหน้าบากก็หรี่ตาพลางเปลี่ยนเรื่องคุย “แต่ตอนนี้พี่ลุกขึ้นยืนหยัดได้แล้ว พี่จะเปิดใจพูดกับนายเลยแล้วกัน สิ่งสำคัญที่สุดของผู้ชายคือการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ตอนนี้ในมือพี่มีธุรกิจหนึ่งอยู่ นายแค่ต้องลงเงิน…”
นิ้วทั้งห้าของคนหน้าบากเพิ่งจะยื่นออกไป พลันข้างหลังก็มีแรงที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนดัดนิ้วทั้งห้าของเขาไปด้านหลังอย่างแรง!
“ใครวะ! ไอ้หมาตัวไหนวอนหาเรื่องตาย!” คนหน้าบากโวยวาย หันหลังไปมอง
นอกจากทรงผมที่เว่อร์วังแบบสุดขั้วแล้ว ใบหน้าที่อยู่ใต้เส้นผมไม่เป็นทรงซึ่งมีหลากหลายสีนั้นเขาคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้น…ดวงตาของชายหนุ่มเรียวยาว เปลือกตาเป็นร่องลึกหนึ่งเส้น หางตาเฉียงขึ้น ท่าทางดุดันเอาเรื่อง และให้ความรู้สึกเหมือนตัวร้ายแบบที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน สีหน้าตอนไม่พูดให้ความรู้สึกแบบ ‘เหล่าจือจะอัดแก’
“ลู่เหยียน?!”
“ผมเอง” ลู่เหยียนยิ้มทักเขา แต่มือกลับไม่ได้ผ่อนแรงลงเลยสักนิด “พี่เตา ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน แผลหายแล้วเหรอ ดูมีเรี่ยวมีแรงดีนะเนี่ย คราวก่อนหลอกคนซื้อลูกกลอนมังกรพยัคฆ์ คราวนี้เป็นเรื่องอะไรอีกล่ะ บอกผมหน่อยสิ ขอผมรวยด้วยคน”
พอบอกออกไปแบบนี้ ไหนเลยที่คนสำเนียงต่างถิ่นจะไม่รู้ว่าตัวเองเกือบตกหลุมพราง
ลู่เหยียนมองเขา “คุณไม่ใช่คนที่นี่ มาใหม่เหรอ”
“ผม…คือบ้านผมอยู่เมืองชิง ผมมาทำงานที่นี่…”
“เมืองชิงเป็นเมืองที่ดีนะ” ลู่เหยียนพูดแล้วนึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา เขาก้มหน้าควานหาในกระเป๋า พอช้อนสายตาขึ้นมาก็เห็นว่าคนคนนั้นยังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า “จะอึ้งทำอะไร หนีสิ”
คนคนนั้นถึงได้สติ ใช้ทั้งมือและขาลุกพรวด วิ่งหนีไปตามถนน
คนหน้าบากตาแดง “เฮ้ย! น้องชาย กลับมา…ไอ้ลู่เหยียน ปล่อยสิโว้ย!”
รอจนอีกคนหนีไปไกลแล้ว ลู่เหยียนถึงค่อยผ่อนแรงลง
คนหน้าบากถูกดัดนิ้วอย่างแรงจนขยับตัวไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง ลู่เหยียนตีมือเขาเหมือนไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้น ตีดังเพียะแล้วยัดบุหรี่ที่เพิ่งค้นออกมาได้ใส่มือคนหน้าบาก “พี่เตา บุหรี่สักตัวไหม”
คนหน้าบากด่าคำว่าแม่นายสิอย่างโขมงโฉงเฉงอยู่ในใจ
อยู่ดีๆ ก็มาดัดนิ้วชาวบ้าน
แถมดัดแล้วยังตีมือเขาก่อนสูบบุหรี่อีก นี่มันใช่เรื่องที่คนเขาทำกันงั้นเหรอ หน้ายังมียางอายอยู่หรือเปล่า
“ขวางเส้นทางทำมาหากินของคนอื่นเท่ากับฆ่าพ่อฆ่าแม่เขานะ ทำไมถึงไม่ไปร้องเพลงของตัวเองล่ะ ชอบมาระรานฉันอยู่นั่น ฉันบอกนายแล้วไงว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย”
คนหน้าบากโมโหจนเสียงเริ่มสั่น แต่เขายังคงรับบุหรี่มาคาบไว้ในปาก ก่อนจะลุกขึ้นจากบันไดข้างทางพลางนวดนิ้วขณะพูดพร้อมหมุนตัว ผลก็คือเห็นคนที่บนหน้าเขียนคำว่า ‘เหล่าจือจะอัดแก’ ที่ขวางเส้นทางทำมาหากินของเขาเดินหนีไปไกลสามสิบเมตรแล้ว
เมื่อเห็นแบบนั้น เสียงของคนหน้าบากเลยสั่นหนักขึ้น บุหรี่ที่คาบอยู่ในปากสั่นจนร่วง “หนีเหรอ! เก่งจริงก็อย่าหนีสิวะ!”
ลู่เหยียนแบกกระเป๋ากีตาร์ แสงจากไฟริมทางส่องศีรษะของเขา ดูราวกับเปลวไฟสีแดงม่วงที่ตั้งเป็นก้อนสูงร่วมยี่สิบเซนติเมตรท่ามกลางแสงจ้า เส้นผมทุกเส้นถูกส่องจนเป็นมันวับ
ชายหนุ่มชูมือขึ้น โบกมือหย็อยๆ กลางอากาศ มีเสียงลอยกลับมาว่า “ไปแล้วนะครับ พี่เตา วันนี้ผมมีธุระ ไว้คราวหน้าผมค่อยมาเคลียร์บัญชีเก่ากับพี่”
คนหน้าบากด่ากราด โยนบุหรี่ลงพื้นแล้วเหยียบซ้ำพร้อมทั้งไล่ตามไป
ทว่าขาทั้งสองข้างของเขานั้นก้าวไปสองก้าวก็ไม่แน่ว่าจะได้ระยะเท่ากับก้าวเดียวของคนคนนั้น เนื่องจากสมรรถภาพของทั้งสองคนแตกต่างกันมาก คนหน้าบากตามไปได้แค่ครึ่งทางก็ตามต่อไม่ไหว พอมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเขา คนหน้าบากเลยหยุด เท้าเอว แล้วพูดเสียงหอบ “เคลียร์บัญชีเก่าบ้าอะไร รีบไสหัวไปเลย!”
ลู่เหยียนถึงค่อยผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง เมื่อไปถึงสี่แยกก็เลี้ยวเข้าไปทางขวา
ข้างหน้านั้นห่างออกไปไม่ไกลคือย่านพักอาศัยหมายเลขเจ็ด หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าโซนเจ็ด
ชื่อนี้ตั้งกันแบบตามใจชอบ ชื่อของย่านพักอาศัยมักต้องตั้งตามลำดับก่อนหลัง แต่ตอนนี้มันเป็นย่านที่ต้องฝืนทนจำใจอยู่กัน…เนื่องจากเมืองซย่าจิงพัฒนาเป็นเมืองใหม่เกรดเอแล้ว เขตซย่าเฉิงที่ดูเป็นประชากรระดับล่างจึงเป็นอุปสรรคต่อการสร้างภาพลักษณ์ ทำให้เมื่อสองสามปีก่อนมีการออกนโยบายสนับสนุนให้ธุรกิจเอกชนกว้านซื้อที่ดินไปพัฒนา
โซนเจ็ดเลยถูกรื้อถอนออกไปพอสมควร รอบๆ มีแต่เศษซากปรักหักพัง หนองน้ำและเหล็กเส้นทับซ้อนจนกลายเป็น ‘เนินดินบนหลุมศพ’
พื้นที่เละเทะ รกร้างจนแทบราบเป็นหน้ากลองแบบนี้มีอาคารหนึ่งหลัง…ไม่สิ อาคารครึ่งหลังตั้งอยู่
ข้างตึกเขียนว่า ‘อาคารหมายเลขหก ยูนิตที่สาม’
บทที่ 2
ลู่เหยียนเดินขึ้นตึกไปได้ไม่นานก็มีคนมาเคาะประตูดังปึงๆ
“พี่เหยียน พี่เหยียนอยู่หรือเปล่า!”
“พี่!”
“พี่ สนใจผมหน่อย!”
ลู่เหยียนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า มืออยู่บนเข็มขัดหนัง ซิปกางเกงยีนรูดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว เขาจำต้องรูดกลับขึ้นมาอีกครั้ง “จางเสี่ยวฮุย มีธุระอะไร”
เด็กหนุ่มที่เอาแต่เคาะประตูอยู่ข้างนอกเมื่อเห็นประตูเปิดก็รีบดึงมือกลับแทบไม่ทัน
เขายังเด็กมาก อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี สวมรองเท้าแตะแบบคีบพังๆ คู่หนึ่ง ถึงกาวจะหลุด แต่เด็กหนุ่มยังใส่ได้สบายมาก เขาเกาศีรษะ ยื่นของในมือที่ซ้อนทับกันเป็นก้อนเต้าหู้ออกไป “คืองี้ครับ วันนี้ในตึกมีประชุม ป้าจางวานให้คนเอานี่กลับมาจากโรงพยาบาล เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากป้า แต่ตอนประชุมพี่ไม่อยู่ พรุ่งนี้คนของบริษัทรื้อถอนจะมาอีกรอบ…แม่เจ้า ผมของพี่!”
เขาพูดพลางชูนิ้วโป้ง “สุดปัง!”
จางเสี่ยวฮุยพูดไม่ผิด ถึงผมทรงนี้จะดูไม่เหมือนมนุษย์มนา และการที่ใครเอาไม้กวาดมาวางบนศีรษะแบบชี้ฟ้าคนคนนั้นต้องดูอุบาทว์แน่นอน แต่ลู่เหยียนกลับต่างออกไป
จางเสี่ยวฮุยยังจำตอนที่ตนเพิ่งย้ายเข้ามาในตึกนี้เมื่อสองปีก่อนได้ ตอนนั้นใกล้วันไหว้พระจันทร์ เด็กหนุ่มเลยเตรียมเอาขนมไหว้พระจันทร์หลายกล่องไปให้เพื่อนบ้าน ตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นบนสุด ตอนเคาะประตูห้องหกศูนย์สอง จางเสี่ยวฮุยได้พบลู่เหยียนครั้งแรก เขาถึงกับมึนงงไปเล็กน้อย ผมยาว เจาะคิ้ว ต่างหูเรียงแถว บนตัวมีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นหัวขบถอีกด้วย
ชายผมยาวหรี่ตามองจางเสี่ยวฮุยแล้วพ่นควันออกจากปากหนึ่งที ‘มาใหม่เหรอ’
ควันนั้นทำให้จางเสี่ยวฮุยลืมไปเลยว่าตัวเองมาทำอะไร
เวลานี้ผมยาวของชายคนนั้นเปลี่ยนเป็นไม้กวาดชี้ฟ้าหลากสีสวยงามไปแล้ว
จางเสี่ยวฮุย “พี่เหยียนครับ พี่เล่นแอพฯ Kuaishou* เหรอครับ”
ขมับของลู่เหยียนเด้งตัวตูมทันที
จางเสี่ยวฮุยรู้ดีว่าทุกคนต้องออกไปทำงานด้วยความยากลำบากเลยพูดให้กำลังใจ “ช่วงนี้กลุ่มจั้งอ้าย** กำลังดัง พี่มีทั้งฝีมือแถมหน้าตายังเด่นกว่าใคร ต้องดังใน Kuaishou แน่นอนครับ”
“เสี่ยวฮุย” ลู่เหยียนมองเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วกระดิกนิ้วเรียกเด็กหนุ่ม “มานี่หน่อยซิ”
จางเสี่ยวฮุยเริ่มสัมผัสได้ถึงอันตราย “ผม เอิ่ม อยู่ดีๆ ก็นึกได้ว่าตัวเองมีธุระ”
“นายมีสมองหรือเปล่า” ลู่เหยียนงอนิ้วดีดหน้าผากจางเสี่ยวฮุยโดยไม่ออมแรง “อย่างฉันเนี่ยนะจะเล่น Kuaishou?”
จางเสี่ยวฮุยกุมหัว “ไม่ครับ ไม่ๆๆ ผมผิดไปแล้วครับพี่เหยียน”
ลู่เหยียนทำท่าจะดีดอีก แต่พอเห็นจางเสี่ยวฮุยหลับตา เขาก็คลายมือแล้ววางบนไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ “เอาล่ะ ขอบใจที่วิ่งมา พรุ่งนี้ฉันน่าจะอยู่ ถ้าพวกเขากล้ามา…”
จางเสี่ยวฮุยเดาได้ว่าลู่เหยียนกำลังจะพูดอะไร ในสมองมีแปดประโยคผ่านเข้ามา แต่ผลคือเขาเดาไม่ถูก
ลู่เหยียน “…ฉันจะอัดพวกเขาเอง”
ความสัมพันธ์ภายในตึกนี้แปลกประหลาด ทุกคนต่างเป็นผู้เช่าที่จ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าหนึ่งปี แต่อยู่ดีๆ ย่านพักอาศัยนี้กลับถูกบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งซื้อไปเพื่อพัฒนาที่ดินโดยที่เจ้าของไม่บอกสักคำ แถมยังหอบเอาเงินค่าเช่ากับค่าชดเชยหนีไปด้วย
เดิมทีมีปัญหาแค่เรื่องการเช่า แต่การแสดงออกของคนที่ทางบริษัทใหญ่ส่งมาเจรจานั้นแย่มาก ทำให้คุยกันได้ไม่ถึงสองประโยคก็มีการลงไม้ลงมือ ฝ่ายนั้นผลักป้าจางที่อยู่ชั้นหนึ่งล้มจนต้องเข้าโรงพยาบาล
ความเกลียดชังจึงเริ่มขึ้นด้วยสาเหตุนี้
ถ้าอยากรู้นักว่าใครประมือด้วยยากกว่ากัน ก็เป็นคนที่เช่าห้องพักราคาถูกซึ่งอยู่มานานกลุ่มนี้ที่ไม่เคยสู้แล้วแพ้
การแสดงที่ถูกกำหนดไว้ในคืนนี้ถูกเลื่อนออกไปเป็นพรุ่งนี้ทำให้แผนกลับไปเก็บกระเป๋ากีตาร์เพื่อออกไปที่ผับของลู่เหยียนล่ม เขานอนบนเตียง หวังจะหลับสักงีบ แต่เพื่อไม่ให้โดนผม เขาจึงต้องรักษาระยะห่างจากพื้นเตียงด้วยการนอนขดตัวในลักษณะนี้ไปทั้งคืน
เช้าตรู่วันต่อมา
ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น หลังโซนเจ็ดถูกรื้อถอน ในละแวกใกล้เคียงจึงไม่มีร้านอาหาร ต่อให้เป็นตอนเช้า แผงขายอาหารเช้าก็ไม่มาเปิดร้านที่นี่ ทำให้ทั้งโซนเจ็ดดูเหมือนโซนร้าง
ลู่เหยียนนอนเร็วทำให้ตื่นเช้า ยังไม่ถึงหกโมงเขาก็ลุกขึ้นมาต้มบะหมี่ เขาเติมน้ำใส่กา และในระหว่างที่รอให้น้ำเดือด ชายหนุ่มก็นั่งเอาหลังพิงเตาตรงเคาน์เตอร์ ก่อนจะฉุกคิดท่วงทำนองหนึ่งขึ้นมาได้เลยเคาะนิ้วกับกระเบื้องเป็นพักๆ
ส่วนมืออีกข้างผลักเปิดหน้าต่างซึ่งอยู่ด้านข้าง
แม้สภาพแวดล้อมที่นี่จะไม่ดี โดยเฉพาะโซนของพวกเขา แต่ถ้ามองจากตำแหน่งของลู่เหยียนในเวลานี้จะเห็นพระอาทิตย์ลอยขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าได้ แสงสว่างอาบย้อมท้องฟ้าครึ่งหนึ่งให้เป็นสีแดงสว่างไสว
ลู่เหยียนมองมันอยู่พักหนึ่งแล้วจึงดึงสายตากลับมา ที่นี่ยังคงเป็นเขตซย่าเฉิง และเศษซากยังคงเป็นเศษซาก…ทว่าสายตาของเขากลับไปเห็นรถคันหนึ่งเข้า
หน้าซุ้มประตูโซนเจ็ดที่ถูกรื้อจนเละเทะมีรถสปอร์ตสีเทาเงินคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งส่วนท้ายรถถูกปรับแต่งให้ชวนตกตะลึง ดูแล้วราวกับจะเหาะขึ้นฟ้าได้
มันเป็นรถที่ไม่น่าจะมาโผล่อยู่ที่นี่ รถที่วิ่งกันอยู่บนถนนแถวนี้ถ้าไม่ใช่จักรยานไฟฟ้าก็เป็นรถมือสอง ทว่าตั้งแต่ไฟหน้ายันท้ายรถคันนี้ล้วนมีคำว่า ‘ผิดแผกแปลกแยก’ สี่คำฉายชัด
เมื่อวานจางเสี่ยวฮุยบอกว่าใครจะมานะ
…‘พรุ่งนี้คนของบริษัทรื้อถอนจะมาอีกรอบ’
มาซะเช้าเชียว ลู่เหยียนคิดในใจ
คนตึกนี้ออกไปแต่เช้าตรู่กลับมาก็ดึกดื่น ต่างคนต่างทำงาน มีกันทุกสายอาชีพ
แต่โดยรวมแล้วคนตึกนี้ทำงานไม่ต่างกันมากนัก
ลู่เหยียนมองรอบสุดท้าย เมื่อแน่ใจว่ามีรถมาจอดที่นี่แค่คันเดียว ข้างหลังไม่มีรถขุดขนาดใหญ่ตามมาอีก และดูไม่ใช่การข่มขวัญ เขาก็ฮัมเพลง แล้วเลื่อนสายตาไปมองไอร้อนที่ลอยออกจากหม้อ ขณะใช้ข้อนิ้วเคาะกระเบื้องเย็นเฉียบ
ลู่เหยียนงอนิ้วเคาะกระเบื้องอย่างได้อารมณ์ พอเริ่มคันมือนิดๆ ก็หยิบกีตาร์ที่แขวนอยู่บนผนังลงมา
ห้องที่เขาอยู่เป็นห้องเดี่ยวขนาดเล็ก พื้นที่ประมาณยี่สิบตารางเมตร เครื่องเรือนมีอยู่ไม่กี่ชิ้นซึ่งต่างมาอยู่รวมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
ส่วนใหญ่พื้นที่ภายในห้องขนาดไม่ถึงยี่สิบตารางเมตรนี้ใช้วางเครื่องดนตรี มีกีตาร์สองสามตัว กีตาร์ไฟฟ้าที่ไม่รู้ว่าไปควานหามาจากตลาดของมือสองที่ไหน กับแผ่นซีดีหลากหลายแบบ
ลู่เหยียนนักร้องนำที่กำลังต้มน้ำร้อนกอดกีตาร์ เสียบไฟ ไล่สายจากบนลงล่าง
แล้วเขาก็ไล่สายตามทำนองที่ฮัมเป็นรอบที่สอง
ลู่เหยียนไม่ได้สังเกตเห็นว่ารถคันที่ดูเหมือนจะเหาะได้คันนั้นดับเครื่องยนต์แล้ว และอีกครึ่งนาทีต่อมา ประตูหลังก็เปิดออก
ชายคนหนึ่งก้าวลงจากรถ
บนข้อมือของเขาสวมนาฬิกาที่หน้าปัดเป็นแบบฝังเพชร เสื้อผ้าที่สวมคือเสื้อเชิ้ตสีดำที่ตัดเย็บอย่างประณีต แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้นสองสามส่วนแบบตามใจฉันเอามากๆ เผยให้เห็นข้อมือครึ่งหนึ่ง บนแขนเสื้อที่พับขึ้นมาปรากฏรอยเปื้อนจางๆ ที่เห็นได้ไม่ชัด เป็นรอยด่างสีเบจหนึ่งรอย แต่ถูกสีดำขับเน้นให้ชัดขึ้นมาก
“ลูกพี่ จะเข้าไปจริงๆ เหรอ” หน้าต่างรถลดลง ศีรษะหนึ่งมุดออกมาทางด้านคนขับ เจ้าของศีรษะย้อมผมทั้งหัวเป็นสีแดง คนผมแดงมองซ้ายมองขวาแล้วถอนหายใจ “ผมเพิ่งเคยมาโซนนี้ครั้งแรก นี่มันที่คนอยู่เหรอ นี่มันตึกอันตรายชัดๆ ดูใกล้พังแล้ว”
ข้างหน้าเป็นซุ้มประตูครึ่งอันซึ่งพังแล้ว
ป้อมยามหน้าประตูถูกรื้อ
ถนนที่เดินมีพื้นราบอยู่ไม่กี่ก้าว
สรุปคือยับเยินทุกที่
คนที่ลงจากรถเพียงมองสภาพแวดล้อมโดยรอบแวบหนึ่ง เขาไม่ได้ทำตัวโอเวอร์แบบคนผมแดง แต่กลับถึงขั้นไร้อารมณ์ความรู้สึก
เขาดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เนื่องจากเขาควานหาบุหรี่ออกมาหนึ่งห่อ ก้มหน้า ใช้ปากกัดเอาบุหรี่หนึ่งตัวออกมา แต่เห็นได้ชัดมากว่าความรำคาญใจที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกี่ยวกับซากตึกตรงหน้า
“ไฟ” เซียวหังคาบบุหรี่ไว้พลางเอ่ย
คนผมแดงเข้าใจทันที รีบล้วงเอาไฟแช็กออกมาจุดพรึ่บ ใช้สองมือประคองออกไปทางหน้าต่างรถ “ตรงนี้!”
เซียวหังก้มตัวไปจุดบุหรี่
ควันลอยคลุ้งอยู่เบื้องหน้าคนผมแดง
พอคนผมแดงจุดบุหรี่ให้เซียวหังเสร็จก็โยนไฟแช็กไปไว้บนเบาะข้างคนขับ มือทั้งสองข้างวางบนพวงมาลัย ลูบไล้มันไปมาเหมือนกำลังลูบคลำผู้หญิงคนหนึ่ง “รถคันนี้ของพี่เจ๋งมาก เป็นความฝันสูงสุดของผู้ชาย ขับมันส์ชะมัด! ลูกพี่ ผมขอเอาไปขับแถวนี้อีกสักสองรอบได้ไหม”
“ตี๋จ้วงจื้อ”
คนผมแดงที่ได้ยินชื่อของตัวเองอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเอ่ย “ครับ?”
เซียวหัง “ไสหัวไป”
ตี๋จ้วงจื้อ “…”
“ไสหัวไปดูซิว่าแถวนี้มีซูเปอร์ฯ ไหม” เซียวหังสูบบุหรี่พลางเดินห่างออกไปสองก้าว แล้วพูดเสริมว่า “แล้วซื้อนมผงสูตรสำหรับเด็กแพ้นมวัวกลับมาด้วย”
“พี่ใหญ่ อย่าพูดอะไรแบบครึ่งๆ กลางๆ สิ” ตี๋จ้วงจื้อบอก
เซียวหังเดินไปที่ใต้ตึกหลังนั้น ไม่รู้ว่าอาคารหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อไหร่ แต่เหมือนเคยมีคนมาตีกันที่ประตู ทำให้ประตูทางเข้าออกโย้ แค่ผลักทีเดียวก็พัง
ชายหนุ่มแบมือ ในมือมีกระดาษหนึ่งแผ่น บนกระดาษเขียนว่า ‘ย่านพักอาศัยร่วม อาคารหมายเลขหก ยูนิตที่สาม ห้องหกศูนย์หนึ่ง’
[ลูกพี่ เมื่อกี้บอกว่านมผงอะไรนะ] ตี๋จ้วงจื้อขับรถออกไปไกลได้ห้าร้อยเมตรแล้วถึงค่อยโทรหาเซียวหัง [ทอมมี่? แบรนด์เมืองนอกเหรอ]
“นมผงสูตรสำหรับเด็กแพ้นมวัว แพ้นมน่ะ” เซียวหังขยี้ดับบุหรี่ที่เหลือเกินครึ่งตัว
[ผมกำลังไปแล้ว] ตี๋จ้วงจื้อเหยียบคันเร่ง [เจ้าหนูกินนมสูตรปกติแล้วแพ้ได้ด้วย? ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าแค่นมผงจะเรื่องมากขนาดนี้ พี่เพิ่งจะเลี้ยงเด็กได้ไม่กี่วันยังรู้เยอะ…]
เซียวหังวางสาย
ถึงแม้เสียงพูดจ้อของตี๋จ้วงจื้อจะหายไปจากข้างหูแล้ว แต่โลกก็ไม่ได้สงบขึ้นด้วยสาเหตุนี้ เพราะในเวลาเดียวกันนี้มีเสียงกีตาร์ดังมาจากบนตึกระลอกหนึ่ง เสียงแว่วๆ นั้นกระตุ้นอารมณ์อย่างมาก ทั้งยังส่งพลังมาอย่างรุนแรงราวกับผ่าอากาศออกเป็นสองส่วน
กีตาร์ไฟฟ้า
เพียงแต่ทักษะการเล่นกับอุปกรณ์ไม่เข้ากันอย่างสิ้นเชิง ดีดแบบติดๆ ขัดๆ จนเรียกได้ว่าเป็นเสียงปีศาจ ในระหว่างนั้นมีเสียงหอนกับเสียงผิดคีย์เพราะกดนิ้วไม่แน่นดังออกมาด้วย…ถ้ามีการแบ่งระดับการเล่นกีตาร์ คนที่เล่นอยู่ตอนนี้อาจไม่มีคุณสมบัติเข้าแข่งขัน
เพราะเขาดีดได้ระยำตำบอน
ในโถงทางเดินแคบๆ มีใบปลิวติดอยู่เต็มไปหมด และมีภาพกราฟิตี้ที่ใช้สีแดงพ่นแบบมั่วซั่ว ความเสื่อมโทรมแบบเฉพาะตัวของเขตซย่าเฉิงได้แสดงออกมาผ่านรอยแยกบนผนังแบบไม่จำเป็นต้องอธิบาย
สิ่งที่แสดงตัวออกมาพร้อมกันคือเสียงกีตาร์ที่มีพลังสังหารรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเซียวหังเดินขึ้นไปถึงชั้นหก เสียงกีตาร์ทำลายโลกก็อยู่ใกล้เขามาก ห่างเพียงแค่ผนังที่ดูไร้ประสิทธิภาพกั้นเท่านั้น
จากเสียงกีตาร์เปลี่ยนเป็นการกดเพื่อไล่เสียง คาดว่าคงอยากโชว์ทักษะแต่ไม่มีอะไรให้โชว์
“…”
เสียงกีตาร์หยุดไปสองอึดใจ ก่อนเซียวหังจะได้ยินเสียงฮัมเพลงแว่วๆ ดังอยู่ในอากาศที่ลอยตัวออกไป
เสียงผู้ชาย
เนื้อเสียงไม่เลว ร้องได้ตรงจังหวะ ดีกว่าดีดกีตาร์เยอะ
ลู่เหยียนเล่นโน้ตสุดท้ายเสร็จก็หลับตาอย่างดื่มด่ำ อารมณ์ยังคงพลุ่งพล่านอยู่ ต้องใช้เวลาสามวินาทีเต็มๆ กว่าที่เขาจะลืมตา
ชายหนุ่มสะบัดข้อมือซ้ายเบาๆ โน้ตที่กำลังเขียนอยู่ถูกปรับแก้สองสามตัว เขาเอากีตาร์ไปแขวนไว้ที่เดิม เทน้ำร้อนใส่ถ้วยบะหมี่แล้วเอาชามปิดเป็นฝา
ลู่เหยียนอ่านโน้ตที่แก้จนหน้ากระดาษเป็นลายพร้อยอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง วางแผนว่าจะตั้งชื่อ เขาเลยหยิบปากกาเขียนอักษรสองตัวที่ตำแหน่งบนสุดว่า ‘โบยบิน’
แต่รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่
ก็ขีดทิ้ง
เขาเขียนอีก ‘เหินกันวัยรุ่น’
…?
ไม่ได้เรื่องเลยแฮะ จะเล่นมุกหรือไง
‘ร่อน’
ขีดไปขีดมาสี่ห้าครั้ง สุดท้ายจึงเหลือแค่อักษรตัวโตที่เขียนแบบสบายๆ บนหัวกระดาษว่า ‘ยังคิดไม่ออก’
ลู่เหยียนตบกระดาษลงบนโต๊ะ จากนั้นก็โทรหาหลี่เจิ้น
เพื่อไม่ให้หลี่เจิ้นเมินตั้งแต่แรกเห็น ลู่เหยียนจึงหาอีโมติคอนสิบกว่าอันจากในคลังอีโมติคอนมาส่งไปให้ชุดหนึ่งก่อน เขาทำเรื่องป่วนทำนองนี้ได้คล่องมือมาก
[ลู่เหยียน ปู่นายสิ!] หลี่เจิ้นโทรมาอย่างไว
ลู่เหยียน “อย่าเอาแต่ถามถึงปู่ฉันสิ ปู่ฉันสบายดี สุขภาพแข็งแรง กินอิ่มนอนหลับ”
[…] หลี่เจิ้นอดรนทนไม่ไหวแล้ว [นี่เพิ่งจะกี่โมง ฉันกำลังนอน แต่นายดันมาปลุกฉันให้ตื่น!]
“เห็นเพลงใหม่แล้วหรือยัง”
หลี่เจิ้นรู้สึกสติกระเจิดกระเจิงพร้อมทั้งรู้สึกแปลกใจในเวลาเดียวกัน [คอยเดี๋ยวนะ ฉันจะดูเดี๋ยวนี้]
ยังไม่ดูยังพอว่า พอดูแล้วยิ่งย่อยยับ
[นี่มันเรื่องบ้าอะไร นายเขียนอะไรมาฮะ…ฉันบอกนายกี่ครั้งแล้วว่าเขียนหนังสือบ้าบอแบบนี้ไม่มีใครเขาอ่านออก เขียนให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม แม่โว้ย ขอฉันดูหน่อยซิ ฉันอ่านได้แค่ชื่อเอง!] ยิ่งพูดเสียงของหลี่เจิ้นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาพยายามอีกหน่อยน่าจะไปร้องโซปราโนได้เลย [ชื่อ…ยังคิดไม่ออก!]
ลู่เหยียนลูบคอ “อ่านไม่รู้เรื่อง งั้นให้ฉันเล่นให้ฟังดีไหม”
หลี่เจิ้นเงียบกริบเหมือนคนตาย
อันที่จริงมาตรฐานการเขียนเพลงของลู่เหยียนนั้นถือว่าดีมาก ระหว่างความมานะพยายามกับพรสวรรค์ เขาคือแบบที่สาม คือคนที่มีพร้อมทั้งความมานะพยายามและพรสวรรค์ ในฐานะนักร้องนำเขาร้องเพลงได้ดีเยี่ยม การที่วงของเขามีอิทธิพลอยู่ในย่านนี้และเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘วงจอมปีศาจ’ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพียงแต่ลู่เหยียนจะส่งฉบับร่างที่ไม่มีใครอ่านเข้าใจมาทุกครั้ง ลำพังแค่ฉบับร่างยังพอรับได้ ถ้าไม่ฟังที่เขาเล่นก็จะไม่เข้าใจเลย…แต่เขาดีดกีตาร์ได้ห่วยมากจริงๆ
หลี่เจิ้นตื่นเต็มตา ไม่เหลือความง่วงอีกต่อไป
[ฉันยังไม่ตื่นดี] หลี่เจิ้นอธิบาย [เหยียนเอ๋อร์ ฉันมีความรู้สึกว่าถึงโน้ตอันนี้ของนายจะดูสับสน แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อกี้ฉันไม่ได้ใช้ความรู้สึกไปจับเอง]
ลู่เหยียน “งั้นลองใช้ความรู้สึกอีกทีนะ”
หลี่เจิ้น [ได้ ฉันจะใช้ความรู้สึกไปจับก็แล้วกัน]
หลังวางสาย ลู่เหยียนพับกระดาษไปแปะที่ตู้เย็น ตอนจะเปิดฝาบะหมี่ เขาพลันฉุกคิดได้ว่าชามที่ใช้เป็นฝาถ้วยบะหมี่ใบนี้เป็นของที่ยืมมาจากห้องตรงข้ามเมื่อหลายวันก่อน
คนที่อยู่ห้องตรงข้ามเป็นสาวโสด ผมยาว เพิ่งย้ายมาได้ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เหยียนไม่รู้แม้แต่ชื่อของเธอ โดยปกติหญิงสาวมักไม่ค่อยพูด ตอนกลางคืนไม่รู้ว่าไปไหน และตอนกลางวันเธอจะกลับมาประมาณเที่ยงๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน
ลู่เหยียนกะจะเอาชามไปคืนให้เธอก่อนที่เขาจะลืม และก่อนออกจากห้อง เขายังเลือกส้มสองสามลูกจากถาดผลไม้ใส่ชามแล้วเปิดประตู…
ภายในอาคารผุพังของพวกเขา
บนระเบียงทางเดินแคบๆ ของชั้นหก
ณ ที่แห่งนี้ เวลานี้ มีคนที่ดูน่าสงสัยอย่างยิ่งยืนอยู่คนหนึ่ง เป็นผู้ชาย
* เพลง : 海阔天空 (ไห่โควเถียนคง) ศิลปิน : Beyond
** เหล่าจือ แปลว่าพ่อ ใช้เป็นคำเรียกแทนตัวเองอย่างโอ้อวดถือตัวว่าเก่ง
* Kuaishou เป็นแอพพลิเคชั่นของจีน สำหรับลงคลิปวิดีโอสั้นๆ คล้าย TikTok
** กลุ่มจั้งอ้าย เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่ชอบแต่งตัวแนวพั้งก์ร็อก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 2 ต.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.