X
    Categories: everYทดลองอ่านผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ

ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1

ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 3

นอกจากจะน่าสงสัยแล้ว คำขยายความอีกหนึ่งอย่างที่เด้งขึ้นมาจากสมองของลู่เหยียนในแวบแรกที่เห็นเขาคือ ‘แพง’ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ดูประณีตมาก เวลาที่หลุบตามองผู้อื่นให้ความรู้สึกเย็นชาห่างเหินอย่างบอกไม่ถูก เหมือนไม่มีอะไรอยู่ในสายตาของเขา ดูหยิ่งผยองและเอาเรื่องอย่างที่สุด

สำหรับคำว่า ‘แพง’ นี้จะใช้คำบรรยายเพื่อขยายความแบบไหนนั้น น่าจะใช้คำที่หลี่เจิ้นพูดเป็นประจำว่าออร่าแบบใส่ของแผงลอยราคาสิบหยวนออกมาได้ดูเป็นหนึ่งแสนหยวน

ลู่เหยียนจับคู่ชายหนุ่มกับรถแต่งสีเทาเงินคันที่อยู่หน้าตึกเมื่อกี้

รถคันนั้นเป็นของเขางั้นเหรอ

คุณชายใหญ่จากบ้านไหนล่ะ

ใช่ลูกชายเจ้าของบริษัทรื้อถอนหรือเปล่า

คราวนี้มากันกี่คน คิดจะหาเรื่องด้วยใช่ไหม

สมองของลู่เหยียนทำงานเร็วจี๋

…เพียงแต่ถ้าดูจากสองคนนี้ ลู่เหยียนกลับดูเหมือนคนที่น่าสงสัยมากกว่า

 

เพราะได้รับการปกป้องดูแลเป็นอย่างดีทำให้ผมทรงพั้งก์ร็อกหลากสีดูดิบเถื่อนของลู่เหยียนยังคงเหมือนตอนที่ทำเสร็จใหม่ๆ สเปรย์จัดแต่งทรงผมที่ฉีดไว้เมื่อวานยังติดทนดีจนถึงวันนี้ ผมทรงไม้กวาดที่หน้าตาเหมือนเปลวไฟยังคงตั้งสูง

ผมทรงนี้ของเขาสร้างแรงโจมตียิ่งกว่าเสียงกีตาร์เมื่อกี้เสียอีก

ลู่เหยียนที่ดูเถื่อนมากยืนอยู่ตรงประตู เขาชิงทำลายความเงียบก่อน “คุณเป็นใคร”

ชายคนนั้นตอบ “ผมมาหาคน”

สมองของลู่เหยียนคิดถึงคนที่อยู่ชั้นนี้รอบหนึ่ง และยังคงมีท่าทีสงสัยในคำบอกเล่าที่ว่าจะมาหาคน

คนที่อยู่ตึกนี้ห่างไกลกับคำว่า ‘อภิมหาเศรษฐี’ สามคำนี้ นอกจากลูกกำพร้ากับแม่ม่าย ที่เหลือล้วนเป็นพวกยากจนข้นแค้น เมื่อหลายวันก่อนผู้หญิงที่อยู่ชั้นล่างถูกแม่ซึ่งเดินทางมาเป็นพันลี้ตบสองฉาด เนื่องจากเธอไม่ยอมให้เงินน้องชายไปซื้อบ้าน

“หาใคร หกศูนย์อะไร” ลู่เหยียนถาม

“หกศูนย์หนึ่ง” ถึงจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้เริ่มรู้สึกรำคาญแล้ว

“คุณมาหาพี่หงทำไม” ลู่เหยียนคิดชื่อมั่วๆ ขึ้นมาหนึ่งชื่อ เขาลังเลระหว่างชุ่ยฮวากับเสี่ยวหงอยู่สองวินาที

“…” ชายหนุ่มบอก “คุณยุ่งอะไรด้วย”

“เธอออกไปข้างนอก” ผิดคาดที่ลู่เหยียนไม่ได้ถามต่อ เขาเบี่ยงตัว “อีกเดี๋ยวคงกลับ คุณชื่ออะไร”

“ผมแซ่เซียว”

ลู่เหยียนพยักหน้า ล้วงมือถือออกมาเงียบๆ แล้วกดเปิดวีแชตเพื่อหาหน้าสนทนาของจางเสี่ยวฮุย “ได้ ผมจะโทรบอกเธอให้ คุณจะเข้าไปนั่งในบ้านผมก่อนไหม”

“ขอบคุณ” น้ำเสียงของเซียวหังอ่อนลง “ผมยืนรอตรงนี้…” ได้

เพียงแต่เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกลู่เหยียนจับบิดแขน กดติดผนัง!

 

ลู่เหยียนใช้มือข้างหนึ่งตรึงข้อมืออีกฝ่ายไว้ จับเซียวหังหันหลังอย่างบีบบังคับ ทำให้หน้าของเซียวหังแนบติดกับภาพกราฟิตี้สีแดงบนผนังทางเดิน

ภาพกราฟิตี้สีแดงเป็นสัตว์ประหลาดที่มีเขี้ยวและปีก พอเซียวหังช้อนตาขึ้นมองก็เจอกับดวงตาของเจ้าสัตว์ประหลาดพอดี สองตาจึงเบิกโพลง

ลู่เหยียนปล่อยของที่ถือไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง พลันเกิดเสียงดังแกร๊ง เมื่อชามกับส้มหล่นลงพื้น

เขาไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตั้งตัว ใช้ข้อศอกกดคอเซียวหังไว้ แขนของลู่เหยียนไม่ค่อยมีเนื้ออยู่แล้ว จึงแข็งมาก พอกระดูกข้อต่อที่โผล่ออกมากดอยู่บนคอคนเลยทำให้เจ็บ

ทั้งสองคนตัวสูงไล่ๆ กัน มองจากมุมของลู่เหยียนจะเห็นหลังคอที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตของชายหนุ่ม เขายื่นหน้าเข้าไปบอกว่า “พี่หงอะไร ฉันยังไม่รู้เลยว่าผู้หญิงห้องตรงข้ามชื่ออะไร แค่สุ่มชื่อมาหลอกนายให้เปิดช่องให้ฉันก็เท่านั้น ท่าทางแบบนายทำไมถึงมาทำงานแบบนี้”

เซียวหังไม่เคยด่าคำหยาบมาแปดร้อยปีแล้ว แต่หนนี้ลู่เหยียนบีบให้เขาพูดมันออกมา เซียวหังหันหน้าไปบอก “นายเป็นบ้าเหรอ”

พูดจบเขาก็สูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด “ฉันไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร แต่ฉันมีธุระกับเธอจริงๆ”

ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก

ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันอย่างชัดเจน

ตอนอยู่ตรงทางเดินเมื่อกี้เซียวหังไม่ได้มองคนคนนี้ให้เต็มตา ตอนนี้เมื่อมาดูดีๆ แล้ว นอกจากทรงผมเว่อร์วังนั่น ใบหน้านี้ก็ดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

ที่มาสำคัญที่บอกว่าดีนั่นคือถึงแม้จะทำผมทรงพั้งก์ร็อก แต่เขายังคงดูห่างไกลกับคำว่าอัปลักษณ์โดยสิ้นเชิง

สุดท้ายนายพั้งก์ก็ถามขึ้นว่า “มีธุระ? คิดจะตัดไฟหรือตัดน้ำล่ะ?”

นายพั้งก์ถามอีกว่า “คราวนี้นายพาพวกมาด้วยกี่คน”

“ปล่อย”

“ฉันไม่ปล่อย”

“นี่ นายพั้งก์” เซียวหังโกรธจนขำ “ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะ ปล่อย”

“…พั้งก์อะไร” ลู่เหยียนโกรธจนขำเหมือนกัน “นายพูดอีกทีซิ”

เซียวหังทอดเสียงพูดซ้ำอีกครั้ง “นาย-พั้งก์”

“โอย” ลู่เหยียนลากเสียงยาว พูดเสียงชิลๆ “เชื่อฟังดีจริง”

ลู่เหยียนคิดแต่จะคุมตัวคนคนนี้ไว้เพื่อไม่ให้เขาหนีไปก่อนผู้อาศัยคนอื่นจะกลับมา คราวก่อนหลังบริษัทรื้อถอนมา ทุกคนต้องรวมเงินกันเป็นค่ารักษาพยาบาลให้ป้าจาง โดยที่ทางนั้นไม่มีคำอธิบายอะไรเลย

เขาไม่อยากใช้กำลังแก้ปัญหา

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม หลังตะเกียกตะกายอยู่ในสังคมแบบนี้ ผ่านประสบการณ์มากมาย ลู่เหยียนย่อมไม่ลงไม้ลงมือง่ายๆ เขาจึงใช้เพียงแค่ปากอย่างเดียว

ตอนแรกลู่เหยียนไม่ได้เห็นคนมาดคุณชายใหญ่คนนี้อยู่ในสายตา เพราะการมองคุณชายคนนี้ทำให้เขามีความรู้สึกว่าตอนที่เหล่าจือระหกระเหินอยู่ในยุทธภพ นายอาจจะยังกินนมอยู่บ้านอยู่เลย

จะทำให้มือนายข้างหนึ่งสร้างคลื่นลมอะไรไม่ได้

และในจังหวะนี้เอง คนที่ถูกเขาตรึงตัวเอาไว้แน่นก็ออกแรง ทำให้สถานการณ์พลิกกลับในชั่วพริบตา คนที่ถูกกดติดกับภาพกราฟิตี้สีแดงบนผนังจนตาเหลือกกลายมาเป็นลู่เหยียนแทน

…บ้าเอ๊ย

ลู่เหยียนเหวอ

หมอนี่บู๊เป็นด้วยงั้นเหรอ

เซียวหังมีความรู้สึกว่าเส้นประสาทส่วนที่เรียกว่า ‘สติ’ ในสมองของตัวเองมาถึงจุดที่ใกล้จะขาดเต็มทีแล้ว เขากดเจ้าตัววุ่นวายไว้ พยายามคุยกับนายพั้งก์นี่อีกครั้ง “ฟังนะ นายอาจเข้าใจผิด…”

พูดยังไม่ทันจบ ข้างล่างก็มีเสียงดังตึง

 

ไม่รู้ว่าประตูทางเข้าที่ไม่จำเป็นต้องมีกลอนขัดถูกใครผลักเปิด แต่คนที่ผลักนั้นแรงเยอะมาก ทำเอาเสียงประตูกระแทกดังก้องทางเดินภายในตึก

ต่อมาคือคำหยาบคายที่ดังสนั่นกว่าเดิม

ชายเสียงแหบพูดคล้ายกับมีเสมหะอยู่ในปาก “เอ้าเฮ้ย รื้อเลย! รื้อคัตเอาต์! ตัดสายไฟ!”

“ในตึกไม่มีคนเหรอ”

อีกคนตอบ “ไม่มีหรอก เราส่งคนมาดูแล้ว ออกไปทำงานกันหมด”

“งั้นก็ดี” คนคนนั้นหัวเราะ “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเที่ยวนี้จะจัดการพวกเขาไม่ได้”

“…” เป็นครั้งแรกที่ลู่เหยียนได้รู้ว่าอะไรคือกระโดดลงแม่น้ำหวงเหอเพื่อล้างตัวยังไงก็ล้างไม่สะอาด*

ก่อนลู่เหยียนจะเปิดฉากต่อสู้กับบุคคลน่าสงสัย เขาส่งข้อความไปหาจางเสี่ยวฮุยแค่สามคำว่า ‘งานเข้าแล้ว’ เขาไม่รู้ว่าในอาคารยูนิตที่สามจะมีคนที่ได้รับข้อความแล้วรีบกลับมากี่คน

ปัญหาเกิดขึ้นเร็ว และมีคนจำนวนมาก

 

คนที่เดินเข้าตึกมาเป็นคนแรกคือชายที่ใส่สร้อยทองเส้นโต หน้าร้อนอากาศร้อนระอุ เขาจึงใส่แค่กางเกงบ็อกเซอร์ลายดอกหนึ่งตัว ซึ่งมาด้วยความเร็วปานสายลม ทั้งยังออกแรงมากกว่าคนของบริษัทรื้อถอนเสียอีก

นายสร้อยทอง “ฉันจะดูว่าใครกล้าแตะคัตเอาต์! ฉันจะเอาชีวิตหมาๆ ของมัน!”

ความเร็วของประชากรผู้พักอาศัยในยูนิตที่สามพูดได้ว่าปานลมม้วนเมฆปลิว แม้แต่จางเสี่ยวฮุยที่ไม่มีแรงจะฆ่าไก่ยังสามารถล้มไปได้หนึ่งคน สิบนาทีต่อมาคนที่ตั้งใจมารื้อคัตเอาต์ก็ถูกโยนไปกองไว้นอกตึกเหมือนกองผักกาดขาว คนอื่นๆ ก็ถูกพวกเขาจัดการ ปากตะโกนว่า “สามัคคีคือพลัง ร่วมกันต้านคนนอก”

“เลือดของเรามันลุกโชน! ปณิธานของเราเร่าร้อน!”

“ตะโกนตามฉัน ต่อต้านการรื้อถอน!”

“ต่อต้านการรื้อถอน!”

“…”

“อาคารหมายเลขหก ยูนิตที่สาม! หน้าไม่อาย!”

“หน้าไม่อาย!”

คนผมดำร่วมยี่สิบคนล้อมวงกันชูหมัด ตะโกนทีหนึ่งก็ชูหมัดขึ้นฟ้าทีหนึ่ง ถ้าใครไม่รู้อาจเข้าใจว่านี่เป็นการชุมนุมของลัทธิไสยศาสตร์อะไรสักอย่าง

ลู่เหยียนยืนอยู่หน้าสุด เป็นหงส์ในฝูงกา

เขาเป็นคนที่ดูร้ายที่สุดในกลุ่ม

นายสร้อยทองอยู่ข้างลู่เหยียน ในมือถือกิ่งไม้ที่หยิบติดมือมาจากพื้น “ทุกคนคุกเข่า!”

นายสร้อยทอง “พวกแก อ๊า ช่างไม่รู้สำนึกเลยจริงๆ…มนุษย์แรกเริ่มเดิมทีล้วนดีงาม สิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นมนุษย์คือความดี อะไรทำให้พวกแกเดินทางผิด นี่ฉันว่าแกอยู่นะ เงยหน้าขึ้น”

จางเสี่ยวฮุยยืนอยู่หลังเขาเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอิงบารมีเสือ* พูดเสียงตะกุกตะกัก “ว่า…ว่าๆๆ แกนั่นแหละ!”

ลู่เหยียนไม่พูดอะไร เขาลองล้วงกระเป๋าตัวเอง กลับเจอแต่ไฟแช็ก ไม่มีบุหรี่ จากนั้นเขาเลยล้วงกระเป๋ากางเกงในขาสั้นลายดอกบนตัวนายสร้อยทองอย่างเป็นธรรมชาติมาก แล้วก็ได้บุหรี่ต้าเฉียนเหมินหนึ่งซองจากกระเป๋ากางเกงของเขา

ลู่เหยียนหยิบบุหรี่ในซองออกมาหนึ่งมวน

“แก” ลู่เหยียนคาบบุหรี่ ย่อตัวลงมองคนที่ดูเด่นสุดในกองผักกาดขาว เขาส่งเสียงชิ “จะยอมแพ้แล้วหรือยัง”

คุณชายใหญ่หมดแรงแล้ว พูดใส่หน้าเขาด้วยใบหน้าดำปี๋ว่า “ไสหัวไป”

“พูดแบบนี้ได้ไง” ลู่เหยียนบอก “ยังมีความดีอยู่หรือเปล่า”

รอบนี้คุณชายใหญ่ไม่พูดเลยสักคำ

จังหวะนี้เอง อีกคนที่อยู่ในกองผักกาดขาวพยายามจะพูดขึ้น “คนนั้น…”

ลู่เหยียน “หุบปาก ไม่ใช่เรื่องของนาย”

คนคนนั้นยังพยายามจะพูด “ไม่ใช่…”

ลู่เหยียนเคาะเถ้าบุหรี่ทิ้ง “ฉันบอกให้นายหุบปากไง หุบปาก ไม่เข้าใจหรือไง”

จางเสี่ยวฮุยเลียนแบบ แต่ทำได้แค่พูด ไม่มีความน่าเกรงขามเลยสักนิด “หุบๆๆ ปาก ไม่เข้าใจหรือไง”

“ไม่ใช่” คนคนนั้นยืนกรานด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เขาหดคอ ชี้ไปที่คนข้างๆ

มาดไฮโซ

สีหน้าเย็นชา

ยังมีนาฬิกาที่ดูออกว่าราคาแพงระยับ

บริษัทรื้อถอนเวยเจิ้นเทียนของพวกเขาไม่เคยมีคนแบบนี้!!!

เขาระเบิดคำถามออกมาด้วยน้ำเสียงฉงน “คนนี้เป็นใคร!”

ลู่เหยียนสำลักควันบุหรี่ในปาก

บทที่ 4

นอกจากลู่เหยียนจะสำลักควันบุหรี่ในปากแล้ว เขายังถูกท้ายรถแต่งคันนั้นของคนแซ่เซียวเอาคืนด้วยการรมควันอัดหน้าอีกด้วย

นายสร้อยทองกับลู่เหยียนตามออกไปยืนมองรถที่วิ่งห่างออกไปไกลที่หน้าประตูโซนเจ็ด ปีกท้ายรถเหมือนปีกนก นายสร้อยทองใช้ศอกกระทุ้งลู่เหยียน “น้องชาย นี่มันเรื่องอะไร นายจับผิดคนเหรอ”

ลู่เหยียนไม่รู้ว่าควรเล่าอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง

จับผิดคนงั้นเหรอ

หรือจะเป็นการเข้าใจผิดจริงๆ

“พี่เว่ย” ลู่เหยียนนึกย้อนกลับไปถึงการต่อสู้ที่ระเบียงทางเดินแล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจ อยากขออภัยผู้บริสุทธิ์ แม้ผู้บริสุทธิ์จะไร้มารยาทอย่างมาก โดยการเอาแต่เรียกเขาว่านายพั้งก์ก็ตาม

ลู่เหยียนดับบุหรี่ในมือพลางถอนหายใจ เขาพูดกับนายสร้อยทองว่า “ผมขอยืมรถพี่หน่อยสิ ผมจะตามไปขอโทษเขา”

ถ้าบนตัวพี่เว่ยมีหนาม มันก็คงจะระเบิดตัวออกมาทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘รถ’ หนามทุกอันตั้งขึ้นอย่างตื่นตกใจ “เรื่องอื่นพี่ให้นายได้หมด แต่เรื่องรถไม่โอเค!”

 

รถที่ลู่เหยียนพูดถึงคือรถมอเตอร์ไซค์

พี่เว่ยเป็นลูกพี่ประจำตึก ทำงานบริษัทเก็บหนี้ ตามปกติงานที่เขาทำเป็นธุรกิจประเภทถึงเลือดถึงเนื้อ บนแขนขวาจึงสักอักษรจีนสี่ตัวโตๆ อย่างเป็นระเบียบที่มีความหมายว่า ‘เป็นหนี้ต้องใช้’ ก่อนโซนเจ็ดถูกรื้อถอน เขาเป็นคณะกรรมการองค์กรความร่วมมือเพื่อผู้หญิงที่ประชาชนจัดตั้งขึ้นมาเอง เป็นผู้ชายที่มีทั้งความแข็งแกร่งและความอ่อนโยนอยู่ในตัวคนคนเดียว พี่เว่ยผู้นี้นับได้ว่าเป็นความหวังของตึก

รถมอเตอร์ไซค์เหมือนจะเป็นของที่มีค่าที่สุดในบรรดาทรัพย์สินอันน้อยนิดของพี่เว่ย

ฟ้ามืด พื้นราบกว้างไกลสุดสายตา กับเครื่องยนต์สี่แรงสูบ ตามปกติเขารักรถคันนั้นเหมือนลูก

ลู่เหยียน “พี่น้องกันไม่ใช่เหรอ”

พี่เว่ยโมโหแต่ไม่ได้แสดงออก “ครั้งก่อนนายขับออกไปเกือบทำรถฉันเป็นรอย!”

“เกือบ ไม่ได้เป็นเสียหน่อย”

“หรือจะรอให้เป็นรอยก่อนล่ะ! ถ้ารถเป็นรอยจริง ตอนนี้นายไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว หญ้าบนหลุมศพนายคงสูงถึงสองเมตรแล้วด้วย”

ลู่เหยียนคว้าเอากุญแจที่เอวพี่เว่ยไปดื้อๆ “คราวนี้ผมจะขับดีๆ เวลามีค่ากว่าชีวิต แต่รถของพี่เว่ยมีค่ายิ่งกว่านั้น…ขอบคุณนะครับ”

“ช่างพูดจริงนะ” พี่เว่ยคิดถึง ‘อุบัติเหตุ’ ครั้งก่อน “วันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันเห็นกับตาว่านายเกือบชนกำแพง”

คราวนี้ลู่เหยียนไม่พูด

เขาหลุบตามองพวงกุญแจเป็นเวลานานก่อนจะยิ้มออกมา “มือลื่นน่ะ”

พี่เว่ยไม่ได้ถือสาคำพูดของเขา “นายรู้ว่าพวกเขาไปทางไหนใช่ไหม ตามไปเถอะ”

“ถนนเข้าเมืองมีไม่กี่เส้นหรอก” ลู่เหยียนใช้นิ้วเกี่ยวพวงกุญแจ เขาเดินพลางควงพวงกุญแจเสียงดังกริ๊งๆ “สุดแล้วแต่ดวง”

 

ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าดวงของลู่เหยียนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว

คุณชายใหญ่คนนั้นจะต้องมาที่นี่เป็นครั้งแรก แปดถึงเก้าในสิบส่วน ในรถจะต้องมีจีพีเอส และเขาจะต้องขับรถตามจีพีเอส ผลคือลู่เหยียนขับรถออกไปได้ไม่กี่ช่วงถนนก็เห็นรถแต่งคุ้นตาคันนั้น…กับป้ายเตือนที่อยู่หลังรถ ‘เว้นระยะห่างห้าสิบเมตร’

เซียวหังมีความรู้สึกว่าวันนี้ตอนออกจากบ้าน เขาจะต้องลืมดูปฏิทินจีนหมื่นปี* แน่ๆ ไม่อย่างนั้นทำไมภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่สิบกว่านาที เขาถึงมีเรื่องให้เซอร์ไพรส์เยอะแยะมากมายแบบนี้

“ลูกพี่” ตี๋จ้วงจื้อพูดด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “รถเสียจริงเหรอ”

เซียวหัง “มันอาจวิ่งจนเครื่องร้อนแล้ว ให้พักหน่อยแล้วกัน”

ตี๋จ้วงจื้อลูบจมูก รู้ว่าตัวเองถามปัญหาโง่ๆ “แล้วเมื่อไหร่รถลากจะมาถึง”

“อีกครึ่งชั่วโมงมั้ง” เซียวหังยกมือขึ้นนวดขมับ

ข้างหน้านี้ไม่มีหมู่บ้านและไม่มีร้านค้า ซ้ายมือเป็นโซนที่พักอาศัยเก่า ส่วนข้างขวาเป็นสวนผลไม้รกร้าง

อากาศร้อน ลมข้างนอกพัดมาเมื่อตะวันตกดิน

สองพี่น้องผู้ตกยากทำได้แค่นั่งฆ่าเวลาอยู่ในรถ

“ผมไม่เคยรู้เลยว่าเมืองเรามีที่แบบนี้ด้วย” ตี๋จ้วงจื้อบอก “เมื่อกี้ต้องขับรถวนอยู่ตั้งนานกว่าจะเจอร้านขายของชำ ของที่ขายในร้านเป็นอะไรพี่รู้ไหม ผมเพิ่งเคยเห็นนมยี่ห้อวั่งจื่อเป็นครั้งแรก”

เซียวหังพูดในใจว่าฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินคนดีดกีตาร์ห่วยขนาดนั้นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน

แถมยังได้เห็นทรงผมพั้งก์ๆ ครั้งแรกด้วย

และมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นที่ระเบียงทางเดินเป็นครั้งแรกเช่นกัน

“จริงสิ พี่หาคนเจอแล้วหรือยัง” ตี๋จ้วงจื้อนึกถึงเป้าหมายในการเดินทางมายังเขตซย่าเฉิงของพวกเขาในครั้งนี้ “ผู้หญิงคนนั้นว่ายังไง เธอน่าจะรู้สิว่าพ่อพี่ไม่คิดจะเลี้ยงเด็กคนนี้ แต่ยังทิ้งเขาไว้บ้านพวกพี่อีก…เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองแท้ๆ ใจร้ายชะมัด”

ตี๋จ้วงจื้อเพิ่งจะพูดจบ หน้าจอมือถือของเซียวหังก็เริ่มสว่าง

บนหน้าจอมือถือมีตัวหนังสือสามตัวคือ ‘เซียวฉี่ซาน’

 

เซียวหังไม่ได้รับสาย

ตี๋จ้วงจื้ออยากจะถามว่าทำไมเขาถึงไม่รับสาย แต่แค่เหลือบมองหน้าจอก็เข้าใจแล้วว่าทำไม

เซียวฉี่ซาน

สามคำนี้เหมือนมีอำนาจปีศาจ สุดท้ายแล้วไม่ว่าอย่างไรเซียวหังก็เก็บกดอารมณ์ที่เพียรข่มไว้ตั้งแต่ตอนก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ไว้ไม่อยู่แล้ว ตัวเขาแทบถูกกลืนหายไปทั้งหมด อากาศทั้งหมดในโพรงอกถูกสูบหายไปในชั่วพริบตา

น้ำเสียงเข้มงวดไร้อารมณ์เหมือนจะมุดออกมาจากหน้าจอโทรศัพท์…เซียวหัง ทำไมฉันถึงมีลูกไร้ประโยชน์แบบแกได้นะ

ไม่มีประโยชน์

เซียวหังเริ่มหายใจไม่ออก ปลายนิ้วเริ่มรู้สึกถึงความรุ่มร้อนราวกับถูกไฟแผดเผา

แห้งกรอบ ร้อนลวก

อยากสูบบุหรี่ขึ้นมาซะแล้ว

 

ไม่มีใครพูดอะไร ภายในรถจึงตกอยู่ในความเงียบนานหลายนาทีก่อนที่จะมีเสียงเคาะหน้าต่างรถพวกเขามาจากด้านนอก คนคนนั้นพูดภาษากลางที่ไม่ค่อยได้มาตรฐานและติดสำเนียงท้องถิ่น น้ำเสียงฟังดูเอื้ออารี “น้องชาย รถดับเหรอ ข้างหน้ามีอู่ซ่อม จะให้ฉันช่วยโทรตามให้ไหม”

เซียวหังลดกระจกรถลง

คนที่ก้มตัวลงมาพูดอยู่นอกกระจกรถเป็นชายแปลกหน้าสวมชุดคนงานสีเทา บนหน้ามีรอยบาก

“ขอบคุณครับ แต่ผมโทรแล้ว” เซียวหังแสดงออกว่าเวลานี้เขาไม่อยากสนทนากับใครมากนัก แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะจากไป เซียวหังจึงถามว่า “มีธุระอะไรหรือครับ”

คนหน้าบากมองจ้องนาฬิกาบนข้อมือของเซียวหังที่อยู่บนหน้าต่างรถ แล้วพิจารณาสภาพภายในรถเงียบๆ ก่อนหัวเราะหึๆ “ฉันเห็นรถคันนี้ดูคุ้นๆ มาแต่ไกล เมื่อก่อนฉันก็เคยมีรถแบบนี้อยู่หนึ่งคัน”

คนหน้าบากเริ่มเล่าถึงรถแสนรักของตัวเอง เล่าว่าเขาขับมันไปทุกที่ทั่วประเทศ แล้วอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง พร้อมถอนหายใจ “แต่ฉันบริจาครถไปนานแล้ว อย่ามองว่าฉันอยู่ในสภาพนี้เชียวนะ เมื่อก่อนฉันเปิดโรงงานอาหารแปรรูป ถือว่าเฟื่องฟูดีเชียวล่ะ…แต่ต่อมาฉันก็เข้าใจว่าเงินทองล้วนเป็นของนอกกาย”

เขาเว้นเรื่องที่ตัวเองสร้างกิจการจนรุ่งเรืองขึ้นมาด้วยสองมือเปล่า

“มีเงินแล้วไง ต่อให้มีเงินเยอะกว่านี้ก็ได้มาแค่ความรู้สึกว่างเปล่า หาความหมายที่แท้จริงของชีวิตไม่ได้ มัวแต่หลงอยู่ในกระแสของความอยากในวัตถุ”

“ตอนนี้พี่เลยทุ่มเทจิตใจทั้งหมดไปที่งานการกุศล สร้างพื้นที่โอเอซิสในทะเลทราย ช่วยเหลือเด็กยากจนบนภูเขาให้ได้เรียนหนังสือ” คนหน้าบากล้วงมือถือออกมากดเปิดเว็บไป๋ตู้ แล้วค้นหารูปหนึ่งออกมา เป็นรูปห้องเรียนผุพัง ต้านไม่ได้ทั้งลมทั้งฝน “นายดูสิ นี่คือที่เรียนของเด็กยากจน เห็นแล้วสงสารไหม ปวดใจหรือเปล่า”

ตี๋จ้วงจื้อฟังแล้วได้แต่อึ้งกับอึ้ง ดวงตาของเขาจ้องนิ่งอยู่ที่รูปนั้นพลางผงกศีรษะ “ที่เรียนแร้นแค้นจริง”

เซียวหัง “…”

“ใช่ไหม แล้วดูเด็กๆ ที่มีความฝันแต่ถูกฝนสาดเปียกให้ต้องแบกน้ำหนักเดินไปข้างหน้าสิ”

คนหน้าบากตบไหล่ตี๋จ้วงจื้อ พอพูดไปถึงจุดไคลแมกซ์ เขาก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นหนักแน่นทรงพลัง “พี่เลยยิ่งมุ่งมั่นเดินไปบนเส้นทางการทำการกุศลของตัวเอง! สิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์เราคือการอยู่เพื่อสร้างคุณค่าของตัวเอง บนโลกนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าเงินมากมาย น้องชาย ในมือพี่มีโครงการการกุศลอยู่สามโครงการ…”

คนหน้าบากพูดพลางชูสามนิ้ว

คนหน้าบากตั้งใจจะแนะนำโครงการการกุศลสามโครงการอย่างละเอียด แต่ได้ยินน้ำเสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลังก่อนว่า “นิ้วยังโดนดัดไม่พออีกเหรอ”

ลู่เหยียนนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ ใช้ขาข้างหนึ่งยันพื้น จอดอยู่ด้านหลังคนหน้าบากพอดี

เขาขายาว พอทำท่านี้ก็เหมือนกับดาราหนังที่ตั้งใจจัดท่วงท่ามาเรียบร้อยแล้ว

“พูดเรื่องช่องทางรวยกับคนไม่มีเงิน แต่พอเจอคนไม่ขาดเงินก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องการกุศล” คนที่ราวกับอยู่ในเฟรมภาพถ่ายพูด “หัวไวมาก ขอนับถือ”

จังหวะนี้เอง ตี๋จ้วงจื้อที่กำลังอินอยู่ในงานการกุศลของเด็กยากจนผู้ถูกฝนสาดถึงค่อยได้สติ “คุณเป็นนักต้มตุ๋นเหรอ”

คนหน้าบากมีความรู้สึกว่าลู่เหยียนอาจเป็นคำสาปที่เขาไม่มีวันหนีพ้นในอาชีพนักต้มตุ๋นของเขา

เป็นหลุมพรางที่ไม่มีทางก้าวข้ามไปได้

เป็นกำแพงที่ไม่มีวันข้ามไปไหว

 

เสียงของคนหน้าบากเริ่มสั่น “ทำไมถึงเป็นนายอีกแล้ว ยังไม่จบไม่สิ้นกันอีกเหรอ ชาติที่แล้วฉันเคยขุดหลุมศพนายหรือไง!”

ลู่เหยียนแสดงออกว่ายอมรับคำพูดประโยคนี้ “อาจมีวาสนาต่อกันเป็นพิเศษ”

ต่อให้คนหน้าบากรู้สึกไม่พอใจสักแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าเล่นแบบหนึ่งต่อสาม เขามองซ้ายมองขวา สุดท้ายก็บ่ายหน้าเผ่นหนีไปบนถนน

ลู่เหยียนมองคนบนรถ “เซียว…” เขาจำไม่ได้แล้วว่าอีกฝ่ายชื่ออะไรเลยพูดได้แค่เซียว แล้วก็ไปต่อไม่ถูก

เซียวหังลงจากรถ เขายื่นมือไปกดตัวตี๋จ้วงจื้อที่อยากลงมาดูความครึกครื้นให้กลับเข้าไปในตัวรถ

หัวของตี๋จ้วงจื้อจึงโขกประตูรถจนเขาร้องเสียงดัง “ชิบ!”

เซียวหัง “นายอยู่ในรถ”

“เรื่องเมื่อกี้ผมขอโทษ” ลู่เหยียนมองเขา “ทุกอย่างเป็นความเข้าใจผิด”

ลู่เหยียนมองท่าทางแบบ ‘ฉันไม่สนนายหรอก’ ของคนตรงหน้าแล้วมีความรู้สึกว่าคุณชายใหญ่เจ้าอารมณ์คนนี้คงไม่รับน้ำใจ

ลู่เหยียนรออยู่สามวินาที

พบว่าฝ่ายตรงข้ามไม่รับน้ำใจเขาจริงๆ

บรรยากาศประดักประเดิดเล็กน้อย ลู่เหยียนลูบจมูกพลางบอกว่า “วันนี้หกศูนย์หนึ่งไม่อยู่บ้านจริงๆ ถ้าคุณมีธุระ ไว้เธอกลับมาแล้วผมจะบอกให้”

เมื่อเห็นว่าฉากนี้มีเขาโซโล่อยู่คนเดียว และอีกฝ่ายก็อาจขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว ลู่เหยียนจึงตั้งใจจะบอกลา คิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะพูดออกมาสองคำว่า “ไม่จำเป็น”

ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าความประทับใจแรกของคนคนนี้สำหรับเขานั้นไม่ได้มีอะไรเลวร้ายเลยสักนิด ถึงความเจ้าอารมณ์กับนิสัยจะไม่ค่อยดี และเย็นชาแบบสุดๆ ก็ตาม

พวกเขาสองคนไม่คุ้นหน้ากัน เมื่อพูดเรื่องที่ควรพูดไปหมดแล้ว ลู่เหยียนก็ไม่คิดจะถามอะไรให้มากความ “โอเค…รถพวกคุณไม่เป็นไรใช่ไหม”

ระหว่างที่พูด ไม่รู้ว่ามีเสียงสั่นมาจากไหน

ครืด

ครืดๆๆ

เซียวหังมองตามเสียงไปที่ขาที่ยันพื้นอยู่ของลู่เหยียน

วันนี้เขาสวมกางเกงยีน นี่น่าจะเป็นเสียงที่ดังออกมาจากกางเกงยีนตัวนั้น ยิ่งมือถือแนบติดกับต้นขา เสียงสั่นจากสายที่โทรเข้ามาจึงยิ่งดังชัดเป็นพิเศษ

ลู่เหยียนควานอยู่นานกว่าจะล้วงเอามือถือออกมาได้

เป็นพี่เว่ย

ก่อนและหลังที่เขาจะเอารถออกมากินเวลาทั้งหมดไม่ถึงห้านาที เสียงของพี่เว่ยดังอยู่ในสายอย่างรำคาญใจ [ตามเด็กนั่นทันไหม ไม่ทันก็กลับมา นี่มันห้านาทีแล้วนะ รถฉันเป็นอะไรหรือเปล่า]

“ตามทันแล้ว จะเป็นอะไรได้ยังไง” ลู่เหยียนบอก “ลูกชายพี่คือลูกชายผม ผมแทบไม่ได้บิดคันเร่งเลย รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าข้างๆ ยังวิ่งเร็วกว่าผมอีก…โอเค ผมจะกลับเดี๋ยวนี้”

พี่เว่ยบ่นโขมงโฉงเฉงก่อนตัดสาย

ลู่เหยียนยัดมือถือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหันไปมองเซียวหัง ก่อนจะพูดย้ำอีกครั้ง “สรุปคือผมขอโทษสำหรับเรื่องในวันนี้จริงๆ”

พอพูดจบลู่เหยียนก็บิดคันเร่ง โดยเสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์บ่ายหน้าไปทางโซนเจ็ด

 

* กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอเพื่อล้างตัวยังไงก็ล้างไม่สะอาด เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น

* สุนัขจิ้งจอกแอบอิงบารมีเสือ เป็นสำนวน หมายถึงการแอบอ้างบารมีของผู้อื่นเพื่อข่มเหงผู้อื่น

* ปฏิทินจีนหมื่นปี คือปฏิทินจีนที่คำนวณโดยใช้ระบบจันทรคติแบบจีน บอกวันและฤกษ์งามยามดี

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 3 .. 65

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: