X
    Categories: everYทดลองอ่านผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ

ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1

ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 5

ตอนลู่เหยียนขับมอเตอร์ไซค์กลับไป คนของบริษัทรื้อถอนเวยเจิ้นเทียนก็ไปกันหมดแล้ว ลู่เหยียนลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้วโยนกุญแจไปให้พี่เว่ย “พี่เว่ยครับ ผมคืนลูกชายให้พี่นะ”

พี่เว่ยรับไป เขาเดินวนสำรวจรถมอเตอร์ไซค์แสนรักตั้งแต่แฮนด์ไปจนถึงล้อรอบแล้วรอบเล่า

“เป็นไงครับ” ลู่เหยียนสะบัดข้อมือพลางเอ่ยถาม “ขอค่ารักษาป้าจางคืนมาได้หรือเปล่า”

เมื่อพี่เว่ยมั่นใจว่ารถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองไม่มีปัญหาอะไรก็ห้อยกุญแจไว้ที่เอว ก่อนจะหัวเราะหึๆ “ได้มาแล้ว สองพันห้า พี่เว่ยของแกออกโรงเองยังจะมีหนี้ที่ทวงไม่ได้อีกเหรอ”

“โม้เก่ง” ลู่เหยียนยอ

“งั้นพี่ไปทำงานแล้วนะ” พี่เว่ยดูเวลา “คืนนี้นายมีขึ้นแสดงใช่หรือเปล่า ถ้าไม่มีคืนนี้เราสองคนไปดื่มด้วยกัน พี่ไม่ได้ดื่มกับนายนานแล้ว”

ตามปกติ นอกจากลู่เหยียนจะไปรับงานพาร์ตไทม์สองสามงานในช่วงกลางวันแล้ว งานหลักของเขาคืองานกลางคืน พอตกเย็นเขาเป็นต้องมุดเข้าไปในผับ

ลู่เหยียน “ไว้วันอื่นดีกว่าครับ ตอนเย็นผมมีงานต้องวิ่ง”

 

ลู่เหยียนชินกับการไปเตรียมตัวที่ผับล่วงหน้าสองชั่วโมง พอใกล้ถึงเวลาเขาก็เริ่มเก็บข้าวของ

เขาเพิ่งจะใส่กางเกงเสร็จ กางเกงยีนเอวต่ำมีโซ่สีทองเกาะอยู่ตรงกระดูกสะโพก ลู่เหยียนเปลือยท่อนบนไปค้นตู้เสื้อผ้าไป เขาหาอยู่นานกว่าจะฉุกคิดได้ว่าวันนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมากมายทำให้เขายังไม่ได้เคลียร์เรื่องสำคัญ

ลู่เหยียนโยนเสื้อกั๊กกลับไป ก่อนจะลงมือค้นเบอร์ของ ‘ซุนเฉียน’ ที่อยู่ในบันทึกการโทรออกมา

เสียงตื๊ดดังอยู่สองครั้งก็มีคนรับสาย

ทันทีที่สายถูกรับก็มีเสียงเพลงไนต์คลับสุดฮิตระเบิดออกมาทำเอาหูแทบดับ และเนื่องจากเสียงที่ว่านั้นดังมาก ตอนเสียงดังลอดโทรศัพท์ออกมาเลยมีเสียงแตกอยู่บ้าง [ซ่าๆๆ สังคมสั่นคลอน! ช็อปนาฬิกาๆ! ฉันฟุบตัวอยู่ในผ้าห่มเก่าๆ! ไม่โยกไม่ได้แล้ว!]

“…”

ลู่เหยียนเอามือถือออกห่างจากหูไปนิดหนึ่ง “พี่เฉียน”

จากนั้นปลายสายถึงมีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังออกมา เสียงพูดดังกว่าเสียงเพลงไนต์คลับ เขาตะโกนเต็มเสียง [รอเดี๋ยว! ฉันกำลังยุ่ง!]

เสียงหายไปพักหนึ่ง

หลังจากนั้นก็มีเสียงดังมาอีกประโยค [กล้ามาเสพยาในร้านเหล่าจือ…โยนมันออกไปแล้วแจ้งตำรวจด้วย! โยนไปไกลๆ หน่อย เอาให้ห่างจากผับเราไปสักแปดถนน…ลู่เหยียน ตกลงนายมีเรื่องอะไร]

ลู่เหยียนดูปฏิทิน วันนี้เป็นวันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคม เขาจึงมีความรู้สึกว่าวิธีเข้าเรื่องสำคัญควรจะต้องอ้อมค้อมนิดหนึ่ง “พี่เฉียนครับ สุขสันต์วันแรงงาน วันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคมนะครับ”

ตอนนี้ซุนเฉียนกำลังยืนอยู่หน้าประตูผับ เขาเพิ่งจัดการคนที่เข้าไปแอบในห้องน้ำเสร็จ กำลังอารมณ์เสียได้ที่

[วันผีบ้าอะไร] ซุนเฉียนทนไม่ไหวแล้ว [ลู่เหยียน นายมีอะไรก็รีบพูดมา!]

ลู่เหยียนถึงค่อยบอก “คืองี้ครับ ผมทำผมเสร็จแล้ว เอาใบเสร็จไปเบิกได้ใช่หรือเปล่าครับ”

[อะไรนะ…]

ซุนเฉียนเปิดผับอยู่แถวๆ ย่านการค้าของเมืองซย่าจิง ถึงจะเป็นร้านเก่าแก่แต่นโยบายสมัยนี้เข้มงวดกวดขันมากขึ้นเรื่อยๆ การเปิดผับไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าวัยรุ่นสักกลุ่มมาแอบจัดปาร์ตี้เสพยากันตอนกลางคืนแล้วถูกจับ ต่อให้เขากระโดดลงแม่น้ำหวงเหอเพื่อล้างตัวยังไงก็ล้างไม่สะอาด หากไม่ระวังเป็นได้โดนใบเตือน

ตามปกติแล้วซุนเฉียนงานยุ่งมาก พอได้ยินเรื่องทำผม เขาจึงนึกไม่ออกไปชั่วคราว

จนลู่เหยียนบอก “ไอ้ผมทรงเซ่อซ่าหลากสีที่ดูไกลๆ เหมือนกองไฟ ดูใกล้ๆ เหมือนไม้กวาดนั่นไงครับ ผมขอร้องให้พี่เป็นคนใจดีมีเมตตาหน่อยนะ”

ลู่เหยียนตั้งวงขึ้นมา รวมกันเป็นเด็กหนุ่มสี่คน เล่นประจำที่ร้านของซุนเฉียนมาเกือบสี่ปีแล้ว

อาทิตย์ที่แล้วซุนเฉียนเสนอให้ลู่เหยียนเปลี่ยนไปทำผมที่มีความพิเศษมากขึ้น

แต่…

“พี่เฉียน” ระหว่างที่ซุนเฉียนกำลังใช้ความคิด บาร์เทนเดอร์คนหนึ่งก็เดินออกมาจากในร้าน ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรอยากคุยด้วย

ซุนเฉียนปวดหัวมาก เขาโบกมือให้บาร์เทนเดอร์คอยเดี๋ยว [ผมทรงนั้นเซ่อซ่าที่ไหน! หล่อเท่ชัดๆ! บอกได้สองคำว่าหล่อโคตร! สมัยพี่เฉียนของนายทำวงตอนหนุ่มๆ ผมทรงนี้ฮิตมาก ตอนนั้นฉันก็ทำทรงนี้ วัยรุ่นอย่างพวกนายสมัยนี้ไร้รสนิยมจริงๆ แต่การแสดงของวงนายคืนนี้แคนเซิลแล้วไม่ใช่เหรอ]

“แคนเซิล?”

[ใช่ เมื่อกี้เอง ต้าหมิงกับซวี่จื่อ* โทรมาหาฉัน บอกว่ามาไม่ได้ ฉันนึกว่าพวกนายคุยกันแล้วซะอีก ฉันยังถามพวกเขาเลยว่านายรู้เรื่องนี้หรือเปล่า แต่พวกเขาสองคนอึกๆ อักๆ อยู่นานกว่าจะบอกว่ารู้แล้ว]

ระหว่างที่ซุนเฉียนพูด ปลายสายก็เงียบเสียงไป

ซุนเฉียนอยากถามว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่สุดท้ายพูดออกไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้พูดต่ออีก [พวกนาย…เฮ้อ]

จนลู่เหยียนวางสายก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองพูดอะไรออกไป และเขาบอกอะไรซุนเฉียนบ้าง

สมองเขาว่างอยู่นานมาก

เสียงมือถือดังขึ้น บนนั้นมีข้อความที่เหมือนกันสองข้อความ

ข้อความหนึ่งเป็นของหวงซวี่ ส่วนอีกข้อความเป็นของเจียงเย่าหมิง

 

[หวงซวี่] / [เจียงเย่าหมิง] พี่ครับ เราสองคนไม่ทำแล้วนะ

 

ข้อความต่อมาคือคนที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งรู้เรื่องนี้

 

[หลี่เจิ้น] ??????

[หลี่เจิ้น] นี่มันเกิดอะไรขึ้น! พวกเขาพูดจาเหลวไหลอะไร!

[หลี่เจิ้น] วันนี้เป็นวันแห่งการโกหกเหรอ

[หลี่เจิ้น] แต่วันนี้มันวันแรงงานนะ!

[หลี่เจิ้น] ชิบ เรื่องจริงงั้นเหรอ?!

 

ลู่เหยียนจ้องจอมือถือก่อนจะหลับตา และเมื่อลืมตาอีกครั้งเขาก็พิมพ์ตอบกลับไปว่า ‘เอาจริง แล้วพิมพ์เพิ่มอีกสองประโยค

 

[ลู่เหยียน] ทั้งสองคนออกมาเจอกันหน่อย

[ลู่เหยียน] ที่เดิมนะ

 

พอลู่เหยียนส่งข้อความเสร็จ เขาก็ไม่สนใจแล้วว่าหลี่เจิ้นจะตอบว่าอะไร ชายหนุ่มโยนมือถือไปด้านข้าง

สายตาของเขาจดจ้องอยู่ที่วอลล์เปเปอร์ที่เป็นด่างดวง บนนั้นมีโปสเตอร์แปะอยู่ ถึงจะบอกว่าเป็นโปสเตอร์ แต่ความจริงเป็นรูปที่ลู่เหยียนถ่ายเองแล้วพริ้นต์ออกมา

ฉากในโปสเตอร์เป็นผับ มีไฟสลัวส่องลงมาจากเหนือศีรษะ ทำให้เวทีที่ฝืนเบียดกันได้สี่คนเหมือนจะเปล่งประกาย

ด้านล่างเวทีเป็นมือที่ชูสูง

พวกเขาเร้นตัวอยู่ในความมืดและส่งเสียงเชียร์ตามวิธีของตัวเอง

บนเสาหน้าเวทีแขวนผ้าเอาไว้หนึ่งผืน

ผ้าผืนนั้นมีลักษณะเหมือนธง บนนั้นมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษสี่ตัวว่า ‘VENT’

ด้านล่างสุดของโปสเตอร์เขียนว่า

 

‘สมาชิกของวง นักร้องนำ-ลู่เหยียน, มือกลอง-หลี่เจิ้น, มือกีตาร์-หวงซวี่, มือเบส-เจียงเย่าหมิง’

 

ที่เดิมที่ลู่เหยียนบอกคือแผงลอยข้างถนน

ตามปกติพอทำการแสดงเสร็จ พวกเขามักจะมาดื่มเหล้า คุยเรื่องเพลง คุยเรื่องการแสดง คุยเรื่องสัพเพเหระสนุกๆ กันที่นี่เป็นประจำ

ตอนที่หวงซวี่กับเจียงเย่าหมิงโผล่ออกมาตรงทางตัดข้างหน้า บาร์บีคิวก็ถูกย่างไปพอสมควรแล้ว หลี่เจิ้นคนเดียวดื่มเบียร์หมดไปสองขวด เขากอดขวดเบียร์พลางระบายความรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว “จะบอกให้เร็วหรือช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ ดันเลือกมาบอกเอาตอนจะเริ่มทำการแสดงเนี่ยนะ มีเรื่องอะไรที่ทุกคนคุยกันไม่ได้? ฮะ? พี่น้องกันนะโว้ย พี่น้องกัน ทำกันแบบนี้เหรอ”

ลู่เหยียนนั่งอยู่ข้างเขา เคาะเถ้าบุหรี่ทิ้ง ไม่พูดอะไร

“พี่เหยียน พี่เจิ้น” หวงซวี่ตัวไม่ได้สูง รูปร่างผอมบาง เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงลังเลแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประดักประเดิด “ทรงผมพี่เหยียนอินเทรนด์มากเลยนะครับ”

เจียงเย่าหมิงยืนอยู่ด้านหลัง ผงกศีรษะ “อินเทรนด์มากจริงๆ มองเห็นได้แต่ไกลเลย”

ทั้งสี่คนนั่งโต๊ะเดียวกัน บรรยากาศอึมครึม

ถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนร่วมวงที่อยู่ด้วยกันมานานถึงสี่ปี ลู่เหยียนจึงทำลายความเงียบว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไหนว่ามาซิ”

หวงซวี่กับเจียงเย่าหมิงสองคนก้มหน้า ไม่พูดไม่จา สักพักหวงซวี่ถึงพูดเสียงตะกุกตะกัก “แม่ผมป่วย…”

พวกเขาสองคนเหมือนกันมาก ตอนอายุสิบหกแบกเครื่องดนตรีตระเวนไปทั่วท่ามกลางการคัดค้านอย่างเต็มกำลังของคนที่บ้าน ไม่มีใครเข้าใจว่าอะไรคือวงดนตรี อะไรคือ ‘ร็อกแอนด์โรลไม่มีวันตาย’

แต่ในเวลาเดียวกันกับที่ชีวิตมอบความกล้าให้แก่พวกเรา มันก็คอยสอนให้พวกเรายอมแพ้อยู่เรื่อยๆ

จะทำวงได้สักกี่ปี

จะอยู่ใต้ดินได้สักกี่ปี

การฝึกแบบไม่แยกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนด้วยอารมณ์เร่าร้อนตอนนี้ตกค่ำเป็นต้องนอนตาค้างอยู่บนเตียงเพราะนอนไม่หลับ สิ่งที่วนเวียนอยู่ในสมองไม่หยุดคือความคิดที่ไม่รู้ว่าแตกหน่องอกรากออกมาตอนไหนว่าพอได้แล้วมั้ง

ความจริงการแยกวงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด

มีให้เห็นบ่อยถมเถไป

หลายปีมานี้ในงานซ้อมใหญ่ของหลุมหลบภัย วงดนตรีหลากหลายรูปแบบในหลุมหลบภัยล้วนมาแล้วไป เป็นวงแล้วแยกวง

ความฝันแสนแพรวพราว ความจริงแสนจริงแท้ ตอนเป็นวัยรุ่นบุกตะลุยเพื่อปณิธาน ไล่ตามความฝัน แต่พอผ่านไปหลายปีถึงค่อยรู้ว่าสุดท้ายมันมีสายใยที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้อยู่บนตัว พอมันออกแรงกระตุก ก็ต้องกลับไป

ลู่เหยียนจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองสูบบุหรี่ไปกี่ตัว “…ร่างกายของคุณน้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตัดสินใจแล้วใช่ไหม”

หวงซวี่เงยหน้าทันควัน เขากลั้นไว้ต่อไปไม่ไหว น้ำตาไหลริน พูดเสียงสะอื้น “พี่เหยียน”

อันที่จริงลู่เหยียนไม่เก่งเรื่องการรับมือกับบรรยากาศเศร้าๆ แบบนี้ เขาจึงลุกขึ้นเพื่อเดินไปหยิบเหล้าจากตู้แช่ “คุยกันดีๆ อย่ามางอแงต่อหน้าเหล่าจือ”

หลี่เจิ้นวางขวดเหล้าที่กอดลงพลางว่า “ร้องไห้แงๆ หาอะไร คนไม่รู้จะนึกว่าเราเล่นซีรี่ส์ดราม่าที่ฉายตอนสองทุ่ม”

มื้อส่งท้ายมื้อนี้กินกันถึงสี่ทุ่มกว่า

กิจการของแผงเซาเข่า* ดีมาก เด็กหลายคนมารวมตัวกันที่แผง เขตซย่าเฉิงไม่ใช่พื้นที่ที่เจริญที่สุด แต่คนในพื้นที่ต่างคนต่างก็พยายามแข่งขันเพื่อที่จะเอาชนะกัน เมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ข้อดีเพียงข้อเดียวของเขตพื้นที่นี้คือกลางคืนมองเห็นดาว

ท้องฟ้าในวันนี้เป็นเหมือนกับทุกๆ วัน

หลังอาหารมื้อนี้สิ้นสุด ลู่เหยียนไม่ได้นั่งรถสาธารณะ แต่ใช้วิธีเดิน เนื่องจากดื่มเหล้าไปเยอะเกินไป พอเดินไปได้ครึ่งทาง กระเพาะก็ตีกลับเลยต้องนั่งยองเพื่ออาเจียนแห้ง

อาจเพราะดื่มไปเยอะ ชายหนุ่มจึงมองเงาที่เกิดจากไฟริมทางแล้วนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนเจอหวงซวี่กับเจียงเย่าหมิงครั้งแรก

อันที่จริงฝีมือการเล่นของสองคนนี้ไม่ได้โดดเด่นนัก ที่เขากับหลี่เจิ้นไปเจอก็เพราะพวกเขาไปเทสต์กับวงอื่นแล้วไม่ได้รับเลือก แต่ตอนนั้นเด็กหนุ่มสองคนนี้มีไฟเต็มตัว เวลาพูดถึงดนตรีดวงตาจะเป็นประกาย

ในสมองมีภาพหมุนวนภาพแล้วภาพเล่าจนมาถึงแผงเซาเข่า ดวงตาของหวงซวี่ไร้ประกายตอนบอกว่า ‘ผมซื้อตั๋วรถเที่ยวกลับเอาไว้แล้ว เป็นตั๋วรถไฟเที่ยวอีกสามวันข้างหน้า อาการของแม่ผมกำลังทรงตัว คนที่บ้านหางานในตัวเมืองไว้ให้ผมเรียบร้อย เป็นงานซ่อมรถ…สมัยก่อนตอนเรียนอยู่อาชีวะผมเคยเรียนด้านนี้ แต่ไม่ได้เรียนจนจบ ถึงอย่างนั้นรายได้ก็ค่อนข้างมั่นคง’

ลู่เหยียนยันตัวกับราวข้างทาง หนทางข้างหน้าเหมือนภาพลวงตา ท่ามกลางแสงที่ตัดสลับกันมันดูไม่เหมือนความจริงเอามากๆ

เขาใช้เวลาเดินกลับที่พักถึงหนึ่งชั่วโมงกว่า ในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่านี้ ลู่เหยียนมีเรื่องให้คิดกลับไปกลับมามากมาย

ฤดูร้อนเมื่อสี่ปีก่อน ตอนนั้นวงของพวกเขาเพิ่งตั้งใหม่ๆ เป็นวงที่พอพูดชื่อออกไปก็ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ทุกคนเข้าขากันดีมาก ถ้าจะหาคำมาบรรยายก็ต้องบอกว่าร่วมแรงเป็นหนึ่ง พวกเขาใช้แรงกายเพื่อแสดงเจตจำนงว่าเปิดทาง นี่เป็นที่ของเหล่าจือ!

ตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2019 พวกเขาซ่อนอยู่ในหลุมหลบภัยในเมืองแบบลืมวันลืมคืน เป็นความบ้าคลั่งลำพองที่อยู่ภายในห้องว่างอันเร้นลับ มืดดำ ปิดทึบ

ลู่เหยียนเดินไปถึงหน้าประตูโซนเจ็ด ท่ามกลางซากปรักหักพัง อาคารหมายเลขหก ยูนิตที่สามเปิดไฟสว่างไว้หลายดวง

ขึ้นตึก

เปิดประตู

ลู่เหยียนยืนอยู่ในห้องอาบน้ำแล้วถึงเพิ่งตื่นจากภาพลวงตา น้ำเย็นจัดราดรดศีรษะ พอสระผมทรงไม้กวาดตั้งสูงบนหัวเขาก็ลู่ลงมาแนบสนิท

ผมทรงบ้าบอที่ทำเพื่อการแสดง สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกนำขึ้นแสดง

บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน

อาจเป็นความเสียใจ

ถ้ารู้แต่แรก เขาจะทุ่มเททำไปเพื่ออะไร

พอลู่เหยียนอาบน้ำเสร็จ เขาไม่สนใจจะเช็ดผมให้แห้ง ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งยันซิงก์ไว้ ส่วนมืออีกข้างหยิบกรรไกรมาเล็งเพื่อหาจุดตัดที่ดีที่สุด

หลังทำไปได้สักพัก น้ำยาย้อมผมก็เริ่มหลุดออก สีแดงกับสีม่วงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำดังเดิม เพียงแต่ยังไม่ค่อยสม่ำเสมอ ยังมีจุดที่เป็นด่างดวงแตกต่างกัน

สุดท้ายลู่เหยียนใช้ความรู้สึกในการตัดผมแบบส่งๆ ไปสองสามฉับ

เศษผมติดหน้า เขาจึงใช้น้ำล้างหน้า เมื่อล้างเสร็จก็ลืมตาดูในกระจก

หลังตัดผมสั้นก็เหลือปลายผมที่ยังเป็นสีย้อมแบบเห็นไม่ชัดอยู่สองสามปอย ลู่เหยียนที่ไม่ได้ตัดผมสั้นมาสองสามปีลูบต้นคอด้านหลังที่เผยออกมาข้างนอกอย่างรู้สึกไม่คุ้นชินเอามากๆ

บทที่ 6

หลังมื้อเลี้ยงส่ง ลู่เหยียนไม่ได้ออกจากบ้านสองวัน

นอกจากนอนแล้ว เขาก็แทบไม่ได้ทำอย่างอื่น พอหิวก็ต้มบะหมี่ กินเสร็จก็ล้มตัวลงนอน

มือถือแบตฯ หมด เครื่องเลยดับไปโดยอัตโนมัติ ทว่าลู่เหยียนไม่สนใจ เอาแต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

เขาบอกไม่ได้ว่าเวลานี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ กำลังหนีหรือทำใจ

หลังเจียงเย่าหมิงกับหวงซวี่ออกจากวง การแสดงทั้งหมดของวงก็หยุดชะงักเป็นการชั่วคราว และไม่ใช่แค่การแสดง แม้แต่ช่วงเวลาที่ใช้สำหรับซ้อมใหญ่ประจำสัปดาห์ที่เคยมีอยู่มากมายตอนนี้เวลาเหล่านี้กลับถูกลบให้กลายเป็นความว่างเปล่า

ความว่างนี้ค่อยๆ รัดพันเหมือนเถาวัลย์ที่มองไม่เห็น

อันที่จริงชีวิตของลู่เหยียนก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมาก

ในที่สุดเช้าวันที่สามเขาก็ลุกขึ้นมาล้างหน้า โกนตอหนวดที่ขึ้นมาอย่างประณีตจนเกลี้ยงเกลาก่อนไปทำผมใหม่ที่ร้านตัดผม จากนั้นก็กลับมาต้มน้ำร้อน ระหว่างคอยน้ำเดือด เขาตั้งใจหาสายชาร์จ แต่ค้นตู้อยู่นานสองนานกลับเจอแผ่นซีดีที่มีภาพวาดหยาบๆ แผ่นหนึ่ง

มันเป็นอัลบั้มแรกของวงพวกเขา

โดยเฉพาะการตั้งชื่อนั้นดูเบียว* เสียเหลือเกิน นั่นก็คือ ‘ปีศาจกินคน’

ลู่เหยียนเป็นคนวาดปกอัลบั้มเอง เขาวาดหัวแพะภูเขาด้วยอารมณ์ศิลปินแนวแอ็บสแตร็กต์ ชายหนุ่มไม่เคยเรียนวาดรูป แต่เพราะงบประมาณส่วนใหญ่ถูกนำไปลงกับห้องอัดแล้ว เขาเลยจำเป็นต้องทำเอง

เพลงไตเติ้ลมีเอกลักษณ์โดดเด่น จุดที่เสียงสูงที่สุดในเพลงเริ่มด้วยเสียงใสทุ้มต่ำสองประโยคของลู่เหยียน จากนั้นก็เป็นการรัวกลอง ใส่ทำนองแบบจัดเต็ม

 

“ทุบอดีตให้แหลก

ยังจะเหลือไว้ให้ใคร

รีบไปสิ

รีบไปสิ

รีบไปสิ

เรียกหาเทพอะไรล่ะ

ต่อให้ต้องร่วงลงมาไม่หยุดก็ไม่เป็นไร”

 

จังหวะรุนแรงมีความบ้าคลั่งราวกับอยากฉีกทึ้งทุกสิ่ง

อัลบั้มถูกส่งไปขายที่ร้านขายแผ่นเสียงแล้วปรากฏว่าขายดีเกินคาด เจ้าของร้านขายแผ่นเสียงหยอกพวกเขาเล่นว่า ‘เมื่อไหร่จะเปิดคอนเสิร์ตล่ะ’

‘สักวันครับ’ ตอนนั้นเจียงเย่าหมิงปาดเหงื่อ พูดอย่างมีไฟ ‘เราจะต้องไปยืนอยู่บนเวทีที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุด!’

 

ลู่เหยียนหาสายชาร์จเจอแล้วก็เสียบเข้ากับมือถือ พอเครื่องบูตอัตโนมัติ ลู่เหยียนก็เห็นเบอร์ที่ไม่ได้รับสายมากมาย

ซุนเฉียน หลี่เจิ้น หวงซวี่…

ลู่เหยียนโทรกลับหาซุนเฉียนก่อนเป็นคนแรก

การแคนเซิลการแสดงแบบกะทันหันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีการประกาศเรื่องการแสดงออกไปหลายวันแล้ว การแคนเซิลอย่างกระชั้นชิดย่อมต้องส่งผลกระทบต่อผับ ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องชดใช้ให้ซุนเฉียน

แต่ซุนเฉียนเป็นคนใจกว้างเปิดเผย ไม่ใช่คนที่จะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้ เทียบกับเรื่องการแสดงแล้ว เขากลับนึกห่วงวัยรุ่นสี่คนนี้มากกว่า [จะขอโทษอะไรฉันนักหนา สุดท้ายแล้วพวกนายสี่คนคุยกันว่าไง]

ลู่เหยียนไม่พูดมาก เพียงแค่บอกไปว่า “ที่บ้านพวกเขาสองคนมีปัญหาครับ”

เมื่อก่อนซุนเฉียนเคยเล่าว่าเขาเคยทำวงตอนสมัยหนุ่มๆ ไหนเลยจะฟังความหมายจริงๆ ที่อยู่เบื้องหลังประโยค ‘ที่บ้านมีปัญหา’ ไม่ออก

วงประจำโรงเรียนที่เขาตั้งขึ้นมาในตอนนั้นก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ทุกคนต่างแยกกันไปหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ทำงาน แต่งงาน มีลูก…

ซุนเฉียนถอนหายใจอยู่ในอกเงียบๆ

วงของพวกลู่เหยียนไม่ใช่วงแรกที่มาเล่นประจำที่ผับของเขา วัยรุ่นกลุ่มนี้ตั้งวงกันมาแล้วก็แยกกันไป แต่แน่นอนว่าชื่อวง ‘จอมปีศาจ’ นี้เป็นวงที่เล่นประจำมานานที่สุด

สี่ปี

ในช่วงระยะเวลาสี่ปีนี้เขามีความรู้สึกแบบไหนกัน ซุนเฉียนจำได้ว่าตอนนั้นลู่เหยียนเป็นนักร้องนำที่ไม่เคยขึ้นเวทีมาก่อน

ทักษะการคุมเวทีของเขาไม่เอาอ่าวเสียเลย จนเกิดอุบัติเหตุระหว่างการแสดงเป็นระยะ ไมค์ตกเวทีสองสามครั้ง ครั้งที่หนักที่สุดคือคนร่วงลงจากเวทีไปพร้อมกับไมค์

ซุนเฉียนมีความรู้สึกว่าขนาดคนนอกอย่างตนยังเห็นว่าเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก แล้วนับประสาอะไรกับลู่เหยียน เขาจึงปลอบอีกฝ่ายว่า [ชีวิตคนเราก็แบบนี้ ความฝันมันลวงตา บางครั้งเราคุยเรื่องความฝันเอาไว้มาก แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม โดยเฉพาะร็อกแอนด์โรล…นายอย่าท้อใจเลย วงการเรามันก็เป็นแบบนี้ อยู่ใต้ดินยังพอได้ แต่ถ้าอยากจะขึ้นไปอยู่บนดินมันยากมาก]

ลู่เหยียนไม่พูดอะไร

ซุนเฉียน [ชีวิตน่ะนะบางครั้งมันจะสอนให้นายรู้จักการประนีประนอม]

ซุนเฉียนกำลังพูดๆ อยู่ ทันใดนั้นลู่เหยียนกลับเรียกเขา “พี่เฉียนครับ”

ซุนเฉียน [?]

“แต่ผมคิดว่า…” ตอนที่ลู่เหยียนพูดนั้นมันเหมือนกับว่าความรู้สึกของเขาได้ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ครึ่งประโยคหลังของชายหนุ่มจึงทอดเสียงช้าลงมาก “…ชีวิตไม่เคยเป็นสิ่งที่จะประนีประนอมกันได้”

ซุนเฉียนฟังคำพูดประโยคนี้แล้วนิ่งงันไป

ลู่เหยียน “เลิกคุยกันดีกว่าครับพี่เฉียน อีกเดี๋ยวผมยังต้องไปส่งพวกเขาสองคนที่สถานีรถไฟ”

ลู่เหยียนเก็บของเตรียมออกเดินทาง อยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังสนั่นมาจากนอกประตู

เป็นเสียงเตะประตู

ตามมาด้วยเสียงอาละวาดที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของหญิงสาวแปลกหน้า “นังไพร่ มายั่วผัวคนอื่นแล้วยังคิดว่าวันนี้จะรอดไปอีกเหรอ ออกมานะ…”

ทันใดนั้นห้องหกศูนย์หนึ่งก็เปิดประตู

 

ผู้หญิงห้องหกศูนย์หนึ่งเป็นคนที่ลู่เหยียนไม่รู้จักชื่อ วันนี้เธอสวมชุดเดรสเปลือยหลังสีดำ แต่งตัวแบบคนที่ขายเรือนร่าง ท่าทางเหมือนเพิ่งจะกลับมาถึงที่พักได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้ล้างเครื่องสำอาง หน้าตามีแต่แววเหนื่อยล้า ลิปสติกกับอายแชโดว์หนาเตอะ นับเป็นความสวยที่ดูราคาถูกมาก

เธอพิงกรอบประตู นิ้วคีบบุหรี่สำหรับผู้หญิงมวนเรียวยาว พอเธอเปิดประตูห้องหกศูนย์หนึ่งก็ถูกผู้หญิงแปลกหน้าที่มาทุบประตูตบจนหน้าหันหนึ่งฉาด

แต่เหมือนเธอจะไม่ใส่ใจเลยสักนิด หญิงสาวทัดผมที่ตกลงมาข้างแก้มไว้ที่หลังใบหู อัดควันเข้าปอดหนึ่งครั้ง “พอได้แล้วหรือยัง”

“ไม่รู้จักดูแลผู้ชายของตัวเองให้ดีเอง” เธอหัวเราะตอนพ่นควัน “จะวิ่งมาโวยวายกับฉันทำไม”

คำพูดประโยคนี้ยั่วให้หญิงแปลกหน้าตาแดง

แต่สาวห้องหกศูนย์หนึ่งไม่คิดจะเจรจากับเธอให้มากกว่านี้ เพียงแค่บอกว่า “ถ้าเธอยังไม่ไปอีก ฉันจะแจ้งตำรวจ”

“เธอจะแจ้งตำรวจ? แจ้งเลย ฉันจะดูซิว่าตำรวจจะจับฉันก่อน หรือจับกะหรี่แบบเธอก่อน…”

เสียงที่เปล่งคำว่ากะหรี่ออกมาแหลมปรี๊ดจนเหมือนจะกรีดแยกอากาศ

สาวห้องหกศูนย์หนึ่งไม่พูดอะไรทั้งสิ้นก่อนจะปิดประตู

ลู่เหยียนที่มองเห็นละครตลกฉากนี้เข้าเต็มๆ รู้สึกวางหน้าไม่ถูก พอเห็นประตูห้องหกศูนย์หนึ่งตอนนี้ มันทำให้เขานึกถึงคุณชายใหญ่นิสัยแย่คนนั้น

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็หาความเชื่อมโยงระหว่างสองคนนี้ไม่ได้เลย

เขามาหาเธอด้วยเรื่องอะไร

เขาอยากพูดอะไรกับเธอเหรอ

แต่คุณชายใหญ่บอกว่าไม่จำเป็นแล้ว

ลู่เหยียนกำลังรู้สึกขัดแย้งว่าเขาควรยุ่งเรื่องของชาวบ้านดีหรือไม่

…ช่างเถอะ

ลู่เหยียนดึงสายตากลับมา

ในใจบอกว่าจะยุ่งให้มากความไปเพื่ออะไร

 

ตั๋วที่ทั้งเจียงเย่าหมิงกับหวงซวี่ซื้อคือตั๋วรถไฟไปเมืองชิงตอนสิบโมงเช้าของวันนี้ หลี่เจิ้นตั้งใจว่าจะโทรบอกเรื่องนี้กับลู่เหยียนเพื่อที่จะถามเขาว่าจะไปส่งคนทั้งสองหรือไม่ แต่กลับโทรไม่ติด

 

สถานีรถไฟคลาคล่ำไปด้วยผู้คน

อากาศร้อนอบอ้าว ทุกที่รอบตัวมีแต่ผู้คนที่เหงื่อไหลไคลย้อยซึ่งกำลังรีบเร่งเดินทาง

ลู่เหยียนมองเห็นสมาชิกสองคนของวงพวกเขาอยู่ในกระแสธารของผู้คนที่ลากกระเป๋าเดินทาง แบกสัมภาระ พร้อมด้วยหลี่เจิ้น ท่ามกลางฝูงชนที่ไหลไปไม่หยุดมีเพียงพวกเขาสองคนที่แบกกระเป๋าเครื่องดนตรีไว้บนหลัง

การมาต่อสู้ที่เมืองซย่าจิงสี่ปีไม่ได้ทำให้สัมภาระของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น

ลู่เหยียนยังเดินไปไม่ถึง หวงซวี่ก็มองเห็นเขาได้แต่ไกล

“พี่เหยียน!” หวงซวี่ตะโกน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเซอร์ไพรส์ “เปลี่ยนทรงผมแล้วเหรอครับ”

ลู่เหยียนยิ้ม “อืม เป็นไง”

หวงซวี่ “หล่อ”

เขากลัวลู่เหยียนจะไม่เชื่อเลยย้ำอีกรอบ “หล่อจริงๆ แต่หล่อไม่เหมือนเมื่อก่อน”

หลังตัดผม ลู่เหยียนดูไม่ได้เป็นกบฏต่อสังคมเหมือนเมื่อก่อน เห็นเครื่องหน้าชัดขึ้น พอปอยผมตรงหน้าผากถูกลมพัดก็กลายเป็นทรงแสกกลาง

“เมื่อคืนฉันโทรหานายไม่ติด ยังนึกว่านายจะไม่มา” หลี่เจิ้นเอ่ย

“มือถือแบตฯ หมด ลืมชาร์จ”

“ยอมนายเลย ทำไมถึงไม่ลืมตัวเองไปด้วยเลยล่ะฮะ”

“ยุ่งน่า นี่ก็มาแล้วไม่ใช่เหรอ” ลู่เหยียนเอาขนมที่ซื้อเตรียมไว้ส่งให้ “กลัวพวกนายมัวแต่จัดการนู่นนี่ ฉันซื้อมาไม่ได้เยอะอะไร เอาไปแบ่งกันนะ”

“จะซื้อของพวกนี้มาทำอะไร” เจียงเย่าหมิงรับมา “พวกเราก็มี”

ลู่เหยียนพูดเสียงเด็ดเดี่ยว “ดีเลย งั้นคืนมาให้ฉัน”

เจียงเย่าหมิง “พี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า”

ลู่เหยียน “คืนมาให้ฉัน”

“มีที่ไหนเอาของที่ให้คนอื่นไปแล้วคืน”

พวกเขายังคงบ่นเรื่องขนมราคาสองสามเหมาที่ไม่มีสารอาหาร ลู่เหยียนเงยหน้ามองตารางรายงานรถไฟขาเข้าบนหน้าจอที่เปลี่ยนเป็นอันล่าสุด จากเมืองซย่าจิงไปเมืองชิง รถไฟขบวนที่เคหนึ่งสองหก “เช็กตั๋วแล้วใช่ไหม”

“เอาบัตรประชาชนมาครบแล้วใช่ไหม”

“เอามาแล้วครับ กลับไปผมจะส่งของประจำเมืองชิงมาให้พวกพี่! เจียงปิ่ง* ของเราสุดยอดจริงๆ…”

ขณะที่เจียงเย่าหมิงกำลังพูดอยู่นั้น ลู่เหยียนก็ก้าวออกไปตบไหล่เขากับหวงซวี่ “ได้ ฉันจะคอยนะ เดินทางปลอดภัย”

หลี่เจิ้นก็เข้าไปร่วมวงด้วย

ภาพที่ผู้ชายตัวโตๆ สี่คนกอดไหล่กันนั้นนับว่าไม่น่าดูเป็นอย่างมาก ลู่เหยียนเตรียมจะปล่อยมือแล้วถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว เขาได้ยินหวงซวี่พูดเสียงเบาสามพยางค์ออกมากลางวงที่เขาทั้งสี่คนเอาหัวชนกันว่า “ผมขอโทษ”

นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกมากจริงๆ

เพื่อนร่วมวงที่อยู่ด้วยกันมาสี่ปีกำลังจะแยกกันไปคนละทิศละทางแล้ว

เมืองซย่าจิงกับเมืองชิงอยู่ห่างกันถึงสองพันกว่ากิโลเมตร

ลู่เหยียนเข้าใจว่าตัวเองทำใจมาสองวันน่าจะโอเคแล้ว แต่พอมาถึงตอนนี้ เขาถึงเพิ่งรู้ซึ้งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับทุกสิ่งที่เขาเตรียมไว้ในสมองช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกเขาสองคนต้องไปแล้วจริงๆ

ถึงหลายปีมานี้ฝีมือการเล่นกีตาร์ของหวงซวี่จะไม่ได้คืบหน้ามาก แต่ต่อไปเขาจะไม่ได้ยินมันอีกแล้ว

เจียงเย่าหมิงชอบติงว่าอารมณ์เบสของตัวเองต่ำเกินไป ตอนอยู่ในห้องอัดเลยแอบปรับระดับเสียงของตัวเองให้สูงขึ้น ทำให้ตอนแสดงเมื่อไปอยู่ใกล้กับลำโพงก็มีเสียงดังปัง

ที่ข้างหูมีเสียงเบาแสนเบาดังมาอีกหนึ่งประโยค “ผมขอโทษ”

ประโยคนี้เป็นของเจียงเย่าหมิง

“ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับขบวนรถเคหนึ่งสองหกกรุณาเตรียมตรวจตั๋วเพื่อขึ้นรถด้วยค่ะ”

เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นรถไฟดังขึ้นเป็นรอบที่สองแล้ว ทั้งคู่ก้มหน้าหาตั๋วกับบัตรประชาชน ลากกระเป๋าเดินทางเตรียมไปตรวจตั๋ว พลันได้ยินเสียงลู่เหยียนดังมาจากด้านหลังของพวกเขาว่า “…พวกนายสองคนเล่นพอหรือยัง”

“จะขอโทษทำไม เอาคำขอโทษกลับไปให้หมด”

“อยากออกจากวงเหรอ”

“ทำเรื่องขอออกจากวงให้ฉันหรือยัง”

คำพูดที่พูดโพล่งออกมาแบบรัวๆ เหมือนประทัดกำลังระเบิดของลู่เหยียนทำเอาอีกสามคนงุนงงไปเลย

“คิดดีนี่”

“ไม่ว่าพวกนายสองคนจะอยู่ที่ไหน ต่อไปจะทำอะไร จะไปขายเจียงปิ่งที่เมืองชิงหรือปลูกต้นหอมอยู่บ้านนอก พวกนายจะเป็นส่วนหนึ่งของ VENT ไปตลอดกาล”

สุดท้ายลู่เหยียนก็พูดว่า “นี่ไม่ใช่การออกจากวงและไม่ใช่การแยกวง วง VENT จะไม่แยกกัน”

หลี่เจิ้นได้สติ “ใช่! ไม่แยกกัน! แต่ขายเจียงปิ่งยังพอว่า ไอ้ปลูกต้นหอมนี่มันอาชีพพิลึกกึกกืออะไรวะ…”

จบประโยคนี้ก็ไม่มีใครพูดอะไรไปพักหนึ่ง

เจียงเย่าหมิงหันหลัง ยกมือเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของหวงซวี่ค่อยๆ แดงขึ้นจนกระทั่งน้ำตาริน “พี่เหยียน…”

ลู่เหยียนพูดจบก็รู้สึกซาบซึ้งมาก ยิ่งเห็นท่าทางของหวงซวี่ ก็ยิ่งทำให้อยากยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเขา

ผลคือวินาทีต่อมาหวงซวี่พูดด้วยน้ำเสียงขาดห้วงปนสะอื้นว่า “เหยียน…พี่เหยียน ผมไปแล้ว พี่ต้องตั้งใจหัดกีตาร์ของพี่นะ…พี่เล่นกีตาร์ได้กากจริงๆ แย่มาก”

“พี่เล่นแย่แล้วยังเรื่องมากอีก น่ารำคาญมากจริงๆ ไม่ใช่มือกีตาร์ทุกคนจะพูดง่ายเหมือนผมนะ เก่ง…เก่งจริงพี่ต้องเล่นเอง…”

มือของลู่เหยียนที่ยื่นออกไปชะงักค้าง

หวงซวี่ร้องไห้จนเกือบสะอึกแต่ยังคงพูดต่อ “พี่ว่านิ้วพี่ยาวขนาดนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร…”

ลู่เหยียน “…”

ลู่เหยียนอยากเอาคำพูดก่อนหน้านี้ของตัวเองกลับคืนมามาก

ยุบวงนี้ไปเลยดีกว่า

ภาพการรวมตัวครั้งสุดท้ายจึงเกือบเป็นการที่หลี่เจิ้นต้องลากตัวลู่เหยียนไว้เพื่อไม่ให้เขาอัดเพื่อนร่วมวงในที่สาธารณะ เจียงเย่าหมิงกับหวงซวี่ร้องไห้ขณะส่งตั๋วให้เจ้าหน้าที่และบอกลา

สุดท้ายรถไฟที่มุ่งหน้าไปเมืองชิงก็ได้พาเด็กหนุ่มวงร็อกสองคนที่เคยแบกเครื่องดนตรีมาถามที่หน้าประตูหลุมหลบภัยว่า ‘วงของพวกพี่กำลังเปิดรับคนหรือเปล่าครับ’ จากไปในฤดูร้อน

 

* จื่อ เป็นคำนามบางครั้งจะใช้ในการเรียกขานชื่อบุคคล

* เซาเข่า คือเนื้อเสียบไม้ปิ้งย่าง

* เบียว มาจากคำว่าจูนิเบียว (Chuunibyou) เป็นคำสแลงในภาษาญี่ปุ่นที่นำมาใช้นิยามโรคเด็ก ม.2 (Middle School 2nd Year Syndrome) หมายถึงการแสดงออกว่าตนเองรู้ไปหมดทุกสิ่ง โดยการแสดงออกที่ว่านี้เป็นไปในเชิงเสียดสีคนที่โตกว่า รวมถึงการคิดว่าตนเองดีกว่า เหนือกว่าทุกคน หรืออาจถึงขั้นคิดว่าตนเองมีพลังวิเศษ

* เจียงปิ่ง คือแป้ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายเครป มักใส่ไข่ ผัก หรือเนื้อต่างๆ ก่อนจะห่อเป็นชิ้นเพื่อให้กินง่าย

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 4 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: