X
    Categories: Color RusheverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Color Rush บทที่ 1 #นิยายวาย

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

 

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การบูลลี่

มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิตและการฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

ตอนที่ 1

 

ทุกครั้งที่มีเรื่องให้เครียด ผมก็มักจะฝันถึงเรื่องนี้…

แม่มองมาที่ผมแล้วยิ้มให้ มือของท่านกำลังหวีผมสีเทาเข้มที่ม้วนเป็นลอน ดวงตากลมโตที่มีชั้นตาซ้อนกันสองชั้นอย่างชัดเจนกำลังยิบหยี มุมปากทั้งสองยกสูง และที่แก้มข้างซ้ายก็มีลักยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา

แม่พูดอะไรบางอย่าง ซึ่งผมไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร ผมเอาแต่เตะเท้าไปมา และน่าจะไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

แม่หยิบที่คาดผมสีเทาออกมา ผมเลยถามแม่ว่าหยิบมันออกมาทำไม ที่คาดผมอันนั้นผมซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดของแม่โดยใช้เงินค่าขนมที่น้าให้ ผมมองไม่เห็นสี แต่ผมก็ซื้อที่คาดผมที่มีสีสันให้แม่ ทั้งที่แม่เองก็คงจะไม่รู้ว่าที่คาดผมนั้นเป็นสีอะไรเหมือนกันเพราะตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว

แม่ยิ้มกว้างก่อนจะหยิบเดรสสีเทาเงินออกมา

“เดรสสีฟ้าอีกแล้วเหรอ”

น้ากำลังนอนไหลอยู่บนโซฟา เธอสวมเสื้อสีเทาเหมือนสีปูนและกางเกงวอร์มสีดำลายทางสีขาว พอน้ายกขาขึ้นมาเหนือตัวผม ผมก็ปัดมันออก น้าจึงทำปากยื่นอยู่สักพัก แม่หัวเราะที่น้าทำแบบนั้นก่อนจะออกจากบ้านไป

ไม่นะ

ผมตะโกนออกไปแม้จะรู้ว่าอยู่ในความฝัน แต่เสียงนั้นกลับเงียบหายไปจนหมด ภาพของแม่ค่อยๆ หายไปจากช่องประตู

ไม่นะ

ผมตะโกนออกไปอีกครั้ง แต่มันก็ไร้ประโยชน์ วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ผมเห็นแม่

และเวลามีเรื่องให้เครียด ผมก็จะฝันถึงเรื่องนี้ทุกครั้ง

 

***

 

พอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าผมก็พบว่าน้ากำลังนอนคว่ำอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ดูเหมือนเมื่อคืนจะดื่มมาหนัก ผมของน้าเป็นผมบ็อบสั้นสีดำ น้าใส่แจ็กเก็ตสีเงินกับกางเกงผ้าที่สีออกไปทางขาวมากกว่าเมื่อเทียบกับสีของแจ็กเก็ต

“เข้าไปนอนในห้องสิ”

ผมลองเขย่าตัวน้า แต่น้าก็แค่ส่งเสียง “อื้อออ” ออกมาแล้วนอนคว่ำลงไปใหม่ แต่สภาพนี้ก็ยังดีกว่าตอนที่น้าทำให้ผมเป็นห่วงจนประสาทเสียเมื่อปีที่แล้ว

ผมกินซีเรียลเป็นอาหารเช้าแบบง่ายๆ นมที่สีเทาจนเกือบขาวกลายเป็นสีเทาเงินเมื่อผสมกับซีเรียลสีเทาและสีเทาเข้ม

หลังจากกินซีเรียลแบบลวกๆ เสร็จแล้วผมก็ไปโรงเรียน ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากไปสักเท่าไหร่ก็ตาม

 

ข้อดีของโรงเรียนสหศึกษาก็คือไม่ค่อยมีกลิ่นเหงื่อ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีพวกผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับเรื่องกลิ่นกาย ส่วนข้อเสียก็คือจะมีพวกปากพล่อยเพื่อให้ตัวเองดูเท่เวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงพวกนั้น

“ชอบโมโนไปจะได้อะไรขึ้นมา”

นั่นเป็นคำพูดที่พูดถึงผมซึ่งเป็น Mono-nerve-chromat (ผู้ป่วยโรคประสาทไม่รับรู้สี)

วันนี้หมอนั่นพล่ามอีกแล้วสินะ

“อย่าไปอยู่ใกล้โมโนนะ เดี๋ยวติดเชื้อโมโนตามไปด้วย”

ผมใส่หูฟังโดยไม่ใส่ใจกับคำพูดพวกนั้น แต่ปัญหาก็คือเสียงของหมอนั่นดันทะลุเข้ามาในหูฟังเนี่ยสิ เสียงดังดีจริงๆ

“พวกโมโนแค่เจอโพรบก็เพ้อแล้วนี่”

“นี่ เลิกแกล้งยอนอูสักทีเถอะ”

เด็กผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุของการกลั่นแกล้งครั้งนี้พูดขึ้น ดูเหมือนเธอจะชื่อซูฮยอน จูฮยอน หรืออาจจะเป็นชื่ออื่น ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยได้สนใจอยู่แล้ว

“ทำไมล่ะ พวกโมโนก็มองเห็นแต่สีเทาอยู่แล้วนี่ ได้ยินว่าต้องเจอโพรบถึงจะมองเห็นสี”

ผมไม่ได้ให้ความสนใจหมอนั่นจนถึงขนาดจะต้องสละเวลาอธิบายให้คนช่างพล่ามอย่างมันฟัง ว่าสีที่ไม่มีวรรณะของสีซึ่งกลุ่มผู้ป่วยโรคประสาทไม่รับรู้สีนิยามเอาไว้นั้นมีถึงสิบชนิดด้วยกัน เพราะผมไม่อยากทำอะไรแบบนั้น

ชื่อของสีที่ผมมองเห็นมีทั้งหมดสิบชื่อ ได้แก่ สีขาว สีเทาจนเกือบขาว สีเทาเงิน สีเงิน สีเทา สีเทาเหมือนสีปูน สีเทาเข้ม สีเทาขนหนู สีเทาดำ และสีดำ

หมอนั่นที่ใส่เสื้อเชิ้ตขาวและสวมทับด้วยแจ็กเก็ตสีเทาที่มีตราโรงเรียนสีเทาเข้มเป็นจุดสังเกตยังคงพูดไม่หยุด ขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะไปฟ้องครูให้หักคะแนนหมอนั่นเรื่องไม่ใส่เนกไทดีมั้ย จู่ๆ ดนตรีที่ฟังอยู่ก็เปลี่ยนเป็นดนตรีเสียงดังหนวกหูแทน เมื่อไม่ได้ยินเสียงของหมอนั่นแล้ว ผมจึงหันหน้ากลับไป

พอผมไม่สนใจ หมอนั่นก็แหกปากราวกับหมูถูกเชือด ก่อนจะดึงหูฟังไร้สายข้างซ้ายที่ผมใส่อยู่ออก ไอ้บ้านี่ ผมไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากที่มีสิ่งสกปรกมาสัมผัสตรงหูของผม ที่ผ่านมาได้แต่ใช้ปากพล่าม แต่ครั้งนี้คงอยากอาละวาด เผื่อว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงสินะ จากนั้นริมฝีปากหนาๆ ที่เหมือนกระจุกอยู่กลางใบหน้าก็เริ่มอ้าออก ตามด้วยคำพูดล้ำเส้นที่ถูกพล่ามออกมา

“ว่ากันว่าแค่โมโนได้เจอโพรบก็ยอมอ้าขาให้แล้วนี่ คนหน้าสวยๆ อย่างแก ถ้าเจอโพรบก็คงจะยอมอ้าขาให้เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ”

หมอนั่นพูดถ้อยคำคุกคามทางเพศใส่ผม มันเป็นคำพูดในแบบที่ถ้าพูดใส่นักเรียนหญิงก็คงวุ่นวายกันทั้งโรงเรียน ขนาดตอนนี้แม้แต่คนที่อยู่รอบๆ ก็ยังไม่อาจซ่อนสีหน้าตกตะลึงเอาไว้ได้

โง่จริงๆ ต่อให้เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ชอบฉัน แต่เธอก็ไม่มีวันชอบคนอย่างแกหรอก

จู่ๆ ผมก็นึกถึงสิ่งที่น้าเคยสอนเมื่อตอนเด็กๆ ขึ้นมา น้าคงคิดว่าต้องดูแลผมแทนพ่อกับแม่ทั้งที่ตัวเองก็อายุยังน้อย จึงได้สอนทุกอย่างโดยไม่เลือกว่าเรื่องไหนควรสอน เรื่องไหนไม่ควรสอน แล้ววันหนึ่งน้าก็สอนสิ่งที่เรียกว่าศิลปะการต่อสู้ให้กับผม

‘ชเวยอนอู’

น้าเรียกผมที่อยู่ในชุดนักเรียนอนุบาลด้วยน้ำเสียงจริงจัง

‘จุดตายของคนเรามีสามจุด ร่องริมฝีปากบน ลิ้นปี่ แล้วก็หว่างขา’

‘หว่างขาคืออะไรเหรอฮะ’

‘ก็ตรงที่ช้างน้อยห้อยอยู่นี่ไง’

‘อ๋อ แล้วทำไมถึงเรียกว่าหว่างขาล่ะฮะ’

‘เพราะมันอยู่ตรงกลางระหว่างขายังไงล่ะ ก็เลยเรียกว่าหว่างขา’

‘หว่างขา’

‘ยอนอูของน้าฉลาดจริงๆ ไม่ต้องชกหลายหมัดหรอก เล็งหมัดเดียวไปที่จุดตายก็พอ’

น้าบอกว่านั่นเรียกว่าศิลปะการต่อสู้ ตอนผมเด็กๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ตอนที่น้าอายุมากขึ้นและโดนข่มขู่ น้าก็ได้แสดงให้ผมเห็นกับตาจนผมเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าเทคนิคนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจเรียนรู้ได้จากคำพูดเพียงอย่างเดียว

ผมลองเล็งจุดตายของหมอนั่นดู ถ้าชกเข้าไปที่ลิ้นปี่ คงจะถูกชั้นไขมันบริเวณหน้าอกดูดซับไปหมด และผมก็ไม่อยากเอาขาของตัวเองไปแตะที่หว่างขาของหมอนั่นด้วย ดังนั้นจุดที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดก็คือร่องริมฝีปากบน แต่ผมก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป เพราะผมคงรู้สึกผิดถ้าเกิดตาจมูกปากของหมอนั่นต้องไปกองอยู่กลางใบหน้ามากขึ้นกว่าเดิม

“เอาหูฟังของฉันคืนมา”

พอผมทำหน้าบึ้งและพูดแบบนั้นออกไป หมอนั่นก็สะดุ้งเล็กน้อย แต่แล้วก็เริ่มเปิดปากพูดอีกครั้ง คงเพราะชอบใจที่ผมมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็ว น่ารำคาญจริงๆ

“แกเป็นผู้ชายจริงมั้ยเนี่ย อ้าขาให้โพรบพร้อมทำหน้าสวยๆ แบบนั้นใช่มั้ยล่ะ ใช่ล่ะสิ”

สิ่งที่มันทำได้ก็มีแค่การพูดจาต่ำๆ แบบนี้สินะ ในที่สุดผมก็เลยถอดหูฟังอีกข้างออกแล้วขว้างลงพื้นด้วยความรำคาญ ผมรู้สึกได้ว่าเพื่อนร่วมห้องกำลังมองมาด้วยความตื่นตกใจ

“ถ้าฉันเอาหูฟังที่ถูกมนุษย์โสมมอย่างแกสัมผัสกลับมาใส่ในหูอีกครั้ง หูของฉันก็คงจะหนวก”

คำพูดของผมทำให้ใบหน้าของหมอนั่นบูดเบี้ยว ถ้าชกเข้าที่ร่องริมฝีปากบนก็คงโดนจมูกไปด้วย แค่นี้ดั้งของหมอนั่นก็แหมบอยู่แล้ว ขืนโดนต่อยเข้าไปอีก ใบหน้านั้นก็คงจะดูเหมือนแป้งที่นวดแล้ว* มากกว่าที่จะเป็นใบหน้าของมนุษย์ ผมจึงต้องอดทนเอาไว้ เพราะถึงยังไงหลังจากปิดเทอมนี้ไปก็ต้องเลื่อนชั้นและเปลี่ยนห้องอยู่ดี คงไม่ต้องเจอกันอีกแล้วล่ะ

“ไอ้เวร คนอย่างพวกแกมันยึดติดกับโพรบมากถึงขนาดก่อเหตุลักพาตัวและฆ่าคนได้”

คำพูดนั้นทำผมหน้าตึง ผู้ป่วยโรคประสาทไม่รับรู้สีถูกเรียกว่าโมโน ซึ่งแตกต่างกับผู้ป่วยภาวะตาบอดสีที่มองไม่เห็นสีเพราะความผิดปกติของเซลล์รูปกรวย เซลล์การมองเห็นของโมโนไม่ได้มีปัญหา เพียงแต่สมองไม่ยอมรับรู้สีเท่านั้น ทว่าก็มีกรณีที่โมโนจะรับรู้สีได้คือเมื่อเห็นใบหน้าของคนคนหนึ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้เป็นพิเศษ โดยเรียกคนคนนั้นว่าโพรบ แต่ปัญหาก็คือผู้ป่วยโรคประสาทไม่รับรู้สีแต่ละคนจะมีโพรบได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น และมีหลายคนที่ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังหาโพรบไม่เจอ

“เมื่อวานก็ออกข่าว บ้าหรือเปล่า คราวนี้ถึงกับกินคนเลยนะ”

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่โมโนบางคนยึดติดกับโพรบมากจนเกินไป ซึ่งเหตุการณ์ความยึดติดที่เชื่อมโยงไปสู่อาชญากรรม…ก็มีไม่ใช่น้อย

“แม่แกก็เป็นโมโนนี่ แล้วพ่อแกยังมีชีวิตอยู่มั้ย”

ผมลุกขึ้นยืน เพราะการไปบอกครูก่อนจะลืมสิ่งที่มันพล่ามนั้นย่อมดีกว่าการทนนั่งฟังมันพล่ามต่อไปเรื่อยๆ แต่ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไป หมอนั่นก็ลุกขึ้นแล้วคว้าแขนของผมเอาไว้ มือของมันเหนียวหนึบไปด้วยเหงื่อ หรือไม่มันก็คงเหงื่อแตกเพราะเห็นว่าอารมณ์ของผมกำลังบูดสุดๆ

“แม่แกเจอโพรบก็เลยทิ้งแกไปสินะ”

“อุ๊ย”

เมื่อได้ยินคำนั้น เพื่อนร่วมห้องต่างก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ มือขวาผมกำแน่น ผมทิ้งหิริโอตตัปปะและเหวี่ยงหมัดเข้าไปกระแทกร่องริมฝีปากบนของหมอนั่นทันที

 

บรรยากาศของห้องผู้อำนวยการดีกว่าที่คิด เครื่องทำความร้อนให้ความอุ่นกำลังดี โซฟาก็นุ่มนิ่ม น้าที่เมาค้างเมื่อตอนเช้ามาปรากฏตัวที่โรงเรียนโดยใส่สูทสีดำทั้งตัว ฝั่งตรงข้ามมีหมอนั่นที่หงอเสียจนหาความกร่างไม่เจอกับผู้หญิงวัยกลางคนที่หน้าตาเหมือนหมอนั่นราวกับแกะ คงจะเป็นแม่ของหมอนั่นไม่ผิดแน่

น้าแนบนิ้วชี้กับนิ้วกลางชิดกันแล้วนวดขมับทั้งสองข้าง หว่างคิ้วของน้าขมวดเป็นรูปตัวอักษรชอน (川) ที่แปลว่าคลอง ดวงตากลมโตของอีกฝ่ายที่มีหนังตาสองชั้นเหมือนแม่กำลังกะพริบปริบๆ ศีรษะก็ค้อมลงเล็กน้อย

“มาต่อยลูกฉันได้ยังไง”

คำพูดโบราณคร่ำครึดังออกมาจากปากแม่ของหมอนั่น จนผมถึงกับคิดว่าแม่ของหมอนั่นแก่ถึงขนาดต้องใช้คำพูดแบบนี้แล้วเหรอ

“คุณแม่ของจินซัง ใจเย็นๆ นะคะ”

อ้อ หมอนั่นชื่อจินซังนี่เอง ตั้งชื่อแบบนี้ลูกก็เลยโตมาเป็นอย่างที่เห็นสินะ หมอนั่นทำหน้าน่าสงสารเท่าที่จะทำได้ แล้วก็พูดเสริมคำของแม่ตัวเอง

“ยอนอูต่อยผม”

“ใช่ เพราะงั้นนายก็เลยสลบคาห้องเรียนไงล่ะ”

ผมก็แค่พูดออกไปตามตรง แต่ปฏิกิริยาของแต่ละคนกลับแตกต่างกันออกไป เลือดมารวมกันที่หน้าของหมอนั่นจนหน้าเปลี่ยนสี แม่ของหมอนั่นเดาะลิ้นราวกับหมดคำจะพูด น้าหยุดนวดขมับแล้วกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแทน ส่วนผู้อำนวยการและครูประจำชั้นที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับหมอนั่นก็เอาแต่กลอกตาไปมา

ผมไม่ได้ปั้นคำพูดขึ้นมาเอง พอผมเหวี่ยงหมัดไปที่ร่องริมฝีปากบนของหมอนั่นก็เกิดเสียงกระแทกดังขึ้น น้ำมันจากจมูกของอีกฝ่ายติดที่ข้อนิ้วของผม แล้วหมอนั่นก็ล้มลงไปกองกับพื้นห้องเรียน โดนแค่หมัดเดียวก็คว่ำแล้วแบบนี้ผมจึงประเมินสภาพของหมอนั่นออกมาได้ห้าพยางค์

“สภาพดูไม่ได้”

สีหน้าของหมอนั่นยิ่งแดงขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และดูเหมือนว่าแม่ของฝ่ายนั้นก็รู้ว่าสภาพของลูกตัวเองดูไม่ได้จริงๆ

“อบรมสั่งสอนกันมายังไงเหรอ”

เธอพูดแบบนั้นพลางชี้นิ้วมาที่ผมกับน้า แล้วคุณล่ะได้รับการสั่งสอนมายังไงถึงได้มาชี้หน้าใส่คนที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกแบบนี้

“เอ่อ คุณแม่ของจินซัง ใจเย็นๆ นะคะ”

“เย็นได้เหรอคะ หน้าลูกฉันดูไม่ได้ขนาดนี้”

“ไม่นะครับ ตั้งแต่ก่อนต่อยก็หน้าตาดูไม่…”

น้ารีบยกมือขึ้นปิดปากผมและใช้แขนอีกข้างหนึ่งล็อกหัวผมเอาไว้ราวกับท่าเฮดล็อก จากนั้นก็ฝืนหัวเราะ “ฮ่าๆๆ” ออกมาอย่างผิดธรรมชาติ

“เรื่องต่อยตีก็เป็นเรื่องปกติของเด็กวัยนี้ไม่ใช่เหรอคะ”

“ตายจริง ดูเหมือนว่าคุณน้าของยอนอูจะโตมาแบบนั้นนะ”

“ใช่ค่ะ เล่นเอาฟันหน้าแตกไปหลายซี่เลย”

น้าพูดแบบนั้นก่อนจะยิ้มอ่อนๆ ออกมา แต่ผมรู้ว่าฟันหน้าของน้าไม่เคยแตก น้าต่างหากที่ทำให้ฟันหน้าของคนอื่นแตก แถมส่วนใหญ่ก็เป็นฟันของเด็กผู้ชาย ซึ่งวีรกรรมของน้าทำให้แม่ของผมต้องเต้นผางอยู่บ่อยๆ

“แค่หมัดเดียวเอง ให้มันผ่านๆ ไปนะคะ”

“คนทำผิดนี่หน้าหนาดีนะ”

“เอ่อ คุณแม่คะ เด็กๆ บอกว่าจินซังพูดแรงใส่ยอนอูก่อนนะคะ”

“อ้าว เพราะแบบนั้นก็เลยใช้กำลังได้งั้นเหรอ โรงเรียนนี้ไม่ดูแลผู้เสียหาย แต่กลับปกป้องคนผิดงั้นเหรอ”

น้าปล่อยแสงเลเซอร์ออกมาจากตาเพื่อเป็นการปรามผมว่าอย่าพูดอะไรพล่อยๆ ออกมา จากนั้นก็ปล่อยมือที่ปิดปากของผมออก

“ฉันจะบอกนักข่าว แล้วก็จะไปสถานีตำรวจด้วย!”

“คุณแม่คะ เราแก้ปัญหากันดีๆ ไม่ได้เหรอคะ”

“ผมไม่อยากแก้ปัญหาดีๆ โอ๊ย!”

คราวนี้น้าหยิกต้นขาของผมแทนที่จะปิดปาก เจ็บชะมัด แต่จะไปแก้ปัญหาดีๆ อะไรกับคนอย่างหมอนั่นได้

“ดูสิ คนที่ต่อยลูกฉันยังไม่ขอโทษเลยสักคำ”

“หมอนั่นก็ยังไม่ได้ขอโทษผมเหมือนกันนะครับ น้า เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อน”

น้าทำท่าเหมือนจะจิกหัว ผมจึงร้องห้ามเอาไว้ แม้หัวด้านหลังของผมจะทุยและดูจับได้ถนัดมือ แต่ถ้าถูกจิกผมเข้าก็จะต้องเจ็บมากแน่ๆ

“หมอนั่น…”

ทันทีที่ผมพูดคำนั้น น้าก็หยิบหมอนอิงที่อยู่ด้านหลังขึ้นมาฟาดผม แม้หมอนอิงจะไม่ได้ทำให้เจ็บมากนักแต่เสียงกระแทกก็ดังไม่ใช่เล่นๆ

“ฉันบอกให้แกอยู่เงียบๆ ไง!”

น้าใช้หมอนอิงฟาดใส่ผมไม่ยั้ง จากนั้นก็โยนหมอนอิงไปที่ผนังห้อง ผมไม่รู้ว่าน้าตั้งใจหรือเปล่า แต่หมอนอิงลอยไปเฉียดแม่ของหมอนั่นพอดิบพอดี

ผมยกการ์ดขึ้นมาตั้งเอาไว้ ส่วนคนอื่นๆ ก็หันหน้าตามหมอนอิงที่ลอยไป แม่ของหมอนั่นทำหน้าตกใจอยู่สักพัก จากนั้นใบหน้านั้นก็เริ่มหงิกมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของน้าก็ยับยู่เช่นกัน น้าคงรู้สึกว่ามือกำลังว่างก็เลยทำท่าจะคว้าของอย่างอื่นมาฟาดใส่ผม ครูประจำชั้นจึงเข้ามาห้าม

“คุณน้าใจเย็นก่อนนะคะ จินซัง เธอเองก็ต้องขอโทษที่เธอพูดแรงใส่เพื่อนสิ”

“ผมก็แค่หยอกเล่นเพราะเห็นว่ายอนอูทำตัวแปลกแยก”

ทันทีที่หมอนั่นผู้ซึ่งตอนนี้ใบหน้าแบนราบราวกับแป้งเกี๊ยวพูดออกมา สีหน้าของครูประจำชั้นก็เปลี่ยนไป ยิ่งไปกว่านั้นคือใบหน้ายับยู่ของน้าก็คลายลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้คลายออกมาเป็นสีหน้าที่ดีสักเท่าไหร่ ริมฝีปากที่เม้มอยู่แน่นขยับออกจากกัน แววตาของน้าเปลี่ยนเป็นแววตาที่เป็นห่วงผม

“ที่โรงเรียนไม่มีใครคบแกเลยเหรอ”

“ไม่มีใครคบอะไรกันล่ะ”

“เพื่อนที่แกสนิทที่สุดในห้องชื่ออะไร”

“…”

คำถามนั้นทำให้ผมปิดปากเงียบ

หลังจากที่แม่หายตัวไป ผมก็ไม่ได้สนใจเพื่อนในห้องเลย เพราะแค่ใช้ชีวิตของตัวเองก็ยุ่งมากพอแล้ว น้าเองก็วิ่งวุ่นไปที่โน่นที่นี่เพื่อออกตามหาแม่พร้อมกับผม แต่ทำไมน้าถึงมาพูดเรื่องเพื่อนที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเอาตอนนี้

ครูประจำชั้นพูดว่า “ไม่ใช่ค่ะ” ก่อนที่จะพูดประโยคที่แทงใจดำผมกับน้าออกมา “ยอนอูคงยุ่งๆ เรื่องที่คุณแม่หายตัวไปน่ะค่ะ”

“เอ่อ คุณครู แล้วก็คุณแม่ของจินซังคะ ขอเวลาให้เราสองคนได้คุยกันสักครู่นะคะ”

ว่าแล้วน้าก็จับต้นแขนของผมดึงให้ลุกขึ้นจากโซฟาโดยไม่สนว่าผมอยากคุยหรือไม่ แม่ของหมอนั่นเบะปาก แต่น้าก็ลากผมออกจากห้องผู้อำนวยการอยู่ดี ที่ระเบียงมีนักเรียนอยู่หลายคน น้าจึงส่งสายตาคมกริบพร้อมพูดเตือนออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ

“ถ้าพวกเธอไม่อยากติดร่างแหในคดีใช้ความรุนแรงไปด้วยก็ไปที่ชั้นอื่นซะ”

นักเรียนคงคิดว่านั่นเป็นคำขู่ ก็เลยรีบแยกย้ายกันไปอย่างว่านอนสอนง่าย เมื่อเหลือกันอยู่ที่ระเบียงกันสองคน น้าก็กางขาออกระยะเท่ากับความกว้างของไหล่ ยกมือขึ้นเท้าสะเอวราวกับวันเดอร์วูแมน จากนั้นก็เอนคอไปด้านหลังแล้วจ้องผมเขม็ง

“แกไม่มีเพื่อนสนิทที่โรงเรียนสักคนเลยเหรอ”

“มีแต่พวกเด็ก ม.ปลาย ปีหนึ่งที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

“แกก็เด็ก ม.ปลาย ปีหนึ่งนะ”

“รู้น่า”

ถ้าผมเป็นผู้ใหญ่ ผมก็คงจะมีประโยชน์ในการช่วยออกตามหาแม่ น้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพ่นมันออกมา

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแกไม่ต้องตามหาแม่อีกแล้ว”

“พูดอะไรน่ะ”

“แกอยู่ ม.ปลาย ปีหนึ่งซึ่งเป็นวัยที่ต้องไปโรงเรียน ฉันไม่ได้จะสั่งให้แกเรียน แต่ฉันแค่บอกให้แกทำตัวให้สมกับเป็นเด็ก ม.ปลาย ปีหนึ่ง จะเล่นเกมทั้งคืนหรือจะมีเรื่องชกต่อยที่โรงเรียนก็ได้”

“แต่ถึงยังไงเพื่อนก็เป็นแค่ความสัมพันธ์ผิวเผินที่พอถึงเวลาสำคัญจริงๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี…”

“แกเขียนคำว่าผิวเผินเป็นภาษาจีนได้มั้ย”

จะมีใครในโลกนี้มานั่งจำอะไรแบบนั้นกัน พอผมมองด้วยความสงสัย น้าก็ยกมือขวาขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ อะไรสักอย่างในอากาศ คงจะเป็นตัวจีนของคำว่าผิวเผินล่ะสิ ผมรู้ว่าน้าเป็นคนที่เอาแต่เที่ยวเตร่แล้วมาตั้งใจเรียนตอนเฮือกสุดท้าย แต่ก็ยังจบจากมหาวิทยาลัยดีๆ

“น้าเรียนสายศิลป์นี่”

ด้วยความที่เรียนจบสายศิลป์จึงทำให้น้าได้ทำงานดีๆ ในสถานีโทรทัศน์โดยที่มีคนเรียกน้าว่าคุณพีดี

“ผมจะเรียนสายวิทย์”

“แกรู้มั้ยว่าการเรียน ม.ปลาย โดยไม่มีเพื่อนสนิทเลยสักคนมันลำบากมากเลยนะ! แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนก็จะยิ่งยุ่งกันมากขึ้น การหาเพื่อนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย”

“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่จำเป็นต้องมีเพื่อน”

“ไม่ มันจำเป็นนะ ดูสิ ขนาดหมอนั่นด่าแม่แกขนาดนั้นยังไม่มีใครเข้าข้างแกเลย”

น้าพูดแบบนั้นพลางมองไปยังหน้าต่างของห้องผู้อำนวยการที่กรุด้วยกระจกขุ่น ไหล่ของน้าลู่ลง ดูเหมือนว่าน้าได้แวะไปที่ห้องเรียนก่อนจะมาที่ห้องผู้อำนวยการ หรือไม่ครูประจำชั้นก็เล่าให้น้าฟังหมดแล้ว เพราะผมบอกน้าไปแค่ว่าผมสอยฟันหมอนั่น แต่น้ากลับรู้เหตุการณ์ทุกอย่าง…

“ฉันจะไม่สั่งให้แกสนิทกับเพื่อนๆ ที่นี่ แต่แกต้องเลิกตามหาแม่ แล้วใช้ชีวิตให้เหมือนเด็กปกติทั่วไป เข้าใจมั้ย”

“น้า”

“ไม่ได้เด็ดขาด NEVER! ทุกอย่างฉันจัดการเอง”

พอพูดจบ น้าก็พิมพ์ข้อความยาวเหยียดลงบนมือถือแล้วกดส่งไปที่ไหนสักแห่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเสียงดัง “เฮ้อ” ราวกับตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

“ชเวยอนอูเชื่อน้าใช่มั้ย”

แล้วน้าก็ขยิบตาให้จนผมเห็นแล้วรู้สึกอารมณ์เสียจริงๆ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 25 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: