Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การบูลลี่
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิตและการฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
ตอนที่ 3
โรงเรียนใหม่ของผมอยู่ใกล้กับบ้านใหม่ของผมมากๆ มันใกล้เสียจนผมคิดไม่ถึงว่าจะใกล้ได้ขนาดนี้ เพราะโรงเรียนอยู่ข้างๆ อพาร์ตเมนต์คอมเพล็กซ์ นี่เอง
[เกิดเหตุชายอายุประมาณห้าสิบปีพยายามจะฆ่าตัวตาย เช้ามืดวันนี้ชายอายุประมาณห้าสิบปีพยายามจะฆ่าตัวตายที่บริเวณระเบียงอพาร์ตเมนต์ของตนเอง จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงซึ่งออกปฏิบัติการก็เกลี้ยกล่อมจนเขายอมล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายได้สำเร็จ สาเหตุก็คือเขาสูญเสียภรรยาที่เป็นโพรบไปเนื่องจากอุบัติเหตุ เขาจึงคิดที่จะตายตามภรรยาไป]
“ดูอะไรแบบนี้แต่เช้าเลยนะ”
น้าเดินซอกแซกเข้ามาปิดทีวี เรื่องที่เกี่ยวกับโมโนส่วนมากจะเป็นอาชญากรรม ถ้าผมกำลังดูอะไรแบบนั้นอยู่ น้าก็จะไม่ให้ผมดู แต่ถึงจะไม่ได้ดู ก็ใช่ว่าจะไม่รู้สักหน่อย
ผมกำลังกินขนมปังทาแยมอยู่ แต่น้าก็เอาขนมปังที่ผมปิ้งและทาแยมแอปเปิ้ลไว้อย่างดีไปจนหมด นี่น้ากำลังเพิกเฉยต่อการลงแรงของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะงั้นเหรอ
“ถ้ารู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม จะออกไปอยู่คนเดียวก็ได้นะ”
น้าเหมือนจะอ่านสายตาของผมออกก็เลยพูดถ้อยคำจิกกัดนั้นออกมา ทั้งที่ตัวเองมีหน้าที่รับผิดชอบเลี้ยงดูผมในฐานะผู้ปกครองตามกฎหมายแท้ๆ ผมยอมแพ้แล้วปิ้งขนมปังและทาแยมใหม่ บ้านหลังนี้ใหญ่กว่าบ้านเก่าที่เคยอยู่ ผมก็เลยไม่ค่อยได้เห็นภาพน้าที่นอนอยู่ในห้องรับแขกสักเท่าไหร่ แต่ปัญหาคือน้าดันไปนอนสลบไสลอยู่ในอ่างอาบน้ำของห้องน้ำในห้องรับแขกที่ผมต้องใช้นี่สิ โลกนี้จบสิ้นแล้ว
ผมสงสัยว่าคนสองคนจำเป็นจะต้องอยู่ในห้องขนาดหนึ่งร้อยยี่สิบตารางเมตรที่มีสามห้องนอนและสองห้องน้ำด้วยเหรอ ตอนย้ายเข้ามา ผมถามน้าว่าบ้านนี้ไม่ใหญ่เกินไปเหรอ แต่น้าก็ตอบออกมาหน้าตาเฉยว่า
‘รอบๆ โรงเรียนชายล้วนมักเอะอะเสียงดัง ค่าเช่าก็เลยถูก’
ยากที่จะแย้ง แต่ก็น่าหงุดหงิดที่จะยอมรับ เพราะไม่ต้องสาธยายว่าเอะอะเสียงดัง ยังไงผมก็พอจะรู้
น้าเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆ พลางพูดนั่นพูดนี่ พอผมไม่ได้ฟังเพราะเสียงของน้าอู้อี้มาก น้าก็รีบกินให้หมดแล้วพูดอีกครั้ง
“สายตาข่มขวัญตอนเจอกันครั้งแรกเป็นสิ่งสำคัญนะ”
ผมเห็นด้วยกับคำนั้น ผมมัวแต่ตามหาแม่ก็เลยไม่ทันได้สนใจผู้คนรอบตัวตอนขึ้น ม.ปลาย เพราะอย่างนั้นผมก็เลยปล่อยให้คนหน้าด้านอย่างหมอนั่นเล่นหัวเอาได้
น้าเท้าแขนข้างหนึ่งบนโต๊ะก่อนจะยิงแสงเลเซอร์ออกมาทางสายตา เวลาที่ดวงตากลมโตคู่นั้นเป็นประกายวิบวับมันน่ากลัวชะมัดเลย
“แกอาจจะไม่มีพวกคุณอา แต่แกยังมีน้านะ”
“นี่พูดเล่นเหรอ”
“พูดจริง ฉันหาคุณอาที่แกไม่มีมาให้ได้ ถ้ามีอะไรก็บอก”
“ก่อนหน้านี้ยังหงอขนาดนั้น”
“ฮะ?”
“เปล่า”
ผมรีบยัดขนมปังเข้าปากเพราะกลัวจะโดนแย่ง แล้วน้าก็เอามือมายีหัวผมอย่างไม่มีสาเหตุ
“โรงเรียนใหม่ของแกเป็นโรงเรียนที่ดีนะ ได้ยินว่าไม่มีพวกหัวโจก”
“มีโรงเรียนแบบนั้นด้วยเหรอ”
บางโรงเรียนมีหัวโจก แต่เป็นหัวโจกที่ไม่ยุ่งกับเด็กคนอื่น นี่ผมเพิ่งเคยได้ยินโรงเรียนที่ไม่มีหัวโจก
“ได้ยินว่าเด็กที่ทำตัวเป็นหัวโจกตายไปเมื่อปีก่อน”
“อะไรล่ะนั่น”
เพราะน้าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก็เลยฟังดูไม่เหมือนคำพูดล้อเล่นสักเท่าไหร่ ระหว่างที่ผมกำลังนั่งทำตาปริบๆ และไม่ทันได้ระวังตัว ขนมปังที่เหลือก็ถูกขโมยไป ด้วยความที่ผมทาแยมเอาไว้แล้วครึ่งหนึ่ง น้าจึงพับครึ่งขนมปัง อ้าปากกว้าง แล้วยัดมันเข้าไป จากนั้นน้าก็พูดเรื่องที่ผมพอจะฟังรู้เรื่อง
“ขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน ตายสอง เป็นบ้าหนึ่ง”
“ไม่น่าเลย ยังเด็กอยู่แท้ๆ”
“แกก็เด็กจ้ะ พูดอย่างกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่”
ผมก็แค่พูดออกไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไร แต่น้ากลับหัวเราะแล้วตำหนิผม น้าลุกขึ้นและออกจากบ้านไปก่อน ต่อให้น้าจะเป็นคนแบบนั้น แต่น้าก็เป็นมนุษย์เงินเดือน ผมลุกขึ้นบ้างเพราะคิดว่าควรจะไปโรงเรียนให้เร็วในวันแรก
***
ครูประจำชั้นเป็นผู้ชายที่ดูเหมือนกำลังจะเกษียณ ทว่ากลับมีชื่อที่น่าเกรงขามว่า ‘มีจินซู’ ตอนอยู่กับไม้เรียวเก่าๆ จะต้องมีฉายาว่า ‘ไอ้บ้า’ แน่ๆ ในห้องพักครู ครูประจำชั้นกำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม เขานั่งวางท่าและอ่านสมุดพกชั้น ม.ปลาย ปีหนึ่งของผมคร่าวๆ
“อะไรเนี่ย จะเรียนก็เรียน จะไม่เรียนก็ไม่ต้องเรียนสิ ทำตัวครึ่งๆ กลางๆ”
พูดเหมือนน้าไม่มีผิด ผมก็แค่สอบๆ ไปตามหน้าที่ด้วยความสามารถที่มีเท่านั้น เพราะผมไม่ได้มีความสามารถในการค้นหาข้อมูลหรือมีต้นทุนที่จะไต่อันดับโรงเรียนหนิ
“เป็นโมโนเหรอ”
“ครับ”
“อาจจะแค่ตาบอดสีเฉยๆ ก็ได้นี่”
“คุณแม่ผมเป็นโรคประสาทไม่รับรู้สีครับ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ผมจะได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมครับ”
“เออใช่ คุณแม่น่ะ…”
น้าต้องพูดอะไรเอาไว้แน่ๆ ผมจึงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หายสาบสูญไปตอนผมอยู่ ม.ต้น ปีสองครับ ตอนนี้ยังหาไม่เจอ”
“ไม่ได้ทำการตรวจดีเอ็นเอคนหายไว้เหรอ”
“ลงทะเบียนกับธนาคารดีเอ็นเอไว้แล้วครับ แต่ก็ยังไม่มีการติดต่อมา แต่ถ้ามีการติดต่อมาก็คงจะหมายความว่าแม่ตายไปแล้ว”
พอผมพูดแบบนั้น ครูประจำชั้นก็กระแอมเบาๆ
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่เคยเจอคนที่ผมควรจะเรียกว่าครูเลยสักคน จะถามเรื่องที่รู้อยู่แล้วเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา และผมคงเรียกคนคนนี้ว่าครูไม่ได้เหมือนกัน
“เอ่อ คือ…ห้องเราจะมีคนแปลกๆ อยู่สักหน่อย ซึ่งก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ถ้าสนิทกันก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน”
ในโลกนี้มีห้องเรียนที่ไม่มีคนแปลกๆ อยู่ด้วยเหรอ ถ้าถึงขนาดต้องบอกกันก่อนแบบนี้จะแปลกขนาดไหนกันนะ
“ไปทักทายเพื่อนๆ กันเถอะ”
ครูประจำชั้นลุกขึ้นและเดินออกไปก่อนโดยมีผมเดินตามหลังไป ห้องหนึ่งถึงห้องสามเป็นสายศิลป์ ห้องสี่ถึงห้องเจ็ดเป็นสายวิทย์ ผมได้อยู่ห้องห้า ครูกะเวลาเข้าไปในช่วงโฮมรูม พอครูประจำชั้นเปิดประตูหน้าห้องและใช้สมุดรายชื่อเคาะประตูเสียงดังปับๆ เสียงเอะอะในห้องก็เงียบลง โต๊ะเรียนถูกจัดไว้เป็นคู่โดยเรียงเป็นสามแถวตอนลึกอย่างเรียบง่าย ดูจากภายนอกก็ไม่เห็นจะมีเด็กที่แปลกอะไรขนาดนั้น นอกจากเด็กตัวใหญ่ที่ยังนอนได้ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเป็นนักกีฬาก็น่าจะไปอยู่สายศิลป์ มาอยู่สายวิทย์ทำไมกัน
“อิมชี บอกทำความเคารพซิ”
เด็กคนที่นั่งอยู่ในแนวทแยงมุมกับเด็กคนที่หลับได้หลับดีพลันลุกขึ้น นั่นไม่ได้ย่อเลนส์แว่นเลยหรือไงนะ มันถึงได้หนาและค่าสายตาก็คงจะเยอะจนทำให้ดวงตาดูบิดเบี้ยว เด็กคนนั้นใส่แว่นที่ขาทำจากพลาสติก ปากเล็กๆ ของเขาเจ่อออกมาเล็กน้อย
“ทั้งหมดตรง”
ทันทีที่เขาพูดแบบนั้น แล้วยืนขึ้นโดยแนบมือชิดกับสะโพก เด็กคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ก็รีบลุกขึ้น
“ทำความเคารพ”
“สวัสดีครับ”
พอได้ยินผู้ชายตัวโตพูดขึ้นมาพร้อมกันแบบนั้น อารมณ์ของผมก็พาลเสีย โรงเรียนเก่าก็ไม่เห็นต้องบอกทำความเคารพว่า ‘ทั้งหมดตรง ทำความเคารพ’ เลย
“วันนี้มีเพื่อนย้ายมาใหม่ แนะนำตัวสิ”
ครูประจำชั้นใช้สมุดรายชื่อชี้มาที่ผมราวกับรำคาญ
“ชเวยอนอูครับ”
ทันทีที่ผมพูดแบบนั้นแล้วยืนนิ่ง ครูประจำชั้นก็ถามว่า “แค่นั้นเหรอ” พอผมพยักหน้า มุมปากของครูประจำชั้นก็ยกขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะเปิดสมุดรายชื่อเสียงดัง
“ที่ข้างๆ อิมชีว่างอยู่ ไปนั่งตรงนั้นสิ”
ครูชี้ไปยังที่นั่งข้างๆ ของคนที่นำทำความเคารพเมื่อครู่นี้ ซึ่งก็เป็นที่นั่งข้างหน้าของคนที่กำลังนอนอยู่เช่นกัน และพอผมนั่งลง
“หวัดดี”
อิมชีก็กล่าวทักทาย
“หวัดดี”
ผมกล่าวคำทักทายกลับไปอย่างประหม่าเล็กน้อย แล้วหันกลับไปมองข้างหน้าอีกครั้ง ระหว่างนั้นครูประจำชั้นกำลังกางนิ้วชี้และนิ้วกลางออกมา จากนั้นก็ขยับยุกยิกเพื่อนับจำนวนนักเรียน
“หายไปไหนตัวนึง อา ไอ้หมอนั่นนอนเพลินอีกแล้วสิ มันจะเดบิวต์เมื่อไหร่ เลิกมาโรงเรียนสักทีไม่ได้หรือไง”
ผมคิดว่านั่นใช่คำพูดที่คนมีอาชีพครูควรพูดเหรอ แต่ผมก็ไม่เห็นว่าคนอื่นๆ จะมีปฏิกิริยาอะไรกับเรื่องนี้ พอหันไปด้านหลังก็เห็นคนตัวใหญ่ไหล่กว้างกำลังนอนฟุบหน้าลงกับแขนสองข้างที่ทำหน้าที่เป็นหมอน
“ถ้าครบแล้วก็ไม่ต้องเช็กชื่อแล้วกัน แค่นี้แหละ อิมชี”
ปากเจ่อๆ ของเด็กที่นั่งข้างๆ ยิ่งยื่นออกมาเยอะกว่าเดิม ก่อนจะลุกขึ้น
“ทั้งหมดตรง ทำความเคารพ”
“ขอบคุณครับ”
นักเรียนทุกคนพากันพูดแบบนั้นทั้งที่ผมไม่เห็นว่ามีอะไรให้ต้องขอบคุณ พอครูประจำชั้นเดินออกไป อิมชีก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา จากนั้นชั้นเรียนก็เริ่มอึกทึกขึ้นมาอีกครั้ง
“รีบๆ เลือกหัวหน้าห้องซะทีเถอะ ให้ฉันเป็นอิมชีอยู่ได้ ไม่เห็นจะได้อะไรเลย”
“แต่ถ้าได้เป็นอิมชีก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นหัวหน้าห้องนะ”
พออิมชีระบายความไม่พอใจออกมา คนที่นั่งอยู่ข้างหลังก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาดูตัวสูง แต่คงเป็นเพราะนั่งผิดท่าจึงทำให้หลังงองุ้มไปมาก จมูกของเขาโด่ง แต่หางตาของเขาตกนิดๆ ก็เลยดูไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่ พอหันมามองผม เขาก็ยกมุมปากขึ้นเผยให้เห็นเป็นรอยยิ้ม เดิมทีเขาก็น่าจะเป็นคนหน้ายิ้มอยู่แล้ว พอยิ้มออกมา ตาของเขาก็เลยยิบหยีมากขึ้นไปอีก
“ฉันคังมินแจ ฝากตัวด้วยนะ”
“ฉันชเวยอนอู ฝากตัวด้วยเช่นกัน”
เขาเอ่ยคำทักทายอย่างเป็นทางการ น้ำเสียงเนือยๆ ของเขาทำให้ผมลดความระมัดระวังตัวลง อิมชีเหลือบไปมองคนที่กำลังนอนอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็ยิงคำถามใส่ผมโดยไม่คิดจะแนะนำตัวเองเลย
“นายก็เป็นเด็กฝึกเหรอ”
“ทำไมถึงใช้คำว่า ‘นายก็’ ล่ะ”
“ก็เห็นนายมีหน้าตาแบบนั้น ไอ้หมอนี่ก็เป็นเด็กฝึกเหมือนกันน่ะ”
อิมชีชี้ไปยังคนที่กำลังนอนอยู่ด้านหลัง
“จูแฮง”
คังมินแจเรียกอิมชีเช่นนั้น อิมชีจึงหันไปมองคังมินแจก่อนจะบุ้ยปากออกมาอีกครั้ง
“ฉันชื่อชองจูแฮง ตอนนี้เป็นหัวหน้าห้องชั่วคราวอยู่”
ผมสงสัยเหลือเกินว่าพ่อแม่ของชองจูแฮงคิดยังไงถึงได้ตั้งชื่อลูกว่าจูแฮงทั้งที่มีนามสกุลว่าชอง คงไม่ได้อยากให้ลูกโดนล้อเรื่องชื่อ ใช่มั้ย ผมพยักหน้ารับเป็นนัยๆ ว่าเข้าใจแล้ว
“ถ้าล้อชื่อฉัน ฉันจะโกรธ ส่วนหน้าที่หัวหน้าห้อง…ก็แค่ชั่วคราว เพราะงั้นฝากตัวไปก็ไม่มีประโยชน์”
“ฉันชอบชื่อนายนะจูแฮง”
“อ้อ ขอบใจ”
“ส่วนคนที่นอนอยู่ชื่อยูฮัน เขาเป็นเด็กฝึกอย่างไม่เป็นทางการ ก็เลยบอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กฝึก หมายถึงเด็กฝึกเพื่อจะเป็นไอดอลน่ะ”
คำแนะนำอย่างมีน้ำใจของคังมินแจช่างแตกต่างจากการขีดเส้นกั้นของชองจูแฮงซะเหลือเกิน ผมคิดจะหันมองคนที่ชื่อยูฮัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หันไป
“ถ้าสงสัยอะไรก็ถามจูแฮงได้”
ปกติต้องพูดว่า ‘ถ้าสงสัยอะไรก็ถามฉันได้’ หรือเปล่า แต่คังมินแจกลับพูดออกมาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ส่วนชองจูแฮงก็มองเขม่นไปที่คังมินแจด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“จะมาถามฉันทำไม…ไม่สิ ถามฉันนั่นแหละ อย่าไปถามมินแจเลย”
“อืม”
“เพราะถ้าถามไป บางครั้งคุณปู่ของหมอนั่นก็จะตอบแทน”
ขณะกำลังคิดว่าชองจูแฮงพูดอะไรเพ้อเจ้อ คนที่นอนหลับอยู่ก็ตื่นขึ้นมา ผมนึกสงสัยว่าเขานอนหลับทั้งที่ยังสวมมาสก์สีดำนั่นได้ยังไง เหนือมาสก์นั้นมีหน้าผากโหนกนูนและกระดูกใต้คิ้วที่คมชัด ใต้คิ้วเข้มเห็นเป็นดวงตาคู่โต ผมประหลาดใจมากที่ตานั้นเป็นตาชั้นเดียว และผมอิจฉาจมูกของเขาที่โด่งจนจะทะลุมาสก์ แม้ผมจะมองไม่เห็นส่วนที่อยู่ใต้โหนกแก้มลงมาเพราะมาสก์บังอยู่ก็เถอะ
“ถ้าคุณปู่ของมินแจตอบขึ้นมาล่ะก็ นายจะใช้ชีวิตลำบาก เพราะงั้นอย่าไปถามล่ะ”
คนที่เพิ่งตื่นพูดเสริมขึ้นมา เสียงทุ้มต่ำของเขาดังก้องอยู่ในมาสก์
“แล้วคุณปู่คนนั้นคือใครกันเหรอ”
“คนมีญาณพิเศษที่จะตอบคำถามแทนมินแจน่ะ ว่าแต่นายสวยจัง”
คนที่ใส่มาสก์พูดเฉไฉก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมจึงขมวดคิ้วเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่พอใจ แต่ผมก็ยังรู้สึกถึงสายตาของหมอนั่นที่สังเกตสังกาทุกส่วนบนใบหน้าของผมอยู่ ผมไม่ได้เจอคนที่จ้องหน้าผมจังๆ แบบนี้มานานแล้ว
“สวยที่ไหนกันล่ะ”
“ไม่นะ สวยจริงๆ ฉันย้ายค่ายมาก็บ่อย เห็นคนที่เดบิวต์แล้วและคนที่เตรียมจะเดบิวต์มาก็เยอะ หน้าตาแบบนายนี่ไม่ธรรมดาแน่นอน”
เจ้าตัวบอกว่าไม่แท้ๆ แต่หมอนั่นก็ยังพูดต่อมาอีก ชื่อยูฮันใช่มั้ยนะ
“โคยูฮัน นายจำหน้าคนไม่ได้นี่”
ชองจูแฮงพูดทั้งชื่อนามสกุลของคนใส่มาสก์ออกมา โคยูฮันก็ดีกว่าชองจูแฮงล่ะนะ แต่พ่อแม่ของนายก็ทำให้นายลำบากจริงๆ*
โหนกแก้มของโคยูฮันยกขึ้นราวกับกำลังยิ้มอยู่หลังมาสก์
“ถึงจะจำไม่ได้แต่ฉันก็มีเซ้นส์นะ สวยจริงๆ นายน่าจะใช้ชีวิตลำบากนะ อยู่ค่ายไหนล่ะ ฉันรู้จักทุกค่ายที่ฉันจะต้องย้ายไป”
“ฉันไม่ใช่เด็กฝึก”
“ทำไมล่ะ”
“ฮะ?”
“หืม?”
คนที่พูดว่า ‘ทำไมล่ะ’ คือโคยูฮัน คนที่พูดว่า ‘ฮะ?’ คือชองจูแฮง ส่วน ‘หืม?’ นั่นหลุดมาจากปากของคังมินแจ สาเหตุที่ไม่ใช่เด็กฝึกจะเป็นเพราะอะไรได้อีกล่ะ
“เพราะฉันไม่ได้สนใจ”
“หมอนี่เหมือนจะเดบิวต์เอาตอนสุดท้ายเพราะไม่อยากเข้ามหา’ลัยเลยว่ามั้ย มินแจ”
“ไว้ฉันถามคุณปู่ให้มั้ย”
“ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร ฉันแค่พูดเล่นเท่านั้น”
ชองจูแฮงพูดกับคังมินแจ แต่สุดท้ายก็ถอนคำพูดไป แล้วตกลงว่าคุณปู่คือใครกันนะ
“แล้วคุณปู่คือใครกัน”
ขณะที่ผมกำลังถามเพราะเห็นพวกนั้นเอาแต่พูดถึงคุณปู่ คาบเรียนที่หนึ่งก็เริ่มขึ้น ชองจูแฮงที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมเป็นหัวหน้าห้องชั่วคราวก็จริง แต่แค่เรื่องเรียนอีกฝ่ายก็แทบจะไม่มีเวลาว่างแล้ว คังมินแจภายนอกดูตั้งใจเรียนดี แต่ข้างในเป็นโพรง สายตาดูไม่มีความกระตือรือร้นเลยสักนิด ส่วนโคยูฮันก็นอนฟุบลงไป จนผมประหลาดใจเล็กน้อยที่ไม่มีครูคนไหนแตะต้องเขาเลยแม้เขาจะฟุบอยู่แบบนั้น
พอถึงช่วงพัก โคยูฮันก็ยังคงนอนฟุบอยู่อย่างนั้น ชองจูแฮงทำแบบฝึกหัด ส่วนคังมินแจก็เล่าเรื่องในโรงเรียนออกมา และเรื่องที่ฟังดูมีประโยชน์ที่สุดก็คือ
“โรงเรียนเปลี่ยนบริษัทเมื่อปีก่อน อาหารกลางวันก็เลยอร่อยมาก”
โชคยังดีที่อาหารกลางวันของโรงเรียนใหม่อร่อย
หลังจากเรียนไปสี่คาบ ผมก็รู้สึกได้ว่าผมนั่งผิดที่ ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณปู่คือใคร แต่ทุกคนดูกลัวกันมาก และคอยหวาดระแวงคังมินแจ แม้คังมินแจจะดูไม่เหมือนนักเลง แต่ทุกคนก็มีท่าทีแบบนี้กันหมด หรือคังมินแจจะเป็นหัวโจกในคราบนักเรียนดีเด่นที่กำลังฮิตกันในช่วงนี้นะ บ้านมีอันจะกิน เรียนเก่ง แต่อยากมีอำนาจเหนือเด็กคนอื่นๆ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น อาจเป็นเพราะสไตล์การพูดและหางตาที่ตกของเขาก็ได้
“อา…วันนี้มีปลาชุบแป้งทอด”
หลังจากนอนกินบ้านกินเมืองจนเต็มอิ่ม โคยูฮันก็ตื่นขึ้นมาแล้วตะโกนเสียงดังราวกับจำตารางเมนูอาหารกลางวันได้หมด และเมื่อมาถึงโรงอาหาร ก็พบว่าเมนูของวันนี้คือปลาชุบแป้งทอดกับอูด้ง ระหว่างนั้นชองจูแฮงก็ท่องศัพท์โดยมีคังมินแจมองดูอยู่เงียบๆ ส่วนโคยูฮันก็กำลังเดินอาดๆ ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่คังมินแจกับโคยูฮันตัวสูง แต่ผมก็พอจะรู้สึกดีอยู่บ้างที่ชองจูแฮงตัวเตี้ยกว่าผม ตอนที่โคยูฮันก้มหน้าลงมอง ผมคิดอยากจะกระโดดโหม่งเข้าที่จมูกโด่งๆ นั่นสักครั้ง ถึงจะเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกก็เถอะ
“มองอีกครั้งก็ยังสวย”
“บอกแล้วไงว่าไม่สวย”
“ช่วงนี้พวกแมวมองพักงานกันหมดหรือไงนะ นายไม่ใช่เด็กฝึกจริงๆ เหรอ”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”
พวกนั้นเอาแต่สร้างความรำคาญให้ผมจนผมคิดว่าตัวเองนั่งผิดที่จริงๆ ไม่ใช่แค่นั้น พอมาถึงโรงอาหารที่นักเรียนทุกระดับชั้นมารวมกัน พอเห็นว่านักเรียนคนอื่นๆ พากันผงะ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองติดร่างแหอะไรบางอย่างเข้าแล้ว ‘คนแปลกๆ’ ที่อาจารย์ประจำชั้นพูดถึงน่าจะหมายถึงโคยูฮัน ส่วนคนที่นักเรียนคนอื่นๆ เห็นแล้วผงะก็คือคังมินแจ
“ถ้างั้นเป็นศิลปินเหรอ”
“บอกว่าไม่ใช่ไง”
“แล้วนายจะใช้หน้าตาแบบนั้นทำมาหากินอะไรเหรอ”
“ก็ทำมาหากินธรรมดาไงล่ะ”
“หน้าตาแบบนั้นอะนะ”
โดยเฉพาะโคยูฮัน หมอนี่น่ารำคาญเป็นพิเศษ ผมรับอาหารใส่ถาด เดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วเขม่นมองไปที่โคยูฮัน ดวงตาของโคยูฮันที่อยู่เหนือมาสก์นั้นจึงเบิกกว้างขึ้นทันใด
“นายใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าจริงๆ”
จากนั้นก็พล่ามคำพูดไร้สาระออกมา ในที่สุดชองจูแฮงก็วางสมุดคำศัพท์ลง ส่วนคังมินแจก็พูดเบาๆ ว่า
“จะทานแล้วนะครับ”
คนที่ดูปกติที่สุดในสามคนนี้ก็คือคังมินแจ แต่มันกลับย้อนแย้งมากที่คนอื่นๆ ดูหวาดกลัวคังมินแจมากที่สุด
ขณะที่ผมยกช้อนขึ้นมาเพื่อตักทาร์ทาร์ซอสที่ราดบนปลาทอดออก ผมก็เงยหน้าขึ้น เพราะรู้สึกว่าโคยูฮันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังจะถอดมาสก์ออก
วินาทีนั้น มาสก์สีดำที่โคยูฮันกำลังจะถอดออกค่อยๆ ขยับอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นเองลำแสงก็สว่างวาบออกมาจากด้านหลังของโคยูฮัน สีสันที่ดูเหมือนจะบรรจุความรู้สึกไม่มั่นคงทั้งหลายเอาไว้กำลังวูบไหว หลังจากนั้นผมก็เห็นนักเรียนคนอื่นๆ เปล่งแสงอันเลือนรางราวกับจะสลายอย่างง่ายดาย ชุดนักเรียนที่ผมเคยเห็นเป็นสีเทาและสีเทาจนเกือบขาวปรากฏสู่สายตาของผมด้วยความรู้สึกที่แปลกไป ผมปวดหัวจี๊ดขึ้นมาราวกับมีเข็มนับพันเล่มที่อยู่ในหัวกำลังพุ่งออกมาภายนอก
พอผมละสายตาจากนักเรียนคนอื่นๆ ที่กำลังขยับตัวอยู่ สายตาผมก็ไปสะดุดกับเส้นที่ขีดลากยาวขึ้นไปตามผนังอย่างจัง ราวกับมันกำลังทิ่มแทงสายตาผมอยู่ มันคือลวดลายตกแต่งผนังที่เมื่อกี้ผมยังเห็นเป็นสีเทาขนหนูอยู่เลย ผมรู้สึกเหมือนด้านในของลูกตากำลังมอดไหม้ในขณะที่ถูกกระตุ้นด้วยสิ่งที่ผมไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ผมรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุนและรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างทะลวงเข้ามาในลูกตา ผมจึงหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วร่างกายของผมก็ค่อยๆ เอนไปทางด้านหลัง เพดานที่เคยเห็นเป็นสีเทาจนเกือบขาวและมีเส้นสีเทาเงินที่วาดเป็นลวดลายตารางหมากรุกกำลังส่องประกายให้ความรู้สึกเหมือนหาดทรายละเอียด โลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาที่ผม
คัลเลอร์รัชที่แม่เคยพูดถึงมันเป็นอะไรที่โรแมนติกมากๆ
แม่บอกว่าแม่พบกับพ่อโดยบังเอิญในขณะที่แม่กำลังเดินเล่นดูข้าวของอยู่ แม่บอกว่าวินาทีนั้น แสงแดดส่องประกายจางๆ อยู่บนไหล่ของพ่อ และแม่ก็ถูกใจเสื้อคาร์ดิแกนสีน้ำตาลของพ่อมาก แม่บอกว่าเสื้อผ้ามากมายที่อยู่ในตู้โชว์ปรากฏเป็นสีสันขึ้นและสีนั้นก็โอบล้อมแม่เอาไว้ แล้วแม่ก็สลบไปทั้งที่กำลังยื่นมือไปหาพ่อ
พอลืมตาขึ้นมาหลังจากนั้น แม่ก็เห็นพ่อ โดยพ่อบอกว่าแม่เป็นลมไปเพราะเกิดอาการคัลเลอร์รัช
ผมไม่เคยคาดหวังอะไรกับโพรบหรือคัลเลอร์รัช และผมก็ไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าสถานที่ที่ผมเกิดคัลเลอร์รัชจะเป็นโรงอาหารในโรงเรียน แถมตรงหน้าผมยังมีปลาชุบแป้งทอดวางอยู่ด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 27 ม.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.