Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การบูลลี่
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิตและการฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
ตอนที่ 7
จนถึงคาบแนะแนวโคยูฮันก็ยังไม่กลับมาที่ห้องเรียน
“โคยูฮันล่ะ”
ชองจูแฮงถาม
“ไม่รู้สิ”
พอผมตอบไปแบบนั้น ชองจูแฮงก็ไม่ถามหาโคยูฮันอีก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะส่งข้อความไปหาโคยูฮันแทน จนกระทั่งหมดคาบแนะแนวแล้วโคยูฮันก็ยังไม่กลับมา ครูประจำชั้นชี้ไปที่โต๊ะของโคยูฮันแล้วถามว่า
“หรือจะได้เดบิวต์แล้วจริงๆ”
ชองจูแฮงจึงตอบกลับไปว่า
“ตอนเช้ามาครับ แต่ตอนนี้หายไปแล้ว”
ครูประจำชั้นทำเสียง “จึ๊” ออกมา ครูคงไม่รู้ว่าจะเช็กชื่อต่อยังไงดี
แม้ทางกลับบ้านจะไม่ได้ไกล แต่ผมก็เอาแต่เหลียวหลังหันไปมอง ผมไม่เห็นโคยูฮันเลย สถานการณ์ตอนนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องการ ผมจึงไม่ถามชองจูแฮงหรือคังมินแจเกี่ยวกับโคยูฮันอีก เพราะผมกลัวว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตร
ย้ายโรงเรียนไปทั้งแบบนี้นี่แหละ แล้วเรื่องที่ผมเจอโพรบก็จะกลายเป็นแค่เหตุการณ์หนึ่งที่ผมจะเอาไว้พูดถึงและยิ้มในภายหลัง พอถึงบ้านผมก็โทรหาน้าทันที ปกติแล้วถ้าน้าไม่รับสาย ผมก็จะส่งข้อความทิ้งไว้ แต่คราวนี้ผมกลับโทรหาน้าเรื่อยๆ จนกว่าจะรับ ผมโทรมากกว่าสิบครั้งจนน้ารับสาย พอน้ารับปุ๊บ ผมก็พูดออกไปทันทีว่า
“ผมจะย้ายโรงเรียน”
น้าไม่ได้พูดอะไร ถ้าบอกไปว่าผมเจอโพรบ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้าจะว่ายังไง จะโอเคหรือเปล่า
“โรงเรียนนี้มีแต่อะไรแปลกๆ ย้ายโรงเรียนให้ที”
[อ๋อ ตอนนี้อีรังไม่อยู่นะ นั่นหลานของอีรังใช่มั้ย]
ผมได้ยินเสียงของผู้ชายที่ไม่รู้จักดังมาจากปลายสาย ทันใดนั้นหัวใจที่เต้นรัวเพราะความตื่นเต้นก็ค่อยๆ เต้นช้าลง
[โทรศัพท์สั่นอยู่นานมาก ฉันคิดว่าคงมีเรื่องด่วนก็เลยรับสายแทน จะย้ายโรงเรียนเหรอ โดนเพื่อนแกล้งมาเหรอ]
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร เดี๋ยวผมโทรไปใหม่นะครับ”
[โอเค]
ผมกดวางสาย ตอนนี้ในหัวของผมยุ่งเหยิงไปหมด สีต่างๆ ที่โคยูฮันเอาให้ดูยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ผมพยายามนึกถึงสีเหล่านั้นอีกครั้ง ผมจำได้แค่ว่าผมได้ดูพวกมัน แต่ผมกลับนึกอะไรไม่ออกเลย ในทางกลับกัน คำพูดที่น้าตั้งใจจะพูดเมื่อวานก็เลือนรางไป ปกติแล้วผมน่าจะเอาแต่คิดทั้งวันว่าน้าจะพูดอะไร แต่ผมกลับหลงไปในสีที่โคยูฮันเอามาให้ดู บ้าไปแล้ว บางคนที่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นโพรบก็จะพยายามตีตัวออกหาก แต่ทำไมโคยูฮันถึงพยายามยุ่งกับผมก็ไม่รู้ ไหนยังจะเอาแถบสีมาให้ดูและช่วยสอนชื่อของแต่ละสีให้อีก หรือเขาชอบอะไรแบบนี้นะ ชอบสอนคนอื่น ชอบเป็นครูอะไรแบบนี้ ตอนนี้ในหัวผมเต็มไปด้วยเรื่องของโคยูฮันและสีทั้งสิบสี
แดง ส้ม เหลือง เขียวอ่อน เขียว น้ำเงินเขียว น้ำเงิน กรมท่า ม่วง และม่วงแดง
สีทั้งหมดสิบสีที่โคยูฮันบอกว่าเป็นสีมาตรฐาน เหมือนกับสีของโลกที่ผมมองเห็น
ขาว สีเทาจนเกือบขาว สีเทาเงิน สีเงิน สีเทา สีเทาเหมือนสีปูน สีเทาเข้ม สีเทาขนหนู สีเทาดำ และสีดำ
ถ้าคิดดูดีๆ แล้ว ผมซึ่งพอจะมองเห็นบางสีก็รู้จักสีขาวและสีดำอยู่แล้ว ผมลุกขึ้นเพราะไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้ ผมคิดว่าเอาเวลาไปดูรูปที่ครอว์ลิ่งมาดีกว่า แต่ว่าคอมพิวเตอร์ดันเปิดไม่ติด ถ้าเป็น MBR virus ไฟก็น่าจะติดที่ปุ่มเปิดปิดสิ
พอมองไปด้านหลังตัวเครื่อง ผมก็ร้องอ๋อ เพราะน้าถอดสายไฟออกไปหมดเลย ไม่มีแม้แต่สายสีดำที่ต่อจากตัวเครื่องไปยังเต้าเสียบ นี่เป็นวิธีที่น้าใช้ตอนที่ผมตามข่าวสารของผู้สูญหายแม้กระทั่งช่วงปิดเทอม แต่น้าก็ไม่ได้ตัดสายไฟทิ้ง น้าแค่ถอดออกตามประสาคนไม่รู้อะไรแล้วก็เอาไปที่บริษัทด้วยเท่านั้น ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยจนกว่าน้าจะมา ผมจึงลุกขึ้นด้วยความหงุดหงิด แต่สายตาของผมก็ไปสะดุดกับกระดาษที่โผล่ออกมาจากใต้คีย์บอร์ด มันเป็นกระดาษเอสี่ที่พับไว้สองทบ พอเปิดออกก็เห็นคำสองคำที่ถูกแบ่งออกจากกันด้วยเครื่องหมายสแลช โดยคำข้างหน้าเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลข ส่วนคำข้างหลังเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ หรือไม่ก็ภาษาเกาหลี หรือไม่ก็เขียนปนกัน
พอมองปุ๊บก็รู้เลยว่าคำข้างหน้าคือไอดี ส่วนข้างหลังน่าจะเป็นนิกเนม ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นข้อมูลที่น้าสืบหามาได้และทำหล่นเอาไว้ แต่แล้วสายตาของผมก็สะดุดเข้ากับบางสิ่ง
‘eerilove/อีรีริง’
มีไอดีหรือนิกเนมแปลกๆ อันอื่นด้วย แต่ที่ผมสะดุดกับอันนี้ก็เพราะมันเป็นไอดีและนิกเนมที่แม่เคยใช้ ‘ยูอีรี’ แม่ใช้ชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองโดยไม่ปกปิด ไม่เหมือนน้าที่ไม่ชอบชื่อ ‘ยูอีรัง’ ของตัวเอง แล้วผมก็สังเกตนิกเนมอื่นๆ ซึ่งมีคำศัพท์บางคำที่เด่นขึ้นมา
mono chromat บอด โมโน
ทำไมเวลาตั้งไอดีหรือนิกเนมจะต้องมีคำพวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะ แต่พอเห็นนิกเนมอีกสองชื่อต่อมา ผมก็พอจะเข้าใจ
‘ehehehehr/[แอดมิน] โทโดดก’
‘njkim77/โมโนวาอีพือ’
รายชื่อพวกนี้น่าจะเป็นรายชื่อของผู้คนที่รวบรวมมาจากเว็บไซต์อะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับโมโน เรื่องที่น้าตั้งใจจะพูดเมื่อวานจะเกี่ยวกับรายชื่อพวกนี้มั้ยนะ ผมใช้มือถือค้นหาโดยเริ่มจากนิกเนมแปลกๆ ก่อน บางส่วนขึ้นว่าพวกเขากำลังใช้งานบล็อกหรือโซเชียลอยู่ และอีกส่วนก็แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเลย แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือมีชุมชนของโมโนที่ชื่อว่า ‘Gray Scale’ ปรากฏขึ้นมา ความเคลื่อนไหวล่าสุดในนั้นแทบจะไม่มีอะไร ถึงแม้ว่าผมจะสมัครเข้าร่วมแล้ว แต่อายุการใช้งานของผมยังน้อย ผมจึงแทบจะไม่เห็นข่าวสารอะไรเลยนอกจากหัวข้อที่พูดคุยกัน ถ้าเดาจากหัวข้อ ผู้ดูแลน่าจะหายตัวไป คาเฟ่จึงเต็มไปด้วยสแปม จนสมาชิกที่เคยอยู่พากันออกจากกลุ่มไปหมด
ผมครอว์ลิ่งมาหลายปี การเข้าไปดูข้อความในคาเฟ่นั้นจึงง่ายมาก แต่ที่ยากก็คือระบบรักษาความปลอดภัย เพราะการแฮก Web portal* เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ยังพอมีวิธีดีๆ อยู่บ้าง ข้อความในคาเฟ่ส่วนใหญ่ถูกตั้งค่าการค้นหาให้เป็นค่าเริ่มต้น ดังนั้นหากไม่ได้เปลี่ยนการตั้งค่าก็เข้าไปอ่านผ่านช่องทางการค้นหาได้ ถึงแม้ว่าผมจะอ่านข้อความในคาเฟ่ไม่ได้เพราะระดับสมาชิกยังต่ำอยู่ แต่เมื่อผมคัดลอกหัวข้อแล้วนำมาค้นหา กระทู้ต่างๆ ก็จะปรากฏขึ้นมา ผมเข้าไปส่องดูประมาณสองสามกระทู้ก็พบว่าสมาชิกหลักๆ เลิกเข้ามาในคาเฟ่นี้ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะการที่ผู้ดูแลที่ชื่อโทโดดกหายไปถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ถึงแม้ว่าจะมีผู้ดูแลคนอื่นอยู่ก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวอะไรสักเท่าไหร่ ไหนๆ ก็เป็นคาเฟ่ร้างแล้ว ผมก็เลยค้นดูอีกสองสามกระทู้ จากนั้นก็เอานิกเนมเด่นๆ ที่ถูกเขียนอยู่บนกระดาษมาค้นหาในช่องค้นหาภายในคาเฟ่ มีข้อความปรากฏขึ้นมาสองสามข้อความ ผมรู้สึกอารมณ์เสียนิดหน่อยเพราะหัวข้อดันเป็น ‘เรื่องแจ้งให้ทราบ’ และเพราะมันเป็นเรื่องแจ้งให้ทราบจึงสามารถดูได้เลยโดยไม่ต้องผ่าน Web portal ซึ่งในเรื่องที่แจ้งให้ทราบนั้นก็มีนิกเนมถูกเขียนเรียงรายอยู่โดยไม่มีไอดี ลำดับของมันก็ไม่ได้ต่างกับที่เขียนอยู่ในกระดาษเอสี่ด้วยซ้ำ
ใต้ประกาศนั้นมีคอมเมนต์เขียนว่า ‘คาดหวังอยู่นะ’ ผมเลื่อนขึ้นไปดูวันที่อีกครั้ง มันเป็นข้อความเมื่อหกปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเวลาสามปีก่อนที่แม่จะหายตัวไป
มันคือรายชื่อของผู้คนที่อยากเข้าร่วมงานประชุมและสังสรรค์ของคาเฟ่
ดึกแล้วน้าก็ยังไม่กลับมา การค้นหาด้วยมือถือมีข้อจำกัดเยอะมาก โดยเฉพาะข้อมูลบางอย่างซึ่งถ้าแก้ไขให้ method = “GET” ก็น่าจะดูได้ แต่การเปิดป็อปอัพเพื่อดูข้อมูลและการแก้ไข Packet ในมือถือนั้นเป็นเรื่องที่ยาก
สุดท้ายแล้วผมก็ยอมแพ้ที่จะใช้มือถือค้นหาข้อความต่างๆ ในคาเฟ่ โปรแกรมครอว์ลิ่งไม่มี Interface ในมือถือ ผมจึงไม่สามารถดูรูปในส่วนของวันนี้ได้ ผมคิดว่าจะไปร้านเกมดีมั้ย แต่การไปปรับแต่งอะไรใหม่ที่นั่นมันก็น่ารำคาญ
เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ แต่น้าก็ยังไม่กลับมา ผมพยายามหาของที่พอจะใช้แทนสายไฟได้ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่มี ขณะกำลังคิดว่าจะออกไปซื้อใหม่ดีมั้ย ผมก็ได้ยินเสียงประตูเปิดพร้อมกับเสียงของน้า
“ยอนอู ขอข้าวเย็นหน่อย!”
น้าพูดแบบนั้นแล้ววิ่งไปที่ห้องของตัวเอง ผมตั้งใจจะถามเรื่องกระดาษที่เห็นใต้คีย์บอร์ด แต่น้าดูรีบร้อนก็เลยไม่ได้ถามออกไป แต่เดี๋ยวนะ นี่ผมเป็นหลานหรือแม่บ้านกันแน่ พอเจอหน้าปุ๊บก็ขอข้าวกินปั๊บ
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่ทำอะไรตามความเคยชิน พอรู้ตัวอีกที ผมก็พบว่าตัวเองกำลังเตรียมอาหารเย็นให้น้าอยู่ คราวหน้าผมคงต้องลงชื่อกินข้าวเย็นที่โรงเรียนแล้วล่ะ ดูเหมือนว่าชองจูแฮงกับคังมินแจก็กินข้าวเย็นที่โรงเรียนเหมือนกัน
ผมทำซุปเต้าเจี้ยวใส่เห็ดเข็มทอง จากนั้นก็หยิบสาหร่ายและกิมจิออกมา ระหว่างที่ผมกำลังคิดว่าอาหารน้อยไปมั้ย ควรจะเอาแฮมออกมาย่างอีกดีหรือเปล่า น้าก็ลากกระเป๋าเดินทางออกมา ดูเหมือนว่ากระเป๋าเดินทางจะเป็นกระเป๋าเปล่า น้าจึงสามารถทุ่มมันลงกลางห้องรับแขกได้ด้วยมือเดียว ผมอยากบอกน้าว่าที่นี่คืออพาร์ตเมนต์นะ ถ้าไม่อยากให้มีเสียงรบกวนระหว่างชั้นก็อย่าทำแบบนี้เลย ผมตั้งใจจะคุยกับน้าเรื่องกฎของการอยู่อาศัยในอพาร์ตเมนต์ แต่น้าก็เดินมานั่งตรงโต๊ะอาหารที่ไม่ค่อยจะมีกับข้าวอะไร แล้วลงมือกินหมุบหมับ ผมจึงพลาดจังหวะที่จะคุยกับน้าไป
แต่จู่ๆ น้าก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า
“น้าใส่ชื่อแกเป็นผู้รับผลประโยชน์จากประกันชีวิตของน้านะ”
อยู่ๆ ก็พูดอะไรแปลกๆ ออกมา ฟังแล้วรู้เลยว่าจะพูดอะไรต่อ เวลาน้าจะไปไหนนานๆ น้ามักชอบพูดอะไรแปลกๆ แบบนี้เสมอ แล้วน้าก็ก้มลงไปกินข้าวอีกครั้ง
“จะไปเสี่ยงตายที่ไหนล่ะ”
พอผมถามออกไปแบบนั้น น้าที่กำลังยกถ้วยซุปขึ้นมาซดก็วางถ้วยลงแล้วจ้องผมเขม็ง น้ากลืนข้าวลงไปทั้งที่ยังไม่ได้เคี้ยว หรือว่าผมจะต้องรีบกินข้าวแบบนั้นด้วยอีกคนนะ
“จะไปทำข่าวบนเกาะเดือนนึง”
“เดือนนึงเลยเหรอ”
ที่ผ่านมาน้าเคยไปนานสุดก็แค่สองอาทิตย์ เวลาจะไปไหนทีก็เอาแต่บ่นว่าเพราะตัวเองเป็นน้องเล็ก บริษัทก็เลยใช้งานหนัก แต่ตอนนี้ตัวเองมีประสบการณ์มากแล้วก็เลยไปไหนมาไหนได้นานขึ้นสินะ
“น้าจะเอาชีวิตรอดกลับมาละกัน”
แล้วน้าก็กินข้าวและซุปเต้าเจี้ยวที่เหลือ น้าแทบไม่แตะสาหร่ายเลย กินแต่กิมจิ
“กินสาหร่ายด้วยสิ”
“เดี๋ยวไปเกาะแล้วก็ได้กินอาหารทะเลอยู่ดี”
“สาหร่ายเป็นอาหารทะเลเหรอ”
“สาหร่ายก็ต้องเป็นอาหารทะเลสิ ยอนอูของน้าต้องกินข้าวให้ครบทุกมื้อนะ น้าเอาค่าขนมกับค่าใช้จ่ายในบ้านเข้าบัญชีไว้ให้เยอะเลย”
“เดี๋ยวนะน้า”
ในหัวผมมีทั้งเรื่องไอดีและนิกเนมที่เขียนอยู่บนกระดาษเอสี่ เรื่องเมื่อวานที่น้าจะพูด รวมถึงเรื่องโรงเรียนที่มีโคยูฮันด้วย เรื่องพวกนี้ตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในหัวของผม แต่ผมก็ไม่สามารถพูดกับน้าที่กำลังรีบกินข้าวและเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกได้
“ประกันบริษัทไหนเหรอ”
สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้พูดกับน้าสักเรื่อง ได้แต่พูดหยอกออกไป น้าใส่ข้าวลงไปในซุปเต้าเจี้ยวและเขมือบเข้าปากจนหมด จากนั้นก็ลุกขึ้นพรวด
“อยู่ในลิ้นชักที่สองของโต๊ะทำงานน้า! อ๊ะ บริษัทน้ามีประกันแบบกลุ่มด้วย อย่าลืมเคลมอันนั้นด้วยล่ะ”
“อย่าพูดเหมือนจะไปตายสิ”
“ชเวยอนอู”
จู่ๆ น้าก็เรียกชื่อผม ผมจึงหันไปมอง ในหัวของผมมีเรื่องให้คิดตั้งหลายอย่าง ไม่เหมือนกับน้าที่คิดแต่เรื่องงาน น้าใช้ชีวิตเรียบง่ายเสียจนผมรู้สึกอิจฉา
“สายไฟอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของน้า เล่นเกมไปนะ อย่าไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน”
“โอเค เข้าใจแล้ว”
“ยอนอู แล้วก็”
“อะไร”
น้าลากกระเป๋าไปถึงหน้าประตูแล้วหันกลับมามองผม ถ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดสิ ก่อนหน้านี้มีเวลาตั้งเยอะแยะ จะมายึกยักอะไรตอนนี้ น้าจดจ้องใบหน้าของผมก่อนจะยกหลังมือขึ้นมาตีที่หน้าอกของผม
“จะกลับมาตอนวันเกิดนะ!”
แล้วน้าก็เดินตึงตังออกไปพร้อมกระเป๋าเดินทางเปล่าๆ ใบนั้น สิ่งที่น้าบอกผมก็คือเรื่องการเดินทาง เรื่องสายไฟ และเรื่องประกันชีวิต ใครเขาทำประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพตั้งแต่ตอนอายุช่วงสามสิบกันนะ เปล่าประโยชน์จริงๆ แต่น้าก็ทำประกันชีวิตฉบับนั้นหลังจากที่แม่หายตัวไปได้หนึ่งปี น้าอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่มีแม่ แต่ผมยังทำไม่ได้
สายไฟอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของน้า โชคดีที่ไม่ต้องออกไปซื้อมาใหม่ ผมต่อสายไฟแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็ดูรูปขนาดย่อของรูปที่รวบรวมมาได้ในวันนี้แบบผ่านๆ และผมไม่ว่างถึงขนาดที่จะดูคลิป
ผมเข้าไปดูข้อความที่พอจะดูได้ในคาเฟ่ ส่วนใหญ่แล้วถ้าค้นหาด้วยข้อความที่พอจะเดาได้ก็สามารถเปิดได้ ผมครอว์ลิ่งหาข้อความทั้งหมดด้วย URL ใส่ข้อมูลให้อนุญาตผู้ค้นหาจากภายนอก แล้วรันมันขึ้นมา มีแท็บขึ้นมาหลายสิบแท็บ ผมลบแท็บที่ไม่จำเป็นออก แล้วบุ๊กมาร์กแท็บที่เหลือเอาไว้
ผมไล่ดูข้อความที่นัดเจอกันเมื่อหกปีก่อนเป็นหลัก ถึงจะมีรีวิวหลังนัดเจอกัน แต่ก็ไม่มีรูปถ่ายเลย อ่านจากคอมเมนต์ก็ดูเหมือนว่าคนโพสต์อัพรูปแล้วก็ลบออกไป ถ้าระดับสมาชิกของผมสูงกว่านี้อีกหน่อย ผมก็คงไม่ต้องมาลำบากอะไรแบบนี้ ผมคิดแบบนั้นก่อนจะพิมพ์ไอดีของแม่ลงไป ปกติแล้วแม่ใช้พาสเวิร์ดอะไรนะ วันนั้นแม่พกมือถือออกไปด้วย แต่แม่ก็ไม่เคยใช้ i-PIN ผมก็เลยไม่มีทางรู้พาสเวิร์ดของแม่
สิ่งที่ผมได้รู้จากข้อมูลเมื่อหกปีก่อนก็คือคนที่แจ้งว่าเข้าร่วมงานนั้นไม่ได้เข้าร่วมงานทั้งหมด บางคนเข้าร่วมงานกะทันหัน บางคนตั้งใจจะเข้าร่วมงานแต่ก็ไม่ได้เข้าร่วม ผมไม่รู้ว่าแม่ได้ไปที่นั่นหรือเปล่า แต่สิ่งที่ผมแน่ใจก็คือผู้ดูแลกลุ่มที่ชื่อโทโดดกและคนที่ชื่อโมโนวาอีพือเข้าร่วมงานแน่นอน โมโนวาอีพือเขียนรีวิวหลังเข้าร่วมงานเอาไว้ยาวมาก แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เขียนอะไรเกี่ยวกับแม่เลย
‘ดีใจมากที่ได้เจอพี่ๆ’
ข้อความที่เกี่ยวข้องมีเพียงข้อความนี้ แต่สิ่งที่ชวนโล่งใจก็คือคนที่ชื่อโมโนวาอีพือคนนี้เคยสนับสนุนให้มีการซื้ออุปกรณ์เสริมการเรียนรู้ของเด็กที่เป็นโมโน ในข้อความนั้นมีช่องทางการติดต่ออยู่ ยิ่งไปกว่านั้นอุปกรณ์เสริมการเรียนรู้นั้นก็คือ Ishihara checklist ที่ใช้สำหรับโมโน
ปกติแล้ว Ishihara checklist โดยทั่วไปจะเป็นรูปที่ใส่สีหลากสีเข้าไปในจุดวงกลมที่มีขนาดต่างกัน แล้วเชื่อมสีพิเศษเพื่อทำให้มองเห็นเป็นตัวเลข โมโนที่ประสาทไม่รับรู้สีทุกสีจะมองไม่เห็นเป็นตัวเลข แต่จะมองเห็นเป็นจุดกลมๆ ที่มีความเข้มของสีแตกต่างกันมากองอยู่รวมกันเฉยๆ ในทางกลับกันก็มีชุดทดสอบที่ผสมจุดที่มีสีและความสว่างต่างกัน ถ้าโมโนดูแค่จุดที่มีความสว่างเท่ากันก็จะอ่านเป็นตัวเลขได้ แต่คนที่มองเห็นสีปกติก็จะมองไม่เห็น มันเป็นของเล่นที่ทำขึ้นมาเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ต่างจากการตรวจตาบอดสี ให้เด็กที่เป็นโมโนและเด็กธรรมดาได้ฝึกและยอมรับข้อแตกต่างระหว่างกันได้ เป็นการฝึกให้รู้ว่าการมองเห็นสีและการมองไม่เห็นสีนั้นไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นความสามารถที่แตกต่างกัน
ตอนที่เห็นชุดทดสอบนี้ครั้งแรกผมรู้สึกเฉยๆ แต่แม่กลับบอกว่าสนุก ผมเลยคิดว่าแม่เอาผมเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะซื้อมาเล่นเอง
ผมรื้อของหลังจากที่ไม่ได้รื้อมานานเพื่อดูว่าอุปกรณ์ส่งเสริมการศึกษาที่โมโนวาอีพือคะยั้นคะยอให้ซื้อมีอยู่ในบ้านของผมจริงหรือเปล่า เมื่อหยิบชุดทดสอบออกมาจากบรรดาของเล่นเก่าเก็บ ผมก็เจอแต่กระดาษ ไม่รู้ว่ากล่องของมันหายไปไหน ดังนั้นผมจึงดูไม่ออกว่ามันเป็นของชนิดเดียวกันหรือเปล่า
แต่อย่างน้อยผมก็สามารถนำมันมาเป็นข้ออ้างในการติดต่อไปได้ ถ้าคนคนนี้ยังใช้เบอร์เดิมอยู่
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับผู้คนจากการตามหาแม่ที่หายตัวไปก็คือความเห็นอกเห็นใจมีเพียงชั่วครู่ แต่ความไม่สบายใจนั้นยืนนาน คำขอร้องของครอบครัวผู้สูญหายมันก็เป็นเพียงคำขอร้อง การที่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเข้าใจความรู้สึกเศร้าโศกและทรมานของเรา มันเป็นความคิดที่ไร้เดียงสา น้าที่ทำรายการตามล่าหาความจริงและต้องไปข้องแวะกับผู้คนมากมายนั้นรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คนที่จะยอมทำตามคำขอร้องแบบไม่ต้องการผลตอบแทนก็มีแค่พวกสาวกที่อุทิศชีวิตให้ลัทธิแปลกๆ เมื่อก่อนผมเคยไม่เข้าใจว่าแม่ของผมหายไปแท้ๆ แต่ทำไมคนอื่นถึงปฏิเสธคำขอร้องของผมอย่างเย็นชา หรือไม่ก็ปฏิเสธพร้อมแสดงท่าทีรำคาญออกมาโดยไม่ปิดบัง แต่ไม่นานผมก็เข้าใจ เพราะผมเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา เพราะความเห็นอกเห็นใจมันอยู่ชั่วครู่แล้วก็หายไป แต่ความลำบากใจของตัวเองมันยังหนักอึ้งอยู่
เพราะแบบนั้นผมก็เลยได้แต่บันทึกเบอร์ไว้ในเครื่อง แต่ไม่สามารถติดต่อไปได้
และอีกอย่าง ช่วงนี้รอบตัวผมก็ยุ่งเหยิงเกินกว่าที่จะต้องเผชิญความผิดหวังซ้ำซากแบบนั้น จู่ๆ ก็มีโพรบปรากฏตัวขึ้น น้าก็ไม่บอกอะไรเลย สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป ความหวังของผมก็เหือดหาย เหลือแต่ความผิดหวัง ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่มีความหวังเกี่ยวกับแม่แล้วโอกาสนั้นหลุดลอยไป คนคนนั้นอาจไม่รับสายหรืออาจเปลี่ยนเบอร์ติดต่อไปแล้วก็ได้ และอีกอย่าง เราก็เป็นคนที่จะไปขอร้องเขา แถมตอนนี้ก็ดึกแล้วด้วย ผมค่อยๆ วางมือถือลงแล้วกลับไปที่เตียง พรุ่งนี้ไปโรงเรียนแล้วค่อยติดต่อไปดีกว่า พอน้ามาก็ค่อยย้ายโรงเรียน ถ้าพรุ่งนี้เจอโคยูฮัน…ตอนนั้นต้องทำยังไงนะ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 31 ม.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.