X
    Categories: DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตายeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1 บทที่ 1.1 ถึง 1.2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1

ผู้เขียน : 아이제 (Aije)

แปลโดย : 04:00

ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย

การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง

การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์

การมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 1-1

 

คริสต์มาสที่เลวร้ายที่สุด

 

ปัก!

ผมเคาะปุ่มเอ็นเทอร์ด้วยความหงุดหงิดและเดือดดาล เคอร์เซอร์ที่กะพริบอยู่ด้านหลังจุดฟูลสต็อปของประโยคสุดท้ายเลื่อนลงมาหนึ่งบรรทัด ผมตรวจสอบรหัสนักศึกษากับชื่อเป็นครั้งสุดท้ายว่าเขียนถูกต้องหรือยัง ก่อนจะคลิกที่ปุ่มบันทึก

 

‘รายงานปลายภาค_แก้ไข_ครั้งสุดท้าย_final_รอบนี้_ครั้งสุดท้ายจริงๆ_เฮ้อขอร้องล่ะ_ทำไมฉันถึงได้มาลงเรียนวิชานี้กันนะ | tlqkf.hwp’

 

สภาพดูไม่จืดเลยแฮะ คำพูดที่ผมโอดครวญมาตลอดสามวันร่ายยาวอยู่ในชื่อไฟล์ ก่อนชื่อไฟล์ที่มีแต่คำพูดเลอะเทอะจะถูกปรับแก้ใหม่ให้เรียบร้อยขึ้น

 

‘ปี 20xx_เทอม 2_การจัดการเชิงกลยุทธ์_20xx019653_ชองโฮฮยอน.hwp’

 

ผมรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์อย่างคล่องแคล่วเพื่อกรอกที่อยู่อีเมล จากนั้นก็แทรกไฟล์แนบ ก่อนจะกดส่ง ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขียนอะไรลงไปบ้าง แต่ที่แน่ๆ ก็คงมีคำพูดเวิ่นเว้ออย่าง ‘เรียนอาจารย์ที่เคารพ ช่วงนี้สภาพอากาศกำลังเย็นลง อาจารย์สุขภาพแข็งแรงดีไหมครับ’ แบบนี้เขียนลงไปอยู่ล่ะมั้ง

“อ๊ากกก…”

ผมฟุบตัวลงบนเตียงพร้อมกับร้องโหยหวนออกมาเหมือนคนใกล้ตาย สีของเพดานมืดลงสลับกับสว่างขึ้นซ้ำไปซ้ำมาจนผมตาลายไปหมด

นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว ตั้งสามวันที่ผมอดหลับอดนอนแทบจะสิงโน้ตบุ๊กเพื่อเขียนรายงานปลายภาคอันแสนโหดร้ายนี่ ในระหว่างที่คนอื่นๆ เขาทำรายงานและสอบปลายภาคกันเสร็จหมดแล้ว และตอนนี้ก็กำลังจัดปาร์ตี้หรือไปออกทริปท่องเที่ยวฉลองปิดเทอมกันอยู่ ส่วนผมกลับต้องมาติดแหง็กอยู่ในห้องโดยที่ขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย

เนื่องจากวันคริสต์มาสใกล้มาถึงแล้ว จึงมีพวงดอกไม้ขนาดใหญ่แขวนประดับอยู่ที่ประตูทางเข้าออกของหอพัก ทุกครั้งที่เดินผ่านหน้าประตูนั่น ผมจะรู้สึกเหมือนถูกยั่วโมโหให้อยากเขวี้ยงพวงดอกไม้นั่นทิ้งลงพื้น กระทืบซ้ำ แล้วจุดไฟเผามันอยู่ตลอดเวลา

ไอ้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นรูมเมตก็ปิดเทอมก่อนผมไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ หมอนั่นบอกว่าจะจองบ้านพักตากอากาศแล้วไปเที่ยวกับแฟนสาวในวันคริสต์มาส ก่อนจะแพ็กกระเป๋าด้วยหน้าตาชื่นมื่นแล้วหายตัวไปด้วยความเร็วแสง พอเห็นแผ่นหลังที่ดูระริกระรี้และโล่งใจนั่นแล้วก็ยิ่งสุมไฟแห่งความโกรธในตัวผมให้มากขึ้นไปอีก

ข้อสอบพวกวิชาเอกที่ขึ้นชื่อว่าโหดหินต่างก็ประเดประดังเข้ามา พอเคลียร์จบหมดแล้วก็ยังเหลือรายงานปลายภาคของวิชาเอกที่เคยผัดวันประกันพรุ่งอยู่อีกวิชาหนึ่ง ปริมาณงานที่ต้องเค้นออกมาให้ได้คือห้าสิบหน้ากับเวลาที่เหลืออยู่อีกสามวัน

ผมถอนหายใจยาวขณะเดินไปร้านสะดวกซื้อที่ชั้นหนึ่งของหอพักในสภาพน่าอดสูเหมือนผู้บัญชาการกองทัพที่บุกเข้าไปในทัพศัตรูเพียงลำพัง ผมไล่หยิบพวกเครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟขวด และหมากฝรั่งแก้ง่วงขึ้นมาทีละอย่างจนเต็มมือ ก่อนจะเรียกพนักงานพาร์ตไทม์เพื่อขอให้ยกเครื่องดื่มชูกำลังมาให้ทั้งกล่อง ผมยังจำสีหน้าของพนักงานพาร์ตไทม์ในตอนนั้นที่มองผมเหมือนเป็นตัวประหลาดได้ดี

ความทรงจำหลังจากนั้นไม่ค่อยชัดเจนนัก รู้แค่ว่าผมปิดมือถือแล้วโยนทิ้งไป ก่อนจะล็อกกลอนประตู รวบปิดผ้าม่านกันแสง แล้วพิมพ์รายงานอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับใส่ที่อุดหูอยู่ในห้องที่มืดสนิทตลอดเวลาจนแยกไม่ออกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน

ผมพิมพ์จุดฟูลสต็อปที่ท้ายประโยค ก่อนจะกดปุ่มคอนโทรลเอสตามความเคยชินแล้วมองนาฬิกาที่อยู่ตรงมุมล่างของจอคอมพิวเตอร์ด้วยดวงตาลึกโหล รู้ตัวอีกทีก็เหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนถึงกำหนดส่งงาน

ในที่สุดก็เสร็จสักที ภาคเรียนของผมสิ้นสุดลงในวินาทีที่คลิกส่งรายงาน คะแนนจะออกมาเป็นยังไงก็ช่าง สิ่งเดียวที่สำคัญคือตอนนี้มันได้จบสิ้นลงแล้ว

“ปั่นรายงานแค่สามวัน แต่เหมือนอายุขัยลดลงไปสามปีเลยแฮะ…”

ผมพึมพำเสียงแหบพร่าขณะควานหาผ้าห่มมาคลุมตัว ความง่วงที่ฝืนถ่างตามาตลอดสามวันด้วยสารพัดวิธีถาโถมเข้ามาเต็มที่ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองคงจะนอนสลบเป็นตาย ต่อให้ข้างนอกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สามหรือระเบิดนิวเคลียร์ลงก็ตาม

ผมรู้สึกปวดแสบกระเพาะเพราะกรอกแต่กาเฟอีนและทอรีน* ลงคอตอนท้องว่าง แต่ถึงอย่างนั้นความง่วงงุนกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น ผมเมินเฉยโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ตรงมุมหนึ่งแล้วหลับตาลงในสภาพสลบเหมือดเหมือนคนใกล้ตาย

ตอนนี้ไม่มีใครมาฉุดผมไว้ได้อีกแล้ว ผมจะนอน ต่อให้โลกจะถึงกาลล่มสลายเดี๋ยวนี้ ผมก็จะนอนหลับให้เต็มอิ่ม หรือถ้าจะต้องตายก็ให้มันนอนไหลตายไปเลย ลาก่อนทุกคน ผมจะปลดเปลื้องทุกพันธนาการของโลกใบนี้และออกเดินทางตามหาความสุขแล้วครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขเหมือนกันนะครับ!

ผมหลับตาขณะพึมพำเรื่องเพ้อเจ้อกึ่งละเมอออกมาในใจ กระแสน้ำวนสีแดงและสีน้ำเงินหมุนคว้างอยู่บนดวงตาที่ปิดสนิท ก่อนที่สติสัมปชัญญะของผมจะมอดดับลงจนสลบไปในที่สุด

 

ผมลืมตาขึ้น ดวงตาหนักอึ้งราวกับมีกาวทาปิดเปลือกตาเอาไว้ ผมค่อยๆ พลิกตัวพร้อมกับครางฮือ ปลายนิ้วแตะเข้ากับโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวนอน โทรศัพท์ยังเสียบอยู่กับที่ชาร์จแบตฯ ผมสลบไปนานมาก มีพักหนึ่งที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนจะหลับไปอีกครั้งด้วยความเพลีย ดูเหมือนผมจะเสียบสายชาร์จโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้ตอนที่กำลังสะลึมสะลืออยู่

ผมหาวหวอดใหญ่พร้อมกับบิดขี้เกียจ นี่ผมนอนไปนานแค่ไหนกันนะ หนึ่งวันหรือสองวัน? แม้จะสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาหลายครั้ง แต่ก็มั่นใจได้เลยว่าหลับไปนานมาก ทว่าแค่ร่างกายที่ตรากตรำจนเหนื่อยล้าถึงขีดสุดสดชื่นขึ้นบ้างผมก็พอใจแล้ว

ผมเดินโงนเงนเข้าไปอาบน้ำอุ่นในห้องน้ำ หอพักของมหาวิทยาลัยเก็บเสียงได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เสียงอาบน้ำจากห้องข้างๆ จึงเล็ดลอดเข้ามาเป็นประจำ และถ้าหากมีคนใช้น้ำอุ่นจากท่อเดียวกัน น้ำที่ไหลออกมาก็จะมีแต่น้ำอุ่น แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม รอบด้านเลยเงียบสงัดราวกับป่าช้า มีเพียงเสียงของน้ำอุ่นที่ไหลซู่ลงมาเรื่อยๆ เท่านั้น

หลังจากเพลิดเพลินกับการอาบน้ำที่แสนเงียบสงบ ผมก็เอาผ้าขนหนูคลุมหัวแล้วเดินออกมา โดยไม่ลืมปรับลดอุณหภูมิของฮีตเตอร์ที่ทำงานหนักระหว่างที่ผมนอนหลับอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่นุ่มสบาย ตอนนี้ค่อยรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย

หน้าจอโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้เปิดเครื่องแจ้งโชว์ว่าแบตเตอรี่ถูกชาร์จเต็มแล้ว ผมใช้ผ้าขนหนูเช็ดหัวและกดปุ่มเปิดเครื่อง โลโก้ผู้ผลิตและเครือข่ายโทรศัพท์ปรากฏขึ้นมาตามลำดับ ก่อนภาพพื้นหลังหน้าจอที่คุ้นเคยจะปรากฏขึ้น

“ฮะ?”

ผมขมวดคิ้วมองดูหน้าจอที่ปรากฏขึ้นมาหลังจากนั้น ตัวเลขที่เคยเห็นเลือนรางตอนงัวเงียเริ่มชัดเจนขึ้น

สายที่ไม่ได้รับและข้อความแน่นเอี้ยดเต็มหน้าจอ ปิดโทรศัพท์แล้วหายตัวไปตั้งหลายวัน ข้อความจะกองพะเนินเป็นภูเขาก็ไม่แปลก แต่ทำไมถึงมีเบอร์เลขสามหลัก* โทรเข้ามาด้วยนะ

สายส่วนใหญ่โทรมาจากครอบครัว พ่อ แม่ และน้องสาว ชื่อของทั้งสามคนสลับกันปรากฏในรายชื่อที่ไม่ได้รับสาย

พวกเขาน่าจะส่งข้อความมาเพื่อปลอบขวัญลูกชายผู้น่าสงสารที่แม้แต่ในช่วงวันคริสต์มาสก็ยังติดแหง็กอยู่ในมหาวิทยาลัยที่อยู่ลึกกลางป่ากลางเขา…ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น หรือว่าไม่ได้ติดต่อกันนานมากจนครอบครัวเข้าใจผิด คิดว่าผมหายสาบสูญไปแล้ว? ผมก็แอบกังวลว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็เคยบอกล่วงหน้าไปแล้วนะว่ายุ่งมากเลยอาจจะกลับบ้านไม่ได้

ก่อนอื่นโทรไปบอกที่บ้านให้พ่อกับแม่สบายใจก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็บอกว่าลูกชายของพวกเขายังไม่ตาย ยังอยู่รอดปลอดภัยดี ถึงจะเกือบตายเพราะโหมงานหนัก แต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่ อย่าได้กังวลไปเลย

“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก กรุณาฝากข้อความหลังจากได้ยินเสียงสัญญาณ…”

ทว่าเมื่อลองโทรไปกลับมีแต่เสียงตอบรับอัตโนมัติดังมาจากปลายสาย ผมโทรไปหาแม่และพ่อตามลำดับ แต่ท่านทั้งสองไม่มีใครรับเลยลองโทรไปหาน้องสาวอีกคน ซึ่งก็ยังไม่มีคนรับเหมือนเดิม

ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่ติดต่อไม่ได้พร้อมกันทั้งสามคนเนี่ยนะ? นี่ทิ้งผมแล้วยกโขยงไปเที่ยวต่างประเทศทั้งครอบครัวในช่วงสิ้นปีหรือยังไงกัน ไม่สิ ถ้าไปต่างประเทศจริงก็น่าจะมีเสียงตอบรับบอกว่าปิดเครื่องหรือกำลังเชื่อมต่อกับโรมมิ่งที่ต่างประเทศสิ

“…”

ผมตื่นเต็มตา ก่อนจะลูบเช็ดผมที่เปียกหมาดๆ แล้วกดเข้าแอพฯ เมสเซนเจอร์ จากนั้นก็เห็นแจ้งเตือนมากมายที่เด้งเข้ามา ตัวเลขที่ระบุว่ามีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านเด้งขึ้นมาไม่หยุด ก่อนที่ผมจะสะดุดตากับข้อความที่อยู่ด้านบนสุดจากบรรดาข้อความทั้งหมด

 

แม่

ถ้าเห็นแล้วติดต่อกลับมาหาแม่ด้วย

 

พ่อ

ลูกชายพ่อ พ่อรักลูกนะ

 

ชองจีฮยอน

พี่ปลอดภัยไหม ปลอดภัยใช่หรือเปล่า

 

ชั่วขณะนั้นในหัวของผมพลันขาวโพลนไปหมดพร้อมกับหัวใจที่กระตุกวูบ

ผมไถหน้าจอลงมาเพื่อดูข้อความอื่นๆ มันถูกส่งมาจากเพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ รุ่นน้อง และคนอื่นๆ ทุกคนต่างถามไถ่ด้วยคำพูดที่ดูร้อนใจและว้าวุ่น ข้อความสุดท้ายถูกส่งเข้ามาเมื่อประมาณครึ่งวันก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีการติดต่ออะไรมาอีกเลยราวกับทุกคนรวมหัวคุยกันแล้วนัดกันหยุดส่งข้อความ

 

[x] แม่ ผมโฮฮยอนเองครับ

[x] เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ

[x] แม่

 

ทุกข้อความที่ส่งไปมีเครื่องหมายกากบาทที่แจ้งว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายล้มเหลวเด้งขึ้นมา ผมเลยเหลือบไปมองแถบด้านบนสุดของหน้าจอโทรศัพท์โดยอัตโนมัติ ทั้งไวไฟและสัญญาณโทรศัพท์ต่างขึ้นขีดต่ำเหมือนกันหมด ถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้จะอยู่ในหุบเขา แต่ก็ไม่ได้ทุรกันดารถึงขนาดที่โทรออกไม่ได้ แถมไวไฟในมหาวิทยาลัยก็แรงจะตาย

ผมลองส่งข้อความอีกสองสามครั้งโดยเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ ก่อนจะผุดลุกพรวดขึ้น มีบางอย่างแปลกๆ ชอบกลแฮะ ผมสอดโทรศัพท์ที่ถืออยู่ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วสวมรองเท้า จากนั้นจึงเปิดประตูห้องนอนที่ปิดสนิทมาตลอดหลายวัน

ทั่วทั้งหอพักเงียบกริบจนวังเวง ถึงภาคเรียนจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่มันก็แปลกมากที่เงียบสงัดถึงขนาดนี้ เพราะปกติแล้วต่อให้ปิดเทอมก็ยังมีผู้คนเหลืออยู่เยอะ ทั้งนักศึกษาที่ลงเรียนเป็นภาคตามฤดูกาล นักศึกษาที่ยังอยู่เพราะไม่ได้กลับบ้านช่วงปิดเทอม ไหนจะนักศึกษาที่ทำกิจกรรมของชมรมหรือหมกตัวอยู่ในห้องสมุดเพราะเตรียมสอบนั่นอีก

ผมกวาดตามองโถงทางเดินที่เงียบสงัดไร้วี่แววของผู้คน ประตูห้องทั้งสองฝั่งของทางเดินที่ทอดยาวออกไปถูกเปิดทิ้งไว้บางห้อง ไม่มีคนอยู่แล้วทำไมถึงไม่ล็อกประตูห้องกันนะ ผมรีบเดินจ้ำผ่านโถงทางเดินนั้นไป ภายในห้องที่เหลือบมองผ่านๆ มีข้าวของอย่างเสื้อผ้าและหนังสือกองเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น

ผมเดินลงไปชั้นล่างผ่านบันไดที่อยู่สุดโถงทางเดิน พอเลี้ยวที่หัวมุมโถงก็เจอป้ายร้านสะดวกซื้อที่เป็นแฟรนไชส์ เวลาขี้เกียจไปกินข้าวโรงอาหารหอพักหรือไม่อยากสั่งอาหารมากิน พวกนักศึกษาก็มักจะแวะมาใช้บริการกันที่ร้านนี้เป็นประจำ แถมมันยังเป็นร้านที่ผมแวะมาก่อนจะทุ่มเทจิตวิญญาณเพื่อเขียนรายงานปลายภาคอีกด้วย

ภายในร้านสะดวกซื้อยังคงมีไฟสว่างอยู่ ผมกวาดมองบรรดาแบรนด์สินค้าที่คุ้นเคยดี ด้านหลังเคาน์เตอร์มีบุหรี่ยี่ห้อต่างๆ จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ชั่วขณะนั้นผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันราวกับได้ตื่นขึ้นมาหลังจากติดอยู่ในห้วงฝันร้ายแปลกๆ

นั่นสินะ มันจะไปมีเรื่องอะไรได้ยังไงกัน สาเหตุที่โทรออกหรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายไม่ได้นั่นก็เพราะระบบสื่อสารเกิดการขัดข้องชั่วคราว และไอ้ที่เดินมาจนถึงที่นี่แต่ก็ยังไม่เจอใครสักคนนั่นก็คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่ประจวบเหมาะพอดี

“ขอโทษนะครับ”

ในร้านสะดวกซื้อไม่มีคนอยู่ แม้แต่พนักงานพาร์ตไทม์ที่ควรจะยืนเฝ้าอยู่ตรงเคาน์เตอร์เองก็เช่นกัน หรือว่าจะไปห้องน้ำ? ผมเหลียวมองดูรอบตัว ถัดจากเคาน์เตอร์ไปมีประตูห้องเก็บของที่ใช้สต็อกสินค้าแง้มอยู่

“มีใครอยู่ไหมครับ”

ไร้เสียงตอบรับจากด้านใน

“เอ่อ…ขอโทษนะครับ!”

ผมส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย แต่ในห้องเก็บของยังคงเงียบเชียบ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังจนได้ยินเสียงกรอบแกรบเบาๆ ดังออกมาจากด้านใน คนที่อยู่ในนั้นคงจะยุ่งอยู่กับการจัดสต็อกที่มุมห้องเลยไม่ได้ยินเสียงของผม

“ขอโทษที่รบกวนตอนยุ่งนะครับ พอดีผมมีเรื่องอยากถามน่ะครับ”

ผมยืนอยู่ที่กรอบประตูแล้วยื่นหัวเข้าไปด้านในเล็กน้อย ร้านเปิดไฟสว่างจ้า ทว่าข้างในนี้กลับมืดสนิท มาจัดสต็อกอะไรในห้องมืดๆ ไม่เปิดไฟสักดวงอย่างนี้กันนะ

ครืดดด กึก

เสียงแปลกๆ ดังลอดออกมา ผมมองเข้าไปในห้องที่ปกคลุมด้วยความมืดอย่างเหม่อลอย ก่อนจะมารู้สึกตัวเอาทีหลังว่ามีกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนรุนแรงที่อธิบายไม่ถูกลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วห้อง

“กรร กรรร…”

ใครบางคน…ไม่สิ อะไรบางอย่างที่อยู่ข้างในกำลังจ้องกลับมาที่ผม แม้ในห้องจะมืดจนแทบมองไม่เห็นเบื้องหน้า แต่ลางสังหรณ์ตามสัญชาตญาณนั้นบอกว่าเรากำลังสบตากันอยู่ มันส่งเสียงคำรามอยู่ในลำคอพร้อมกับเดินอืดอาดมาทางผม ไม่นานนักแสงไฟที่สาดเข้ามาจากด้านนอกก็ส่องให้เห็นรูปร่างของมันแบบสลัวๆ

ผิวหนังบนใบหน้าของมันเน่าเฟะไปหมดแล้ว เนื้อสีดำๆ ปริแยกออกพร้อมทั้งมีน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาจากรอยปรินั้น ลูกตาเองก็เน่าไปเยอะแล้ว สีของมันขุ่นมัวเสียยิ่งกว่าปลาที่เคยเห็นในตลาดอาหารทะเล เหงือกและลิ้นในปากที่อ้าออกกว้างเปื่อยยุ่ยและห้อยลงมาจนแทบจะเห็นกระดูกเบ้าฟัน ถึงจะพยายามคิดให้ดียังไง ผมก็มองว่านี่เป็นร่างกายของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้จริงๆ

ในตอนนั้นเองผมก็ได้เห็นภาพด้านในของห้องเก็บของที่ถูกบังอยู่ด้านหลัง ท่ามกลางชั้นวางของที่แน่นขนัดอยู่ในพื้นที่แคบๆ กับสินค้าที่วางเทินขึ้นไปจนถึงเพดาน มีร่างของคนคนหนึ่งนอนแน่นิ่งราวกับหุ่นโชว์ที่พังแล้ว เขาคนนั้นอยู่ในสภาพที่น่าสยดสยองจนคาดเดารูปร่างหน้าตา อายุ และเพศไม่ได้เลย เสื้อกั๊กยูนิฟอร์มของร้านสะดวกซื้อที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีน้ำเงินอาบย้อมไปด้วยสีแดงฉาน

“เอ่อ…”

ผมเผลอชักเท้าถอยกลับไปข้างหลัง มันอ้าปากกว้างจนปากแทบฉีก ฟันสีเหลืองแซมดำดูเหนียวเหนอะไปด้วยคราบเลือด ไม่อยากจะคิดเลยว่าชิ้นเนื้อสีแดงๆ ที่ติดอยู่ในปากนั่นมาจากไหน ไม่สิ แม้แต่เวลาให้คิดยังจะไม่มีเลย ผมรีบหมุนตัวแล้วออกวิ่ง ในขณะที่มันพุ่งพรวดเข้าใส่ผม

ปึง!

เสียงดังสนั่นลั่นขึ้น มันเป็นเสียงไหล่ของผมที่ชนเข้ากับชั้นวางของ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะผมดันพรวดพราดออกตัววิ่งหนีโดยไม่ทันดูหน้าดูหลัง สินค้าหลายชิ้นที่อยู่บนชั้นวางร่วงระเนระนาดลงมา ในขณะที่ผมกัดฟันข่มความเจ็บจากแรงที่กระแทกเข้ากับร่างกายส่วนบน

มันเหยียบทิชชูแบบใช้แล้วทิ้งที่หล่นเกลื่อนพื้นจนเสียหลัก ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีสติปัญญามากพอที่จะสังเกตดูใต้เท้าของตัวเอง ผมเลยอาศัยโอกาสนั้นขยับออกห่างจากมัน

ในตอนนั้นเองสภาพภายในร้านค้าที่ไม่ทันได้สังเกตพลันสะดุดตาผม ชั้นวางที่ควรเต็มไปด้วยพวกอาหารสดและน้ำดื่มกลับว่างเปล่า สินค้าที่เหลืออยู่ไม่กี่อย่างวางเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายราวกับมีโจรมากวาดเอาของไป

“กรรร!”

มันส่งเสียงคำรามลั่น ฟันอาบไปด้วยเลือดเป็นมันวาว ผมหลบหลีกมันที่พยายามยื่นมือปัดป่ายและวิ่งเข้าใส่ ก่อนจะวิ่งกลับไปที่อีกด้านหนึ่ง

“นี่มันอะไรกันเนี่ย…อุ๊บ!”

มือที่เน่าจนเป็นสีดำและมีเนื้อยุ่ยหลุดออกไปเป็นบางจุดคว้าตัวผมพลาดไปอย่างเฉียดฉิว ผมรับรู้ได้ในทันทีว่าถ้าหากพลาดท่าถูกมือนั้นจับได้ขึ้นมา ตัวเองคงมีสภาพไม่ต่างจากพนักงานพาร์ตไทม์ที่อยู่ในห้องเก็บของนั่น

ภายในปากของผมแห้งผากด้วยความตึงเครียดจนถึงขีดสุด เส้นเลือดในสมองผมเต้นตุบๆ ราวกับหัวใจกำลังเต้นอยู่ที่ขมับ นัยน์ตาที่หรี่แคบลงมองไปยังเคาน์เตอร์ที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ผมเปิดประตูสูงระดับเอวที่พนักงานใช้ผ่านเข้าออกแล้ววิ่งเข้าไปข้างในนั้น

ด้านในเคาน์เตอร์นั้นกว้างสมกับที่เป็นร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ พื้นที่เพียงพอสำหรับให้คนสามถึงสี่คนเข้าไปยืนได้ มันวิ่งตามหลังผมเข้ามาทันที แต่ผมใช้แขนยันเคาน์เตอร์แล้วกระโดดข้ามไปอีกฝั่งก่อนที่จะถูกมันไล่ตามมาจนทัน กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานมานานเริ่มออกอาการ แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่เวลาจะมาเจ็บปวด ทันทีที่ผมกระโดดถึงพื้น เอวของมันก็ติดอยู่ที่ขอบเคาน์เตอร์พอดี

มันข้ามเคาน์เตอร์ที่สูงแค่ระดับสะดือออกมาไม่ได้เลยตะเกียกตะกายอยู่ตรงนั้นพร้อมกับดิ้นรนตะกุยเคาน์เตอร์อย่างสะเปะสะปะด้วยมือที่มีเลือดกับน้ำเหลืองสีดำหยดลงมา ป้ายประกาศ ‘ห้ามจำหน่ายบุหรี่และของมึนเมาแก่ผู้เยาว์’ และ ‘มีบัตรสมาชิกไหมคะ’ ที่ติดอยู่บนเคาน์เตอร์ถูกปัดป่ายจนเป็นรอยมือสีแดงก่ำ

“แฮกๆ”

ผมเพิ่งมานึกได้ในตอนนั้นว่าตัวเองลืมหายใจอยู่เลยหอบหายใจออกมาทีหลัง ผมเริ่มหน้ามืดตาลายก่อนจะรีบปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ในเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมันได้แล้ว ผมก็น่าจะใช้โอกาสนี้หนีไปได้

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงประหลาดดังมาจากในห้องเก็บของ

“กรร…กรรร กึก…”

ผมเดินเข้าไปตรวจสอบดูให้เห็นกับตา ซึ่งต้นเสียงก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพนักงานพาร์ตไทม์ที่เคยนอนแน่นิ่งอยู่ในห้องเก็บของ ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสจนขยับตัวไม่ได้ ว่าแต่…มันคลานออกมาในสภาพที่เลือดท่วมตัวแบบนี้ได้ยังไงกัน

หัวของพนักงานพาร์ตไทม์โงนเงนไปมา ดูเหมือนว่าจะพยุงคอให้ตั้งตรงไม่ได้เพราะถูกกัดคออย่างแรงจนขาดแหว่งไปเกินครึ่ง มันตะเกียกตะกายด้วยแขนขาเพื่อเข้ามาใกล้โดยที่ตัวมันสวมเสื้อกั๊กที่เป็นชุดยูนิฟอร์มของร้านสะดวกซื้อ

“อึก…!”

วินาทีที่เห็นโลโก้ร้านสะดวกซื้อซึ่งพิมพ์อยู่บนหน้าอกของพนักงานพาร์ตไทม์โชกชุ่มไปด้วยสีแดงฉาน ผมก็รีบเอามือปิดปากตัวเองด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอยังยื่นกล่องเครื่องดื่มชูกำลังให้ผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่เลย แล้วทำไมถึงได้…

ตัวที่ตะเกียกตะกายจากฝั่งตรงข้ามของเครื่องคิดเงินกำลังหาวิธีอื่นแทนที่จะยันเคาน์เตอร์แล้วกระโดดข้ามมา มันใช้มือตะกุยรอบด้านแล้วกระเสือกกระสนไปทั่วในท่าคว่ำหน้าลงบนเคาน์เตอร์ เมื่อจุดศูนย์ถ่วงร่างกายเริ่มเอียง ร่างกายส่วนบนของมันก็ค่อยๆ โน้มลงมายังอีกฝั่งของเคาน์เตอร์

พนักงานพาร์ตไทม์ขยับเข้ามาใกล้โดยทิ้งคราบเลือดไว้บนพื้นเป็นทางยาว ตัวที่อยู่บนเคาน์เตอร์ก็โน้มลงมาจนถึงเอวและเชิงกรานแล้ว ทั้งสองตัวกำลังจ้องเขม็งมาที่ผมราวกับหมายมั่นที่จะกัดกินเนื้อและฉีกเคี้ยวอวัยวะภายในของผม

จะมัวรอช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมรีบวิ่งเลี้ยวตรงหัวมุมอย่างตาลีตาเหลือกก่อนจะผลักประตูกระจกของร้านสะดวกซื้อแล้วพรวดพราดออกไปข้างนอก กระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงประตูทางเข้าออกส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง มันเป็นเสียงที่ฟังดูสดใส แต่กลับหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย

ไม้ถูพื้นด้ามยาววางพิงอยู่ข้างประตู พนักงานพาร์ตไทม์คนนั้นคงทำความสะอาดพื้นร้านแล้วเผลอวางทิ้งไว้ตรงนั้น

ผมคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วเลยรีบปิดประตูแล้วเอาตัวขวางไว้เพื่อไม่ให้พวกมันออกมาได้ โดยระหว่างนั้นก็สอดด้ามไม้ถูพื้นขัดหูจับประตูในแนวขวาง

ปัง!

ทันใดนั้นแรงอันหนักหน่วงก็โถมกระแทกเข้าใส่ พวกมันวิ่งเอาตัวเข้ามาชนกับประตูอีกฝั่งหนึ่ง

ประตูกระจกสะเทือนสั่นอย่างรุนแรง คราบเลือดสีแดงเข้มปรากฏอยู่บนนั้น โฆษณาที่เขียนว่า ‘ขอให้ทุกท่านได้มีช่วงเวลาสิ้นปีที่แสนอบอุ่น ซาลาเปาอุ่นๆ วางขายแล้ว!’ เองก็เปื้อนรอยแดงนั้นเช่นกัน ดวงตากลมโตเป็นประกายของมาสคอตรูปซาลาเปาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยเลือดชวนให้ขนลุกขึ้นมาทันที

ผมสบตาพวกมันโดยมีเพียงบานประตูกระจกคั่นกลาง ลูกตาที่เป็นสีเหลืองหม่นค่อยๆ กลอกมองมาทางผม พวกตัวประหลาดที่อัปลักษณ์และน่าสยดสยองกำลังจ้องผมด้วยดวงตาที่ปูดโปนออกมากว่าครึ่ง อีกทั้งยังเน่าเปื่อยจนไม่น่าจะโฟกัสกับอะไรได้ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันที

“พวกบ้าเอ๊ย ไสหัวไป บอกให้ไสหัวไปไง!”

ผมตะเบ็งเสียงออกมาด้วยความโกรธ แต่สิ่งที่ได้รับแทนคำตอบกลับเป็นเสียงร้องคำรามน่าขนลุกกับร่างกายที่โหมกระแทกใส่ประตูมากขึ้นจนตัวผมที่จับหูจับประตูและเอาตัวยันไว้อยู่สั่นสะเทือนตามไปด้วย

ผมปล่อยมือออกแล้วถอยเท้าไปด้านหลัง ประตูร้านสะดวกซื้อซึ่งถูกขัดล็อกไว้ด้วยไม้ถูพื้นดูท่าจะไม่เปิดออกง่ายๆ ผมพินิจมองเข้าไปด้านในผ่านประตูบานนั้น พอไม่เห็นวี่แววว่าพวกมันจะออกมาได้ในตอนนี้ ผมก็รีบหันหลังโกยแน่บไปในทันที

ผมวิ่งกระหืดกระหอบย้อนกลับไปทางเดิมที่เดินมาเมื่อครู่นี้อย่างไม่คิดชีวิตโดยไม่หยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว ราวกับกลัวว่าถ้าหยุดฝีเท้าลงเพียงเดี๋ยวเดียวก็จะถูกพวกมันจับเอาได้ สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านใบหูไป ผมอาจจะแค่รู้สึกไปเอง แต่มันราวกับมีกลิ่นเน่าลอยคลุ้งมาตามอากาศ

นี่เป็นคริสต์มาสที่เลวร้ายที่สุด

* ทอรีน (Taurine) คือกรดอะมิโนไม่จำเป็นที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง เป็นส่วนผสมที่อยู่ในเครื่องดื่มให้พลังงานเช่นเดียวกับกาเฟอีน หรืออยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ

*เบอร์เลขสามหลัก หมายถึงเบอร์โทรฉุกเฉินในประเทศเกาหลีใต้ เช่น กรมตำรวจ (112) แผนกดับเพลิง (119)

Chapter 1-2

 

ผมมุ่งหน้าไปยังสำนักงานดูแลความปลอดภัยที่อยู่สุดทางฝั่งตรงข้ามของล็อบบี้ชั้นหนึ่ง ผมลองมองลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กที่แตกเป็นรูเข้าไป แต่ภายในสำนักงานที่ผมเห็นกลับว่างเปล่า

“อาจารย์ครับ อยู่ไหมครับ ไม่มีใครอยู่เลยเหรอครับ ขอโทษครับ! ใครก็ได้ ขอร้องล่ะ”

ผมเคาะประตูพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่น เสียงตะโกนของผมดังกึกก้องไปทั่วโถงทางเดินที่วังเวงจนน่าขนลุก แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา ผมลองหมุนลูกบิดประตูดูก็พบว่าประตูไม่ได้ล็อก

ผมเข้าไปในสำนักงานแล้วกวาดตามองไปรอบห้อง เอกสารต่างๆ ถูกเสียบไว้จนเต็มแน่นอยู่ที่ชั้นวางเอกสาร ไวท์บอร์ดที่แขวนอยู่บนผนังก็อัดแน่นไปด้วยตารางเข้ากะของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกำหนดการทำความสะอาดอาคาร ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดิม ทั้งสงบและเงียบสงัดจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์สยองขวัญเกิดขึ้นที่ด้านนอก

เมื่อเดินผ่านมุมทำงานที่มีโต๊ะกับเก้าอี้แล้วตรงเข้าไปด้านในของสำนักงาน ผมก็เห็นประตูอีกบานหนึ่งซึ่งเป็นประตูห้องพักของอาจารย์คุมเวร มันเป็นห้องที่อาจารย์ผู้ดูแลหอพักใช้เวลาที่ต้องเข้าเวรกะกลางคืน ผมกำลังจะเปิดประตูเข้าไปแล้วก็จำต้องชะงัก บนประตูห้องพักมีสัญลักษณ์ ‘X’ เขียนไว้ตัวโต มันเป็นอักษร ‘X’ ที่ขีดไว้อย่างลวกๆ ด้วยปากกาเมจิกสีแดง ดูเป็นลางไม่ดีเอาเสียเลย

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเทปกาวชนิดหนาปิดซ้อนกันอยู่หลายชั้นที่ลูกบิดและช่องว่างของประตู แถมหน้าประตูเองก็มีตู้เหล็กหนักอึ้งถูกนำมาวางขวางไว้ในแนวนอน

ตึง

ผมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆ จากด้านหลังประตูเลยผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พอทัศนวิสัยกว้างขึ้นถึงได้เห็นตัวหนังสือเล็กๆ ที่เขียนด้วยสีแดงตรงขอบประตู เจ้าตัวคงเขียนด้วยความรีบร้อนเพราะลายมือนั้นห่วยบรม ทว่าก็อ่านเข้าใจไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด

 

‘ถ้าอยากรอดให้เงียบ อย่าปลุกพวกมัน

 

คำว่า ‘เงียบ’ ถูกขีดเส้นใต้เน้นย้ำไว้หลายเส้น ผมหายใจไม่ทั่วท้อง ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ขณะจ้องมองประตูที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย

ตึง…ตึง…ตึง…

เสียงทุบดังมาจากข้างในอีกครั้ง และในวินาทีถัดมานั้น…

ปึงๆๆๆๆ!

เสียงดังสนั่นนั้นดังออกมาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นเสียงที่ดังจนปวดแก้วหูและชวนให้เสียวสันหลังวาบ มือของผมพลันสั่นระริกโดยไม่รู้ตัว

ในตอนนั้นเองผมเพิ่งจะตระหนักว่าตัวเองได้ทำพลาดครั้งใหญ่ไปเสียแล้ว ทั้งวิ่งกระแทกส้นเท้ามาตามโถงทางเดิน เคาะประตู แหกปากตะโกนเรียกหาอาจารย์ แต่ละอย่างเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำทั้งนั้น

ประตูที่ถูกปิดไว้ด้วยเทปอย่างเหนียวแน่นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สุดท้ายก็สู้แรงที่กระหน่ำทุบมาจากข้างในไม่ไหว กระทั่งตัวเทปขาดออกจากกัน

ครืด…ครืด…

เสียงแห่งลางร้ายดังขึ้นเมื่อตู้เหล็กที่วางขวางอยู่หน้าประตูเริ่มถูกดันออกมาทีละน้อย

ผมกัดฟันแน่นแล้วเผ่นแน่บออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนจะวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างไม่รู้ทิศว่าต้องไปทางไหน เพราะตัดสินใจแล้วว่าถึงในหอพักอาจจะมีอะไรซุ่มรออยู่ แต่ก็คงปลอดภัยกว่าข้างนอกที่เปิดโล่งอีกทั้งยังไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัว

ปัง!

เสียงนั้นดังมาจากทางด้านหลัง มันเป็นเสียงของประตูที่เปิดผางออกแล้วกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง ผมไม่แม้แต่จะลดฝีเท้าลงหรือหันกลับไปมอง ถึงจะไม่ใช่คอหนังผีหรือหนังระทึกขวัญ แต่ก็พอจะรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ถ้าหยุดเดินแล้วหันไปมองข้างหลังมีหวังได้ตายแหงๆ

ผมวิ่งหน้าตั้งขึ้นบันไดไปโดยไม่รู้ว่าถึงชั้นสามหรือชั้นสี่แล้ว เสียงเหมือนคนเดินลากเท้าดังตามขึ้นมาจากข้างล่าง พอก้มมองลงไปจากราวบันไดก็เห็นร่างดำทะมึนเฉียดผ่านไปแวบๆ ซึ่งนั่นก็นับว่าเร็วมากแล้วสำหรับพวกมันที่เคลื่อนไหวอืดอาด

ผมทุ่มเทพลังกายเร่งความเร็วฝีเท้าสุดชีวิต ฝืนขยับขาที่อ่อนล้าอย่างหนักจนจวนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ รู้ตัวอีกทีก็วิ่งมาถึงชั้นบนสุดแล้ว แต่กลับไม่มีบันไดให้ขึ้นไปต่อ ผมเลยวิ่งไปที่โถงทางเดินซึ่งไม่มีหนูโผล่ออกมาแม้แต่ตัวเดียวแทน มันเงียบสงัดเสียจนผมรู้สึกว่าเสียงหอบหายใจของตัวเองดังกว่าปกติ โดยมีประตูห้องแบบเดียวกันหลายบานเรียงรายอยู่สองฝั่ง

“กรรร…”

เสียงน่าขนลุกดังมาจากทางฝั่งบันได ดูเหมือนว่ามันจะตามผมขึ้นมาถึงที่นี่ ทั้งที่เคลื่อนที่ก็ไม่ได้ไว มันสมองก็ไม่ค่อยจะมี แต่ความมานะของมันนี่สุดยอดจริงๆ

ผมวิ่งไปตามแนวโถงทางเดินยาว ถ้าเกิดมีตัวอะไรโผล่พรวดออกมาหรือทางที่กำลังวิ่งไปเกิดเป็นทางตันขึ้นมาล่ะจะทำยังไง แต่แทนที่จะกังวลกับอุปสรรคข้างหน้าซึ่งไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า สู้หนีจากภัยคุกคามที่ตามมาติดๆ จากข้างหลังตอนนี้ก่อนดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว

โถงทางเดินที่ทอดยาวเบื้องหน้าสะอาดเอี่ยมอ่อง แต่ก็มีจุดที่ผิดสังเกตอยู่หลายแห่ง อย่างหลายๆ ห้องที่เปิดประตูแง้มเอาไว้ บางห้องมีรอยเท้าเละเทะสะเปะสะปะอยู่บนผนังที่ถูกทาทับด้วยสีขาว ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมไม่ทันสังเกตเลยแม้แต่น้อย และเมื่อหลายนาทีก่อนยังมุ่งหน้าไปร้านสะดวกซื้ออย่างสบายใจเฉิบโดยไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามใดๆ ทั้งสิ้น

ตัวที่ไล่ตามมาด้านหลังยังคงกัดไม่ปล่อย ผมเริ่มเหนื่อยล้าจากการวิ่งสุดแรงเกิด ต่างจากไอ้ตัวนั้นที่ไม่ใช่คนเลยไม่ได้เหนื่อยอะไร เสียงคำรามในลำคอกับเสียงเดินแกว่งแขนขาเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าไม่ควรทำแบบนี้ แต่สุดท้ายผมก็เหลียวหลังกลับไปมองจนได้

มันเป็นใบหน้าที่ผมรู้จัก ยกเว้นก็แต่กะโหลกครึ่งหนึ่งที่คงถูกของแข็งทุบอย่างแรงเลยยุบลงไป และข้อต่อขากรรไกรที่บิดเบี้ยวผิดรูปแปลกๆ จนลิ้นห้อยออกมานอกปาก

“อะ…อาจารย์…ผู้ดูแลหอพัก”

เสียงของผมสั่นเครือไปหมด อาจารย์ผู้ดูแลหอพักไม่ได้ตอบกลับมา กลิ่นเหม็นสาบจากเนื้อหนังที่เน่าเฟะโชยมาจากตัวเขา ความสะพรึงกลัวซ้อนทับกับความเหนื่อยล้าจนร่างกายผมพานจะล้มลงอยู่หลายครั้ง ทั้งที่รู้ว่าถ้าถูกจับได้ตรงนี้ก็จะมีสภาพแบบเดียวกันกับพวกนั้น

“แฮกๆ อ๊า…”

ลมหายใจขาดห้วงตีขึ้นมาถึงคอหอยขณะที่ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว ผมวิ่งไปอย่างทุลักทุเลแล้วหักเลี้ยวตรงหัวมุม ก่อนจะเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่นอนนิ่งอยู่กลางโถงทางเดิน พวกอุปกรณ์อาบน้ำ เครื่องสำอางพื้นฐาน และเสื้อผ้าหลายตัวที่เดาว่าเคยอยู่ข้างในกระจายเกลื่อนเต็มพื้น โดยที่มีใครบางคนนั่งหมิ่นเหม่อยู่บนนั้น

เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ ทว่ามองไม่เห็นใบหน้าเพราะอีกฝ่ายนั่งหันหลังอยู่ มือข้างหนึ่งซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมสีดำ ส่วนขายาวๆ นั่นก็เหยียดออกอย่างผ่อนคลายสบายใจพลางใช้ปลายเท้าเคาะพื้นเป็นจังหวะราวกับกำลังเบื่อหน่าย

นั่นมันคน คนที่มีลมหายใจอยู่ในสภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี

“…”

ผมหยุดชะงักไปครู่หนึ่งโดยลืมไปว่ากำลังถูกไล่ล่าอยู่ ชายที่สัมผัสได้ว่ามีคนมาหันกลับมามอง เขาเจาะหูหลายรูที่ใบหูและสวมมาสก์สีดำปิดบังใบหน้าครึ่งล่างรับกับผมสีดำสนิท

ชายคนนั้นยืนขึ้นไม่พูดไม่จาพร้อมกับจ้องมาทางผม ตอนนั้นเองผมถึงได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย มันเป็นขวานดับเพลิงด้ามใหญ่ที่มีส่วนของใบมีดเป็นสีแดง โถงทางเดินหอพักที่อยู่ในความโกลาหล ชายที่นั่งอยู่กลางทางเดินอย่างสงบนิ่ง และขวานดับเพลิงที่รูปร่างหน้าตาอำมหิต ทั้งหมดนี้ช่างเป็นภาพเหตุการณ์ที่ดูไม่สมจริงเอาเสียเลย

จู่ๆ เขาก็เงื้อขวานขึ้นแล้วเขวี้ยงออกไปสุดแรง ร่างกายของผมพลันชะงักค้างขณะมองดูด้ามขวานแหวกผ่านอากาศเฉียดข้างตัวไปโดยที่ทำอะไรไม่ถูก

ปัก!

ของเหลวเหนียวหนืดอุ่นๆ กระเซ็นมาที่ปลายเท้า ก่อนจะมารู้สึกได้ทีหลังว่ามันคือเลือดที่เน่าเสียแล้ว

ผมมองไปที่พื้นราวกับสติหลุด ด้ามขวานเสียบคาอยู่ที่ไหปลาร้าของอาจารย์ผู้ดูแลหอพัก ไม่สิ…ต้องบอกว่าตัวประหลาดที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาจารย์ผู้ดูแลหอพัก ชายคนนั้นเตะอัดสีข้างของมันแล้วดึงด้ามขวานที่เลอะเลือดออกมา ร่างของมันที่คอกับไหล่ขาดออกเป็นสองท่อนดิ้นกระตุก

ชายตรงหน้าเอียงคอยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย บนท้ายทอยซึ่งไม่มีเสื้อกับมาสก์ปกปิดมีเลือดสองสามหยดกระเซ็นเปื้อนอยู่ เขาใช้หลังมือเช็ดเลือดนั้นออกหน้าตาเฉย ทำให้เห็นรอยแผลลากยาวตรงลำคอด้านในเสื้อแบบผ่านๆ

นั่นแผลเป็นเหรอ…

“อา…ไม่ตายแฮะ”

นั่นเป็นคำพูดแรกที่เขาสบถออกมา เขาหลุบตาต่ำพลางขมวดคิ้วแล้วเงื้อขวานขึ้นมาอีกรอบ

ปัก!

หัวที่ถูกสับขาดกระเด็นผ่านหางตาไป ผมหลับตาแน่น ถึงหน้าตาจะอัปลักษณ์และประหลาดยังไง แต่มันก็เคยเป็นคนมาก่อน ครั้งหนึ่งเราเคยมองหน้าและสนทนากัน ถึงจะเป็นแค่ความสัมพันธ์แบบผิวเผินก็เถอะ ภายในท้องผมรู้สึกปั่นป่วนจนแทบจะอาเจียนออกมา

“ไง คุณรุ่นน้อง มาได้แล้วเหรอ”

ชายคนนั้นทักทายผมด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรชอบกล ผมลืมตาขึ้น ทันทีที่สบตากันเขาก็ดึงมาสก์ลงมาใต้คางแล้วหัวเราะเบาๆ เรือนผมดำสนิท ดวงตาดำขลับ ไปจนถึงจิวที่เจาะอยู่บนหู ทั้งหมดนั่นเป็นรูปร่างหน้าตาที่ต่อให้จะบอกว่าเป็นการล้อเล่นแต่ก็ไม่สามารถพูดคำว่า ‘อ่อนโยน’ ได้จริงๆ

“ครับ?”

ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และผมก็ไม่เคยมีรุ่นพี่แบบนี้มาก่อน ลองนึกดูดีๆ ยังไงก็นึกไม่ออก

“ยังอุตส่าห์รอดมาได้นะ”

ชายตรงหน้าถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ทำไมถึงยังรอดมาได้อีกนะ”

ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เลยก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย เขาพูดตามออกมาด้วยคำว่า ‘หืม?’ พลางเดินตามเข้ามาจนระยะห่างระหว่างเราแคบลง ปลายขวานดับเพลิงที่เขาถืออยู่ถูกลากครูดไปกับพื้น

“คุณพูดเรื่องอะไร แล้วคุณเป็นใครเหรอครับ”

“โห่ แม่งเอ๊ย คุณรุ่นน้องครับ ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ทำเป็นลืมกันซะล่ะ แกล้งทำเป็นรู้จักกันหน่อยไม่ได้หรือไง อ๋อ นายลืมชื่อฉันไปแล้วสินะ ลืมกันแล้วก็งี้แหละเนอะ”

ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ ด้วยรอยยิ้มที่ไม่เข้ากับรังสีที่ดูอันตรายและหัวรุนแรงที่แผ่กระจายออกมาเลยสักนิด

“นี่ฉันยองวอนไง คียองวอน”

“โทษทีนะครับ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าคุณเป็นใคร ไม่ทราบว่าคุณทักคนผิดหรือเปล่าครับ”

ผมพูดไปเรื่อยเปื่อยพลางทิ้งห่างจากเขาด้วยการตีเนียนก้าวถอยหลังออกมา เพราะรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าผู้ชายตรงหน้านี้ไม่ปกติ คนปกติเขาคงไม่ใช้ขวานสับคอคนอื่นได้หน้าตาเฉยแบบนี้ และคงไม่แกล้งทำเป็นรู้จักคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันด้วยคำถามที่ว่า ‘ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่ล่ะ’ หรอก

“ว่าแต่เอาอีกละ ทำไมถึงชอบหนีกันอยู่เรื่อยเลยนะ”

เขาถามขึ้นท่ามกล่างความเงียบ ขวานเปื้อนเลือดที่ถืออยู่ในมือข้างหนึ่งดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก เขากำลังพูดถึงเหตุการณ์ตอนนี้ใช่ไหมนะ ถ้าใช่ก็อยากจะตะโกนออกไปว่า ‘มีโอกาสหนีได้ก็ต้องหนีสิ!’ แต่ผมก็มีสมองพอที่จะไม่พูดคำเหล่านั้นออกไป

“…”

ผมเม้มริมฝีปากแน่นขณะกวาดสายตาสำรวจดูรอบๆ พอสบโอกาสก็หันหลังแล้วรีบโกยแน่บ ดีไม่ดีชายคนนั้นอาจจะอันตรายพอๆ กับ…ไม่สิ อาจจะอันตรายกว่าพวกตัวน่าเกลียดที่ผมเจอมาจนถึงเมื่อครู่นี้เสียอีก

เขาไล่ตามหลังผมมาทันที เสียงชวนขนลุกดังไล่หลังมาเรื่อยๆ คมขวานที่เขาถืออยู่กระแทกกับผนังและพื้นกระเด็นกระดอนไปทั่ว แต่เขาก็คล่องแคล่วต่างจากพวกตัวประหลาดที่ได้แต่เดินลากร่างกายตัวเองโดยที่ควบคุมแขนขาได้ไม่ดีเท่าไหร่

“หนีทำไม เกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่ากลัว? นี่นายคิดว่าฉันจะฆ่านายหรือไง”

“หยุด…แฮก…หยุดตามมาทีเถอะ…”

“ไม่มีทางซะหรอก ทำไมฉันต้องฆ่านายด้วย ถึงนายจะลืมชื่อกันแล้วทำเหมือนฉันเป็นไอ้งั่งก็เหอะ ไม่เป็นไรน่า คนเราก็งี้แหละ ฉันไม่ฆ่านายหรอก ไม่สิ ต้องบอกว่าฆ่าไม่ได้ถึงจะถูก”

ภาพโถงทางเดินที่ว่างเปล่าผ่านสายตาไป ผมรู้สึกกลัว แต่เป็นความกลัวในแบบที่ต่างจากตอนที่ถูกอาจารย์ผู้ดูแลหอพักวิ่งไล่ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองตกเป็นเป้าหมายของฆาตกรต่อเนื่องโรคจิต

“วิ่งเร็วดีนี่ โวยวายสติแตกหาเรื่องตายขนาดนั้น แต่ดูท่าตอนนี้คงอยากมีชีวิตรอดขึ้นมาแล้วสินะ”

ผมวิ่งมาจนสุดโถงทางเดินก่อนจะวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างไม่คิดชีวิต ชายคนนั้นขายาวสมกับรูปร่างที่สูงโปร่ง เขากระโดดข้ามบันไดสองสามขั้นแล้วไล่ตามหลังผมมาด้วยความเร็วราวกับติดปีก

“ทำตัวแบบนี้อีกแล้วนะ หาเรื่องโน่นนี่ใส่ตัวได้ตลอดจริงๆ ฉันเลยดูเป็นไอ้โง่อยู่คนเดียวเลย”

ผมไม่อยากเสียเวลาตอบไอ้ประสาทนั่น เพราะรู้สึกเหมือนจะโดนคมขวานนั่นผ่าหัวแบะทันทีที่เปิดปากพูด

“นายนี่มันจริงๆ เลยนะ แม่งเอ๊ย…ใจร้ายกันเกินไปแล้วนะ”

ชายคนนั้นบ่นกระปอดกระแปดขณะไล่ตามมาจนเกือบจะถึงตัวตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แถมเขายังดูไม่เหนื่อยเลยสักนิด และในตอนนั้นเองผมก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองไม่มีทางเอาชนะหมอนั่นเรื่องวิ่งได้เลย

“ระ…รุ่นพี่ รุ่นพี่คียองวอน!”

ผมหยุดวิ่งพลางหลับตาลงแน่นพร้อมกับรีบตะโกนออกไปอย่างร้อนรน เขากำลังไล่ตามผมเพราะผมทำท่าทีไม่รู้จักเขาแล้ววิ่งเตลิดหนีมา เพราะงั้นถ้าไม่ทำเหมือนว่าไม่รู้จักกันและไม่วิ่งหนีมา เขาก็อาจจะไว้ชีวิตผมก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยซอมบี้หรือโดนขวานจามหัว ถ้ายังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว ผมก็อยากลองใช้วิธีสุดท้ายนี่ดูก่อนตาย

“ขอโทษครับรุ่นพี่! ผมมันบังอาจมากที่จำรุ่นพี่ไม่ได้! พอดีผมแค่นึกไม่ออกไปแป๊บนึงน่ะครับ ไม่สิ เอ่อคือ…ผมแค่สับสนน่ะครับ”

“…”

มันเป็นน้ำเสียงที่แม้แต่ลองฟังเองแล้วก็ยังรู้สึกได้ถึงความขี้ขลาดตาขาว แต่เหมือนว่ามันจะได้ผลชะงัด ชายคนนั้นหยุดฝีเท้าชะงักนิ่ง ผมลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อกก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วหันกลับไปมองช้าๆ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือภาพของชายที่เหวี่ยงขวานมาหน้านิ่ง

“อ๊ากกก!”

ผมร้องเสียงหลงอย่างน่าสมเพช แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้ จู่ๆ เช้าวันหนึ่งโลกก็แปลกไป มีพวกตัวประหลาดน่าสยดสยองวิ่งไล่ตาม แถมคนเป็นๆ เพียงคนเดียวที่กว่าจะพบเจอก็เล่นเอาเหนื่อยนั้นก็ดันสมองเพี้ยน ถือขวานเปื้อนเลือดไล่อาละวาดไปทั่วอีก ถ้ายังสงบจิตสงบใจกับสถานการณ์แบบนี้ได้ก็แปลกเต็มทีแล้ว

ปัก!

เสียงขวานปักลึกเข้าเนื้อจนกระดูกหักดังขึ้น ไอ้ตัวที่อยู่ห่างไปหนึ่งก้าวและกำลังกระโจนใส่ผมทรุดลงกับพื้นตรงนั้น ถึงจะจำหน้าไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้ หยดเลือดกระเซ็นไปโดนตรามหาวิทยาลัยที่ปักอยู่บนเสื้อแจ็กเก็ตทีมเบสบอลที่ไอ้ตัวนั้นสวมอยู่ เลือดที่เหนียวเหนอะและเน่าเหม็นค่อยๆ เอ่อนองจนกลายเป็นแอ่งเลือดสีแดงเข้มบนพื้นพร้อมกับกลิ่นเหม็นรุนแรงที่โชยออกมา

“เฮือก…”

แข้งขาผมพลันอ่อนแรงจนทรุดตัวลงพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทาไปทั้งตัว คนที่ประกาศตัวว่าเป็นรุ่นพี่เหม่อมองนักศึกษาที่นอนแน่นิ่งในสภาพน่าสังเวชใจก่อนจะปรายตามองมาทางผม หลังจากจ้องหน้าผมอยู่นานสองนานจนรู้สึกผิดปกติ เขาก็ถอนหายใจยาวเหยียดแล้วเก็บขวานขึ้นมา

“ตั้งสติหน่อย คุณรุ่นน้อง”

เขาไม่ได้ถามอะไรพิลึกๆ ประมาณว่า ‘ทำไมถึงแกล้งทำเป็นไม่รู้จักฉัน’ และดูท่าเขาก็ไม่ได้คิดที่จะพยายามฆ่าผมอย่างไร้เหตุผล ไม่รู้จะใช้สำนวนเปรียบเปรยแบบนี้ได้ไหม แต่เขาดูเหมือนคนที่หมกมุ่นอยู่กับบางสิ่งแล้วจู่ๆ ก็เพิ่งตื่นจากภวังค์นั้น

รุ่นพี่ดึงมาสก์ที่เกี่ยวลงมาใต้คางกลับขึ้นไปอีกครั้ง พอปิดจมูกกับปาก ดวงตาที่เผยออกมาก็ให้ความรู้สึกน่าหวาดเสียวยังไงชอบกล

“อยู่ข้างๆ ฉันเอาไว้ ถ้ายังมัวแต่เอ้อระเหยมองไปทางอื่น รู้ไว้ซะว่าฉันจะเด็ดกบาลนายด้วยมือของฉันเองก่อนที่นายจะถูกพวกนั้นจับกินอีกคอยดู”

ผมใคร่ครวญในใจว่าระหว่างถูกตัวประหลาดงาบหัวกับถูกขวานจามหัว อย่างไหนตายดีกว่ากัน แต่ทั้งสองอย่างนั่นก็ซวยพอๆ กันจนแยกข้อดีข้อเสียไม่ได้เลย

“อย่าเสียงดังแล้วตามมา”

“เสียงดัง?”

“อย่าถามอะไรซ้ำๆ หลายรอบได้มั้ย ให้พูดเรื่องเดิมซ้ำๆ แม่งโคตรหงุดหงิดเลย”

“…”

ถึงผมจะไม่เคยถามเรื่องเดิมซ้ำกันหลายรอบ แต่ก็เลือกที่จะหุบปากทันควัน ชีวิตของผมสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง รุ่นพี่เดินไปพร้อมกับถือขวานในท่าที่ปล่อยคมขวานลงมา เมื่อเทียบกับท่าทางการเดินที่ดูไม่แยแสเหมือนรำคาญนั่นแล้ว ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเลย ผมได้แต่ลอบสังเกตเขาอย่างเกร็งๆ เลยเดินตามหลังเขาช้าไปหลายก้าว

ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ สิ่งที่เจอมาจนถึงตอนนี้คือตัวอะไรกันแน่ แล้วทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้ทำเหมือนเคยรู้จักผมมาก่อน คำถามมากมายกองพะเนินเป็นภูเขา แต่ก็ไม่มีจังหวะให้ถามสักที

 

ตลอดเวลาที่เดินบนโถงทางเดินตามรุ่นพี่ที่นำหน้าไปก่อน ผมไม่อาจคลายความตึงเครียดของตัวเองลงได้เลย บรรยากาศภายนอกเงียบสงัดจนรู้สึกเวิ้งว้าง แต่ทั่วทั้งอาคารหอพักกลับมีตัวอัปลักษณ์ซุ่มรออยู่เต็มไปหมด มันเป็นพวกตัวประหลาดที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ แต่ตอนนี้กลับมาทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง

ทำไมคนพวกนั้นถึงได้กลายเป็นแบบนั้นกันนะ ตอนนี้ครอบครัวของผมกำลังทำอะไรกันอยู่ ยังเหลือคนกลุ่มอื่นที่รอดชีวิตอยู่อีกไหม และทั้งที่มีคนถูกฆ่าตายในสภาพที่น่าสยดสยองภายในรั้วมหาวิทยาลัยแบบนี้ ทำไมตำรวจกับรถพยาบาลถึงยังไม่มาสักที

คำถามที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลายยังคงขมวดพันกันเป็นปมอยู่อย่างนั้น ราวกับหลงทางอยู่ในวังวนของฝันร้ายอันไม่มีที่สิ้นสุด คำถามที่ต้องการคำตอบมากที่สุดในบรรดาคำถามเหล่านั้นคือผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่

ไม่มีส่วนไหนที่เขาไม่แปลก เกิดโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญขนาดนี้ แต่เขาคนนั้นกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด เขาพูดกับผมเหมือนกับว่าเขารอผมอยู่ก่อนแล้ว แถมยังฟันซากศพที่เคยเป็นคนมาก่อนด้วยท่าทางที่คล่องแคล่วและดูชำนาญเกินไป ทั้งยังเรียกผมว่ารุ่นน้องอย่างสนิทสนม พร้อมกับบอกชื่อของตัวเองเสร็จสรรพอีก

แต่ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่านั่นเป็นชื่อจริงหรือชื่อปลอม แล้วเขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยนี้จริงหรือเปล่า ที่สำคัญที่สุดคือเขาชอบพูดจาอ้อมค้อมปั่นประสาท บางทีก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่บอกอะไรเลย ตัวประหลาดที่มีรูปร่างพิลึกพิลั่นนั้นอันตราย แต่สำหรับผมแล้วชายคนนี้ดูอันตรายไม่ต่างไปจากตัวประหลาดนั่นสักเท่าไหร่เลย

จู่ๆ ก็เกิดอะไรดลใจขึ้นมากะทันหัน หนีเลยดีไหมนะ โอกาสหนีมีแค่ตอนนี้เท่านั้น ตอนนี้รุ่นพี่ไม่ได้มองผม และระยะห่างระหว่างเราก็กว้างพอสมควร อย่างน้อยถ้าวิ่งหนีไปตอนนี้ก็คงไม่ถูกจับเอาได้ง่ายๆ เหมือนคราวก่อน

“คุณรุ่นน้องครับ”

ทันใดนั้นจู่ๆ เขาก็หันขวับกลับมาพอดี ดวงตาที่มีขนตาดำยาวแผ่ปกคลุมหรี่แคบลง ผมสะดุ้งโหยงทันทีเพราะรู้สึกเหมือนถูกเขาอ่านความคิด

“มานี่เร็ว”

เขายื่นมือข้างที่ไม่ได้ถือขวานออกมา ท่าทางนั่นมันเหมือนกวักมือเรียกสัตว์เลี้ยงชัดๆ เหลือเชื่อจริงๆ

“บอกให้มานี่ จับมือฉันไว้”

“คุณจะจับมือไว้ไม่ให้ผมหนีเหรอครับ”

“ว่าไงนะ”

“เปล่าครับ”

“ระหว่างเรายังต้องเล่นตัวอีกเหรอ เลิกบ่ายเบี่ยงซะแล้วจับมือฉันเร็วๆ เข้า เราไม่มีเวลาแล้ว”

ระหว่างเราอะไรกันล่ะ ระหว่างเรากับผีน่ะสิ

“อยู่ๆ ก็พูดอะไร…”

ขลุกๆ ปัง!

ผมยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงหนักๆ ดังก้องมาแต่ไกล มันเหมือนเสียงวัตถุหนักๆ ที่กลิ้งขลุกขลักลงไปตามบันได หรือเสียงตอนขว้างของแข็งๆ อัดใส่ผนัง แต่ด้วยระยะห่างที่ไกลมากเลยทำให้ได้ยินไม่ค่อยชัด ผมสะดุ้งโหยงแล้วหยุดพูดรูดซิปปากสนิททันที ส่วนรุ่นพี่ก็พรูลมหายใจออกมาเบาๆ ภายใต้มาสก์

“เร็วเข้า”

เขาเอ่ยเร่งเร้าอีกรอบ ผมเลยวางมือลงบนฝ่ามือเขาอย่างงุนงง วินาทีนั้นเขากำมือของผมไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ

มือของรุ่นพี่กว้างกว่ามือของผมประมาณหนึ่งข้อนิ้ว สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือมือของเขาแห้งกร้านและเย็น สิ่งที่สองคือความสากด้าน ผิวหนังบริเวณข้อนิ้วมือกับฝ่ามือของเขาด้านไปหมด ดูไม่เหมือนมือของนักศึกษาธรรมดาทั่วไปที่วันๆ นั่งเรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว

ตอนนั้นเองเสียงบางอย่างที่ดูมีน้ำหนักก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย บางอย่างกำลังเกิดขึ้นไม่ไกลจากที่นี่ พอคว้ามือของผมไว้ได้เขาก็เริ่มออกวิ่งทันที ผมถูกมือใหญ่กึ่งลากกึ่งจูงให้วิ่งตามไป ภาพตรงหน้าเลยสั่นไหวไปมา

“เดี๋ยวก่อนครับ ผมวิ่งเองได้ เดี๋ยว!”

“จะปล่อยให้ทำแบบนั้นได้ไง ขืนปล่อยให้นายวิ่งตามมาเฉยๆ มีหวังฉันได้นำไปก่อนแล้วนายก็จะรั้งท้ายอยู่ข้างหลังจนหมดแรงแน่ๆ ดีไม่ดีคงได้สะดุดเท้าตัวเองล้มหน้าคว่ำจนร้องไห้แงๆ น่ะสิ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับ”

“นั่นมันความคิดของนาย”

“…”

ผมพูดอะไรไม่ออก ถึงผมจะไม่ควรรู้สึกแบบนี้ในระหว่างที่พวกเรากำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันอยู่ แต่ผมก็เกือบจะแสดงความรำคาญออกไปแล้ว รุ่นพี่จับมือผมแน่นแล้วพาวิ่งผ่านโถงทางเดินไป ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องห้องหนึ่งที่บานประตูแง้มอ้าอยู่ประมาณครึ่งคืบ จากนั้นเขาก็กระชากประตูออกแล้วผลักผมเข้าไปข้างในอย่างแรง

“อึก!”

เขาผลักผมอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผมเกือบจะล้มคว่ำไปกับพื้นแล้ว แต่ก็ทรงตัวขึ้นมาได้อย่างทุลักทุเล

รุ่นพี่ตามเข้ามาในห้องแล้วล็อกประตูทันที พวกเรายืนพิงประตูพลางปรับลมหายใจที่กระหืดกระหอบให้เป็นปกติ ไม่มีเวลาแม้แต่จะสำรวจดูสภาพภายในห้องร้างที่ไม่มีเจ้าของอยู่ เพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังโถงทางเดินอีกฝั่งของประตู

“ดูท่าไอ้พวกนั้นจะจับได้อีกหนึ่งรายแล้วสินะ”

“อีกหนึ่งราย?”

“ก็ที่พวกมันจับกินอยู่นั่นไง เนื้อมนุษย์น่ะ”

เขาอธิบายด้วยสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ท่าทางของเขาเรียบเฉยเหมือนร่ายชื่อเมนูอาหารเย็นธรรมดาๆ คำพูดของเขาทำให้ภาพเหตุการณ์ที่เห็นในร้านสะดวกซื้อก่อนหน้านี้แจ่มชัดขึ้นมาในหัว ผมรู้สึกสะอิดสะเอียน อาการคลื่นเหียนตีรวนขึ้นมาจนต้องกัดฟันแน่น

“กินคน…”

“ทีนี้คงเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้างแล้วสินะ เหลือไม่กี่คนหรอกที่รอดชีวิตมาแบบสมประกอบ อาจารย์ผู้ดูแลหอพักกับคนอื่นๆ กลายเป็นแบบนั้นไปหมดแล้ว ขืนมัวแต่ยืนเด๋อจ้องหน้าคนรู้จัก แค่พริบตาเดียวนายได้โดนแทะตั้งแต่หัวจรดเท้าแน่”

“…”

“ทำอะไรให้มันกระฉับกระเฉงหน่อย ถ้าไม่อยากกลายร่างเหมือนพวกแม่งนั่นที่ลำไส้ทะลักออกมาจากท้องแล้วยังต้องตะเกียกตะกายคลานไปทั่วน่ะ”

“ทำไมไม่มีใครมาช่วยเลยล่ะ ปกติตำรวจหรือทหารต้องระดมกำลังมาช่วยแล้วนี่ครับ”

รุ่นพี่หัวเราะขึ้นมาท่ามกลางความเงียบราวกับว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นเรื่องล้อเล่นที่ตลกขบขัน

“ใครเขาจะมา ต่อให้มาก็ตายหมดอยู่ดีนั่นแหละ คงต้องบอกว่าขืนมาก็คงได้โดนพวกซากศพที่แกว่งแขนขาเดินเตร่ไปทั่วฆ่าตายเอาน่ะสิ”

“รุ่นพี่ครับ รุ่นพี่รู้เรื่องนี้แค่ไหนเหรอครับ”

“ฉันน่ะเหรอ”

เขาเอียงคอเล็กน้อย ทำให้ผมดกดำปรกลงมาบนหน้าผาก เขาจ้องหน้าผมด้วยแววตาที่เป็นประกายแปลกๆ แล้วหยุดนิ่งไปเหมือนจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง

ปัง!

แรงกระแทกหนักๆ อัดใส่ประตูที่พวกเรากำลังยืนพิงอยู่ ดูเหมือนจะมีใครฟาดอะไรบางอย่างลงมาสุดแรงเกิด ผมสะดุ้งโหยงแล้วถอยกรูดไปข้างหลัง เสี้ยววินาทีนั้นผมนึกว่าบานประตูกำลังจะพังลงมาเสียแล้ว

“มีคนอยู่ไหมครับ แฮกๆ ชะ…ช่วยผมด้วยครับ…แฮกๆ!”

ใครบางคนตะโกนอ้อนวอนอยู่ข้างนอกทั้งที่ลมหายใจหอบสั่นขึ้นมาถึงลำคอ ขณะเดียวกันก็มีเสียงครืดคราดประหลาดๆ ดังใกล้เข้ามาเป็นระยะ เป็นอันรู้ได้ว่าศัตรูไม่ได้มาแค่ตัวเดียว ก่อนที่สมองจะประมวลสถานการณ์ตรงหน้าได้ ร่างกายก็เคลื่อนไหวไปเอง ผมปรี่เข้าไปที่ประตูอย่างรวดเร็วเพราะต้องช่วยผู้รอดชีวิตที่อยู่ในสถานการณ์คับขันด้านนอกนั้น

“นี่ คุณรุ่นน้อง คิดจะทำบ้าอะไรน่ะ”

จังหวะที่กำลังเอื้อมมือออกไปเพื่อจะปลดล็อกประตู ผมก็ได้ถูกขวางเอาไว้ ข้อมือที่ถูกรุ่นพี่ตะครุบอย่างแรงเจ็บจนราวกับจะหัก ดวงตาของเขาที่โผล่พ้นมาสก์สีดำหรี่ลงมองมาอย่างน่ากลัว

“ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าให้ตั้งสติ หรือว่าฉันไม่ได้บอก?”

“รุ่นพี่ก็ได้ยินไม่ใช่เหรอครับ มีคนอยู่ข้างนอกนั่น!”

“แล้วนายจะช่วยอะไรได้ เมื่อกี้แค่เห็นเลือดกระเด็นมาไม่กี่หยดยังกลัวจนเข่าอ่อนเลย”

“ถ้างั้นจะให้นิ่งเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอยู่อย่างนี้น่ะเหรอครับ”

ผมขบกรามแล้วพยายามออกแรงบิดข้อมือออกมา แต่เขากลับออกแรงบีบหนักขึ้นจนเกิดเสียงกระดูกข้อมือลั่นฟังดูน่ากลัว

“พวกที่อยู่ข้างนอกนั่นไม่ได้มีแค่ตัวหรือสองตัวหรอกนะ จะบอกให้ว่าไอ้พวกที่วิ่งไล่ตามนายเมื่อกี้น่ะมันวิ่งกันมาเป็นโขยง นายออกไปคนเดียวแล้วจะทำอะไรได้”

“อย่างน้อยเราช่วยให้เขาซ่อนตัวหรือช่วยเขาหนีก็ได้นี่ครับ”

“คิดว่าทำได้เหรอ คนอย่างนายเนี่ยนะ?”

“ถ้าไม่ลองดูก็ไม่รู้นี่ครับ”

“ฉันพูดดีๆ ก็หัดฟังซะบ้างนะ ไม่รู้อะไรก็อย่าทำตัวมีปัญหาให้มันมากนัก”

ท่าทีของเขายังคงสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ตอนนี้อีกด้านของประตูมีคนกำลังดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่แท้ๆ ผมโกรธจนเลือดขึ้นหน้า

“เออ ใช่สิ ตอนนี้ผมลนลานโดยไม่รู้เหี้ยอะไรเลยจริงๆ นั่นแหละ แต่นี่คนกำลังจะตายนะครับ เขาขอร้องให้ช่วยชีวิต จะทำได้หรือไม่ได้อย่างน้อยก็ควรจะลองดูก่อนไม่ใช่เหรอ!”

ผมตะเบ็งเสียงดังอย่างลืมตัว เขาที่เที่ยวเดินเหวี่ยงขวานเปื้อนเลือดแถมยังทำตัวไม่ปกติมาจนถึงตอนนี้ คนอะไรทั้งน่ากลัวแถมยังทำตัวขี้ขลาด ผมยกย่องชายแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันโดยเรียกเขาว่า ‘รุ่นพี่’ มาตลอด แต่ในสถานการณ์แบบนี้ชักจะไม่อยากเรียกอย่างนั้นแล้ว

เรื่องนี้มีชีวิตของคนเป็นเดิมพัน ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่คนคนนั้นคงเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ ที่ติดแหง็กอยู่ในหอพักแล้วใช้เวลาช่วงคริสต์มาสเหมือนกันกับผม เขาคงเป็นลูก เป็นพี่น้อง แล้วก็เพื่อนของใครสักคน ทั้งที่คนบริสุทธิ์อ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลือสุดชีวิตขนาดนี้ แต่กลับยืนฟังหน้าตายและซ่อนตัวอยู่แบบนี้ นี่มันไม่มีจิตสำนึกความเป็นคนเลยสักนิด

ผมเผลอแผดเสียงออกมาเพราะความโกรธ ก่อนจะต้องมาประหม่าและหวาดกลัวพลางนึกในใจว่าชายคนนี้จะหันขวับมาแล้วเหวี่ยงขวานใส่ผมหรือเปล่า แต่รุ่นพี่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีฉุนเฉียวหรือพยายามที่จะทำร้ายผมแต่อย่างใด

“จะออกไปตายให้ได้เลยใช่ไหม”

เสียงของเขาที่ว่าต่ำแล้วทุ้มต่ำลงมากกว่าเดิม ท้ายประโยคสั่นเครือไปด้วยความโกรธ ผมพยายามผ่อนคลายร่างกายที่ยืนตัวเกร็งพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ

“ผมไม่ให้รุ่นพี่ไปเสี่ยงหรอกครับ ผมจะออกไปคนเดียวแล้วรีบพาคนคนนั้นเข้ามาทันที”

“ขาดฉันไปนายก็ทำอะไรไม่ได้หรอก แล้วมันจะไปต่างอะไรจากการรนหาที่ตายกัน”

“ถึงตายผมก็ตายตัวคนเดียวครับ ต่อให้ผมตายไปมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับรุ่นพี่เลยสักนิด”

ทันทีที่พูดจบ เสียงความโกลาหลก็ดังขึ้นแทรกกลางระหว่างเราสองคน ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ข้างนอกจะกำลังพยายามต่อสู้กับไอ้พวกนั้น หรือในทางกลับกันเขาก็อาจเป็นฝ่ายถูกทำร้ายเสียเอง

“อ๊ากกก!”

ผมได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน จะมัวรอช้าไม่ได้แล้ว ผมสะบัดมือของรุ่นพี่ทิ้งก่อนจะวิ่งพรวดพราดออกไป

“ชองโฮฮยอน!”

รุ่นพี่ยื่นแขนมาจากทางด้านหลัง ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะตะครุบเข้าที่จมูกและปากของผมทันที ทำให้ภาพตรงหน้าถูกปกคลุมด้วยความมืด จังหวะที่กำลังเอี้ยวตัวกลับมา ผมก็ถูกลากจนเซไปข้างหลังโดยที่ยังคงถูกมือของรุ่นพี่ปิดปากเอาไว้อยู่

“อึก!”

ผมล้มลงจนแผ่นหลังสัมผัสเข้ากับเตียงด้านหลัง มันกระแทกกับฟูกอย่างแรงจนเด้งขึ้นมา ก่อนที่เขาจะตามขึ้นมาคร่อมบนตัวของผมที่ล้มหงายหลังไปอย่างหมดแรง ผมสีดำกับเสื้อผ้าสีดำ สีดำทั้งหมดในตัวเขาบดบังสายตาของผมจนมิด ร่างกายที่หนักอึ้งกดทับลงมา ต้นขาที่แข็งแกร่งกดล็อกต้นขาของผมเอาไว้จนขยับตัวไม่ได้

ผมเพิ่งมารู้สึกตัวทีหลัง เมื่อครู่เขาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ผมพยายามทบทวนความทรงจำของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้ว่าเคยบอกชื่อให้เขารู้มาก่อน

“โฮฮยอนของฉัน อยากตายห่ามากจนสติแตกไปแล้วเหรอ ถ้าอยากตายขนาดนั้นให้ฉันช่วยสงเคราะห์ให้ดีไหม”

รุ่นพี่ขบกรามแน่นพลางกระซิบเบาๆ ลมหายใจแรงของเขาพ่นออกมาผ่านร่องฟัน เขายังคงตะครุบปิดปากผมไว้แน่น ผมพยายามสะบัดหัวไปมา ทว่าแรงมือที่จับใบหน้านั้นแข็งแกร่งเกินไปจนผมขยับไม่ได้เลย

“…”

ลมหายใจร้อนผ่าวที่ถูกอุดไว้คั่งค้างอยู่ในหลอดลม ผมรู้สึกเจ็บ เขาจ้องมองมาที่ดวงตาของผมซึ่งเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา เราสบตากันในระยะที่ปลายจมูกแทบจะชิดกันอยู่รอมร่อ ภาพของผมสะท้อนชัดอยู่ในนัยน์ตาสีดำขลับนั้น มันเป็นภาพใบหน้าผมที่ซีดเผือดด้วยความกลัวราวกับเห็นปีศาจร้าย ทั้งยังมีน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาแดงก่ำเพราะหายใจไม่ออก

“นั่นสินะ ยังไงนายก็คงจะเกลียดฉันเข้าไส้อยู่แล้ว ฆ่าให้ตายสักครั้งคงไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมหรอก”

เขาปรายตามองลงมาด้วยใบหน้าถมึงทึง ขนตาสีดำหลุบต่ำลงช้าๆ ต่างจากแรงกดที่เข้าขั้นโหดร้ายทารุณของเขา เสียงอื้ออึงดังขึ้นข้างหูผม พร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของใครสักคนที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ข้างนอกซึ่งค่อยๆ เลือนหายไป

รุ่นพี่ปิดปากผมเอาไว้ขณะเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอก พอเสียงนั้นสงบลงแล้วถึงได้ปล่อยมือออก ผมที่หน้ามืดตาลายเพราะขาดออกซิเจนรีบหอบหายใจ

“แค่ก! แค่ก อึก…”

เขาผละออกจากตัวผมแล้วลุกพรวดขึ้นทันที ก่อนจะหันหลังให้อย่างไม่ไยดีแล้วเดินไปหยิบขวานที่วางพิงผนังเอาไว้ขึ้นมา

“ไปกันเถอะ”

ผมลุกขึ้นมาพร้อมกับไออย่างรุนแรงจนรู้สึกเจ็บคอ ผมพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ ถึงขนาดที่ลืมความรู้สึกสิ้นหวังที่ช่วยคนข้างนอกไม่ได้

“เมื่อกี้เพิ่งห้ามไม่ให้ออกไปอยู่เลยนี่ครับ ไหนเคยขู่ว่าถ้าออกไปแล้วจะฆ่าให้ตายไง!”

“นั่นมันตอนนั้น ไม่ใช่ตอนนี้”

“เฮอะ เปลี่ยนคำพูดไวจังเลยนะครับ”

“เฮ้อ…คุณรุ่นน้อง อย่ามัวแต่ผูกตัวเองอยู่กับอดีต หัดอยู่กับปัจจุบันซะบ้าง”

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตอบกลับ ความคับแค้นที่อธิบายไม่ถูกพลุ่งพล่านขึ้นมา

“ขอโทษนะครับ รุ่นพี่ ถ้าคิดจะหลบๆ ซ่อนๆ ไม่สนใจสถานการณ์ข้างนอก งั้นก็สู้อยู่ที่นี่ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอครับ เตียงก็มี ไฟฟ้าที่นี่ก็ยังไม่ถูกตัด เครื่องทำน้ำอุ่นก็ใช้ได้ แถมน้ำไหลดีด้วย”

“ขอโทษนะครับ คุณรุ่นน้อง เกรดนายคงแย่มากสินะ”

เขาหันมามองผมด้วยสีหน้าเวทนาปนสงสาร

“ทำไมถึงหัวทึบได้ขนาดนี้กันนะ ปกติคงขลุกตัวอยู่ในห้องแล้วเอาแต่อ่านหนังสือสินะ หัดเอาหัวสมองที่ใช้แก้โจทย์กับเขียนรายงานมาคิดให้เป็นซะบ้างนะ”

ทันทีที่พูดจบเขาก็เดินกระแทกส้นเท้าหนักๆ ไปที่ประตูก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบบานประตูสุดแรง ผมได้แต่สติหลุดมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้า

ปัง!

ประตูพังเพราะแรงถีบเพียงแค่สองครั้ง ทั้งที่ตอนเข้ามาผมมั่นใจว่ารุ่นพี่ล็อกประตูเอาไว้แล้ว แต่ประตูมันกลับพังโดยแง้มออกหนึ่งคืบ ตัวล็อกอยู่ในสภาพห้อยต่องแต่งเพราะโดนแรงกระแทกจากภายนอกไม่พอ ซ้ำยังโดนแรงถีบสุดโหดของรุ่นพี่เพิ่มเข้าไปอีก

“นี่นายคิดว่าฉันจะซ่อนตัวอยู่ในที่ซอมซ่อแบบนี้หรือไง ประตูเส็งเคร็งแบบนี้ ไม่เรียกไอ้พวกเวรนั่นมารวมตัวกันแล้วจัดปาร์ตี้ชุดนอนไปเลยล่ะ ค่าเข้างานน่าจะฟรีนะ”

“เปล่านะครับ ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้วครับ ผะ…ผมปากไม่ดีเอง”

ผมรีบเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว ถ้าต้องฟังคำพูดเฮงซวยแบบนั้นต่อ สู้ยอมให้เรื่องมันจบๆ ไปดีกว่า รุ่นพี่เมินคำพูดของผมแล้วก้าวออกจากห้องไป เขาสำรวจดูรอบๆ ก่อนจะกวักมือเรียก

“ออกมาได้แล้ว”

ภายนอกเงียบสงบ ดูไม่ต่างอะไรจากก่อนหน้านี้เลย ผมเผลอหันไปมองตามเสียงของประตูพังๆ ที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าด พอเห็นรอยเลือดเป็นทางยาวติดอยู่บนบานประตูนั่น หัวใจของผมก็พลันกระตุกวูบทันที

“รุ่นพี่!”

“ก็อย่าไปมองสิ”

เขาส่ายหน้าไปมาเบาๆ

“ไอ้พวกเวรตะไลนั่นไปกันหมดแล้ว ดูท่าคงจะไม่มาทางนี้อีกสักพัก พวกมันสติปัญญาต่ำ พอกัดเหยื่อได้สักตัวก็ไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว”

ความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแล่นปราดเข้ามาในหัว

“งั้นที่ห้ามไม่ให้ออกไปแล้วให้ทำเป็นไม่เห็นเมื่อกี้นี้…”

“ก็ให้ทางนั้นเขาช่วยดึงความสนใจแลกกับชีวิตเราไง จะดันทุรังออกไปทำไม”

“…”

“ยังไงก็ต้องขอบคุณหมอนั่นด้วยแหละที่ช่วยแหกปากร้องวิ่งออกไปจากโถงทางเดิน นายทำมาเป็นห้าวบอกว่าจะออกไป ที่ไหนได้ก็หดหัวซ่อนตัวอยู่ในนี้ด้วยกันหมด ว่าแต่หมอนั่นเสียงดีใช้ได้นี่ ดูท่าคงจะเด็กเอกขับร้องมั้ง”

“เฮอะ”

ผมแค่นหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ เขาสารภาพหน้าตายอย่างไม่สะทกสะท้านว่าใช้ชีวิตของคนอื่นมาเป็นเหยื่อล่อ ถ้าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นภัยธรรมชาติอื่นๆ อย่างเหตุเพลิงไหม้หรือแผ่นดินไหว เขาก็คงทำแบบนั้นด้วยสินะ คงจะเอาตัวเองหนีรอดปลอดภัยไว้ก่อนแล้วก็ผลักพวกเหยื่อที่อ้อนวอนร้องขอให้ช่วยชีวิตไปสู่ความตายอย่างไม่แยแสอะไร

“มัวทำอะไรอยู่ ก็บอกให้ไปกันได้แล้วไง ยื้อเวลาไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก”

เขาคว้ามือผมหมับแล้วดึงให้เดินตามไป ผมถูกจับมืออย่างงุนงงโดยที่ขัดขืนอะไรไม่ได้เลย มือนั้นกุมมือผมอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ

ผมรีบเดินจ้ำผ่านโถงทางเดินที่มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ โดยที่รุ่นพี่ปิดปากเงียบไปตลอดทาง ดวงตาที่โผล่พ้นมาสก์ที่ปิดใบหน้าครึ่งล่างของเขานั้นดูสงบนิ่งเกินไป

“เอ่อคือ…รุ่นพี่ครับ”

“เรียกทำไมครับ คุณรุ่นน้อง”

ในตอนนั้นเองเขาหันขวับกลับมาหาผมพร้อมกับขานรับเสียงเอื่อยอย่างไม่จริงจัง ก่อนที่คำถามที่ผมเก็บเอาไว้ในใจมานานจะระเบิดออกมา

“ทำไมถึงพาผมไปด้วยล่ะครับ ผมไม่รู้อะไรเลย พาไปก็เป็นภาระเปล่าๆ ทำไมถึงต้องดึงดันหิ้วคนที่ไม่ได้รู้จักกันดีไปด้วยเหรอครับ ผมไม่เข้าใจเลย ผมไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับรุ่นพี่เลยสักอย่างเดียว”

“…”

“คงไม่ใช่ว่า…เวลาเกิดเรื่องคับขันอะไรขึ้นมา รุ่นพี่จะใช้ผมเป็นเหยื่อล่อหรอกนะครับ”

“คุณรุ่นน้องครับ ทำไมต้องถามอะไรที่มันแน่นอนอยู่แล้วแบบนั้นด้วยล่ะครับ”

เขาถอนหายใจเบาๆ พลางยักไหล่ ท่าทางเหมือนมองคนที่ถามอะไรไร้สาระออกมา

“นายน่ะห้ามตายเด็ดขาด ต่อให้คนอื่นจะตายห่ากันหมด แต่นายต้องรอด”

แทนที่จะคลายความสงสัย เขากลับทำให้ผมสงสัยยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผมจึงไม่รู้เลยว่าควรจะต้องถามอะไรต่อดี

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: