ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1
ผู้เขียน : 아이제 (Aije)
แปลโดย : 04:00
ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์
การมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 1-3
พวกเราหยุดยืนอยู่หน้าประตูโลหะที่ปิดสนิท มันคือห้องอาบน้ำรวมของนักศึกษาชายที่อยู่ชั้นบนสุดของหอพัก ทุกห้องในหอพักมีห้องน้ำอยู่แล้ว แต่ก็มีการสร้างห้องอาบน้ำแยกมาต่างหากเพื่อนักศึกษาที่อยู่ในห้องพักรวมสี่คน
ปกติประตูของห้องอาบน้ำรวมจะทำจากวัสดุไม้บางๆ เช่นเดียวกับประตูห้องพักเพื่อให้ง่ายต่อการเปิดและล็อกด้วยกุญแจเพียงดอกเดียว แต่เมื่อสองสามปีก่อนมีใครบางคนแอบสะเดาะกลอนประตูห้องน้ำหญิงด้วยกิ๊บหนีบผมและเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในตู้ล็อกเกอร์ หลังจากจับได้ทางหอพักก็เลยเปลี่ยนมาใช้ประตูเหล็กที่เป็นระบบดิจิตอลดอร์ล็อกแทน มันถูกล็อกเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต เว้นแต่วันและเวลาที่กำหนด
“ที่ที่พอจะซ่อนตัวได้อย่างปลอดภัยก็มีแต่ที่นี่แหละ”
“แล้วเราจะเปิดประตูยังไงครับ”
มีแต่อาจารย์ผู้ดูแลหอพักกับพวกเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่รู้รหัสผ่าน คงไม่ได้ตั้งใจจะใช้ขวานจามตัวล็อกแล้วทุบเข้าไปหรอก ขืนทำแบบนั้นมีหวังประตูได้พังกันพอดี
“ทำไมนายถึงทึ่มได้ขนาดนี้นะ”
รุ่นพี่ขมวดคิ้วแล้วมองหน้าผมเหมือนกับมองสัตว์หายาก ผมแค่ถามคำถามธรรมดาๆ ที่เป็นใครก็ต้องถาม แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นคนโง่บรมได้ภายในเสี้ยววินาที
“จิตใจกระทบกระเทือนหนักจนลืมวิธีเปิดดิจิตอลดอร์ล็อกไปแล้วเหรอ ก็แค่เปิดฝาครอบนี่ออกแล้วก็กดหมายเลขไง”
“ผมไม่ได้ถามเรื่องนั้นสักหน่อย!”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เขาก็เอื้อมมือไปแตะแป้นดิจิตอลดอร์ล็อก จากนั้นก็กดรหัสผ่านอย่างคล่องแคล่วราวกับกำลังเปิดประตูบ้านของตัวเอง
ปิ๊บๆๆๆ ติ๊ด แกร๊ก…ประตูเปิดออกอย่างง่ายดายราวกับรอให้ชายคนนี้มาเปิดอยู่ก่อนแล้ว
“…”
ผมนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งเพราะประหลาดใจมากจนพูดอะไรไม่ออก ไม่มีทางที่นักศึกษาจะรู้รหัสผ่าน แล้วรุ่นพี่รู้รหัสผ่านนั่นได้ยังไงกัน
ภาพห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังบานประตูเหล็กที่ทนทานปรากฏสู่สายตา ตู้ล็อกเกอร์แบบเดียวกันถูกตั้งเรียงเป็นแถว มีชั้นวางของสำหรับใส่ตะกร้าอาบน้ำหรือห้อยผ้าเช็ดตัวแขวนติดอยู่บนผนัง และมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งอยู่แถวม้านั่ง ทันทีที่ปลดดิจิตอลดอร์ล็อกได้ พวกเขาก็แตกตื่นแล้วลุกพรวดขึ้นมา
“อะ…เอ่อ…”
ใครบางคนชี้นิ้วมาทางพวกเราด้วยท่าทีอ้ำอึ้ง ผมเองก็งงจนทำอะไรไม่ถูกไปด้วย ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ มีเพียงรุ่นพี่คนเดียวเท่านั้นที่มีสีหน้าสงบนิ่ง ทันใดนั้นปลายขวานที่เขาถืออยู่ก็ครูดไปกับพื้นจนเกิดเสียงน่าสะพรึงกลัว
“อ๊ากกก!”
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังลั่นห้อง
หลังจากความอลหม่านราวกับพายุที่ปั่นป่วนอยู่ภายในห้องผ่านพ้นไป คนเหล่านั้นก็กรูกันเข้ามาหารุ่นพี่กับผมหน้าตาตื่น พวกเขาดูโล่งใจเมื่อรู้ว่าเราไม่ใช่ ‘เจ้าสิ่งนั้น’
“รู้รหัสผ่านเข้ามาในนี้ได้ยังไงครับ”
“ก็เห็นมันเขียนไว้อยู่ข้างๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องสำนักงานดูแลความปลอดภัยน่ะ พวกนายก็น่าจะเห็นจากที่นั่นถึงได้เปิดประตูเข้ามาได้ไม่ใช่หรือไง ยังจะถามเอาอะไรอีก”
รุ่นพี่ตอบเสียงห้วนราวกับรำคาญ ถึงเขาจะพูดแบบนั้นกับผมอยู่แล้ว แต่กับคนที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก เขากลับใช้คำพูดไม่สุภาพคุยด้วยได้อย่างหน้าตาเฉย ช่างเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายในหลายๆ ด้านซะจริง
“เอ่อ…ก็จริงครับ”
นักศึกษาชายที่ถามคำถามแรกออกมาพูดปลายเสียงแผ่วลงอย่างนึกอาย เจ้าตัวทำสีหน้าเหมือนอยากซักถามเพิ่มเติมแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา เขาสวมแว่นตาหนาเตอะและแจ็กเก็ตเบสบอล พอได้เห็นรหัสนักศึกษาที่ปักอยู่ตรงแขนเสื้อผ่านๆ แล้ว ผมถึงได้รู้ว่าเขาเป็นเด็กปีหนึ่ง
“เดี๋ยวก่อนนะ พวกนายสองคนน่ะ”
ชายอีกคนยื่นหน้าเข้ามาพูดขัดจังหวะ เขาไว้ผมทรงกระเซอะกระเซิงและมีหนวดเคราที่ยังไม่ได้โกนให้เรียบร้อยขึ้นประปรายอยู่รอบคางกับปาก ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องเป็นนักศึกษาที่ดร็อปแล้วกลับเข้ามาเรียนใหม่แน่ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมันน่าขนลุกไม่น้อยเลยถ้าคนอายุยี่สิบต้นๆ มีภาพลักษณ์แบบนั้น
“พวกนายไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนมาจนป่านนี้ นึกว่าคนที่รอดจะมีแค่พวกเราซะอีก ก็ตั้งแต่โรงอาหารมาที่อื่นก็พังพินาศไปหมดแล้วนี่”
รุ่นพี่เมินคำพูดของชายคนนั้นไปโดยสิ้นเชิง ถึงขนาดที่ใครเห็นแล้วก็ต้องรู้สึกอายแทน ชั่วพริบตาเดียวบรรยากาศในห้องพลันคุกรุ่นขึ้นมาทันที
“เฮ้ย ฉันถามอยู่นี่ไงว่าไปอยู่ที่ไหนมา”
“ไม่รู้ จำไม่ได้”
“ฮะ? ไอ้เวรนี่ คิดจะล้อกันเล่นหรือไง”
นักศึกษาที่ดูแล้วน่าจะดร็อปเรียนไปแล้วกลับเข้ามาเรียนใหม่นิ่วหน้าพลางสบถออกมา และนั่นก็ทำให้รุ่นพี่สลัดสีหน้าเรียบนิ่งออกไปเป็นครั้งแรก ดวงตาที่โผล่พ้นมาสก์กำลังยิ้มอยู่จางๆ หน้าตาของเขาเดิมทีก็ห่างไกลจากคำว่าคนดีอยู่แล้ว พอทำสีหน้าแบบนี้ก็ยิ่งน่าขนลุกมากกว่าเดิมเข้าไปใหญ่
“ถ้าจะเหี้ยก็ให้มันเหี้ยแค่หน้าตาเหอะว่ะ รู้ตัวว่าเกิดมาหน้าเหี้ยก็หัดพูดจาให้มันเพราะๆ หน่อยดิวะ”
ผมได้แต่อึ้งอยู่ในใจ ทำไมคำพูดแต่ละคำถึงฟังดูยียวนกวนโมโหชาวบ้านเขาได้มากขนาดนี้กันนะ ทั้งสองคนจ้องหน้ากัน ก่อนที่นักศึกษาที่กลับเข้ามาเรียนใหม่จะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน ดูท่าเขาคงจะเจ็บใจที่ถูกตอกหน้ากลับมาในศึกแห่งศักดิ์ศรีครั้งนี้เลยส่งเสียงกระฟัดกระเฟียดเหมือนวัวหนุ่มที่กำลังบ้าคลั่งพลางชี้นิ้วใส่หน้าผม
“แม่ง ไอ้ประสาทเอ๊ย…เฮ้ย ไอ้คนที่อยู่ข้างกันนั่นล่ะ นายไปอยู่ที่ไหนมา”
“ผมอยู่ในห้องตลอดจนถึงเที่ยงคืนของวันที่ยี่สิบห้าเพราะต้องปั่นรายงานส่งครับ”
สายตาของทุกคนเพ่งมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ผมเล่าว่าตัวเองปั่นงานแบบข้ามวันข้ามคืนจนเสร็จแล้วก็สลบเหมือดไป พอสารภาพเรื่องแบบนั้นไปต่อหน้าผู้คน ผมก็รู้สึกกระดากอายขึ้นมาฉับพลัน
“พอดีผมนอนอยู่ในห้องคนเดียวก็เลยไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นน่ะครับ”
“ฮะ? ข้างนอกเกิดจลาจล แต่นายกลับบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยเนี่ยนะ? ไอ้เวรนี่ นายคงไม่ได้คิดจะโกหกกันในเวลาแบบนี้หรอกนะ?”
“อะ…เอ่อ พี่จุนซอก”
นักศึกษาชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตเบสบอลก้าวขาออกมาอย่างระวังท่าที แต่แล้วก็ถูกผู้ชายคนนั้นผลักออกไป เขาที่รูปร่างผอมบางเลยเซอย่างไม่อาจต้านแรงของอีกฝ่ายไหว
“ฉันพูดผิดตรงไหน เราติดแหง็กกันอยู่ที่นี่ จะออกไปไหนก็ไม่ได้ พวกข้างนอกป่านนี้ก็คงตายห่ากันหมดแล้ว จะบ้าตายกันอยู่แล้วเนี่ย ไอ้คนหนึ่งก็ความจำเสื่อมบอกว่าจำอะไรไม่ได้ ส่วนอีกคนก็บอกว่าไม่รู้ห่าอะไรเลย มันฟังดูเข้าท่ามากนักหรือไง ฮะ?”
สายตาที่เจือความกระวนกระวายของทุกคนลอบมองกันไปมาผ่านอากาศท่ามกลางความเงียบ ทุกคนที่อยู่ในห้องอาบน้ำกำลังอยู่ในสภาวะที่จิตใจอ่อนไหวกันมากๆ ที่ผ่านมาผมได้แต่ถูกรุ่นพี่ลากไปลากมาจนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องพวกนั้นเลยสักนิด ระหว่างที่ผมกำลังหลับปุ๋ยโดยไม่รู้ความเป็นไปของโลกอยู่นั้น คนพวกนี้กลับต้องเผชิญกับเหตุการณ์นี้มาตั้งแต่แรก และคงได้พบเจอกับช่วงเวลาที่น่าสยดสยองมามากเลยหวาดระแวงกันขนาดนี้
“สถานการณ์แบบนี้ ผมจะพูดโกหกไปทำไมล่ะครับ”
ผมยิ้มสู้เอาไว้ก่อน ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นคนกลุ่มแรกที่มาถึงห้องอาบน้ำแห่งนี้ พวกผมต่างหากที่เป็นฝ่ายพรวดพราดบุกรุกเข้ามา เพราะงั้นเลยจำต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ ผมเองก็อยากผ่านสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปได้อย่างราบรื่น ผมไม่ชอบการแสดงความเกลียดชัง ทั้งการพูดจาล่อเป้าหรือยุยงให้เกิดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น ทางที่ดีควรประนีประนอมเอาไว้จะดีกว่า
“ผมเข้าใจว่ามันอาจจะฟังดูแปลก แต่สิ่งที่ผมพูดคือความจริง ผมทำงานที่ค้างส่งอยู่เลยไม่ได้ก้าวออกจากห้องเลยแม้แต่ก้าวเดียว แล้วผมก็มัวแต่ใส่ที่ปิดหูอยู่ก็เลยไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยครับ”
ผมเหลือบมองรุ่นพี่ เขายังคงดูเฉยเมยต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ทำตัวราวกับว่าตัวเขาเองที่ลากผมมาจนถึงที่นี่เป็นบุคคลที่สามเฉยเลย
“รุ่นพี่คนนี้…ไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกครับ พี่ช่วยเข้าใจเขาหน่อยนะครับ เขาแค่กำลังช็อกเกินไปจนขาดสติเลยพูดอะไรถ่อยๆ ออกมาก็เท่านั้นเองครับ ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ เราควรจะผูกมิตรกับคนที่เหลือไว้ไม่ใช่เหรอครับ หืม?”
นักศึกษาที่กลับเข้ามาเรียนใหม่ปราดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เหมือนกับว่าพอผมแสดงท่าทีอ่อนน้อมออกไป อารมณ์ที่คุกรุ่นของเขาก็ดูจะสงบลงเล็กน้อย
“เราน่าจะแนะนำตัวกันก่อนนะครับ ผมชองโฮฮยอน ภาควิชาบริหารธุรกิจครับ”
ในตอนนั้นเองนักศึกษาหญิงที่ลอบสังเกตการณ์อยู่ข้างหลังก็ก้าวขาออกมาด้วยใบหน้าดีใจ
“พี่คะ! จำฉันได้ไหม”
“หืม?”
“ฉันดาบินไงคะ ชเวดาบิน เราทำงานกลุ่มวิชาพื้นฐานด้วยกันตอนเทอมหนึ่งไงคะ หัวข้อความเข้าใจในการตลาดทางการกีฬา จำได้หรือเปล่าคะ”
ผมพยายามนึกก่อนจะอุทานออกมาสั้นๆ เธอเป็นสมาชิกกลุ่มวิชาพื้นฐานที่ผมลงเรียนในภาคเรียนที่แล้ว เหมือนจะอยู่ภาควิชาการออกแบบเชิงอุตสาหกรรม หรือไม่ก็ภาควิชาการออกแบบนิเทศศิลป์อะไรสักอย่างที่เป็นภาควิชาการออกแบบนี่แหละ เธอตัดผมที่เคยตรงยาวให้สั้นลงแล้วก็ดัดด้วย ผมเลยใช้เวลาสักพักกว่าจะนึกออก
“อ๋า…ดาบิน โทษทีนะ เธอเปลี่ยนทรงผมฉันเลยจำไม่ได้น่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เป็นยังไงบ้าง”
ทั้งที่กำลังงุนงงอยู่เล็กน้อย แต่ผมก็ไถ่ถามความเป็นอยู่ของเธอออกไปตามความเคยชิน
“ต้องขอบคุณพี่ด้วยนะคะ ตอนนั้นงานกลุ่มเราทำคะแนนได้สูงสุดก็เลยได้เอบวก ฉันเลยไม่ถูกตัดทุนแบบฉิวเฉียด พี่เองก็สบายดีนะคะ”
สิ้นคำนั้นชเวดาบินก็หันไปทักทายรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างผมด้วย เธอมีท่าทีเคารพเขามากๆ ต่างจากตอนที่ทักทายผมอย่างเป็นกันเอง
“รู้จักกัน?”
“ค่ะ รุ่นพี่คียองวอน ภาควิชาประติมากรรม ฉันเจอรุ่นพี่สองสามครั้งในคลาสวิชาเอกการบูรณาการศิลปะเลยรู้จักเพราะได้ยินตอนอาจารย์เช็กชื่อในคลาสน่ะค่ะ”
ผมแอบรู้สึกประหลาดใจ มาถึงตอนนี้เขาก็ยังเป็นเหมือนบุคคลที่ไม่มีอยู่จริงสำหรับผม นับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรก พฤติกรรมแปลกประหลาดผิดมนุษย์มนาที่ผมไม่อาจมองข้ามมันไปได้ ไหนจะคำพูดพิลึกพิลั่นที่พูดออกมาแบบผิดเวลานั่นด้วย เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนอยู่กับเขามันไม่สมจริงเลยสักนิด ราวกับว่าผมกำลังดูหนังสยองขวัญต้นทุนต่ำยังไงยังงั้น เมื่อได้ยินแบบนั้นผมเลยตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเราจริงๆ โดยมีทั้งวิชาเอกแล้วก็ยังเข้าเรียนในคลาสด้วย
แม้ว่าเธอจะพยายามทักทายอย่างสุภาพนอบน้อม แต่เธอก็ยังต้องขายหน้า เพราะรุ่นพี่ไม่แม้แต่จะชายตามองไปทางเธอเลยสักนิด ทำเพียงแค่ตอบกลับแบบขอไปทีเท่านั้น
“ฉันจำเธอไม่ได้”
ชเวดาบินไม่ได้มีสีหน้าถอดใจเลยแม้แต่น้อย
“ฉันนึกอยู่แล้วเชียวว่ารุ่นพี่ต้องจำฉันไม่ได้”
ในตอนนั้นเองบรรยากาศที่เคยตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย ชเวดาบินจับแขนของผมแล้วพาไปอยู่กลางวงเพื่อให้แนะนำตัวกับคนอื่นๆ
“นี่พัคกอนอู ปีหนึ่ง ภาควิชาการศึกษาทางคณิตศาสตร์ค่ะ”
“อ่า สวัสดีครับพี่ๆ”
นักศึกษาชายที่สวมแว่นโค้งทักทาย
“ส่วนคนโน้นคือพี่ยุนจุนซอก เรียนปีสุดท้ายแล้วค่ะ เอ่อ…พี่จุนซอกคะ ไม่ทักทายกันหน่อยเหรอคะ”
“ทักทาย? สถานการณ์แบบนี้จะให้ทักทายบ้าอะไร ไม่ได้มาร่วมสังสรรค์กันสักหน่อย”
เขายังคงรักษาท่าทีฉุนเฉียวง่ายเอาไว้เหมือนเดิม หลังจากขมุบขมิบปากสบถออกมาแล้ว เขาก็ล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบโดยไม่สนใจว่ามีคนอื่นๆ อยู่ในห้องด้วยเลยสักนิด ชเวดาบินหันมาหาผมแล้วฝืนยิ้มเจื่อนๆ เป็นเชิงขอโทษ และนั่นก็ทำให้ผมเข้าใจหัวอกเธอขึ้นมาทันทีอย่างน่าประหลาด
ทุกคนกระจายกันนั่งพิงตามตู้ล็อกเกอร์ ชั้นวางของ และผนัง ผมไม่เคยนึกเลยว่าตัวเองจะได้มาที่ห้องอาบน้ำรวมด้วยเหตุผลนี้ เพราะปกติแล้วผมอยู่ในห้องพักกับเพื่อนแค่สองคนเลยไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ ยุนจุนซอกที่เคยนั่งอัดบุหรี่เข้าปอดอยู่ตรงมุมห้องตอนนี้จับจองม้านั่งตัวหนึ่งแล้วนอนแผ่งีบหลับไปบนนั้น
บรรยากาศอันชวนอึดอัดอบอวลอยู่ภายในห้อง ผมไม่มีอะไรจะพูดเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักเท่าไหร่ ดูเหมือนรุ่นพี่ที่ยืนกอดอกพิงผนังเองก็ไม่คิดจะเปิดปากพูดอะไรเหมือนกัน สุดท้ายแล้วรุ่นน้องสองคนจึงอธิบายสาเหตุที่พวกเขามาติดอยู่ที่นี่ให้ฟัง
“วันนั้นฉันกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้านเกิดค่ะ”
“ฉันเข้าสอบวิชาเอกสาย…และระหว่างที่กลับหอพักหลังจากเพิ่งจะสอบเสร็จ ฉันก็แวะร้านสะดวกซื้อชั้นหนึ่งครู่หนึ่งแล้วก็กำลังจะขึ้นมาที่ห้องพัก”
มหาวิทยาลัยของผมเป็นวิทยาเขตที่กว้างใหญ่มาก ทุกคนต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าคงเป็นเพราะตัวมหาวิทยาลัยนั้นสร้างขึ้นบนภูเขาเนื่องจากที่ดินมีราคาถูก ขนาดของมันก็เลยใหญ่เกินความจำเป็น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นนักศึกษาใหม่หลงทางในสถานที่แห่งนี้เป็นประจำทุกต้นปีการศึกษา
ในวิทยาเขตอันกว้างขวางนั้น หอพักนักศึกษาตั้งอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลที่สุดและมีพื้นที่ติดกับเชิงเขา จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นแมลงทุกชนิดบินผ่านหน้าต่างที่หันหน้าเข้าหาภูเขา มันห่างไกลมากถึงขั้นที่เมื่อไม่กี่ปีก่อนข่าวลือที่ว่ามีหมูป่าหลุดเข้ามาที่โถงทางเดินของหอพักได้แพร่สะพัดไปทั่วราวกับเป็นตำนานของหอพัก ดังนั้นคนที่อยู่ในหอพักจึงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่รู้ถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในตัวมหาวิทยาลัย
“ฉันกำลังลากกระเป๋าเดินทางอยู่ แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากทางโรงอาหาร ตอนแรกฉันเลยคิดว่าอะไรน่ะ คงเป็นคนทะเลาะกันหรือไม่ก็มีแมลงบินออกมาจากอาหารล่ะมั้ง เพราะคิดแบบนั้นฉันก็เลยตั้งใจจะเดินผ่านไป”
ชเวดาบินนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นพลางเล่าให้ฟัง
มหาวิทยาลัยนี้ไม่มีรถโดยสารสาธารณะวิ่งผ่านเพราะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล จึงต้องเดินลัดเลาะผ่านเส้นทางบนภูเขาเข้ามาโดยใช้เวลาพักใหญ่ ถ้าไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็ไม่มีทางที่จะสัญจรไปมาได้ ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยจึงจัดเตรียมรถรับส่งไว้ให้ ซึ่งรถรับส่งนั้นจะวิ่งไปส่งถึงเขตตัวเมืองที่ตั้งอยู่ด้านล่างภูเขาเป็นเที่ยวทุกๆ สองถึงสามชั่วโมง
หอพักในวันจบภาคการศึกษามีคนพลุกพล่านเกินคาด นักศึกษาส่วนใหญ่ที่จัดสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังรอเที่ยวรถรับส่ง ทุกคนนั่งจับกลุ่มกันอยู่ในโรงอาหาร บ้างก็กำลังเพลิดเพลินกับอาหารมื้อเย็นฉลองการปิดเทอม ในระหว่างนั้นมีนักศึกษาคนหนึ่งเลือดโชกเต็มตัววิ่งโซซัดโซเซเข้ามาในโรงอาหารก่อนจะล้มลง เจ้าตัวอยู่ในสภาพบาดเจ็บที่ไม่ว่าใครเห็นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสภาพแบบนี้ไม่น่าจะเดินได้แล้ว การที่นักศึกษาคนนั้นยังเคลื่อนไหวได้จึงเป็นเรื่องน่าประหลาด
ทุกคนต่างกรีดร้องแล้วพากันถอยกรูดไปข้างหลัง มีบางคนวิ่งไปเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และแล้วก็มีนักศึกษาใจกล้าคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้คนที่ล้มลง
‘คุณคะ ขอโทษนะคะ! เป็นอะไรมั้ยคะ’
‘…’
‘คะ? อะไรนะคะ’
คนที่ล้มหน้าคว่ำจมแอ่งเลือดเริ่มขยับตัว
‘พอจะขยับตัวได้ไหมคะ คุณ…เอ๊ะ?’
‘กึก กึก กรรร!’
ไม่นานนักโรงอาหารในมหาวิทยาลัยก็ได้กลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อม
“หลังจากนั้นฉันก็ทิ้งกระเป๋าเดินทางกับของทุกอย่างไว้แล้ววิ่งหนีมา ทั้งฉันแล้วก็กอนอูเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านกระจกด้านนอกเลยวิ่งหนีออกมาได้เร็ว แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในโรงอาหารจะเป็นยังไงบ้าง…”
นักศึกษานับร้อยคนที่อยู่ในโรงอาหารกับล็อบบี้ตกอยู่ในอาการแพนิกและวิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง ส่วนใหญ่มุ่งหน้าออกจากหอพักผ่านทางประตูทางเข้าออกที่เปิดออกกว้าง มีส่วนน้อยที่ย้อนกลับเข้ามาหลบในตัวอาคาร และชเวดาบินกับพัคกอนอูเป็นคนส่วนน้อยนั้น
“พวกเรานี่นับว่าโชคดีค่ะ ถ้าล็อกประตูห้องอาบน้ำไว้แล้วอยู่เงียบๆ ก็คงไม่เป็นไร พวกตัวที่อยู่ข้างนอกสายตาจะมองไม่ค่อยเห็น แต่ไวต่อเสียงค่ะ”
รุ่นพี่ก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน เขาบอกว่าอย่าเสียงดังแล้วตามมา แสดงว่าเขาต้องรู้จักลักษณะของพวกตัวประหลาดอยู่แล้ว
“เพราะงั้นพี่เองก็น่าจะปลอดภัยนะคะ พี่เอาแต่หลับอยู่ในห้องเงียบๆ นี่นา พวกคนที่กรีดร้องหรือตะโกนโหวกเหวกวิ่งพล่านไปมาถูกพวกมันจับได้หมดเลยค่ะ”
“แต่เราคงอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ ถึงจะมีน้ำใช้เหลือเฟือ แต่ที่นี่ไม่มีอาหารเลย”
ผมมองผ่านประตูห้องอาบน้ำเข้าไปเห็นฝักบัวนับสิบอันแขวนเรียงกันอยู่บนผนัง อย่างน้อยถ้าอยู่ที่นี่ต่อคงไม่ตายเพราะร่างกายขาดน้ำแน่ๆ
“แล้วเรื่องออกไปขอความช่วยเหลือล่ะ ตอนนี้ในหอพักไม่มีอินเตอร์เน็ตแล้วก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วย ในสถานการณ์แบบนี้ดันมาเป็นอย่างนี้เอาซะได้”
“พี่นี่…ไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะครับ ท่าจะอยู่แต่ในห้องจริงๆ”
จู่ๆ พัคกอนอูที่นั่งขดตัวซุกหน้ากับเข่าก็พูดพึมพำขึ้นมา แสงนีออนสีขาวสะท้อนออกมาจากเลนส์แว่นที่เด็กคนนั้นสวมใส่
“มาดูสิครับ”
พัคกอนอูโงนเงนลุกขึ้นแล้วตรงไปที่หน้าต่าง ตรงมุมของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ามีหน้าต่างบานเล็กสำหรับระบายอากาศ เขาปลดล็อกหน้าต่างบานกระทุ้งแล้วดันหน้าต่างขึ้นไปทำมุมเฉียง
แสงแดดเย็นเฉียบในฤดูหนาวสาดเข้ามาผ่านช่องหน้าต่าง ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเนื่องจากไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้วเลยรู้สึกแปลกๆ กับแสงแดดไปชั่วครู่หนึ่ง ภาพตรงหน้าผมถูกย้อมไปด้วยลำแสงเจิดจ้าได้ไม่นานก่อนจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
ทิวทัศน์ภายในวิทยาเขตในฤดูหนาวที่หนาวเย็นและแห้งแล้งไร้ความชุ่มชื้นปรากฏสู่สายตา ถนนกว้างที่ปูด้วยอิฐบล็อกสีขาว แปลงดอกไม้ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ม้านั่งที่กระจายอยู่ห่างกันเป็นระยะๆ กับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ แล้วก็…
“อา…”
ผมลอบถอนหายใจท่ามกลางความเงียบเมื่อเห็นคนจำนวนมากเดินโซเซเตร็ดเตร่ไปมาอย่างเชื่องช้า ลักษณะท่าทางการเดินแกว่งแขนนั้นแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติ บ้างก็ไม่มีแขนหรือขา บ้างก็ลำไส้ทะลักออกมาเป็นยวงห้อยต่องแต่งไปมาถึงหัวเข่า ร่างกายเน่าเปื่อยเปื้อนคราบเลือดสีแดงเข้มโดดเด่นเตะตาอยู่ภายใต้แสงแดด
ไม่สิ…ใช่คนที่ไหนกัน สภาพแบบนั้นคงเรียกว่าคนไม่ได้หรอก ซากศพของผู้คนที่ตายไปแล้วกำลังเดินเอื่อยอยู่ทั่ววิทยาเขตเพื่อหาเหยื่อที่ยังมีชีวิตอยู่
“ออกไปก็เท่ากับตาย ต่อให้โชคดีไม่ถูกจับกินแล้วหนีข้ามไปตึกข้างๆ ที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ แล้วตึกถัดไปล่ะครับ เราจะไปกันยังไง แล้วไหนจะตึกถัดๆ ไปอีกล่ะ ปกติแค่เดินไปถึงประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามสิบนาที แล้วเราจะทำได้ยังไง…”
“…”
“เราถูกขังอยู่ในนี้ แถมออกไปไหนก็ไม่ได้ มีหวังได้ติดแหง็กแล้วตายกันทั้งแบบนี้แน่ๆ เลยครับ”
“นี่ พัคกอนอู! อย่าพูดพล่ามไปทั่วสิ”
ชเวดาบินแหวใส่ พัคกอนอูที่นั่งกอดเข่ามาตลอดมองหน้าเธอตรงๆ แล้วแย้งกลับ
“พะ…พี่ไม่มีคนสนิทในนี้อยู่แล้ว พี่ก็พูดง่ายสิ ผมยังมียูจินอยู่ทั้งคนนะครับ เป็นห่วงจะบ้าตายอยู่แล้ว จะให้ทำไงได้ล่ะครับ”
“ยูจิน?”
พอพัคกอนอูโพล่งชื่อที่ไม่คุ้นเคยออกมา ชเวดาบินก็ย้อนถามกลับไปอย่างไม่นึกใส่ใจ
“นายเป็นห่วงเด็กคนนั้นแค่คนเดียวหรือไง ฉันเองก็เป็นห่วงเหมือนกันนั่นแหละ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ จะให้ไปพาตัวมาตอนนี้เลยก็คงไม่ได้หรอก”
“ผมอยากไปหาเธอตอนนี้เลยครับ ก่อนออกไปเธอก็ดูกลัวมากขนาดนั้น…น่าจะไปด้วยกันแท้ๆ ไม่น่าให้ไปคนเดียวแบบนั้นเลย”
พัคกอนอูค่อยๆ ทรุดตัวลงตรงนั้น รูปร่างของเขาเล็กและผอมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอนั่งขดตัวเลยดูเหมือนถูกห่อด้วยแจ็กเก็ตเบสบอลที่สวมใส่อยู่เข้าไปอีก ชเวดาบินพูดปลอบเขาอย่างทำตัวไม่ถูก
“ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกน่า พี่อินกยูก็ไปด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนคงจะซ่อนตัวอยู่ในที่สักที่ที่ปลอดภัยนั่นแหละ คงหาจังหวะเหมาะๆ อยู่เลยยังกลับมาไม่ได้”
“ฮึก อึก…”
พอพัคกอนอูก้มหน้าแล้วเริ่มสะอึกสะอื้น ผมเลยนั่งลงข้างๆ เขาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุด
“กอนอู ยูจินนี่ใครเหรอ ถ้าไม่ว่าอะไรบอกฉันได้ไหม”
“เธอเป็นแฟนผมครับ”
เสียงสั่นเครือเล็ดลอดออกมาจากใต้ศีรษะที่ก้มหน้างุดอยู่
“ตอนนี้แฟนนายอยู่ข้างนอกเหรอ”
“พวกเราไม่มีอะไรจะกิน คนที่อยู่ในนี้เลยตัดสินใจจับคู่กันสองคนแล้วผลัดกันออกไปหาอาหารน่ะครับ ยูจินกับพี่อีกคนคือคนที่ถูกเลือก ตอนนั้นยูจินไม่สบายหนักมาก ผมเลยขอเว้นครั้งนี้ไปก่อนและอาสาจะไปแทน แต่พี่จุนซอกบอกว่าเรื่องแบบนั้นมีอย่างที่ไหน ห้ามมีข้อยกเว้นเด็ดขาด…”
เขาพูดงึมงำเหมือนคนเพ้อ ผมหันไปมองข้างหลังแวบหนึ่งก็เห็นยุนจุนซอกที่นอนหลับเป็นตายกำลังกรนอยู่ ซึ่งนับว่าโชคดี เพราะดูจากนิสัยของเจ้าตัวแล้ว ดูท่าคงไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่หากได้ยินคนอื่นนินทาตัวเอง
“อย่างนี้นี่เอง นายคงจะกังวลมากเลยสินะ”
“จริงสิ พะ…พี่โฮฮยอนครับ”
จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมากะทันหัน ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นมองผมผ่านเลนส์แว่นที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
“เอ่อคือ…ก่อนที่พี่จะมาที่นี่ พี่ได้ไปร้านสะดวกซื้อชั้นหนึ่งมาไหมครับ”
มือผอมๆ ของเด็กหนุ่มกำชายเสื้อของผมอย่างร้อนใจ ผมรู้สึกอึดอัดที่ถูกดึงเสื้อ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมา
“ยูจินทำงานพาร์ตไทม์อยู่ที่นั่นครับ แถมยังเข้ากะตอนที่เกิดเรื่องอยู่ด้วย ตอนนั้นเธอกำลังเฝ้าหน้าเคาน์เตอร์อยู่ แต่ผมก็รีบลากเธอมาทั้งที่ยังไม่ได้ถอดชุดยูนิฟอร์ม”
ผมนึกถึงพนักงานพาร์ตไทม์ที่ยกกล่องเครื่องดื่มชูกำลังมาให้ ในตอนนั้นผมหน้าตาอิดโรยเพราะใกล้จะถึงวันส่งงานเต็มที ผมจำได้ว่าเธอมัดผมหางม้าอย่างเรียบร้อยและสวมเสื้อกั๊กยูนิฟอร์ม
ฉากถัดมาคือประตูห้องเก็บของของร้านสะดวกซื้อที่เปิดค้างไว้อย่างเป็นลางไม่ดี เสียงเคี้ยวบางอย่างและคนที่นอนฟุบอยู่ด้านใน…ผมพยายามที่จะไม่นึกถึงภาพเหตุการณ์นั้นอีก แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
“ยูจินเรียนแล้วก็ทำงานกะกลางคืนไปด้วยจนถึงเช้า เธอเป็นคนที่วิ่งหนีมาโดยไม่รู้อะไร แถมยังไม่ค่อยมีสติเพราะได้นอนไม่ถึงสามชั่วโมงติดต่อกันมาหลายวัน…แต่เรากลับส่งเธอออกไปเอาอาหารมาให้อีกครั้ง เพราะคิดว่าเธอเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ น่าจะรู้ตำแหน่งสินค้าในร้านสะดวกซื้อดี”
พัคกอนอูพรั่งพรูคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา ผมพูดอะไรไม่ออกและได้แต่กัดฟันไว้แน่นเพื่อซ่อนริมฝีปากที่สั่นเทา
“พี่โฮฮยอน เห็นเธอคนนั้นบ้างไหมครับ…พี่เห็นยูจินบ้างหรือเปล่า เธอสูงประมาณร้อยหกสิบเซ็นต์ ประมาณไหล่ผม สวมเสื้อกั๊กร้านสะดวกซื้อทับเสื้อแขนยาวสีเทา พี่เห็นเธอระหว่างทางบ้างไหมครับ พี่เห็นเธอบ้างหรือเปล่า ได้โปรด…”
เขาเขย่าตัวผมราวกับจะเร่งเร้าเอาคำตอบ ผมปิดปากสนิทระหว่างที่ตัวโคลงเคลงไปมาตามแรงเขย่า ภายในดวงตาร้อนผ่าวไปหมด
“กอนอู หยุดเถอะ พี่เขาบอกแล้วไงว่าอยู่แต่ในห้องเลยไม่รู้เรื่องอะไร”
ชเวดาบินดึงตัวเขาออกไป ก่อนที่สุดท้ายพัคกอนอูจะข่มความวิตกกังวลเอาไว้ไม่ไหวจนร้องไห้โฮออกมา ผมเอื้อมมือไปลูบหลังเขาเบาๆ เพราะคงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว รุ่นพี่ทำเพียงแค่มองดูอยู่เฉยๆ มาตลอดโดยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร และทันใดนั้นรุ่นพี่ก็หันไปทางประตูราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
“เด็กๆ”
เขาไม่ได้พูดเสียงดัง แต่มีพลังพอที่จะเรียกความสนใจจากทุกคน ผมกับชเวดาบิน แม้กระทั่งพัคกอนอูที่กำลังสะอื้นไห้หันไปมองเขาเป็นตาเดียว รุ่นพี่คลายวงแขนลงแล้วชี้ไปที่ประตู
“ข้างนอก”
ปัง…
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงทุบประตูก็ดังขึ้น ความเงียบไหลผ่านไปชั่วอึดใจ ก่อนเสียงปังจะดังขึ้นอีกครั้ง
บรรยากาศในห้องพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที พวกเราเดินเข้าไปใกล้ประตู รวมถึงยุนจุนซอกที่ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็เดินตามมาสมทบเงียบๆ
ปังๆ
“…ให้หน่อย”
ผมได้ยินเสียงของใครคนหนึ่ง
“เปิดประตูให้หน่อย”
มันเป็นเสียงพูดของคน เสียงทุ้มที่ดังแผ่วเบามาจากด้านหลังประตูนั้นช่างคุ้นหูราวกับเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
“เจ็บ…ร้อน เปิดประตูให้ที”
“พี่อินกยู?”
พัคกอนอูพึมพำชื่อนั้นอยู่คนเดียว ก่อนที่วินาทีถัดมาเขาที่ยืนอยู่ด้านหลังจะวิ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็วจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กผู้ชายที่ร้องไห้อย่างน่าสงสารเมื่อครู่นี้ขุดเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกัน
“พี่ครับ พี่อินกยู! ผมจะรีบเปิดให้เดี๋ยวนี้แหละครับ”
พัคกอนอูรีบยื่นมือไปที่เครื่องดิจิตอลดอร์ล็อก แต่ยังไม่ทันจะได้กดปุ่มปลดล็อก รุ่นพี่ก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้พร้อมกับพูดแบบห้วนสั้นออกมา
“เฮ้ย! ห้ามเปิด”
“ครับ?”
“ให้แน่ใจก่อนว่าที่อยู่ข้างนอกเป็นอะไรแล้วค่อยเปิด”
พัคกอนอูพลันหยุดชะงักเมื่อเห็นสายตาหวาดระแวงของรุ่นพี่
“ไม่ได้ยินที่เขาพูดหรือไง ต้องรอให้แน่ใจบ้าบออะไรอีก นั่นมันคนชัดๆ เลย!”
ยุนจุนซอกตวาดดังลั่น ดูเหมือนเขาแค่ต้องการคัดค้านความเห็นของรุ่นพี่ให้ได้มากกว่าจะคัดค้านด้วยเหตุผล
“ไอ้พวกที่ไปหาอาหารมาให้อยู่ตรงหน้านี้แล้วไง พัคกอนอู นายมัวทำอะไรอยู่ แฟนนายมาแล้วยังไม่รีบเปิดประตูอีก”
พัคกอนอูที่ยืนอยู่ระหว่างชายสองคนลังเลอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี รุ่นพี่จึงเอียงคออย่างหงุดหงิด
“ตอนนี้เรายังไม่ทันรู้เลยว่าหมอนั่นยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า นายแน่ใจจริงๆ ใช่ไหมว่าถ้าปล่อยให้หมอนั่นเข้ามาแล้วหมอนั่นจะยังเป็นคนอยู่น่ะ”
เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือดังขึ้นอย่างร้อนรน รุ่นพี่ที่ไม่ยอมช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่อยู่ข้างนอกประตู ชิ้นส่วนปริศนาเริ่มปะติดปะต่อกันในหัวของผม ก่อนที่ความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจะแล่นปราดขึ้นมาตามแผ่นหลัง
ก่อนหน้านี้คนที่ผมเจอก็คือ ‘อินกยู’ ตอนนั้นผมมีโอกาสช่วยเขาได้ แต่ผมกลับทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่สิ…ผมเลือกที่จะไม่ทำมากกว่า
“กอนอู ฉันบาดเจ็บ เจ็บชะมัด…รีบเปิดเร็วเข้า”
“พี่ครับ! แล้วยูจินล่ะครับ”
“ยูจิน…? ยู…จิน”
“ตอนนี้ยูจินอยู่กับพี่หรือเปล่าครับ”
เสียงหายใจระส่ำระสายฟังดูกระวนกระวายกับเสียงครางดังมาจากข้างนอกแทนคำตอบ ก่อนที่สุดท้ายพัคกอนอูจะยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถูกรุ่นพี่จับไว้ไปกดปุ่มปลดล็อก
ติ๊ด
เสียงระบบดิจิตอลดอร์ล็อกที่ฟังดูสดใสดังขึ้นอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์
“เฮือก”
หลังจากกดปุ่ม พัคกอนอูที่เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปพลันยืนตัวแข็งทื่อ บานประตูแง้มเปิดออกอย่างช้าๆ มือเปื้อนเลือดสอดเข้ามาผ่านทางช่องว่างที่แง้มออกประมาณครึ่งคืบ เนื้อที่แหว่งไปหลายจุดจนเห็นเนื้อสีแดงขาดวิ่น ดูท่าคงจะถูกบางอย่างกัดเข้าอย่างแน่นอน
ระหว่างที่ทุกคนตกตะลึงกับภาพอันน่าสะพรึงกลัวตรงหน้า มีเพียงรุ่นพี่คนเดียวที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขายกเท้าข้างหนึ่งถีบอัดประตูจนได้เสียงเนื้อกับกระดูกที่โดนบดจนแหลกอย่างน่าสยดสยองพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นออกมาจากมือนั้น
“อ๊ากกก!”
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น มือที่กระตุกสั่นชักกลับไปสุดแรง ยังดีที่รุ่นพี่ใจดีพอที่จะไม่ถีบบานประตูซ้ำอีกรอบ ประตูงับปิดลงพร้อมกับเสียงทุ้มหนัก ก่อนที่ดิจิตอลดอร์ล็อกจะปิดล็อกไปเองโดยอัตโนมัติ
เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังระงมอยู่นอกประตูพักใหญ่ ก่อนที่ไม่นานนักเสียงทั้งหมดนั้นจะค่อยๆ แผ่วลง และถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงัดของความตาย แม้เหตุการณ์จะจบสิ้นลงไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดอะไร
“ไอ้…ไอ้เวรนี่แม่ง!”
ยุนจุนซอกที่ได้สติก่อนเป็นคนแรกระเบิดอารมณ์ด้วยความโกรธ เขาก้าวฉับเข้าไปหารุ่นพี่
“เพี้ยนไปแล้วเหรอวะ ไอ้เวรโรคจิตนี่ แกรู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป”
ดูเหมือนว่ายุนจุนซอกยังไม่กล้าพอที่จะเข้าไปประชิดตัวแล้วกระชากคอเสื้อหรือต่อยรุ่นพี่ เขาเลยได้แต่ยืนตัวสั่นเทิ้มโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“ทำไม”
“ทำไมงั้นเหรอ ทั้งที่เมื่อกี้แกเพิ่งปิดประตูงับมือคนจนแหลกเนี่ยนะ? ถามมาได้ว่าทำไม”
“ฉันถามพวกนายแล้วนะว่าแน่ใจแล้วเหรอว่ามันเป็นคน”
“ว่าไงนะ”
“ยังไม่เข้าใจอีกหรือไง ไอ้ที่ว่าหน้าเหี้ยนี่ ดูท่าจะเหี้ยยันระดับสติปัญญาเลยสินะ”
รุ่นพี่เกี่ยวมาสก์ที่สวมอยู่ลงมาแล้วใช้หลังมือเช็ดขอบตา เมื่อครู่นี้เลือดกระเซ็นไปเลอะใบหน้าเขาจนเปื้อนเป็นสีแดงฉาน รอยเลือดที่ลามไปข้างๆ เบ้าตาทำให้เขายิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ขนาดยุนจุนซอกที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟยังเผลอผงะไปเล็กน้อย
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็ไสหัวไป ฉันจะไปล้างตัว แล้วก็อย่าเสนอหน้าสวะๆ ของแกมาให้ฉันเห็นอีก คนยิ่งเซ็งๆ อยู่”
เขาพูดตอกหน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป ทำเอาใบหน้าของยุนจุนซอกร้อนขึ้นมา
“เฮ้ย คียองวอน ไอ้เหี้ยนี่!”
“ถ้าอยากเปิดประตูออกไปตายห่าขนาดนั้นฉันจะไม่ห้ามหรอกนะ แต่คราวนี้จะเปิดก็เปิดเอง อย่าทำกร่างสั่งให้รุ่นน้องทำ”
รุ่นพี่หันกลับมามองพร้อมกับเหยียดยิ้มเย้ยให้ โดยที่ยุนจุนซอกก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำได้แค่สบถหยาบในลำคอพลางมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายลับเข้าไปในห้องอาบน้ำ
Chapter 1-4
หลังจากรุ่นพี่หายเข้าไปในห้องอาบน้ำ คนที่เหลือก็อยู่ในสภาพที่หดหู่กันหมด ชเวดาบินนั่งกอดเข่าอย่างคนสติหลุดบนม้านั่งที่ตั้งอยู่กลางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนพัคกอนอูมีอาการพะอืดพะอมสลับกับร้องไห้เป็นพักๆ ราวกับภาพเหตุการณ์อันน่าสลดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ยังชัดเจนอยู่เต็มสองตา
ผมพะวักพะวนเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ทีแรกก็ว่าจะช่วยปลอบพัคกอนอู แต่คิดอีกทีขืนไปยุ่งกับเขาที่อยู่ในสภาพแบบนั้นมีหวังคงได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม ผมเลยพับเก็บความคิดนั้นไป
“พี่โฮฮยอน”
ชเวดาบินเรียกผมที่กำลังยืนก้มหน้านิ่งอย่างเหม่อลอย
“หืม? ดาบิน”
“พี่รู้จักกับรุ่นพี่คียองวอนได้ยังไงเหรอคะ”
“เรียกว่ารู้จักกันไม่ได้หรอก”
ในมุมมองของผมเขาเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง แต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนรู้จักผม เขาทำตัวสนิทสนมกับผมบ่อยมาก พอผมปฏิเสธก็ทำท่าเหมือนจะเอาขวานจามผมจนหัวแบะ ผมเลยพยายามปรับตัวให้ชินอยู่ คำพูดจากใจจริงที่ขย้อนขึ้นมาถึงคอหอยถูกกลืนกลับลงไป จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าไม่ควรพูดออกไปแบบนั้นเลยแต่งเรื่องขึ้นมาลวกๆ
“เราแค่บังเอิญเจอกันน่ะ ไปๆ มาๆ เลยตัดสินใจร่วมทางมาด้วยกัน”
“งั้นก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ”
“ใช่ ถามทำไมเหรอ”
“ฉันแค่กำลังสงสัยว่ารุ่นพี่เขาเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วหรือเปล่าน่ะค่ะ”
“หมายถึงอะไร”
“ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอกค่ะ แค่ได้ยินข่าวลือที่เล่าต่อๆ กันมา เห็นว่ารุ่นพี่คียองวอนฮอตมากในคณะศิลปกรรมศาสตร์ มีหลายคนที่แอบชอบพี่เขาเงียบๆ แต่ก็กลัวพี่เขาจนไม่กล้าพูดทักทายต่อหน้า”
เรื่องของเขาที่ผมไม่รู้มาก่อนพรั่งพรูออกมาจากปากของชเวดาบิน คียองวอน นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ที่ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยตามปกติ คียองวอนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษาหญิง ว้าว…ดูไม่เหมือนอย่างที่เห็นจนน่าขนลุกเลยแฮะ
“จากที่ฉันเห็นๆ มา ก็ดู…ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลยนะ”
เธอลังเลเพราะหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้ แต่ไม่นานนักเธอก็ปรับแก้คำพูดของตัวเองใหม่
“ไม่หรอกค่ะ สภาพจิตใจทุกคนคงกำลังอ่อนไหวและเปราะบางเลยเป็นอย่างนั้นล่ะมั้งคะ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เวลาแบบนี้ยังมีใครที่ไหนทำตัวเป็นปกติได้บ้างล่ะคะ ยังไงพี่ช่วยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินทีนะคะ”
หลังจากชเวดาบินพูดจบไม่นาน ยุนจุนซอกก็โผล่หน้าเข้ามา บริเวณที่มีไดร์เป่าผม กระจก และสำลีก้านเป็นโซนสูบบุหรี่ส่วนตัวของเขา พอเห็นเขาโผล่ออกมาจากตรงนั้นแล้ว ผมรู้สึกเหมือนขั้วโลกกำลังจะลุกเป็นไฟยังไงไม่รู้
“อา…แม่งเอ๊ย”
เขาปาของที่กำอยู่ในมือออกไปอย่างหงุดหงิด แล้วทำไมต้องปามาทางผมด้วยก็ไม่รู้ ผมเบี่ยงหน้าหลบโดยอัตโนมัติ กล่องบุหรี่ที่ถูกขยำลอยหวือผ่านอากาศข้างๆ ตัวผมก่อนจะกระแทกกับผนังแล้วหล่นลงมา
“บุหรี่แม่งก็หมดแล้ว อุตส่าห์บอกอียูจินแล้วว่าถ้าไปร้านสะดวกซื้อให้หยิบบุหรี่ติดมาด้วย เฮ้อ หงุดหงิดฉิบ”
ทีมที่ส่งไปปฏิบัติภารกิจหาอาหารทำภารกิจล้มเหลว แม้จะไม่ได้ปริปากพูดออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะคิดแบบนั้นเงียบๆ อยู่ภายในใจ เพราะคิดว่าสองคนที่ออกไปพร้อมกับความหวังของทุกคนนั้นคงจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว
“พูดด้วยไม่กี่คำก็ร้องไห้กระซิกๆ แล้วก็ออกไป ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนี้ เฮงซวยชะมัด”
ยุนจุนซอกเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิด แต่แล้วชเวดาบินก็พูดโพล่งขึ้นมา
“เรื่องนั้นพี่ทำเกินไปแล้วนะคะ”
“ฮะ?”
“ฉันบอกว่าพี่ทำเกินไปค่ะ ตอนนั้นยูจินป่วยอยู่ เรายกเว้นให้เธอสักครั้งก็ได้นี่คะ”
ยุนจุนซอกที่กำลังบ่นไปเรื่อยพลันฉุนกึกขึ้นมาทันที
“แล้วนี่มันความผิดฉันหรือไง ฮะ? ฉันถามว่ามันผิดที่ฉันหรือไง!”
“แต่พี่ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากใช่ไหมล่ะคะว่าตัวเองไม่ผิดเลย กอนอูอาสาออกไปแทนแล้วฉันกับพี่อินกยูก็เห็นตรงกัน แต่พี่กลับยืนกรานหนักแน่นว่าไม่มีข้อยกเว้น เธอก็เลยจำต้องยอมออกไป”
“นี่เธอคิดว่าเรากำลังนั่งเล่นขายของเป็นเด็กๆ กันอยู่หรือไง ชีวิตของพวกเราเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เอาเรื่องส่วนตัวมาตัดสินว่าจะช่วยคนนั้นหรือไม่ช่วยคนนี้เนี่ยนะ? นี่ ลองไปทำอย่างนั้นในกรมดูสิ ได้ถูกสั่งซ่อมยกหมู่จนเดี้ยงแน่”
“เพราะแบบนั้น…”
เสียงแหบแห้งดังขึ้นจากข้างหลัง พัคกอนอูที่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้องเงยหน้าขึ้นแล้วมองมาทางเรา ใบหน้าซีดเซียวเลอะคราบน้ำตาแฝงไปด้วยความเดือดดาลอย่างประหลาด
“เพราะแบบนั้นก็เลยด่ากราดใส่ผู้หญิงที่ป่วยว่าอีนั่นอีนี่ แล้วสุดท้ายก็ส่งเธอคนนั้นที่กำลังร้องไห้แถมยังยืนทรงตัวแทบไม่ไหวให้ออกไปข้างนอกแบบนั้นใช่ไหมครับ”
“ว่าไงนะ! ฉันยอมให้นายมามากแล้วนะ แม่ง”
ยุนจุนซอกเงื้อมือข้างหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่าฝาหม้อขึ้น ผมรีบลุกพรวดไปขวางเขาไว้ทันที พร้อมกับที่รู้สึกได้ว่าชเวดาบินซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ข้างหลังเองก็ถึงกับผงะสะดุ้งไปเบาๆ
“หยุดเถอะนะคะ”
“เพราะแบบนี้อีพวกผู้หญิงแม่งเลยห่วยแตกไง พอบอกให้ทำอะไรก็ร้องไห้ฟูมฟายบอกว่าทำไม่ได้ เอาแต่หลบอยู่หลังผู้ชาย สันดานเสียชะมัด พัคกอนอู นายเองก็เหมือนกัน ไอ้เวรเอ๊ย ยังไม่เข้ากรมแท้ๆ แต่เสือกไปติดผู้หญิงซะแล้ว”
“พี่ครับ!”
ผมที่ทนฟังต่อไม่ไหวตะคอกออกไปด้วยใบหน้าเรียบตึง ก่อนที่ยุนจุนซอกจะปิดปากฉับแล้วจ้องเขม็งมาทางผม ผมจึงได้แต่มาสบถในใจว่า ‘แม่งเอ๊ย’ เอาตอนที่มันสายไปแล้ว เขาผ่อนคลายใบหน้าที่ถมึงทึงแล้วแสยะยิ้มให้ผม
“เดี๋ยวก่อนครับ”
ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนปลายนิ้วจะสัมผัสเข้ากับกล่องกระดาษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มันเป็นของที่ผมพกติดตัวมาจากห้อง โชคดีที่มันยังอยู่ที่เดิมและไม่ได้หล่นหายไปในระหว่างทาง
“สูบสักมวนไหมครับ”
“ตัวนี้ไม่แรง สูบไปก็เปลืองปากเปล่าๆ”
ยุนจุนซอกมองกล่องบุหรี่ที่ผมยื่นให้พลางบ่นพึมพำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยักพเยิดไปทางโซนสูบบุหรี่ของตัวเอง เป็นการตอบตกลงผ่านการกระทำกลายๆ
“ไปรอเลยครับ เดี๋ยวผมจะไปหายืมไฟแช็กมาจุดให้”
“คนอย่างฉันมีไฟแช็กน่า ไอ้เด็กนี่”
เขาผลักบ่าของผมเบาๆ ก่อนจะก้าวเท้าออกไป ผมเหลียวมองข้างหลังแวบๆ เห็นชเวดาบินกับพัคกอนอูกำลังมองมาเลยถอนหายใจเบาๆ แล้วส่งสายตาให้ ชเวดาบินพยักหน้ารับโดยไม่พูดไม่จาอะไร
ผมเดินมาถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่มีพัดลมกับไดร์เป่าผม คาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วจุดไฟ ก่อนควันเหม็นจะลอยขึ้นคลุ้ง นี่นับเป็นการสูบบุหรี่ในรอบหลายเดือน ด้วยความที่มีกฎห้ามสูบบุหรี่ทั่วบริเวณหอพัก ผมเลยพยายามอดทนมาตลอดสี่เดือน ระหว่างที่ทำรายงานก็ไม่เคยสูบบุหรี่เลยสักครั้ง แต่อัดกาเฟอีนกับทอรีนเข้าร่างกายต่างน้ำแทน
“พี่ ผ่อนอารมณ์ลงหน่อยเถอะครับ พี่ก็น่าจะรู้นี่ครับว่าทุกคนเขาสติแตกกันหมด”
“นี่ ชองโฮฮยอน นายคิดว่าฉันน่าขำมากนักหรือไง”
ใจจริงแล้วผมอยากจะพยักหน้ารับทันทีกับคำถามนั้น อีกทั้งนึกอยากปรบมือให้กับเขาที่รู้จักสภาพตัวเอง แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้
ไม่รู้ว่าในวิทยาเขตยังมีคนที่รอดชีวิตเหลืออยู่อีกกี่คน แต่ผู้รอดชีวิตที่แสดงตัวออกมาจนถึงตอนนี้มีแค่ห้าคนเท่านั้น ถึงจะแบ่งทีมกันไปก็ไม่น่าจะเป็นผลดี กรณีที่ดีที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้คือทุกคนแยกย้ายกันไปแล้วดิ้นรนเอาชีวิตรอดในแบบของตัวเอง และกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือทุกคนอาจตายเรียบ
ไม่ว่าจะอยู่ในกรณีไหน ขอแค่รอดไปได้อย่างปลอดภัยก็พอ ห้ามทำตัวโดดเด่น อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นั่นคือคติประจำใจของผม อะไรที่ทำแล้วดีก็ทำไป แต่พอต้องมารักษาคตินั้นในสถานการณ์แบบนี้แล้ว ผมก็รู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกันล่ะครับ”
“เมื่อกี้นายเห็นไหม ฮะ? ที่เด็กพวกนั้นเถียงฉันฉอดๆ โดยไม่รู้จักสัมมาคารวะน่ะ”
“ทั้งสองคนยังเด็กน่ะครับ เพิ่งผ่านเลขสองมาหมาดๆ เอง ทะเลาะกับเด็กไปก็เสียแรงเปล่า พี่เองก็ช่วยๆ เข้าใจเด็กมันหน่อยนะครับ”
“ก็ไอ้เด็กเวรนั่นมันปากดีบ่อยนี่หว่า”
เขาพ่นควันออกมาอย่างคุกรุ่นในใจ ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
“นี่ สถานการณ์ตอนนี้แม่งเหมือนกับในหนังเลยว่าไหม”
“หนังเรื่องอะไรเหรอครับ”
ไร้สาระชะมัด สถานการณ์แบบนี้ยังจะเพ้อเจ้อถึงหนังอีก
“หนังซอมบี้ไง เหมือนเด๊ะเลย”
ฟังดูแล้วมันก็เข้าเค้ากับสถานการณ์ในตอนนี้แบบแปลกๆ อยู่เหมือนกัน ทำไมผมไม่ได้นึกถึงคำว่าซอมบี้มาก่อนเลยนะ ว่าแต่มีซอมบี้โผล่มาที่สาธารณรัฐเกาหลีในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเนี่ยนะ? เป็นอะไรที่ฟังดูไม่เข้ากันอย่างสิ้นเชิงเลย ถ้าบอกว่าเป็นเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากฝุ่นละอองกับความเครียดสะสมแล้วโรคนั้นแพร่ระบาดจนผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาด แบบนี้ฟังแล้วยังพอจะเข้าท่ากว่าอีก
“อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็ได้เห็นอะไรแปลกๆ อีกเยอะ ฉันว่าถ้าเกาหลีใต้วายวอด เกาหลีเหนือคงได้ยิงขีปนาวุธมาถล่มแน่ๆ”
ยุนจุนซอกพูดพล่ามเรื่องไร้สาระอย่างไม่จบไม่สิ้น ผมค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ที่สูบเข้าไปเต็มปอดออกมา พอได้อัดนิโคตินเข้าไปในร่างกายที่เกร็งจากความเครียด สมองก็พลันตื้อไปชั่วขณะ
“แต่พวกซอมบี้มันจะชอบโผล่มาในประเทศแบบอเมริกาไม่ใช่หรือไง ในหนังคนที่นั่นจะเป่าหัวพวกมันด้วยปืนลูกซองแล้วก็ใช้ปืนไฟย่างสด แต่ประเทศเราแม่ง…จะมีคนที่ยิงปืนเป็นมากมายไปเพื่ออะไรกันวะ ทั้งที่ความเป็นจริงก็ไม่ได้มีปืนให้ใช้สักหน่อย นี่ นายรับราชการทหารสังกัดไหน”
“ผมอยู่หน่วยป้องกันอุทกภัยครับ”
“ฮะ? กระจอกว่ะ ชีวิตในกรมคงสบายจัดเลยล่ะสิ พี่คนนี้ประจำการอยู่จังหวัดคังวอนเลยนะเว้ย ไอ้หนู รู้จักไหม กองพลทหารราบอีกีจา* น่ะ”
การเลือกหัวข้อสนทนาในตอนนี้ถือได้ว่าเลอะเทอะสิ้นดี พูดถึงชีวิตในกรมทหารตอนนี้แล้วมันมีประโยชน์ตรงไหนไม่ทราบ ขืนปล่อยให้พูดพล่ามแบบนี้ต่อไปมีหวังได้ยกเรื่องเตะฟุตบอลในกรมทหารมาคุยจ้อไม่หยุดแน่ๆ พอคิดได้ดังนั้นผมเลยตั้งใจเปลี่ยนไปคุยประเด็นอื่น
“พวกที่อยู่ข้างนอกนั่นน่ะ มันคือซอมบี้จริงๆ เหรอครับ”
“ฉันไม่รู้ ถ้ารู้ฉันจะอยู่ในสภาพนี้เหรอ ไอ้เด็กเวรนี่หนิ”
“…”
“จะว่าไปไอ้คนที่แพร่ไวรัสซอมบี้นี่ก็น่าขำสิ้นดี ถ้าจะทำลายประเทศให้ย่อยยับก็น่าจะปล่อยให้มันบึ้ม! ลงมาใจกลางกรุงโซลสิวะ อย่างย่านชินชนหรือคังนัมอะไรทำนองนั้น ดันมาแพร่เชื้อกลางหุบเขาแบบนี้ แล้วจะไปทำอะไรได้วะเนี่ย เห็นทีที่ติดเชื้อกันพรึบก็คงจะมีแต่หมูป่ากับกวางน้ำ* ล่ะมั้ง”
ผมปล่อยให้คำพูดของเขาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาพลางแหงนหน้ามองเพดานอย่างเหม่อลอย แสงสีขาวจากหลอดนีออนสว่างจ้าจนแสบตา อย่างน้อยระบบไฟฟ้ากับประปาก็ยังทำงานได้ตามปกติ จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ
“ชองโฮฮยอน นายรู้ไหม ในหนังซอมนี้น่ะมีกฎอยู่ด้วยนะ”
“กฎอะไรเหรอครับ”
“ก็ในหนังแบบนั้นน่ะ คู่รักที่ทำตัวสะเหล่อๆ มักจะตายก่อนเสมอไง อียูจินก็ปลิวไปแล้วหนึ่ง ตอนนี้ก็เหลือแต่ไอ้เด็กพัคกอนอูนั่น”
ยุนจุนซอกหยุดสูบบุหรี่แล้วหัวเราะคิกคัก สมองของผมพลันชาวูบ มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเอามาล้อเล่นเลยสักนิด ผมได้แต่หวังว่าพัคกอนอูที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าจะไม่ได้ยินบทสนทนานี้
“หลังจากนั้นคาแร็กเตอร์ที่เป็นตัวปัญหาก็จะตาย ตามด้วยเด็กที่เอาแต่สะอึกสะอื้นเหมือนตัวไร้ประโยชน์ งั้นถัดไปก็คงถึงตาชเวดาบินแล้วล่ะมั้ง”
“พี่ครับ มาคิดดูแล้วผมเองก็เคยได้ยินกฎแบบนั้นอยู่นะครับ”
ผมโพล่งออกไปกะทันหัน เขาจึงหันหน้ามามองผม
“หืม?”
“แต่ที่ผมรู้มามันต่างออกไปนิดหน่อยน่ะครับ”
ผมทิ้งก้นบุหรี่ที่เหลือราวครึ่งมวนลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ให้มันดับ ก่อนจะหันไปคลี่ยิ้มบางๆ ให้เขา
“บังเอิญผมได้ยินมาว่าไอ้แก่บ้าน้ำลายสมองกลวงมักจะตายห่าก่อนเป็นคนแรกสุดเลยน่ะสิครับ
“…แกว่าไงนะ”
“ก็แค่พูดไปเรื่อย ผมล้อเล่นเฉยๆ น่ะครับ”
“ชองโฮฮยอน ไอ้เด็กเหี้ยนี่ สมองกลับไปแล้วเหรอวะ”
เขากระชากคอเสื้อผมแล้วผลักออกอย่างแรง
ปั้ก!
เสียงท้ายทอยกระแทกกับผนังดังขึ้นพร้อมกับความเจ็บที่แล่นปราด หัวผมมึนไปหมดจนมองไม่เห็นภาพตรงหน้าไปชั่วขณะ
“ไอ้เวรนี่ อยากเดี้ยงหรือไงวะ!”
“อึก”
จุดดำมืดหลายดวงปรากฏขึ้นซ้อนทับกันในดวงตา ผมโคตรเจ็บ…เจ็บจนรู้สึกเหมือนหัวจะแตกตายก่อนจะได้ตายเพราะพวกซอมบี้ ผมนิ่วหน้าและพยายามยื่นมือออกไปข้างหน้าอย่างสะเปะสะปะ
ปั้ก!
มือที่กระชากคอเสื้อของผมผละออกไปอย่างง่ายดายจนไม่น่าเชื่อ ผมอดทนกับอาการเจ็บตื้อๆ และพยายามลืมตาขึ้น ก่อนจะเห็นภาพยุนจุนซอกล้มกลิ้งอยู่บนพื้น ตามมาด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ลงบนร่างที่ล้มคะมำอย่างไม่อาจสู้แรงได้
“เฮ้ย ก็โฮฮยอนบอกว่าล้อเล่นไงวะ”
รังสีอำมหิตที่ว่านั้นก็คือรุ่นพี่ หยาดน้ำหยดลงมาจากผมสีดำเข้มของเขาราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ สภาพเขาในตอนนี้ใส่แค่กางเกงลวกๆ ยืนเท้าเปล่า ร่างกายท่อนบนเปล่าเปลือยไม่มีอะไรปกปิด ตอนที่สวมเสื้อผ้าก็ยังพอเดาได้ว่าเขาหุ่นดี เขามีสรีระสูงใหญ่และมีแขนขาที่เรียวยาว มองผ่านๆ เหมือนกับนายแบบ แต่ร่างกายแข็งแกร่งนั้นกำยำและดูแข็งแรงกว่านายแบบทั่วไป แถมร่างกายท่อนบนทั้งหมดยังเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อไร้ไขมันส่วนเกินที่ดูดีอย่างยิ่ง
ทว่าก็มีตำหนิที่เห็นได้อย่างชัดเจน ท่อนบนของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ทั้งรอยขีดข่วนบางๆ ไปจนถึงรอยแผลขนาดใหญ่ที่น่าจะได้มาจากการผ่าตัด บนกายของเขาไม่มีส่วนไหนที่เรียบเนียนไร้บาดแผลเลย สำหรับนักศึกษาที่ใช้ชีวิตเติบโตและเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยตามปกติ ไม่มีทางที่จะมีแผลมากมายขนาดนั้นบนตัวอย่างแน่นอน
“แค่กๆ”
ยุนจุนซอกที่ถูกถีบตรงลิ้นปี่เข้าอย่างจังนอนคู้ตัวกลิ้งไปมากับพื้น ดูท่าคงถูกถีบแรงมาก เลือดกำเดาเลยไหลลงมาและมีฟองน้ำลายติดอยู่ที่มุมปาก
“ทำไมต้องทำตัวเส็งเคร็งและจริงจังขนาดนั้นด้วยวะ”
รุ่นพี่พยายามพูดพึมพำอย่างสุขุมเยือกเย็นพลางเงยหน้าขึ้น เสี้ยววินาทีนั้นผมพลันขนลุกวาบขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นรอยแผลแนวขวางขนาดใหญ่ที่คอของเขา มันเป็นแผลเป็นที่น่าสะพรึงกลัวราวกับคอถูกตัดไปแล้วครึ่งหนึ่งแล้วต่อเข้าไปใหม่ ทว่ามันกลับไม่มีแม้แต่รอยเย็บ ผมเห็นรอยเนื้อที่สมานขึ้นมาใหม่โดยที่รอยแผลที่ปริออกยังอยู่ในสภาพเดิม
แม้ผมจะไม่ใช่นักศึกษาแพทย์และไม่มีความรู้ด้านการแพทย์เลยสักนิด แต่ผมก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่าคนปกติหากได้แผลใหญ่ขนาดนั้นป่านนี้คงไม่รอดแล้วแน่ๆ
“หืม? ฉันถามว่าทำไมถึงทำตัวเส็งเคร็ง”
รุ่นพี่ถามย้ำอีกครั้ง แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะสามารถพูดอะไรได้ ทั้งที่รู้อย่างนั้น แต่เขาก็ยังใช้เท้าเขี่ยๆ ขมับของยุนจุนซอกแล้วบังคับให้อีกฝ่ายตอบ
“พี่คะ! เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
พวกรุ่นน้องที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายรีบวิ่งกรูกันเข้ามา พัคกอนอูที่เห็นหยดเลือดบนพื้นพลันสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับก้าวถอยหลังไปทันทีโดยไม่รู้ตัว
“แฮกๆ”
ยุนจุนซอกตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน ใบหน้าของเขาเหยเกด้วยความเจ็บปวดและความอับอายสุดจะทน รุ่นพี่ยกปลายนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะทำเป็นเคลื่อนนิ้วขึ้นไปเสยผม
“อย่าทำบรรยากาศพังดิวะ ยิ้มหน่อยสิ”
หลังจากทะเลาะกันไปยกหนึ่ง บรรยากาศก็เข้าขั้นเลวร้ายถึงขีดสุด ยุนจุนซอกที่ล้มเจ็บบนพื้นและรอดมาในสภาพร่อแร่หอบแฮกๆ ก่อนจะเดินหลบมุมหายไป มีเพียงเสียงพังข้าวของโครมครามดังมาจากทางนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะควบคุมอารมณ์โกรธไว้ไม่อยู่จนพาลไปลงกับเฟอร์นิเจอร์
ผมเข้าไปในห้องอาบน้ำ เพราะไม่อยากเห็นสภาพที่คนอื่นจมอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวังแล้วทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหินอ่อนแห้งสนิทตรงฉากกั้นกระจกฝ้าที่ติดอยู่เป็นล็อกๆ
ผมพิงผนังหินอ่อนเย็นเฉียบแล้วลองไล่เช็กมือถือที่กลายเป็นแค่เศษขยะไปแล้ว อินเตอร์เน็ตกับการโทรยังคงถูกตัดการเชื่อมต่อเหมือนเดิม ข้อความจากครอบครัวและเพื่อนๆ เองก็มีเครื่องหมายเชื่อมต่อไม่ได้ปรากฏอยู่เช่นเดิม ถ้าชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มก็อาจใช้ดูเวลาหรือใช้ประโยชน์จากแสงไฟฉายได้บ้าง
ผมออกจากหน้านั้นแล้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นคอมมิวนิตี้ของมหาวิทยาลัย ถึงจะไม่เห็นบทความล่าสุดเพราะอินเตอร์เน็ตล่ม แต่บทความที่โพสต์ไว้เมื่อสองสามวันก่อนยังคงถูกเซฟไว้อยู่ ดูเหมือนว่าตอนนั้นจะเป็นช่วงสุดท้ายที่ยังเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้
[วิธีรอดจากเชื้อซอมบี้]
[ผู้ใช้นิรนาม] กดไลค์ภายใน 10 วินาที
พิมพ์คำว่ากตัญญูภายใน 10 นาที
แล้วพ่อแม่จะแข็งแรงไม่ติดเชื้อไปตลอด 10 ปี
ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู
ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู
ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู
ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู
ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู
ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู
[ฉันเป็นนักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย]
[ผู้ใช้นิรนาม] ห้องแล็บของฉันคงไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ?
ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักอย่าง และทุกคนเองก็ยังปกติดีกันหมด
นี่พวกแกกำลังรวมหัวแกล้งกันเล่นใช่ไหมเนี่ย
ผู้ใช้นิรนาม : ก็ดูเหมือนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ปกติคนในแล็บนั่นก็สภาพยังกะซอมบี้อยู่แล้วนี่
(ตอบกลับ) ผู้ใช้นิรนาม : 5555555555
[ผมอายุยี่สิบต้นๆ เพื่อนรุ่นเดียวกันติดเชื้อกันหมดแล้ว]
[ผู้ใช้นิรนาม] โลกถึงกาลอวสานแล้วสินะ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
“พวกนี้มันบ้ากันชัดๆ เลย”
สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ใช่นิยายหรือหนัง แต่มีคนตายจริงๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนนักศึกษาทุกคนต่างก็ยังเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือสอบปลายภาคและฝันหวานถึงช่วงปิดเทอมที่ใกล้จะมาถึงกันอยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับมีคนล้มตายเป็นเบือ
สถานการณ์แบบนี้ยังจะมาล้อเล่นกันได้ลงคออีกเนี่ยนะ? ผมรู้สึกปวดหัวตุบขึ้นมาทันที เสียลูกกะตาจริงๆ เลยเชียว ผมเผลอกดรีเฟรชหน้าจอใหม่จนบทความบ้าบอคอแตกนั่นเหลือเพียงข้อความแจ้งเตือนว่า ‘โปรดตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณ’ ผมเลยปิดหน้าจอแล้วยัดมือถือลงกระเป๋าอย่างหงุดหงิด
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังว้าวุ่นใจ รุ่นพี่เป็นเพียงคนเดียวที่ยังปกติดี เขาใช้ผ้าขนหนูจากชั้นวางของในห้องอาบน้ำเช็ดตัวให้หมาดแล้วนั่งลงข้างผม แก้มของเขามีสีเลือดฝาด พอถอดมาสก์ที่ปกปิดใบหน้าครึ่งล่างออกแล้วยีผมที่เปียกชื้นจนกระเซอะกระเซิง เขาก็ดูเด็กลงอย่างน่าประหลาด
“นี่ คุณรุ่นน้อง”
“ครับ?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสราวกับก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมสงสัยว่าเขาอ่านบรรยากาศไม่ออกหรือไม่สนใจมาตั้งแต่แรกกันแน่
ถึงจะอยู่ในห้องที่มีระบบทำความร้อนดีขนาดไหน แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นช่วงฤดูหนาว ถึงอย่างนั้นเขากลับสวมเพียงแค่เสื้อยืดแขนสั้นสีดำทับด้วยเสื้อคลุมตัวนอก ผมพยายามไม่มองรอยแผลเป็นที่บากอยู่ตามต้นแขนแกร่งราวกับรอยขีดเขียน
“ตกใจเหรอ เมื่อกี้น่ะ”
“เมื่อกี้? อ๋อ ครับ จะว่ายังไงดีล่ะ ถ้าบอกว่าไม่ตกใจเลยก็คงจะเป็นการโกหกน่ะครับ”
“พอดีฉันควบคุมความโกรธไม่ค่อยได้น่ะ”
ดวงตาที่หลุบต่ำของเขาเหลือบขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ก่อนที่นัยน์ตาสีดำจะจ้องมองมาที่ผมไม่วางตา
“ฉันฟิวส์ขาดที่เห็นไอ้เวรนั่นมาระรานนาย มันหงุดหงิดก็เลยเผลอวู่วามไปน่ะ นายคงเข้าใจฉันใช่ไหม หืม?”
เข้าใจกับผีน่ะสิ ผมไม่เข้าใจเขาเลยสักนิด คนปกติจะไปเข้าใจวิธีคิดของคนพิลึกอย่างเขาได้ยังไงกัน
“ครับ รุ่นพี่ ผมเข้าใจดีครับ”
ผมพยายามตีหน้าซื่อแล้วยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจที่สุดเท่าที่จะทำได้
“จริงเหรอ”
“แน่นอนครับ”
“ไม่หรอก คุณรุ่นน้องแม่งไม่เข้าใจความรู้สึกฉันเลยสักนิด ถ้าเข้าใจจริงคงไม่ตอบออกมาง่ายๆ แบบนั้นหรอก”
เมื่อพูดจบเขาก็เบือนหน้าหนี ทำเอารอยยิ้มเสแสร้งของผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
“ผมผิดไปแล้วครับ”
ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ แต่ก็ขอโทษส่งๆ ไปก่อน ขวานดับเพลิงเปื้อนเลือดที่รุ่นพี่วางพิงผนังไว้ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาผมเลยจริงๆ
“นายรู้เหรอว่าทำอะไรผิด คงคิดว่าแค่ขอโทษก็จบแล้วงั้นสินะ”
“…”
“ช่างเหอะ คุณรุ่นน้องก็เป็นแบบนี้ตลอดนั่นแหละ”
ผมบังคับตัวเองให้ยิ้มต่อไปไม่ไหวแล้ว อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนเป็นคนสารเลวที่ทำให้คนรักต้องเจ็บช้ำใจยังไงก็ไม่รู้
“ผมต้องทำยังไงรุ่นพี่ถึงจะหายโกรธเหรอครับ”
ทั้งยุนจุนซอกแล้วก็คียองวอน ไอ้พวกรุ่นพี่นี่แม่งไม่เต็มบาทเหมือนกันหมด ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังแบบนี้ พวกรุ่นพี่ยังทะเลาะกันเอง ส่วนพวกรุ่นน้องก็สติไม่ค่อยจะอยากอยู่กับเนื้อกับตัวกันอีก ผมที่อยู่ตรงกลางลำบากใจจะตายอยู่แล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกรันทดใจขึ้นมาซะอย่างนั้น
“โฮฮยอนอา*”
“ครับ”
“ฮยอน** อา”
“…ครับ”
ผมขานรับรอบที่สองช้าไปหน่อย เพราะจู่ๆ รุ่นพี่ก็เอนตัวเอาหัวมาซบไหล่ มันเป็นการถึงเนื้อถึงตัวที่ใกล้ชิดกันเกินกว่าความสัมพันธ์ของพวกเรา ร่างกายของผมพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที
“ฉันเหนื่อยนะ…เหนื่อยมากจริงๆ เพราะงั้นนายช่วยปลอบฉันทีสิ”
ผมที่เปียกหมาดๆ ของเขาจั๊กจี้ต้นคอผม ทุกครั้งที่เขาพูด ผมจะสัมผัสได้ถึงแรงสั่นไหวในลำคอเบาๆ จากบริเวณหัวไหล่ คำพูดของเขาดูเฉื่อยชากว่าตอนปกติที่อารมณ์แปรปรวนง่าย
“ผมควรปลอบรุ่นพี่ยังไงครับเนี่ย”
รุ่นพี่หัวเราะเบาๆ
“อืม…ปลอบด้วยร่างกายเป็นไง”
“ร่างกาย?”
ผมสะดุ้งโหยงอย่างลืมตัว คิดว่าถ้าเข้าใจผิดไปเองก็คงจะดี มันต้องเป็นความเข้าใจผิดแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นความหมายของคำที่เขาพูดมันก็ฟังดูสองแง่สองง่ามแปลกๆ และแล้วรุ่นพี่ก็หัวเราะเสียงดังมากขึ้นกว่าเดิม
“ผวาอะไรขนาดนั้น คนสวย น่ารักฉิบ กลัวจะถูกฉันจับกินหรือไง”
ฮะ? ยังไงนะ คนสวย? ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที โดยตั้งใจว่าจะลืมชื่อเรียกชวนขนลุกที่ได้ยินมาเมื่อครู่ให้หมด ให้เขาเรียกผมว่าไอ้ห่านี่ไอ้ห่านั่นเหมือนที่เรียกยุนจุนซอกยังจะดีซะกว่า
“คิดอะไรอยู่น่ะ”
“ผมไม่ได้คิดอะไรครับ”
“โกหก”
“จริงๆ นะครับ”
“บอกฉันมาซะดีๆ ฉันถามว่านายคิดอะไรอยู่”
“ไม่บอกครับ”
“ทำไมอ่า”
เขาพูดเสียงยานคางทำเป็นงอแง ก่อนจะผงกหัวขึ้นพลางยิ้มแฉ่งอย่างไม่เข้ากับหน้าตาตัวเอง
ผมชักสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วสิ
“อย่าบอกนะ…นี่นายคิดเรื่องนี้สินะ”
รุ่นพี่เอามือข้างหนึ่งขึ้นมาทำเป็นรูปวงกลมเหมือนสัญลักษณ์โอเค ก่อนจะใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางของอีกมือสอดเข้าไปในรูนั้นแล้วหดนิ้วรัดสองนิ้วนั้นเบาๆ ด้วยมือที่เป็นรูปวงกลม มันเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ว่าใครก็รู้โดยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม
ผมพลันนิ่วหน้าโดยอัตโนมัติ ไอ้ที่ใช้ตั้งสองนิ้วนั่นหมายความว่ายังไง มั่นใจในขนาดของตัวเองมากเลยว่างั้น? ผมเกลียดตัวเองที่รู้ทันเรื่องแบบนี้จนอยากจะเปิดน้ำจากฝักบัวที่แขวนอยู่ตรงผนังมาล้างหูล้างตาตัวเองมันซะเดี๋ยวนั้น
“รุ่นพี่ยังสติดีอยู่ไหมครับ”
“ฮ่าๆๆๆ”
ผมหลุดสบถออกมาอย่างลืมตัว ทำเอาเขาทนไม่ไหวระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนจะอ้าแขนสองข้างให้ผมด้วยใบหน้าผ่อนคลาย แสงสีขาวลอดเข้ามาจากด้านนอกห้องอาบน้ำพาดทับลงบนใบหน้าของเขา
“โฮฮยอน ขอแค่ครั้งเดียว กอดฉันสักครั้งสิ”
แปลก…สถานการณ์นี้ดูมีลับลมคมในแปลกๆ เขารู้จักผมตั้งแต่เมื่อไหร่กันถึงได้ทำอะไรแบบนี้ ผมรู้สึกขนลุกวาบตั้งแต่ปลายนิ้วมือยันปลายนิ้วเท้า รู้สึกขัดแย้งเกินไปจนทนไม่ไหว มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับเวลาดูหนังที่ใส่ซับไปคนละทางกับเนื้อเรื่อง หรือเวลาที่ถือแผนที่กลับหัวระหว่างมองหาเส้นทางยังไงยังงั้น
ผมอยากถามเขาว่าทำไมถึงทำอะไรแบบนี้กับผม ผมไม่รู้จักรุ่นพี่ด้วยซ้ำ รุ่นพี่เห็นใครซ้อนทับอยู่บนหน้าผมหรือไง แต่ผมก็คงถามแบบนั้นออกไปไม่ได้อยู่แล้ว และแล้วความรู้สึกบางอย่างที่สับสนวุ่นวายอยู่ในหัวขณะนั้นก็พังครืนลงมา
นั่นสินะ ในสถานการณ์ที่ชีวิตกำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและเห็นเลือดสาดกระจายเป็นว่าเล่น กับอีแค่การกอดครั้งเดียวมันจะไปยากเย็นอะไร ขนาดถ้อยคำสั่งเสียสุดท้ายของคนตายผู้คนยังรับฟังเลย นับประสาอะไรกับแค่คำขอของคนเป็น ทีแรกผมก็สองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็อ้าแขนออกอย่างเงอะงะ เขาโอบแผ่นหลังของผมเข้าหาตัวราวกับรออ้อมกอดนี้อยู่ก่อนแล้ว และแล้วแผ่นอกที่ทั้งกว้างและแข็งแกร่งก็แนบชิดเข้ากับตัวผม ผู้ชายตัวโตสองคนนั่งบนพื้นห้องอาบน้ำรวมแล้วสวมกอดกัน ถ้าใครมาเห็นเข้าคงได้ขำแน่ๆ
“หัวใจนายเต้นเร็วจัง”
เขาที่ตั้งหน้าตั้งตากอดพลางเอาแก้มมาถูไถผมจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เสียงของเขาทำให้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นบริเวณที่ร่างกายของเราสัมผัสกัน ผมจั๊กจี้อยู่หน่อยๆ จนเผลอผงะไปโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจและเสียงเต้นของหัวใจเราสองคนส่งเสียงดัง กลิ่นครีมอาบน้ำหอมๆ ที่ดูไม่เข้ากับตัวเขาลอยออกมา
“หัวใจของพวกมันไม่เต้นเพราะพวกมันตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ของนายมันยังเต้นอยู่นะ เพราะนายยังมีชีวิตอยู่ยังไงล่ะ เพราะงั้นวางใจเถอะ”
“…”
“สุขสันต์วันคริสต์มาส ชองโฮฮยอน”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ซุกหน้าเข้าที่ต้นคอของผม สูดลมหายใจเข้าลึกพลางคลอเคลียปลายจมูกบนต้นคอผมราวกับจะดอมดมกลิ่นกายของผม ในขณะที่มือใหญ่และแข็งแกร่งโอบรับแผ่นหลังผมได้อย่างพอดิบพอดี
ทุกอย่างมันแปลกประหลาดจนสุดจะบรรยาย คำถามของผมยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับคำตอบเช่นเดิม ความตึงเครียดที่สุมรวมกันอยู่ก็เช่นกัน แทนที่จะเบาใจที่ถูกกอดอยู่ในอ้อมอกอันแสนอบอุ่น ผมกลับวิตกกังวลยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ไม่อาจผลักเขาออกไปได้ ผมเลยถูกกอดอยู่อย่างนั้นไปอีกพักใหญ่
ความสงบสุขอันแสนสั้นท่ามกลางความอลหม่านจบลงเพียงเท่านั้น ในคืนนั้นหลังจากพลิกตัวไปมาอยู่พักใหญ่ เสียงน่าขนลุกก็ดังลอดเข้ามาในหูของพวกเราที่หลับไปอย่างหมดสภาพ และเสียงที่รบกวนโสตประสาทนั้นก็ได้ปลุกพวกเราให้ตื่นขึ้นมาทีละคนสองคน
ครืดๆ แกรก…
บางอย่างกำลังข่วนตะกุยประตูจากข้างนอกอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนว่าเล็บกับนิ้วมือจะได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า
และเสียงนั้นไม่ได้มีเพียงเสียงเดียว
* กองพลทหารราบอีกีจา เป็นชื่อกองทหารราบที่ 27 ของกองทัพบกเกาหลีใต้ ตั้งอยู่ที่เขตฮวาชอน จังหวัดคังวอน ขึ้นชื่อว่าเป็นกองทหารที่ฝึกหนักมากกองหนึ่ง โดยคำว่า ‘อีกีจา’ ในภาษาเกาหลีแปลว่า ‘มาชนะกันเถอะ (Let’s win)’
* กวางน้ำ เป็นสายพันธุ์กวางขนาดเล็ก มีถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศจีนและเกาหลี ทั้งตัวผู้และตัวเมียไม่มีเขา มีเขี้ยวยาว โดยเสียงร้องของกวางน้ำคล้ายกับเสียงของคนกรีดร้อง เป็นเสียงที่น่าสะพรึงกลัวมาก
* ‘อา’ หรือ ‘ยา’ เป็นคำลงท้ายเวลาเรียกขานชื่อ ใช้สำหรับคนที่สนิทใจกันเท่านั้น ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีการแปลคำนี้ออกมาเป็นภาษาไทย เนื่องจากเป็นคำที่ไม่ได้มีความหมายในตัว เป็นเพียงหน่วยคำที่เติมเข้ามาเพื่อบ่งบอกความสนิทสนมระหว่างผู้พูดและคู่สนทนาเท่านั้น เพียงแต่ในเนื้อหาของต้นฉบับเล่มนี้มีจุดที่จำเป็นต้องถอดความโดยทับศัพท์ออกมาเพื่อความเข้าใจในเนื้อหา บริบททางภาษา และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีหลักการคือหากท้ายชื่อมีตัวสะกดใช้ ‘อา’ หากท้ายชื่อไม่มีตัวสะกดใช้ ‘ยา’
** คำว่า ‘ฮยอน’ ในที่นี้ถูกถอดออกมาจากชื่อ ‘โฮฮยอน’ โดยบางครั้งคนเกาหลีจะดึงพยางค์หนึ่งในชื่อออกมาเรียกขานกันสั้นๆ และใช้เรียกในหมู่คนที่สนิทสนมกันมากๆ เท่านั้น โดยการเรียกแบบนี้จะให้ความรู้สึกถึงการหยอกล้อหรือเป็นกันเอง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.