ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1
ผู้เขียน : 아이제 (Aije)
แปลโดย : 04:00
ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์
การมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 2-1
พังทลาย
“ชองโฮฮยอน ชองโฮฮยอน! เฮ้ย ไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอวะ”
เสียงตะคอกดังมาจากด้านบน ผมที่กำลังนั่งขดตัวเอาหน้าซุกอยู่กับเข่าเงยหน้าขึ้นมาอย่างเบลอๆ
“เอาบุหรี่มา!”
ยุนจุนซอกยืนตะเบ็งเสียงอยู่ตรงหน้าผม เขาเองก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เส้นเลือดฝอยในดวงตาลึกโหลทั้งสองข้างแลดูน่าสยดสยอง
ผ่านไปหนึ่งวันเต็มนับตั้งแต่ได้ยินเสียงข่วนตะกุยประตูจากด้านนอก
ตัวของพวกเราดึงดูดพวกมันเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
ครืดๆ แกรกๆ ปัง
เสียงน่าขนลุกทั้งหมดนั้นดังมาจากข้างนอกประตู บางครั้งก็เป็นเสียงร้องโหยหวนราวกับสัตว์ที่ถูกเชือดคอ ทุกคนรับรู้ได้ถึงเสียงที่คุ้นเคยจากเสียงกรีดร้องอันน่ากลัวนั้น มันคือเสียงของผู้คนที่ครั้งหนึ่งเคยพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
เสียงตะกุยประตูและพยายามกระแทกตัวเข้ามาดังสนั่นกลบความเงียบภายในห้อง ต่อให้จะพยายามเมินเฉยต่อมันแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้เลย ตัวตนของสิ่งที่อยู่ด้านนอกนั่นเริ่มชัดเจนขึ้นทุกวินาที หนึ่งวันผ่านไปโดยที่พวกเราไม่ได้นอนและไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แต่ละคนทรมานกับความเครียดสะสมจนเริ่มใจลอยและขาดสติ ดูจากผมที่ถูกยุนจุนซอกตวาดลั่นใส่แต่ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปก็พอจะรู้ได้
“…”
ทั้งที่ได้ยินคำพูดหยาบคายมากมาย แต่ผมกลับไม่นึกโกรธเลยสักนิด ผมแค่เหนื่อยกับทุกอย่างแล้ว ผมคลำกระเป๋าแล้วล้วงเอาของที่อยู่ในนั้นออกมาราวกับตกอยู่ในภวังค์ ยังไม่ทันจะได้ตรวจดูของที่อยู่ข้างใน ยุนจุนซอกก็ฉวยเอากล่องบุหรี่ไปแล้ว ก่อนที่กล่องบุหรี่เปล่าๆ นั้นจะถูกเขาขยำจนยู่ยี่อย่างง่ายดาย
“หมดแล้วนี่!”
เขาฉุนจัดเลยเขวี้ยงกล่องบุหรี่ในมือทิ้ง ไม่เพียงเท่านั้นยังกระทืบเท้าปังๆ ใส่พื้นอีก เขาเตะกล่องบุหรี่ที่ถูกขยำเละจนไม่เหลือเค้าเดิมกระเด็นออกไปแล้วหันขวับไปทางอื่น ก่อนที่คราวนี้จะเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นพัคกอนอูที่นั่งขดตัวอยู่ตรงมุมห้องแทน
“มองเหี้ยอะไรอีกวะ”
พัคกอนอูอยู่ในสภาพที่ดูไม่จืดซึ่งห่างไกลจากคำว่าปกติอยู่มาก ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ดวงตาหลังเลนส์แว่นขุ่นมัวที่ไม่ได้เช็ดให้สะอาดก็ดูเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
“ถ้านายไม่เปิดประตูแต่แรก ไอ้พวกนั้นมันก็ไม่แห่กันมาหรอก นายล่อพวกนั้นมา เราเลยซวยกันหมดนี่ไง”
“ตะ…แต่…พี่ก็บอกให้ผมเปิดประตูเองนี่”
“ไอ้เด็กเวรนี่ แกจะบอกว่ามันเป็นความผิดฉันหรือไง”
“…”
“ฮะ? ใช่ความผิดฉันหรือเปล่าที่แฟนนายตายห่าแล้วกลายเป็นซอมบี้น่ะ”
“…ไม่ใช่ครับ”
“ก็เออไง แล้วที่นี่มัน…แม่งเอ๊ย ที่นี่มันข้างในหรือข้างนอกกันล่ะ*”
ยุนจุนซอกแผดเสียงดังลั่นวนซ้ำไปเรื่อยๆ ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ต่างก็คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าการแหกปากตะคอกของเขานั้นช่างไร้เหตุผล และแม้แต่เจ้าตัวเองก็คงจะรู้ตัวดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครห้ามปรามเขา เพราะทุกคนเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น
สุดท้ายแล้วยุนจุนซอกที่ควบคุมอารมณ์โกรธไว้ไม่อยู่ก็เหวี่ยงมือออกไปโดยที่ไม่มีใครห้ามทัน
เพียะ!
ร่างผอมบางของพัคกอนอูล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ทั้งที่ถูกตบหัวเข้าอย่างจัง แต่เขาก็ไม่ร้องออกมาสักแอะ
“จะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกันวะ อะไรจะแดกก็ไม่มี เอาแต่กลัวหัวหดแล้วก็ซุกตัวที่มุมห้อง อยากอดตายกันหมดนี่หรือไงวะ”
เขามองไปรอบห้องพร้อมกับส่งเสียงฮึดฮัดและทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา
“เฮ้ย ตอบดิ! ไม่ได้ยินที่พูดหรือไงวะ”
สายตาเลื่อนลอยว่างเปล่าของคนที่กระจายตัวอยู่ตามมุมห้องหันขวับไปหาเขาทีละคน ซึ่งในระหว่างนั้นก็ยังมีบางคนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับตัวเอง รุ่นพี่กำลังยืนพิงผนังเอาหูฟังอุดหูอยู่ เขาล้วงมือสองข้างเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วเหยียดขายาวอย่างผ่อนคลาย
ถึงเครือข่ายจะถูกตัดการเชื่อมต่อ แต่ก็ยังสามารถฟังเพลงที่ดาวน์โหลดเอาไว้ล่วงหน้าได้ ทว่าแม้จะเพิ่มระดับเสียงขนาดไหน เสียงตัวประหลาดที่ร้องครวญครางอยู่ด้านนอกก็คงจะดังทะลุหูฟังเข้าไปอยู่ดี แล้วแบบนี้ยังจะดื่มด่ำกับเสียงเพลงอยู่คนเดียวได้อีกเหรอ คนจิตปกติคงไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นได้แน่นอน
“คียองวอน! ฉันถามว่าไม่ได้ยินฉันหรือไง”
ยุนจุนซอกที่กำลังอารมณ์เดือดพุ่งตรงไปทางที่รุ่นพี่ยืนอยู่ แต่เขาไม่ได้แตะต้องตัวรุ่นพี่เหมือนที่ทำกับพัคกอนอู ดูท่าความทรงจำที่ถูกรุ่นพี่อัดจนเลือดกำเดาไหลจะยังคงชัดเจนอยู่
รุ่นพี่จ้องยุนจุนซอกที่เดินปรี่เข้ามาพลางกระดิกเท้ายืนฟังเพลง ยิ่งระยะทางสั้นลงจนเงาดำพาดทับบนใบหน้า รุ่นพี่ก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่หลบสายตา
“ทำไม มีไร”
“ป่านนี้เพลงคงดังทะลุแก้วหูแกไปแล้วมั้ง”
“ก็แกกับเด็กนั่นชอบตะโกนโหวกเหวกกันนี่หว่า”
รุ่นพี่พูดพลางพยักพเยิดคางไปทางเขา ก่อนจะตามด้วยพัคกอนอู
“ยัยเด็กโน่นก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร”
คราวนี้เขาพูดถึงชเวดาบิน ยุนจุนซอกอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะถามกลับ
“แกน่ะ รู้หรือเปล่าว่าฉันชื่ออะไร”
รุ่นพี่เอียงคอ ก่อนจะตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“แล้วฉันจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอวะ”
“…”
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ยุนจุนซอก แต่ผมเองก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน พอติดอยู่ในพื้นที่เดิมๆ เป็นเวลานานก็คงเบื่อจะฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายแล้ว แต่ถึงขนาดที่ไม่รู้ชื่อกันเนี่ยนะ? ดูจากสีหน้าของรุ่นพี่ที่ฉายแววรำคาญระคนหงุดหงิดนั่นแล้ว ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นคงจะจริงเสียยิ่งกว่าจริง
“เออ แล้วไง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องออกไปหาอาหารมาให้ได้ไม่ใช่หรือไง ต่อให้จะบอกว่าอียูจินกับซออินกยูติดเชื้อไปแล้ว แต่เราก็ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองอดตายอยู่ที่นี่หรอก”
“คราวนี้แกจะออกไปเองว่างั้น?”
ยุนจุนซอกพลันสะอึกพูดไม่ออก เสี้ยววินาทีนั้นความเงียบได้ไหลผ่านไปชั่วขณะ
“พูดบ้าอะไรของแก! ทำไมฉันต้องออกไปด้วยวะ ไม่ใช่ฉันสิ แกนั่นแหละออกไป แกกับชองโฮฮยอน พวกแกสองคนคิดจะเข้ามาหลบในที่ที่พวกฉันเข้ามาอยู่ก่อนฟรีๆ เลยหรือไง เพราะงั้นพวกแกนั่นแหละต้องออกไป”
รุ่นพี่เหยียดยิ้มพลางยกนิ้วกลางให้อย่างไม่ใส่ใจราวกับคำพูดของอีกฝ่ายไม่มีค่าพอที่จะโต้ตอบ ใบหน้าของยุนจุนซอกจึงแดงก่ำขึ้นมาด้วยความโกรธ
“พี่จุนซอกก็พูดถูกอยู่นะคะ ยังไงสักวันเราก็ต้องออกไปข้างนอกอยู่ดี”
เสียงของชเวดาบินแทรกขึ้นกลางวง เธอลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างโงนเงนพร้อมกับใบหน้าที่เปียกปอนไปด้วยคราบน้ำตาและดวงตาที่บวมแดง หลังจากร้องไห้มาทั้งวันจนเริ่มสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว เสียงของเธอเลยดูนิ่งเรียบขึ้น
“ใช่ไหมล่ะ ฉันไม่ได้กินอะไรมาสามวันจนจะตายห่าอยู่แล้ว ได้เติมท้องให้อิ่มด้วยน้ำจากฝักบัวไปแค่ครั้งสองครั้งเอง”
“ฉันเห็นด้วยที่จะต้องออกไปหาอาหารนะคะ ถึงพี่อินกยูกับยูจินจะ…แต่ยังไงเราก็ต้องทำอะไรสักอย่าง จะขังตัวเองแบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะคะ”
“เฮ้ย พัคกอนอู นายว่าไง”
“…”
“เฮอะ คิดหนักอยู่หรือไง”
“ฮะ?…ให้ผมออกไปเหรอครับ จะบอกให้ผมรับมือกับพวกที่อยู่ข้างนอกนั่น…เหรอครับ”
“ก็แหงอยู่แล้วสิ จะให้ทำไงได้ ถ้ากราบตีนขอให้ช่วยแหวกทางแล้วพวกมันจะยอมหลีกทางให้ดีๆ รึไง”
“ถ้างั้นผมไม่ไปครับ ผมไปไม่ได้ ถึงจะพูดยังไงก็เถอะ แต่ยูจินเขา…”
พัคกอนอูที่นั่งกอดเข่าพูดพึมพำโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
“ตั้งสติหน่อย ไอ้เวร แฟนแกมันตายห่าไปแล้วไม่ใช่หรือไง ข้างนอกไม่ใช่อียูจินแต่เป็นซอมบี้ ซอมบี้น่ะ รู้จักไหม ฮะ? ซอมบี้ที่เป็นศัตรูเหมือนสัตว์ประหลาดในเกมน่ะ”
“ฮึกๆ อึก…”
เมื่อได้ยินคำพูดทำร้ายจิตใจของยุนจุนซอก พัคกอนอูก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง เขาร้องคร่ำครวญราวกับเค้นเสียงออกมาจากภายในใจ จนสุดท้ายชเวดาบินที่ทนนิ่งเฉยไม่ไหวก็พูดแทรกขึ้นมา
“สองต่อหนึ่งแล้ว คนอื่นคิดยังไงกันบ้างคะ”
รุ่นพี่ตอบอย่างเย็นชาโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย
“โฮฮยอนว่าไงฉันก็ว่างั้น”
ชเวดาบินหันมามองผมด้วยใบหน้างงงวย ผมเองก็ไปต่อไม่เป็นเช่นกัน รุ่นพี่เขาใส่ใจผมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ผ่านมายังลากผมไปโน่นมานี่แล้วทำเหมือนกับผมเป็นไอ้หน้าโง่ตลอดเวลาอยู่เลยไม่ใช่หรือไง
“ลองถามดูสิ ถ้าโฮฮยอนบอกว่าไม่ไปฉันก็จะไม่ไป แต่ถ้าเขาจะไปฉันก็จะไปด้วย”
“คะ? ที่พูดนั่นหมายความว่ายังไง แล้วความเห็นของตัวรุ่นพี่เองล่ะคะ”
“ไม่รู้ดิ สำหรับฉันแล้วจะยังไงก็ไม่สำคัญหรอก ขอแค่…”
รุ่นพี่พึมพำบางอย่างที่ฟังไม่เข้าใจก่อนจะหันมาสบตาผม สายตาคู่นั้นจริงจังราวกับจะหยั่งลึกเข้ามาในจิตใจของผม และวินาทีต่อมาเจ้าตัวก็เปลี่ยนไปยิ้มอย่างสดใส
“ขอแค่มีชองโฮฮยอนอยู่ด้วยก็พอ”
ผมพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกขัดแย้งแปลกๆ ตอนที่สบตากันสะกิดหัวใจของผมยิกๆ
“ถ้างั้นพี่คิดว่ายังไงคะ”
“ก็ดี ฟังความเห็นของไอ้หมอนี่แล้วก็ตัดสินกันไปเลย จะได้จบๆ กันไป”
สายตาสี่คู่หันมาจ้องมองผมเป็นตาเดียว รุ่นพี่โยนหน้าที่ในการตัดสินใจมาให้ผม ซึ่งการทำแบบนี้ก็ไม่ต่างไปจากการมอบสิทธิ์ในการตัดสินชี้ขาดมาให้ผมโดยปริยายเลย
ห้องอาบน้ำเป็นป้อมปราการที่สมบูรณ์แบบ ประตูเหล็กแน่นหนามีระบบดิจิตอลดอร์ล็อกติดตั้งอยู่ ผนังห้องอาบน้ำเองก็เป็นหินอ่อนล้วนจึงแข็งแรงและทนทานมาก ในห้องยังมีระบบทำความร้อน และพอหมุนก๊อกน้ำก็จะมีน้ำสะอาดไหลออกมาตลอด แม้แต่อ่างล้างหน้ากับผ้าขนหนูก็ถูกเตรียมไว้อย่างครบครัน
แต่สิ่งที่ที่นี่ไม่มีก็คือเสบียงอาหาร ถ้าจะหาอาหารหรือโอกาสหลบหนีที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่านั้นก็มีแต่ต้องออกไปข้างนอกสถานเดียว ต้องถอดใจจากความสบายที่ได้มาอย่างยากลำบากแล้วเปิดประตูบานนั้นออกไปทั้งที่รู้ว่ามีซากศพฟื้นคืนชีพรออยู่ข้างนอกอย่างน้อยสองศพ
ทุกคนมองผมด้วยสีหน้าที่ต่างกันออกไป พัคกอนอูหน้าซีดเผือดด้วยความสะพรึงกลัว ชเวดาบินทำหน้าแน่วแน่เหมือนเตรียมใจพร้อมรับคำตอบเอาไว้แล้ว ทางด้านยุนจุนซอก อีกฝ่ายขมวดคิ้วพลางส่งสายตาเร่งเร้าราวกับเป็นการบอกให้ผมรีบตัดสินใจเร็วๆ ส่วนรุ่นพี่นั้นยังคงหน้าตายโดยที่ผมคาดเดาความคิดของเขาไม่ออกอยู่เหมือนเดิม
ผมเกลียดสถานการณ์แบบนี้ยิ่งกว่าอะไร สถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญท่ามกลางสายตาของทุกคนด้วยความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นภาระอันใหญ่หลวง และไม่ว่าจะเลือกทางไหน หากผลลัพธ์ออกมาดี มันก็จะกลายเป็นว่าดีเพราะพวกเราตัดสินใจร่วมกัน แต่หากผลลัพธ์ออกมาแย่ ผมก็คงต้องรับเละคนเดียวอย่างแน่นอน
เพราะแบบนี้ผมก็เลยอยากใช้ชีวิตแบบปล่อยไปตามยถากรรม คนที่กระตือรือร้นอยากออกไปข้างนอกก็ปล่อยให้ออกไปวิ่งพล่านกัน ส่วนผมก็จะขอสนับสนุนคนพวกนั้นอยู่ข้างหลังอย่างสงบเสงี่ยมแทน
ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง ทำไมผมต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ด้วยนะ ทำไมเรื่องพวกนี้ถึงต้องเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยของผมด้วย ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ผมก็จำต้องวาดยิ้มขึ้นที่ริมฝีปากแล้วพยายามทำหน้าทำตายิ้มแย้มที่ดูเป็นมิตรที่สุดออกไป
“ผมว่าเราน่าจะรออีกหน่อยนะครับ เราไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไง อีกอย่างกอนอูเองก็ต้องการเวลาฟื้นฟูสภาพจิตใจ แต่ถ้ามันไม่ช่วยอะไร ถึงตอนนั้นค่อยมาคิดหาทางกันใหม่นะครับ”
สุดท้ายแล้วคำตอบที่ออกมาก็ฟังดูเป็นกลางอย่างคลุมเครือ
ไฟในห้องอาบน้ำรวมที่กว้างขวางดับสนิทลง แต่ละคนต่างแยกย้ายกันไปนอนตามมุมห้องโดยใช้เสื้อตัวนอกแทนผ้าห่มและพยายามข่มตาหลับ ทว่าผมก็ยังไม่อาจหลับลงได้ในทันที ผมนอนไม่หลับ กระเพาะที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องมาหลายสิบชั่วโมงนั้นปวดแสบไปหมด ร่างกายเองก็อ่อนระโหยโรยแรง ตรงข้ามกับประสาทสัมผัสที่อ่อนไหวและเปราะบางมากขึ้น
ผมเบิกตาโพลงท่ามกลางความมืดพลางจ้องเพดานที่ปิดไฟอย่างเหม่อลอย ก่อนจะมองแสงจันทร์เย็นยะเยือกที่ลอดผ่านเข้ามาทางกระจกหน้าต่างบานเล็ก ชีวิตประจำวันทั้งหมดของผมพังทลายลงในชั่วพริบตา แต่ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ได้ต่างไปจากเมื่อก่อน ผมยังรู้สึกเหมือนว่าทั้งหมดนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งเรื่องที่ติดอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย เรื่องซากศพที่กลายเป็นตัวประหลาดเดินเพ่นพ่านอยู่ด้านนอก และเรื่องที่เราอาจตายได้หากเปิดประตูออกไปแม้เพียงนิดเดียว
ยังไงซะคนที่อยู่ภายนอกก็คงต้องรับรู้ถึงสถานการณ์ที่ผิดปกตินี้แน่ จำนวนนักศึกษาที่เรียนอยู่ที่นี่ก็ร่วมสองหมื่นคนแล้ว ถ้าหากรวมบุคลากรในมหาวิทยาลัยเข้าไปอีกก็คงมีเยอะกว่านั้น ซึ่งการที่ผู้คนจำนวนมหาศาลขาดการติดต่อไปพร้อมกัน ถึงยังไงคนภายนอกก็ต้องรู้ และมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากกองทัพกับตำรวจจะระดมพลแล้วส่งทีมกู้ภัยขนาดใหญ่มาช่วยเหลือในทันที
แต่ทั่วอาณาบริเวณของวิทยาเขตแห่งนี้กลับเงียบกริบ ตรงริมถนนที่เห็นผ่านหน้าต่างอย่าว่าแต่จะมีทีมกู้ภัยปรากฏตัวออกมาเลย ตอนนี้มีเพียงศพคนตายที่ลากร่างเน่าเปื่อยของตัวเองเดินเตร่ไปมาเท่านั้น อย่างน้อยก็นับว่าโชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว เพราะถ้าเป็นฤดูร้อน เนื้อที่เน่าเร็วคงจะส่งกลิ่นเหม็นตีขึ้นจมูกอย่างแน่นอน
ตอนนี้พ่อกับแม่จะกำลังคิดอะไรกันอยู่นะ ทั้งสองจะห่วงลูกชายที่ขาดการติดต่อไปหลายวันหรือเปล่า ในวิทยาเขตอันกว้างขวางแห่งนี้จะมีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่อีกกี่คน แล้วผม…จะรอดไปได้จนถึงเมื่อไหร่ คำถามมากมายไม่รู้จบเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของผม
ผมคิดสะระตะจนผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า และในขณะที่สติกำลังดำดิ่งลงไปอยู่นั้น จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังขึ้นเบาๆ ตามด้วยเสียงคนพูดพึมพำ ผมจึงลืมตาขึ้น หัวผมเบลอไปหมดจากการอดนอนจนต้องขมวดคิ้ว
รอบด้านมืดไปหมดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงพึมพำราวกับพูดกับตัวเองคนเดียวยังดังอยู่เรื่อยๆ ดูท่าคงจะมีคนอื่นที่นอนไม่หลับเหมือนกัน ผมกะพริบตาที่แห้งผากพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ พอดวงตาเริ่มคุ้นชินกับความมืด ผมก็มองเห็นภาพในห้องอาบน้ำแห่งนี้เป็นเงาสลัวๆ
ผมเห็นแผ่นหลังของชเวดาบินที่นอนหนุนแขนตัวเองอยู่ตรงมุมโน้น โดยฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นยุนจุนซอก เขากำลังนอนเหยียดแขนขาโดยใช้เสื้อนวมกันหนาวคลุมท้องต่างผ้าห่ม ไม่มีใครส่งเสียงออกมาเลยสักคน แต่ตำแหน่งที่พัคกอนอูเคยนอนคู้ตัวอยู่ก่อนที่ไฟจะดับลงนั้นกลับเหลือเพียงแค่กองเสื้อที่ยับย่นของเจ้าตัว
ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เลยหยัดกายท่อนบนขึ้นแล้วก็ได้สบตากับรุ่นพี่ที่ตื่นขึ้นมาเหมือนกันกับผม นัยน์ตาสีดำของเขาเป็นประกายวาววับในความมืด
“รุ่นพี่ครับ”
เสียงแหบพร่าพูดออกมาแผ่วเบาราวกับกระซิบ เขาเบนสายตาไปอีกทางแทนคำตอบ ผมจึงมองไปทางเดียวกันกับที่สายตาของเขามุ่งไป และแล้วสายตาที่มองเห็นเป็นภาพสลัวอยู่เมื่อครู่ก็พลันชัดแจ้งขึ้นมาในพริบตา
“ยูจินอา ฉันขอโทษนะ ที่ผ่านมาเธอคงหนาวแล้วก็เหนื่อยมากเลยใช่ไหม”
พัคกอนอูยืนอยู่ไกลออกไป แสงไฟนีออนสลัวรำไรจากโถงทางเดินลอดเข้ามาผ่านช่องประตู เขากำลังยืนแนบหน้าผากกับบานประตูนั้นพลางพูดพึมพำไม่หยุด
“ขอโทษที่ทำเป็นลืมไปว่าฉันเอาตัวรอดอยู่แค่คนเดียว ฉันจะเปิดประตูให้เธอเดี๋ยวนี้แหละ ฉันขอโทษนะ”
ทันทีที่เข้าใจคำพูดของเขา ผมก็ถีบตัวลุกขึ้นแล้วรีบรุดวิ่งออกไปอย่างไม่มีเวลาให้ลังเลเลยสักนิด
“กอนอู อย่านะ พัคกอนอู!”
ผมพุ่งเข้าใส่พัคกอนอูที่กดปุ่มบนเครื่องดิจิตอลดอร์ล็อก แต่แล้วเขาก็ได้เปิดประตูออกกว้างอย่างรวดเร็ว
กริ๊ก
แสงสีขาวสาดเข้ามาจากด้านนอกประตูที่เปิดออกกว้างอย่างเต็มที่ ผมมองไม่เห็นอะไรไปชั่วขณะเพราะแสบตาจากแสงไฟสว่างจ้าที่สาดส่องเข้ามา
“อึก”
“อะไรน่ะ”
ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องก็สว่างวาบขึ้นทันที คนอื่นๆ เริ่มพากันตื่นขึ้นมาทีละคนในสภาพงุนงงด้วยไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผมไม่มีเวลามากพอที่จะมาอธิบายให้พวกเขาฟังเป็นฉากๆ
“อย่ามาทางนี้นะครับ!”
น้ำเสียงที่หนักแน่นและเฉียบขาดดังลั่น ทุกคนที่ไม่เคยเห็นผมแหกปากเสียงดังขนาดนี้สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
หน้าประตูมีร่างร่างหนึ่งหันหลังให้แสงไฟอันเจิดจ้าจนเห็นเป็นเงาทึบสีดำ ร่างนั้นฟุบอยู่กับพื้นในท่าหมอบ ก่อนจะค่อยๆ กระเสือกกระสนลุกขึ้น กระดูกแขนขาของมันลั่นดังด้วยท่าทางขยับร่างกายที่แปลกประหลาด ผมเผ้าที่พันกันยุ่งเหยิงเองก็ค่อยๆ สยายตกลงมา
“ยูจินอา…”
พัคกอนอูเดินเข้าไปหาเงาทะมึนนั้นโดยไม่คิดที่จะป้องกันตัวแต่อย่างใด แสงไฟนีออนสว่างจ้าฉายให้เห็นภาพใบหน้าด้านข้างของเขา เขากำลังยิ้มด้วยใบหน้าที่เปียกปอนไปด้วยน้ำตา
“ฉันขอโทษ…”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของเขา ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ อียูจิน…ไม่สิ ไอ้ตัวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอียูจินก็พุ่งเข้าใส่เขา ตามมาด้วยเสียงฉีกกัดเนื้อหนัง มือที่มีผิวหนังเปื่อยเน่าขย้ำต้นคอของพัคกอนอู เลือดสีแดงฉานของคนเป็นที่ไม่ใช่เลือดเน่าทะลักพุ่งออกมา
ผมยืนตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าภาพเหตุการณ์อันสยดสยอง ของเหลวอุ่นๆ สาดกระเซ็นมาโดนแก้ม แต่สมองของผมก็ไม่ได้ประมวลผลว่าต้องเช็ดมันออกไป
ฉากที่เลือดพุ่งจากคอของพัคกอนอูราวกับน้ำพุก่อนที่เขาจะล้มลงนั้นเคลื่อนไหวเชื่องช้าอย่างไม่อาจอธิบายได้ ราวกับกดเล่นวิดีโอที่เข้ารหัส* ผิดพลาดจนความละเอียดของภาพแตกพร่าไปหมด เลือดสีแดงที่กระเซ็นไปทั่วทุกทิศนั้นดูเกินจริงเสียยิ่งกว่าเกมหรือภาพยนตร์สยองขวัญซะอีก
“กึก…”
พัคกอนอูทรุดตัวลงกับพื้นราวกับหุ่นโชว์ที่ถูกทิ้งขว้าง คางของเขาสั่นกึกๆ พร้อมกับฟองเลือดที่ฟูมเต็มปาก ร่างสีดำขึ้นคร่อมอยู่บนตัวเขา ก่อนที่ผมจะสะดุดตากับเสื้อกั๊กร้านสะดวกซื้อที่ถูกเลือดกับคราบสกปรกย้อมจนเป็นสีดำปี๋
ข้างนอกประตูมีซอมบี้อีกตัวเดินแกว่งแขนขาเข้ามา คราวนี้เป็นร่างของผู้ชาย มันพุ่งเข้าไปกัดกินขาของพัคกอนอูอย่างมูมมาม ทว่ากางเกงยีนนั้นเหนียวมากจนฟันงับไม่ค่อยเข้า มันจึงพยายามใช้มือที่เล็บหลุดออกไปหมดแล้วข่วนตะกุยหน้าแข้งและใช้ฟันหน้ากัดซ้ำลงไปอย่างแรง โดยมีเสียงน่าหวาดเสียวดังลอดออกมาจากไรฟัน
“อ๊ะ”
ผมผงะถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวแล่นปราดไปทั่วตั้งแต่หัวไล่ลงมาตามเส้นเลือด ร่างกายเองก็พลันเย็นเฉียบขึ้นมาทันที
“บ้าเอ๊ย พัคกอนอู เฮ้ย ไอ้เด็กเวรเอ๊ย”
ปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ก็ไม่แตกต่างกันนัก ยุนจุนซอกล้มลงไปกองกับพื้น ส่วนชเวดาบินกรีดร้องลั่นเสียงหลง
“กรี๊ดดด!”
และนั่นก็ทำให้พวกตัวที่ซุกหัวอยู่กับร่างของพัคกอนอูและกำลังฉีกกินเนื้อจนขอบปากอาบไปด้วยสีแดงฉานเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาที่เน่าเฟะสองคู่หันมาทางผม หัวใจของผมเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัวเพราะสัมผัสได้ถึงหายนะรางๆ
“หนี…”
หนีไปซะ…ผมตั้งใจว่าจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ทันใดนั้นร่างของอียูจินก็กระโจนเข้าใส่ชเวดาบินที่กำลังยกมือขึ้นปิดปากและยืนตัวสั่นอยู่โดยที่ผมยังไม่ทันพูดจบประโยคดีเลยด้วยซ้ำ ผมคว้าข้อมือเธอแล้วดึงไปหลบข้างหลังตัวเองโดยอัตโนมัติ แขนที่เหวอะจนเห็นกระดูกสีขาวขุ่นโฉบผ่านอากาศเข้ามาพลาดไปอย่างฉิวเฉียด อียูจินพยายามยกหัวที่โงนเงนไปมาแล้วพยุงลำคอให้ตั้งตรง น้ำลายหนืดสีเหลืองไหลเยิ้มลงมาถึงใต้คางที่เน่าเฟะ
“ดาบิน ตั้งสติหน่อย!”
“พะ…พี่คะ!”
“นี่มัน…เรื่องเหี้ยอะไรกันวะเนี่ย”
ยุนจุนซอกพูดตะกุกตะกัก รุ่นพี่เลยสวนกลับไปเบาๆ
“ถามได้ ก็พวกเหี้ยนี่มาตั้งโต๊ะแดกอาหารค่ำไง”
ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่เขากลับไม่เครียดเลยสักนิด อย่าว่าแต่จะถูกความกลัวครอบงำเลย ผมรู้สึกว่ารุ่นพี่คนนี้สุขุมเกินกว่าที่คาดเอาไว้มาก ราวกับว่าเขากำลังรอคอยช่วงเวลานี้อยู่ยังไงยังงั้น
คราวนี้อียูจินหันไปหายุนจุนซอกที่ทรุดตัวอยู่บนพื้นอย่างทำอะไรไม่ถูก พอเผชิญหน้ากับตัวประหลาดที่อยู่ในสภาพน่าสยดสยอง เขาก็สติแตกสุดขีดจนควบคุมไม่อยู่
“ว้ากกก!”
งับ!
ยุนจุนซอกเผลอยื่นแขนออกไปกันอียูจินที่กระโจนเข้าใส่ อียูจินจึงกัดเข้าที่เสื้อนวมกันหนาวตัวหนาที่เขาสวมอยู่และตะเกียกตะกายพยายามเคี้ยวแขนเสื้อหนาๆ นั่น ส่วนมือที่ยังว่างของเขาก็ตัดผ่านอากาศอย่างแรง
“แอ้ก!”
“มาดิ! เข้ามาให้หมดเลย ไอ้พวกห่านี่!”
เขาถอดเสื้อนวมกันหนาวที่ถูกอียูจินกัดออกแล้วโยนทิ้งไป เขาคงจะรู้สึกมั่นใจหลังจากที่สามารถป้องกันตัวเองได้สำเร็จไปครั้งหนึ่งเลยตะโกนออกมาอย่างฮึกเหิม และนั่นก็ทำให้ซออินกยูที่กัดแทะขาของพัคกอนอูอยู่ทางด้านหลังเริ่มขยับเข้ามาใกล้
ยุนจุนซอกถูกซอมบี้สองตัวรุมล้อมในทันที ขืนปล่อยไว้แบบนี้เขาจะต้องลงเอยในสภาพเดียวกับพัคกอนอูแน่ๆ ผมเลยคว้าของที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาโดยไม่ทันได้มองว่ามันคืออะไร
“รีบหลีกไปครับ เร็ว!”
ของที่อยู่ในมือผมคือขวดแชมพูขนาดใหญ่ที่วางไว้สำหรับใช้ร่วมกันในห้องอาบน้ำรวม บรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกหนักๆ ลอยไปกระแทกที่ข้างหัวของซออินกยูเข้าอย่างจังก่อนจะร่วงลงมา
“โห แม่งเอ๊ย ถูกล่อซะเกือบตายแน่ะ”
ผมได้ยินเสียงบ่นอุบอิบของยุนจุนซอกไม่ชัด เพราะตอนนี้ซออินกยูกำลังจับจ้องผมอยู่ ดวงตาที่เละจนไม่น่าจะโฟกัสอะไรได้ดูเหมือนจะกำลังมองมาที่ผมอย่างเคียดแค้น ราวกับจะบอกว่า ‘ตอนนั้นนายอยู่ในห้องไม่ใช่เหรอ นายก็ได้ยินเสียงที่ฉันอ้อนวอนขอให้ช่วยชีวิตไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงไม่ช่วยฉัน ฉันต้องตายก็เพราะนาย ถ้าตอนนั้นนายไม่แกล้งทำเป็นเมินฉันล่ะก็…’
“อึก…”
แขนขาของผมพลันอ่อนแรง พอสายตาของอีกฝ่ายหันมามอง ผมรู้ดีว่าตัวเองต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแต่ก็คิดไม่ออก เพราะตอนนี้ผมมืดแปดด้านไปหมด สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกจากหนังหรือสัตว์ประหลาดในเกม และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่น่าสยดสยองเกินไปจนรู้สึกราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
ซออินกยูเดินเซเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และวินาทีที่อยู่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือถึงกันได้นั้น รุ่นพี่ก็โผล่พรวดเข้ามาเตะใส่อีกฝ่ายอย่างแรง ร่างกายท่อนบนพลันงอพับล้มลงไปในแข้งเดียว ก่อนจะซ้ำด้วยการยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไปบนท้ายทอย ที่เขาทำแบบนี้ได้ก็น่าจะเพราะไม่เห็นความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ในตัวของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“ปล่อยให้คลาดสายตาแป๊บเดียวก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยนะ”
เขาถือขวานในมือข้างหนึ่งโดยไม่รู้ว่าไปหยิบมาตั้งแต่ตอนไหน ทั้งที่ซออินกยูร้องโหยหวนและกระเสือกกระสนดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ใต้เท้าของเขา แต่เขากลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้สักนิด
“คุณรุ่นน้อง อย่าว่อกแว่กสิ ก็เคยบอกไปแล้วว่าให้ตัวติดกันไว้ไงครับ หรือหูมีปัญหาเลยพูดครั้งเดียวไม่รู้เรื่อง?”
“…”
“คุณรุ่นน้องนี่ดีจังเลยนะ ใช้ชีวิตโคตรชิลเลย”
ทันใดนั้นซออินกยูก็สะบัดขาของเขาออกแล้วลุกขึ้น รุ่นพี่ถอยพรวดไปข้างหลังโดยไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่คมขวานนั้นจะแหวกผ่าอากาศลงมา ขากรรไกรของซออินกยูที่อ้าออกกว้างถูกฟันขาดในครั้งเดียว ขากรรไกรบนและล่างแยกออกจากกันจนเห็นเพดานปากและลิ้นที่ห้อยต่องแต่ง
“อ๊าก!”
ยุนจุนซอกที่อยู่ข้างๆ ตกใจกลัวจนต้องกระโดดหลบ ก่อนที่เลือดเน่าสีดำจะกระเซ็นไปโดนเสื้อนวมกันหนาวที่เขาโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี
“ตอนจัดการกับไอ้พวกเวรนี่…”
รุ่นพี่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาเหยียบแผ่นอกของซออินกยูที่ล้มคว่ำกับพื้นแล้วเงื้อขวานขึ้นอีกรอบ
“เผาทิ้งให้เหลือแต่ขี้เถ้าเลยซะดีไหม”
ปัก!
“หรือจะเด็ดหัวแยกจากตัวดี?”
ปัก!
“ทำแบบนั้นมันจะได้ขยับไปไหนไม่ได้อีก”
ชิ้นเนื้อที่ถูกสับจนแหลกเละกระเด็นไปทั่ว ผมไม่กล้ามองภาพตรงหน้าเลยได้แต่ข่มความรู้สึกพะอืดพะอมเอาไว้ขณะเบนสายตาไปทางอื่น ทางด้านชเวดาบินเองก็กำลังเผชิญหน้ากับอียูจินตรงม้านั่งที่ตั้งอยู่กลางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอไม่กล้าตอบโต้กลับไปโดยเอาแต่วิ่งหลบท่าเดียว
“กรรร!”
อียูจินร้องคำรามเสียงน่ากลัว กล้ามเนื้อคอของเธอถูกฉีกกินไปเกินกว่าครึ่งจึงไม่สามารถพยุงลำคอให้ตั้งตรงได้ คอของเธอเลยหักพับลงมา ผมเคยเห็นสภาพนั้นหนหนึ่งที่ร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่ใช่กับชเวดาบิน
“ฮึก…อ๊ะ…”
เธอตื่นกลัวจนแข้งขาอ่อนแรงกระทั่งล้มพับลงไป แผ่นหลังของเธอชนเข้ากับตู้ล็อกเกอร์ที่อยู่ด้านหลังจนเกิดเสียงดังก้อง ฉับพลันอียูจินก็พุ่งเข้าใส่ราวกับรอคอยจังหวะนั้นอยู่ แต่ก็พุ่งไปไม่ถึงตัวชเวดาบินเพราะผมผลักม้านั่งที่อยู่ตรงหน้าใส่อย่างร้อนรน
ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นดีเกินคาด เพราะถึงแม้ว่าอียูจินจะกลายร่างเป็นตัวประหลาดอัปลักษณ์ แต่โดยพื้นฐานแล้วเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงที่มีโครงร่างเล็กและผอมบาง พอถูกม้านั่งหนักๆ กระแทกเข้าที่เอวกับต้นขาอย่างจังเลยเซไปเป็นธรรมดา ผมใช้โอกาสนั้นยกด้านหนึ่งของม้านั่งขึ้น โดยหมายมั่นว่าจะยกไปทับร่างของเธอเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวของเธอไว้ แต่ม้านั่งที่เป็นโลหะกลับไม่ขยับเขยื้อนดั่งใจคิด
“พี่จุนซอก ช่วยด้วยครับ!”
“เอ่อ…”
“เฮือก อึก เร็วสิครับ!”
ยุนจุนซอกทรุดตัวล้มลงด้วยความที่สติหลุดลอยมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขาพรูลมหายใจออกมาอย่างรุนแรงพร้อมกับนัยน์ตามืดหม่นที่เอาแต่จ้องมองผมนิ่ง ดูเหมือนผมจะคาดหวังความช่วยเหลือจากเขาไม่ได้
“ฮึบ!”
ผมเค้นพลังสุดแรงเกิด ในขณะที่อียูจินตั้งท่าจะเหวี่ยงแขนมาคว้าตัวผม แต่แล้วผมก็สามารถพลิกม้านั่งไปทับร่างของเธอเอาไว้ได้ทัน
“กรรร กรอด!”
อียูจินพยายามตะเกียกตะกายอย่างบ้าคลั่งโดยที่ยังนอนแผ่อยู่ใต้ม้านั่งตัวยาว ดวงตาที่กลัดหนองและเส้นเลือดฝอยแตกจ้องมองผมเขม็งพร้อมกับส่งเสียงหวีดแหลมแสบแก้วหู มันเป็นภาพที่ทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ
“เล่นเอาซะติดแหง็กเลยนี่ อยากให้ฉันช่วยเด็ดกบาลมันให้ไหมล่ะ”
จู่ๆ รุ่นพี่ก็โผล่พรวดมายืนอยู่ข้างๆ ผม ดูท่าคงจัดการทางฝั่งซออินกยูเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เก่งดีนี่”
เขาเตะเสยคางของอียูจินราวกับเตะลูกฟุตบอล
ปั้ก!
หัวของเธอหันพร้อมกับเสียงข้อต่อกระดูกที่บิดอย่างแรง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่คอของเธอยังไม่หัก
“ถือว่าอึดใช้ได้”
เขาถอนหายใจสั้นๆ ก่อนจะเงื้อขวานขึ้น จากนั้นก็สับคอของอียูจินที่กำลังดิ้นพล่านขัดขืนอย่างไม่ลังเล เดิมทีกล้ามเนื้อคอก็ได้รับความเสียหายเกินกว่าครึ่งอยู่แล้ว ส่วนหัวเลยขาดกระเด็นแล้วกลิ้งไปในทันที ก่อนที่ร่างของเธอจะไม่กระดิกอีกต่อไป กลายเป็นร่างหัวขาดนอนปวกเปียกอยู่ใต้ม้านั่ง
“ยะ…ยูจินอา…”
ชเวดาบินที่เห็นฉากอันน่าสลดตั้งแต่ต้นจนจบทรุดตัวลงพิงล็อกเกอร์ด้วยร่างกายที่สั่นเทาอย่างหมดสภาพ สายตาของเธอเลื่อนลอยไร้จุดโฟกัส ทันใดนั้นผมก็หันไปเห็นพัคกอนอูที่กำลังจะจู่โจมใส่รุ่นพี่จากทางด้านหลัง เขาเดินกะโผลกกะเผลกในสภาพที่คอกับแขนขาอาบไปด้วยเลือด
“รุ่นพี่!”
ผมเอื้อมมือไปดึงตัวเขาเข้ามาโดยอัตโนมัติในจังหวะเดียวกับที่พัคกอนอูถลาเข้ามา ผลปรากฏว่ารุ่นพี่รอดไปได้อย่างฉิวเฉียด ในขณะที่ร่างกายท่อนบนของพัคกอนอูกระแทกเข้ากับประตูล็อกเกอร์อย่างจัง รุ่นพี่ตั้งหลักได้อย่างรวดเร็วก่อนจะส่งสัญญาณให้ผม
“เปิดล็อกเกอร์”
“ตู้ไหนครับ”
“ข้างหลังฉัน!”
ผมงุนงงทำอะไรไม่ถูกกับคำสั่งนั้น แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ฉุกละหุกจนไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีกต่อไป ผมเปิดตู้ล็อกเกอร์ที่มือเอื้อมถึงอย่างมั่วๆ พัคกอนอูกลับมายืนตัวตรงอีกครั้งพร้อมกับส่งเสียงคำรามในลำคอฟังดูน่าขนลุก ก่อนจะมุ่งตรงไปที่รุ่นพี่อีกครั้งหนึ่ง
ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป เพราะหัวของเขาทิ่มพรวดเข้าไปติดในล็อกเกอร์ที่เปิดรออยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่หลงเหลือแม้แต่สติปัญญาที่จะแยกแยะว่ามีสิ่งใดกีดขวางอยู่ข้างหน้าหรือเปล่า
“กรรร!”
พัคกอนอูตะเกียกตะกาย เขาดิ้นพล่านอย่างบ้าคลั่งก่อนจะผงกหัวออกมา ผมจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปแล้วผลักหัวเขาอัดกลับเข้าไปอีกครั้ง และตอนนั้นผมก็เพิ่งมาตระหนักได้ทีหลังว่าเผลอทำอะไรลงไป พัคกอนอูเพิ่งตายได้ไม่นาน ฝ่ามือผมเลยสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆ จากศพของเขาอย่างชัดเจน
“เฮือก”
มือของผมพลันสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะอาเจียนออกมา
“เป็นอะไรไป คุณรุ่นน้อง ทำไมถึงได้เชื่อฟังคำสั่งขนาดนี้ล่ะ หืม? วันนี้วันเกิดฉันหรือไง”
รุ่นพี่ยิ้มกริ่มขณะเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นก็เงื้อขวานเปื้อนเลือดขึ้นแล้วฟันเข้าที่ร่างของพัคกอนอูซึ่งไม่อาจขัดขืนได้จนอีกฝ่ายแน่นิ่งไป
และแล้วการต่อสู้อย่างดุเดือดในค่ำคืนนี้ก็ได้จบลง
* ประโยคดังกล่าวนี้เป็นมุกที่ทหารรุ่นพี่มักใช้กับทหารรุ่นน้องในค่ายทหาร โดยหลักการคือการถามว่า ‘ที่นี่คือข้างนอกหรือข้างใน’ ซึ่งหากคนตอบตอบว่า ‘ข้างในครับ’ (안이에요 อ่านว่าอัน-อี-เอ-โย) ก็จะไปพ้องเสียงกับคำว่า ‘ไม่ครับ’ (아니예요 ออกเสียงว่าอา-นี-เย-โย) มันจึงเป็นอุบายบังคับให้ผู้ตอบตอบว่า ‘ไม่’ ออกมา ซึ่งตามปกติแล้วหากคนตอบตอบว่าข้างในที่สื่อถึงคำว่าไม่ คนถามก็จะถามวนซ้ำไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนตอบได้ตอกย้ำตัวเองไปเรื่อยๆ โดยการถามตอบนี้จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อคนตอบยอมเอ่ยคำขอโทษ หรือจนกว่าผู้ถามจะพอใจ
* การเข้ารหัส (Encoding) คือกระบวนการที่ผู้ให้ข้อมูลทำการแปลงสารสนเทศให้กลายเป็นข้อมูลที่จะถูกส่งไปยังผู้รับ เช่น ระบบประมวลผลข้อมูล
Chapter 2-2
แสงไฟนีออนจากโถงทางเดินสาดส่องเข้ามาผ่านบานประตูที่เปิดออกจนภายในห้องนั้นสว่างขึ้นอย่างสลัวๆ ทว่าแสงไฟรางๆ นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมเห็นสภาพภายในห้องที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยกองเลือด ภายในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เละเทะไปหมดมีศพสามศพนอนแน่นิ่งอยู่ตามมุมต่างๆ ในสภาพน่าสยดสยอง
ชเวดาบินยังคงไม่ปล่อยมือที่ตะครุบปิดปากของตัวเองเอาไว้ เธอนั่งตัวสั่นงันงกพลางก้มหน้างุดพิงล็อกเกอร์อยู่ เสียงร้องสะอึกสะอื้นดังลอดออกมาจากฝ่ามือ
“อุบ แหวะ!”
เสียงคลื่นเหียนดังมาจากมุมหนึ่งไกลๆ ซึ่งมันเป็นเสียงของยุนจุนซอก
ผมกวาดตามองไปทั่วห้องที่ถูกละเลงไปด้วยสีแดงฉานอย่างเหม่อลอย รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก แต่ขณะเดียวกันร่างกายก็รู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงไปหมด
“อา…”
เข่าของผมทรุดฮวบลง ภาพตรงหน้าติดๆ ดับๆ พร้อมกับเสียงอื้ออึงที่ดังก้องอยู่ข้างหู ร่างกายซวนเซพานจะล้มคว่ำจนผมต้องยันมือกับพื้นอย่างหมดท่า ผมสัมผัสได้ถึงความอุ่นและเหนอะหนะของเลือดที่อยู่ใต้ฝ่ามือ ก่อนจะรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังพรูลมหายใจสั่นๆ ออกมาอย่างสะอิดสะเอียน
“ไอ้นี่แม่งใช้การไม่ได้แล้วแฮะ”
รุ่นพี่พึมพำด้วยสีหน้าเฉยชา ขวานที่เขาถืออยู่ในมือเปื้อนเลือดกับเศษเนื้อจนเละไปหมด
“ก็จับถนัดมือดีอยู่หรอก แต่คมขวานมันทื่อไวไปหน่อย”
เขาโยนขวานที่ใช้การไม่ได้แล้วทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ขวานนั้นกระเด็นไปตกข้างๆ ศพของพัคกอนอูที่ล้มฟุบอยู่ในท่าที่แขนขาบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด
“…”
ผมขนลุกกับการกระทำที่ดูไม่สะทกสะท้านกับอะไรเลยของเขา รุ่นพี่น่ากลัวกว่าพวกซากศพคนตายที่โผล่ออกมาในหนังเกรดต่ำกระจอกๆ พวกนั้นซะอีก
ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นคน แม้ว่าจะติดเชื้อไวรัสปริศนาจนกลายร่างอย่างพิสดาร แต่ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยเป็นคน และหนึ่งในพวกนั้นก็เป็นคนที่เคยหายใจ พูดคุย และนอนในพื้นที่เดียวกันจนกระทั่งไม่นานมานี้เอง
และทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่รุ่นพี่กลับฟันคอและแขนขาของพวกเขาเป็นท่อนๆ โดยปราศจากความลังเลได้ยังไงกัน เขาเหมือนกับฆาตกรโหดที่เข่นฆ่าคนเพราะเบื่อหน่าย คนปกติหรือนักศึกษาทั่วไปที่มีประสบการณ์ฆ่าคนจากแค่ในเกมคงไม่มีทางทำแบบนั้นได้ลงคอหรอก
ผมหลับตาลงแน่นพลางขบกรามที่กำลังสั่นกระทบกัน ตอนนี้ผมต้องตั้งสติ ก่อนอื่นเลยต้องลุกขึ้นมาจัดการกับคนรอบตัว ต้องทำให้ชเวดาบินกับยุนจุนซอกสงบลงก่อน จากนั้นค่อยหารือกันเกี่ยวกับแผนการ แล้วต่อไปก็…
ไม่สิ…ผมทำแบบนั้นไม่ได้ มาทำเอาตอนนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร ผมแค่อยากถอดใจยอมแพ้ไปเฉยๆ ถ้าได้นั่งสติหลุดลอยไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มีใครสักคนเสนอแผนการอะไรขึ้นมาเองนั่นแหละ
อีกใจหนึ่งผมคิดแบบนั้น เพราะถึงแม้จะดิ้นรนทำอะไรไปมาก แต่ปลายทางก็คงมีแต่ความสิ้นหวังอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นแล้วผมจำเป็นต้องดิ้นรนมุ่งร้ายใส่คนอื่นเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยหรือไง ต่อให้พยายามแค่ไหน สุดท้ายก็คงมีสภาพไม่ต่างจากซากศพพวกนั้นอยู่ดี
“คุณรุ่นน้อง”
เสียงของเขาราบเรียบไร้ซึ่งความสั่นเครือ เมื่อผมลืมตาขึ้นก็เห็นรุ่นพี่กำลังก้มมองลงมานิ่งๆ
“เนื้อตัวเปื้อนเลือดหมดแล้ว ไปอาบน้ำไป”
เขายื่นมือออกมา มันคือมือข้างที่ใช้เขวี้ยงขวานที่เหนียวเหนอะราวกับเพิ่งเอาขึ้นมาจากบ่อเลือด ผมยกมือขึ้นอย่างว่าง่าย ก่อนจะพบว่าสภาพตัวเองในตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเขาเลย ฝ่ามือและนิ้วมือของผมเป็นสีแดงฉานเพราะเพิ่งเอามือยันพื้นที่เจิ่งไปด้วยกองเลือดเมื่อครู่
“อุบ…!”
ผมรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ก่อนจะโก่งคอทำท่าคลื่นไส้พะอืดพะอม แต่เป็นเพราะไม่มีอาหารตกถึงท้องมานานเลยไม่ได้ขย้อนอะไรออกมา หลังจากนั้นพักใหญ่ผมก็ค่อยๆ ยันเข่าที่สั่นเทากับพื้นแล้วลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล รุ่นพี่ยืนรอผมอยู่เงียบๆ สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้เอื้อมมือไปจับมือของเขา
ฝักบัวนับสิบแขวนเรียงกันอยู่ในห้องอาบน้ำที่มืดมิดเพราะไม่ได้เปิดไฟ ผมสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่อวลอยู่ภายในพร้อมกับกลิ่นคลอรีนของน้ำประปา ทั่วทั้งห้องอาบน้ำราวกับเป็นท่อที่เจาะเป็นรูๆ ไว้ให้น้ำไหลออกมา ผมแบกร่างตัวเองเดินเข้าไปด้านในอย่างอิดโรย
ผมหยุดยืนอยู่หน้าฝักบัวแล้วเปิดวาล์วน้ำด้วยความเคยชิน
ซ่า…
น้ำเย็นไหลลงมาบนหัว ผมยืนเหม่อลอยรับน้ำอยู่อย่างนั้นโดยไม่หลบเลี่ยงอะไร กระทั่งสายน้ำนั้นไหลลงมาตามเรือนผมจนค่อยๆ บดบังทัศนวิสัยตรงหน้าไปทีละนิด
“ใจลอยไปถึงไหนกัน จะอาบน้ำก็ถอดเสื้อผ้าออกก่อนสิ”
ข้อมือของผมถูกคว้าหมับ รุ่นพี่ดึงผมให้หันกลับไปโดนไม่สนใจสายน้ำที่สาดกระเซ็นลงมา ใบหน้าของเขาขาวตัดกับพื้นหลังของห้องอาบน้ำที่มืดสนิท เขายื่นมือมาดึงปกคอเสื้อเชิ้ตที่ผมสวมอยู่ ก่อนที่กระดุมเม็ดบนสุดจะถูกปลดออก
มือนั้นคือมือเดียวกันกับมือที่ตัดหัวคนไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ และเลือดของคนที่ตายไปเมื่อครู่ก็กระเด็นมาโดนเสื้อที่ผมสวมอยู่ พอคิดแบบนั้นขึ้นมาผมก็รู้สึกราวกับว่ากลิ่นเลือดคาวคลุ้งได้แทรกซึมเข้าไปทั่วระบบทางเดินหายใจของผม
“หยุดนะ!”
ผมตะโกนเสียงเฉียบขาดออกมา ร่างกายของผมสั่นเทาไปหมด ทว่ามันไม่ได้สั่นเพียงเพราะเปียกน้ำ
“หยุด…หยุดทีเถอะครับ”
“ชองโฮฮยอน”
“ปล่อยผม!”
ผมผลักรุ่นพี่ออกไป ทั้งที่แผ่นอกถูกผลักอย่างแรง แต่เขากลับไม่สะเทือนเลยแม้แต่น้อย เขาจ้องมองผมผ่านความมืดอันอับชื้นและเย็นยะเยือกพลางถามขึ้นเสียงเรียบ
“นายเกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”
หยาดน้ำหยดลงบนผมด้านหน้าทำให้ผมมองเห็นเขาได้ไม่ชัด ผมเสยผมที่เปียกโชกขึ้นไปอย่างหงุดหงิด ก่อนจะซ่อนมือที่สั่นเทาไว้หลังศีรษะพลางสูดหายใจเข้าอย่างแรง
“จะเกลียดหรือไม่เกลียดไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ แต่นั่นคนตายทั้งคนเลยนะครับ พี่ทำลงไปได้ยังไง!”
“นี่นายยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกหรือไง พวกนั้นไม่ใช่คน ต้องให้ฉันบอกอีกกี่ครั้งนายถึงจะเข้าใจ เลิกทำตัวขี้แยแล้วก็ตั้งสติได้แล้ว เข้าใจไหม”
“การตั้งสติที่รุ่นพี่ว่านี่มันหมายถึงการฆ่าคนที่ขวางหูขวางตาตัวเองอย่างนั้นสินะครับ หมายถึงการใช้คนอื่นเป็นเหยื่อล่อเพื่อเอาตัวรอดแบบนั้นใช่ไหมครับ ถ้าผมต้องรอดด้วยวิธีการแบบนั้น ผมขอ…”
“พูดมาสิ ผมขออะไร”
“…”
“คุณรุ่นน้อง นายนี่มีพรสวรรค์ในการทำให้คนอื่นดูเป็นไอ้งั่งซะจริงๆ เลยนะ”
“…”
“ลองพูดเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นอีกสักครั้งดูสิ รู้เอาไว้เลยนะว่าฉันจะฆ่านายด้วยมือของฉันเอง”
รุ่นพี่กระชากคอเสื้อผมจนได้ยินเสียงสวบสาบมาจากปกเสื้อ ผมที่ทนไม่ไหวจึงยกแขนขึ้นสะบัดมือเขาออก
“ดูสภาพนายตอนนี้สิ”
เขายิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนที่ปลายลิ้นของเขาจะลอบเลียริมฝีปากล่างของตัวเองช้าๆ วินาทีถัดมาเขาก็จับข้อมือผมด้วยแรงที่ทำให้ผมเจ็บจนน้ำตารื้น ผมถูกผลักติดกำแพงในท่าที่แขนถูกจับรวบขึ้นไปไว้ด้านบน วาล์วของฝักบัวกระแทกเข้ากับแผ่นหลัง ทำเอาผมร้องออกมาด้วยความเจ็บทันที
“อึก!”
สายน้ำที่หยุดไปครู่หนึ่งเริ่มไหลบ่าลงมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่ผมที่เปียก ไม่นานรุ่นพี่เองก็เนื้อตัวเปียกโชกไม่ต่างกัน
“นี่ นายเกลียดฉันเข้าไส้เลยสินะ”
เขาทำให้ระยะห่างระหว่างเราแคบลงโดยการยื่นใบหน้าเรียบนิ่งนั้นเข้ามา แข้งขาของเราเกี่ยวกัน รวมถึงแผ่นอกของเราเองก็แนบชิดกันจนผมหายใจไม่ออก
“สีหน้าของนายมันบอกชัดเจนมากอยู่แล้วว่าเกลียดฉันจนแทบคลั่ง แต่ก็ไม่เห็นจะพูดคำว่าเกลียดออกมาสักแอะเลยแฮะ ถึงนายจะตีหน้าซื่อยิ้มให้ฉันอยู่ตลอด แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่านายฝืนยิ้มเพื่อเอาใจฉัน”
เขาเค้นเสียงลอดไรฟันออกมา เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความเดือดดาล ระหว่างนั้นเลือดที่เปื้อนอยู่เต็มตัวเราก็ค่อยๆ ถูกสายน้ำอุ่นชะล้างออกไปทีละนิด
“แค่อยากเอาตัวรอดไปให้ได้อย่างปลอดภัย ไม่ชอบเรื่องน่ารำคาญ แล้วก็ไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาใคร นายแม่งก็เป็นแบบนั้นมาตลอดทุกครั้งเลยนี่ ทั้งที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วยังทำตัวสูงส่งห่วงศีลธรรมห่าเหวอะไรนั่นอยู่อีก”
ในบรรดาคำพูดของรุ่นพี่นั้นมักจะมีแต่คำพูดที่ผมไม่อาจเข้าใจได้อยู่เสมอ แต่คราวนี้มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผมรู้สึกเจ็บราวกับถูกแทงเข้าที่ซอกหนึ่งของหัวใจ เพราะสิ่งที่เขาพูดมานั้นถูกต้องทุกคำ
จนถึงตอนนี้ผมก็คิดเพียงแค่ว่าต้องการที่จะมีชีวิตรอดและไม่ต้องออกหน้าโดดเด่นอะไรกับใครเขา ผมรู้สึกกดดันกับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญจึงปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลยไป ผมตำหนิรุ่นพี่ว่าฆ่าคนตายทั้งคนแล้วยังนิ่งเฉยขนาดนั้นได้ยังไง แต่พอถึงคราวคับขันจวนตัวจริงๆ ผมกลับเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังเขาอย่างสบายใจ อย่างตอนที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องของหอพัก ผมก็ดึงดันที่จะออกไปช่วยคนที่ตะโกนขอความช่วยเหลือข้างนอกนั่น แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องพึ่งพารุ่นพี่อยู่ดี
ที่เขาพูดมันก็ถูกต้องแล้วล่ะ…อย่างน้อยผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปถามเขาว่าทำไมถึงได้ทำตัวโหดร้ายแบบนั้น
“เลิกเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีสักทีเถอะ อยากเป็นคนดีจนนาทีสุดท้ายของชีวิตเลยหรือไง ต่อให้ตัวเองกำลังจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ยนะ? รู้ตัวไหมว่านายทำให้ฉันต้อง…”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะกระซิบด้วยเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อย
“รู้อะไรไหม ชองโฮฮยอน นายแม่ง…โคตรใจร้ายเลยว่ะ”
ผมพยายามบิดแขนออกจากมือของเขา แต่เขากลับกำมันแน่นขึ้นราวกับเป็นการตอกย้ำว่าผมไม่มีทางหนีเขาได้ แรงมือของเขาดุดันรุนแรงราวกับจะบดขยี้กระดูกของผมให้แตกเป็นเสี่ยงๆ จนผมต้องร้องโอดครวญออกมาเบาๆ
มือที่เคยกำอยู่รอบข้อมือผมค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมาข้างบน เขาสอดนิ้วเข้ามาในช่องว่างระหว่างนิ้วของผมแล้วประสานมือกันอย่างแนบแน่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายน้ำที่ไหลอาบลงมาอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า ผมถึงสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมาจากมือของเขา ทั้งที่ปกติแล้วอุณหภูมิร่างกายของเขาค่อนข้างต่ำ
เราสบตากันในระยะที่ใกล้กันมากจนหยาดน้ำที่ไหลผ่านขนตาของเขาหยดลงบนแก้มของผม น้ำที่ไหลเทลงมาจากฝักบัวหยุดไหลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี ต้นขาของเขาบดเบียดเข้ามาตรงหว่างขาของผม กล้ามเนื้อที่หนั่นแน่นไปทั่วทั้งตัวของเขาทำเอาผมตัวแข็งทื่อด้วยความเกร็ง ก่อนที่ลมหายใจหนักหน่วงของเราจะดังขึ้นท่ามกลางหยาดน้ำที่ไหลหยดลงมา
ความรู้สึกแปลกๆ เริ่มจู่โจมเข้าที่ส่วนล่างของผม ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองเข้าใจผิด คงเป็นเพราะร่างกายที่กำลังแข็งทื่อเลยทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนไป แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น แม้ว่าจะพยายามเมินเฉยยังไงก็ไม่อาจทำได้ ในขณะที่ต้นขาบดเบียดกันแนบแน่น ตัวตนของอีกฝ่ายก็มีเลือดคั่งและแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นความรู้สึกที่หากเป็นผู้ชายก็คงไม่มีทางที่จะไม่รู้จัก
“…”
ผมอึ้งสนิทจนริมฝีปากเผยออ้าออกน้อยๆ ส่วนรุ่นพี่ที่สังเกตเห็นผมทำหน้าเลิ่กลั่กก็ยกยิ้มอย่างย่ามใจ
“รุ่นพี่ครับ”
“มีอะไรเหรอ คนสวย”
อีกแล้ว…เป็นคำเรียกที่ชวนให้ขนลุกซะจริง รุ่นพี่คงไม่ได้กำลังเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนรักของเขาหรอกนะ ไม่สิ…เป็นไปไม่ได้หรอก ในโลกนี้จะมีคนบ้าที่ไหนที่เห็นคนรักแล้วลากขวานวิ่งไล่กันบ้างล่ะ เท่านั้นไม่พอยังด่ากราดใส่คนรักอย่างคล่องปากอีก ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้โดนตบหน้าซ้ายขวาห้าสิบฉาดหรอก
“เดี๋ยวก่อนครับ ช่วยขยับขาออกไปหน่อย”
“ไม่ชอบหรือไง”
ผมควบคุมสีหน้าไม่ได้เลย บรรยากาศชวนหวาดเสียวราวกับระเบิดที่ก่อตัวขึ้นจากความตึงเครียดที่คุกรุ่นเมื่อครู่ตอนนี้กลับกลายเป็นล่อแหลมไปในทางอื่น ผมกะพริบตาปริบๆ อย่างลนลาน หยดน้ำร่วงผ่านขนตาที่เปียกปอนลงมา ผมพยายามถดส่วนล่างที่แนบชิดกันหนีออกมา ทว่าข้างหลังกลับมีผนังกับฝักบัวขวางกั้นอยู่เลยทำแบบนั้นไม่ได้
“รุ่นพี่ครับ ช่วยหลีกทางให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”
ผมถามอย่างสุภาพและอ่อนน้อมที่สุด ทั้งที่รู้ว่าท่าทางแบบนั้นดูขี้ขลาดมาก แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ต่อให้เป็นผู้ชายทั้งแท่งอย่างผมก็คงได้เผลอตอบสนองต่อแรงปลุกเร้าที่คอยกระตุ้นนี้อย่างแน่นอน
“อืม ฉันจะหยุดให้ก็ได้นะ…ถ้านายปลอบฉันด้วยร่างกาย”
“กอดเหมือนครั้งก่อนก็พอใช่ไหมครับ”
“ไม่สิ ไม่เอาแบบนั้น”
“ครับ?”
“เรื่องที่นายจินตนาการตอนนั้นน่ะ คราวนี้ขอทำแบบนั้นหน่อยสิ”
บางสิ่งแวบเข้ามาในหัวของผมอย่างฉับพลัน…นิ้วของรุ่นพี่ที่สอดแทงเข้าไปในนิ้วที่ทำเป็นรูปวงกลม ไม่นะ หยุดคิดเดี๋ยวนี้เลย ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น
“ผมไม่เข้าใจว่ารุ่นพี่หมายถึงอะไร”
“นายรู้ดีอยู่แล้วน่า แบบนี้ไง”
เขากดมือของผมแนบกับกำแพง ก่อนจะกระชับมือที่ประสานกันให้แน่นขึ้น เขาขยับช่วงเอวสอบเข้ามาจนร่างกายท่อนล่างบดเบียดกันอย่างแนบแน่น
“อึก…!”
อวัยวะที่แข็งตัวเต็มที่เบียดเข้ามากลางหว่างขาของผม มันทั้งอวบและแข็งชวนอึดอัดจนรู้สึกเจ็บ ถึงจะไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่ แต่ความมั่นอกมั่นใจของเขาก็มีเหตุผล
เราฟัดกับพวกซากศพที่อยู่ข้างนอกจนกลิ่นคาวเลือดเหม็นคลุ้ง แต่ผู้ชายที่เนื้อตัวเปียกปอนกลับนัวเนียกับรุ่นน้องแล้วแข็งโด่ขึ้นมาได้เนี่ยนะ? นึกคำไหนไม่ออกนอกจากคำว่าบ้าจริงๆ ตั้งแต่เจอกันมาจนถึงตอนนี้เขาก็ทำตัวบ้ามาตลอด แต่ผมก็ไม่นึกว่าเขาจะบ้าได้ถึงขนาดนี้ รุ่นพี่คียองวอนนี่แม่งเป็นคนที่บ้ามากจริงๆ
“อย่าจ้องกันแบบนั้นสิ คิดจะยั่วกันหรือไง”
“ระ…รุ่นพี่ อึก ได้โปรดหยุดเถอะ”
“ว้าว ขี้ยั่วจังนะ ชักไม่มั่นใจแล้วสิว่าจะทนไหว”
ผมได้แต่อึ้งจนพูดไม่ออก ยั่วห่าเหวอะไรกันล่ะ ผมหอบแฮกๆ อย่างกับหมา ทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็หายใจหอบซะแล้ว รุ่นพี่สังเกตผมที่ตัวสั่นด้วยความตกใจและอึดอัดอย่างนึกสนุก ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะเลือนหายไป ทันทีที่สีหน้านั้นหายไปจากใบหน้าที่ดูโฉดชั่ว บรรยากาศก็พลันเย็นยะเยือกมากขึ้นกว่าเดิม
“โฮฮยอนอา”
น้ำเสียงของเขาต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ผมจึงตัวเกร็งขึ้นมาทันทีโดยอัตโนมัติ
“ครับ”
“สัญญาก่อนสิ สัญญากับฉันว่านายจะไม่พูดพล่อยๆ ว่าจะไปตาย และนายจะไม่ยอมถอดใจตายไปง่ายๆ”
“…”
“สัญญาสิ…แล้วฉันจะปล่อยนายไป”
“…ผมสัญญาครับ”
“รักษาสัญญาเอาไว้นะ ถึงนายจะจำไม่ได้ แต่ฉันยังจำได้อยู่ เพราะงั้นต้องรักษามันให้ได้ด้วย”
ผมไม่อาจพูดว่าจะไม่รักษาสัญญาเล่นๆ ได้ ต่อให้จะเป็นการพูดเล่นก็ตามที ผมเลยได้แต่พยักหน้ารับอย่างช้าๆ รุ่นพี่ถอนตัวออกไปทันทีราวกับไม่เคยบดเบียดเข้ามาจนผมหายใจไม่ออกมาก่อน ทั้งที่ผมล้างตัวด้วยน้ำอุ่น แต่บรรยากาศรอบข้างกลับเย็นยะเยือกอย่างน่าประหลาด
“รุ่นพี่ครับ ผมขอโทษ”
ผมรีบเปิดปากพูดฉับไวราวกับมีอะไรมาดลใจ ผมก็แค่รู้สึกว่าต้องพูดแบบนั้น
“ถึงผมจะไม่ได้เข้าใจที่รุ่นพี่พูดทุกอย่าง แต่ก็มีบางเรื่องที่ผมเห็นด้วย รุ่นพี่พูดถูกครับ ผมมันแย่เอง ที่ผ่านมาผมเอาแต่ซุกหัวหลบอยู่ข้างหลังรุ่นพี่แล้วทำตัวงี่เง่ามาจนถึงตอนนี้ เพราะผมไม่อยากแบกรับภาระเลยเอาแต่วิ่งหนี”
“…”
“แต่ผมก็ไม่เคยเข้าใจเลยครับว่ารุ่นพี่ต้องการอะไรจากผม ทำไมถึงโกรธผมขนาดนั้น ว่ากันตามตรงแม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ผมคงจะเคยทำผิดกับรุ่นพี่โดยไม่รู้ตัวสินะครับ ยังไงผมก็ขอโทษสำหรับเรื่องนั้นด้วยนะครับ”
หลังจากที่ผมพูดจบไปพักหนึ่ง รุ่นพี่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาเพียงแค่จ้องหน้าผมด้วยใบหน้าเซ็งๆ ผมจึงรู้สึกเสียใจขึ้นมาตงิดๆ ไม่น่าพูดออกไปเลย นี่ผมคงไม่ได้ถูกด่าหรือถูกคุมคามชีวิตเพราะดันไปพูดอะไรไม่เข้าหูเขาหรอกนะ
“ชองโฮฮยอน”
มือแกร่งกำหลังมือของผมแน่น ตอนนี้อุณหภูมิร่างกายของเขาสูงกว่าผม ตำแหน่งที่ถูกจับเลยร้อนเหมือนถูกไฟลวก เขาดึงมือผมออกมาทั้งที่ยังกำมือผมไว้แน่น ทำให้ระยะห่างระหว่างเราแคบลงอย่างกะทันหัน ซึ่งมันใกล้มากจนเห็นรูม่านตาของรุ่นพี่ที่หดเล็กลงข้างในนัยน์ตาสีดำ
“นายนี่มันจริงๆ เลยนะ…นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน”
รุ่นพี่เหยียดยิ้ม ทว่ามันกลับไม่ใช่รอยยิ้มเถื่อนๆ ที่มักจะเย้ยหยันผมเหมือนอย่างเคย ริมฝีปากที่ยกยิ้มอย่างฝืนใจนั้นดูบิดเบี้ยว
“พูดแบบนั้น…แล้วก็ปล่อยให้ฉันรออยู่เรื่อยเลยไม่ใช่หรือไง”
“…”
คำพูดนั้นมันหมายความว่ายังไงกันแน่ ขณะที่ในหัวมึนตึ้บจนไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป เขาก็ปล่อยมือของผมออก และถึงแม้ว่าเขาจะเดินออกไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอีกสักพักใหญ่
Chapter 2-3
“พี่คะ พี่โฮฮยอน! ออกมาหรือยังคะ”
ระหว่างที่ผมใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกชุ่มแบบลวกๆ และกำลังจะเดินออกไป ชเวดาบินก็ตะโกนเรียกผมเสียงดัง ก่อนที่ผมจะเห็นเธอวิ่งปรี่เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
เธออยู่ในหลืบด้านในสุดของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ตรงนั้นมีหัวมุมบังอยู่เลยมองไม่เห็นบริเวณโถงทางเข้า ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจจะหลีกหนีจากสถานที่เกิดเหตุที่มีศพนอนเกลื่อนและยังไม่ถูกเคลื่อนย้ายออกไป
“พี่ควรมาดูอะไรนี่หน่อยค่ะ”
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
“พี่จุนซอกเขามีอาการแปลกๆ น่ะค่ะ หายใจผิดปกติมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แถมดูไม่ค่อยมีสติด้วย น่าจะป่วยเป็นอะไรสักอย่างนะคะ”
ชเวดาบินไม่ได้พูดต่อให้จบ ผมมองตามไปยังจุดที่เธอชี้ไป ก่อนจะเห็นยุนจุนซอกนอนขดตัวโดยคลุมตัวด้วยเสื้อนวมกันหนาวเปื้อนเลือดชั้นหนึ่ง เขาอยู่ในสภาพนั้นมาตั้งแต่การต่อสู้อันดุเดือดจบลง
“พี่ พี่ครับ? พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ เขาแล้วคุกเข่าลง แม้จะลองเรียกชื่อใกล้ๆ ดูแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองกลับมา ผมเลยลองเขย่าตัวเขาดู แล้วก็ได้ลมหายใจแรงๆ ที่ลอดออกมาจากข้างใต้เสื้อนวมตัวหนาแทนคำตอบ
ผมเปิดเสื้อนวมกันหนาวออก ผิวหนังของเขาค่อนข้างหมองคล้ำและซีดเผือด บริเวณใบหน้าและลำคอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผมลองวัดไข้เขาแทนชเวดาบินที่ไม่กล้าแตะตัวเขา ปรากฏว่าทั้งตัวของเขาร้อนผ่าวราวกับลูกไฟ
“ตัวร้อนมาก”
“จับไข้งั้นเหรอคะ”
“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรตกถึงท้อง แถมยังเพิ่งจะผ่านเรื่องลำบากมาอีกนี่นา”
“ยาลดไข้น่าจะมีอยู่ที่สำนักงานดูแลความปลอดภัยชั้นหนึ่งนะคะ อ๊ะ ไม่สิ แค่ยาแก้หวัดทั่วไปที่ร้านสะดวกซื้อก็น่าจะ…”
ชเวดาบินสาธยายอย่างจริงจังก่อนจะปิดปากฉับลง คำว่าร้านสะดวกซื้อคงทำให้เธอนึกถึงใครอีกคนหนึ่งโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เด็กสาวที่ถูกฟันคอแล้วล้มลงนอนจมกองเลือด เธอนั่งขดตัวในท่ากอดเข่า ก่อนที่เนื้อตัวจะเริ่มสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเสียงคร่ำครวญเคล้าเสียงสะอึกสะอื้นเล็ดลอดผ่านริมฝีปากที่เม้มแน่นออกมา
ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่พอหลับตาลงแล้วภาพของคนที่พบจุดจบอย่างน่าสลดใจก็ลอยเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน ทุกครั้งที่หายใจก็รู้สึกเหมือนมีกลิ่นคาวเลือดโชยมาแตะปลายจมูกจนรู้สึกคลื่นไส้ ผมทนนึกถึงภาพในหัวอันน่าสยดสยองแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เราลองมาทำเท่าที่ทำได้กันเถอะ ก่อนอื่นฉันจะไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นมาให้ ว่าแต่รุ่นพี่ล่ะ”
“รุ่นพี่คียองวอนน่ะเหรอคะ”
“อืม”
ในนี้ยังมีรุ่นพี่คนอื่นอีกหรือไงล่ะ ผมอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ก็ทำได้แค่นิ่งเงียบ พอพูดถึงรุ่นพี่คนนั้น สีหน้าของชเวดาบินก็พลันมืดมนลงอย่างผิดหูผิดตาราวกับกำลังหวาดกลัวและไม่พอใจในที
“พี่เขาออกไปข้างนอกพักหนึ่งแล้วค่ะ เห็นบอกว่าจะไปสำรวจรอบๆ แล้วเดี๋ยวจะกลับมา”
“งั้นเหรอ”
“เอ่อ…พี่โฮฮยอนคะ ที่ฉันพูดก็เพราะว่าตอนนี้มีเราอยู่กันแค่สองคนนะคะ”
“อื้อ”
“รุ่นพี่คนนั้น…เขาไม่ดูแปลกๆ ไปหน่อยเหรอคะ”
เธอหลุบตาต่ำแล้วพูดต่อ
“ก่อนหน้านี้ก็ครั้งหนึ่งแล้ว ที่ฉันเคยบอกว่าปกติรุ่นพี่เขาไม่ได้มีนิสัยแบบนี้น่ะค่ะ ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็ดูแปลกๆ อยู่นะคะ”
“ที่ว่าแปลกนี่ยังไงเหรอ”
“เขาดูชินชามากเลยนะคะ ทั้งที่ทุกคนอยู่ในสภาพสติแตกจนจะบ้าตายกันอยู่แล้ว โดยที่ไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น แต่รุ่นพี่กลับทำตัวเหมือนคนที่กำลังเล่นเกมอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว”
“ดาบิน เธอกำลังจะบอกว่าเธอสงสัยรุ่นพี่คนนั้นเหรอ”
ผมโพล่งคำถามที่อาจจะขัดใจเธอออกมา ผมฟังเองก็ยังรู้สึกว่ามันดูฉุนเฉียวเกินความจำเป็น
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้จะสื่ออย่างนั้น ถ้าเมื่อกี้ไม่มีรุ่นพี่คียองวอนอยู่ด้วยเราคงได้ตายแพ็กคู่แน่ๆ แต่ฉันก็แค่…”
เธอยักไหล่น้อยๆ โดยที่สายตายังคงก้มมองพื้นด้านล่าง
“ฉันก็แค่รู้สึกขนลุกน่ะค่ะ”
“…”
ถ้าเป็นตัวผมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้คงจะเห็นด้วยกับคำพูดนั้นแบบไม่เผื่อใจ เพราะคนที่รู้สึกสงสัยในตัวรุ่นพี่มากที่สุดจนถึงตอนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากผม ผมกล้าพูดอย่างมั่นใจเลยว่าคนคนนั้นน่ะทั้งบ้าทั้งเพี้ยน
แต่น่าแปลกที่ผมไม่นึกอยากคล้อยตามคำพูดของเธอ คำพูดที่เห็นด้วยกับเธอจึงลอยวนอยู่แค่ในปาก โดยที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
“อือ…อึก”
ความเงียบชวนอึดอัดที่ไหลผ่านตัวผมกับชเวดาบินไปถูกพังทลายลงทันทีเมื่อจู่ๆ ยุนจุนซอกก็ร้องครางอย่างเจ็บปวด ริมฝีปากซีดจางของเขาเผยออ้าเล็กน้อย ถึงจะเป็นคนที่ทำตัวเฮงซวยขนาดไหน แต่พอเห็นอีกฝ่ายนอนซมอยู่ในสภาพนั้นผมก็อดรู้สึกเวทนาไม่ได้
“ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาก่อนนะ”
ผมหยัดกายขึ้นตั้งท่าจะเดินไปที่ห้องอาบน้ำ ในขณะที่ยุนจุนซอกร้องโอดครวญพร้อมกับพลิกตัว และแล้วตอนนั้นผมก็ได้เห็นอะไรบางอย่าง ภายใต้ชายเสื้อยืดที่ถลกขึ้นมามีรอยฟันสีแดงช้ำปรากฏชัดอยู่ตรงสีข้างของเขา เขาคงถูกกัดอย่างแรง เนื้อตรงนั้นเลยถูกครูดออกไปจนแหว่ง หากมองเพียงผิวเผินก็จะเห็นเนื้อสีแดงสดตามรอยฟันที่เป็นรูปวงกลม
ในตอนที่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้ ยุนจุนซอกสติหลุด เขาทรุดตัวลงกับพื้นอยู่คนเดียวในสภาพที่ชีวิตของตัวเองแขวนอยู่บนเส้นด้ายและไม่คิดจะลุกขึ้นมา บางทีเขาอาจจะได้บาดแผลมาในตอนนั้น
“อือ แค่กๆ”
เสียงแหบแห้งที่เหมือนเสียงขากเสมหะดังสลับกับเสียงร้องโอดโอย ร่างกายของเขาที่นอนหันหลังสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง หากมองผ่านๆ ก็เหมือนกับผู้ป่วยที่นอนซมด้วยพิษไข้ แต่พอพินิจมองอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่าแขนขาของเขากระตุกเกร็งอย่างน่ากลัวอยู่บ่อยๆ ผมพลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที ชเวดาบินเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกตินั้นเลยเดินเข้ามาประชิดตัวติดผม
“พะ…พี่คะ”
ผมพยายามใช้หัวคิดอย่างรวดเร็ว จะให้อยู่ในพื้นที่เดียวกันกับยุนจุนซอกแบบนี้ต่อไปเห็นทีคงจะไม่ได้แล้ว มีทางเลือกแค่ต้องไล่เขาออกไปหรือไม่เราก็ต้องเป็นฝ่ายที่ออกไปเอง
ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คนที่ถูก ‘ไอ้ตัวพวกนั้น’ กัดตายจะกลายร่างในไม่ช้า เหมือนอย่างพัคกอนอูที่ถูกคนรักกัดทึ้งคอจนฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพน่าสยดสยอง แต่แล้วก็ได้ตายอีกเป็นครั้งที่สองด้วยน้ำมือของรุ่นพี่ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ผมกับดาบินก็อาจจะมีจุดจบในสภาพแบบเดียวกัน
ยุนจุนซอกรูปร่างสูงและตัวหนักมาก คาดว่าน้ำหนักตัวคงเกินเก้าสิบกิโลกรัม ยิ่งหมดสติและตัวอ่อนปวกเปียกแบบนี้แล้ว ดูท่าคงจะต้องใช้แรงมากกว่าเดิม ต่อให้ชเวดาบินกับผมร่วมแรงกัน การที่จะแบกเขาผ่านห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากว้างๆ ออกไปข้างนอกก็นับว่าเป็นงานช้างอยู่ดี และต่อให้มันจะเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ ถึงยังไงก็คงต้องใช้เวลาน่าดู แถมยังไม่มีอะไรมารับประกันว่าเขาจะไม่กลายร่างแล้วพุ่งเข้ามาขย้ำในระหว่างที่ผมกำลังแบกเขาขึ้นหลัง เพราะแบบนั้นมันจึงอันตรายเกินไป
ผมยังมีทางเลือกอื่นอยู่อีก นั่นคือต้องฆ่าเขาให้ตายก่อนที่เขาจะกลายร่างโดยสมบูรณ์ แต่มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่า…ผมไม่กล้าทำ ถึงจะติดเชื้อไปแล้ว แต่ยุนจุนซอกก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง คนที่เจ็บปวดทรมานเพราะพิษไข้ ถ้าเป็นรุ่นพี่ก็คงเลือกที่จะฟันคอเขาอย่างไม่ลังเล แต่ผมไม่สามารถทำแบบรุ่นพี่ได้
“ดูนั่นสิคะ พี่จุนซอกเขา…”
ชเวดาบินไม่กล้าพูดต่อให้จบ ยุนจุนซอกที่ก่อนหน้านี้ชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดพลันแน่นิ่งไป
ร่างกายของเขาไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป เขาเพียงแค่นอนอยู่บนพื้นในท่าตะแคงขดตัว ต่อให้ไม่ต้องเข้าไปใกล้ๆ เพื่อเพ่งมองให้ชัดก็พอจะรู้ เขาหยุดหายใจไปแล้ว เขาไม่ใช่คนที่มีชีวิตอีกต่อไป และเขาก็คงจะกลายร่างในไม่ช้าเหมือนอย่างพัคกอนอู
ผมหันไปมองข้างหลังโดยอัตโนมัติ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มืดมิดนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งและศพที่นอนตายเกลื่อนพื้นซึ่งเปรอะไปด้วยเลือดกับเศษเนื้อ ผมควรต้องเลือกทางไหน แล้วต้องทำยังไงต่อไปดี ตอนนี้ไม่มีพวกรุ่นพี่ที่ตะเบ็งเสียงใส่กันและคอยชี้นิ้วอีกแล้ว แถมยังไม่มีโอกาสเลือกอะไรครึ่งๆ กลางๆ โดยใช้การลงมติตามเสียงข้างมากมาเป็นโล่กำบังตัวเองอีกแล้วด้วย ผมจะมัวชักช้าแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
“เราจะทำยังไงกันดีคะ”
ชเวดาบินที่อยู่ในภาวะตื่นตระหนกเอ่ยถามอย่างลนลาน แต่เสียงของรุ่นพี่กลับดังกลบเสียงของเธอ
‘เลิกเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีสักทีเถอะ อยากเป็นคนดีจนนาทีสุดท้ายของชีวิตเลยหรือไง ต่อให้ตัวเองกำลังจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ยนะ?’
ผมเกลียดเรื่องน่ารำคาญ ซึ่งการวิ่งพล่านหาเรื่องใส่ตัวเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ขอให้มีชีวิตรอดอยู่ให้ได้นานที่สุด นั่นคือคติประจำใจของผม วันโลกาวินาศจากซอมบี้? นักศึกษาติดอยู่ในวิทยาเขตแห่งนี้แล้วถูกฆ่าตายเป็นเบือ? เรื่องพวกนั้นมันไม่ตลกเลยสักนิด
ปกติผมไม่ได้ดูหนังหรือเล่นเกมเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย แค่ดูของพรรค์นั้นผ่านหน้าจอผมก็รู้สึกเหมือนถูกสูบพลังชีวิตแล้ว ผมเคยพูดเล่นๆ กับเพื่อนว่าถ้าซอมบี้ออกอาละวาดจริงๆ ผมจะขอติดเชื้อคนแรกแล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในหมู่เพื่อนพ้องซอมบี้ด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมกลับต้องเป็นตัวละครในหนังนั้นซะเองราวกับเป็นเรื่องโกหก
“…”
ผมสูดหายใจเข้าลึกแล้วลูบหน้าเพื่อควบคุมหัวใจที่เต้นตุบๆ ให้สงบลง ภายในหัวที่เคยยุ่งเหยิงถึงได้นิ่งสงบลงมาก
“ไปกันเถอะ”
ชเวดาบินเงยหน้ามองผมอย่างตกใจ
“คะ?”
“เราต้องออกไปจากที่นี่ ไปรวมตัวกับรุ่นพี่กันก่อน”
“แต่ว่าข้างนอกนั่น…”
“อันตรายหรือเปล่าเราไม่มีทางรู้จนกว่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่ข้างในนี้น่ะอันตรายแน่ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะ”
“แต่ว่าพี่คะ…”
“ถ้าพี่จุนซอกลุกขึ้นมาอีกครั้ง เธอจะสู้สุดใจเพื่อฆ่าเขาไหม เธอจะถือขวานไปจามหัวเขาแบบที่รุ่นพี่ทำได้หรือเปล่า”
ผมจับมือของชเวดาบินที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแล้วรีบพาเธอออกมา เธองุนงงแต่ก็ยอมเดินตามมาอย่างว่าง่าย เราเดินผ่านห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มืดมิดออกมา วินาทีนั้นผมรีบมากจนไม่คิดที่จะคลำหาสวิตช์หลอดไฟนีออนที่ติดอยู่บนผนัง
“อ๊ะ!”
พื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด ชเวดาบินเลยผงะเซไปเบาๆ ผมจึงกระชับมือที่จับเธอให้แน่นขึ้น
“ไม่เป็นไรนะ”
“ค่ะ แค่เท้ามันลื่นน่ะค่ะ”
“ระวังหน่อย เดินตามมาดีๆ”
ผมอาศัยเงาที่เห็นตะคุ่มๆ เดินไปจนถึงทางออก ตอนนี้ขอเพียงแค่กดปุ่มดิจิตอลดอร์ล็อกที่ประตูแล้วออกไปข้างนอกให้ได้ก็พอ
“กึก…กรรร!”
เสียงแห่งลางร้ายดังมาจากทางด้านหลัง ทำเอาหัวใจผมพลันร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ดาบิน ประตู!”
“ฉันหาไม่เจอ มองไม่เห็นปุ่มเลยค่ะ!”
กรอบ…แกรก…
เสียงน่าขนลุกของข้อต่อที่ขยับไปมาดังขึ้น มันคือเสียงของคนที่หยุดหายใจนอนตัวแข็งทื่อแล้วฟื้นกลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง เหงื่อของผมแตกพลั่ก
“รอเดี๋ยว”
ผมยืนละล้าละลังแล้วฉุกคิดถึงโทรศัพท์ที่ซุกไว้ในกระเป๋า ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดหน้าจอ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ผมก็ดันร้อนใจจนขยับมือมั่วซั่วไปหมด ผมอาศัยแสงไฟริบหรี่จากหน้าจอโทรศัพท์เปิดประตูอย่างทุลักทุเล ก่อนที่ทั่วทั้งห้องจะสว่างจ้าขึ้นพร้อมกับภาพเบื้องหน้าที่ขาวโพลน แต่จังหวะที่กำลังจะวิ่งออกจากประตูที่เปิดกว้างนั้น จู่ๆ เงาสีดำก็พุ่งพรวดเข้ามาจากทางด้านหลัง
“อึก…!”
ผมหมุนตัวหลบไปอยู่ที่ด้านข้างของประตูอย่างรวดเร็ว ร่างกายหนักๆ จึงกระแทกกับผนังเข้าอย่างจังจนเกิดเสียงดังสนั่น ยุนจุนซอกที่วิ่งชนผนังยืนโซเซ ก่อนจะกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง เสียงกระดูกคอลั่นดังพร้อมกับองศาคอที่บิดเบี้ยวผิดรูป
เขาหันมาหาเราด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แบบคนตาย เส้นเลือดฝอยแตกเป็นเส้นลามไปทั่วใบหน้าขาวซีด ด้วยเมื่อครู่นี้เขายังเป็นคนที่มีชีวิตและหายใจอยู่ ร่างกายเลยยังไม่เน่าเปื่อยแบบอียูจินหรือซออินกยู แต่รูปร่างของเขาก็ดูน่าขนลุกไม่น้อยเลยทีเดียว
ยุนจุนซอกเดินโขยกเขยกเข้ามาใกล้ ผมไม่มีเวลามาสลดใจกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเขาจึงรีบวิ่งไปตามโถงทางเดินทันที
“พี่จะวิ่ง…แฮกๆ ไปที่ไหนคะ”
“ทิ้งระยะห่างให้ได้ก่อน เราไม่มีอาวุธ…แฮกๆ ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้นอกจากหนี”
ยิ่งวิ่งหนี ทั้งผมกับชเวดาบินก็ยิ่งหอบกระชั้น ผมขาดออกซิเจนจนมึนหัว ทั้งยังรู้สึกเหมือนปอดกำลังจะทะลักออกมานอกปาก ถึงจะเค้นพลังสุดแรงเกิดในภาวะคับขัน แต่เดิมทีเราสองคนก็เป็นแค่นักศึกษาธรรมดาๆ จึงไม่แปลกที่จะเหนื่อยหอบกันขนาดนี้ ด้วยความที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาเลยไม่มีที่ให้เที่ยว ผมที่เคยออกกำลังกายหลายอย่างเพื่อฆ่าเวลาเล่นจึงอาจได้เปรียบกว่าชเวดาบินอยู่นิดหน่อย
ถึงจะบอกว่าต้องทิ้งระยะห่างให้ได้ก่อน แต่เราก็คงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างนี้ไปตลอดไม่ได้ ขืนวิ่งแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฝ่ายที่จะเสียเปรียบก็คงมีแต่พวกเรา เพราะทางนั้นวิ่งเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่เหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด
เมื่อวิ่งมาจนสุดโถงทางเดินก็พบเจอกับบันได ผมไม่มีเวลามาลังเลอะไรอีกแล้วจึงรีบก้าวเหยียบบันไดและวิ่งลงไปชั้นล่างในทันที ในสถานการณ์ที่สมองตันอย่างหนักจนคิดอะไรไม่ออก ยุนจุนซอกก็กำลังสาวเท้าไล่ตามเรามา ผมเหลือบมองราวบันไดของชั้นล่างและชั้นถัดลงไปผ่านช่องว่างระหว่างราวบันไดที่มีรูปร่างเหมือนตัวอักษรทีกึด* ที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ พอเห็นอย่างนั้นแล้วความคิดหนึ่งก็ผุดวาบเข้ามาในหัว
“เราวิ่งไปที่บันไดอีกฝั่งกันเถอะ”
“แฮกๆ”
ผมลากเธอวิ่งผ่านโถงทางเดินชั้นล่างเพื่อย้อนกลับไปทางเดิม ก่อนจะรู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอที่วิ่งตามมาอย่างสุดกำลังนั้นใกล้จะหมดแรงลงทุกทีๆ
“อีกเดี๋ยว…ฉันจะ…ปล่อยมือเธอ”
“คะ?”
“แล้วเธอก็…ไปหาอะไรที่พอจะใช้ฟาดได้มา”
“นั่นมัน…หมายความว่ายังไงกันคะ”
ไม่มีเวลามาอธิบายให้เธอฟังเป็นฉากๆ อีกแล้ว ผมเหลียวไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง ก่อนจะเห็นยุนจุนซอกที่อยู่ห่างออกไปประมาณสิบเมตรกำลังไล่ตามมา ดวงตาของเขาแดงก่ำ และมีน้ำลายเหนียวข้นย้อยลงมาจากริมฝีปากที่อ้าออกกว้าง
คนที่ถูกกัดก่อนหน้านี้อาจจะเป็นผมก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คนที่ไล่ตามผู้รอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้ก็คงจะไม่ใช่ยุนจุนซอก แต่เป็นผม เหตุผลที่ผมรอดชีวิตมาได้ แต่ยุนจุนซอกต้องตายไปนั้นไม่ใช่ว่าผมแข็งแกร่งหรืออยู่เหนือกว่าเขา แต่เป็นเพราะผมแค่ดวงดีกว่าเขานิดหน่อยก็เท่านั้นเอง พอคิดได้อย่างนั้นผมก็รู้สึกสยองขึ้นมาทันที
พวกเราวิ่งไปจนสุดทางเดินอีกฝั่ง โถงทางเดินในหอพักทั้งฝั่งซ้ายขวานั้นสมมาตรและมีบันไดทั้งสองฝั่งเหมือนกัน ผมเห็นราวบันไดที่เหมือนกับเมื่อครู่เป๊ะๆ
“ดาบินอา ตอนนี้แหละ!”
ผมสะบัดมือของชเวดาบินที่เผ่นหนีมาด้วยกันแล้วผลักเธอออกไปจนเธอเซกระเด็นไปยังริมโถงทางเดิน ถึงแม้ว่าชเวดาบินที่วิ่งหนีมาด้วยกันจะหลุดออกไปนอกระยะสายตาแล้ว แต่ยุนจุนซอกก็ยังคงเพ่งเล็งมาที่ผมราวกับว่าเขาหมายหัวผมแค่คนเดียวมาตั้งแต่แรก
ก็นับว่าโชคดีล่ะนะ เพราะถ้าเป็นสถานการณ์ที่กลับกันล่ะก็คงจะลำบากน่าดูทีเดียว
“กรรร!”
ยุนจุนซอกพุ่งเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงคำรามน่ากลัว ผมมองดูเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โดยที่ยืนนิ่งไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ทั้งที่ในใจอยากจะเผ่นแน่บไปซะเดี๋ยวนี้ แต่ผมก็ข่มร่างกายที่สั่นระริกเอาไว้แล้วรอคอยอย่างใจเย็น มันยังไม่ถึงเวลา ทนอีกหน่อย อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น…
ระยะทางร่นเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เห็นฟันกับเหงือกสีแดงในปากที่อ้ากว้างของเขา ตอนนี้แหละ ผมย่อตัวลงแล้วม้วนตัวหลบไปด้านข้าง เมื่อผมเบี่ยงตัวหลบออกไปแล้ว แต่ยุนจุนซอกกลับไม่สามารถชะลอความเร็วลงได้ ร่างของเขาเลยชนกับราวบันไดเหล็กเข้าอย่างจัง
ปึง!
เสียงปึงดังกึกก้องไปทั่วโถงทางเดิน ด้วยความที่ราวบันไดนั้นสูงระดับเอวของเขา จุดศูนย์ถ่วงของร่ายกายท่อนบนจึงถ่วงออกไปด้านนอกในชั่วพริบตา ตอนนี้ยุนจุนซอกอยู่ในสภาพที่ยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปนอกราวบันไดและกำลังดิ้นตะเกียกตะกายอย่างหมดหนทาง
“นี่ค่ะ!”
ชเวดาบินวิ่งรี่เข้ามา มือของเธอถือหนังสือเตรียมสอบเล่มหนาที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากไหน ผมขอให้เธอไปหาของที่พอจะใช้ฟาดได้มาให้ ถึงหนังสือนี่จะไม่ได้จัดอยู่ในหมวดหมู่สิ่งของที่คาดหวังเอาไว้ แต่ก็ถือว่าเอามาใช้ได้ไม่เลวเหมือนกัน เธอเงื้อหนังสือขึ้นแล้วฟาดไปที่หัวของยุนจุนซอกอย่างไม่ยั้งมือ
“ตาย! ไปตายซะ ไอ้เฮงซวย!”
ชเวดาบินแผดเสียงดังลั่น ผมเหลือบไปมองปกหนังสือที่เธอถืออยู่ ‘โทอิคพาร์ตฟัง เก็งแม่นในเล่มเดียว’ เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเป็นจุดๆ ใส่ตรงคำว่า ‘เก็งแม่น’ ราวกับเป็นฉากตลกร้ายที่น่าสะอิดสะเอียนฉากหนึ่ง ผมใช้จังหวะนี้เตะตัดขายุนจุนซอกอย่างแรงจนเท้าของเขาลอยหวือขึ้นกลางอากาศ
“กรรร…”
ร่างกายเขาที่โคลงเคลงอยู่บนราวบันไดค่อยๆ โน้มทิ่มลงไปข้างล่าง ยิ่งน้ำหนักตัวมาก ความเร็วขณะตกลงไปก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามกฎแรงโน้มถ่วงอย่างช่วยไม่ได้ ไม่นานนักร่างของเขาก็หายลับไปจากราวบันได
ตุบ!
เสียงทุ้มหนักดังสะท้อนก้องไปรอบทิศ ชเวดาบินที่ฟาดหนังสือลงไปอย่างบ้าคลั่งราวกับถูกอะไรเข้าสิงและผมที่เตะตัดขาเขาอย่างไม่ออมแรงต่างก็ยืนนิ่งงันไปพร้อมกัน
“…”
“…”
พวกเราไม่อาจดื่มด่ำกับความสุขของชัยชนะในครั้งนี้ได้ลง ทันทีที่ความตึงเครียดและความลุ้นระทึกหายไป ความละอายใจก็พลันแทรกซึมเข้ามาแทนที่ เมื่อครู่นี้ผมได้ทำเรื่องที่อำมหิตมากๆ ลงไป ถึงความสัมพันธ์ของเราจะย่ำแย่ แต่ผมก็ได้ผลักเพื่อนมนุษย์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันในห้องห้องหนึ่งให้ตกลงไปด้วยน้ำมือของตัวเอง ต่อให้จะแก้ตัวว่าเขาเป็นคนที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหรือเขาเป็นแค่ซากศพที่เดินได้ แต่ความจริงที่ว่าผมได้ฆ่าใครบางคนไปแล้วนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ยุนจุนซอกตกจากชั้นนี้ดิ่งลงไปจนถึงชั้นล่างสุด ร่างกายของเขาไม่น่าจะสมประกอบแล้วแน่ๆ แขนขาอาจจะหักหรือลำไส้อาจจะทะลักออกมาก็เป็นได้ แต่ยังไงซะ…
“เดี๋ยวเขาก็กลับมา”
“คะ?”
“อีกเดี๋ยวพี่จุนซอกจะกลับมา เราต้องหนี”
รุ่นพี่เคยบอกเอาไว้ว่าต้องเผาร่างจนเหลือแต่ขี้เถ้าหรือไม่ก็เด็ดหัวออกจากร่าง พวกนั้นถึงจะไม่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก
“ถูกต้องนะครับ ต้องหนี ฉลาดดีนี่ โฮฮยอนของฉัน”
ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วมาจากข้างหลัง แต่ยังไม่ทันได้หันกลับไปก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นมาโอบรอบเอวของผมเอาไว้ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไป ในระหว่างที่การต่อสู้เพิ่งจะจบลงและทุกคนกำลังโล่งใจกันอยู่นั้น ทั้งผมและชเวดาบินต่างก็สะดุ้งโหยง
เจ้าของเสียงนั้นคือรุ่นพี่ มือข้างหนึ่งของเขาถือกล่องใบหนึ่งแทนขวานดับเพลิงที่ปกติแล้วมักจะถือติดตัวเอาไว้ตลอด จู่ๆ ผมก็นึกถึงบทสนทนาที่พูดกับชเวดาบินก่อนหน้านี้ พอแอบนินทาเขาลับหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมก็รู้สึกละอายใจที่จะมองหน้าเขาอย่างบอกไม่ถูก
รุ่นพี่ซบหน้ากับไหล่ของผมแล้วยิ้มอยู่เงียบๆ โดยไม่สนว่าผมจะตกใจหรือเปล่า
“พาฉันไปด้วยคนสิ หืม?”
* ตัวอักษรทีกึด (ㄷ) คือพยัญชนะในภาษาเกาหลี
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน
DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.