X
    Categories: DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตายeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2 บทที่ 6.3 ถึง 6.4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2

ผู้เขียน : 아이제 (Aije)

แปลโดย : 04:00

ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย

การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง

การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์

และการมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 6-3

 

ในที่สุดผมก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของชองโฮฮยอน ผมทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง ทว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมาจากข้างใน ผมเริ่มกระวนกระวายใจ ภาพเหตุการณ์ที่ประตูสำนักงานผู้ดูแลถูกล็อกแน่นกับภาพชองโฮฮยอนที่นั่งอิดโรยหันหลังให้ยังคงปรากฏอย่างเลือนรางอยู่ตรงหน้า

แกร๊ก…ผมลองหมุนลูกบิดประตูอย่างไม่รอช้า บานประตูเปิดออกง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ ผมก้าวเท้าเข้าไปด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่มคล้ายระเบิดที่กำลังนับเวลาถอยหลัง ในห้องที่มืดสนิท เตียงฝั่งหนึ่งถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ บนเตียงนั้นมีแต่ฟูกนอนโดยไม่มีเครื่องนอนอย่างอื่น ส่วนเตียงอีกฝั่งกลับมีลักษณะพองเป็นก้อนกลมๆ

ผมพลิกผ้าห่มขึ้นมา ก่อนจะเห็นชองโฮฮยอนกำลังหลับอยู่ข้างใต้ผ้าห่มนั้น เขาสวมที่อุดหูคาไว้ที่หูทั้งสองข้าง ริมฝีปากเผยอออกน้อยๆ ขณะซุกใบหน้าครึ่งหนึ่งหลับคาหมอนอย่างอ่อนเพลีย ใบหน้าตอนนอนเหมือนกับเด็กน้อยไม่มีผิด ต่างจากภาพจำครั้งสุดท้ายที่ผมจำได้จนรู้สึกถึงภาพในหัวที่ทับซ้อนและขัดแย้งกัน

“นาย…”

ผมจับแขนขาวเนียนที่โผล่พ้นเสื้อยืดแขนสั้นตัวโคร่ง ข้อมือที่เคยมีเลือดทะลักออกมาไม่หยุดตอนนี้กลับสมบูรณ์ครบถ้วนไร้รอยแผลใด ชองโฮฮยอนลืมตาตื่นขึ้น นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้มองมาที่ผมด้วยความรู้สึกดูแคลนหรือโศกเศร้าเหมือนอย่างเคย แต่มันกลับเต็มไปด้วยความตกใจปนหวาดผวา

“คะ…ใครกันเนี่ย คุณเป็นใครกันครับ”

ริมฝีปากของเขาสั่นระริกจนพูดตะกุกตะกัก ชองโฮฮยอนที่หลับสบายอย่างเด็กไร้เดียงสาเมื่อครู่นี้ได้หายไปเสียแล้ว ตอนนี้กลับถูกแทนที่ด้วยชองโฮฮยอนที่ทำหน้าเหมือนเหยื่อที่กำลังถูกสัตว์ร้ายไล่ต้อนจนจนมุม

“นายทำได้ยังไง”

“ใครครับ อึก…ทำไมทำแบบนี้ครับ”

เขารีบกระถดตัวคล้ายจะหนี ผมจึงออกแรงบิดแขนของเขาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้

“อ๊ะ!”

เขาร้องเสียงหลงพร้อมกับขาที่ดีดดิ้นไปมาอย่างเจ็บปวดบนเตียง ผมกระชากผ้าห่มออก ชองโฮฮยอนสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงในทรงทรังค์

สีมิ้นต์อ่อน? ขนาดสียังเลือกสีที่เหมาะกับตัวเองเลยแฮะ

ผมขึ้นคร่อมด้านบนแล้วกดตัวเขาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อน โดยนั่งคร่อมช่วงท้องน้อยของเขาไว้และช่วงต้นขาก็ล็อกขาของเขาไว้แน่น ก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นแรงด้วยความตื่นกลัวอยู่ใต้ร่าง

“นายตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

“คะ…ครับ?”

“นายตายแล้วแน่ๆ นายถูกกัดข้อมือจนเลือดไหลแล้วก็ร้องไห้จนตายไม่ใช่เหรอ ฉันนั่งมองนายจนกระทั่งหัวใจนายหยุดเต้น แต่นี่…นายฟื้นกลับมาอีกรอบได้ยังไงกัน แล้วฉันล่ะ? ฉันอยู่กับนายที่สำนักงานผู้ดูแล ทำไมลืมตาขึ้นมาอีกทีก็กลับมาอยู่ในห้องตัวเองซะแล้วล่ะ”

ชองโฮฮยอนที่ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกได้แต่กลอกดวงตาที่สั่นระริกไปมา ก่อนที่สายตาเขาจะหยุดลงที่แขนของผม เขาเห็นรอยเลือดสีดำแดงที่เลอะจากต้นแขนลงไปถึงหลังมือ ซึ่งเป็นจุดที่เสื้อยืดสีดำของผมปกปิดไม่ถึง

“…”

เขาตะลึงงันนิ่งค้างไป รูม่านตาสีสว่างพลันหดแคบลงทันที เขาดึงแขนที่ผมไม่ได้จับไว้ออกมาแล้วเหวี่ยงหมัดใส่ผม

ผลัวะ!

หน้าของผมสะบัดหันอย่างแรง เขาดิ้นและถีบผมไม่หยุด เข่าของเขาแทงเข้าตรงกลางลิ้นปี่ผมพอดีจนผมถึงกับก้มหน้าร้องโอดโอย ก่อนที่เขาจะใช้จังหวะนั้นหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

“ผมจะแจ้งความ”

เขาพยายามสงบร่างกายที่สั่นเทาและร้องเตือนด้วยท่าทีที่คิดว่าน่าเกรงขามที่สุด ทว่าคำพูดของเขากลับไม่ได้ผ่านเข้ามาในหัวของผมเลยสักนิด ชองโฮฮยอนที่มีชีวิตและหายใจได้ตามปกติ อีกทั้งข้อมือของเขาที่เกลี้ยงเกลาไร้รอยแผลหรือแผลเป็นใดๆ ในหัวของผมมีเพียงแค่ภาพเหล่านั้นลอยอยู่เต็มไปหมด

“บอกฉันมาสิว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แล้วไอ้ตัวประหลาดนั่นมันคือตัวอะไร”

“…”

“นายกำลังรวมหัวกับคนอื่นมาหลอกฉันงั้นเหรอ หรือว่าฉันเพี้ยนไปแล้วจนเห็นภาพหลอนไปเอง? นายช่วยอธิบายมาที ขอร้องล่ะ อธิบายเรื่องบัดซบนี่มาที!”

ชองโฮฮยอนไม่ตอบอะไรกลับมา เขาถอยห่างจากผมไปทางหน้าต่างพลางพยายามทำทีเป็นสุขุม ทั้งที่ใบหน้าตื่นกลัวจนซีดเผือด

เสียงแห่งความโกลาหลแว่วดังมาจากโถงทางเดินผ่านประตูที่เปิดอ้าอยู่ ผมจึงรีบควานหาความทรงจำอย่างร้อนรน ก่อนจะจำได้ว่ามีพวกตัวประหลาดตัวอื่นๆ อยู่ก่อนแล้วตอนที่รูมเมตไล่ล่ามาจนถึงหน้าห้องของชองโฮฮยอน

“เรารีบออกไปกันเถอะ”

ผมเอื้อมมือไปจับตัวชองโฮฮยอนไว้ แต่เขากลับก้าวถอยหลังอย่างตื่นตระหนก

“บอกให้ออกไปไง! อยากตายอีกรอบหรือไงกัน”

“ไอ้ประสาทนี่ อย่าเข้ามานะเว้ย!”

“แม่งเอ๊ย ทำตัวน่ารำคาญฉิบหาย”

ผมร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ ขืนมัวชักช้าร่ำไรอยู่แบบนี้ มีหวังพวกนั้นได้โผล่ออกมากันพอดี ผมพุ่งพรวดเข้าไปตะครุบแขนของเขาแน่น หมายว่าจะต้องลากออกไปให้ได้

“หุบปากซะ!”

“ฮึก อึก…อ๊าก!”

ชองโฮฮยอนขัดขืนสุดแรง แต่แล้วทันใดนั้นเจ้าตัวก็หยุดชะงักไปราวกับถูกบางอย่างครอบงำ สายตาของเขามองผ่านไหล่ผมไป ผมจึงรีบหันขวับกลับไปมองข้างหลังทันทีอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกได้ว่าตอนเข้ามาในห้องไม่ได้ปิดประตูให้สนิท บานประตูเลยแง้มออกประมาณหนึ่งถึงสองคืบ ใบหน้าเน่าเฟะสีม่วงคล้ำดำเขียวมากมายกำลังจ้องมาที่เราผ่านช่องประตูนั้น

สายเกินไปแล้ว นั่นคือสิ่งแรกที่ผมคิด พวกเราเอะอะโวยวายกันดังเกินไป แถมยังลีลาชักช้าเกินไปอีก

“อะ…อะ…”

ลมหายใจของเขาสะดุดราวกับสติหลุดลอยไปแล้วกับภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้า ผมขบกรามแน่น ก่อนจะพรูลมหายใจหอบถี่ลอดไรฟันออกมา

“ชองโฮฮยอน ก็ฉันบอกแล้วไงว่าให้รีบออกไป!”

เขาตัวสั่นเทิ้มขณะหันกลับมามองผม แทนที่จะได้สติ เขากลับตื่นกลัวยิ่งกว่าเดิม เสียงฟันกระทบกันกึกๆ ดังมาถึงหูของผม

“ชะ…ชื่อผม…คุณรู้ได้ยังไง”

บานประตูเปิดผ่างออกกว้าง พวกมันหลายตัวแกว่งแขนขากรูเบียดกันเข้ามา ห้องในหอพักทั้งแคบและเป็นพื้นที่ปิดจึงไม่มีที่ให้วิ่งหนี

“เฮือก…ฮึก…”

ชองโฮฮยอนที่สติหลุดไปแล้วเซถลาไปพิงหน้าต่างโดยไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนให้ตรง เขาคลำด้านหลังแล้วเปิดหน้าต่างออก ลมเย็นในฤดูหนาวพัดเข้ามาด้านใน ขนบริเวณท้ายทอยและแผ่นหลังของผมลุกเกรียว เขาพิงหน้าต่างที่สูงระดับเอวด้วยแววตาเลื่อนลอยจนผมสังหรณ์ใจไม่ดี

“ชองโฮฮยอน?”

ในวินาทีถัดมาร่างกายท่อนบนของชองโฮฮยอนก็เสียหลักจนโงนเงนไปข้างหลัง ผมสีน้ำตาลกับเสื้อยืดสีขาวของเขาปลิวไปตามแรงลม โดยมีพื้นหลังเป็นภาพวิทยาเขตในฤดูหนาวอันเงียบเหงากับท้องฟ้าสีขมุกขมัวที่ทอดยาวไปไกลอยู่เบื้องหลัง วินาทีนั้นในหัวของผมพลันขาวโพลนไปหมด

“จับมือฉันไว้”

ผมยื่นร่างกายท่อนบนออกไปนอกหน้าต่างแล้วเอื้อมมือออกไปสุดแรง โดยไม่ได้นึกถึงพวกตัวประหลาดที่พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังในเวลานี้เลยสักนิด

“จับฉันไว้!”

ผมตะคอกสุดเสียง เราสบตากันกลางอากาศที่มีสายลมเย็นยะเยือกพัดโหมกระหน่ำ ชองโฮฮยอนมองผมอย่างเหม่อลอยก่อนจะยื่นมือออกมา ทว่าระยะห่างนั้นกลับไกลเกินไปจนเราเอื้อมไม่ถึงกัน ปลายนิ้วของเขาข่วนผ่านข้อนิ้วของผมไปเพียงเสี้ยววินาที และนั่นคือทั้งหมดที่ผมทำได้

“…”

ผมตัวแข็งทื่อนิ่งค้างอยู่ในท่าที่ยื่นมือออกไปข้างล่างพลางก้มมองดูเขาที่ค่อยๆ ห่างออกไปอย่างคว้าเอาไว้ไม่ถึงด้วยแววตาที่ว่างเปล่า มือที่เหมือนกับคราดเกี่ยวจับต้นคอของผมจากทางด้านหลัง ความปวดร้าวที่เชือดเฉือนหัวใจแผ่ซ่านออกไปทั่วร่างไม่ทันไร เบื้องหน้าก็พลันมืดสนิทราวกับฉากจบของหนังเลือดสาดทุนต่ำที่มีแค่เลือดกับศพ

ผมเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอน ผ้าห่มที่คลุมตัวไว้ลวกๆ เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ผมตกอยู่ในสภาวะตื่นตระหนกจนลืมแม้กระทั่งหายใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพรูลมหายใจออกมารวดเดียวราวกับคนที่จมน้ำแล้วถูกดึงขึ้นมา

“เฮือก…แฮก…”

ผมฝังใบหน้าลงบนฝ่ามือพร้อมกับหอบหายใจ รูมเมตที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามบิดตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ผมยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยกว่าที่เขาจะกลายร่าง พักหายใจหายคอสักเดี๋ยวแล้วค่อยฆ่าทีหลังก็ยังได้ ความคิดแบบนั้นผุดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

ผ่านไปอึดใจใหญ่กว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้อย่างยากลำบาก ผมค่อยๆ ลดมือที่ปิดหน้าลง ก่อนจะเห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตรงนิ้วมือ ซึ่งมันเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เล็บของชองโฮฮยอนข่วนเข้า

ผมจัดระเบียบความคิดขณะปล่อยให้เสียงโอดครวญของรูมเมตทะลุผ่านหูไป ถึงจะลองคิดทบทวนอีกสักกี่ครั้ง บทสรุปที่ออกมาก็ล้วนมีแต่เรื่องที่ดูสมจริงเสมอ ยุคนี้แล้วขนาดการ์ตูนหรือเกมเขายังไม่ค่อยใช้ฉากพวกนี้เลยไม่ใช่หรือไง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมรับมัน ถึงจะบ้าบอคอแตกขนาดไหน แต่สุดท้ายมันก็เป็นความจริงสำหรับผม และในที่สุดผมก็ได้ข้อสรุปกับตัวเอง

ช่วงเวลาที่ชองโฮฮยอนตาย ทุกสิ่งทุกอย่างจะย้อนกลับมาในเช้าวันคริสต์มาส

และจะมีเพียงผมแค่คนเดียวเท่านั้นที่จำเรื่องราวทั้งหมดนั้นได้

 

ผมออกจากห้องโดยทิ้งศพของรูมเมตไว้เบื้องหลัง ก่อนจะเดินไปตามโถงทางเดินที่ไม่ต่างไปจากภาพในความทรงจำเลยแม้แต่สักนิด หน้าห้องของชองโฮฮยอนที่ผมเดินมาถึงยังคงสะอาดเอี่ยมราวกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์สยองขวัญมาก่อน ผมจะเปิดประตูบานนั้นดีไหมนะ ถ้าเปิดไปก็อาจจะลงเอยแบบเดียวกับคราวก่อน ชองโฮฮยอนที่หลับสนิทจะตกใจตื่นขึ้นมาแล้วก็จะมองผมเป็นผู้บุกรุกที่ชั่วร้ายอีกล่ะสิ แต่ถ้าผมไม่เปิดล่ะ

ผมถอยห่างจากประตูเงียบๆ แล้วเดินผ่านห้องเขาไปราวกับมองไม่เห็นมันตั้งแต่แรก

ผมตัดสินใจแล้วว่าห้องในหอพักนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่เลยสักนิด ผนังเก็บเสียงนี่ก็เก่าซอมซ่อ ส่งเสียงดังทีได้ยินไปถึงโถงทางเดิน แค่ทุบหรือถีบสักสองสามครั้งโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไร บานประตูก็พร้อมพังโครมลงมาทันที ผมขึ้นไปที่ห้องอาบน้ำรวมชั้นบนเพราะที่นั่นมีประตูเหล็กที่แข็งแรงซึ่งเป็นระบบดิจิตอลดอร์ล็อก แล้วผมก็เพิ่งนึกถึงโพสต์อิตรูปแอปเปิ้ลที่ติดอยู่บนขอบจอมอนิเตอร์ในสำนักงานขึ้นมาได้

หน้าห้องอาบน้ำรวมมีพวกนักศึกษาที่ดูท่าคงจะมีความคิดคล้ายกับผมยืนรวมกลุ่มกันอยู่ พวกนั้นวิ่งหนีตายมาและกำลังยืนหันรีหันขวางเพราะไม่รู้วิธีเปิดประตู ผมผลักพวกนั้นออกไปแล้วไปยืนกดรหัสผ่านหน้าแป้นดิจิตอลดอร์ล็อก

ปิ๊บๆๆ ติ๊ด…แกร๊ก…

ประตูเหล็กบานหนาเปิดอ้าออกอย่างง่ายดาย

“รู้ได้ไง…”

คนอื่นๆ พากันกลอกตามองกันอย่างนึกฉงน ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป โพสต์อิตที่เขียนตัวเลขแค่สี่หลักหรือรหัสผ่านนั้นคือภาพที่ชองโฮฮยอนจ้องมองมันในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต และหัวใจของผมก็หยุดเต้นมาแล้วครั้งหนึ่งกว่าจะได้รู้รหัสผ่านนั้น

ผมเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้วล็อกประตู เราถูกตัดขาดจากข้างนอกพร้อมกับเสียงหนักๆ ของประตู คนอื่นเหลือบมองและลอบสังเกตผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ดูเหมือนว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นจะรู้จักผม เธอทำท่าลังเลขณะเรียกผมว่า ‘รุ่นพี่คียองวอน’ อะไรเทือกนั้น แต่ขอโทษที ผมไม่ได้ว่างมากพอที่จะมานั่งโต้ตอบเรื่องแบบนั้นเป็นฉากๆ ไม่สิ…ความจริงแล้วผมไม่ได้รู้สึกขอโทษอะไรด้วยซ้ำ

ทุกคนล้วนหมกตัวอยู่ในห้องอาบน้ำเงียบๆ ผมรู้สึกดีใจเพราะคิดว่าหนีรอดปลอดภัยจากพวกตัวประหลาดที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกแล้ว แต่นั่นมันก็แค่แวบแรกเท่านั้น พอหนีจากอันตรายที่กระชั้นชิดตรงหน้าได้ก็ยังมีปัญหาอื่นตามมาอีก

ห้องอาบน้ำไม่มีของกิน สิ่งที่มีอยู่มีเพียงแค่น้ำก๊อก สบู่ และแชมพูเท่านั้น กลุ่มคนที่ทรมานกับความหิวโหยและหลงลืมความกลัวจนหมดสิ้นก็เกิดใจกล้าขึ้น

“ไปหาของกินเหอะ ก่อนที่เราจะอดตายกันหมด”

“แล้วเราจะไปหาจากที่ไหนเหรอครับ”

“นอกจากร้านสะดวกซื้อชั้นหนึ่งแล้ว ยังจะมีที่อื่นอีกหรือไง โรงอาหารก็เห็นว่าฉิบหายไปหมดแล้ว คงไปหาเอาที่นั่นไม่ได้หรอก ตอนนี้ไปกวาดของในร้านสะดวกซื้อมาให้หมดก็พอ”

ไอ้เวรทรงอันธพาลคนหนึ่งพูดพล่ามออกมาไม่หยุด ดูท่ามันจะเข้าใจว่าตัวเองเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ ผมไม่ได้จำชื่อมันเพราะรู้สึกว่าไม่ได้มีค่าพอให้ต้องจดต้องจำขนาดนั้น

“ถ้าคนอื่นเอาไปหมดแล้วจะทำยังไงล่ะคะ”

“สติแตกกันขนาดนั้น จะมีใครมาคิดเรื่องปล้นร้านสะดวกซื้อบ้างวะ คนอื่นคงวุ่นอยู่กับการหนีกันหมดแหละ ไม่มีใครคิดได้หรอก ยกเว้นแต่พวกที่หาสถานที่กำบังที่ปลอดภัยแบบพวกเราได้น่ะ”

เขาไม่ได้พูดถูกต้องทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้พูดผิดเสียทีเดียว ในสถานการณ์ที่อันตรายถึงตายจริงๆ เรื่องความหิวไม่ได้อยู่ในสารบบความคิดเลยแม้แต่น้อย เหมือนอย่างชองโฮฮยอนที่นั่งหลับตาอย่างอ่อนแรงอยู่กลางแอ่งเลือด ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะลืมมันอยู่หลายครั้ง แต่ภาพอันน่าเศร้าสลดนั้นก็วกกลับเข้ามาอีกครั้งจนผมต้องหลับตาลงแน่น

“เข้าใจแล้วค่ะ สมมติว่าถ้าจะออกไปกัน แต่ใครจะเป็นคนออกไปเหรอคะ”

คำถามชวนแตกหักถูกโพล่งขึ้นมา ทำเอาต่างคนต่างชำเลืองมองกันอย่างอึดอัดใจ

“เป่ายิงฉุบตัดสินไหมล่ะ หรือจะจับสลาก? หรือโหวต?”

“ระ…รุ่นพี่ครับ เอ่อ ขอโทษนะครับ ยูจินน่ะ…ช่วยเว้นยูจินไว้สักครั้งได้ไหมครับ”

เด็กหนุ่มลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดปากพูดพร้อมกับดันเด็กสาวที่ตัวเองช่วยประคองอยู่ไปไว้ด้านหลัง

“ฮะ? นี่ ไอ้หนูพัคกอนอู แกว่ามันฟังดูเข้าท่าไหมวะ สถานการณ์แบบนี้ใครหน้าไหนเขายกเว้นกัน”

“แต่ตอนนี้ยูจินไม่สบายหนัก…”

“เฮอะ ให้ตายสิ ก็อย่างว่าแหละนะ สถานการณ์แบบนี้แม่งต้องมีพวกสมองทึบแบบนี้คนนึงติดมาด้วยอยู่แล้วล่ะนะ”

เขาถอนหายใจอย่างหมดคำจะพูด จากนั้นก็ชักสีหน้าแล้วแกล้งเงื้อมือใหญ่เท่าฝาหม้อขึ้นมาหมายจะตบอีกฝ่าย

“ไอ้ทึ่มไร้ประโยชน์เอ๊ย”

เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง ก่อนจะถอยกลับไป เขาวิงวอนขอให้ละเว้นแฟนสาวของตัวเองเอาไว้และอาสาจะไปแทนเองในครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าโดนปฏิเสธไปตามระเบียบ ‘เป็นห่าอะไรมากนักวะ สารรูปแบบนั้นยังจะมาทำตัวเป็นพระเอกอวดว่าเป็นคู่รักกันอีก’ ผมได้ยินแค่คำด่าทำนองนั้นไหลผ่านหูจนรู้สึกสมเพชในใจ

สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเป่ายิงฉุบเลือกสองคนที่จะออกไปข้างนอก ทุกคนจึงมารวมตัวเป็นวงกลมในห้องอาบน้ำกว้างๆ

“กรรไกร…ค้อน…”

ช่างเป็นภาพที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ตึงเครียดที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างแรง มองไกลๆ แล้วดูเหมือนมาเข้าค่ายกันเลยไม่ใช่หรือไง แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของทุกคนก็ดูคร่ำเครียดกันสุดๆ

“กระดาษ!”

ทุกคนยื่นมือออกมาพร้อมกัน ความเงียบไหลผ่านไปชั่วอึดใจ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่จุดเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือพวกเขากำลังจ้องมาที่ผม

“…”

มีเพียงผมคนเดียวที่ไม่ยกมือ มือของผมไม่ได้ขยับเขยื้อน และไม่ใช่แค่มือเท่านั้นที่ไม่ขยับ ผมกระดิกตัวไม่ได้ราวกับเป็นอัมพาต หัวเข่าของผมล้มพับลงอย่างอ่อนแรง หัวใจเต้นกระหน่ำจวนจะระเบิด และทุกครั้งที่ชีพจรเต้น ผมก็รู้สึกเจ็บราวกับเส้นเลือดทั่วร่างกายกำลังฉีกขาด

“เฮือก…”

ร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง ผมทรุดลงกับพื้นอย่างหมดหนทาง เพดานห้องอาบน้ำหมุนคว้าง ภาพของคนที่มองผมด้วยแววตาตกใจถูกทาทับด้วยสีดำจนผมมองอะไรไม่เห็นอีกต่อไป ก่อนที่ผมจะคิดขึ้นมาได้ท่ามกลางสติอันเลือนรางจวนเจียนจะดับวูบ

อา…แม่ง ไอ้บัดซบชองโฮฮยอน

 

ผมพบกับชองโฮฮยอนอีกครั้ง ก่อนจะแกล้งทักทายครั้งแรกและแนะนำตัวกัน

“ผมชื่อชองโฮฮยอนครับ ภาควิชาบริหารธุรกิจ”

เสียงสุภาพเรียบร้อยนั้นตราตรึงอยู่ในใจผมราวกับถูกสลักไว้ในหู

ผมยังคงไม่เข้าใจเหตุผลที่เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น แต่ผมรู้อยู่อย่างหนึ่ง ในระบบจินตนาการสุดเฮงซวยนี่ ผมต้องใช้หนทางไหนก็ได้เพื่อช่วยชีวิตชองโฮฮยอน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ผมจะต้องตาย

ถึงผมตายก่อนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะยังไงตัวกลางของการวนลูปนี้ก็คือชองโฮฮยอน ตราบใดที่เด็กนั่นหนีความตายไม่พ้นและไม่รอดชีวิตไปจนถึงจุดจบ ลูปนี้ก็จะดำเนินต่อไปไม่จบไม่สิ้น ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมถูกลากจากความมืดมิดมาอยู่ในเช้าวันใหม่ของวันคริสต์มาส

แต่ถึงผมจะตัวติดอยู่กับเขาก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลยสักนิด ผมก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับชองโฮฮยอน เว้นแต่เรื่องที่ผมมีประสบการณ์ในช่วงเวลาอื่นและย้อนเวลากลับมาได้หลายครั้ง ผมไม่ได้มีพลังพิเศษ และไอ้พวกเวรนั่นก็ไม่ได้อ่อนแอลง เรื่องที่ย้อนเวลากลับมายังจุดเริ่มต้นนั้นเป็นเหมือนโลกแฟนตาซีไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่โลกนี้แม่งโคตรสมจริง

เด็กนั่นคือบทลงทัณฑ์จากสวรรค์สำหรับผม ไม่มีคำไหนที่จะนิยามเด็กนั่นได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว วันดีคืนดีจู่ๆ ก็มีหายนะโผล่เข้ามาโดยไม่มีเค้าลางบอกเหตุใดๆ ถ้าไม่ใช่เทวทัณฑ์แล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก ผมไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบฉบับของคนดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตเลวบัดซบถึงขนาดที่จะต้องได้รับการลงทัณฑ์แบบนี้ นับได้ว่าไม่มีเรื่องไหนเฮงซวยไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

เราไปที่ห้องซักรีดกับห้องอาบน้ำเพื่อหาทางยังชีพ ทั้งยังเคยไปห้องอ่านหนังสือกับร้านสะดวกซื้อ แถมยังเคยพรวดพราดผ่านล็อบบี้เพื่อลองวิ่งหนีออกจากประตูหน้าหอพัก หรือแม้แต่ขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า พวกเราก็เคยลองทำมาหมดแล้ว บางครั้งถ้าโชคดีก็จะหนีออกจากหอพักได้สำเร็จแล้วก็จะได้ไปที่อื่นต่อ

พวกศัตรูอยู่ชั้นไหน แต่ละชั้นมีจำนวนเท่าไหร่ ผ่านเส้นทางไหนแล้วอันตราย ต้องเปิดประตูที่ล็อกอยู่ยังไง ใช้อาวุธแบบไหนถึงจะได้ผล ผมจดจำเรื่องเหล่านั้นทีละอย่างผ่านร่างกาย โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนราคาสูงลิบลิ่วเพื่อบทเรียนเหล่านั้น

พวกเรามีทั้งช่วงเวลาที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดกันแค่สองคน และมีทั้งช่วงเวลาที่ไปเข้าร่วมกลุ่มกับคนอื่นอีกหลายคน บางครั้งชองโฮฮยอนช่วยชีวิตผม บางครั้งผมก็ช่วยชีวิตชองโฮฮยอน เพียงแต่เขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และนั่นรวมถึงผมด้วย แต่สำหรับผมแล้ว คนอื่นจะออกไปตายห่าหมดก็ไม่เป็นไร ผมปรารถนาเพียงแค่ให้ชองโฮฮยอนมีชีวิตอยู่รอดเพียงคนเดียวก็พอ

ระหว่างที่เผชิญหน้ากับช่วงเวลาอันน่าสยดสยองมากมาย เด็กนั่นไม่เคยทอดทิ้งผมเลยสักครั้ง แต่นอกจากจะไม่ขอบคุณแล้ว ผมกลับรู้สึกรังเกียจความช่วยเหลือจากเขา พอเขาสละตัวเองมาช่วยชีวิตผมอย่างไม่ลังเลจนตัวตาย ฉากจบที่ผมจะเดินทางไปถึงก็มีอยู่แค่อย่างเดียว

ผมมักจะบาดเจ็บสาหัสอยู่บ่อยๆ ชองโฮฮยอนก็เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือบาดแผลของชองโฮฮยอนจะเลือนหายไปจนหมดเกลี้ยงพร้อมกับความทรงจำ ในขณะที่บาดแผลของผมจะกลายเป็นแผลเป็นที่ติดอยู่บนร่างกาย

หลังจากฟื้นคืนชีพและตื่นขึ้นในห้องโดยไม่มีส่วนไหนบุบสลาย ความรู้สึกก่อนตายจากรอบก่อนจะยังคงหลงเหลืออยู่ ตอนที่ถูกกัดแขนจนขาดทั้งท่อนย้อนกลับมาใหม่ ผมจับแขนข้างที่ตอนนี้สมบูรณ์ไร้ตำหนิแน่นแล้วดิ้นพล่านอยู่บนเตียงพลางกล้ำกลืนเสียงร้องคร่ำครวญ หลังจากสิ่งปลูกสร้างถล่มลงมาทับขาจนแหลก ผมก็ไม่กล้าหย่อนเท้าลงบนพื้นใต้เตียงอยู่พักใหญ่

ผมเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสรุปแล้วเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงใช่ไหม ไม่ใช่ว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องจริงความจริงแล้วเป็นเพียงแค่ฝันร้าย หรือทะลุเข้าไปอยู่ในแอนิเมชั่นไม่ก็เกมคุณภาพต่ำหรอกนะ ทุกครั้งที่คิดว่ามันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ผมพลันรู้สึกเหมือนตัวเองจะกลายเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ

ผมพยายามเบือนหน้าหนีความสิ้นหวังที่ตามติดเป็นเงา และยึดติดกับชองโฮฮยอนหนักขึ้นทุกทีๆ ถึงจะไม่ชอบใจแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นกุญแจดอกเดียวที่จะหาทางออกให้กับสถานการณ์นี้ได้

ทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเขาฝังรากลึกอยู่ในสมองของผม แก้มที่ยังคงมีขนอ่อนเหลือติดอยู่ ดวงตาที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน หรือแม้แต่จุดสีดำเล็กๆ ใต้ตาข้างซ้าย ต่อให้ผมจะหลับตาอยู่ ภาพเหล่านั้นก็ยังคงปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างเลือนราง ผมคุ้นเคยกับใบหน้าของเด็กนั่นมากกว่าใบหน้าของตัวเองที่เกือบลืมไปแล้วซะอีก ผมจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองส่องกระจกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

โดยรวมจากที่ดูมาทั้งหมดแล้ว น่าแปลกที่ชองโฮฮยอนไม่ได้สนใจคนอื่นเลยสักนิด มองผิวเผินครั้งแรกเขาดูเหมือนคนที่ชอบยุ่มย่ามเรื่องทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ทว่าเขากลับเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเกินคาด

เขามักจะชำเลืองมองฝ่ายตรงข้ามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางคิดคำนวณในหัว ถ้าตัดสินใจว่าเผชิญหน้ากันแล้วไม่มีประโยชน์ เขาก็จะหันหลังให้ด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้ม แถมต่อให้เป็นคนที่ไม่ถูกใจ เขาก็ยังจะทำตัวโอนอ่อนและเอาอกเอาใจประมาณหนึ่ง พอเห็นทนโท่ว่าเขายอมอ่อนข้อให้คนอื่นเพียงเพราะแค่รำคาญ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นไปอีก

เขามีท่าทีตอบโต้ผมอย่างรุนแรงแค่ตอนที่ย้อนกลับมาครั้งแรกเท่านั้น ตอนนั้นเขามองผมที่บุกเข้าไปในห้องอย่างอุกอาจราวกับมองฆาตกรโรคจิต หลังจากแกล้งทำเป็นทักทายกันตามปกติตามประสาคนเพิ่งเจอกันครั้งแรกจนรู้หน้าค่าตากันแล้ว เขาก็จะเลิกสนใจผมไปเองโดยปริยาย

ถึงแม้ว่าเขาจะหวาดระแวงผม แต่ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นแบบนี้ เขาก็จำต้องติดสอยห้อยตามไปด้วยอย่างเสียไม่ได้ สำหรับเขาแล้วผมก็เป็นแค่รุ่นพี่ที่เขาไม่ถูกชะตา เป็นแค่คนที่เขาจะยอมพูดและปฏิบัติด้วยอย่างนอบน้อม แต่จะไม่มีทางเอาตัวเข้ามาใกล้ชิดมากกว่านี้เด็ดขาด ตัวตนของผมสำหรับชองโฮฮยอนก็เป็นเช่นนั้น ไม่ได้มากหรือน้อยไปกว่านั้น

โคตรไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ผมรู้จักเด็กนั่นดียันสีกางเกงใน รู้ขนาดที่ว่าเด็กนั่นชอบพาดของลับเอียงไปทางฝั่งไหน ส่งเสียงครางยังไงตอนกระอักเลือด และทำสีหน้าแบบไหนตอนที่ลมหายใจกำลังจะสิ้นสุดลง

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือคับแค้นใจอะไรเขานักหรอก ผมก็แค่เกลียดเขามากกว่าที่เขาเกลียดผมสักสิบเท่าก็แค่นั้นเอง

 

และแล้วครั้งนี้ก็ล้มเหลวอีกเช่นเคย

ผมกับชองโฮฮยอนกำลังวิ่งหนีไปตามแนวโถงทางเดินของหอพัก ยังไม่ทันได้ทิ้งระยะห่างจากพวกที่ไล่ตามหลังมา พวกตัวใหม่ๆ ก็ปรากฏตัวเพิ่มเข้ามาอีก ผมคิดว่าตัวเองเลือกเส้นทางผิด แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ซากศพวิ่งเบียดเสียดออกมาเป็นพรวนจากทุกที่ที่เราไป

ไม่นานเราก็มาถึงจุดที่เป็นทางตันซึ่งก็คือชั้นบนสุด ทั้งโถงทางเดินด้านหลังและบันไดจากชั้นล่างขึ้นมานั้นเต็มไปด้วยพวกมัน เราอยู่ในสถานการณ์ที่จนตรอก ชองโฮฮยอนหันมามองผมด้วยใบหน้าซีดเผือด ระหว่างนั้นพวกมันก็ร่นระยะห่างเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่หนึ่งในพวกเวรนั่นจะคว้าจับข้อมือของชองโฮฮยอนไว้ได้

“อ๊าก!”

ชองโฮฮยอนตกใจและพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ผมยื่นมือออกไปเพื่อช่วยเขา แต่ขาผมก็ถูกตะครุบไว้เสียก่อน พวกที่ล้อมรอบเราอ้าปากกว้างราวกับกำลังรออยู่แล้ว น้ำลายเน่าเยิ้มไหลหยดลงมาเป็นทาง ผมพลาด ทุกอย่างจบเห่แล้ว ขณะนั้นความสิ้นหวังกำลังเกาะกุมจิตใจของผม

พวกนั้นพุ่งเข้ามาอย่างหิวกระหาย ร่างของชองโฮฮยอนถูกฝูงซอมบี้บดบังจนผมแทบมองไม่เห็น ส่วนต่างๆ ของร่างกายถูกฉีกทึ้งออกไปพร้อมกับความเจ็บปวดอันแสนสาหัส

“ระ…รุ่นพี่”

ผมกับเขาสบตากันท่ามกลางแขนขาจำนวนมากมายที่ขยับไปมายั้วเยี้ย ดวงตาของชองโฮฮยอนกำลังบอกผมอย่างร้อนรน

‘ถ้าต้องถูกกัดฉีกจนตายแบบนี้ ขอ…’

เราเค้นแรงเฮือกสุดท้ายสะบัดพวกมันแล้วกระโจนลงไปที่บันไดข้างล่าง ร่างของเราลอยหวืออยู่กลางอากาศ ภาพของพวกมันที่ตะเกียกตะกายยื่นมือออกมาผ่านราวบันไดค่อยๆ ไกลห่างออกไป ไร้สิ่งกีดกั้นใดระหว่างที่ตกจากชั้นบนสุดลงไปจนถึงชั้นล่าง

ตุบ!

แรงกระแทกอันน่าสยดสยองปะทะเข้ากับร่างทั้งร่าง

“ฮึก…อึก”

ผมคลานไปบนพื้นในสภาพปางตาย ช่วงขาไม่มีความรู้สึกเลยสักนิด ดูท่าเส้นประสาทคงจะถูกตัดขาดไป ไม่สิ…อาจจะถูกฉีกทึ้งออกไปหมดแล้วก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเหตุผลไหน ผมก็ไม่อยากก้มลงไปดูทั้งนั้น เพราะอีกไม่นานหัวใจของผมก็คงจะหยุดเต้นไปอีกครั้ง

ร่างของชองโฮฮยอนนอนแผ่อยู่ตรงหน้าผม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เปลือกตาที่ยังไม่ได้ปิดลงเหม่อมองอากาศอันว่างเปล่านิ่ง ผมยื่นมือที่สั่นเทาออกไปหมายจะเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย ทว่าวินาทีที่เอื้อมมือไปถึง แก้มของเขาก็ได้เลอะไปด้วยเลือดอย่างน่าเจ็บปวด ผมไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งมือของผมจะต้องมาเปื้อนเลือดของเขา

วินาทีนั้นเองดวงตาของชองโฮฮยอนเริ่มขยับ ผมนึกว่าเขาหมดสติไปแล้ว เขากลอกตามามองผมช้าๆ มุมปากที่ฝืนเผยอออกอย่างหมดแรงยกขึ้นแผ่วเบาราวกับว่าเขากำลังพยายามยิ้มให้ผมอยู่ หลังจากนั้นริมฝีปากของเขาก็ขยับเบาๆ

“…”

ในใจผมรู้สึกอัดอั้นไปหมดเพราะไม่รู้ว่าเขาพูดว่าอะไร ผมพยายามขอให้เขาพูดเสียงดังอีกครั้ง แต่สิ่งที่ออกมาจากปากเขาก่อนกลับเป็นเลือดที่ทะลักออกมาจากหลอดลม ผมหอบหายใจ ก่อนจะกระอักลิ่มเลือดออกมาไม่ต่างกัน

นั่นคือการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย ชองโฮฮยอนมองผม ริมฝีปากของเขาเผยอออกเล็กน้อย ก่อนจะไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป

“ฮึก…”

ผมหายใจรวยรินออกมาเป็นเฮือกสุดท้าย ใบหน้าของชองโฮฮยอนที่เห็นตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนไป ไม่นานนักโลกก็ถูกความมืดเข้าครอบครองโดยสมบูรณ์ ฉากจบแบบแบดเอ็นดิ้งได้วกกลับมาอีกครั้ง

ผมฟื้นขึ้นอย่างที่เคยเป็นมาตลอด ผ้าห่มอุ่นๆ คลุมทับร่างกายกับต้นแขนที่มีเหงื่อเปียกชุ่ม ผมสลัดผ้าห่มออกจากตัวอย่างนึกรำคาญ ก่อนจะยกฝ่ามือที่เปียกชุ่มวางก่ายหน้าผากเพราะเสียงครวญครางแหลมสูงระคายเคืองหู ผมปิดหูของตัวเองโดยอัตโนมัติ คราวนี้เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นเสียงรบกวนที่แตกพร่าเหมือนยัดเครื่องขยายเสียงพังๆ เข้าไปอยู่ในหัวแทนสมอง

รูมเมตที่นอนอยู่เตียงตรงข้ามร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจนผมต้องขดตัวอุดหูพลางก่นด่าออกไป

“เงียบ…”

อาการหูแว่วนอกจากจะไม่ลดลงแล้วยังรุนแรงขึ้นไปอีกระดับ ผมรู้สึกคลื่นไส้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา

“บอกให้เงียบไงวะ”

ผมจ้องแผ่นหลังของเขาที่นอนตะแคงหันหลังให้อยู่ จู่ๆ เลือดก็พุ่งผ่านอากาศมาราวกับน้ำพุแล้วสาดกระเซ็นมาใส่ตัวผมไม่ต่างจากซีนที่เกินจริงราวกับหนังเลือดสาด ไม่เพียงเท่านั้น เวลาจ้องมองที่ใดที่หนึ่งนานๆ ภาพตรงหน้าก็จะเริ่มบิดเบี้ยวชวนเวียนหัว ผนังกับเพดานคล้ายละลายมารวมกัน ร่างของพวกตัวประหลาดที่ผมฆ่าตายกำลังดิ้นยั้วเยี้ยอยู่กลางอากาศ ทุกหนทุกแห่งที่สายตาของผมมองเห็นคือนรก

ตอนนี้ผมไม่ตกใจอีกต่อไปแล้วกับการที่คนตายฟื้นขึ้นมาแล้วพยายามจะจับผมกิน ทุกครั้งที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมา ผมจะหูแว่วและเห็นภาพหลอนจากการท่องไปในอดีต ผมโงนเงนลุกขึ้นยืนโดยที่เสียงรบกวนนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่องอยู่ข้างหู

“นายไม่เบื่อบ้างเหรอที่ต้องมาทำห่าอะไรแบบนี้ทุกรอบเนี่ย”

มีเพียงเสียงครางฮือที่ตอบกลับมาจากฝั่งตรงข้าม ผมจึงชักสีหน้า

“ไม่ตอบ?”

“อึก…แค่ก…”

“ถ้าไม่ตอบ อย่างน้อยก็หัดอยู่ให้มันเงียบหน่อยสิวะ”

“กรรร…”

“อ๋า นายตายห่าไปแล้วเลยตอบไม่ได้งั้นสินะ”

ผมคว้ามีดแกะสลักบนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปใกล้ขอบเตียง เขายังไม่กลายร่างโดยสมบูรณ์ เดี๋ยวอีกสักพักเขาจะไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาก็ยังเป็นคนที่มีลมหายใจอยู่ ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเขาก็เป็นคนที่ไม่มีวิถีทางรักษา และกำลังทรมานกับโรคสายพันธุ์ใหม่ที่มีอัตราการตายหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมจึงตัดสินใจปักมีดลงไปที่คอของเขาอย่างไม่ลังเล

“แค่ก!”

นี่เหมือนเป็นมอนสเตอร์ฝึกสอนในเกมเลย มันจะปรากฏขึ้นทุกครั้งที่เริ่มเกม หลังจากปฏิบัติภารกิจและอธิบายวิธีการจัดการเบื้องต้นเสร็จก็จะตาย ตอนนี้ผมได้เรียนรู้แล้วว่าจะฆ่าหลังจากกลายเป็นตัวประหลาดหรือฆ่าตอนนี้ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน

“บอกให้เงียบไงวะ ยังไม่เงียบอีก ฮะ? แม่งเอ๊ย เงียบหน่อยสิวะ!”

ฉึก ฉึก ฉึก!

คมมีดตัดผ่านเนื้ออย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ผมได้เทคนิคในการเด็ดหัวพวกมันแล้ว

คอของมนุษย์แข็งแรงเกินคาด บางทีใช้ขวานหรือเลื่อยฟันลงไปหลายครั้งก็ยังตัดไม่ขาด การเล็งไปตรงกลางลำคอที่มีกล้ามเนื้อและกระดูกช่วยปกป้องอยู่นั้นไม่ได้ผล การแทงคมมีดลงไปบริเวณเนื้ออ่อนๆ ใต้คางแทนแล้วกรีดไปตามแนวกล้ามเนื้อจึงเป็นวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเคยเรียนในคลาสดรอว์อิ้งขั้นพื้นฐานเมื่อนานมาแล้ว ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะได้เอามันมาใช้จริงๆ แบบนี้

“แฮกๆ เฮ้อ…”

ผมใช้ข้อมือเช็ดคางแล้วหยัดตัวลุกขึ้น เลือดกระเซ็นเลอะเต็มแขนกับใบหน้า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับผมในตอนนี้เลยสักนิด รูมเมตแน่นิ่งไปพักใหญ่ เขาถูกกระหน่ำแทงอย่างหนักหน่วงจนทั่วทั้งห้องกลายเป็นแอ่งเลือด แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือขยะแขยง กลับกันแล้วผมไม่ได้สนใจมันเลยสักนิดราวกับกำลังดูภาพผ่านจอสกรีน

“…”

ผมทรุดฮวบลงบนเตียงแล้วปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ความคลุ้มคลั่งที่เดือดพล่านยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ภาพตรงหน้าที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงกำลังบิดเบี้ยว ก่อนจะเห็นเป็นกะโหลกลอยขึ้นมาเหนือท้ายทอยของรูมเมตที่นอนแน่นิ่ง ก่อนที่ภาพนั้นจะพร่าเบลอไปราวกับโฮโลแกรมคุณภาพต่ำ กะโหลกนั้นถูกตัดตามแนวทแยงจนผ่าครึ่งออกเป็นสองซีก ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป ช่างเป็นภาพหลอนที่บ้าบอเสียจริง

“ฮะๆ ฮ่าๆๆๆ”

ผมระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง สถานการณ์นี้มันน่าขำสิ้นดี มันน่าขำจนผมทนไม่ได้ถ้าไม่ได้หัวเราะ เสียงรบกวนที่ได้ยินต่อเนื่องก่อนหน้านี้ดังแทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะของผม

ในที่สุดผมก็หยุดหัวเราะแล้วลุกพรวดขึ้น ก่อนจะมุ่งตรงไปที่ห้องน้ำพร้อมกับเลือดที่ไหลหยดลงจากปลายนิ้ว ยังไงซะผมก็ต้องออกจากห้อง ต้องออกไปพบชองโฮฮยอน ถ้าจะแกล้งทำเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว หรือถ้าจะเล่นละครแสร้งเป็นคนที่หมกตัวอยู่ในห้องแล้ววิ่งหนีออกมาหน้าตาตื่น ถ้าจะทำอย่างนั้นผมต้องล้างเลือดบนตัวให้สะอาดซะก่อน

ผมยืนอยู่ใต้ฝักบัวที่มีน้ำไหลลงมาไม่ขาดสาย ทุกครั้งที่ถูใบหน้ากับแขนครั้งหนึ่งก็จะมีสีแดงปะปนลงมากับน้ำด้วย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้องอาบน้ำแคบๆ เมื่อหมุนเปิดก๊อกน้ำ น้ำที่เย็นจัดจนคล้ายกับน้ำแข็งก็ค่อยๆ อุ่นขึ้นทีละน้อย ผมล้างคราบเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเสียสติราวกับคนบ้า

จู่ๆ ความทรงจำเกี่ยวกับความตายในอดีตก็แวบเข้ามา ตั้งแต่ภาพชองโฮฮยอนที่จ้องผมไม่วางตา ภาพนัยน์ตาสีน้ำตาลที่แสงในแววตานั้นจวนจะริบหรี่ลงทุกทีๆ กระทั่งภาพคราบเลือดสีแดงที่ติดเป็นรอยตามที่มือของไอ้ตัวพวกนั้นลากผ่าน

“…”

ผมก้มมองมือที่กลับมาสะอาดดังเดิม ก่อนจะยกมือทาบบนแก้มและนิ่งค้างราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ ทั้งแก้มและมือของผมเย็นเฉียบเพราะเปียกน้ำมาเป็นเวลานาน มันเย็นยะเยียบจนไม่หลงเหลือความรู้สึกใด

ผมค่อยๆ ลดมือลงมาแตะที่ริมฝีปาก ในขณะที่สายน้ำไหลเทลงมาชะล้างตัวราวกับฝนห่าใหญ่ ผมได้พยายามนึกย้อนกลับไปในอดีต สัมผัสที่แก้มของชองโฮฮยอนยามที่ปลายนิ้วผมแตะโดนมันเป็นยังไง แล้วเด็กนั่นยกยิ้มให้ผมแบบไหนกันในวินาทีสุดท้ายของชีวิต

ภาพชองโฮฮยอนที่เลือดท่วมตัวปางตาย ภาพชองโฮฮยอนที่ร้องครวญคราง ภาพชองโฮฮยอนที่ตื่นกลัวเวลาอยู่กับผม คงต้องโทษที่ผมเห็นภาพของชองโฮฮยอนในสภาพที่น่าสลดแบบนั้นมามาก ซอกมุมหนึ่งในใจของผมจึงพลันชาวูบขึ้นมาเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเด็กนั่น ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าคราวนี้เขาจะหาเรื่องพาตัวเองไปตายได้ไวขนาดไหน ผมคุ้นเคยกับการที่ชองโฮฮยอนพยายามตีตัวออกหากและหลีกหนีจากผม ทว่าในทางกลับกันแล้ว ผมก็ไม่เคยทำใจให้ชินกับมันได้เลยสักครั้ง

“ฮึก…”

บริเวณใต้ท้องน้อยของผมรู้สึกเกร็งขึ้นมา ผมก้มลงมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเห็นไอ้นั่นของตัวเองที่เริ่มแข็งโด่มาได้ครึ่งทางแล้ว ความรู้สึกที่ลืมเลือนไปนานหวนคืนกลับมา ผมมัวแต่วุ่นอยู่กับการตายแล้วฟื้นคืนกลับมามีชีวิตวนลูปซ้ำไปซ้ำมาจนลืมนึกถึงเรื่องความต้องการทางเพศไปเสียสนิท พอตระหนักได้ถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ความรุ่มร้อนในกายก็พลันลุกโหมขึ้นจนเหนี่ยวรั้งเอาไว้ไม่อยู่

ไม่มีเวลามารู้สึกละอายใจอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมใช้มือหนึ่งกำรอบแท่งเอ็นพลางเอนตัวพิงผนังกระเบื้องที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะโอบกระชับมันให้แน่นแล้วเริ่มชักรูดสองสามครั้ง ผมใช้อุ้งมือเปียกๆ ที่อุ่นชื้นคลึงตรงส่วนหัว จากนั้นจึงรูดลงมาตามความยาวของท่อนลำ ก่อนที่ผิวส่วนที่อ่อนไหวซึ่งมีเส้นเอ็นปูดโปนจะถูกรูดรั้งอย่างรุนแรง เลือดไหลเวียนและคั่งอยู่ในส่วนนั้นอย่างรวดเร็ว แนวกระดูกสันหลังผมพลันเกร็งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

พั่บๆๆ

ท่อนเนื้อที่เปียกน้ำเสียดสีกับมือรัวเร็ว ผมช่วยตัวเองไปพลางนึกถึงชองโฮฮยอนไปพลาง โดยจินตนาการว่ากำลังกดร่างของชองโฮฮยอนที่ส่ายหน้าและพร่ำพูดคำว่า ‘อย่า’ ลงบนเตียงแล้วขึ้นคร่อม จากนั้นก็ถอดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวของเขาออก

ผมนึกอยากดึงกางเกงในขาสั้นสีมิ้นต์ที่แสนน่ารักนั่นลงมาเกี่ยวที่ข้อเท้า ทว่าพอเห็นแกนกายที่ขึ้นเป็นเค้าโครงอยู่ภายใต้ชั้นในนั่นแล้ว ผมก็นึกอยากกระชากมันออกไปจากกายของอีกฝ่ายแล้วดูดอมมันอย่างหิวกระหายทันที ถึงผมจะไม่เคยแม้แต่จินตนาการภาพตัวเองตอนอมไอ้นั่นของผู้ชายมาก่อน แต่พอลองจินตนาการว่าเป็นเด็กนั่นแล้วก็รู้สึกว่าไม่เลวดีเหมือนกัน ก็ตรงนั้นของเด็กนั่นมันทั้งน่ารักและสะอาดเหมือนกับหน้าตาของเจ้าของมันไม่มีผิด

ถ้าเกิดผมอมไอ้นั่นของเขาเข้าไปลึกๆ จนหัวของผมฝังอยู่ในหว่างขาของเขา จากนั้นก็ห่อปากดูดมันแรงๆ เด็กนั่นคงจะต้องครางลั่นออกมาแน่ๆ แล้วหลังจากนั้นผมจะทำยังไงต่อดี สอดลิ้นใส่ช่องทางข้างหลังแล้วละเลงลิ้นตรงนั้นแรงๆ หรือจะสั่งให้เขาอมของผม หรือว่าจะแหวกแก้มก้นกลมกลึงนั้นออกกว้างๆ แล้วกระแทกเข้าไปให้สุดความยาวดี

ไม่ว่าผมจะทำอะไร เขาก็คงจะดีดดิ้นขัดขืนแล้วก็ร้องไห้จนขอบตาเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา หรือไม่ก็อาจจะเกลียดผมไปเลยก็ได้ ไม่สิ…เขาต้องเกลียดผมแน่ๆ อยู่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ แบบนี้พวกเราก็จะได้เท่าเทียมกันไง

ถ้าเกิดว่าชองโฮฮยอนขัดขืนจนถึงที่สุดล่ะ ผมจะทำยังไงดีนะ ถ้าเขาบอกว่าถึงตายก็จะยังเกลียดผมล่ะ ถ้าอย่างนั้น…

…ฆ่าซะเลยดีไหม

ถึงฆ่าให้ตายยังไง เขาก็จะฟื้นกลับมาใหม่อีกรอบอยู่แล้ว แถมความทรงจำก็ยังโดนลบหายไปอีก ในเมื่อคนที่ทำให้ผมติดอยู่ในลูปเฮงซวยนี่คือชองโฮฮยอนคนเดียว ก็แค่ฆ่าให้ตายเอง ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่

“ฮึก…อึก…”

ลมหายใจร้อนผ่าวเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ผมหอบหายใจถี่ราวกับสัตว์ที่กำลังติดกับดัก ผมที่เปียกน้ำปรกหน้าผากจนบดบังการมองเห็น แต่ผมกลับไม่ว่างแม้แต่จะเสยผมด้านหน้าขึ้น

ชองโฮฮยอนตายโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ ตอนนี้เขาก็คงจะยังหลับอยู่ในห้องของตัวเอง ถ้าเขามาเห็นผมในสภาพนี้เข้าจะคิดยังไงกันนะ แม้แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจินตนาการถึงเรื่องลามกที่ห่างไกลจากความเป็นจริง ผมก็ยังนึกภาพของชองโฮฮยอนที่ไม่ทำตัวหมางเมินผมไม่ออกเลย

เขาคงจะส่งสายตาเกลียดชังพร้อมกับฝืนยกยิ้มให้ ก่อนจะพยายามเบือนหน้าหนีไปราวกับไม่ได้คิดอะไร ในขณะที่ลับหลังเขาไม่แม้แต่จะมองว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ เพราะนั่นแหละคือตัวตนของเขา

‘ผมชื่อชองโฮฮยอนครับ ภาควิชาบริหารธุรกิจ’

‘แอปเปิ้ลไงครับ…ผมชอบแอปเปิ้ลน่ะครับ’

‘เจ็บ…เฮือก ฮึก…ผมกลัวครับ ผมไม่อยากตาย…’

‘ระ…รุ่นพี่’

เสียงกระซิบของชองโฮฮยอนดังขึ้นในหัวของผม บางครั้งเขาก็แสร้งยิ้ม บางครั้งก็ร้องไห้อย่างเศร้าโศก ผมแยกแยะไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขาเป็นพวกมีอาการประสาทหลอนหรือเปล่า ผมออกแรงคลึงเคล้นแล้วชักรูดท่อนเอ็นรัวเร็ว กล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อต้นขาที่หนั่นแน่นกระตุกเกร็ง ก่อนจะสาวมือเร็วขึ้นอีกพลางหอบหายใจกระเส่า

ผมหลับตาลงแน่น ไฟห้องน้ำสีวอร์มโทนอาบลงมาบนเปลือกตาที่ปิดสนิท ผมรู้สึกเสียวซ่านขณะพยายามกล้ำกลืนเสียงครางลงไปในลำคอพลางเชิดหน้าขึ้น

“เฮือก…! อึก…”

ส่วนหัวที่หาช่องทางหลั่งไม่ได้กำลังเกร็งกระตุกอยู่ในกำมือผม น้ำเชื้อที่เคยอัดแน่นอยู่เต็มถุงเนื้อหลั่งทะลักออกมาราวกับรอเวลานี้มานาน ทุกครั้งที่เค้นท่อนลำเพื่อรีดน้ำกามออกมา ผมจะรู้สึกราวกับมีประกายไฟสว่างวาบขึ้นในหัวโดยอัตโนมัติ มันเป็นความสุขสมที่ทั้งหยาบโลนและโล่งสบาย

หลังจากปลดปล่อยเสร็จแล้ว ผมก็ปล่อยมือที่จับแกนกายออก สายน้ำได้ชำระน้ำกามทิ้งไปทันที ของเหลวสีมุกไหลหยดลงเป็นหยดๆ ผสมรวมกับน้ำแล้วไหลลงท่อระบายไป ผมมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเหม่อลอยพลางครุ่นคิดในใจ

นั่นสินะ…นี่มันใช่เรื่องจริงซะที่ไหนกันล่ะ ถ้าเป็นเรื่องจริงไม่มีทางที่ผมจะทำอะไรป่าเถื่อนได้ขนาดนี้หรอก เรื่องจริงผมไม่มีทางทำอะไรแบบนี้เด็ดขาด…

 

Chapter 6-4

 

ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เรื่องจริง พอคิดแบบนั้นแล้ว ในหัวก็พลอยรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาหน่อย ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นแค่ฉากที่ถูกเซ็ตไว้

ผมไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะฆ่าพวกนั้นอีกต่อไป การสังเวยคนอื่นเพื่อเอาชีวิตรอดเองก็เช่นกัน เพราะถึงยังไงทุกอย่างมันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมอยู่แล้วเมื่อทำการรีเซ็ตใหม่ มันก็เหมือนกับเครื่องเล่นวิดีโอที่ฉายฉากเดิมซ้ำๆ วนไปวนมาหลายรอบเมื่อกดปุ่มรีเพลย์ ดังนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทรมานกับความรู้สึกผิดอะไรเลย

ด้วยเหตุนี้นับวันความรู้สึกของผมมันก็ยิ่งตายด้านขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ผมกลัวว่าสนิมจะเกาะมีดจนทื่อมากกว่าการเอามีดไปไล่สับแขนขาใครซะอีก แถมเดี๋ยวนี้ผมเริ่มคิดแล้วว่าต่อให้มีคนตายตรงหน้า พวกมันก็แค่ซากศพที่มานอนขวางทางเดินผมเพียงเท่านั้น

อย่าว่าแต่จะจำชื่อเลย ผมจำหน้าตาของคนแต่ละคนไม่ได้ด้วยซ้ำ หลายครั้งที่ผมมองเห็นใบหน้าของคนอื่นๆ เป็นสีดำราวกับถูกทาทับด้วยน้ำหมึก เว้นเสียก็แต่ใบหน้าของชองโฮฮยอนคนเดียว แม้แต่เสียงพูดก็เช่นกัน ผมมักจะได้ยินเสียงรบกวนแทรกเข้ามาเวลาคนอื่นพูดตลอด เพราะแบบนั้นผมจึงยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมากขึ้นว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องจริง

ผมตระเวนไปทั่วราวกับสำรวจแผนที่ในเกม พอคิดได้ว่าเวลาตายแต่ละครั้งนั้นผมไม่ได้ตายจริงสักหน่อย ผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จุดเริ่มต้นแรกคือหอพัก ผมต้องเลือกจากจุดนั้นว่าจะอยู่หอพักต่อหรือว่าจะย้ายไปที่อื่น

การอยู่ที่หอพักไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก เพราะโรงอาหารกับร้านสะดวกซื้อได้กลายเป็นสมรภูมิรบขนาดย่อมไปแล้ว ที่นั่นหาเสบียงอาหารยากมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือมันมีพื้นที่เล็กเมื่อเทียบกับอาคารอื่นๆ ในวิทยาเขต มันเป็นเพียงแค่ห้องแคบๆ หลายสิบห้องติดกันโดยมีผนังบางๆ กั้นแต่ละห้องเอาไว้ เลยทำให้ด้อยในเรื่องของการป้องกัน

พอพ้นจากหอพักไป สถานที่ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็จะมีตึกสโมสรนักศึกษากับหอสมุดกลาง โดยตึกสโมสรนักศึกษาตั้งอยู่บนยอดของเนินเขาที่มีพื้นที่ลาดชัน พอหิมะตกลงมา มันก็จะกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่เดี่ยวๆ อย่างสันโดษไปโดยปริยาย ส่วนหอสมุดกลางตั้งอยู่บนที่ราบและกว้างขวาง ทว่าสถานการณ์ภายในนั้นกลับมืดหม่นและสิ้นหวัง ด้วยมีกลุ่มติดอาวุธที่เข้ายึดครองหอสมุดและคอยไล่ล่าคนอื่นๆ

ที่หอพักนั้น ส่วนใหญ่แล้วผมจะถูกกัดอวัยวะสำคัญแล้วเสียเลือดจนตาย หรือไม่ก็ตกจากที่สูงตาย มีครั้งหนึ่งเคยเกิดระเบิดที่โรงอาหารจนถูกไฟคลอกตายด้วย

ส่วนในสถานที่อื่นๆ ก็มีสาเหตุการตายแตกต่างกันออกไป บางครั้งก็สู้กับพวกที่ยึดครองหอสมุดกลางจนถูกแทงตาย หรือบางทีก็มีพวกตัวประหลาดพังเกตห้องอ่านหนังสือออกมารุมทึ้งฉีกร่างจนตาย แถมมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเคยถูกเหล็กเส้นแทงทะลุท้องตายในโรงยิมที่กำลังมีการปรับปรุงก่อสร้าง

ที่อาคารที่ระลึกครบรอบเจ็ดสิบปีเองก็มีฉากที่ชองโฮฮยอนฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอกับท่อที่ชั้นใต้ดิน ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาร่วงตกหน้าต่างลงไปตายตอนที่ฟื้นกลับมาครั้งที่สอง นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเอง

ถึงจะเคยคิดว่าตัวเองคุ้นชินกับความตายแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงแม้แต่ตัวผมเองก็ยังเผลอสติหลุดไปชั่วขณะหนึ่ง ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ชองโฮฮยอนสิ้นลมหายใจและหัวใจของผมหยุดเต้น ผมเอาแต่จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นด้วยแววตาที่เลื่อนลอย

แต่ในทางกลับกันผมก็คิดว่ามันคือโชคดี คงต้องขอบคุณที่ชองโฮฮยอนเป็นฝ่ายตายก่อน ผมเลยได้กลับมาเริ่มต้นใหม่โดยไม่มีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาบนร่างกาย ไหนๆ ก็จะรีเซ็ตอยู่แล้ว สู้ตายดีๆ แบบไร้รอยแผลมันจะไม่ดีกว่าหรือไงกัน

ผมได้สั่งสมประสบการณ์มาทีละน้อยในระหว่างที่ต่อสู้ หลบหนี และตายมานับครั้งไม่ถ้วน ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างพากันขวัญเสียกับหายนะที่ถาโถมเข้ามากะทันหัน ผมกลับสะบั้นคอไอ้พวกนั้นได้อย่างง่ายดายโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว พอเห็นคนพวกนั้นแตกตื่นกรีดร้องกันแล้ว อย่าว่าแต่จะสงสารเลย ผมกลับรู้สึกสมเพชพวกเขาเสียด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็แสดงละครได้สมบทบาทกันดีจริงๆ

แต่จะว่าไปแล้ว พวกนั้นก็ระแวงผมราวกับเห็นผมเป็นไอ้พวกตัวประหลาดนั่น คนที่เป็นตัวประหลาดน่ะไม่ใช่ผม แต่เป็นพวกมันต่างหากล่ะ น่าอึดอัดฉิบหาย พวกไร้น้ำยาที่ทำอะไรไม่เป็น อีกทั้งยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำห่าอะไรไม่ได้นอกจากตัวสั่นงันงก ถ้าจะไร้ประโยชน์ขนาดนั้น อย่างน้อยๆ ก็น่าจะหุบปากเงียบแล้วทำตัวให้มันสงบเสงี่ยมหน่อยสิ ถ้าหากว่านี่เป็นหนัง พวกนั้นก็คงเป็นได้แค่ตัวประกอบโนเนม หรือถ้าเกิดว่านี่เป็นเกม พวกนั้นอย่างเก่งก็คงเป็นได้แค่เอ็นพีซี* บทน้อยที่พูดได้แต่ประโยคซ้ำๆ

ความหงุดหงิดที่ทับถมไว้ระเบิดออกมาในที่สุด ผมรวมตัวกับพวกที่เจอกันในตึกคณะมนุษยศาสตร์ และกำลังหารือเรื่องแผนการในอนาคตที่ห้องบรรยายอันว่างเปล่า ดูเหมือนว่าเสบียงที่หาได้จากตึกนี่จะไม่มีเหลือแล้ว พวกเราเลยมีความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่ายว่าจะย้ายไปอยู่อาคารอื่นหรือว่าจะอยู่ที่นี่กันต่อไปดี

ตัวผมยืนกรานว่าจะย้ายตึก แต่คนอื่นๆ กลับแย้งว่าจะอยู่ต่อ พวกนั้นให้ความเห็นว่าควรปักหลักอยู่ที่ตึกมนุษยศาสตร์จนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ เพราะข้างนอกอาจมีอันตรายบางอย่างดักซุ่มอยู่ก็เป็นได้ ผมรู้ดีว่าต่อให้ปักหลักรอยังไงความช่วยเหลือก็ไม่มีวันมาถึง เลยทำได้เพียงแค่สิ้นหวังและสมเพชความโง่เขลาของคนพวกนั้น

“อยู่ที่นี่อีกสักสองสามวันเถอะครับ เคลื่อนไหวฉุกละหุกเอาตอนนี้มันอันตราย”

“ใช่แล้ว ไหนจะเรื่องอาหารอีก ตอนนี้ลำพังแค่น้ำเรายังมีไม่พอเลยไม่ใช่หรือไง”

“จะว่าไปแล้วเรายังไม่ได้ค้นดูที่ชั้นหกเลยนี่ครับ เห็นว่าที่นั่นมีห้องแล็บของอาจารย์ด้วยนี่ ลองไปสำรวจกันก่อนสักครั้งดีไหมครับ”

“พอเคลียร์สถานการณ์ได้แล้ว…”

“ก่อนอื่นก็…”

เสียงรบกวนปะปนมากับเสียงกระซิบกระซาบจนเนื้อความขาดหายจับใจความไม่ได้ ฟังไปก็มีแต่จะปวดหัว ผมก้มหน้าพลางใช้อุ้งมือกดนวดลงตรงหว่างคิ้ว

“หุบปาก”

คนอื่นๆ ไม่ได้ยินผมและยังคงพูดคุยเอะอะกันต่อไป อารมณ์โกรธเดือดพล่านขึ้นมาจากข้างใน ผมยกเท้าถีบเก้าอี้ตัวข้างๆ เต็มแรง เสียงโครมดังก้องไปทั่วห้องบรรยาย ทุกคนสะดุ้งโหยงแล้วหันมามองผมเป็นตาเดียว

“หุบปาก บอกให้หุบปากไงวะ!”

การตะโกนลั่นเพียงเท่านั้นไม่ได้ช่วยให้ความโกรธลดลง ผมถีบเก้าอี้แล้วคว่ำโต๊ะทุกตัวที่ผ่านเข้ามาในสายตา ใครบางคนโดนโต๊ะกระแทกชนจนตัวเซ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะคนพวกนั้นมันไม่ได้เป็นคนจริงๆ

“พล่ามกันเก่งนักนะ เคยรู้เหี้ยอะไรบ้างล่ะ ไอ้พวกที่ยังไงก็ตายห่ากันหมดเอ๊ย ฉันบอกว่าให้ออกไปก็ออกไปสิ เวลาพูดเวลาบอกอะไรก็หัดเชื่องหัดทำตามกันหน่อยสิวะ!”

ทุกคนต่างก็ผงะก้าวถอยหลัง ผมกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะสบตาเข้ากับไอ้เอ็นพีซีตัวหนึ่งที่ไม่ค่อยมีตัวตนและบทบาท เขากลัวผมตัวสั่นงันงกจนแข้งขาพันกันแล้วล้มหงายหลังไปขณะเดินถอยหลัง

“ดะ…เดี๋ยวสิ จู่ๆ ทำไมถึง…”

“จู่ๆ ทำไมอะไรของนาย”

“คุณโวยวายแบบนี้เพียงเพราะพวกเราไม่ยอมฟังที่คุณพูดเหรอครับ แบบนั้นมัน…”

ทั้งๆ ที่กลัวจนผวาขนาดนั้น แต่ก็ยังจะอุตส่าห์อ้าปากเถียง คนอื่นๆ ต่างส่งสายตาให้กันราวกับคิดเห็นตรงกัน จะไม่ยอมฟังกันสินะ ตลกเป็นบ้า ไอ้กระจอกนั่นมันคิดว่ามันเป็นใครถึงได้กล้าพูดกับผมอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ตัวมันเองถ้าไม่ได้ผมช่วย ป่านนี้ก็คงจะตายห่าไปนานแล้ว

“เชิญเลย ถ้าอยากอยู่ที่นี่นักก็เชิญ ฉิบหายขึ้นมาเมื่อไหร่ก็อย่ามาร้องขอให้ช่วยนะ ให้แม่งตายห่าไปให้หมดนั่นแหละ ค่ายปิดเทอมฤดูหนาวปีนี้พวกแกคงอยากไปทัวร์ยมโลกกันสินะ โปรแกรมทัวร์คืออะไรล่ะ เปิดประสบการณ์ฆ่าตัวตายหมู่? ว้าว แม่งคงสนุกน่าดูเลยว่ะ”

ผมทำหน้าเหวี่ยงพร้อมกับตะคอกออกไปจนใบหน้าของพวกเขาพลันซีดเผือด

“แม่งเอ๊ย มองเหี้ยไร!”

“รุ่นพี่ หยุดเถอะนะครับ”

ชองโฮฮยอนที่ปิดปากเงียบและเฝ้าดูสถานการณ์มาตลอดโพล่งขึ้น

“ไม่ใช่ว่าพวกเราอยากจะคัดค้านความเห็นของรุ่นพี่หรอกนะครับ เพียงแต่รุ่นพี่ต้องให้เหตุผลที่ฟังแล้วพวกเราพอเข้าใจได้มาก่อน”

เด็กนี่เป็นแบบนี้อยู่เสมอ ถ้าจะสงบปากสงบคำเฝ้าดูอยู่เงียบๆ ก็ต้องเงียบไปให้ถึงที่สุดสิ ไม่ใช่มาตาขาวเอาตอนวินาทีสุดท้ายแบบนี้ ชองโฮฮยอนวางตัวนิ่งเฉยมาโดยตลอด แต่ถ้าเกิดมีใครล้ำเส้นบางอย่างเข้า เขาก็จะโยนความนิ่งเฉยนั่นทิ้งไปแล้วหยิบยกมุมมองด้านศีลธรรมแบบคลั่งความถูกต้องที่เก็บไว้ลึกๆ อยู่ข้างในออกมาพล่ามทันที

“นายว่าไงนะ”

ทั้งที่เวลาอยู่ต่อหน้าผม เขาชอบทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายตลอด แต่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เขากลับทำตัวเชื่องแถมยังปั้นหน้ายิ้มใส่เนี่ยนะ? แม่งเอ๊ย หัวร้อนฉิบหาย ถ้าลองใช้มีดกรีดหน้าพวกแม่งให้เละ เด็กนี่มันจะหยุดทำตัวแบบนี้ไหมนะ

“รุ่นพี่ไม่เคยพูดสิ่งที่คิดออกมาสักคำ แล้วพวกเราจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะครับ รุ่นพี่เอาแต่พูดจาบังคับขู่เข็ญลูกเดียวเลย”

“…”

“พวกเราต่างก็เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกไม่ใช่เหรอครับ คนที่อยู่ในห้องนี้ทุกคนต่างก็ไม่เคยรู้จักกัน จะมีอะไรที่ไม่เข้าใจกันบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะแบบนั้นเราเลยยิ่งต้องคุยกันให้มากขึ้นไงครับ”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น สติผมก็ขาดผึงไปทันที รู้ตัวอีกทีก็พบว่าผมได้เหวี่ยงหมัดใส่หน้าของชองโฮฮยอนไปแล้ว

ผลัวะ!

หน้าของชองโฮฮยอนสะบัดหันไปอย่างแรง เขาทรุดตัวลงบนพื้นห้องบรรยายโล่งๆ เพราะเก้าอี้กับโต๊ะถูกผลักออกไปหมดแล้ว เสียงอุทานสั้นๆ ดังขึ้นจากรอบด้าน

“เจอกันครั้งแรกงั้นเหรอ”

ชองโฮฮยอนที่หยัดกายลุกขึ้นยืนได้อย่างยากลำบากเงยหน้ามองผม สายตาของเขาดูเหมือนไม่เข้าใจการกระทำที่หุนหันจากแรงอารมณ์ของผมเลยสักนิด มุมปากข้างหนึ่งของเขาแตกและมีเลือดซิบ

“นายคงอยากตายมากจนสติหลุดไปแล้วงั้นสินะ”

ผมพึมพำเสียงเย็นยะเยียบ เขายืนเหม่ออ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะหุบปิดลง มวลอารมณ์มากมายฉายชัดอยู่ในดวงตาที่สั่นระริกเพราะความช็อก รวมทั้งยังมีความขุ่นเคืองและความตั้งตัวเป็นศัตรูอยู่ในนั้น

ชองโฮฮยอนกระชากคอเสื้อของผมเข้าหาตัวแล้วเหวี่ยงหมัดซัดหน้าผมอย่างไม่ลังเล ก่อนที่เขาจะผลักผมเต็มแรงในระหว่างที่ผมกำลังยืนเซ

ปึก!

ความเจ็บรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลังที่กระแทกชนเข้ากับผนัง วินาทีนั้นผมเองก็หมดความอดทนแล้วเหมือนกัน ผมคว้าและบิดแขนของชองโฮฮยอน ก่อนจะสวนหมัดกลับไปอีกรอบ

เราซัดกันนัวจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครราวกับสัตว์ป่า เขากระโจนเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งๆ ที่มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก อย่างไอ้เด็กที่งับแก้มแล้วเหมือนได้กลิ่นวิปครีมนั่นน่ะเหรอจะสู้ผมได้ ผมเป็นผู้ชายรูปร่างดีตามแบบฉบับของผู้ชายอยู่แล้ว หมัดที่สวนออกไปเลยแรงไม่ใช่น้อย

“กรี๊ด!”

“ทะ…ทำยังไงดีครับ”

“ใครก็ได้ช่วย…”

ผู้คนตกอยู่ในสภาวะตื่นตระหนก แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ทำท่าเหมือนไม่กล้าเข้ามาห้ามพวกเรา

ผมขยุ้มผมของชองโฮฮยอนแล้วกระชากขึ้นมา ก่อนจะจับหัวของเขาโขกพื้นอย่างแรง

ปัก!

เขาไม่แม้แต่จะร้องเสียงหลงออกมา ผมขึ้นไปคร่อมตัวเขาที่ล้มหมอบลงไป โดยใช้น้ำหนักตัวกดทับเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายขยับเขยื้อน ก่อนจะใช้สองมือบีบคอ

“…”

ชองโฮฮยอนอ้าปากค้างด้วยความทรมาน ใบหน้าขาวเนียนเริ่มแดงก่ำ เขาหอบหายใจเอาลมหายใจร้อนๆ ออกมาทางริมฝีปากที่มีเลือดกบอยู่ ถ้าผมยังบีบคอเขาแบบนี้ต่อไป เขาก็จะตาย และถ้าเขาตาย ผมก็จะตายเช่นกัน ผมจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยการตื่นขึ้นมาในห้องของหอพัก

เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรก…อีกครั้ง…

‘พวกเราต่างก็เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกไม่ใช่เหรอครับ’

เด็กนี่พูดแบบนั้น จนถึงตอนนี้ผมได้พบกับคนที่ชื่อ ‘ชองโฮฮยอน’ มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่สำหรับเขาผมกลับเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าอยู่เสมอ ผมที่ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดกลับไม่เคยหลงเหลือตัวตนอยู่เลยแม้แต่ในความทรงจำของใครๆ

ผมพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจนในหัวขาวโพลนและเริ่มหายใจไม่ออก การเคลื่อนไหวของคนใต้ร่างที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอ่อนแรงลงเรื่อยๆ สติของผมเริ่มกลับมาทำงาน ปลายนิ้วกับนิ้วเท้าพลันแข็งทื่อ

“อะ…อะ…”

ผมสะดุ้งโหยงแล้วผละมือที่บีบคอเขาอยู่ออก ทว่าชองโฮฮยอนกลับแน่นิ่งไปแล้ว เปลือกตาของเขาปิดลงอย่างหมดแรง ผมเอื้อมมือไปจับแก้มของเด็กนี่ด้วยมือที่สั่นเทา หัวใจของผมเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง

โฮฮยอนอา…ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากเรียกชื่อเขา ทันใดนั้นวัตถุหนักๆ ก็ฟาดลงมาที่หัวของผมโดยที่ยังไม่ทันได้มีเสียงไหนหลุดลอดออกไปจากริมฝีปาก ภาพของชายคนที่ถือเก้าอี้เหล็กสะท้อนอยู่ในดวงตาที่เริ่มพร่าเบลอของผม

 

ผมถูกคุมตัวอยู่ในห้องบรรยายโดยถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ด้วยสายเคเบิลเส้นหนา ส่วนคนอื่นๆ กำลังประชุมเกี่ยวกับบทลงโทษของผมที่โถงทางเดินนอกห้องประชุม

“เราควรไล่เขาออกไปตอนนี้เลยไหม”

“หมอนั่นมันต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ อย่างกับคนโรคจิตเลย เราจะไปไหนมาไหนกับคนแบบนั้นได้ยังไงกันคะ”

“เมื่อกี้ผมนี่ขนลุกไปหมดเลยครับ”

“เดี๋ยวไว้รอคุณโฮฮยอนตื่นขึ้นมาค่อยลองถามเขาแล้วตัดสินใจกันทีหลังก็แล้วกัน ความเห็นของเหยื่อผู้ถูกกระทำก็สำคัญไม่ใช่เหรอครับ”

ฉันได้ยินหมดแล้ว ไอ้พวกสมองกลวงเอ๊ย ผมกลืนเสียงโอดครวญขณะเย้ยหยันอยู่ในใจ หัวที่ถูกเก้าอี้ฟาดยังคงรู้สึกเจ็บอยู่ไม่คลาย ในขณะที่ข้อมือกับข้อเท้าถูกรัดไว้แน่นด้วยสายเคเบิล

ผมลองคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ขณะนั่งขดตัวเอาศีรษะพิงผนังเย็นๆ ผมไม่ได้ตกใจอะไรขนาดนั้นที่ตัวเองนึกอยากจะฆ่าชองโฮฮยอน แต่เรื่องที่ผมตกใจน่ะมันหลังจากนั้นต่างหาก ทั้งที่ไม่ว่าเขาจะตายด้วยน้ำมือของผมหรือว่าตายเพราะถูกพวกห่านั่นกัดตาย ยังไงเขาก็จะฟื้นกลับมาในสภาพที่สมบูรณ์แบบไร้รอยขีดข่วนใดอยู่แล้วแท้ๆ แต่แล้วทำไมผมถึงได้หวาดกลัวขนาดนั้นกันนะ

หลังจากผมบุกเข้าไปหาชองโฮฮยอนที่หลับอยู่อย่างอุกอาจจนทำเขาตื่นกลัวสุดขีดแล้วตกลงไปจากหน้าต่าง ผมก็ได้เรียนรู้บทเรียนหนึ่งที่น่าเจ็บใจ

ทุกครั้งที่พบชองโฮฮยอนหลังย้อนกลับมาจากความตาย ผมจำต้องเล่นละครเสมอ ผมต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร แสร้งทำเหมือนทุกอย่างเพิ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะขืนผมเปิดปากเล่าเรื่องที่ตายแล้วฟื้นกับเรื่องที่ติดลูปอยู่ในช่วงเวลาเดิมออกไป เขาก็มีแต่จะด่าหาว่าผมเป็นบ้าแล้วก็พูดจาดูถูกผม นับว่าโชคดีที่ชองโฮฮยอนยังหลงเชื่อการแสดงห่วยๆ นั่นได้ลงก็เลยไม่ได้หวาดกลัวผมสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรักษาระยะห่างจากผมอยู่เสมอ ด้วยความที่ใจหนึ่งก็เมินเฉย แต่อีกใจหนึ่งก็ยังคงหวาดระแวง

ทว่าครั้งนี้กลับเลวร้ายที่สุด ลำพังแค่ชกหน้าเขาเท่านั้นยังไม่พอ มิหนำซ้ำผมยังพยายามฆ่าเขาให้ตายอีก ผมบีบคอเขาสุดแรงกระทั่งเขาหมดสติไป ตอนนี้ชองโฮฮยอนคงจะรู้สึกเหยียดหยามผมมากจนเกลียดกันไปแล้ว มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ ภาพที่เขาตื่นกลัวแล้วผงะก้าวถอยหลังไปจนหงายหลังร่วงลงไปนอกหน้าต่างนั้นยังคงเลือนรางอยู่ตรงหน้า

พอได้สติกลับคืนมา เขาคงโอดโอยร้องขอคนพวกนั้นสุดชีวิต โดยบอกว่าให้ไล่ผมออกไปเพราะคงอยู่กับไอ้เวรน่าขนลุกนั่นต่อไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด คนอื่นๆ เองก็คงจะเห็นพ้องกับเขาอยู่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย และหลังจากนั้นผมก็จะไม่ได้เจอชองโฮฮยอนอีก เขาจะตายโดยอยู่นอกสายตาของผม ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมคงได้แต่หวาดกลัวกับความมืดมิดที่ไม่รู้จะมาถึงอีกครั้งเมื่อไหร่…

“…”

ผมก้มหัวแล้วซุกใบหน้าลงกับข้อมือที่ถูกมัดแน่น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ครั้งนี้ถือซะว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามนี้แล้วก็รอเวลาเอา

“หืม? คุณโฮฮยอน!”

“ได้สติแล้วเหรอคะ”

เสียงวุ่นวายดังมาจากข้างนอก ดูเหมือนว่าชองโฮฮยอนจะตื่นขึ้นมาแล้ว

“อา…”

เขาโอดครวญเสียงแผ่วเบา ก่อนจะไอออกมาไม่หยุด

“เป็นอะไรไหมครับ”

“ดื่มน้ำไหมครับ”

“ผมไม่เป็นไรครับ”

เขาตอบกลับมาแผ่วเบาด้วยเสียงที่แหบแห้งอย่างหนัก ผมได้ยินเสียงสวบสาบเหมือนว่าชองโฮฮยอนจะลุกขึ้น

“อึก…”

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ เจ็บตรงไหนไหมคะ”

“เมื่อกี้ยันพื้นผิดท่า ข้อมือเลยน่าจะพลิกน่ะครับ”

“มันบวมมากเลยนะคะ…”

“พอขยับตัวได้ไหมครับ”

บรรยากาศด้านนอกวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง ชองโฮฮยอนหยุดความวุ่นวายนั้นด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรและไม่ต้องกังวล

“แล้วนี่เราจะทำยังไงกับเขาคนนั้นดีครับ เราควรไล่ออกไปนะครับ คนอื่นๆ ก็เห็นด้วยกันหมดเลย แล้วคุณโฮฮยอนล่ะครับ คิดแบบนั้นเหมือนกันไหม”

“ครับ? เขาคนนั้น?”

“ก็คุณคียองวอนไงครับ”

“รุ่นพี่น่ะเหรอครับ ว่าแต่ตอนนี้รุ่นพี่อยู่ที่ไหนเหรอครับ”

“เรามัดเขาแล้วคุมตัวไว้ด้านใน จะได้ไม่ก่อเรื่องขึ้นมาอีกไงครับ”

“แล้วเรื่องที่ว่าไล่ออกอะไรนั่นล่ะครับ…”

“ก็ตามที่พูดเลยครับ พวกเรารู้ว่าเขารู้เส้นทางดีแล้วก็ฆ่าซอมบี้เก่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ทุกอย่างนะครับ”

“ยังไงเราก็ลงความเห็นกันแล้วครับ ขอแค่คุณโฮฮยอนพูดความคิดเห็นออกมา เราก็จะไล่เขาออกไปทันทีค่ะ”

ชองโฮฮยอนไม่ได้ตอบกลับในทันที ผนังที่กั้นอยู่ทำให้ผมไม่เห็นว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน แต่แล้วไงล่ะ เห็นสีหน้าแล้วผมจะทำอะไรได้ ยังไงผลการตัดสินใจของเขามันก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว จะตายแบบนี้หรือตายแบบนั้น สุดท้ายก็ตายเหมือนกันนั่นแหละ ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าสมเพชอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์ที่ยุ่งเหยิงกำลังเดือดพล่านอยู่ในใจของผม

“ผม…”

ข้างนอกเงียบลง ชองโฮฮยอนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

“แค่ครั้งเดียวเท่านั้น…ผมอยากให้ทุกคนช่วยให้อภัยเขาสักครั้งน่ะครับ”

ทุกคนต่างตะลึงงันไปพร้อมกัน

“ครับ?”

“คุณโฮฮยอนคะ ตอนนี้คุณยังมีสติดีอยู่ใช่ไหมคะ”

“ครับ ผมสติครบถ้วนดี”

“แล้วทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ คุณเองก็รู้นี่คะว่าหมอนั่นมันไม่ปกติ เมื่อกี้คุณเองก็โดนเขาเล่นงานซะหนักเลยไม่ใช่หรือไง แถมคุณยังโดนบีบคอด้วยนะคะ”

“เมื่อกี้นี้ผมเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ผมดันตั้งใจไปยั่วโมโหเขาด้วย อีกอย่างก็ใช่ว่าผมจะโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียวนี่ครับ”

“ไม่สิ ก็ฉันบอกแล้วไงคะว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น! สถานการณ์ในตอนนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ ขืนปล่อยเขาไว้มีแต่ฝ่ายเรานะคะที่จะเสียหาย!”

“สถานการณ์เป็นแบบนี้แล้วยังจะขอให้ปล่อยเขาไปสักครั้งอีกเหรอครับ!”

คนอื่นๆ พากันตะคอกเสียงดังด้วยความคับข้องใจ ทว่าชองโฮฮยอนกลับยังคงปะทะกับอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้

“เราทอดทิ้งคนอื่นไปง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นเพราะนิสัยไม่เข้ากัน เพราะตัวเองเสียหาย หรือเพราะบาดเจ็บจนกลายเป็นตัวเกะกะ ถ้าเราทิ้งคนทั้งคนด้วยสาเหตุแบบนั้น แล้ววันข้างหน้าจะเป็นยังไงกันครับ แค่มีปากเสียงกันนิดๆ หน่อยๆ ก็คิดจะตึงใส่กันแล้ว แล้วแบบนี้เราจะเชื่อใจคนอื่นได้ยังไงกันครับ”

“…”

“พวกคุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ ถ้าไล่ใครออกไปคนเดียวในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีโอกาสรอดหรอกครับ”

“เขาจะกลายเป็นเหยื่อซอมบี้หรือจะไปนอนตายที่ไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องมารับรู้หรือใส่ใจอะไรนี่ครับ คุณเห็นสภาพแบบนั้นของตัวเองแล้วยังจะมีหน้ามาบอกให้เรายกโทษให้เขาอีกเหรอครับ เขาไม่ได้มองเราเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ แล้วทำไมเราถึงต้องยอมเขาฝ่ายเดียวด้วยล่ะครับ”

“ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่รุ่นพี่ทำมันถูกต้อง แล้วผมก็ไม่ได้โอ๋ทุกอย่างที่เขาทำอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย ผมคือคนที่ถูกรุ่นพี่ต่อยหน้า และผมก็เป็นคนที่ถูกเขาบีบคอ ผมกำลังขอร้องในฐานะคู่กรณีครับ ผมให้โอกาสเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้นครับ ถ้าครั้งหน้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ถึงตอนนั้นผมจะทำตามการตัดสินใจของทุกคนโดยไม่ปริปากบ่นเลยครับ”

“ผมว่าจะไม่พูดแบบนี้แล้วนะครับ แต่ว่าหมอนั่นน่ะตัวปัญหาชัดๆ คุณเองก็รู้นี่ครับ ถึงเราจะให้เขาเข้าร่วมกลุ่มไปไหนมาไหนด้วยกันเพราะเขาเด็ดหัวพวกซอมบี้ได้ แต่สุดท้ายเขาก็จะมองว่าพวกเราเป็นแค่กาฝาก ผมว่าเราคงให้เขาไปต่อด้วยไม่ได้จริงๆ ครับ”

“…”

“จะยังไงเราก็ยอมรับไม่ได้ครับ เราพยายามเคารพความเห็นของคุณโฮฮยอนแล้วนะครับ แต่ถ้ายังดึงดันแบบนี้ต่อไป คุณโฮฮยอนก็จะดูไม่ดีไปด้วยนะครับ”

ผมหัวเราะแห้งๆ เมื่อได้ยินคำนั้น ผมอึ้งจนลืมความโกรธไปเสียสนิท ชองโฮฮยอนที่กำลังหัวเราะอยู่ก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกัน ทุกอย่างเงียบจนได้ยินเสียงสายลมที่พัดหวีดหวิวผ่านไป

“ถ้างั้นผมก็คงเป็นตัวปัญหาเหมือนกันครับ ข้อมือก็ดันมามีสภาพเป็นแบบนี้ จะให้ทุกคนมาดูแลรับผิดชอบชีวิตผมก็คงไม่ได้หรอกครับ”

“ครับ?”

“คราวนี้จะทำยังไงล่ะครับ พวกคุณจะไล่ผมไปอีกคนหรือเปล่า”

เด็กนี่มันประสาทกลับชัดๆ มาช่วยปกป้องคนที่ทั้งต่อย ทั้งบีบคอ แถมยังทำข้อมือตัวเองเจ็บอีกเนี่ยนะ?…นั่นสินะ ต้องแบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นชองโฮฮยอน ถ้าไม่ทำตัวบ้าบอแบบนั้นก็ไม่ใช่ชองโฮฮยอนน่ะสิ

ผมเอนตัวพิงผนังแล้วหัวเราะเหมือนคนบ้า ถึงจะคิดอยู่แวบหนึ่งว่าเสียงหัวเราะจะดังไปถึงข้างนอกไหม แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้นึกใส่ใจ

ชองโฮฮยอนยึดมั่นในเจตนารมณ์ของตัวเองจนถึงที่สุด และสุดท้ายเราก็ถูกขับออกจากกลุ่มพร้อมกัน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คงต้องบอกว่าเขาเลือกที่จะพาผมออกมาเอง

* เอ็นพีซี (NPC) หรือ non-player character หมายถึงตัวละครในเกมที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้เล่น โดยตัวละครที่ว่านี้จะเล่นไปตามบทบาทที่ถูกกำหนดในเกมนั้นๆ

 

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: