ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 2
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)
แปลโดย : ธันวาตุลาคม
ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของเด็กและสัตว์
มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่าขยะแขยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 35 ใครคือคุณ
เมื่อครั้งที่ลู่ชิงจิ่วออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ ชายหนุ่มได้ให้สัญญากับอิ่นสวินว่าจะกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน และจะได้พบอิ่นสวินอีกครั้ง พวกเขาจะเข้าไปหาผลไม้ป่าที่มีหนามในฤดูใบไม้ผลิ เล่นน้ำริมธารในฤดูร้อน ก่อกองฟางหนาๆ ในฤดูใบไม้ร่วง ไปร้านตู้เกมในเมืองที่พวกเขาชอบ ได้เล่นเกมที่พวกเขาทั้งคู่ต่างถวิลหา
ทว่าต่อมาลู่ชิงจิ่วที่ย้ายเข้าเมืองไปไม่ได้กลับไปหมู่บ้านสุ่ยฝู่อีก แม้เขาจะยังจำเพื่อนเล่นสมัยเด็กของเขาได้ หากแต่ระยะทางที่ห่างไกลทำให้สัญญาของพวกเขายากจะเป็นจริง หลายปีคล้อยผ่าน พวกเขาต่างเติบโต ลู่ชิงจิ่วกลับมาหมู่บ้านสุ่ยฝู่เป็นครั้งคราวเพื่อเยี่ยมเยียนคุณยาย แต่เพราะไม่ได้เจอกันนาน ระหว่างเขาและอิ่นสวินจึงมีช่องว่างบางอย่างเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เหมือนกับที่ทั้งสองคนให้สัญญากันในวัยเด็กว่าจะถือเหรียญเกมอันล้ำค่า นั่งรถสองชั่วโมงเพื่อไปเล่นเกมไม่กี่สิบนาที
ลู่ชิงจิ่วลืมเรื่องราวเหล่านั้น อิ่นสวินเองก็ไม่ได้พูดถึงมันอีก ความทรงจำวัยเด็กของพวกเขาถูกปกคลุมด้วยชั้นทรายแห่งกาลเวลา นานวันก็ยิ่งเลือนราง
ต่อมา หมู่บ้านสุ่ยฝู่กลายเป็นสถานที่แห่งความเศร้าของลู่ชิงจิ่ว เมื่อพ่อแม่ของเขากลับบ้านเกิดไปเยี่ยมญาติ แต่กลับต้องเสียชีวิตในเหตุการณ์ภูเขาถล่ม กระทั่งศพยังหาไม่พบ ลู่ชิงจิ่วรีบเดินทางกลับมาด้วยใบหน้าซีดเผือดตื่นตะลึง
‘ชิงจิ่ว นายกลับมาแล้วเหรอ’ อิ่นสวินพูดกับเขา
‘ฉันกลับมาแล้ว’ ลู่ชิงจิ่วตอบ
อิ่นสวินเอ่ยถามอีกครั้ง ‘นายจะไปอีกหรือเปล่า’
‘ไป ฉันอยากจะตั้งสุสานของพวกเขาในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ทุกวัน’ ลู่ชิงจิ่วคิดแบบนี้ เขาเอ่ย ‘ฉันยังต้องเรียนมหาวิทยาลัยให้จบ…’
การที่เขาพูดอย่างนี้หมายความว่าเขาจะไม่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านสุ่ยฝู่ อิ่นสวินไม่ได้แสดงความคิดเห็นหลังจากได้ยิน เขาเพียงแค่เอื้อมมือมากอดเพื่อนเก่าคนนี้แน่นๆ พร้อมเอ่ยว่า ‘ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่นายอยู่ที่สุ่ยฝู่ ฉันจะคอยช่วยเหลือนายเอง’
อิ่นสวินพูดจริงทำจริง
การที่พ่อแม่จากไปอย่างกะทันหันทำให้จิตใจของลู่ชิงจิ่วอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก อิ่นสวินช่วยเขาด้วยการช่วยกู้ภัยทำงาน ช่วงเวลานั้นฝนยังคงตกหนัก อิ่นสวินสวมเสื้อกันฝนและให้ข้อมูลกับทีมค้นหาของกู้ภัย เขาอธิบายสถานการณ์โดยรอบภูเขาและความเป็นไปได้ที่จะเจอว่าพวกท่านยังมีชีวิตอยู่
แม้ท้ายที่สุดแล้วจะไม่พบศพพ่อแม่ของลู่ชิงจิ่ว แต่พวกเขากลับพบกระเป๋าเดินทางที่พ่อแม่ของลู่ชิงจิ่วพกติดตัว
ลู่ชิงจิ่วใช้กระเป๋าเดินทางนี้เป็นสิ่งแทนในการสร้างหลุมฝังศพสำหรับพวกเขา
หลังเกิดเหตุการณ์นี้ได้ไม่นาน คุณยายของลู่ชิงจิ่วก็เสียชีวิตลง ลู่ชิงจิ่วเดินทางออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่และไม่ได้กลับมาอีกเป็นเวลาหลายปี เขาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักทั้งหมดในหมู่บ้านแห่งนี้
หลายปีต่อมา ลู่ชิงจิ่วตัดสินใจกลับมาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง โชคชะตาของเขาและอิ่นสวินจึงได้ถักทอเข้าด้วยกันอีกครั้ง
เมื่อคิดทบทวนจนถี่ถ้วนแล้ว ลู่ชิงจิ่วจึงขับเจ้ารถกระบะคันเล็กเข้าเมือง
เพราะว่าเขาออกค้นหาทั่วทั้งหมู่บ้านรวมถึงยอดเขา แต่ก็ไม่มีวี่แววของอิ่นสวิน ชายหนุ่มจึงเกิดความคิดใหม่ เดินทางเข้าเมืองไปร้านตู้เกมที่เขากับอิ่นสวินเคยชอบไปมากที่สุด
ทว่าเมื่อมาถึงตำแหน่งที่ร้านตู้เกมเคยตั้งอยู่ถึงได้พบว่าสถานที่แห่งนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ร้านตู้เกมถูกรื้อเปลี่ยนเป็นร้านขายเสื้อผ้า นับว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะปัจจุบันนี้มีสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลากหลาย เป็นเรื่องธรรมดาที่ร้านตู้เกมจะไม่สามารถเปิดบริการต่อไปได้ แถมในช่วงเวลานั้นร้านตู้เกมก็ยังไม่มีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ
ในตอนนั้นร้านตู้เกมเป็นสถานที่มั่วสุมของเด็กไม่ดี โดยปกติที่ประตูร้านจะมีผ้าม่านแขวนอยู่ หากยืนข้างนอกผ้าม่านจะได้ยินเสียงเคาะปุ่มและบิดคันโยกเครื่องเล่นลอดออกมาพร้อมๆ กับเสียงเด็กโวยวายและเสียงถอนหายใจ เหรียญหนึ่งเหรียญเท่ากับหนึ่งชีวิต หากเล่นตายก็ต้องเริ่มต้นใหม่ ทักษะการเล่นเกมของลู่ชิงจิ่วไม่ดีเท่าอิ่นสวิน ทุกครั้งที่ถูกโจมตีเขาจะหนีอย่างไม่คิดชีวิตก่อนจะตายอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นอิ่นสวินจึงแบ่งเหรียญสองสามเหรียญให้เขาทุกครั้งเพื่อให้ได้เล่นต่ออีกหน่อย
ลู่ชิงจิ่วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนอก สัมผัสพื้นผิวขรุขระของเหรียญแล้วถอนหายใจหนักๆ เขาคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาอิ่นสวินอีกครั้ง แต่กลับพบว่าปลายทางไม่สามารถติดต่อได้ เขาคิดว่าอิ่นสวินคงปิดเครื่องไปแล้ว
ลู่ชิงจิ่วที่ตามหาอิ่นสวินไม่พบจำต้องกลับบ้านด้วยความหดหู่ใจ
ชายหนุ่มยังคงครุ่นคิดเรื่องนี้ขณะทำอาหารในห้องครัว หากเขาพูดคุยกับอิ่นสวินตั้งแต่แรก บอกว่าตนไม่สนใจว่าเพื่อนจะเป็นมนุษย์หรือไม่ อิ่นสวินก็คงไม่หนีไปแบบนี้ แม้เขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติของอิ่นสวินมานานแล้ว แต่สิ่งที่เขาคิดอยู่ตลอดก็คือหากอิ่นสวินไม่ต้องการพูด เขาก็จะไม่เอ่ยถาม และดูเหมือนว่าตอนนี้ความคิดนี้จะเป็นปัญหา…ถ้าตอนแรกเขายืนกรานสักหน่อย ต้องการเอาคำตอบที่แน่นอน…แต่มันจะยุติธรรมกับคนที่ไม่ต้องการให้คำตอบอย่างอิ่นสวินเหรอ
คิดไปคิดมาลู่ชิงจิ่วก็เริ่มใจลอย มีดที่นำมาหั่นผักพลันบาดลงบนนิ้วของตนเข้า เลือดสีแดงสดไหลออกมาแล้วหยดลงบนเขียง
“โอ๊ย” ลู่ชิงจิ่วร้องเพราะความเจ็บปวดที่มือ การหั่นครั้งนี้เขาออกแรงมากกว่าปกติ มีดจึงบาดลึกจนเกือบถึงครึ่งเล็บ เขาหมุนตัวเดินออกจากครัว คิดหาผ้าพันแผลมาปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ไป๋เยวี่ยหูที่นั่งอยู่ที่ลานบ้านได้กลิ่นเลือดมาจากระยะไกล เมื่อเขาลุกขึ้นเดินมาก็เห็นลู่ชิงจิ่วขมวดคิ้ว คิดจะจัดการพันแผลบนนิ้ว
ไป๋เยวี่ยหูไม่ได้พูดอะไร เขาเดินตรงมาจับมือลู่ชิงจิ่วแล้วเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งรีบพันแผล ทำความสะอาดแผลก่อน”
ลู่ชิงจิ่วเอ่ยอย่างเฉยเมย “ไม่เป็นไร แผลเล็กนิดเดียว”
ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “รอก่อน ฉันจะไปเอายามาให้”
ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า
เมื่อไป๋เยวี่ยหูกลับมาพร้อมยา เขาก็เห็นลู่ชิงจิ่ววางมือไว้ด้านข้างพลางจ้องมองไปทางประตูอย่างนิ่งงัน เลือดยังคงไหลออกมาจากบาดแผล ไป๋เยวี่ยหูจับมือชายหนุ่มขึ้นมองอย่างพิจารณาก่อนจะพบว่าบาดแผลนี้ลึกมากจนเห็นกระดูก มือนั้นมีทั้งหลอดเลือดและเส้นประสาท มีดบาดลึกขนาดนี้หากไม่จัดการรักษาอย่างเหมาะสมอาจทำให้พิการได้ โชคดีที่ยานี้มีสรรพคุณพิเศษ ใช้ทาสักสองวันก็น่าจะดีขึ้น
“ตอนใช้มีดนายคิดอะไรอยู่” ไป๋เยวี่ยหูถามขณะช่วยลู่ชิงจิ่วทำแผล “เจ็บมั้ย”
“เจ็บจนไม่เจ็บแล้ว” ลู่ชิงจิ่วตอบ “ฉันกำลังคิดว่าช่วงไม่กี่วันมานี้อิ่นสวินไม่กลับบ้านแล้วเขาไปอยู่ที่ไหน เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า เขาต้องกินอะไรมั้ย จะหิวหรือเปล่า”
ไป๋เยวี่ยหูเงยหน้าขึ้นมองลู่ชิงจิ่ว
ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจ “เฮ้อ…ตอนนั้นฉันไม่ควรปล่อยเขาไปเลย”
ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “ไม่ต้องทำอาหารเย็นแล้วนะ”
ลู่ชิงจิ่วมองนิ้วของตัวเอง พอได้ผ้าพันแผลจากไป๋เยวี่ยหูก็มองไม่เห็นบาดแผลอีกต่อไป เลือดก็หยุดไหล รวมถึงความรู้สึกเจ็บปวดก็ลดน้อยลง ชายหนุ่มขยับกายตั้งท่าจะทำอาหารต่อ
ไป๋เยวี่ยหูอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ลู่ชิงจิ่วได้กลับเข้าไปในครัวอย่างดื้อดึง ไป๋เยวี่ยหูยืนมองอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าอึมครึมอยู่พักหนึ่งก่อนหมุนกายเดินออกไป คราวนี้เขาไม่ได้กลับไปที่เก้าอี้โยก แต่ผลักประตูออกจากลานบ้านไป
ลู่ชิงจิ่วฝืนทำอาหารเย็นจนเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นว่าไป๋เยวี่ยหูไม่อยู่ รออยู่พักหนึ่งเขาก็ตัดสินใจลงมือทานก่อน
ถึงแม้ลู่ชิงจิ่วจะตัดสินใจลงมือทานก่อน แต่ชายหนุ่มไม่มีความรู้สึกอยากอาหารแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว แต่เป็นเพราะเขามีเรื่องในใจ ลู่ชิงจิ่วกินได้เพียงสองสามคำก็วางตะเกียบลงแล้วเดินเข้าลานบ้านไปที่เก้าอี้โยกของไป๋เยวี่ยหู
‘แกว่งไปแกว่งมา แกว่งถึงสะพานคุณยาย คุณยายบอกว่าเธอเป็นเด็กดี…’* ลู่ชิงจิ่วโยกเก้าอี้ไปมาพลางนึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก ก่อนอายุเก้าขวบเขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านสุ่ยฝู่ ในช่วงเวลานั้นเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับดอกไม้ต้นไม้ในบริเวณหมู่บ้าน ทว่าต่อมาเขาได้จากสถานที่แห่งนี้ไปนาน ความทรงจำเหล่านั้นจึงเริ่มรางเลือน
อากาศร้อนจนลู่ชิงจิ่วกินอะไรไม่ลง ในใจก็ครุ่นคิดก่อนจะเดินออกจากลานบ้านไปตามทางเดินเล็กๆ ในหมู่บ้าน
สิบกว่าปีมานี้ หมู่บ้านสุ่ยฝู่ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก บ้านเรือนยังคงเป็นรูปลักษณ์ที่เก่าและทรุดโทรม พื้นที่ริมถนนที่สามารถทำการเพาะปลูกเต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด และบางครั้งยังสามารถเห็นสุนัขของชาวบ้านชาวสวนสองสามตัววิ่งเล่นข้างทางอย่างสนุกสนาน
โดยไม่ทันรู้ตัว ลู่ชิงจิ่วก็เดินมาถึงต้นหมู่บ้านแล้ว ที่ต้นหมู่บ้านนี้มีเครื่องโม่ขนาดใหญ่ ซึ่งบนเครื่องโม่นั้นยังมีเมล็ดธัญพืชบางส่วนหลงเหลืออยู่
ลู่ชิงจิ่วหยุดฝีเท้าลงข้างๆ เครื่องโม่
ชายหนุ่มจำเครื่องโม่นี่ได้ดี ช่วงที่กลับมาอยู่หมู่บ้านนี้ใหม่ๆ อิ่นสวินก็เคยพาเขามาที่นี่ ตอนเด็กๆ ลู่ชิงจิ่วกับอิ่นสวินชอบปีนขึ้นไปเล่นบนเครื่องโม่ แต่พอคุณยายรู้เข้า พวกเขาก็ถูกดึงลงมาทำโทษด้วยการตีก้น
คุณยายบอกว่าเครื่องโม่นี้ใช้ทำอาหาร จะปีนขึ้นไปบนนั้นไม่ได้
แต่สำหรับเด็กน้อยยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งคุณยายห้ามเท่าไร ลู่ชิงจิ่วก็ยิ่งอยากปีนขึ้นไปมากเท่านั้น เขากับอิ่นสวินต่างมีรูปร่างที่สูงอย่างถั่วงอก หากเขาคิดจะปีนขึ้นไปคงต้องใช้พละกำลังอย่างมาก
ลู่ชิงจิ่วเหลือบตามอง ราวกับมองเห็นภาพเด็กสองคนคิดหาวิธีและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปีนขึ้นไปบนเครื่องโม่ อิ่นสวินเป็นคนหมอบลงให้ลู่ชิงจิ่วเหยียบขึ้นบนหลัง จากนั้นก็ให้ลู่ชิงจิ่วออกแรงดึงเขาขึ้นไป ลูกลิงแสนซนสองตัวจึงขึ้นไปบนเครื่องโม่ได้สำเร็จด้วยวิธีนี้ บางครั้งผู้ใหญ่ที่เดินผ่านมาพบเข้าก็จะลากพวกเขาลงมา ส่งกลับบ้านไปให้พ่อแม่ตักเตือน
คิดไปคิดมาลู่ชิงจิ่วก็หัวเราะ เขาเอื้อมมือไปแตะบนเครื่องโม่แล้วรู้สึกว่าขนาดของมันช่างคุ้นเคย
ลู่ชิงจิ่วพลันคิดอะไรบางอย่างออก เขาหยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ค่อยๆ วางมันลงที่รูบนเครื่องโม่
เสียงคลิกดังขึ้น เหรียญตู้เกมกดพอดีกับขนาดของรูบนเครื่องโม่ มันผลุบเข้าไปตรงกลาง ไม่กี่นาทีถัดมาลู่ชิงจิ่วก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังสนั่น เขามองขึ้นบนฟ้าแล้วพบว่าฟ้าที่เคยมีแสงแดดสว่างจ้ากลับถูกบดบังด้วยเมฆกลุ่มหนา
ไร้ซึ่งเม็ดฝน แต่ลมกลับพัดแรงจนน่ากลัว ลู่ชิงจิ่วถูกลมพัดใส่จนน้ำตาคลอ จำต้องยกมือขึ้นมาช่วยบังดวงตา เขากะพริบตาถี่ๆ ตั้งใจให้น้ำตาช่วยล้างทรายหรือเศษดินที่กระเด็นเข้าตาออก
เมื่อลู่ชิงจิ่วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏดวงหน้ายิ้มแย้ม ใบหน้าที่มีหางตาโค้ง ริมฝีปากแย้มยิ้มที่ปรากฏฟันเขี้ยวเล็กๆ น่ารัก
“อิ่นสวิน!!!” ลู่ชิงจิ่วร้องเรียกชื่อเขา รีบวิ่งเข้าหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนคว้าแขนเสื้อของอิ่นสวิน “นายไปไหนมา ฉันตามหานายอยู่ตั้งนาน!”
อิ่นสวินตอบ “อ่า…ฉันไปทำธุระอะไรมานิดหน่อยน่ะ” เขาเกาศีรษะ แสดงท่าทางอายๆ
“ธุระอะไร” ลู่ชิงจิ่วไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดแม้แต่นิด ชายหนุ่มคว้ามืออิ่นสวิน ดึงเขาให้เดินกลับบ้าน “ฉันรู้แล้วว่านายไม่ใช่มนุษย์ นายเองก็ไม่ต้องกังวล ฉันจะเก็บเรื่องนี้ไว้อย่างดี ฉันบอกเลยนะ ไป๋เยวี่ยหูก็ไม่ใช่มนุษย์เหมือนกัน ในบ้านของพวกเรามีแค่ฉันคนเดียวที่เป็นมนุษย์ธรรมดา…”
เมื่ออิ่นสวินได้ยิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ลู่ชิงจิ่วกลัวอิ่นสวินไม่เชื่อจึงอธิบายต่อว่า “ไป๋เยวี่ยหูเป็นปีศาจจิ้งจอก ฉันเคยเห็นหางของเขา เป็นสีขาวแถมใหญ่ด้วย สัมผัสนุ่มมือเชียวล่ะ”
ใบหน้าของอิ่นสวินบิดเบี้ยว “นายพูดอะไร”
“ฉันบอกว่าเขาเป็นปีศาจจิ้งจอก…ทำไมเหรอ” ลู่ชิงจิ่วถาม
“เปล่า” อิ่นสวินตอบ “ฉันแค่ถามเฉยๆ”
ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ตกลงนายไปไหนมา ช่างเถอะ ฉันจะไม่ถามแล้ว นายอยากบอกก็บอก ถ้าไม่อยากก็ช่างมัน สองวันมานี้นายไม่ได้กินอะไรเลยสินะ หิวแล้วล่ะสิ ฉันทำอาหารเย็นไว้…นายมากินกับฉันหน่อยมา” ชายหนุ่มพูดไม่หยุดเหมือนคุณแม่ที่ในที่สุดก็เจอลูกที่หนีออกจากบ้าน
อิ่นสวินไม่พูดอะไรมาตลอดทาง กระทั่งมาถึงประตูหน้าบ้าน เขาจึงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “นายไม่ติดใจจริงๆเหรอ”
“ติดใจอะไร”
“ติดใจว่าฉันไม่ใช่คน” อิ่นสวินตอบ
“ฉันต้องติดใจอะไรล่ะ นายไม่ได้ทำร้ายฉันนี่” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “อ้อ จริงสิ ลืมบอกนายเรื่องรถกระบะคันเล็กในบ้านไปเลย”
“คืออะไรน่ะ” อิ่นสวินตกใจ
“มันคือทาก” ลู่ชิงจิ่วบอกความจริงอันโหดร้ายกับอิ่นสวิน “ฉันจำได้ว่าเหมือนนายจะแพ้ทาก…”
ทันทีที่ได้ยินคำว่าทาก ใบหน้าของอิ่นสวินก็บิดเบี้ยวไม่พอใจ ก่อนเอ่ยว่า “ทาก? ทาก? ทากที่ฉันรู้จักนั่นใช่มั้ย”
ลู่ชิงจิ่ว “ใช่ มันนั่นแหละ”
อิ่นสวิน “บ้าเอ๊ย ไอ้นั่นใช้เป็นรถได้ด้วยเหรอ ก็ว่าทำไมฉันถึงคันก้น…” นึกถึงลักษณะของตัวทาก อิ่นสวินก็ตัวสั่นพลางเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น “ฉันจะไม่นั่งรถนายอีก”
เห็นอิ่นสวินทำท่ารังเกียจรถกระบะน้อยของเขา ลู่ชิงจิ่วจึงเอ่ยอย่างโกรธขึ้ง “นายบ้าไปแล้วเรอะ ไม่นั่งรถกระบะแล้วนายจะเดินเข้าเมืองหรือไง ตายมาตั้งหลายปีแล้ว จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่บ้างไม่ได้เหรอ”
อิ่นสวิน “…” เขาไม่อาจปฏิเสธได้
ทั้งสองกลับถึงบ้านทั้งที่ทะเลาะกัน ขณะนี้ไป๋เยวี่ยหูยังไม่กลับมา ลู่ชิงจิ่วกลัวอิ่นสวินจะหิวจึงให้เขาทานเสียก่อน
ที่จริงอิ่นสวินหิวโหยมาหลายวันแล้ว อาหารที่เขาปรุงนั้นไม่สามารถกินได้เลย หรือต่อให้กิน มันก็ทำให้เขาท้องเสีย โชคดีที่เขาไม่จำเป็นต้องกินอาหารมากขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นหลายปีที่ผ่านมาเขาคงไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร
ลู่ชิงจิ่วมองอิ่นสวินกินข้าวด้วยสายตาของพ่อที่เฝ้ามองด้วยความรัก เขามองจนอิ่นสวินขนลุกแล้วเอ่ยเรียกเสียงเบา “ชิงจิ่ว…”
ลู่ชิงจิ่ว “ไอ้เด็กโง่ กินเยอะๆ หน่อยสิ นายทนทุกข์มาตั้งหลายปี”
อิ่นสวิน “…”
“มา นี่น่องไก่” ลู่ชิงจิ่วพูด “เจ้าโง่นี่มองอะไรล่ะ กินสิ”
อิ่นสวินกลืนน้ำลายตัวเอง รู้สึกเสียใจที่หายหน้าไปสองสามวันโดยไม่มีเหตุผล ความจริงแล้วเขายังคิดไม่ตกว่าจะอธิบายให้ลู่ชิงจิ่วฟังอย่างไร กลัวลู่ชิงจิ่วจะไม่ยอมรับก็เลยคิดจะซ่อนตัวก่อนสักพักเพื่อสังเกตสถานการณ์ ใครจะรู้ว่าซ่อนตัวได้ไม่ถึงสองวันไป๋เยวี่ยหูก็มาหาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกให้เขารีบกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นจะจับเขาฆ่ากินเนื้อทันที
สำหรับไป๋เยวี่ยหูนั้น อิ่นสวินไม่กล้าท้าทายความอดทนของเขาแม้เพียงนิด จึงรีบกลับบ้านมาโดยไว
ปกติแล้วน่องไก่เป็นอาหารสุดพิเศษของไป๋เยวี่ยหู วันนี้มันมาอยู่ในชามของเขา อิ่นสวินได้แต่คิด นี่มันความสุขหลังประสบเคราะห์กรรมหรือเปล่านะ…
ทว่าทันทีที่ใช้ตะเกียบคีบน่องไก่ขึ้นมา เขาก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาเย็นชาจับจ้องมาที่ร่างกายตน อิ่นสวินทนไม่ไหว มือของเขาสั่น น่องไก่ตกลงไปอยู่ในชามอีกครั้ง
“เยวี่ยหู นายกลับมาแล้ว” ลู่ชิงจิ่วส่งยิ้มไปทางเพื่อนร่วมบ้านที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ที่ประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ “มานี่เร็ว ฉันหาอิ่นสวินเจอแล้ว”
ไป๋เยวี่ยหูไม่พูดอะไร เดินไปนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของอิ่นสวิน ก่อนทอดสายตาลงมองไก่น่องใหญ่ในชามของอิ่นสวิน
ไก่น่องนี้ผ่านการหมักแล้ว น้ำมันเยิ้ม ยั่วคนที่มองให้อยากอาหาร และเพราะว่าอยากอาหารมาก…ไป๋เยวี่ยหูจึงต้องพยายามบังคับควบคุมตัวเองอย่างหนักไม่ให้หักตะเกียบในมือไปเสียก่อน เขาเหลือบมองลู่ชิงจิ่วที่ยิ้มอย่างมีความสุข แล้วหันมองอิ่นสวินที่มีสายตาหวาดหวั่น ก่อนจะพูดออกมาสองคำว่า “กินสิ”
อิ่นสวิน “…” ตกลงที่เขาจะกินนี่มันคือน่องไก่หรืออาหารมื้อสุดท้ายของเขากันแน่
“กินสิ” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยเชียร์เสียงอบอุ่นจากด้านข้าง
ภายใต้สายตาที่แตกต่างของทั้งสองคน อิ่นสวินทำได้เพียงกัดน่องไก่ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า พอกัดลงไปแล้ว ไป๋เยวี่ยหูก็จ้องเขาจนแทบจะพรุน อิ่นสวินรู้สึกว่าที่เขากินอยู่ไม่ใช่น่องไก่ แต่เป็นขาของเขาเอง…
“เยวี่ยหู ยังมีอีกชิ้นนะ นายกินสิ” โชคดีที่ตอนนี้ลู่ชิงจิ่วดึงความสนใจของไป๋เยวี่ยหูไป เขาเอ่ย “รีบกินเถอะ พวกนายสองคนคงหิวแล้วแน่ๆ”
ไป๋เยวี่ยหูถึงได้ละสายตาจากอิ่นสวินแล้วกินน่องไก่ของตน
นี่เป็นมื้ออาหารที่ชวนสั่นสะท้านที่สุดที่อิ่นสวินได้กินนับตั้งแต่ลู่ชิงจิ่วกลับมา หลังทานอาหารเสร็จแล้ว เสื้อผ้าของอิ่นสวินยังคงชื้นอยู่ ลู่ชิงจิ่วประหลาดใจ ที่แท้คนตายก็มีเหงื่อออกได้เหมือนกัน
“ความจริงไม่นับว่าฉันเป็นคนตายทั่วๆ ไปหรอก” หลังจากวางตะเกียบลง อิ่นสวินก็อธิบายให้ลู่ชิงจิ่วฟัง “ฉันยังไม่ได้ลงทะเบียนที่นรกเลย”
“งั้นนายเป็นคนตายประเภทไหนกันล่ะ” ลู่ชิงจิ่วถาม
อิ่นสวินว่า “เรื่องมันยาว…เมื่อตอนที่ผานกู่* แยกดินแดนสวรรค์กับโลกมนุษย์…”
ลู่ชิงจิ่ว “…”
ไป๋เยวี่ยหูเอ่ยอย่างเย็นชา “พูดจาภาษาคน”
อิ่นสวินถึงเข้าประเด็น “ขอโทษ ฉันจมน้ำตายตอนสิบขวบ”
ลู่ชิงจิ่ว “…”
ไป๋เยวี่ยหู “…”
“ช่างเถอะ นายไม่อยากพูดถึง ฉันก็ไม่อยากบังคับ” ในตอนนี้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเพื่อนวัยเด็กผู้โชคร้ายคนนี้ดั่งความรักดุจภูผาของคนเป็นพ่อ “ฉันรู้ว่าใจของนายขมขื่น ฉันเข้าใจ ฉันจะแนะนำให้นายใหม่อีกครั้ง นี่คือไป๋เยวี่ยหู ปีศาจจิ้งจอก เขาไม่ใช่คนเหมือนกัน ส่วนนั่นเสี่ยวฮวากับเสี่ยวเฮย ว่ากันว่าเป็นสัตว์เทพชื่อตังคัง ส่วนนี่ซูซี เป็นปีศาจจิ้งจอกเหมือนกัน…”
อิ่นสวิน “…”
ลู่ชิงจิ่ว “เพราะฉะนั้นนายวางใจเถอะ ถึงนายจะเป็นคนตาย แต่สำหรับที่นี่แล้วปกติธรรมดามาก ไม่เป็นไรเลย”
จริงสิ ชัดเจนว่าคนที่แตกต่างในบ้านหลังนี้คือลู่ชิงจิ่วผู้เป็นเจ้าของบ้านต่างหาก…
คิดถึงตรงนี้อิ่นสวินก็หลั่งน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง โผเข้ากอดลู่ชิงจิ่ว ชายหนุ่มลูบศีรษะของอิ่นสวินพลางเอ่ยเสียงสั่น “สวินเอ๋อร์อ่า นายทนทุกข์มามากพอแล้ว พ่อ…ไม่ใช่สิ ต่อจากนี้ฉันจะดีกับนาย”
ไป๋เยวี่ยหูที่อยู่ข้างๆ รู้สึกเลี่ยนกับการกระทำของคนทั้งคู่จนถึงกับต้องวางตะเกียบลง
อิ่นสวินที่ถูกลู่ชิงจิ่วตระกองกอดในอ้อมแขนดั่งลูกชายคนหนึ่งพลันเอ่ยถามขึ้น “คือว่า…ฉันอยากจะถามหน่อย คุณไป๋…เป็นปีศาจจิ้งจอกจริงๆ เหรอ”
ลู่ชิงจิ่วคลายมือออก มองไปทางไป๋เยวี่ยหู “ทำไมล่ะ”
ไป๋เยวี่ยหูมองอิ่นสวินอย่างเย็นชาก่อนเอ่ย “ใช่ ทำไม”
เมื่อเขาพูดจบ ข้างหลังก็ปรากฏหางสวยงามสีขาวเก้าหาง อิ่นสวินที่มองอยู่ถึงกับตะลึงงัน
ลู่ชิงจิ่วไปอยู่ข้างหลังไป๋เยวี่ยหูอย่างไม่เคอะเขิน ลูบไล้สองหาง “ดูสิ ฉันบอกนายแล้ว เยวี่ยหูเป็นปีศาจจิ้งจอก แล้วหางนี่ก็ให้สัมผัสที่ดีมาก” หลังเอ่ยจบประโยค ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่าแววตาไป๋เยวี่ยหูอ่อนโยนลงบางส่วน แถมหางตาก็ยกโค้งขึ้น
อิ่นสวินยืนมองอยู่ข้างๆ เมื่อหางของไป๋เยวี่ยหูโผล่ออกมาจากข้างหลัง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง นิ้วมือสั่นระริก แน่ล่ะ เขาไม่มีความกล้าอย่างลู่ชิงจิ่วที่จะยื่นมือออกไปจับหางของไป๋เยวี่ยหู…ไม่ว่าหางนี้จะเป็นหางของไป๋เยวี่ยหูหรือไม่ก็ตาม ก็ยังต้องเป็นที่ถกเถียงพูดคุยกันต่อ
ลู่ชิงจิ่วไล้ขนที่หางนั่นอย่างมีความสุข ไป๋เยวี่ยหูหรี่ตา ภาพที่เห็น ณ ตอนนี้ช่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว อิ่นสวินจึงก้าวไปทางประตูอย่างเงียบเชียบ
หลังจากลูบหางเป็นการยืนยันตัวตนของไป๋เยวี่ยหูแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็ปรายตามองอิ่นสวินอีกครั้งพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลายวันมานี้นายไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลยใช่มั้ย ฟ้ามืดแล้ว รีบกลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้อย่าลืมมากินข้าวเช้าด้วยกันล่ะ”
อิ่นสวินเม้มปาก เห็นได้ชัดว่าเขาลังเล สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นว่า “นายอยากฟังเรื่องของฉันมั้ย”
ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า เขาอยากรู้อยู่แล้ว แต่ถ้าอิ่นสวินไม่พูด เขาก็ไม่อยากบังคับ ทุกคนล้วนมีอดีตที่ไม่อยากจดจำ เขาไม่จำเป็นต้องเปิดบาดแผลของคนอื่นเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง
“ถ้าฉันบอกแล้ว นายอย่ารังเกียจฉันเลยนะ” อิ่นสวินเอ่ยเสียงต่ำ ฟังดูหดหู่ “ตกลงมั้ย”
ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ฉันไม่รังเกียจนายหรอก” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง กลัวว่าอิ่นสวินจะคิดมาก จึงยกตัวอย่างว่า “ดูอย่างรถกระบะของฉันสิ ฉันรู้ว่ามันคือทาก ฉันยังชอบมันมากๆ เลย”
ได้ยินคำว่าทาก อิ่นสวินก็ตัวสั่นไปโดยปริยาย “…พวกเราไม่ต้องพูดถึงมันได้มั้ย” เขากลัวสัตว์ประเภทนี้มากจริงๆ ถึงแม้จะตายไปแล้ว แต่ความกลัวที่มีก็ไม่ได้ลดลงเลย
ลู่ชิงจิ่วยักไหล่ ทำไม่รู้ไม่ชี้
“พวกนายคุยกันไปเถอะ” ไป๋เยวี่ยหูบอก “ฉันจะออกไปข้างนอกพอดี” พูดจบเขาก็ลุกเดินจากไป ภายในบ้านจึงเหลือแค่ลู่ชิงจิ่วและอิ่นสวิน
“พวกเราไปที่ลานบ้านกันเถอะ” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ฉันหมักไวน์องุ่นไว้ น่าจะพอได้ที่แล้ว ถ้านายอยากก็เอามาดื่มสักหน่อย”
“ไม่ล่ะ” ได้ยินเช่นนั้นอิ่นสวินก็หัวเราะ ลู่ชิงจิ่วยังคงอ่อนโยนเหมือนในความทรงจำ ช่วยผ่อนคลายความกังวลของเขาได้เป็นอย่างดี สุดท้ายแล้วไม่ว่าลู่ชิงจิ่วจะยอมรับคนที่ตายแล้วคนนี้หรือไม่ก็ตาม เขาก็ไม่เสียใจเลยที่เคยเป็นเพื่อนกับลู่ชิงจิ่ว
คนทั้งสองเดินมาถึงกลางลานบ้านและนั่งลงภายใต้แสงจันทร์ อิ่นสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ พูด “นายยังจำที่ฉันเคยบอกว่าหมู่บ้านสุ่ยฝู่ตั้งอยู่ในภูเขา แล้วเคยมีเด็กคนหนึ่งจมน้ำได้มั้ย”
“จำได้” ลู่ชิงจดจำสิ่งที่อิ่นสวินพูดได้ดี หลังจากที่จูเหมี่ยวเหมี่ยวขึ้นภูเขาคราวนั้น พวกเขาก็เจอเรื่องราวคล้ายๆ กัน
“เด็กคนนั้นไม่ใช่ใครหรอก” อิ่นสวินพูดเรื่องที่น่าตกใจอย่างเชื่องช้า “เด็กคนนั้นคือฉันเอง”
สีหน้าของลู่ชิงจิ่วแข็งทื่อ เขาเอ่ย “แต่ว่า…นายก็ยังอยู่ข้างหน้าฉันตรงนี้นี่” อีกอย่างคนในหมู่บ้านต่างก็รู้ว่าเขามีตัวตน
สีหน้าของอิ่นสวินแปลกไป เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ใช่ เมื่อก่อนฉันสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ ใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้ เพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น”
* ชื่อเพลง ‘เหยาอาเหยา เหยาเต้าไว่ผอเฉียว’ เป็นเพลงกล่อมเด็ก คล้ายกับเพลงโยกเยกเอยของไทย
* ผานกู่ คือผู้สร้างโลกและทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ตามความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของจีน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 17 ก.ย. 65
Comments
comments
No tags for this post.