X
    Categories: everYFantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย?ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3 บทที่ 63-64 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

มีการกล่าวถึงการทารุณกรรมเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 63 ของขวัญวันเกิด

 

วันเกิดของลู่ชิงจิ่วคือเดือนมีนาคมในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ เมื่อทุกสิ่งกลับมาคึกคักดังเดิม โลกทั้งใบก็เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ลู่ชิงจิ่วชอบฤดูใบไม้ผลิที่วุ่นวาย ชอบแสงแดดอันอบอุ่น ชอบลำธารที่กำลังละลาย ชอบกลิ่นหอมของพืชพรรณในทุ่งหญ้า ตอนที่คุณยายยังอยู่ เมื่อต้องฉลองวันเกิดให้ลู่ชิงจิ่ว เธอมักจะทำบะหมี่ไก่สูตรพิเศษให้กับลู่ชิงจิ่ว ฐานะครอบครัวพวกเขาไม่ค่อยดีและไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อเค้ก สำหรับลู่ชิงจิ่วบะหมี่ชามนั้นทำให้เขาพอใจมากแล้ว ในบะหมี่ไก่มักจะหั่นไข่แดงสามชิ้นใส่ไว้ด้วย ซึ่งลู่ชิงจิ่วกินหมดในสองคำ

ต่อมาเมื่อลู่ชิงจิ่วออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ เขาก็ไม่ได้ชิมรสฝีมือของคุณยายเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจำได้ว่าตอนนั้นพ่อแม่ต้องการรับคุณยายออกไปด้วยกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณยายก็ไม่ยินยอม เธอยืนกรานที่จะอาศัยในหมู่บ้านอันห่างไกลแห่งนี้ ราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง

เช้าตรู่ของวันที่สามสิบ ลู่ชิงจิ่วตื่นนอนลุกขึ้นจากเตียง สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากลืมตาก็คือหยิบกล่องไม้ที่วางอยู่ข้างเตียง

บนกล่องไม้มีตัวล็อกแบบตัวอักษรห้อยอยู่ ตัวอักษรบนตัวล็อกนี้จะเปลี่ยนไปทุกวัน วันนี้ลู่ชิงจิ่วตรวจสอบตัวล็อกตามปกติ ทว่าหลังจากเห็นข้อความบนตัวล็อกชัดๆ เขาก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจ

เขาเห็นตัวอักษรที่คุ้นเคยสามตัวจากตัวอักษรบนตัวล็อก มันคือลู่ ชิง จิ่ว ซึ่งเป็นชื่อของเขา ลู่ชิงจิ่วนึกถึงสิ่งที่ภิกษุเสวียนอวี้เคยพูดกับเขาได้ทันที ก่อนที่คุณยายจะเสียชีวิต เธอเก็บของขวัญชิ้นหนึ่งเอาไว้ และของขวัญนั้นน่าจะเป็นกล่องไม้ที่อยู่ตรงหน้าเขา

มือของลู่ชิงจิ่วสั่นเล็กน้อย เขาค่อยๆ บิดตัวล็อก ขยับตัวอักษรทั้งสามของลู่ชิงจิ่วให้อยู่ในแถวเดียวกัน ทันทีที่บิดตัวอักษรทั้งสามเรียบร้อย กล่องไม้ก็ส่งเสียงดังคลิก แล้วตัวล็อกอันแน่นหนาก็เปิดออก

ลู่ชิงจิ่วกลั้นหายใจด้วยความประหม่า เขาค่อยๆ คลายตัวล็อกแบบข้อความ จากนั้นจึงเปิดกล่องไม้มองสิ่งที่อยู่ภายใน

มันคือสมุดบันทึกเล่มหนาที่ดูค่อนข้างเก่าเล่มหนึ่ง

ลู่ชิงจิ่วยื่นมือออกมาหยิบสมุดบันทึก แต่กลับเห็นวัตถุสีดำชิ้นหนึ่งหลุดออกมาจากข้างในสมุด เขาชะงักก่อนจะหยิบมันขึ้นมา เมื่อของสิ่งนั้นอยู่ในมือ เขาก็พบว่าที่จริงแล้วมันคือเกล็ดสีดำชิ้นหนึ่งซึ่งมีส่วนคล้ายกับเกล็ดที่เขาเก็บมาเมื่อคืนนี้ หากแต่เกล็ดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วน คล้ายกับเจ้าของเกล็ดนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกสับสนเล็กน้อย การคาดเดาครั้งก่อนของเขาได้รับการยืนยัน ดูเหมือนคุณยายของเขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับอมนุษย์จริงๆ ไม่เพียงแค่รู้เรื่อง แต่ยังคบค้าสมาคมกับพวกเขาด้วย ส่วนเกล็ดสีดำชิ้นนี้เป็นของไป๋เยวี่ยหูงั้นเหรอ หรือของเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเขาล่ะ แล้วเผ่าพันธุ์ของไป๋เยวี่ยหูคือเผ่าอะไรกันแน่ มังกรใช่มั้ย อย่างไรก็ตามมังกรมีหลายประเภท แม้แต่ในคัมภีร์ซานไห่จิงก็มีอยู่ไม่น้อย…

ลู่ชิงจิ่วลังเล นำเกล็ดนี้ใส่ลงในกระเป๋าก่อนเปิดดูสมุดบันทึกที่อยู่ในมือ

สมุดบันทึกถูกเก็บไว้นานเกินไป กระดาษจึงกลายเป็นสีเหลืองเก่า หากแต่ตัวอักษรสวยงามบนนั้นยังคงเด่นชัด นี่คือลายมือคุณยายของลู่ชิงจิ่ว

พลิกหน้าแรกของสมุดบันทึก มีคำไม่กี่คำเขียนอยู่

 

‘มีน้ำในหมู่บ้านสุ่ยฝู่’

 

ลู่ชิงจิ่วขมวดคิ้วด้วยความฉงน ความจริงแล้วเขารู้สึกแปลกๆ กับชื่อของหมู่บ้าน เพราะส่วนใหญ่ชื่อของหมู่บ้านล้วนถูกกำหนดตามลักษณะบางประการของท้องถิ่น ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือถ้ามีคนนามสกุลหลี่หลายคน หมู่บ้านนี้ก็จะถูกเรียกว่าหมู่บ้านหลี่ แต่หมู่บ้านสุ่ยฝู่มีลำธารเพียงแห่งเดียวที่ไม่มีแม้กระทั่งปลา แล้วทำไมถึงเรียกว่าสุ่ยฝู่กัน

หลังจากพลิกอ่านไปไม่กี่หน้า ในที่สุดลู่ชิงจิ่วก็ยืนยันได้ว่าสมุดบันทึกตรงหน้านี้น่าจะเป็นสมุดบันทึกของคุณยาย แต่สมุดบันทึกเล่มนี้ค่อนข้างยุ่งเหยิงและไม่ระบุเวลาที่แน่นอน ราวกับจดบันทึกเมื่อนึกขึ้นได้ ทว่าเมื่อพิจารณาจากคำอธิบายคร่าวๆ ในสมุดบันทึก เลยรู้ว่ามันถูกใช้ขีดเขียนตั้งแต่สมัยคุณยายยังสาวจนถึงตอนที่คุณยายลาโลกไปแล้ว คุณยายเก็บไว้ข้างกายตลอด

‘ฉันชอบที่นี่มาก ผู้เช่าบ้านก็ค่อนข้างน่าสนใจมาก แถมยังดูดีเลยทีเดียว ฮ่าๆ ฉันว่าเขาดูดีกว่าฉันมากเลยนะ’ คุณยายเขียนต่อ ‘เพียงแต่ว่ากินเยอะไปหน่อยและรู้สึกจะเลี้ยงไม่ค่อยไหว’

ลู่ชิงจิ่วชะงักค้าง เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่สู้ดี

ไม่นาน เมื่อเขาเปิดหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีของเขาก็เป็นจริง เนื้อหาในสมุดบันทึกบอกลู่ชิงจิ่วว่าคุณยายเหมือนจะพบเจอสิ่งเดียวกัน เธอได้พบกับผู้เช่าที่แสนงดงามและกินอาหารเก่งมาก แต่อารมณ์ของเขาแตกต่างจากไป๋เยวี่ยหูลิบลับ ทั้งอ่อนโยนและมีน้ำใจ อบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ

‘ฉันชอบฤดูใบไม้ผลิจริงๆ’ ตอนนั้นเธอยังเยาว์วัย ไม่นานก็ตกหลุมรัก ‘เช่นเดียวกับเขา วันนี้อาหารกลางวันที่เขาทำอร่อยมาก ฉันถามเขาว่าเขาจะทำให้ฉันกินตลอดไปเลยได้มั้ย เขายิ้มและพยักหน้า’

เมื่อเห็นตัวอักษรที่แสนอบอุ่นนี้ ภายในใจลู่ชิงจิ่วกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เพราะในความทรงจำเขาไม่เคยเห็นตาเลย แม้แต่ชื่อตาก็เป็นเรื่องต้องห้ามในครอบครัวเช่นกัน ตอนที่ยังเด็กเขาเคยถามคุณยาย แต่คุณยายกลับบอกไม่ให้ถามอีก

‘เธอไม่มีคุณตา’ คุณยายพูด ‘จิ่วเอ๋อร์ผู้น่ารัก อย่าถามอะไรอีกเลยนะ’

ตั้งแต่นั้นมาลู่ชิงจิ่วก็ไม่เคยถามอีกเลย

ลู่ชิงจิ่วอ่านต่อไปและพบว่าด้านหลังของสมุดบันทึกถูกฉีกออกไปเสียส่วนใหญ่ ดูออกเลยว่าคุณยายมีอารมณ์คุกรุ่นอย่างมากตอนที่เธอฉีกส่วนนั้น เพราะเธอแทบจะฉีกสมุดบันทึกออกเป็นครึ่งเล่ม

‘ฉันรู้แล้ว’ คุณยายเขียนไว้ข้างหลังว่า ‘ฉันเต็มใจที่จะเลือกแบบนี้ เพราะอย่างน้อยฉันก็มีเขา แค่มีเขาก็เพียงพอแล้ว เดิมทีพวกเขาต้องการให้ฉันกลับมาเพราะว่าสิ่งนี้ ตระกูลลู่เหลือแค่ฉัน ฉันคนเดียว นี่คือความรับผิดชอบของฉัน’

ลู่ชิงจิ่วไม่เข้าใจความหมายของความรับผิดชอบนี้ แต่ในใจของเขาเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณยาย

หลังจากนั้นสมุดบันทึกก็ว่างเปล่าไปหลายหน้า ดูเหมือนว่าคุณยายจะเลิกสนใจการจดบันทึกแล้ว มีคำบางคำที่ทำให้ลู่ชิงจิ่วไม่สบายใจเป็นพิเศษ

 

‘เขาเปลี่ยนไป เป็นแบบนี้ได้ยังไง’

‘ทำไมเป็นอย่างนี้ ฉันไม่เข้าใจ’

‘พวกเขาส่งผู้เช่าบ้านรายใหม่มา แต่ฉันยอมรับไม่ได้’

‘ทำไมล่ะ ทำไม…ทำไม ทำไม ฉันไม่อยากยอมแพ้ ฉันไม่ต้องการที่จะยอมแพ้’

‘ฉันท้อง’

‘ทุกอย่างจบลงแล้ว’

 

ลู่ชิงจิ่วถือสมุดบันทึกไว้แน่น เธอตั้งครรภ์โดยที่ไม่ได้แต่งงาน ในอดีตมันเป็นอาชญากรรมร้ายแรง แต่โชคดีที่ครอบครัวลู่มีสถานะสูงในหมู่บ้านสุ่ยฝู่ ดังนั้นเธอจึงไม่ถูกขับไล่ออกไป แต่ไม่สามารถไปในสถานที่หรืองานที่เป็นทางการได้ บางครั้งก็ต้องเผชิญกับสายตาของชาวบ้าน หลังจากที่มารดาของลู่ชิงจิ่วเกิด คุณยายจึงส่งเธอออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ให้เธอได้ไปใช้ชีวิตและเติบโตข้างนอก ต่อมาพ่อแม่ของเขายุ่งกับงานจนไม่สามารถดูแลลู่ชิงจิ่วตัวน้อยได้ เขาจึงถูกส่งตัวไปหาคุณยายและใช้ชีวิตในวัยเด็กกับหญิงชราใจดีคนนี้

ตกลงเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณยายและผู้เช่าอันเป็นที่รักของเธอ ที่เธอบอกว่าเปลี่ยนไปหมายความว่ายังไง ลู่ชิงจิ่วรู้สึกราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าปากหลุมสีดำ ถ้าก้าวไปข้างหน้า เขาก็จะตกลงไปในนั้น สติด้านเหตุผลของเขาบอกตัวเองว่าควรหยุด แต่ความอยากรู้อยากเห็นผลักดันให้เขาอ่านต่อ

ลู่ชิงจิ่วเปิดสมุดบันทึกไปที่สองสามหน้าสุดท้ายและเห็นย่อหน้าที่คุณยายทิ้งไว้ให้

 

‘ชิงจิ่ว เมื่อหลานได้อ่านสมุดบันทึกเล่มนี้ ยายก็คงจะจากไปแล้ว ยายอยากจะขอโทษหลาน การตายของพ่อแม่หลานมันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มีคนฆ่าพวกเขา เพียงแต่ว่าฆาตกรก็ถูกลงโทษตามสมควรแล้วแม้ไม่ใช่โดยสมัครใจ ได้โปรดอย่าโทษเขาเลย หมู่บ้านสุ่ยฝู่มีความลับมากมาย ยายไม่รู้ว่าหลานรู้มากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ ยายก็ไม่อยากให้หลานรู้มากเกินไป’

 

ลู่ชิงจิ่วมองตัวอักษร รู้สึกว่าร่างกายตนเองเริ่มเย็นลงทุกที

 

‘ตระกูลลู่ของเรามีสายเลือดพิเศษ เราเกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครองหมู่บ้านสุ่ยฝู่ เพียงแต่สายเลือดของตระกูลลู่นั้นบอบบางและไม่รู้ว่าจะถูกตัดขาดเมื่อไร ยายดีใจมากที่หลานออกไปจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่และหวังว่าหลานจะไม่กลับมาอีก ปล่อยให้ทุกอย่างสิ้นสุดลงซะ แต่ยายยังคงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังยายจากไปแล้ว หลานจะสับสนมั้ยหากกลับมาที่นี่ ดังนั้นยายจึงฝากสมุดบันทึกเล่มนี้ไว้ หวังว่าหลานจะไม่ต้องเปิดมัน และไม่เห็นมัน‘

 

แต่เห็นได้ชัดว่าคำอธิษฐานของคุณยายไม่เป็นผล โชคชะตานำพาให้ลู่ชิงจิ่วกลับมายังหมู่บ้านที่ห่างไกลแห่งนี้

ลู่ชิงจิ่วสำลักในคอและอ่านต่อไป

 

‘แต่ถ้าหลานเห็นมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หลานมีทางเดินของตัวเอง ยายจะตัดสินใจแทนหลานไม่ได้ สุ่ยฝู่เป็นสถานที่ที่พิเศษมาก นอกจากจะเชื่อมต่อโลกทั้งสองเข้าด้วยกันแล้ว ตระกูลลู่เองก็รักษาที่แห่งนี้ไว้เป็นพันๆ ปี เราไม่ได้เฝ้าหมู่บ้านแต่เป็นผู้คน ชิงจิ่ว หลานเจอผู้เช่ารายใหม่แล้วใช่มั้ย เขาคือคนที่หลานต้องปกป้อง ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ หมู่บ้านสุ่ยฝู่ก็จะสามารถคงอยู่ต่อไปได้ หากเขาตายหรือเกิดอุบัติเหตุใดๆ จะมีผลร้ายแรงตามมา หลานห้ามมีความรู้สึกต่อผู้เช่าเด็ดขาด มันเป็นเรื่องผิดมหันต์ มันมีราคาที่ตระกูลลู่ต้องจ่ายอย่างหนักสำหรับสิ่งนี้’

 

ลู่ชิงจิ่วครุ่นคิด คุณยายของเขาจะรู้สึกอย่างไรตอนที่เธอเขียนข้อความเหล่านี้ เธอคิดถึงคนที่เคยรักมากใช่มั้ย แต่นี่มันขัดแย้งกันชัดๆ หากต้องการใช้แรงทั้งหมดเพื่อปกป้องคนคนหนึ่ง จะให้ไม่มีความรู้สึกต่อเขาได้ยังไงกัน มนุษย์ที่ไม่มีความรู้สึกยังนับว่าเป็นมนุษย์อยู่งั้นเหรอ นอกจากนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอ่อนแอมาก ทำไมพวกเขาถึงต้องปกป้องผู้เช่าที่มีพลังอำนาจมากด้วย เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ

เห็นได้ชัดว่าคุณยายไม่สามารถให้คำตอบที่ครบถ้วนได้เช่นกัน เธอทิ้งข้อความไว้หนึ่งประโยค ‘ชิงจิ่ว ยายรักหลาน ถ้าเจอเรื่องแย่ก็ให้ดูของที่อยู่ในกล่องใบนี้นะ’ หลังจากบรรทัดนี้บันทึกก็หยุดลงกะทันหัน

ย่อหน้าสุดท้ายถูกขีดเขียนอย่างลวกๆ สังเกตได้ว่าคนเขียนย่อหน้านี้อาการแย่ลง นี่คงเป็นคำพูดสุดท้ายของคุณยาย

ลู่ชิงจิ่วใช้นิ้วลูบกระดาษ สัมผัสได้ถึงความหยาบของมัน เขาเกือบจะเข้าใจความหมายของคุณยายแล้ว มีบางจุดที่ยังไม่เข้าใจ แต่มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เขาแนบสมุดบันทึกเข้ากับหน้าอกแน่น ก่อนลุกขึ้นไปหาไป๋เยวี่ยหู

ไป๋เยวี่ยหูยังคงนอนหลับอยู่ เขานอนอยู่บนเตียงโดยที่แก้มฝังอยู่ในผ้าปูที่นอนผืนอ่อนนุ่ม ผมสีดำยาวถูกพาดสยายเหมือนผ้าไหมบนผ้าปูที่นอนสีขาว ใบหน้าของเขางดงามราวกับภาพวาด

มนุษย์เป็นสัตว์ตื้นเขิน แต่ไหนแต่ไรก็มักจะชื่นชอบร่างกายอันประณีตงดงาม

ลู่ชิงจิ่วนั่งลงข้างไป๋เยวี่ยหู การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างแผ่วเบา แต่ไป๋เยวี่ยหูลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววง่วงงุนและไม่ได้ระวังตัวใดๆ เขาพูดว่า “ว่าไง”

ลู่ชิงจิ่วพูด “ฉันมีอะไรจะถามนาย”

สายตาของไป๋เยวี่ยหูมองไปยังกล่องที่ลู่ชิงจิ่วถืออยู่ “นายเปิดมันแล้ว?”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “ใช่”

ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ถามมา”

ลู่ชิงจิ่วลังเลเล็กน้อย “นายรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณยายของฉัน”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “รู้บ้างนิดหน่อย”

ลู่ชิงจิ่วเริ่มประหม่าขึ้นมาทันที “แค่ไหน”

“เธอคือคุณยายของนาย” ไป๋เยวี่ยหูพูด “ตระกูลลู่ที่เคยปกป้องหมู่บ้านสุ่ยฝู่”

ลู่ชิงจิ่ว “อะไรอีกล่ะ”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “คนรักของเธอประสบภัยพิบัติและถูกคุมขัง” น้ำเสียงของเขาเบาลง แต่สิ่งที่เขาพูดทำให้ร่างกายของลู่ชิงจิ่วสั่นน้อยๆ

“นาย…นายรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอดีตคนรักของคุณยาย” ลู่ชิงจิ่วถามต่อ

“ไม่รู้” ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “เรื่องนี้ถูกเก็บเป็นความลับ ชิงจิ่ว เกิดอะไรขึ้น”

ลู่ชิงจิ่วยิ้มขมขื่น “เขากินพ่อแม่ของฉัน”

ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็นไปไม่ได้”

ลู่ชิงจิ่ว “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้”

ไป๋เยวี่ยหู “ถ้าเขาจะกิน ก็น่าจะกินคุณยายของนายก่อน เขาจะไปกินพ่อแม่ของนายทำไม”

ลู่ชิงจิ่ว “หมายความว่ายังไง ทำไมนายถึงพูดแบบนี้” เขาไม่เข้าใจตรรกะของไป๋เยวี่ยหู

ไป๋เยวี่ยหูนั่งตัวตรงและค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ลู่ชิงจิ่ว ในแววตาคล้ายกำลังมีดวงไฟลุกโชน ทำเอาลู่ชิงจิ่วคิดจะถอยห่าง ทว่าไป๋เยวี่ยหูคว้าแขนเขาเอาไว้และเอ่ยช้าๆ ว่า “นายกลัวอะไร”

ลำคอของลู่ชิงจิ่วขยับเล็กน้อย “ฉันแค่…ไม่เข้าใจสิ่งที่นายพูดถึง”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “เผ่าพันธุ์ของพวกเรานอกจากการเผชิญหน้ากับศัตรูแล้ว พวกเราล้วนชื่นชอบสิ่งที่กินลงไปทั้งหมด คุณยายของนายอยู่เคียงข้างเขาในตอนนั้น ถ้าเขาจะกิน ก็น่าจะกินคุณยายของนายก่อน”

ลู่ชิงจิ่ว “…แต่ความจริงก็คือเขากินพ่อแม่ของฉัน”

ไป๋เยวี่ยหู “บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความต้องการของเขา”

ลู่ชิงจิ่ว “พวกนายถูกบังคับได้ด้วยเหรอ”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “พวกเราไม่ได้ถูกบังคับ แต่อาจจะถูกทำให้มีมลทิน” เขาว่าต่อ “นอกหมู่บ้านสุ่ยฝู่ ทุกที่ล้วนถือเป็นต่างแดน”

ลู่ชิงจิ่วต้องการเป็นอิสระจากการกอบกุมของไป๋เยวี่ยหู หากแต่รู้สึกว่ามือของไป๋เยวี่ยหูนั้นราวกับเหล็กหล่อที่จับแขนของเขาแน่นจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมแพ้ เขาก้มศีรษะและนั่งลงข้างๆ ไป๋เยวี่ยหู ในมือถือกล่องไม้สีดำไว้แน่น “นายรู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงอยากกลับหมู่บ้านสุ่ยฝู่”

ไป๋เยวี่ยหูสังเกตท่าทางของลู่ชิงจิ่วก่อนตอบว่า “เพราะพ่อแม่ของนาย?”

“ใช่” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “มีคนบอกฉันว่าพ่อแม่ไม่ได้ตายโดยบังเอิญ” เขามองไป๋เยวี่ยหู “และเขาพูดถูก”

ไป๋เยวี่ยหู “ใครบอกนาย”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “เหล่าซู่”

ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้ว

ลู่ชิงจิ่วอธิบาย “เขาบอกว่าพ่อแม่ของฉันไม่ควรตาย การตายในหมู่บ้านสุ่ยฝู่นั้นมีคนลงมือทำ ไม่ใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ”

ไป๋เยวี่ยหูถาม “นายเชื่อเหรอ”

“ตอนมาที่นี่ฉันก็ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว” ลู่ชิงจิ่วตอบ “เขาพูดถูก พ่อแม่ของฉันไม่ได้ตายเพราะดินถล่ม แต่เพราะถูกจับกินต่างหาก”

มิน่าล่ะ อิ่นสวินเทพภูเขาถึงไม่พบศพพ่อแม่ของเขา เจอแต่สิ่งของที่ทิ้งเอาไว้ต่างหน้า เขาน่าจะรู้…นี่มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่พวกเขาถูกอะไรบางอย่างกินเข้าไป

ลู่ชิงจิ่วมองไป๋เยวี่ยหู นัยน์ตาเอ่อคลอด้วยน้ำตา เขานึกถึงความสิ้นหวังในสมุดบันทึกของคุณยาย คิดถึงภาพตอนที่เขาจัดการงานศพของบิดามารดาก่อนจะถามต่อ “นายจะกินฉันมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูอ้าปากน้อยๆ เขารู้ว่าคำตอบที่ดีที่สุดในตอนนี้คือตอบปฏิเสธ แต่จิตวิญญาณกำลังบอกความปรารถนาที่เขามีต่อลู่ชิงจิ่ว และความปรารถนานี้ทำให้เขาลังเล ชายหนุ่มทำได้เพียงมองแสงสว่างในแววตาของลู่ชิงจิ่วค่อยๆ มอดลง

“นายตอบไม่ได้เหรอ” ลู่ชิงจิ่วถาม

ไป๋เยวี่ยหูรู้สึกว่าหัวใจถูกบีบรัด ความรู้สึกนี้นี่มันน่าอัศจรรย์แบบนี้เอง หัวใจของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ทำไมมันถึงรู้สึกเจ็บ เขาตอบ “ฉันไม่รู้”

ลู่ชิงจิ่วยิ้มขมขื่น

ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “แต่ฉันจะพยายามยับยั้งมันไว้” เขาคว้ามือของลู่ชิงจิ่วแล้วดมที่นิ้วของชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง ริมฝีปากไล้ผ่านผิวหนังบนหลังมือ สัมผัสอุณหภูมิของมนุษย์แล้วพูดว่า “มันยากที่ฉันจะอธิบายความรู้สึกนี้ให้นายฟัง มันเหมือนกับ…เค้กน่าอร่อยชิ้นใหญ่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่ตรงหน้านาย นายชอบเค้กชิ้นนั้นมาก อยากจะกินมันลงไป แต่ก็รู้ว่าถ้ากินไปแล้วจะไม่มีมันอีก นายก็เลยต้องอดทนต่อไป”

ที่จริงลู่ชิงจิ่วรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่เขาก็ขบขันกับคำอุปมาอุปไมยของไป๋เยวี่ยหู “แต่ฉันไม่ใช่เค้กนะ”

ไป๋เยวี่ยหู “ใช่ นายน่าดึงดูดยิ่งกว่าเค้กซะอีก”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “นี่คือนายกำลังชมคุณภาพเนื้อของฉันใช่มั้ย”

ไป๋เยวี่ยหู “ช่างมันเถอะ”

ลู่ชิงจิ่วหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง ชายหนุ่มหัวเราะจนน้ำตาไหล “อมนุษย์ที่กินพ่อแม่ของฉันตอนนี้อยู่ที่ไหน เขารู้หรือเปล่าว่าคุณยายของฉันจากไปแล้ว”

“ฉันพานายไปดูมาแล้วไง” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “จำเรื่องสยองขวัญของพวกเราได้มั้ย มังกรที่นายเห็นคือมังกรที่กินพ่อแม่ของนาย ใช่แล้ว พวกเขาพูดกันอย่างนั้น ฉันไม่เชื่อ ไม่รู้ว่าทำไมมังกรตัวนั้นถึงไม่โต้แย้งเพื่อตัวเอง” ดูเหมือนไป๋เยวี่ยหูจะแน่ใจว่ามังกรตัวนั้นไม่ได้กินพ่อแม่ของลู่ชิงจิ่ว ทว่าคำพูดนี้ช่างแตกต่างจากที่คุณยายของเขาบอก ลู่ชิงจิ่วเองก็ไม่รู้ว่าใครพูดความจริง

“ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อย” ลู่ชิงจิ่วบอก “ฉันไม่คิดว่านี่จะเป็นของขวัญวันเกิด” ช่างเป็นความจริงที่หนักหน่วงเสียเหลือเกิน

ไป๋เยวี่ยหู “อย่ารู้สึกแย่เลยนะ” เขายกมือขึ้นลูบหลังคอของลู่ชิงจิ่วเบาๆ เหมือนกับที่ลู่ชิงจิ่วทำเมื่อต้องการปลอบประโลมจิ้งจอกน้อย

ลู่ชิงจิ่วแอบรู้สึกจั๊กจี้ เขาอยากจะเบี่ยงหนี แต่กลับโดนไป๋เยวี่ยหูจับไว้แน่น

“นายจะไปมั้ย” ไป๋เยวี่ยหูถาม “จะไปจากที่นี่มั้ย”

บางทีไป๋เยวี่ยหูอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อเขาถามคำถามนี้น้ำเสียงของเขาประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย

ลู่ชิงจิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่หรอก”

ไป๋เยวี่ยหูถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ถ้าไปจากที่นี่ ฉันก็ไม่มีที่อื่นให้ไปเหมือนกัน” ลู่ชิงจิ่วพูดประโยคนี้ด้วยความขมขื่นในใจ เขาสูญเสียญาติพี่น้องไปนานแล้ว และไม่มีที่พักอาศัยอื่นใดอีก สำหรับเขาแล้วหมู่บ้านสุ่ยฝู่ไม่ได้เป็นเพียงแค่บ้านเกิดของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นบ้านที่อบอุ่นอีกด้วย

ที่ตรงนี้มีอิ่นสวินที่รอคอยให้เขากลับมา มีไป๋เยวี่ยหูที่คอยปกป้องที่นี่ มีหมูน้อยที่น่ารัก และมีจิ้งจอกน้อยขนปุย

สำหรับลู่ชิงจิ่วแล้วที่นี่คือที่ที่แสนอบอุ่น

“อย่าไปเลย” ไป๋เยวี่ยหูเอื้อมมือมากอดลู่ชิงจิ่ว เขาใช้ศีรษะถูไถกับแก้มของลู่ชิงจิ่วเบาๆ เหมือนแมวตัวใหญ่เอาแต่ใจ “อยู่ที่นี่เถอะ”

ลู่ชิงจิ่วมองดูการกระทำของไป๋เยวี่ยหู รู้สึกได้ว่าอาจเพราะปีศาจจิ้งจอกตรงหน้าตื่นเต้นมากเกินไป เลยอดไม่ได้ที่จะทำอะไรตามเผ่าพันธุ์เดิมของตัวเอง ร่างเดิมของไป๋เยวี่ยหูเป็นมังกรประเภทไหนกันแน่เดิมทีเขาอยากจะถาม แต่เขารู้สึกว่าไป๋เยวี่ยหูกังวลกับเรื่องนี้มาก ชายหนุ่มจึงกลืนคำพูดกลับลงไปในคออีกครั้ง

“ไม่ไปหรอก” ลู่ชิงจิ่วพูด “นายปล่อยเถอะ ฉันจะทำอาหารเช้าให้”

ไป๋เยวี่ยหูว่า “จะไม่ไปจริงๆ นะ?”

ลู่ชิงจิ่วเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ไปจริงๆ ถ้าฉันโกหกนายก็กินฉันเลย โอเคมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ก็ได้” ชายหนุ่มจริงจัง

ลู่ชิงจิ่วกล่าวว่า “ให้ฉันประมวลเรื่องพวกนี้ก่อน” โชคดีที่เขายอมรับเรื่องอมนุษย์มานานแล้วเลยมีความพร้อมทางจิตใจ ถ้าเพิ่งมารู้ล่ะก็ เกรงว่าคงจะกลัวจนต้องหนีในวันถัดไปแน่ๆ

“อื้ม” ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

ลู่ชิงจิ่วนำกล่องไม้กลับไปที่ห้องนอน ปิดกล่องลงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็วางลงข้างเตียงอีกครั้ง เขาสัมผัสกล่องอย่างพิถีพิถันพลางนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่คุณยายของเขาทิ้งไว้ ถ้าเจอเรื่องแย่ๆ ให้กลับมาดูของที่อยู่ในกล่อง…คิดแล้วคุณยายน่าจะอยากปลอบประโลมลู่ชิงจิ่วด้วยประสบการณ์ของตัวเอง

ถึงลู่ชิงจิ่วจะสัมผัสความเศร้าได้ แต่มันก็ยากสำหรับเขาที่จะจินตนาการถึงความสิ้นหวังของคุณยายเมื่อเธอรู้ว่าคนรักของเธอกลืนลูกๆ ของพวกเขาลงไป

นั่งอยู่ในห้องสักพัก ลู่ชิงจิ่วถึงปรับอารมณ์ได้ ชายหนุ่มลุกขึ้นไปทำอาหาร

แม้จะรู้ว่าเมื่อก่อนเคยมีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นที่นี่ แต่ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันเกิดของเขา เขาไม่อยากส่งต่อความรู้สึกแย่ๆ ของตัวเองไปให้คนอื่น

เมื่อเดินมาถึงด้านนอกห้องครัว ลู่ชิงจิ่วได้ยินเสียงพูดคุยดังออกมาจากข้างใน เขาฟังดูดีๆ ก็พบว่าเป็นจูเหมี่ยวเหมี่ยวกำลังโต้เถียงกับอิ่นสวินโดยมีเจียงปู้ฮ่วนคอยโน้มน้าวอยู่ข้างๆ

“ว้าว ที่เธอทำออกมานี่มันกินได้มั้ยน่ะ!” อิ่นสวินพูด “ไม่ใช่ว่าฉันขอให้เธอลดไข่ลงสองฟองเหรอ เห็นมั้ยเค้กนี่มันไม่เป็นรูปเป็นร่างอีกแล้ว”

จูเหมี่ยวเหมี่ยว “ให้ตาย ถ้าก่อนหน้านี้ฉันรู้ทักษะการทำอาหารของนาย ฉันคงจะสั่งมาก้อนหนึ่งแล้ว เร็วเข้าๆ นี่มันช้ามากแล้ว ชิงจิ่วน่าจะใกล้ตื่นแล้วนะ!”

อิ่นสวิน “อย่าเร่งๆ…”

เจียงปู้ฮ่วน “ถ้าวางตรงนี้ต้องระวังหน่อย”

ลู่ชิงจิ่วเหลือบมองจากประตู เห็นคนทั้งสามมีแป้งเปรอะเปื้อนบนใบหน้าและลำตัว พวกเขากำลังถือเค้กอย่างระมัดระวัง แต่เค้กนั่นไม่ว่าจะดูยังไงรูปร่างของมันก็แปลกมาก ถ้าต้องอธิบายมัน…มันก็เหมือนกับก้อนปาปา* ที่กำลังละลาย

ลู่ชิงจิ่ว “…” พวกเขาทำให้เค้กกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน

ทั้งสามคนไม่เห็นลู่ชิงจิ่วที่แอบมองอยู่ตรงประตู ในที่สุดพวกเขาก็ย้ายเค้กลงไปอยู่ในกล่องโดยวางแผนว่าจะใส่ครีมสดลงไป ลู่ชิงจิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทิ้งห้องครัวไว้กับทั้งสามคน แล้วหันหลังกลับมาที่ห้องของตัวเอง

ผ่านไปประมาณยี่สิบนาที จูเหมี่ยวเหมี่ยวก็มาเคาะประตูห้องลู่ชิงจิ่วเพื่อปลุกเขาด้วยท่าทางตื่นเต้น ลู่ชิงจิ่วแกล้งทำเป็นว่าเพิ่งตื่นนอน เขาหาวแล้วเอ่ย “ขอโทษที วันนี้ฉันตื่นสาย”

“ไม่เป็นไรๆ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวพูด “มาเร็วๆ เถอะ พวกเราเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว!”

ลู่ชิงจิ่วตอบว่า “พวกเธอทำอาหารเช้าด้วยเหรอ ใครเป็นคนทำ ไม่ใช่อิ่นสวินใช่มั้ย”

จูเหมี่ยวเหมี่ยวไม่รู้ว่าทักษะการทำอาหารของอิ่นสวินน่ากลัวแค่ไหน เธอรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ถ้าอิ่นสวินทำอาหารเช้าจะทำไมเหรอ ฉันคิดว่าเขาทำออกมาค่อนข้างดีนะ”

ลู่ชิงจิ่ว “…ลืมมันไปเถอะ ไม่มีอะไร” เขาไม่ได้บอกจูเหมี่ยวเหมี่ยว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการทำอาหารของอิ่นสวินก็คือรูปลักษณ์กับรสชาติอาหารนั้นพอใช้ แม้รสชาติจะค่อนข้างดี แต่กินเสร็จแล้วจะต้องท้องเสียแน่นอน ดูเหมือนเป็นเพราะการใช้วัตถุดิบแปลกๆ

เนื่องจากเป็นการฉลองวันเกิดของเขา และทุกคนก็ยุ่งวุ่นวายเพื่องานนี้ ลู่ชิงจิ่วจึงไม่ได้ผิดหวังอะไร ถึงอย่างไรการกินอาหารที่อิ่นสวินทำก็แค่ท้องเสียหนึ่งวันเอง…มั้ง?

บทที่ 64 เซอร์ไพรส์

 

เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน นับว่าเป็นเวลานานมากแล้วที่ลู่ชิงจิ่วไม่ได้ฉลองวันเกิดแบบจริงๆ จังๆ ถึงแม้ว่าในบริษัทจะมีการจดจำวันเกิดของพนักงานไว้เพื่อจัดฉลองร่วมกันก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ พร้อมกับตัดเค้กร่วมกันกับทุกคน เนื่องจากงานที่ค่อนข้างยุุ่ง ทุกครั้งที่ลู่ชิงจิ่วนึกขึ้นได้ก็คือวันเกิดของเขายังมาไม่ถึง หรือไม่วันเกิดของเขาก็ได้ผ่านไปแล้ว

อาหารยามเช้าที่พวกเขาทั้งสามคนเตรียมไว้คือบะหมี่อายุยืน* หนึ่งชาม ดูจากภายนอกแล้วไม่ต่างจากบะหมี่ทั่วไป นอกจากนี้ด้านบนบะหมี่ยังมีไข่ดาวสีเหลืองทอดวางอยู่ด้วย

ลู่ชิงจิ่วนั่งลงที่โต๊ะโดยหันหน้าเข้าหาจูเหมี่ยวเหมี่ยวและอิ่นสวิน

“สุขสันต์วันเกิดนะจิ่วเอ๋อร์” อิ่นสวินยิ้ม “นานมากแล้วที่ไม่ได้จัดงานวันเกิดให้นาย ฉันจำได้ว่าตอนที่คุณยายยังอยู่จะทำบะหมี่ให้นายทุกครั้ง วันนี้ฉันลงมือทำให้นายเองเลยนะ บะหมี่อายุยืนในตำนานกับน้ำซุปไก่แสนอร่อย!”

จูเหมี่ยวเหมี่ยวเสริม “นายลองชิมเร็วๆ สิ!”

ลู่ชิงจิ่ว “…” แม้ภายในใจเขาจะสงสัยในทักษะการทำอาหารของอิ่นสวิน แต่ก็ต้องบอกเลยว่าบะหมี่ตรงหน้านี้ช่างดึงดูดเสียเหลือเกิน ซุปใสโรยด้วยต้นหอมสีเขียว แถมยังมีกลิ่นหอมของซุปไก่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็คือบะหมี่ทั่วไปชามหนึ่ง

ไหนจะสายตาที่ตั้งตารอของพวกเขาอีก ลู่ชิงจิ่วไม่ได้พูดอะไรออกไป เขากินบะหมี่ตรงหน้า ต้องพูดเลยว่าบะหมี่ซุปไก่ชามนี้รสชาติไม่เลวแถมไข่ดาวยังเป็นยางมะตูมอีกด้วย หลังจากลู่ชิงจิ่วกินเสร็จแล้วเขาก็รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น

“อร่อยมาก ขอบคุณทุกคนนะ” ลู่ชิงจิ่วพูดพร้อมรอยยิ้ม

“อาหารวันนี้พวกเราเตรียมเรียบร้อยแล้ว นายพักผ่อนให้สบายสักวันเถอะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยววางแผนเอาไว้ “อากาศข้างนอกค่อนข้างดี นายลากไป๋เยวี่ยหูไปเดินเล่นบนภูเขามั้ย”

ลู่ชิงจิ่วยิ้ม “ไม่เป็นไร ให้ฉันทำเถอะ ยังไงวันนี้ก็วันเกิดฉัน ฉันอยากเลี้ยงอาหารพวกนาย”

แต่ไม่ว่าอย่างไรจูเหมี่ยวเหมี่ยวก็ไม่เห็นด้วย สุดท้ายลู่ชิงจิ่วจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องประนีประนอมด้วยการไปที่สวนกับไป๋เยวี่ยหู และส่งมอบครัวที่บ้านให้กับทั้งสามคน แน่นอนว่าก่อนที่จะออกไป เขาไม่ลืมที่จะบอกให้คำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อนและอย่าทำไฟไหม้ห้องครัวเด็ดขาด

ในสวนลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหูพูดคุยถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ลู่ชิงจิ่วพูดถึงความทรงจำในวัยเด็กของตนให้ไป๋เยวี่ยหูฟัง ไป๋เยวี่ยหูเป็นผู้ฟังที่ดี เมื่อคุยกับเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าคนอื่นจะรู้ เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาขี้เกียจเกินกว่าจะเปิดปากพูดออกมา

ผักในดินเขียวขจี ฟักทองที่ปลูกได้ไม่นานก็โตขึ้นมาบ้างแล้ว ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ปลูกฟักทอง ลูกฟักทองมีขนาดใหญ่มาก อุ้มขึ้นมาได้น้ำหนักถึงประมาณยี่สิบสามสิบจิน เมื่อลู่ชิงจิ่วจะกลับก็ได้อุ้มฟักทองไปด้วยหนึ่งลูก เขาตั้งใจว่าจะเอาไปทำขนม

แต่เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง เขาก็รู้สึกว่าในท้องมีบางอย่างผิดปกติ

“เป็นอะไร” ไป๋เยวี่ยหูถามลู่ชิงจิ่ว

“ฉัน…ปวดท้องนิดหน่อย” ใบหน้าของลู่ชิงจิ่วซีดเซียว “นายถือไว้นะ ฉันจะกลับไปก่อน!” หลังจากที่เขาพูดจบก็ส่งฟักทองให้แล้ววิ่งจากไป ปล่อยให้ไป๋เยวี่ยหูอยู่ในความงุนงง

ข้อเท็จจริงได้รับการพิสูจน์ ลู่ชิงจิ่วช่างหยั่งรู้อนาคต เพราะว่าทันทีที่ถึงบ้านก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว เขาพุ่งตัวเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วราวกับสายลมพัดผ่าน

ยี่สิบนาทีต่อมา ลู่ชิงจิ่วออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ซีดราวกับกระดาษ ขาของเขาอ่อนแรงคล้ายจะล้มลงบนพื้น

“นายเป็นอะไร” ครั้นไป๋เยวี่ยหูที่เพิ่งนั่งลงในลานบ้านเห็นท่าทางแบบนั้นของลู่ชิงจิ่วก็ถามขึ้นอย่างสงสัย

“ฉัน…ฉันกินของที่อิ่นสวินทำ” ลู่ชิงจิ่วตอบเสียงสั่น

ไป๋เยวี่ยหู “…” ท่าทีของเขากำลังบอกลู่ชิงจิ่วว่าทำไมถึงคิดไม่ได้กัน

ลู่ชิงจิ่วพูด “แต่หน้าตามันดูดีนี่นา!”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “ครั้งที่แล้วนายก็พูดแบบนี้”

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งทรวง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ตอนนี้อิ่นสวินยังอยู่ในห้องครัวกับจูเหมี่ยวเหมี่ยวเพื่อแสดงทักษะการทำอาหาร ก่อนที่ลู่ชิงจิ่วจะมีเวลาพูดอะไร เขาก็จำต้องเข้าห้องน้ำอีกรอบ ชายหนุ่มนั่งยองๆ อยู่ในห้องน้ำ เริ่มเกลียดที่ห้องน้ำของตัวเองไม่ใช่โถส้วมแบบนั่ง เขานั่งยองๆ จนรู้สึกเหมือนขาของตัวเองกำลังจะถูกตัด…

จนกระทั่งลู่ชิงจิ่วอาการดีขึ้นมาหน่อยก็ออกจากห้องน้ำมาได้ ร่างกายของเขาขาดน้ำ ไป๋เยวี่ยหูยื่นชาร้อนให้กับเขาด้วยแววตาสงสาร ก่อนเอ่ย “พวกเขาทำอาหารอร่อยๆ ให้นายอีกเต็มโต๊ะ”

ลู่ชิงจิ่ว “…” เขาถือชาร้อนด้วยอาการมือสั่นเล็กน้อย

ไป๋เยวี่ยหู “ดื่มชาถ้วยนี้สิ”

ลู่ชิงจิ่ว “…โอเค”

ใครจะรู้ว่าประโยคต่อมาของไป๋เยวี่ยหูคือ “รีบเดินทางไปสู่ความตายเถอะ”

ลู่ชิงจิ่วเกือบจะสำลักน้ำตาย เขาดื่มชาจนหมดแล้วลากร่างที่หนักอึ้งของตัวเองเข้ามาในห้อง เห็นอาหารดีๆ บนโต๊ะที่อิ่นสวินและจูเหมี่ยวเหมี่ยวเตรียมไว้ให้ พูดได้ว่าถ้าไม่ใช่ว่ายังเจ็บก้นอยู่ อาหารบนโต๊ะนี้ก็แสนจะยั่วยวนดึงดูดจริงๆ มีเนื้อ มีผัก มีซุปไก่หอมหม้อใหญ่ พร้อมทั้งปลากระรอกทอดเปรี้ยวหวานที่สวยงามมากตัวหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลางโต๊ะ

จูเหมี่ยวเหมี่ยวเอ่ยชมจากด้านข้าง “อิ่นสวิน ฝีมือนายใช้ได้เลย”

อิ่นสวินตอบกลับอย่างเขินอาย “ไม่ใช่เพราะกลับบ้านไปฝึกทำบ่อยๆ หรือไง ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำได้ดีขนาดนี้หรอก…จิ่วเอ๋อร์ กลับมาแล้วเรอะ ทำไมวันนี้นายอยู่ในสวนนานจัง”

ลู่ชิงจิ่วคิดในใจว่าฉันเพิ่งกลับมาที่ไหนล่ะ ฉันอยู่ในห้องน้ำมาตลอดทั้งเช้าชัดๆ แต่น่าเสียดายที่พวกเขากำลังยุ่งกับการทำอาหารจนไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีคนกำลังจะตายอยู่ในห้องน้ำ

ลู่ชิงจิ่วพูด “อิ่นสวิน…ฉันมีเรื่องบางอย่าง…”

จูเหมี่ยวเหมี่ยวผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยโบกมือให้ลู่ชิงจิ่วอย่างกระตือรือร้น “นายพูดถึงอะไรเนี่ย มากินข้าวเร็วๆ กินเสร็จแล้วค่อยคุย มันจะเย็นหมดแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วรู้ว่าถ้าไม่พูดมันจะไม่ได้การแล้ว ทว่าเมื่อเห็นแววตาที่ตั้งตาคอยของอิ่นสวิน เขาก็รู้สึกว่าคำพูดนั้นอยู่ที่ริมฝีปากแต่กลับพูดไม่ออก อิ่นสวินรู้ว่าทุกวันเกิดคุณยายของเขาจะทำบะหมี่ให้เขาหนึ่งชาม ชายหนุ่มจึงตื่นแต่เช้ามาทำซุปไก่ใหม่พร้อมกับบะหมี่หนึ่งชาม แถมยังรู้ด้วยว่าลู่ชิงจิ่วไม่ได้ฉลองวันเกิดมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นจึงตั้งใจเตรียมอาหารดีๆ ไว้เต็มโต๊ะ อีกฝ่ายไม่ได้มีของขวัญวันเกิดพิเศษให้ลู่ชิงจิ่ว ดังนั้นจึงพยายามสุดความสามารถ…การได้พบเพื่อนแบบนี้ต่อให้ลู่ชิงจิ่วอยากจะพูดออกไปว่าอาหารบนโต๊ะนี้กินไม่ได้ แต่เขาก็ทำไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้น ชิงจิ่ว?” เห็นลู่ชิงจิ่วไม่ขยับ อิ่นสวินจึงถามด้วยความไม่รู้

ลู่ชิงจิ่วสูดหายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ปรับสายตาให้สงบอย่างผู้เป็นพ่อแล้วนั่งลงที่โต๊ะก่อนพูดว่า “กินเถอะ”

“ฉันจะไปเรียกไป๋เยวี่ยหู” จูเหมี่ยวเหมี่ยวเดินออกไปอย่างมีความสุข

ไป๋เยวี่ยหูซึ่งถูกเรียกเข้ามาเมื่อเห็นลู่ชิงจิ่วนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะอีกครั้งพร้อมหยิบตะเกียบ ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ส่งสายตาไปที่ลู่ชิงจิ่วเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น

ลู่ชิงจิ่วไม่สามารถพูดต่อหน้าอิ่นสวินได้ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วส่งข้อความหาไป๋เยวี่ยหู บอกว่าจูเหมี่ยวเหมี่ยวและอิ่นสวินยุ่งวุ่นวายมาตลอดทั้งเช้า ถ้าเขาบอกว่ากินไม่ได้ก็จะทำให้พวกเขาผิดหวัง

ไป๋เยวี่ยหูเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็พิมพ์กลับไปว่า ‘นายไม่กลัวความตายจริงๆ สินะ’

ลู่ชิงจิ่วปิดโทรศัพท์ แกล้งทำเป็นไม่เห็น

หยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มกินข้าว

รสชาติของอาหารค่อนข้างดี อย่างน้อยสำหรับอิ่นสวินผู้ที่ไม่ค่อยได้ทำอาหารก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว ทุกคนกำลังดื่มไวน์และพูดคุยกัน บรรยากาศจัดว่าไม่เลว แต่เมื่อลู่ชิงจิ่วนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังกินอาหารนี้ ภายในใจก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีด เริ่มคิดกระทั่งว่าจะต้องยืมห้องน้ำบ้านข้างๆ หรือไม่

บรรยากาศการกินอาหารยังคงดีมาก มีทั้งไวน์และข้าวให้อิ่มหนำ จูเหมี่ยวเหมี่ยวหยิบเค้กปาปาออกจากตู้เย็นแล้วนำไปที่โต๊ะอย่างขะมักเขม้น ทั้งยังหยิบเทียนที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนออกมา แล้วจึงจุดไฟให้ลู่ชิงจิ่ว

“ชิงจิ่ว สุขสันต์วันเกิด!” จูเหมี่ยวเหมี่ยวยิ้มอย่างสดใส “พวกเราทำเค้กด้วยกัน ถึงแม้หน้าตามันจะดูไม่ค่อยดี แต่รสชาติโอเคเลยนะ!”

ลู่ชิงจิ่วมองเค้กด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ รู้สึกว่าคืนนี้ตัวเองอาจจะต้องนอนในห้องน้ำ แต่ไม่เป็นไร ยังมีคนอยู่เป็นเพื่อนไม่ใช่เหรอไง เมื่อคิดแบบนี้เขาก็โล่งใจขึ้นมาทันที ก่อนจะเผยรอยยิ้มดีใจ

จูเหมี่ยวเหมี่ยวมองเห็นรอยยิ้มของลู่ชิงจิ่วจึงถามอย่างสงสัย “จิ่วเอ๋อร์ นายยิ้มดีใจอะไรเหรอ”

ลู่ชิงจิ่ว “ฉันยิ้มเหรอ”

จูเหมี่ยวเหมี่ยว “ใช่สิ”

ลู่ชิงจิ่วคิดในใจ อาจเป็นเพราะฉันกำลังจะตรัสรู้เหมือนพระพุทธเจ้าในไม่ช้าล่ะมั้ง ไป๋เยวี่ยหูนั่งอยู่ด้านข้างมองดูคนทั้งสองโต้ตอบกัน และสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตา

จูเหมี่ยวเหมี่ยวไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปกันแน่ เมื่อเห็นลู่ชิงจิ่วไม่ต้องการอธิบายอะไร ความสนใจทั้งหมดจึงหันไปที่เค้ก จุดเทียน ร้องเพลงวันเกิดให้ลู่ชิงจิ่ว ลู่ชิงจิ่วขอพรจากเค้กสามข้อ จากนั้นก็เป่าเทียนให้ดับในครั้งเดียว

เค้กถูกนำมาตัดเป็นชิ้นแบ่งให้ทุกคน แม้ว่าเค้กชิ้นนี้จะดูเหมือนปาปาสีขาวทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง แต่จริงๆ แล้วรสชาติดีมาก อย่างน้อยก็มีรสเหมือนของหวาน ลู่ชิงจิ่วรีบจัดการเค้กอย่างรวดเร็ว หมุนตัวจะเดินออกไปข้างนอก แต่จูเหมี่ยวเหมี่ยวมองแผ่นหลังเขาและถามอย่างงุนงง “จิ่วเอ๋อร์ นายจะไปไหนน่ะ”

ลู่ชิงจิ่ว “ไปห้องน้ำ”

จูเหมี่ยวเหมี่ยว “นายไปห้องน้ำทำไมล่ะ”

ลู่ชิงจิ่ว “เดี๋ยวอีกสักพักเธอก็จะรู้เอง” เขาหยุดครู่หนึ่ง และเตือนเจ้าโง่ที่เหลืออีกสามคนซึ่งยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น “ฉันขอเตือนอย่างจริงใจให้พวกนายไปหาห้องน้ำในหมู่บ้านตอนนี้ซะ เข้าไปแล้วอย่าออกมาอีก…”

ทั้งสามคนมีสีหน้าอธิบายยาก แต่ไม่นานพวกเขาก็เข้าใจความหมายที่ลู่ชิงจิ่วเอ่ย

“ไอ้บ้า ไอ้บ้า ลู่ชิงจิ่ว นายออกมาเร็วๆ สิโว้ย ฉันไม่ไหวแล้ว” อิ่นสวินกรีดร้องเหมือนไก่ที่ถูกบีบคอ

ลู่ชิงจิ่วที่เหนื่อยล้ากับการแสดงความรักของบิดาตอนนี้จิตใจแข็งกระด้างดั่งแผ่นเหล็ก “ออกไปไม่ได้ วันนี้ฉันต้องอยู่ในนี้”

“พี่ลู่ พี่ลู่ นายดีขึ้นหรือยัง ขอร้องล่ะ ให้โอกาสฉันสักครั้งเถอะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวตัดสินใจที่จะใช้ไม้อ่อน “ฉันเข้าเสร็จแล้วจะให้นายใช้ต่อ”

“ไม่มีทาง” ลู่ชิงจิ่วพูด “เธออย่าแม้แต่จะคิด” คิดว่าเขาไม่รู้จักจูเหมี่ยวเหมี่ยวหรือไง อย่าเห็นแก่ว่าเธอพูดจาดี ถ้าเขาปล่อยเธอเข้ามาจริงๆ ห้องน้ำก็คงมีแต่คนแซ่จู

เจียงปู้ฮ่วนไม่สนใจจะโต้เถียงกับลู่ชิงจิ่ว พกหน้าแดงๆ ไปขอยืมห้องน้ำบ้านข้างๆ

เมื่ออิ่นสวินและจูเหมี่ยวเหมี่ยวเห็นว่าแผนของตนเองล้มเหลว ก็พากันก่นด่าก่อนจะไปหาห้องน้ำที่อื่น ในที่สุดลู่ชิงจิ่วก็กลายเป็นราชาแห่งห้องน้ำ ทว่าเขากลับหัวเราะไม่ออกเลย

ดังนั้นคนทั้งสี่ที่อยู่ในห้องน้ำจึงตั้งกลุ่มแชตและเริ่มต้นพูดคุย

อิ่นสวินถามว่าทำไมลู่ชิงจิ่วถึงไม่รีบบอกพวกเขาว่าอาหารมีปัญหา ลู่ชิงจิ่วบอกว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจของเขาเหรอ อิ่นสวินบอกอย่างไม่อาย ‘ใช่แล้วๆ นี่คือความตั้งใจของพวกเราจริงๆ นายกินก็พอแล้ว พวกเราจะคอยดูอยู่ข้างๆ’

ลู่ชิงจิ่ว ‘เจอหมัดฉันเข้าไปนายอาจจะตายก็ได้นะ’

จูเหมี่ยวเหมี่ยวสะอื้นบอกว่าตัวเองท้องเสียจนจะขาดน้ำแล้ว เธอยังอธิบายด้วยว่าวัตถุดิบที่อิ่นสวินใช้ทำอาหารนั้นดูไม่มีปัญหาเลย ทำไมถึงมีอาการท้องเสียได้

อิ่นสวิน ‘อาจเพราะมื้อนี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก’

จูเหมี่ยวเหมี่ยว ‘แต่ความรักของนายทำให้คนเจ็บก้น’

อิ่นสวิน ‘…’ ช่วยอย่าพูดอะไรให้คนเข้าใจผิดได้มั้ยเล่า คุณผู้หญิง

ไป๋เยวี่ยหูก็อยู่ในกลุ่มเช่นกัน แต่เขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ตอบโต้อะไร สุดท้ายเมื่อทุกคนพูดถึงเรื่องนี้กันพอสมควรแล้ว ไป๋เยวี่ยหูก็ส่งรูปหัวเราะแบบปลอมๆ ไปในกลุ่ม พออิ่นสวินเห็นเข้าก็ถึงกับตัวสั่น

ทำอาหารยามเช้า กินข้าวตอนเที่ยง ปาร์ตี้แชตกลุ่มในห้องน้ำตอนบ่าย วันนี้ช่างเป็นวันที่แสนสุขจริงๆ เมื่อดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ทุกคนก็กลับมารวมตัวกันที่ลานบ้านอีกครั้งด้วยอาการโรยราหมดสภาพ

“ฉันว่าฉันไม่ไหวแล้ว” จูเหมี่ยวเหมี่ยวพูด “ตอนนี้ร่างกายฉันไม่เหลืออะไรแล้ว”

อิ่นสวิน “อย่าคิดมากเลย เธอยังมีเนื้ออีกเยอะน่า”

จูเหมี่ยวเหมี่ยว “…ขอร้องล่ะ นายช่วยหุบปากเถอะ”

ลู่ชิงจิ่วนอนบนม้านั่งข้างๆ ไป๋เยวี่ยหู รู้สึกว่าตัวเองเหลือแค่ผิวหนังเท่านั้น แย่ที่สุดคือขาทั้งสองข้างของเขาชาดิกราวกับถูกไฟดูดและไม่มีความรู้สึกอะไรเลยเมื่อเขาตบลงไป

“คืนนี้กินอะไรดี” จูเหมี่ยวเหมี่ยวถามอย่างอ่อนแรง

ลู่ชิงจิ่วตอบว่า “เธอยังกินลงอีกเหรอ”

จูเหมี่ยวเหมี่ยว “นี่ไม่หิวสักนิดเลยเหรอ ปู้ฮ่วน คุณหิวมั้ย”

เจียงปู้ฮ่วนไม่ได้พูดอะไร เขาทรุดลงข้างๆ ม้านั่งเหมือนกับซากศพแห้งเหี่ยว ตอนที่เขานั่งยองๆ เข้าห้องน้ำช่วงบ่าย ชายหนุ่มถึงกับคิดว่าตัวเองจะตายทั้งแบบนี้แล้วด้วยซ้ำ เขาจึงมีท่าทีเด็ดเดี่ยวแน่วแน่…เมื่อเจอคำถามของจูเหมี่ยวเหมี่ยว ชายหนุ่มใช้พลังสุดท้ายที่เหลืออยู่พูดออกมาสองคำว่า “ไม่หิว”

จูเหมี่ยวเหมี่ยวแสดงสีหน้าเสียใจ เธอหิวจริงๆ แต่คนในบ้านนี้ไม่มีแรงพอจะทำอาหารแล้ว หญิงสาวจึงต้องหันหลังกลับไปหยิบขนมมาถมความหิวแทน ลู่ชิงจิ่วชื่นชมท้องของเธอมากทีเดียว เพราะตอนนี้แค่เขามองอาหารก็รู้สึกปวดท้องแล้ว

พลังของอาหารกลางวันของอิ่นสวินรุนแรงเกินไป

เมื่อถึงตอนเย็น จูเหมี่ยวเหมี่ยวได้มอบของขวัญวันเกิดที่เธอเตรียมไว้ให้กับลู่ชิงจิ่ว มันเป็นนาฬิกาไขลานซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง ลู่ชิงจิ่วคิดว่ามันแพงเกินไป ตอนแรกเขาคิดที่จะปฏิเสธ แต่จูเหมี่ยวเหมี่ยวกลับทำท่าว่าถ้าลู่ชิงจิ่วปฏิเสธก็ไม่ต้องคิดว่าเธอเป็นเพื่อนแล้ว ดังนั้นลู่ชิงจิ่วจึงได้แต่รับไว้พลางเอื้อมมือออกไปกอดจูเหมี่ยวเหมี่ยว

หลังจากสูญเสียเครือญาติไปมากมาย จูเหมี่ยวเหมี่ยวก็เป็นเหมือนญาติในสายตาของลู่ชิงจิ่ว ผู้หญิงคนนี้มีน้ำใจและกระตือรือร้น หญิงสาวมักช่วยเหลือเพื่อนของเธอเสมอ ลู่ชิงจิ่วโชคดีมากที่ได้พบเธอ แน่นอนว่าโชคดีของเขาไม่ได้มีแค่จูเหมี่ยวเหมี่ยวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกคนและสัตว์เล็กทุกตัวในบ้านหลังนี้ด้วย

ทั้งหลี่เสี่ยวอวี๋บ้านข้างๆ เสี่ยวฮวา เสี่ยวเฮย จิ้งจอกน้อย และสนมเทพสายฝนที่บ้าน แม้กระทั่งชินหยวนที่ลานหลังบ้านก็ยังให้ของขวัญวันเกิดกับลู่ชิงจิ่ว ของขวัญเหล่านี้น่าสนใจสุดๆ เห็นได้ว่าพวกเขาคิดมาอย่างดี ลู่ชิงจิ่วรับมาจากแต่ละคนแล้วเอ่ยขอบคุณพวกเขาพร้อมรอยยิ้ม

ลู่ชิงจิ่วชอบหมู่บ้านสุ่ยฝู่ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหมู่บ้านนี้แตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้ แต่ก็ยังคงรักสถานที่แห่งนี้

ถึงเวลากลางคืน ในที่สุดร่างกายของลู่ชิงจิ่วก็ฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์พลิกผันมาตลอดทั้งวัน เขาตั้งใจจะเข้านอนแต่หัวค่ำ ทว่าไป๋เยวี่ยหูกลับรั้งเขาไว้

“ฉันมีเรื่องจะบอกนาย” ไป๋เยวี่ยหูมาถึงประตูห้องนอนลู่ชิงจิ่วก็ยกมือขึ้นเคาะ

“มีอะไรหรือเปล่า” ลู่ชิงจิ่วถาม

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญวันเกิดนายเลย”

ลู่ชิงจิ่วทวน “ของขวัญวันเกิด?…” เขาไม่ได้คาดหวังว่าไป๋เยวี่ยหูจะเตรียมของขวัญวันเกิดให้ เขาแปลกใจเล็กน้อย “มันคืออะไรน่ะ”

ไป๋เยวี่ยหูไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่กวักมือเรียกลู่ชิงจิ่ว

ลู่ชิงจิ่วตามไป๋เยวี่ยหูออกไป แล้วทั้งสองคนก็ออกจากลานบ้าน มุ่งหน้าไปยังภูเขา

ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิค่อนข้างเย็นแต่ไม่หนาว ลมที่พัดปะทะใบหน้าทำให้รู้สึกคันเล็กน้อย ทั้งยังทำให้ผู้คนอดที่จะยิ้มไม่ได้

ท้องฟ้าแสนปลอดโปร่ง ถึงไม่มีพระจันทร์แต่ก็ระยับไปด้วยดวงดาว เสียงของแมลงที่ดังอยู่ในหญ้าริมถนนช่วยเสริมบรรยากาศยามค่ำคืน

ลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหูเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ปีศาจจิ้งจอกไม่ได้บอกว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหน ลู่ชิงจิ่วเองก็ไม่ได้ถาม ต่างฝ่ายต่างเงียบไปโดยปริยาย ทว่าบรรยากาศกลับไม่ได้ชวนให้กระอักกระอ่วน พวกเขาเดินเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับช่วงเวลากลางวันทิวทัศน์โดยรอบดูแปลกตา ไป๋เยวี่ยหูที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดกะทันหัน หันกลับมาแล้วยื่นมือให้ลู่ชิงจิ่ว “มา”

ลู่ชิงจิ่วจับมือเขา

หมอกสีดำลอยขึ้นมาปกคลุมไป๋เยวี่ยหู จากนั้นลู่ชิงจิ่วก็รู้สึกว่าตัวเขาถูกไป๋เยวี่ยหูดึงเข้าไปนั่งบนวัตถุที่ทั้งเย็นและแข็ง สิ่งนั้นปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำจึงมองเห็นได้ไม่ชัด ลู่ชิงจิ่วใช้มือลูบคลำวัตถุที่อยู่ใต้ร่าง สิ่งนั้นคล้ายกับเกล็ดเรียบ เกล็ดนี้ค่อนข้างแข็ง เวลาสัมผัสแล้วให้ความรู้สึกคล้ายหิน

นี่อาจเป็นร่างที่แท้จริงของไป๋เยวี่ยหู ลู่ชิงจิ่วคิดได้แบบนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มในแววตา สัตว์ร้ายตัวยักษ์ที่มีหมอกสีดำปกคลุมพาลู่ชิงจิ่วลอยขึ้นบนท้องฟ้าอย่างเชื่องช้า ทิวทัศน์บนพื้นดินหดเล็กลง แสงไฟก็กลายเป็นหิ่งห้อย เขาขึ้นมากลางท้องฟ้าเคียงข้างกับดวงดาว

ไป๋เยวี่ยหูเริ่มโบยบินไปบนท้องฟ้า เขาไม่มีปีก ทว่าบินได้มั่นคงมาก รอบกายของลู่ชิงจิ่วเหมือนมีกำแพงโปร่งใสก่อตัวขึ้น ช่วยปิดกั้นสายลมเย็นยะเยือกและอุณหภูมิที่ลดต่ำจากท้องฟ้า เมื่อเขามองลงมาก็พบความเปลี่ยนแปลงแปลกๆ บนพื้นดิน หมู่บ้านที่เขาคุ้นเคยหายไป ถูกแทนที่ด้วยทะเลหมอกสีขาว

มีกลุ่มแสงกะพริบอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆหมอก เมื่อมองดูดีๆ จึงพบว่ากลุ่มแสงนั้นคือปลาที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลหมอกและยังมีสัตว์บางชนิดที่ลู่ชิงจิ่วไม่รู้จักอีกด้วย ไป๋เยวี่ยหูเริ่มดำดิ่ง ร่อนลงสู่ทะเลหมอก ตอนแรกลู่ชิงจิ่วกลัวนิดหน่อยว่าจะตกลงไป แต่กลับพบว่าตัวเองไร้น้ำหนัก แถมยังสามารถนั่งบนกายไป๋เยวี่ยหูได้อย่างมั่นคง

เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ทะเลหมอกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ปรากฏสัตว์แปลกๆ รอบตัวมากขึ้น ทั้งปลาที่มีหกหาง นกขนาดใหญ่ที่สวยงามราวกับนกฟีนิกซ์ กระทั่งวัวยักษ์ที่เคยเห็นมาก่อน

ที่นี่คือโลกอีกใบหนึ่ง โลกที่ลู่ชิงจิ่วไม่เคยเห็นมาก่อน เขาลูบสัตว์ร้ายที่อยู่ใต้ร่าง รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่กำลังฟูขึ้นมาในส่วนหนึ่งของจิตใจ สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะค้อมกาย เอาแก้มแนบลงไปบนแผ่นหลังของไป๋เยวี่ยหู

เกล็ดบนแผ่นหลังของเขาไม่อบอุ่นและไม่อ่อนนุ่ม แต่ในช่วงเวลานั้นลู่ชิงจิ่วกลับรู้สึกว่าพวกมันมีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่าหางจิ้งจอกนุ่มฟู กระทั่งทำให้เขารู้สึกปรารถนาอยากจุมพิตลงไปชั่วขณะ

ดูเหมือนไป๋เยวี่ยหูจะสังเกตถึงการเคลื่อนไหวของลู่ชิงจิ่วได้ ร่างกายของเขาแข็งเกร็งเล็กน้อย แต่เพราะการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนของลู่ชิงจิ่วจึงทำให้เขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง

มีแสงทะลุออกมาจากใต้ทะเลหมอก ในตอนแรกที่มาของแสงนั้นเบาบางมาก แต่เมื่อไป๋เยวี่ยหูร่อนลงมา แสงนั้นก็ยิ่งเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ หมู่เมฆรอบๆ ตัวเขาก็เริ่มจางหาย ลู่ชิงจิ่วเห็นท้องฟ้าสีครามข้างหลังก้อนเมฆ ภายใต้ท้องฟ้าเป็นมหาสมุทรกระจ่างใส น้ำในทะเลนี้แตกต่างจากที่ลู่ชิงจิ่วเคยเห็นมาก่อน มันเป็นสีฟ้าครามสดใสเหมือนดั่งท้องฟ้า สามารถมองเห็นปลาและสัตว์ทุกชนิดในทะเลได้ พวกมันกำลังว่ายไปมาระหว่างท้องฟ้ากับทะเล ราวกับว่าโลกทั้งใบนั้นเป็นหนึ่งเดียว

น้ำในทะเลนั้นใสจนสามารถมองเห็นทรายและปะการังที่ก้นทะเลจากที่ไกลๆ ไป๋เยวี่ยหูยังมีหมอกสีดำติดตามตัว สัตว์รอบๆ ดูค่อนข้างหวาดกลัวเขา เพียงแค่มองเห็นก็พากันหลบหลีกออกไป ไป๋เยวี่ยหูไม่สนใจสัตว์อื่นๆ เขากระโจนมาจากท้องฟ้าและพุ่งลงไปในน้ำสีคราม

ลู่ชิงจิ่วตกใจ แต่ไม่นานก็พบว่าตัวเองถูกห่อหุ้มด้วยฟองใสขึ้นมา ในฟองนั้นเขาไม่เพียงแต่หายใจได้ แต่ยังเห็นทิวทัศน์ในมหาสมุทรอีกด้วย ลู่ชิงจิ่วมองด้วยความตกตะลึง

“กลัวมั้ย” เสียงของไป๋เยวี่ยหูดังผ่านมา

ลู่ชิงจิ่วที่เพิ่งดึงสติกลับมาได้ตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่กลัว”

น้ำเสียงของไป๋เยวี่ยหูนุ่มนวลอย่างหาฟังได้ยาก ราวกับกลัวว่าลู่ชิงจิ่วจะเป็นกังวล เขาอธิบาย “มันจะไม่ทำให้นายจมน้ำ อีกแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ไม่เป็นไร ที่นี่สวยมาก ฉันชอบมากๆ”

ไป๋เยวี่ยหูทวน “ชอบ?”

“ชอบ” ลู่ชิงจิ่วพูด “เมื่อก่อนนายเคยอยู่ที่นี่ใช่มั้ย”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ไป๋เยวี่ยหูก็ตอบว่าใช่เบาๆ

“ถ้างั้นที่นี่ก็มีเผ่าพันธุ์ของนายอาศัยอยู่?” ลู่ชิงจิ่วอยากรู้อดีตของไป๋เยวี่ยหูเหลือเกิน เวลานี้เขาตกใจกับทิวทัศน์บ้านเกิดของไป๋เยวี่ยหู ชายหนุ่มจึงอดที่จะถามคำถามเพิ่มไม่ได้

“มี” ไป๋เยวี่ยหูตอบเนิบๆ “แต่ก่อนมีเยอะ แต่ตอนนี้น้อยมากแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วพูดว่า “น้อยมาก?”

ไป๋เยวี่ยหู “อืม” แต่เขาไม่ได้อธิบายว่าทำไม แถมยังเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพร้อมแนะนำให้ลู่ชิงจิ่วรู้จักกับสิ่งมีชีวิตพิสดารรอบกายเหล่านั้น

สัตว์หลายชนิดที่นี่ไม่ได้มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ซานไห่จิง บางตัวดูดุร้าย บางตัวก็สวยงาม มันพากันแหวกว่ายในทะเลสีครามเหมือนความฝันอันงดงามสุดมหัศจรรย์ โดยไป๋เยวี่ยหูเป็นทูตแห่งความฝันที่พาลู่ชิงจิ่วมาถึงที่นี่

หลังจากเข้าสู่ท้องทะเล ไป๋เยวี่ยหูก็ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เหมือนว่ายเข้าสู่เหวลึก สัตว์รอบๆ ตัวเริ่มลดลง และแสงสว่างก็ค่อยๆ ริบหรี่

ทะเลน้ำลึกเป็นสถานที่ห่างไกลจากแสงแดด และสภาพโดยรอบนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงคลื่นซัดของกระแสน้ำในมหาสมุทร

ลู่ชิงจิ่วนั่งจนรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงเอนลงบนลำตัวของไป๋เยวี่ยหู ทาบใบหน้าลงบนเกล็ดสีดำที่เย็นยะเยือกของอีกฝ่ายและถามด้วยความสงสัย “ที่นี่ลึกแค่ไหน”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ เขาเหมือนจะอึดอัดและน้ำเสียงก็ดูกระอักกระอ่วน “ลึกมาก”

ลู่ชิงจิ่วถามต่อว่า “ลึกมากแค่ไหนล่ะ”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “มันเป็นสถานที่ที่เชื่อมต่อกับแกนโลก”

ลู่ชิงจิ่วสงสัย “ของขวัญวันเกิดของฉันอยู่ที่นั่นเหรอ”

“อืม” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “อยู่ตรงนั้น” เขาสามารถเลือกที่จะหยิบของออกมาและมอบให้กับลู่ชิงจิ่วได้ แต่พอคิดดูแล้ว เขาเลือกที่จะพาลู่ชิงจิ่วไปรับด้วยตนเอง ความรู้สึกแปลกๆ นี้คอยสั่งอยู่ในใจของเขา อยากพาลู่ชิงจิ่วมาดูโลกที่เขาอาศัยอยู่ อยากให้มาเห็นบ้านเกิดแสนรัก

“โอเค” ลู่ชิงจิ่วหัวเราะ เอื้อมมือไปลูบเกล็ด “ฉันเริ่มตั้งความหวังแล้วนะ”

ไป๋เยวี่ยหูตอบอืมเบาๆ หางเรียวยาวของเขาเคลื่อนที่ไปมาในน้ำอย่างอิสระ ทำให้เกิดเสียงทุ้มขึ้นในน้ำ แสงที่มืดลงไปเรื่อยๆ บอกกับลู่ชิงจิ่วว่าพวกเขากำลังดำดิ่งลึกลงไป ทว่าในช่วงเวลานั้นลู่ชิงจิ่วกลับไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย

 

* ปาปา เป็นขนมพิเศษที่มีชื่อเสียงมากที่สุดชนิดหนึ่งในคุนหมิง อีกทั้งยังเป็นคำสแลงซึ่งหมายถึงอุจจาระด้วย

* บะหมี่อายุยืน เป็นอาหารที่คนจีนมักรับประทานในวันเกิด ตามความเชื่อที่ว่าจะทำให้อายุยืน ซึ่งมีวิธีการทำที่หลากหลาย ทั้งแบบผัด แบบแห้ง หรือแบบน้ำ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 4 ต.. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: