X
    Categories: everYFantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย?ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3 บทที่ 69-70 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

มีการกล่าวถึงการทารุณกรรมเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 69 คนเก่าเรื่องเก่า

 

ก๋วยเตี๋ยวเนื้อในเช้าวันนี้ยังคงอร่อยเหมือนกับที่ผ่านมา ในก๋วยเตี๋ยวไม่ได้มีแค่เนื้อวัว แต่ยังมีเอ็นด้วย เอ็นเนื้อตุ๋นจนเปื่อยไม่ต้องกังวลว่าจะเคี้ยวไม่ได้ รสชาตินุ่มลิ้น กินคู่กับผักใบเขียวและเส้นก๋วยเตี๋ยวทำให้สดชื่น กินแล้วทำให้กระปรี้กระเปร่าไปตลอดทั้งวัน

เมื่อวานลู่ชิงจิ่วไม่ได้พักผ่อนดีๆ สักเท่าไร วันนี้เขาก็เลยไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า เขากินอาหารเช้าเสร็จก็ไปให้อาหารหมูและไก่ จากนั้นก็ไปนั่งพักผ่อนในลานบ้าน

หลังจากที่ไป๋เยวี่ยหูปลูกผักเสร็จแล้วก็นำผักสดๆ บางส่วนกลับมา อิ่นสวินล้างแตงกวาแล้วเคี้ยวกรุบกรับอยู่ข้างๆ ลู่ชิงจิ่ว แตงกวาที่ไป๋เยวี่ยหูปลูกมีรสชาติดีทีเดียว ทั้งสดและหวานกรอบ เกือบจะได้รสชาติของผลไม้ ไม่ว่าจะกินแบบสด แบบเย็น หรือนำมาต้มเป็นซุปก็ล้วนได้รสชาติที่โอชะ

ลู่ชิงจิ่วงีบหลับท่ามกลางแสงแดด เมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงลุกไปทำอาหารกลางวัน

อิ่นสวินยังคงกังวลเรื่องลู่ชิงจิ่วอยู่เล็กน้อย จึงรีบตามเขาไปช่วยลงมือทำ ล้างผักไปก็ถามลู่ชิงจิ่วไปว่าเมื่อไรพวกเขาจะได้ออกไปเที่ยว ถือโอกาสช่วงที่อากาศกำลังดีออกไปข้างนอก ไปเล่นว่าว

“ยังไงก็ได้” ลู่ชิงจิ่วก้มศีรษะลงและตอกไข่ใส่ชาม “เมื่อวานฝนตกไม่ใช่เหรอ บนภูเขายังเปียกอยู่ รอมันแห้งแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

อิ่นสวินเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นมะรืนนี้ไปกันเถอะ อากาศน่าจะดีขึ้นแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “ได้”

เมื่ออิ่นสวินเห็นว่าลู่ชิงจิ่วเห็นด้วยก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เขากังวลว่าลู่ชิงจิ่วจะอารมณ์ไม่ดี จึงคิดหาเรื่องสนุกเพื่อทำให้ลู่ชิงจิ่วรู้สึกดีขึ้น

เนื่องจากสภาพจิตใจของลู่ชิงจิ่วไม่สู้ดีนัก ชายหนุ่มจึงทำอาหารอย่างง่ายกว่าปกติ เขานึ่งหมูหนึ่งชามใหญ่ ต้มซุปผักต้ม ผัดหมูสามชั้นกลับกระทะ และทำข้าวเหนียวใส่พุทราแดง พุทราเป็นผลไม้แช่อิ่มที่มีรสชาติหวานมาก เมื่อนำมานึ่งกับข้าวเหนียวความหวานจะกระจายเข้าสู่ภายในเนื้อข้าว ให้รสหวานแผ่ซ่านเมื่อกินในปาก

ลู่ชิงจิ่วชื่นชอบของหวานประเภทนี้ เขาเลยกินมากกว่าตอนเช้านิดหน่อย

อิ่นสวินพูดเรื่องออกไปข้างนอกวันมะรืนบนโต๊ะอาหาร โดยมีไป๋เยวี่ยหูรับฟังอยู่ข้างๆ โดยไม่ออกความเห็นใดๆ

“ฉันออกไปได้มั้ย” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยถามทันที เมื่อวานไป๋เยวี่ยหูบอกว่าหลังจากมังกรตัวนั้นหนีออกมาแล้วก็อาจจะมาหาเขา ถ้าออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านอย่างนี้ จะเจออันตรายอะไรมั้ย

“ได้” ไป๋เยวี่ยหูสังเกตเห็นว่าลู่ชิงจิ่วยังไม่มีชีวิตชีวา เขาพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “จะให้อยู่ในบ้านตลอดเวลาไม่ได้หรอก”

มันก็จริง ลู่ชิงจิ่วกินพุทราหวานเยิ้มอีกหนึ่งคำ รู้สึกจิตใจของตัวเองดีขึ้นเล็กน้อย

ในยามบ่าย ลู่ชิงจิ่วค่อยร่าเริงขึ้นมาบ้าง เขาใช้เตาอบทำขนม โดยขนมที่ว่าก็คือคุกกี้แบบง่ายๆ แต่หลังจากใช้นมของหนิวหนิวมาผสมแล้ว รสชาติของคุกกี้ก็หอมหวานเป็นพิเศษ ลู่ชิงจิ่วยังคิดว่าในฤดูใบไม้ผลิต้องปลูกข้าวสาลีสักหน่อยจะได้มีแป้งไว้ใช้ในปีที่กำลังจะมาถึง เดิมทีพวกเขามีพื้นที่ในการปลูกข้าวสาลีน้อยมาก จึงน่าเสียดายที่ทักษะการปลูกพืชชนิดพิเศษของไป๋เยวี่ยหูนั้นไม่ได้เอามาใช้

ต้นกล้าไม้ผลที่ปลูกในลานบ้านเมื่อเดือนที่แล้วก็ค่อยๆ โตขึ้น ดูจากการเจริญเติบโตของพวกมันแล้ว ลู่ชิงจิ่วสงสัยว่าฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะมีผลออกมาหรือไม่ ไม่รู้ว่าผลไม้จะมีรสชาติอย่างไร แต่คิดดูแล้วมีไป๋เยวี่ยหูอยู่ รสของมันต้องไม่แย่อย่างแน่นอน

ตอนที่เขายังเด็ก เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง คุณยายของลู่ชิงจิ่วจะพาพวกเขาไปเที่ยวเล่นบนภูเขา เก็บผลไม้ป่า เล่นว่าว ในตอนนั้นสภาพการเงินไม่ค่อยดี ว่าวส่วนใหญ่จึงทำขึ้นเอง คุณยายมักจะแปะลายผีเสื้อให้ลู่ชิงจิ่ว แปะผึ้งให้อิ่นสวิน เมื่อมาถึงบนภูเขาก็มองดูตุ๊กตาตัวน้อยทั้งสองวิ่งไปมา กระทั่งเชือกของว่าวในมือยืดยาวออกไป ว่าวตัวสวยก็โบยบินสู่กลางท้องฟ้า

ในบ้านไม่มีว่าว เดิมทีลู่ชิงจิ่วตั้งใจว่าจะไปซื้อในเมืองมาสักตัว ใครจะรู้ว่าอิ่นสวินจะขออาสา บอกว่าตัวเองจะทำว่าว รับประกันว่าทำเสร็จแล้วจะต้องออกมาดูดี

ลู่ชิงจิ่วยังคงเคลือบแคลงเกี่ยวกับความมั่นใจในตัวเองของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นอิ่นสวินตบหน้าอกทำท่าสัญญา เขาจึงตัดสินใจให้โอกาสลูกชายผู้โง่เขลา

ว่าวกระดาษก็คือกระดาษธรรมดา โครงคือไม้ไผ่ที่อิ่นสวินนำกลับมา หลังจากเอาไม้ไผ่มาแยกออกเป็นเส้นแล้วก็สามารถนำมาใช้เป็นโครงของว่าวได้ ลู่ชิงจิ่วนั่งอยู่ข้างๆ เห็นว่าวที่อิ่นสวินทำออกมาดูดีทีเดียว จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“นายทำว่าวอะไร” ลู่ชิงจิ่วถาม

“ปลาหมึก”* อิ่นสวินตอบ

ลู่ชิงจิ่ว “ปลาว่ายน้ำ?” เขาใช้ความคิด รู้สึกว่าว่าวรูปปลาก็ไม่ได้ดูแปลกประหลาดจนเกินไป ชายหนุ่มโล่งใจ หลังจากเตรียมสีระบายให้อิ่นสวินเสร็จก็เข้าลานบ้านไปทำอย่างอื่น ถือโอกาสที่อากาศดีทำความสะอาดคอกหมูและเอาฟางข้างในทั้งหมดออกมาเปลี่ยน

รอจนลู่ชิงจิ่วทำงานเสร็จ กำลังหมุนตัวกลับไป เขาจึงเห็นสิ่งที่อิ่นสวินเรียกว่า ‘ปลาว่ายน้ำ’

ลู่ชิงจิ่วแปลกใจ “…นี่มันของเล่นอะไรน่ะ”

อิ่นสวิน “ปลาหมึกไง”

ลู่ชิงจิ่ว “ทำไมปลาว่ายน้ำตัวนี้ถึงมีหนวด”

อิ่นสวิน “ปลาหมึกไม่ได้มีหนวดหรอกเหรอ”

ลู่ชิงจิ่วหยุดคิดชั่วขณะ “เดี๋ยวนะ ปลาว่ายน้ำที่นายว่าหมายถึงคำไหน”

อิ่นสวิน “…ปลาหมึก ปลาหมึกที่เอาไว้ตุ๋นกับไก่”

ลู่ชิงจิ่วเข้าใจได้ทันที ว่าวที่อิ่นสวินทำมีขนาดใหญ่และเป็นสีดำเกือบทั้งหมด มีเพียงลูกตาสองดวงเท่านั้นที่เป็นสีเหลืองสดใส หนวดด้านล่างทั้งยาวและบาง ลู่ชิงจิ่วจินตนาการภาพว่าวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้วทำให้เด็กกลัวจนร้องไห้

แต่ทุกอย่างทำเสร็จหมดแล้วก็ใช้มันไปเถอะ ลู่ชิงจิ่วตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก

อิ่นสวินทำว่าวสองตัวในเวลาไม่นาน รูปร่างและสีสันของมันยากต่อการอธิบาย แต่เพื่อที่จะไม่เป็นการกีดกันความกระตือรือร้นของลูก คนเป็นพ่ออย่างลู่ชิงจิ่วจึงตัดสินใจที่จะอดทนไว้

อิ่นสวินตั้งตารอที่จะได้ออกไปเที่ยวเล่นวันมะรืน

ถึงแม้จะไร้ความสามารถ แต่การพยากรณ์อากาศของอิ่นสวินยังคงมีประสิทธิภาพ สองวันต่อมาจะมีแดดจ้า ในเช้าของวันที่สามลู่ชิงจิ่วจึงเตรียมอาหารไว้แต่เนิ่นๆ ทั้งครอบครัวพากันออกไปนอกบ้าน

เสี่ยวฮวา เสี่ยวเฮย และจิ้งจอกน้อยก็ตามออกมาด้วย คนทั้งสามพร้อมสัตว์อีกสามตัวขึ้นไปบนภูเขาอย่างผ่าเผย

หมู่บ้านสุ่ยฝู่มีลานที่ค่อนข้างกว้างขวางซึ่งอยู่ใกล้กับยอดเขา เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิจึงมีลมพัดแรงเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับการเล่นว่าวเป็นอย่างยิ่ง

อิ่นสวินถือปลาหมึกสีดำตัวใหญ่ไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือสัตว์บางอย่างที่มองไม่ออกว่ามันคือสัตว์ชนิดไหน เขาวิ่งตามหลังลู่ชิงจิ่วไปจนเพื่อนต้องหันกลับมาบอกเขาว่าอย่าล้ม ไป๋เยวี่ยหูยังคงมีท่าทีเกียจคร้าน ผมของอีกฝ่ายกลับมาสั้นแล้ว เพียงแต่คราวนี้ลู่ชิงจิ่วเป็นคนลงมือตัด เขาไม่ได้ตัดให้ไป๋เยวี่ยหูสั้นเกินไป แค่ตัดให้ความยาวของมันไม่ส่งผลต่อการกินข้าว แต่ก็ดูดีกว่าทรงผมสุนัขแทะที่ไป๋เยวี่ยหูตัดเองอยู่มากโข…ถึงแม้ไม่ว่าไป๋เยวี่ยหูจะตัดผมทรงไหนก็ไม่ส่งผลต่อความงดงามของเขาเลยก็ตาม

ลมบนภูเขาพัดพากลิ่นหอมของดอกไม้ สามารถมองเห็นดอกไม้ป่านานาชนิด มีผึ้งและผีเสื้อรายล้อมอยู่รอบๆ เทียบกับความเงียบงันของฤดูหนาวแล้วเหมือนความมีชีวิตชีวาจะเต็มไปทั่วทุกหนแห่ง

ทั้งสามคนหยิบว่าวพร้อมตะกร้าไม้ไผ่ที่เต็มไปด้วยอาหารก้าวเดินไปบนถนนทางขึ้นไปสู่ยอดเขา รู้สึกถึงลมที่พัดแรงบนนั้น อิ่นสวินแทบรอที่จะหยิบว่าวออกมาไม่ไหว รีบวิ่งไปตามทาง เดิมทีก่อนหน้านี้ลู่ชิงจิ่วค่อนข้างสงสัยว่าว่าวของอิ่นสวินจะลอยขึ้นได้หรือไม่ ใครจะรู้ว่าทันทีที่อิ่นสวินวิ่งเป็นวงกลมบนลานกว้างปลาหมึกตัวนั้นจะทะยานขึ้นโผบินสู่ท้องฟ้า

อิ่นสวินหัวเราะลั่นเหมือนกับเด็กๆ “ดูสิ ดูสิ ว่าวของฉันบินขึ้นไปแล้วล่ะ!!!”

เสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยก็วิ่งไปกับเขา อิ่นสวินเห็นว่าพวกมันอยากจะเล่นด้วยจึงเอาเชือกว่าวพันรอบกีบเท้าของเสี่ยวฮวา ผลที่ได้ก็คือลมบนยอดเขาแรงเกินไป ส่วนตัวเสี่ยวฮวาก็เล็กเกินไปจนเกือบจะถูกลมพัดลอยขึ้นไปในอากาศ ดีที่ลู่ชิงจิ่วหูตาไวคว้าหางเล็กๆ ของมันไว้ได้ทัน เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรม

“นายต้องคอยดูเสี่ยวฮวาเล่นว่าว เขาเป็นหมูตัวเล็ก มันไม่ปลอดภัย” ลู่ชิงจิ่วเป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังสอนเด็กๆ “จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน”

อิ่นสวินตอบตกลงอย่างว่าง่าย

จบการบอกกล่าวกับอิ่นสวิน ลู่ชิงจิ่วก็เปิดตะกร้าไม้ไผ่ที่เขานำมา เอาผ้าในตะกร้ามาปูบนหญ้าเขียว ก่อนจะวางอาหารทุกชนิดไว้บนนั้น มีเนื้อตุ๋นและไก่ทอดบรรจุในกล่องเก็บความสดใหม่ ทั้งยังมีบิสกิตสตรอเบอรี่และเค้กแอปเปิ้ลที่อบในตอนเช้า ลู่ชิงจิ่วจำได้ว่ามีน้ำอัดลมที่ใช้ผ้าขนหนูเย็นห่อมาด้วยสองสามขวด

ไป๋เยวี่ยหูนั่งบนพื้นถัดจากลู่ชิงจิ่ว เงยศีรษะขึ้นมองดูว่าวบนท้องฟ้า

ลู่ชิงจิ่วยืนอยู่ด้านข้าง พูดยิ้มๆ ว่า “ตอนพวกเรายังเด็กชอบเอาหญ้าผูกบนเชือกว่าว ตอนที่ผูกหญ้าในใจก็อธิษฐานเงียบๆ ว่ากันว่ามันเป็นการส่งจดหมายถึงเทพเจ้าบนท้องฟ้า ให้เหล่าเทพเจ้าทำความปรารถนาของพวกเขาให้เป็นจริง”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “เทพเจ้าทำให้ความปรารถนาของนายเป็นจริงแล้ว?”

ลู่ชิงจิ่วผิดหวัง “แน่นอนว่าไม่”

ไป๋เยวี่ยหูได้ยินประโยคนี้ก็ก้มศีรษะ ใช้มือดึงหญ้าสีเขียวต้นหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้ลู่ชิงจิ่ว “ลองอีกครั้ง?”

ลู่ชิงจิ่วยิ้ม “โอเค” เขาถือหญ้าเดินไปหยุดข้างๆ อิ่นสวิน เอาหญ้าผูกกับเชือกว่าว จากนั้นอิ่นสวินจึงเริ่มปล่อยเชือกให้ว่าวบินสูงขึ้น หญ้าต้นนั้นที่ลู่ชิงจิ่วผูกก็ลอยขึ้นไปในอากาศด้วยเช่นกัน

สำหรับความปรารถนาอะไรของลู่ชิงจิ่วนั้นมันไม่สำคัญหรอก เพราะท้ายที่สุดแล้วบนท้องฟ้าก็ไม่มีเทพเจ้า ในเมื่อไม่มีเทพเจ้า ถ้าอย่างนั้นใครจะสามารถสนองความปรารถนาของเขาได้ล่ะ

อิ่นสวินนั้นเหมือนเด็กๆ เล่นสนุกสนานสุดเหวี่ยงกับเจ้าหมูน้อยและจิ้งจอกน้อย ถึงขั้นคิดอยากจะลองเอาจิ้งจอกน้อยผูกติดกับว่าวตัวหนึ่งแล้วปล่อยให้บินขึ้นไป ในฐานะผู้ปกครองลู่ชิงจิ่วทำได้เพียงห้ามปรามอย่างไร้ความปรานี ไม่ให้เด็กพวกนี้ก่อเหตุฆาตกรรม เจ้าจิ้งจอกน้อยไม่สามารถบินได้ ถ้ามันตกลงมาคาดว่าทั้งหมู่บ้านจะต้องมากินอาหารที่บ้านของพวกเขา

อิ่นสวิน “ทำไมคนทั้งหมู่บ้านถึงจะมากินข้าวที่บ้านเราล่ะ”

ลู่ชิงจิ่ว “มาเฉลิมฉลองงานศพของนายไง”

อิ่นสวิน “…”

สุดท้ายอิ่นสวินก็บอกว่าเขายังไม่อยากสร้างความลำบากให้ชาวบ้าน และผูกว่าวกับต้นไม้เล็กๆ อย่างเชื่อฟัง ก่อนจะนั่งลงและเริ่มต้นกินอาหาร

ไก่ทอดนั้นลู่ชิงจิ่วเป็นคนทำเอง เขาชุบไก่ด้วยแป้งชั้นบางๆ แล้วใช้น้ำมันอุ่นทอดช้าๆ หลังจากทอดแล้ว หนังด้านนอกจะกรอบ ส่วนด้านในจะนุ่มและชุ่มฉ่ำ เมื่อกัดลงไปหนึ่งคำน้ำของเนื้อไก่สีเหลืองจะล้นออกมาจากข้างใน เพราะเป็นไก่ตัวเล็กดังนั้นมันจึงกรอบไปถึงกระดูก ด้วยแรงกัดเพียงเล็กน้อยก็ทำให้กระดูกนั้นแตกในปากได้

ลู่ชิงจิ่วดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ พลางกินไก่ทอดที่ยังคงร้อนอยู่ รู้สึกว่าที่จริงแล้วชีวิตนั้นช่างดีเหลือเกิน ไม่ได้มีอุปสรรคที่ไม่สามารถก้าวผ่านได้มากมายขนาดนั้น

กินไปได้ครึ่งหนึ่ง ลู่ชิงจิ่วพลันรู้สึกอยากปัสสาวะ เขาวางอาหารในมือก่อนใช้กระดาษทิชชูเช็ดมือตัวเอง แล้วพูดว่า “ฉันไปเข้าห้องน้ำนะ”

“อืม” อิ่นสวินกำลังยัดน่องไก่เข้าปาก “กลับมาเร็วๆ ล่ะ ไม่งั้นไก่จะถูกพวกเรากินหมดนะ” พูดพลางเหลือบมองไป๋เยวี่ยหู

ไป๋เยวี่ยหูจ้องกลับมาอย่างเย็นชา อิ่นสวินยอมแพ้ทันใด ดึงขาไก่ออกจากปากแล้วกัดอีกหนึ่งคำ “…ไม่เป็นไร ฉันจะเหลือขาหนึ่งชิ้นให้นาย”

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ปลอมมาก”

อิ่นสวินแกล้งทำเป็นเศร้าที่โดนกล่าวหา

ลู่ชิงจิ่วเดินไปที่ป่าข้างๆ หามุมที่ซ่อนอยู่มุมหนึ่งตั้งใจจะปลดทุกข์ ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวจะถอดกางเกง กลับสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ ที่เท้าของตัวเอง เมื่อมองดูดีๆ ก็พบว่ามีมดดำฝูงหนึ่งกำลังคลานอยู่ในหญ้า

หากเป็นเพียงการคลานก็ไม่เป็นไร แต่ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าเส้นทางการเคลื่อนไหวของมดเหล่านี้มันแปลกมาก หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อตระหนักว่ากลุ่มมดดำนี้ได้สร้างตัวอักษรจีนที่น่าทึ่งสองตัว

 

‘อาจิ่ว’

 

อาจิ่วคือชื่อที่ยายของลู่ชิงจิ่วใช้เรียกลู่ชิงจิ่ว นอกจากหญิงชราท่านนั้นที่ล่วงลับไปแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คนที่เรียกเขาแบบนี้

ขนที่หลังของลู่ชิงจิ่วลุกชัน ก่อนที่เขาจะทันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบ มดดำก็เปลี่ยนเป็นตัวอักษรจีนคำอื่น

 

‘มานี่สิ’

 

อาจิ่ว มานี่สิ…เสียงกระซิบแผ่วเบาของคนแก่ดังอยู่ในหู ลู่ชิงจิ่วคล้ายต้องมนตร์ สมองเริ่มเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า เหลือเพียงความคิดเดียว เขาอยากเดินไปดู คุณยายกำลังเรียกหาเขา

มดดำพวกนั้นก่อตัวเป็นป้ายบอกทาง ลู่ชิงจิ่วที่ตกอยู่ในภวังค์เดินเข้าไปกลางป่า อาจิ่ว มานี่สิ…อาจิ่ว มานี่สิ…ในสมองของลู่ชิงจิ่วยังก้องกังวานไปด้วยเสียงเรียกของคุณยาย จนกระทั่งมีชายแปลกหน้าปรากฏตัวต่อหน้าเขา ลู่ชิงจิ่วถึงค่อยหลุดออกจากสภาวะมึนงง

“คุณ…คุณเป็นใคร” ในใจของลู่ชิงจิ่วคาดเดาตัวตนของชายผู้นี้คร่าวๆ

ชายคนนี้ยืนอยู่ตรงข้ามกับแสงแดดในส่วนลึกของป่าทึบ เขาสวมเสื้อคลุมสีดำซึ่งค่อนข้างคล้ายกับเสื้อคลุมของไป๋เยวี่ยหู ผมของเขายาวประบ่า เขากำลังหลับตา ถึงแม้จะมองเห็นใบหน้าไม่ค่อยชัดแต่ก็ยังคงความสวยงาม

ก่อนจะทันได้รู้ตัว ลู่ชิงจิ่วก็เดินมาถึงส่วนลึกของป่าแล้ว ทิวทัศน์โดยรอบดูแปลกตา สายลมที่พัดผ่านข้างแก้มแข็งกระด้าง ไม่มีนกร้องในป่า มีเพียงความเงียบเท่านั้น

ชายคนนั้นเดินมาทางลู่ชิงจิ่ว

เห็นดังนั้นลู่ชิงจิ่วก็หมุนตัวกลับแล้ววิ่งหนี แต่เป็นเพราะเขาลุกลนเกินไปจึงสะดุดก้อนหินบนพื้น ทั้งร่างเซไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ในที่สุดก็เสียการทรงตัวและล้มลงนั่งกับพื้น

“อ๊ะ!” ฝ่ามือของลู่ชิงจิ่วกดลงบนหินก้อนคม ผิวถูกทำให้เกิดบาดแผลจนเขาร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ

ดวงตาของชายคนนั้นยังปิดอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขารับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เดินไปทางที่ลู่ชิงจิ่วล้มลงบนพื้น

ลู่ชิงจิ่วมองชายคนนั้นหยุดฝีเท้าลงข้างหน้าเขา เกิดเป็นเงาตัดกับแสง

“คุณพาผมมาทำอะไรที่นี่…” เดิมทีลู่ชิงจิ่วน่าจะรู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ใกล้ๆ เขากลับสงบลงอย่างกะทันหัน และถามสิ่งที่เขาต้องการออกมาด้วยความสุภาพ “มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

ชายคนนั้นไม่พูด หากแต่ย่อตัวลง แม้ว่าเขาจะปิดตาอยู่ แต่ลู่ชิงจิ่วมีความรู้สึกว่ากำลังถูกชายคนนี้จ้องสำรวจ

“คุณฆ่าพ่อแม่ของผมหรือเปล่า” ลู่ชิงจิ่วพูด “คุณยังอยากฆ่าผมอยู่มั้ย”

ริมฝีปากของผู้ชายคนนี้เม้มน้อยๆ เผยให้เห็นรอยโค้งแน่น ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าเขาต้องการจะพูดอะไร แต่เขากลับทำเพียงส่ายศีรษะเบาๆ โดยไม่เอื้อนเอ่ยสักคำ

“คุณไม่อยากฆ่าผมเหรอ” ลู่ชิงจิ่วรู้สึกผ่อนคลายลง เขารู้สึกว่าชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะไม่มีความเกลียดชังอะไรกับเขา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ “งั้นคุณอยากบอกอะไรกับผมล่ะ”

ชายคนนั้นเอื้อมมือไปหาลู่ชิงจิ่ว ทำท่าให้เขายกมือขึ้น

ลู่ชิงจิ่วเห็นดังนั้นก็ลังเลเล็กน้อย กำลังคิดว่าจะยื่นมือไปดีมั้ย ทว่าขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่เสียงของไป๋เยวี่ยหูก็ลอยมาจากป่าด้านหลัง “ลู่ชิงจิ่ว ลู่ชิงจิ่วนายอยู่ที่ไหน” เสียงของเขาร้อนรน เห็นได้ชัดว่ากำลังมองหามาทางนี้

ชายคนนั้นขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ให้เวลาลู่ชิงจิ่วลังเลอีกต่อไป คว้ามือชายหนุ่มมาจับทันที จากนั้นจึงใช้นิ้วเขียนคำหนึ่งคำลงบนฝ่ามือ

คำนั้นเขียนเพียงแค่ครั้งเดียวลู่ชิงจิ่วก็เข้าใจว่าคืออะไร

มันก็คือคำว่า ‘ไป’ ชายแปลกหน้าที่อยู่ข้างหน้านี้กำลังบอกให้เขาไป

“หมายความว่ายังไง” ลู่ชิงจิ่วค่อนข้างสับสน “คุณให้ผมไป? ไป? ทำไมผมต้องไป”

เสียงตะโกนของไป๋เยวี่ยหูดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ร่องรอยความกังวลเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายคนนั้น เขาอ้าปากออก คิดอยากจะพูดอะไร แต่ก็ทำได้เพียงเปล่งพยางค์ที่ไม่ชัดเจนออกมา ลู่ชิงจิ่วซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขาเห็นได้แจ่มชัดว่าในปากของชายผู้นี้มีลิ้นที่ขาดไปครึ่งหนึ่ง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือมังกรดำที่ติดอยู่ในหลุมตัวนั้น เขาหนีออกมาจากกรงและตามหาชายหนุ่มจนพบ ที่แท้ก็มาเพื่อเขียนคำหนึ่งคำบนฝ่ามือของเขางั้นเหรอ

เสียงเรียกของไป๋เยวี่ยหูอยู่ด้านหลังลู่ชิงจิ่ว เขาแค่ต้องผลักต้นไม้เล็กๆ ไม่กี่ต้นออกไปก็จะปรากฏตัวต่อหน้าลู่ชิงจิ่ว

ชายคนนั้นรู้ว่าเวลาของตัวเองกำลังจะหมดลง เขายกมือขึ้นลูบศีรษะลู่ชิงจิ่วเบาๆ ใบหน้าเจือด้วยกลิ่นความเศร้าและรอยยิ้มที่อ่อนโยน จากนั้นก็หันหลังกลับและหายตัวไปต่อหน้าลู่ชิงจิ่วทันที

ลู่ชิงจิ่วอยากได้ยินชายคนนั้นพูดอะไรสักอย่าง แต่เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นไม่อยากพบไป๋เยวี่ยหู ตอนจากไปท่าทางของเขาหนักแน่นไม่มีใครเปรียบ

“ลู่ชิงจิ่ว!” เสียงร้องกังวลของไป๋เยวี่ยหูดังขึ้นข้างหลังลู่ชิงจิ่ว เมื่อเห็นลู่ชิงจิ่วนั่งอยู่ที่พื้นชายหนุ่มก็รีบพุ่งตัวไปข้างหน้าแล้วจับไหล่ของลู่ชิงจิ่ว “นายไม่เป็นไรใช่มั้ย เขาไม่ได้ทำอะไรนายนะ?”

“ไม่ได้ทำอะไร” ลู่ชิงจิ่วเหลือบมองไป๋เยวี่ยหู มันเป็นอุบัติเหตุ เขาไม่ได้บอกไป๋เยวี่ยหูว่าชายคนนั้นเขียนอะไรบนฝ่ามือ เขาส่ายศีรษะ “ดูเหมือนว่าเขาจะพูดไม่ได้”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “นายได้รับบาดเจ็บ”

ฝ่ามือของลู่ชิงจิ่วถูกหินบาดขณะที่ล้มลง ตอนนี้เลือดไหลเต็มทั้งฝ่ามือ เมื่อครู่นี้ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ชายคนนั้นจึงไม่ทันรู้ตัว เมื่อไป๋เยวี่ยหูเอ่ยทักถึงค่อยรู้สึกว่าฝ่ามือตัวเองปวดแสบปวดร้อน

“ฉันไม่ระวังเลยล้มน่ะ” ลู่ชิงจิ่วรู้สึกอายนิดหน่อย “แผลเล็กนิดเดียว กลับไปเช็ดด้วยแอลกอฮอล์หน่อยก็โอเคแล้ว”

ไป๋เยวี่ยหูไม่พูดอะไร เขาทำจมูกฟุดฟิดราวกับว่ากำลังดมกลิ่นอะไรบางอย่าง ก่อนมองสำรวจลู่ชิงจิ่วด้วยสายตาจริงจัง “บนตัวนายมีกลิ่นของเขา เขาสัมผัสนายแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนอธิบายอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่ เขาก็แค่จับมือฉัน” แล้วก็ลูบหัวฉันด้วย

ไป๋เยวี่ยหูเม้มริมฝีปาก สีหน้าจริงจังของเขาดูคล้ายกับผู้ชายคนนั้นอยู่หลายส่วน จากนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วไม่คาดคิด…ก้มศีรษะลง แล้วเลียเลือดบนฝ่ามือของลู่ชิงจิ่วจนสะอาด

“อ๊ะ!” ลิ้นอุ่นนุ่มเลียช้าๆ บนฝ่ามือเพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกรอบๆ บาดแผลทีละน้อย การกระทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดแต่กลับทำให้ชามากขึ้น ใบหน้าของลู่ชิงจิ่วเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใดพร้อมเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า “อย่า มันสกปรก!”

ไป๋เยวี่ยหูดูไม่ค่อยพอใจ “กินแล้วไม่ป่วยหรอกน่า”

ลู่ชิงจิ่ว “แต่ว่า…”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “ต้องทำให้มันสะอาด”

ประโยคที่ว่าต้องทำให้สะอาดน่าจะหมายถึงบาดแผล แต่ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่ามีความหมายอื่นซ่อนอยู่ การกระทำของไป๋เยวี่ยหูดูจริงจังมากซะจนเขาไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร รอจนอีกฝ่ายจัดการเสร็จเรียบร้อยถึงได้หยุดการกระทำลง ชายหนุ่มถูกไป๋เยวี่ยหูดึงขึ้นจากพื้น ยืนอยู่ที่เดิมให้ไป๋เยวี่ยหูจัดการร่องรอยต่างๆ บนร่างกายอย่างว่าง่าย

หลังจากที่ไป๋เยวี่ยหูปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของลู่ชิงจิ่ว และกำลังจะจบการทำความสะอาดก็กลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา เขาขมวดคิ้ว ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าตัวเองถูกมือหนึ่งจับข้างหู บังคับให้เอียงศีรษะ จากนั้นก็ถูกจูบหนักๆ ลงบนเส้นผม

ลู่ชิงจิ่วตะลึงกับการกระทำของไป๋เยวี่ยหู “นาย…”

เสียงของไป๋เยวี่ยหูแข็งกระด้างราวกับว่ากำลังโกรธ “เขาสัมผัสผมของนาย”

ลู่ชิงจิ่วซึ่งเดิมทีเป็นคนมีความมั่นใจและมีเหตุผล แต่เพราะประโยคนี้กลับทำให้เขาพลันรู้สึกผิดขึ้นมา ปากของชายหนุ่มอ้าเปิดออก ผ่านไปสักพักถึงได้เอ่ยเสียงเบา “เขาแค่ลูบนิดเดียวเอง”

“ลูบก็ไม่ได้” ไป๋เยวี่ยหูพูดอย่างเย็นชา “ดีที่สุดคือห้ามมองเลย”

ลู่ชิงจิ่ว “…” เฮ้อ

ไป๋เยวี่ยหูจับมือลู่ชิงจิ่วพาเขาออกไปจากป่า ลู่ชิงจิ่วพบว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากจุดปิกนิกมากนัก มีระยะห่างสั้นๆ เท่านั้นเอง

“ลู่ชิงจิ่ว นายไม่เป็นไรใช่มั้ย!!!” อิ่นสวินเห็นไป๋เยวี่ยหูพาลู่ชิงจิ่วกลับมาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เมื่อครู่นี้สมองของเขาได้ผ่านการคาดเดาที่น่าสะพรึงมานับไม่ถ้วน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือไป๋เยวี่ยหูนำศพที่มีสภาพย่ำแย่ออกมา หรือไม่ก็…แม้แต่ศพก็ไม่เหลือ

“ฉันไม่เป็นไร” ลู่ชิงจิ่วตอบ “ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีเจตนาร้ายอะไรต่อฉันเลย”

“ไม่มีเจตนาร้าย?” อิ่นสวินพึมพำ “ไม่มีเจตนาร้ายแล้วเขาเอานายไปเพื่ออะไร ฉันกลัวมากจนเหงื่อแตกเลย” โชคดีที่ไป๋เยวี่ยหูพาคนกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน

ลู่ชิงจิ่วเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าเขาคิดร้ายต่อฉัน ตอนนี้ฉันคงตายไปแล้ว” แม้ว่ามังกรตัวนั้นจะถูกทรมานแต่ก็ยังเป็นมังกร ไม่ว่ามนุษย์จะแข็งแกร่งเพียงใด ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตในตำนานนี้ก็เป็นเพียงมดตัวน้อยเท่านั้น

อิ่นสวินทำหน้าบึ้ง เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของลู่ชิงจิ่ว ในความเห็นของเขาอะไรที่แอบพาลู่ชิงจิ่วออกไปล้วนไม่ใช่สิ่งที่ดี

กว่าจะรู้ตัวท้องฟ้าก็มืดแล้ว ลู่ชิงจิ่วไม่ได้สังเกตเลยว่าตัวเองจากไปนานขนาดไหน

การออกไปเที่ยวนอกบ้านของวันนี้จึงจบลงเพียงเท่านี้ พวกเขาเก็บของเตรียมตัวลงจากภูเขา ขณะเดินทางออกจากภูเขา ลู่ชิงจิ่วอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเข้าไปในป่า เขามีความรู้สึกว่าชายคนนั้นยังอยู่ที่นี่ เพียงแต่ไม่ได้ปรากฏตัว

หลังจากบาดแผลที่ฝ่ามือถูกทำความสะอาดโดยน้ำลายของไป๋เยวี่ยหู เขาก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดมากนัก แต่ตัวอักษรที่นิ้วชี้เรียวยาวของชายคนนั้นทิ้งไว้เป็นดั่งรอยไหม้ที่ลู่ชิงจิ่วยากจะลืมเลือน

“ไป?” ไปหมายความว่ายังไง ให้ตนเองไปด้วยกันกับเขางั้นเหรอ ยังมีความหมายอะไรอย่างอื่นอีก เขาหนีออกจากที่นั่นเพื่อมาบอกตนแค่อักษรตัวหนึ่งอย่างนั้นเหรอ

จริงๆ แล้วลู่ชิงจิ่วเองก็ไม่เข้าใจ เขาถอนหายใจอย่างอดไม่ได้

อิ่นสวินถาม “นายถอนหายใจทำไมน่ะ”

ลู่ชิงจิ่วตอบไม่ตรงคำถาม “พรุ่งนี้กินปลาหมึกแล้วกัน”

อิ่นสวิน “ทำไม”

ลู่ชิงจิ่ว “เพราะฉันรู้สึกว่าว่าวของนายมีกลิ่นเหมือนปลาหมึกอยู่ตลอดเลย”

อิ่นสวิน “…” กลิ่นปลาหมึกแล้วไง ไม่ใช่ว่าปล่อยให้ลอยไปตั้งสูงแล้วเรอะ!

บทที่ 70 เงินค่าขนม

 

หลังจากออกไปข้างนอกวันนั้น เดิมทีลู่ชิงจิ่วคิดว่ามังกรตนนั้นจะหาตัวเขาจนเจอและจะบอกเรื่องอะไรบางอย่างกับเขา แต่นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้ยินข่าวคราวของมังกรตนนั้นอีกเลย มีครั้งหนึ่งที่ไป๋เยวี่ยหูพูดกับเขาว่ามังกรตนนั้นหนีออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ไปแล้ว เพราะบริเวณโดยรอบไม่มีกลิ่นของอีกฝ่ายเลย

ลู่ชิงจิ่วคิดหนักเกี่ยวกับคำว่า ‘ไป’ ที่เคยถูกเขียนในฝ่ามืออยู่หลายครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะคาดเดาสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีคำตอบที่น่าพอใจให้ตนเองอยู่ดี

ในฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ในลานบ้านปกคลุมไปด้วยใบไม้อีกครั้ง เถาวัลย์สีเขียวมรกตคดเคี้ยวไปตามราว ปกคลุมท้องฟ้าในลานบ้านไปกว่าครึ่ง ทอดเงาสีดำ ช่วยบดบังแสงแดด เป็นสถานที่สำหรับคลายร้อนในฤดูร้อน

วันเกิดของอิ่นสวินช้ากว่าลู่ชิงจิ่วหนึ่งเดือน ซึ่งตรงกับกลางเดือนเมษายน ดั่งบทกลอนที่ว่า ‘ดอกท้อสายน้ำไหลมีปลากุ้ย’* เดือนเมษายนเป็นช่วงที่ดอกท้อบานเต็มที่และปลากุ้ยกำลังอ้วน เพื่อฉลองวันเกิดของอิ่นสวิน ลู่ชิงจิ่วจึงเข้าเมืองแต่เช้าเพื่อซื้อปลากุ้ยตัวอวบอ้วนพร้อมซื้ออาหารบางส่วนที่ไม่ได้กินเป็นประจำ วิธีการทำอาหารค่อนข้างยุ่งยาก เพราะวางแผนที่จะฉลองวันเกิดของอิ่นสวินอย่างยิ่งใหญ่

เค้กนั้นต้องทำแน่ๆ อยู่แล้ว คราวนี้ลู่ชิงจิ่วตั้งใจจะทำเครปเค้กทุเรียน ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ อิ่นสวินและไป๋เยวี่ยหูแทบไม่เคยกินผลไม้เมืองร้อนเลย ลู่ชิงจิ่วเคยถามว่าพวกเขาชอบทุเรียนมั้ย อิ่นสวินพูดอย่างจริงจังว่าเขาไม่กินทุเรียนด้วยเหตุผลสองประการ

‘สองข้ออะไรบ้างน่ะ’ ลู่ชิงจิ่วถาม

‘หนึ่งเพราะทุเรียนมีราคาค่อนข้างแพง’ อิ่นสวินพูดเสียงเศร้า ‘สองเพราะฉันค่อนข้างจน’

ลู่ชิงจิ่ว ‘…’ ลูกชายที่น่าสงสารของเขาใช้ชีวิตแบบไหนมากันนะ

ลู่ชิงจิ่วซื้อทุเรียนทั้งลูกกลับบ้าน กระทั่งเปลือกทุเรียนก็ไม่คิดจะทิ้ง ตั้งใจว่าจะใช้มันตุ๋นไก่ ทุเรียนที่ปอกเปลือกแล้วให้กลิ่นหอมรุนแรงอันเป็นเอกลักษณ์ เขาป้อนไป๋เยวี่ยหูที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ ไปคำหนึ่ง

ไป๋เยวี่ยหูเอาทุเรียนไว้ในปากแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย อิ่นสวินเองก็กินชิ้นเล็กๆ เช่นกัน ซึ่งชายหนุ่มมีท่าทางคล้ายกับไป๋เยวี่ยหู พวกเขาดูเคร่งเครียดกันทั้งคู่ ไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ

ลู่ชิงจิ่วถาม “นายชอบมั้ย” บางคนไม่ชินกับการกินทุเรียน ถ้าชอบก็ชอบมาก ถ้าไม่ชอบล่ะก็ แม้แต่แตะยังไม่คิดจะแตะเลย

“จินละเท่าไหร่” อิ่นสวินถามเสียงเบา

ลู่ชิงจิ่ว “อันนี้ห้าร้อยกว่าหยวน”

ท่าทางของอิ่นสวินเปลี่ยนไปทันที “ชอบ! ให้ฉันกินอีก!” นี่ไม่ใช่กลิ่นเหม็น แต่เป็นกลิ่นหอมของเงินหยวนชัดๆ

ลู่ชิงจิ่วมีสีหน้าช่วยไม่ได้ เอ่ยว่าถ้าไม่ชอบก็อย่าฝืน เขาสามารถทำเครปเค้กรสอื่นได้ ความจริงรสมะม่วงก็ไม่เลว…

ทว่าหลังจากได้ยินราคาทุเรียนแล้ว อิ่นสวินและไป๋เยวี่ยหูต่างก็พูดพร้อมใบหน้าจริงจังว่าพวกเขาไม่เคยกินผลไม้แสนอร่อยแบบนี้มาก่อน ทำให้ลู่ชิงจิ่วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ภายในลานบ้านปีที่แล้วซื้อไก่มาสิบตัวก่อนจะกลายเป็นสิบสอง แต่เนื่องจากกินไปเยอะลู่ชิงจิ่วจึงวางแผนเรื่องเมนู รู้สึกว่าไก่ตุ๋นกินจนเบื่อแล้ว ทำไก่ต้มสับดีกว่า นอกจากนี้ยังมีซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานและต้มปลาผักกาดดองที่อิ่นสวินชอบอีกด้วย ทำได้มากเท่าไรก็ทำเท่านั้น อย่างไรเสียที่บ้านก็มีไป๋เยวี่ยหูอยู่ จึงไม่ต้องกลัวอาหารเหลือจนกินไม่หมด

ลู่ชิงจิ่วกำลังจะโทรหาไป๋เยวี่ยหูให้เขาเด็ดผักสดในสวนกลับมาด้วย แต่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถจากหน้าประตู เหมือนว่าจะมีคนจอดรถที่หน้าบ้านพวกเขา

เป็นไปตามคาด สักพักก็มีเสียงคนเคาะประตูที่ลานบ้าน ลู่ชิงจิ่วเดินไปเปิดประตู เห็นจิ่วเฟิ่งซึ่งไม่ได้เจอกันมานานแล้วยืนอยู่ที่ประตูและมองเขาด้วยรอยยิ้ม

“ชิงจิ่ว ไม่เจอกันนานเลยนะ” จิ่วเฟิ่งทักทายลู่ชิงจิ่วอย่างกระตือรือร้น ที่คอของเธอยังมีสร้อยแปดหัวอันนั้นห้อยอยู่ ทันทีที่เธอทักทายเสร็จ เจ้าแปดหัวพวกนั้นก็รีบที่จะทักทายลู่ชิงจิ่ว

“ไม่เจอกันนานเลย” ลู่ชิงจิ่วสังเกตว่าข้างหลังจิ่วเฟิ่งมีชายรูปร่างสูงสวมหน้ากากสีดำที่เผยให้เห็นแค่ดวงตา “มีเรื่องอะไรเหรอ”

“ไป๋เยวี่ยหูอยู่บ้านหรือเปล่า” จิ่วเฟิ่งถาม

“เขาไปที่สวน” ลู่ชิงจิ่วตอบ “อีกสักพักก็น่าจะกลับมาแล้ว” ความประทับใจที่มีต่อหญิงสาวนั้นไม่แย่ซะทีเดียว ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “เธอจะไปรอเขาข้างในมั้ย”

“ก็ดีนะ” จิ่วเฟิ่งพยักหน้าอย่างมีความสุข จากนั้นจึงหันกลับมาและชี้ไปยังชายที่ยืนอยู่ข้างหลัง “นี่คือเส่าเฮ่า เขามีเรื่องอยากเจอไป๋เยวี่ยหูน่ะ”

เมื่อลู่ชิงจิ่วได้ยินชื่อเส่าเฮ่าก็เข้าใจในทันที มีเทพเจ้าในคัมภีร์ซานไห่จิงซึ่งมีชื่อเต็มว่าไป๋ตี้เส่าเฮ่า ว่ากันว่าเมื่อเขาถือกำเนิด เฟิ่งหวงทั้งห้าโบยบินขึ้นท้องฟ้า สามารถควบคุมนกได้เป็นร้อยตัว และไม่ว่าเขาไปอยู่ที่ใด ที่แห่งนั้นพวกพืชพรรณ หิน นก และสัตว์ป่าก็จะมีรูปลักษณ์ที่งดงาม เป็นเทพเจ้าที่โรแมนติกมาก

“นายคือลู่ชิงจิ่วสินะ” เสียงของเส่าเฮ่าอ่อนโยนมาก ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนอารมณ์ดี เขาเดินไปอยู่ข้างๆ จิ่วเฟิ่ง เอื้อมมือออกไปหาลู่ชิงจิ่ว “อยากพบมาตั้งนานแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วคุ้นเคยกับการที่ตนเองถูก ‘พูดถึง’ ก็เลยยื่นมือออกไปจับมือกับเส่าเฮ่า เอ่ยชวนทั้งสองคนให้เข้าไปในลานบ้าน

ในหม้อยังคงต้มอาหาร จึงจำเป็นต้องมีคนอยู่เฝ้า ลู่ชิงจิ่วขอให้อิ่นสวินเอาขนมบางส่วนมาให้คนทั้งคู่ ส่วนตัวเขาเองก็กลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง

“พวกเขามาบ้านของพวกเราทำไมกัน” อิ่นสวินมักจะระวังคนแปลกหน้าอยู่เสมอ

“ไม่รู้” ลู่ชิงจิ่วพูด “ดูเหมือนจะมาหาไป๋เยวี่ยหูนะ”

อิ่นสวินส่งเสียงอ้อ แล้วก็เอาขนมออกไปให้ทั้งสองคน

ขนมพวกนี้บางอย่างถูกซื้อมาจากในเมือง บางอย่างลู่ชิงจิ่วทำเอง ซึ่งทั้งหมดนั้นมีรสชาติดีมาก จิ่วเฟิ่งเห็นขนมก็กลืนน้ำลาย และไม่เกรงใจที่จะยื่นมือออกไปหยิบมาเริ่มกิน กินไปก็คุยกับเส่าเฮ่าไป “นายชิมเร็วๆ อร่อยดี”

เส่าเฮ่าได้ยินคำพูดนั้นก็ลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นจิ่วเฟิ่งกินอย่างมีความสุข จึงเอื้อมมือออกไปพร้อมถอดหน้ากากออกจากใบหน้า หลังจากถอดหน้ากากออกแล้ว อิ่นสวินพบว่าส่วนล่างของใบหน้าชายคนนี้ถูกสักด้วยลวดลายสีดำปกคลุมเกือบครึ่งใบหน้า ลวดลายเหล่านั้นสวยมาก เพียงแต่การสักบนใบหน้าทำให้คนตรงหน้าดูประหลาดขึ้นหลายส่วนอย่างอธิบายไม่ถูก

อิ่นสวินไม่กล้ามองบ่อย เมื่อวางขนมลงแล้วจึงหันหลังเดินจากไป

เส่าเฮ่ามองแผ่นหลังของเขาและเอ่ยถาม “เขาเป็นเทพภูเขาหรือเปล่า”

“ใช่” จิ่วเฟิ่งเคี้ยวมันเทศตากแห้งของลู่ชิงจิ่วดังกรุบกรับแล้วพูดด้วยสีหน้าพึงพอใจว่า “หอมมากใช่มั้ย กลิ่นของไท่ซุ่ย…ถ้ากินได้ก็คงดี” น่าเสียดายที่มีไป๋เยวี่ยหูจ้องเขม็งอยู่

เส่าเฮ่ายิ้มและพูดว่า “ถ้าเธอเอาเขาไปกิน ไป๋เยวี่ยหูก็จะมีอาหารเพิ่มอีกมื้อ” ถ้าจิ่วเฟิ่งกินอิ่นสวิน ไป๋เยวี่ยหูคงไม่ปล่อยจิ่วเฟิ่งไป

จิ่วเฟิ่งกะพริบตา “ก็ยังไม่ได้กินไม่ใช่เหรอ”

เส่าเฮ่ากินมันเทศตากแห้งเข้าไปหนึ่งคำ ไม่สนใจจิ่วเฟิ่ง

เมื่อไป๋เยวี่ยหูกลับมาจากสวน เขาเอาผักมากมายกลับมาด้วย ชายหนุ่มสวมหมวกฟางและรองเท้าบูตยาง มองอย่างไรก็ดูเหมือนชาวไร่ หลังจากที่เขาเข้ามาในลานบ้านก็เห็นแขกสองคนนั่งอยู่ในนั้นแต่ไม่ได้ทักทาย หากแต่เดินเข้าไปในครัวก่อนแล้วยื่นผักส่งให้ลู่ชิงจิ่ว

“เพื่อนนายมาหาแน่ะ” ลู่ชิงจิ่วพูด

“อืม” ท่าทีของไป๋เยวี่ยหูสุดแสนเย็นชา

“พวกเขามาหานายก็น่าจะมีเรื่องอะไรล่ะมั้ง ในครัวฉันจัดการเอง นายไปหาพวกเขาเถอะ” ลู่ชิงจิ่วบอก

ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้า หมุนตัวเดินออกไป

แต่ท่าทางของไป๋เยวี่ยหูออกจะผิดปกติไปสักหน่อย ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่ามันแปลก เขาจึงให้ความสนใจมากขึ้น ขณะที่ล้างผักก็เดินไปในตำแหน่งที่ใกล้กับหน้าต่าง หน้าต่างนี้หันหน้าไปทางลานบ้าน เมื่อยืนอยู่ข้างในก็พอจะได้ยินเสียงคนที่กำลังคุยกันอยู่ในลานบ้านได้บ้าง

“เยวี่ยหู ไม่เจอกันนานนะ” เส่าเฮ่าเอ่ย

ไป๋เยวี่ยหูไปนั่งตรงข้ามกับเส่าเฮ่า “เกิดอะไรขึ้น”

เส่าเฮ่าพูด “ทางนี้มีเรื่อง นายอยากจะรับมั้ยล่ะ”

ไป๋เยวี่ยหู “ไม่รับ”

เส่าเฮ่าดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินไป๋เยวี่ยหูปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เขาว่า “ราคาค่อนข้างสูงนะ จะไม่รับจริงเหรอ”

“ไม่” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “จากนี้ไม่ต้องมาหาฉันแล้ว”

เส่าเฮ่า “…ไม่ไปจริงๆ เหรอ” เขานั่งตัวตรงและมองไปยังไป๋เยวี่ยหูด้วยแววตาเหลือเชื่อ “นี่มันไม่เหมือนนายเลย”

ไป๋เยวี่ยหูเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่งด้วยท่าทางค่อนข้างทะนงตัว “ไม่จำเป็นแล้ว”

จิ่วเฟิ่งกระซิบอยู่ข้างๆ “ฉันบอกแล้วว่าตอนนี้เขาสบายดี นายเชิญยังไงเขาก็ไม่ไปหรอก นายก็ยังไม่เชื่อฉัน”

เธอกินมันเทศไปอีกสองชิ้น ปล่อยหยาดน้ำตาแห่งความเศร้า “เหมือนฉันที่ไหนล่ะ อดมื้อกินมื้อ กินมื้อหนึ่งไปแล้วอีกมื้อก็ต้องอด”

เส่าเฮ่ามองไปที่ห้องครัวด้วยสีหน้าแปลกๆ ลู่ชิงจิ่วรีบถอยออกไปด้านข้าง แต่ก็ยังมีความรู้สึกเหมือนถูกมองเห็น บทสนทนาระหว่างคนเหล่านี้แปลกมาก ทำไมเส่าเฮ่าถึงมาหาไป๋เยวี่ยหู ฟังดูเหมือนกำลังเกลี้ยกล่อมให้ลูกของเขาออกไปทำงานอย่างนั้นแหละ ยิ่งคิดลู่ชิงจิ่วก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาฟังหูผึ่ง กลัวว่าอาจจะฟังอะไรพลาดไป

“ต่อไปนี้ไม่ต้องมาหาฉันอีกแล้ว” ไป๋เยวี่ยหูพูด “ฉันไม่ทำแล้ว”

เส่าเฮ่าตอบ “คุณภาพการใช้ชีวิตของนายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เอาอย่างนี้ดีมั้ย ฉันจะเพิ่มเงินให้นายห้าร้อยหยวน…”

ไป๋เยวี่ยหู “ห้าร้อย?”

เส่าเฮ่า “พอที่นายจะกินเสี่ยวหลงเปา”

ลู่ชิงจิ่วที่แอบฟังอยู่ด้านหลังมีความรู้สึกซับซ้อนยุ่งเหยิงผิดปกติ ห้าร้อยหยวนคืออะไร เส่าเฮ่าจะพาไป๋เยวี่ยหูไปทำอะไรถึงจะให้เงินไป๋เยวี่ยหูเพิ่มห้าร้อย ปีศาจจิ้งจอกบ้านเขาสามารถเชื้อเชิญได้ด้วยเงินเพียงห้าร้อยหยวนหรอกหรือ อย่าว่าแต่ห้าร้อยหยวนเลย ห้าพันก็อย่าแม้แต่จะคิด

แต่เห็นได้ชัดว่าวิธีการคิดของไป๋เยวี่ยหูไม่เหมือนกับลู่ชิงจิ่ว ความเงียบของเขาทำให้ลู่ชิงจิ่วลังเลใจ จริงๆ ลู่ชิงจิ่วไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการทำสวนของบ้านตนจะถูกยั่วยวนด้วยเงินแค่ห้าร้อยหยวน!

“ไปมั้ย” เส่าเฮ่าเคี้ยวถั่วและถามอีกครั้ง

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “คิดดูก่อน”

ลู่ชิงจิ่วไม่ทนฟังอีกต่อไป วางอาหารที่อยู่ในมือแล้วเดินออกจากครัวอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมทั้งส่งยิ้มจอมปลอมให้กับทั้งสามคนที่คุยกันอยู่ในลานบ้าน “กำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันเหรอครับ”

“เขาขอให้ฉันไปทำอะไรบางอย่างน่ะ” ไป๋เยวี่ยหูตอบตรงไปตรงมา

“ทำอะไร” ลู่ชิงจิ่วคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเรื่องอะไรที่จ่ายห้าร้อยหยวนแล้วสามารถเชิญชวนไป๋เยวี่ยหูได้

เส่าเฮ่าเห็นลู่ชิงจิ่วดูคล้ายจะปกป้องก็หัวเราะขึ้นมา “ใจเย็นๆ น่า ฉันแค่ขอให้เขาช่วยฉันกินอะไรบางอย่าง”

“กินอะไรล่ะ” ลู่ชิงจิ่วเหมือนพ่อแม่ที่เห็นว่าลูกตัวเองจะถูกลักพาตัว จึงมีแต่ความระแวงสงสัย

“ในอาณาเขตของฉันมีสัตว์ฝูงหนึ่งชื่อโยวเยี่ยน*” เส่าเฮ่าพูด “มันมาล่านกที่ฉันเลี้ยง ด้วยจำนวนที่มากเกินไปทำให้จัดการค่อนข้างลำบาก ฉันก็เลยอยากให้ไป๋เยวี่ยหูช่วย”

ลู่ชิงจิ่วพูด “นายให้เท่าไหร่”

เส่าเฮ่าตอบว่า “ปกติให้ครั้งละหนึ่งพัน คราวนี้ให้เพิ่มอีกห้าร้อย” รวมเป็นหนึ่งพันห้าร้อย

ลู่ชิงจิ่วทวน “พันห้า? โยวเยี่ยนนี่มันอร่อยมั้ย” เขาถามไป๋เยวี่ยหู

ไป๋เยวี่ยหูส่ายศีรษะ “ไม่อร่อยจนอยากตายเลยล่ะ”

ลู่ชิงจิ่ว “ถ้าให้เทียบกับศพของสนมเทพสายฝนล่ะ”

ไป๋เยวี่ยหูใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ “ดีกว่านิดหน่อย” เขาหยุดสักพักแล้วเสริมว่า “อย่างน้อยเนื้อก็นุ่ม”

ลู่ชิงจิ่วแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยต่อไป๋เยวี่ยหู ปีศาจจิ้งจอกของบ้านเขาเคยมีชีวิตแบบไหนกันนะ…

เส่าเฮ่ามองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความจริงที่ว่าลู่ชิงจิ่วเป็นผู้เลี้ยงดูไป๋เยวี่ยหู จึงยอมปล่อยมืออย่างไม่มีทางเลือก “เอาเถอะ ฉันรู้ว่านายคงไม่ปล่อยให้เขารับหรอก แต่อย่างน้อยก็ให้ฉันได้กินข้าวกลางวันสักมื้อเถอะ”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “ได้สิ วันนี้เป็นวันเกิดของอิ่นสวิน นายกับจิ่วเฟิ่งอยู่กินข้าวด้วยได้”

ได้ยินเช่นนั้นจิ่วเฟิ่งก็ดีใจ ก่อนจะเริ่มโต้เถียงเสียงดังกับอีกแปดศีรษะของเธออีกครั้ง กระทั่งไป๋เยวี่ยหูรำคาญถึงค่อยเงียบลงอย่างไม่เต็มใจ

หลังจากที่เส่าเฮ่ากินขนมบางส่วนแล้ว เขาก็หยุดการกระทำและสวมหน้ากากใหม่อีกครั้ง

อิ่นสวินถามด้วยความสงสัยว่าลวดลายเหล่านี้สักด้วยตัวเองหรือเปล่า เส่าเฮ่าส่ายหน้า “ไม่ใช่ ฉันเกิดมาพร้อมกับมัน บางคนกลัวตอนที่เห็น ฉันก็เลยปิดไว้”

แตกต่างจากไป๋เยวี่ยหูและจิ่วเฟิ่งที่ห่างไกลจากฝูงชนโดยสิ้นเชิง เส่าเฮ่าดูเหมือนจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ รวมถึงลู่ชิงจิ่วยังสังเกตเห็นว่ารถที่เขาขับมาจอดที่หน้าประตูคือรถพอร์ชซูเปอร์คาร์ รถที่จอดอยู่หน้าบ้านนั่นไม่เข้ากับสไตล์เรียบง่ายของบ้านพวกเขาเลย

อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้ลู่ชิงจิ่วสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมสิ่งมีชีวิตในตำนานบางตนถึงสามารถรวมเข้ากับสังคมมนุษย์ได้ แต่บางตนก็ไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากที่เขาถามคำถามของตัวเองออกไป เส่าเฮ่าก็ยิ้มและพูดว่า “เพราะสิ่งมีชีวิตในตำนานเหล่านั้นก็อาศัยอยู่ด้วยกันกับผู้คนหรือแต่เดิมก็เป็นมนุษย์มาก่อน”

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “งั้นถ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในตำนานที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ก็จะไม่สามารถเข้าสังคมมนุษย์ได้?”

เส่าเฮ่า “อืม…จะพูดอย่างนั้นไม่ได้หรอก” เขายกไป๋เยวี่ยหูมาเป็นตัวอย่าง “ตัวอย่างเช่นถ้าไป๋เยวี่ยหูต้องการทำงานในสังคมมนุษย์ ความพยายามที่เขาใช้ไปไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เขาได้รับกลับมา”

ลู่ชิงจิ่ว “นั่นเป็นเพราะเขายังไม่เจอวิธีการทำงานที่ถูกต้อง…” ด้วยใบหน้าที่สวยงามของไป๋เยวี่ยหู เขาสามารถเป็นดาราที่มีดีแค่หน้าตาก็เกินพอแล้ว ต่อให้ไม่ได้แสดง ถ่ายรูปแข็งทื่ออะไรพวกนี้ก็น่าจะยังเป็นที่นิยมมากอยู่ดี

“ไม่มีทาง” เส่าเฮ่าเหยียดมือ “เขาไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีทะเบียนบ้าน และไม่มีการศึกษา…” เมื่อเห็นสีหน้าของไป๋เยวี่ยหูเริ่มอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ เส่าเฮ่าจึงรีบเสริมอย่างรวดเร็วว่า “แน่นอนว่าของพวกนี้มันไม่ได้สำคัญมากนักหรอก”

ไป๋เยวี่ยหูไม่ได้พูดอะไร หยิบมันเทศตากแห้งขึ้นมากัดจนเกิดเสียงดังกร๊อบ

เส่าเฮ่ายิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ รู้สึกว่าลำคอของตัวเองค่อนข้างเย็น แข้งขาอ่อนขึ้นมาจริงๆ เขาฉวยโอกาสเพราะลู่ชิงจิ่วอยู่ด้วย ไป๋เยวี่ยหูคงไม่กล้าระเบิดอารมณ์ นี่คือการยั่วยุแบบไม่คิดถึงชีวิตเลยนะ

ลู่ชิงจิ่วยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเศร้า ปีศาจจิ้งจอกบ้านเขาต้องทนทุกข์ทรมานสักเพียงใดตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อก่อนหาซื้อเมล็ดพืชสำหรับปลูกผักไม่ได้ด้วยซ้ำ เดินผ่านร้านเสี่ยวหลงเปาก็ทำได้แค่สูดน้ำลายแล้วอดทนต่อไป เมื่อคิดได้อย่างนี้ความเห็นอกเห็นใจดั่งบิดาก็เกิดขึ้นในใจทันที อยากจะอุ้มไป๋เยวี่ยหูไว้ในอ้อมแขน ลูบศีรษะแล้วบอกเขาว่ายังมีพ่ออยู่นะ

แม้ว่าเส่าเฮ่าจะเชิญไป๋เยวี่ยหูไม่ได้ แต่ก็โชคดีที่ได้กินอาหารกลางวัน ซึ่งดูเหมือนจะค่อนข้างน่าพอใจ

หลังจากที่ลู่ชิงจิ่วบอกให้ไป๋เยวี่ยหูปฏิเสธคำเชิญของเส่าเฮ่า เขาก็เข้าไปในครัวด้วยความสบายใจและเอาอาหารที่เหลือมาอุ่น

นานแล้วที่อิ่นสวินไม่ได้จัดงานวันเกิด เมื่อเอาเค้กมาเสิร์ฟน้ำตาก็ไหลพรากๆ ลู่ชิงจิ่วเอามงกุฎกระดาษที่ทำไว้ล่วงหน้ามาสวมบนศีรษะของอิ่นสวินแล้วจุดเทียนบนเค้ก พวกเขาร่วมกันร้องเพลงวันเกิดให้อิ่นสวิน

อิ่นสวินร้องไห้ไม่หยุดอยู่ตรงนั้น พูดขอบคุณลู่ชิงจิ่วที่ให้โอกาสเขาได้เป็นคนใหม่

ลู่ชิงจิ่ว “…” ช่างมันเถอะ ไม่อยากโต้เถียงกับเด็ก

เค้กที่ว่าคือเครปเค้กทุเรียน ลู่ชิงจิ่วทำเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้วนำไปแช่ไว้ในตู้เย็น ตอนนี้เอามันออกมาหั่นเป็นชิ้น รอให้อิ่นสวินเป่าเทียนเสร็จแล้วจึงแจกจ่ายให้ทุกคน เครปเค้กนี้ทำออกมาได้ประสบความสำเร็จมาก หน้าตาดูดี ข้างในของชั้นครีมมีแยมที่ทำจากทุเรียนซึ่งมีรสชาติเข้มข้น

หลังจากกินเค้กที่เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยแล้ว ต่อไปก็เป็นโต๊ะสำหรับอาหารมื้อหลัก ไก่ เป็ด ปลา ไม่ว่าอะไรที่ควรมีล้วนมีครบหมด ลู่ชิงจิ่วเอาอาหารที่ปกติอิ่นสวินชอบกินทุกอย่างมาทำ

เส่าเฮ่าชิมอาหารที่ลู่ชิงจิ่วทำหนึ่งคำ ก่อนเผยสีหน้าทึ่งๆ “ฝีมือดี”

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกอายเล็กน้อย “เป็นเพราะผักที่ไป๋เยวี่ยหูปลูกอร่อย ส่วนนี่คือเนื้อของชงหลง แค่ผัดนิดหน่อยก็หอมอร่อยแล้ว”

เส่าเฮ่ายิ้มพลางพูดว่า “นายถ่อมตัวเกินไป”

ลู่ชิงจิ่วไม่พูดอะไรอีก อย่างไรเสียเขาก็รู้สึกว่าฝีมือของตัวเองธรรมดามาก หลักๆ ก็คือปกติแล้วไม่มีเรื่องอื่นที่เขาพอจะทำได้ ก็เลยทุ่มเทพลังงานทั้งหมดไปกับการกิน เสริมด้วยส่วนผสมชนิดพิเศษ เป็นธรรมดาที่รสชาติจะดีกว่าอาหารทั่วไป

จิ่วเฟิ่งและไป๋เยวี่ยหูไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวระหว่างนั้น ทั้งสองคนกินอาหารราวกับจะทำสงคราม

ความอยากอาหารของเส่าเฮ่าคล้ายคลึงกับมนุษย์ เกือบจะวางตะเกียบลงพร้อมลู่ชิงจิ่ว ลู่ชิงจิ่วประหลาดใจเบาๆ “นายไม่กินแล้วเหรอ”

“อิ่มแล้ว” เส่าเฮ่าเช็ดปาก “ถ้านายว่าง มาเที่ยวเล่นที่สวนนกของฉันสิ”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “ตกลง”

หลังจากกินและดื่มอย่างมีความสุข อิ่นสวินก็ลูบท้องของตัวเองเป็นเชิงว่าเขากินไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ทรุดตัวลงบนเก้าอี้เหมือนก้อนแป้ง เส่าเฮ่านั่งข้างๆ มองไปที่อิ่นสวิน ลู่ชิงจิ่วสังเกตว่าตั้งแต่ตอนที่เดินเข้าประตูมา ก็เริ่มเห็นเส่าเฮ่าคล้ายจะสนใจอิ่นสวินเอามากๆ โดยที่อิ่นสวินไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

“เขาพิเศษมากใช่มั้ย” ลู่ชิงจิ่วถามหนึ่งคำ

เส่าเฮ่าตระหนักว่าลู่ชิงจิ่วกำลังถามตัวเองก็หัวเราะขึ้นมา “เปล่า ฉันแค่รู้สึกว่ากลิ่นหอมของร่างกายเขามีเสน่ห์มาก”

เดิมทีอิ่นสวินที่ปวกเปียกกำลังจะหลับ เมื่อได้ยินคำพวกนี้ก็ตื่นขึ้นทันที เขาไม่ได้หลงตัวเองมากจนรู้สึกว่าเส่าเฮ่ามีความหมายอื่นใดแฝง ในฐานะที่เป็นขนมรูปคน เขาทราบถึงความจริงอันโหดร้ายของตัวเองได้ชัดเจนว่าเขาอยู่จุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร เส่าเฮ่าเอ่ยชมกลิ่นหอมที่น่าดึงดูด ซึ่งโดยทั่วไปเทียบเท่ากับการชมเชยความอร่อยของเขา

ลู่ชิงจิ่วตอบว่า “นายเคยกินไท่ซุ่ยมั้ย”

เส่าเฮ่าตอบ “เคยกินแล้ว” เขาเลียริมฝีปากของตัวเอง “รสชาติไม่เลว” เขาว่าและยิ้มให้กับอิ่นสวิน แม้ว่ารอยยิ้มจะค่อนข้างอ่อนโยน แต่ก็ทำให้ดวงตาประหม่าของอิ่นสวินเบิกกว้าง

ลู่ชิงจิ่วพูด “เขาเป็นเพื่อนฉัน อย่าคิดเลย กินอย่างอื่นเถอะ”

เส่าเฮ่าตอบ “ก็ได้”

บทสนทนานี้จบลง เส่าเฮ่าที่กินอิ่มแล้วและจิ่วเฟิงที่ยังอยากทำอะไรสนุกๆ ก็ลุกขึ้นกล่าวลา ลู่ชิงจิ่วมองดูทั้งคู่เดินไปถึงประตูก่อนจะขึ้นรถสปอร์ตหายลับไปในหมู่บ้าน ถึงได้หันหลังกลับเข้าบ้านไป

อิ่นสวินเห็นเส่าเฮ่าจากไปแล้ว เขาก็พูดว่าชายคนนี้มีรูปร่างเป็นมนุษย์แต่จิตใจกลับเป็นสัตว์ร้ายจริงๆ ถึงได้พูดจาว่าคนนั้นอร่อยหรือไม่อร่อยอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าต่อตาเขา…

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่ามันตลก แต่กลัวว่าอิ่นสวินจะโกรธจึงไม่หัวเราะออกมา เขาเอื้อมมือออกไปตบไหล่ลูกชายผู้โง่เขลาแทน

หลังจากกินอิ่ม ไป๋เยวี่ยหูก็กลับไปนอนในลานบ้าน ลู่ชิงจิ่วคิดอะไรบางอย่างออกจึงเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่ห้องแล้วเรียกอิ่นสวินมาในลานบ้าน

“ฉันตัดสินใจว่าจะให้เงินค่าขนมพวกนาย” ลู่ชิงจิ่วหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองออกมาจากเสื้อคลุม ในใจก็คิดว่าปีศาจจิ้งจอกและเทพภูเขาของเขาโตขนาดนี้แล้วควรมีเงินค่าขนมติดตัวไว้ มิฉะนั้นถ้าจู่ๆ มีแบบเส่าเฮ่าอีกสักคน จ่ายแค่ห้าร้อยหยวนก็สามารถหลอกล่อทั้งสองคนไปได้แล้วจะทำอย่างไร ปกติเขาเป็นคนดูแลการซื้อข้าวของเครื่องใช้ ไม่ได้สังเกตถึงจุดนี้เลย นับว่าเส่าเฮ่าเป็นคนเตือนลู่ชิงจิ่วในเรื่องนี้

“เงิน? ทำไมนายถึงจะให้เงินพวกเรา” อิ่นสวินมองลู่ชิงจิ่วงงๆ ชัดเจนว่าไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ลู่ชิงจิ่วถึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

ลู่ชิงจิ่วอธิบาย “ให้เงินไว้ซื้อขนมไง หรือของอย่างอื่นที่อยากซื้อ บ้านพวกเราตอนนี้มีสภาพการเงินดีมาก จะกินก็คงกินไม่หมด เพราะงั้นอยากซื้ออะไรก็ซื้อเถอะ แล้วก็ไม่ต้องเก็บไว้” ที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตแบบนี้ได้ต้องขอบคุณผีสาวในสวนหลังบ้านจริงๆ ผีสาวเป็นคนจ่ายให้กับครอบครัวนี้มากเกินไปแล้ว…

อิ่นสวินอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นท่าทีแน่วแน่ของลู่ชิงจิ่ว เขาก็ไม่ยึดติดกับความคิดของตัวเองอีกต่อไป

เดิมทีไป๋เยวี่ยหูเองก็ต้องการปฏิเสธ แต่สีหน้าเคร่งขรึมของลู่ชิงจิ่วทำให้เขาไม่พูดสิ่งที่อยู่ในปาก

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “เงินค่าขนมสองพันหยวนต่อเดือน ถ้าไม่พอก็มาขอกับฉันได้ ไม่อนุญาตให้ออกไปรับงาน…งานแบบเส่าเฮ่าต้องคุยกับฉันก่อนรับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง “อย่าถูกหลอกด้วยเงินห้าร้อยหยวน”

ไป๋เยวี่ยหูอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

ลู่ชิงจิ่วไม่สนใจเขา หยิบเงินปึกหนึ่งออกจากกระเป๋า นับจนครบสองพันหยวนแล้วให้กับมือทั้งสองคนคนละกอง

อิ่นสวินมองดูเงินหยวนสีแดงจำนวนมาก ฝ่ามือของเขาสั่นเล็กน้อยก่อนพูดว่า “นี่มันมากเกินไปแล้ว…” เขาไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน ปกติแล้วลู่ชิงจิ่วจะเป็นคนจ่ายเงิน ซื้อผักไม่เกินหนึ่งร้อยหยวน หากซื้อสินค้าขนาดใหญ่เพียงสแกนคิวอาร์โค้ดในโทรศัพท์มือถือก็เรียบร้อย

ไป๋เยวี่ยหูดูเคร่งขรึม “ใช่ มากเกินไป”

ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจ “รับไป!” เขาแค่ทนเห็นคนที่บ้านสองคนถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมไม่ได้ เส่าเฮ่าจ่ายแค่หนึ่งพันห้าร้อย ไป๋เยวี่ยหูต้องไปกินโคลนหนึ่งมื้อซึ่งเขารับไม่ได้เลยจริงๆ ปีศาจจิ้งจอกบ้านเขาทั้งน่ารักและขนฟูขนาดนี้จะปล่อยให้ไปทำเรื่องหยาบๆ แบบนั้นได้ยังไง!

แม้ว่าอิ่นสวินและไป๋เยวี่ยหูจะรู้สึกไม่สบายใจกับเงินจำนวนมหาศาลนี้ แต่ลู่ชิงจิ่วยืนกรานที่จะให้ ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับเงินนี้ไว้ อิ่นสวินพูดว่าตัวเขาต้องการฝากเงินในบัตรเอทีเอ็ม ส่วนไป๋เยวี่ยหูไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนถึงได้เอาขวดโหลเก่าๆ จากห้องเก็บของมาล้างให้สะอาด จากนั้นก็นับเงินอย่างจริงจังแล้วยัดลงในขวดด้วยความระมัดระวัง

ลู่ชิงจิ่วพูด “ใช่แล้ว เยวี่ยหู ถึงนายจะไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน แต่ก็น่าจะหาเงินในรูปแบบอื่นได้” ในความประทับใจของเขา มังกรเป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง ไหนเลยจะเหมือนไป๋เยวี่ยหูที่ยากจน กินไม่ได้กระทั่งเสี่ยวหลงเปา

ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “ฉันไม่สามารถหาเงินจากมนุษย์ได้โดยตรง”

ลู่ชิงจิ่ว “ทำไมล่ะ”

ไป๋เยวี่ยหู “ฉันจะหิว”

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ยิ่งหาเงินได้มากเท่าไรก็ยิ่งหิวมากขึ้นเท่านั้น” ไป๋เยวี่ยหูค่อยๆ อธิบาย “อย่าทำอะไรเลยดีกว่า” ก่อนที่ลู่ชิงจิ่วจะมาที่นี่ เกือบตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนเขาต้องอยู่ในสภาวะหิวโหย การปรุงอาหารของมนุษย์จะมีกลิ่นอายของเสน่ห์ปลายจวัก นับว่าเป็นสิ่งที่ตอบสนองความหิวได้ดี แต่เขาไม่มีเงินจึงไม่สามารถซื้อมันได้ ดังนั้นเขาจึงกินได้เฉพาะสิ่งมีชีวิตในตำนานเช่นปลาเหวินเหยาเพื่อบรรเทาความหิว

ลู่ชิงจิ่วตอบ “งั้นที่ฉันให้เงินนายนายไม่หิวใช่มั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูส่ายศีรษะ

ลู่ชิงจิ่วโล่งใจ ชายหนุ่มมองไป๋เยวี่ยหูด้วยความสงสาร ในใจคิดว่าถ้าไม่มีเขาอยู่ สองคนนี้จะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เขาต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี มอบความรักสุดอบอุ่นของพ่อให้กับพวกเขา…เฮ้ย มิตรภาพต่างหากล่ะ

  

 

* ปลาหมึก ในภาษาจีนอ่านว่าโหวยอวี๋ (鱿鱼) ซึ่งโหวยตัวนี้ออกเสียงเหมือนกับโหวย (游) ที่แปลว่าว่ายน้ำ

* วรรคหนึ่งของกลอนอวี๋เกอจือ (บทเพลงของชาวประมง) ซึ่งประพันธ์โดยจางจื้อเฮอ

* โยวเยี่ยน เป็นหนึ่งในสัตว์ในตำนานจีน มีลักษณะคล้ายลิง อาศัยอยู่บนภูเขา

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

  

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: