X
    Categories: everYFantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย?ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 91-92 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่าขยะแขยง และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 91 หิมะในเดือนหก

 

แต่ก่อนยังมีลู่ชิงจิ่วเป็นเพื่อน ทว่าตอนนี้จูเหมี่ยวเหมี่ยวคือมนุษย์เพียงคนเดียวในบ้าน ดังนั้นแล้วในสมรภูมิเมื่อครู่เธอจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบด้วยเหตุผลในตัวมันเอง จากสายตาที่ได้แต่เฝ้าจับจ้องทั้งสองคนที่ร่อนตะเกียบคีบเนื้อกันไปมา จูเหมี่ยวเหมี่ยวที่ในชามมีแต่ผักใบเขียวก็ทำใจไม่ได้จนต้องหลั่งน้ำตาออกมา

ลู่ชิงจิ่วลุกขึ้นยืนเมื่อกินเสร็จ เขาออกไปที่ลานบ้านเพื่อเติมน้ำตรงเล้าไก่และเปลี่ยนหญ้าให้กับพวกกระต่าย อากาศเริ่มร้อนแล้ว อาหารจำพวกเนื้อก็เน่าเสียง่ายกว่าปกติ อาหารไก่ถ้าจัดการไม่หมดก็ต้องรีบนำไปทิ้ง ไม่อย่างนั้นแล้วจะส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ไปทั่วทั้งบริเวณบ้าน

หลังจัดการธุระเหล่านี้เสร็จ ลู่ชิงจิ่วจึงปลีกตัวไปนอนกลางวัน เมื่อเขาตื่นขึ้นก็เตรียมไปทำของหวานที่จูเหมี่ยวเหมี่ยวชอบให้ตามที่ได้สัญญาไว้

ชีสที่เขาซื้อเตรียมมาไว้ก่อนหน้าคราวนี้คงได้หยิบมาใช้แล้ว ลู่ชิงจิ่วคิดว่าจะทำชีสทาร์ตและค่อยไปทอดอกไก่เพื่อทำเป็นสเต๊กไก่อบชีสให้จูเหมี่ยวเหมี่ยวกิน ทว่าวิธีการทำอาหารจำพวกนี้ค่อนข้างซับซ้อน ลู่ชิงจิ่วเองก็ยังไม่เคยทำมาก่อน จึงไม่แน่ใจว่าจะทำออกมาแล้วกินได้มั้ย

โชคยังดีที่ลู่ชิงจิ่วทำขนมหวานบ่อย เขาจึงเชี่ยวชาญการใช้ไฟและการทำไส้ขนมชนิดที่ว่าแม่นยำในสัดส่วนมาก ดังนั้นชีสทาร์ตที่ออกมาจากเตาจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นของนมอย่างเข้มข้น และเมื่อกัดเข้าไปคำหนึ่ง ชีสที่อมความร้อนอยู่ก็ไหลทะลักตามขอบที่กัดลงไป ขอบชีสทาร์ตกรอบนอกนุ่มใน ข้างในของมันอัดแน่นไปด้วยไส้ลาวาแบบเข้มข้น กลิ่นหอมของรสนมโดดเด่นเตะจมูก ทั้งยังมีเอกลักษณ์ของความหอมมันที่เฉพาะตัว เพื่อจะลดความเลี่ยนของขนม สเต๊กไก่จึงเลือกทำเป็นหมาล่าห้ารส โดยที่ด้านนอกห่อด้วยเกล็ดขนมปังบางๆ และนำลงไปทอดทั้งชิ้นใหญ่ๆ ด้วยไฟอ่อนๆ เมื่อทอดน้ำมันที่หนึ่งเสร็จไปแล้วจึงนำลงไปทอดอีกครั้งกับน้ำมันที่สอง แบบนี้จึงจะสามารถสะเด็ดน้ำมันที่ตัวไก่ออกไปและลดความเลี่ยนของอาหารได้ จากนั้นก็นำออกมาหั่นเป็นชิ้นยาวๆ ปลายมีดที่แหลมคมหั่นลงที่ตัวเกล็ดขนมปัง น้ำเน้นๆ ในตัวไก่ทะลักออกมาภายนอกและยังเห็นเนื้อไก่นุ่มๆ คลุกเคล้าไปด้วยควันร้อนๆ อีกด้วย

สายตาทั้งสามคู่เฝ้ารอด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า ไม่อาจทำใจให้ละสายตาไปจากห้องครัวได้เลย ลู่ชิงจิ่วให้พวกเขาทั้งสามคนไปรอที่ลานบ้าน จากนั้นก็ทำน้ำบ๊วยสดใส่น้ำแข็ง ซึ่งบ๊วยนี้เขาเริ่มหมักไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว รสชาติหวานอมเปรี้ยว เมื่อเติมน้ำแข็งแล้วก็ยิ่งเย็นชื่นใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาบ่ายที่ร้อนอบอ้าวแบบนี้ด้วยแล้ว มันคือของดับกระหายชั้นเลิศเลยทีเดียว ลู่ชิงจิ่วกะว่าปีนี้ลูกบ๊วยสุกเมื่อไหร่จะนำมาหมักเตรียมไว้เพื่อที่จะได้พอกินกันทั้งบ้าน

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถกินของเย็นได้ ดังนั้นจึงเตรียมนมอุ่นๆ ไว้ให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ตั้งแต่ที่จูเหมี่ยวเหมี่ยวมาที่นี่และรู้ว่าวัวสามารถให้นมได้หลากหลายรสสารพัดแบบ เธอจึงเริ่มให้อาหารแปลกๆ กับมัน อย่างเช่นนมที่ลู่ชิงจิ่วกำลังดื่มอยู่คือนมรสไข่ไก่ รสชาติถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งสามคนที่รออยู่ในลานบ้านเตรียมออกศึกแย่งชิงอาหาร แต่ตอนนี้ยังคงได้แต่อดทนด้วยฟางเส้นสุดท้าย ลู่ชิงจิ่วนั่งลงและเห็นสีหน้าของพวกเขาทั้งสามก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “เรียบร้อยแล้ว มากินได้แล้ว”

ทันทีที่พูดจบ เงาดำของทั้งสามคนก็กระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว อาหารหายไปถึงครึ่งหนึ่งในพริบตาเดียว จูเหมี่ยวเหมี่ยวมีประสบการณ์จากครั้งก่อน ครั้งนี้เธอจึงยื่นมือทั้งสองออกไปคว้า ไม่ยอมเสียเปรียบแบบก่อนหน้า

ลู่ชิงจิ่วนั่งดื่มนมเงียบๆ เฝ้ามองพวกเขาทั้งสามแย่งกันสวาปามอาหาร

ช่วงจิบชาในยามบ่ายคือช่วงเวลาอันแสนสบายใจ ทว่ากลับมาเจอสามคนนี้ที่เปิดสมรภูมิแย่งชิงอาหารกันอย่างดุเดือด ท้ายที่สุดแล้วผู้ชนะในศึกนี้ก็คือไป๋เยวี่ยหูผู้ซึ่งไม่กลัวทั้งอะไรลวกปากและกินได้แม้กระทั่งกระดูก ส่วนอิ่นสวินและจูเหมี่ยวเหมี่ยวยังคงได้แต่เก็บความชอกช้ำเอาไว้ตามเคย

วันหยุดพักผ่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสามวัน แม้ว่าจูเหมี่ยวเหมี่ยวจะยังอาลัยอาวรณ์แต่สุดท้ายเธอก็ต้องกลับเข้าเมืองไปทำงานต่อตามเคย แน่นอนว่าตอนกลับเธอไม่ลืมที่จะหิ้วน้ำผึ้งและน้ำยาปลูกผมที่เธอชอบติดมือไป รวมไปถึงผลไม้ที่ไป๋เยวี่ยหูปลูกเอาไว้ด้วย

“เดี๋ยวครั้งหน้าจะกลับมาหาใหม่นะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวกล่าวลาลู่ชิงจิ่วก่อนจะขึ้นรถไฟไป

“อื้ม ครั้งหน้ามาใหม่นะ” ลู่ชิงจิ่วโบกมือลาและเฝ้ามองจูเหมี่ยวเหมี่ยวจนสุดสายตา จากนั้นค่อยหันหลังกลับ

ลู่ชิงจิ่วขับรถกระบะคันเล็กของเขาเพื่อที่จะกลับหมู่บ้าน ระหว่างทางเห็นเงาของบุคคลหนึ่งซึ่งคุ้นตา ตอนแรกเขาคิดว่าอาจจะจำคนผิดไป จนกระทั่งคนคนนั้นเดินมาหยุดตรงหน้า เขาจึงมั่นใจได้ว่าจำคนไม่ผิดอย่างแน่นอน

“พระคุณเจ้า ท่านอยู่แถวนี้เหรอครับ” ลู่ชิงจิ่วลงจากรถมาทักทาย

ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งห่มจีวรพร้อมสวมหมวกฟาง ในมือถือไม้ตะพดอยู่นั้นเมื่อได้ยินเสียงของลู่ชิงจิ่วก็ค่อยๆ หันหน้ามาและแสดงการทักทาย แม้ว่าใบหน้าจะถูกปกปิดไว้ด้วยหมวกฟาง แต่ด้วยการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ ลู่ชิงจิ่วจึงจำได้ทันทีว่าภิกษุรูปนี้ต้องเป็นเสวียนอวี้ ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนบ้านของเขาในหน้าหนาวปีที่แล้วอย่างแน่นอน

เสวียนอวี้รู้จักกับคุณยายของลู่ชิงจิ่วมาก่อน อีกทั้งเขายังเป็นผู้ที่บอกลู่ชิงจิ่วเป็นนัยๆ ถึงวิธีการใช้กล่องไม้สีดำใบนั้นอีก

“ไม่เจอกันนานเลยนะโยม” เสวียนอวี้เอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าของเขาถือว่าค่อนข้างหล่อเหลาทีเดียว ไม่ต่างกับใบหน้าของไป๋เยวี่ยหูที่มีออร่าของความหล่อแบบจู่โจม ตัวของเสวียนอวี้ราวกับหยกชนิดหนึ่งซึ่งมีเสน่ห์ของทั้งความอ่อนโยนและจิตใจที่กว้างขวาง โดยรวมแล้วนิสัยใจคอคล้ายคลึงกับลู่ชิงจิ่วอยู่มาก

“ไม่เจอกันนาน พระคุณเจ้ามาทำอะไรที่นี่เหรอครับ” ลู่ชิงจิ่วถาม

“อาตมาแค่จะมาเตือนโยมหน่อยว่าช่วงหลายวันต่อจากนี้อย่าออกนอกบ้านโดยเด็ดขาดนะ” เสวียนอวี้ตอบ

“ห้ามออกนอกบ้าน?” ลู่ชิงจิ่วพูด

เสวียนอวี้ “หมู่บ้านสุ่ยฝู่ใกล้จะมีหิมะตก”

“หิมะตก? ตอนนี้เพิ่งจะเดือนหก จะมีหิมะตกได้อย่างไรครับ” ลู่ชิงจิ่วสงสัย

เสวียนอวี้ไม่พูดอะไร เพียงแต่ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยเมตตาคู่นั้นเพ่งมองไปยังลู่ชิงจิ่ว เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ถูกเพ่งมองจนทะลุเข้ามาถึงวิญญาณของตนเอง

ลู่ชิงจิ่ว “พระคุณเจ้ามีเรื่องอะไรจะเตือนหรือเปล่าครับ”

“โยมเคยไปที่ศาลเจ้าของเทพภูเขาแล้วหรือยัง” เสวียนอวี้ถาม

“เคยไปมาแล้วครับ” ลู่ชิงจิ่วตอบ

“แล้วได้พบเห็นอะไรบ้างมั้ย” เสวียนอวี้ถามต่อ

“พบเห็นอะไรงั้นหรือครับ หรือว่าท่านจะหมายถึงป้ายวิญญาณของคุณแม่ผม”

“ดูเหมือนว่าโยมจะเข้าใจเรื่องราวแล้วสินะ” ภิกษุเสวียนอวี้กล่าว

“ก็คิดว่าน่าจะพอรู้มาบ้างครับ” ลู่ชิงจิ่วพยักหน้าตอบ

ทว่าคำพูดของเสวียนอวี้กลับทำให้ลู่ชิงจิ่วนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ครั้งหนึ่งในตอนที่เสวียนอวี้ทำให้อิ่นสวินกลายเป็นหุ่นไล่กา ถ้าไม่ใช่ว่าไป๋เยวี่ยหูรีบกลับมาช่วยล่ะก็ เกรงว่าข้าวของทั้งหลายที่ศาลสะกดไว้คงได้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอีกแน่ เสวียนอวี้ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ศาลนั่น หากเป็นเช่นนั้นทำไมเขาถึงต้องทำให้อิ่นสวินเป็นหุ่นไล่กาด้วยล่ะ หรือว่าที่เขาทำเพราะมีเจตนาอย่างอื่น

ยังไม่ทันที่ลู่ชิงจิ่วจะคิดออก เสวียนอวี้ก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง สายตาที่เปี่ยมด้วยความเมตตามองดูที่ตัวของเขาอย่างเสียดายบางอย่างในโชคชะตา

“แล้วทำไมโยมไม่เดินทางออกจากหมู่บ้านไปเล่า” ภิกษุเสวียนอวี้เอ่ยถาม

“ทำไมต้องออกจากที่นั่นด้วยครับ” ลู่ชิงจิ่วทำหน้าสงสัย

“แม่ของโยมเสียชีวิตเพราะเรื่องที่หมู่บ้าน ส่วนคุณยายก็ต้องถูกกักอยู่ที่นั่นชั่วชีวิต ตอนนี้โยมยังมีโอกาสที่จะออกจากหมู่บ้านนั้น ทำไมถึงยังลังเลอยู่” เสวียนอวี้ตอบ

“ลังเลงั้นหรือครับ ผมไม่ได้ลังเลเลย ผมไม่คิดที่จะออกมาจากหมู่บ้านนั้นแน่ๆ” ลู่ชิงจิ่วยิ้มพร้อมตอบอย่างไม่ลังเลใจ

เสวียนอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับยิ้มไม่ออก นัยน์ตาสีดำเหมือนหยกคู่นั้นจดจ้องที่ลู่ชิงจิ่วอย่างไม่คลาดสายตา ปกติแล้วนัยน์ตาของคนทั่วไปจะมีลายเส้นประสาทอยู่ข้างใน แต่สำหรับภิกษุรูปนี้ นัยน์ตาเขาราวกับทะเลสาบสีดำที่ดิ่งลึก

“ทำไมถึงไม่ออกไปล่ะโยม” เสวียนอวี้ถาม

“นั่นเป็นเพราะผมชอบหมู่บ้านแห่งนี้” ลู่ชิงจิ่วตอบ

“เพราะโยมชอบหมู่บ้านนี้หรือชอบคนที่หมู่บ้านมากกว่าล่ะ?” เสวียนอวี้ถาม

“ไม่ทราบว่าท่านหมายความว่าอะไรหรือครับ ท่านมีอะไรจะเตือนหรือเปล่า” ลู่ชิงจิ่วเริ่มขมวดคิ้วทำหน้าตึงเครียด

เสวียนอวี้ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ส่ายหน้าไปมาแล้วถอนหายใจทีหนึ่ง

“ช่างมันเถิดๆ” เสวียนอวี้กล่าว

ลู่ชิงจิ่วสัมผัสได้ว่าเสวียนอวี้ยังมีอะไรอยากจะบอกกับเขาอีก แต่ไม่เป็นไปตามคาด อีกฝ่ายหยิบหมวกฟางใบนั้นขึ้นมาสวมใหม่ ก่อนกลับหลังหันแล้วค่อยๆ เดินออกไปทางภูเขา เสียงที่แผ่วเบาเสมือนกับไอหมอกในหุบเขาบอกเตือนลู่ชิงจิ่วอีกครั้งว่า “เดือนหกนี้จะมีหิมะตก โยมระวังตัวไว้หน่อยนะ”

ลู่ชิงจิ่วตั้งใจที่จะเรียกเสวียนอวี้ให้หยุดรอชั่วครู่ ทว่าแค่ชั่วพริบตาเดียว ภิกษุรูปนั้นก็เลือนหายไปแล้ว

ที่นี่มีเพียงถนนเส้นเดียวที่ใช้สัญจรได้ ลู่ชิงจิ่วขับรถตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวจนถึงบ้านของตัวเอง ตลอดทางไม่เห็นแม้แต่เงาของเสวียนอวี้อีกเลย

 

เมื่อกลับถึงบ้าน ลู่ชิงจิ่วรีบเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ไป๋เยวี่ยหูฟังทันที

ใครจะไปคาดคิดว่าไป๋เยวี่ยหูที่ได้ฟังเรื่องราวจะถึงกับหน้าเปลี่ยนสีในทันใด และกำชับกับลู่ชิงจิ่วว่าพรุ่งนี้ให้รีบเข้าเมืองไปซื้อฟืนมาเก็บไว้ และภายในเจ็ดวันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามออกจากบริเวณบ้านเป็นอันขาด ส่วนอิ่นสวินก็ให้เขาอยู่ในบ้านตัวเองคอยเฝ้าพวกป้ายวิญญาณที่ถูกสะกดเอาไว้

ลู่ชิงจิ่วถามอย่างลนลานว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ไป๋เยวี่ยหูส่ายหน้าบอกให้รอเรื่องจบก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด เมื่อพูดจบเขาก็กลายร่างเป็นกลุ่มหมอกสีดำหายวับไปต่อหน้าต่อตาลู่ชิงจิ่ว ลางสังหรณ์ของลู่ชิงจิ่วบอกว่าเหตุการณ์นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เขาจึงรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกกับอิ่นสวิน และหลังจากนั้นก็รีบพาอิ่นสวินเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อฟืนตามที่ไป๋เยวี่ยหูสั่ง รวมถึงของใช้จำเป็นในฤดูหนาวด้วย

เจ้าของร้านฟืนเห็นลู่ชิงจิ่วซื้อของพวกนี้ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ถึงกับต้องเอ่ยถามว่าจะเข้าฤดูหนาวเร็วๆ นี้แล้วเหรอ

ลู่ชิงจิ่วยิ้มรับและตอบไปแบบส่งๆ

เมื่อซื้อเสื้อ ฟืน และอาหารเรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านลู่ชิงจิ่วเห็นท้องฟ้ายังสดใสและยังมีก้อนเมฆลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ทั้งยังได้ยินเสียงอื้ออึงของเหล่าแมลง วันนี้มันช่างต่างกับคืนวันก่อนๆ

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย” อิ่นสวินทำหน้างง

ลู่ชิงจิ่วเก็บข้าวของต่างๆ พร้อมเล่าเรื่องเมื่อตอนบ่ายให้อิ่นสวินฟังไปด้วย เล่าจนถึงตอนที่ไป๋เยวี่ยหูรีบลนลานหายตัวออกไป อิ่นสวินก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง จนเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เสวียนอวี้คือคนที่ทำให้ฉันเป็นหุ่นไล่กาน่ะเหรอ แล้วทำไมถึงมาบอกว่าจะมีหิมะตกนะ นี่มันเพิ่งจะเดือนหกเองนี่ จะมีหิมะได้ยังไง”

ลู่ชิงจิ่วได้แต่ส่ายหน้าเพื่อที่จะบอกว่าตัวเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ว่าท่าทางของไป๋เยวี่ยหูที่ดูลนลานขนาดนั้นคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน ลู่ชิงจิ่วเอาของที่ซื้อมาบางส่วนส่งให้อิ่นสวินเอากลับบ้านไป เผื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยก็ยังมีอะไรให้กิน

อิ่นสวินไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าก็ยอมเชื่อฟังลู่ชิงจิ่วแต่โดยดี

ค่ำคืนนี้ลู่ชิงจิ่วมีเรื่องไม่สบายใจ เขานอนพลิกตัวไปมาก็ยังไม่หลับ ในหัวของเขาคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา จวบจนใกล้เวลาที่ฟ้าจะสว่างถึงได้หลับลงครู่หนึ่ง แต่หลับไปได้ไม่นานเขาก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงแปลกๆ จากนอกหน้าต่าง

ซ่าๆๆ…ซ่าๆๆ เสียงแบบนี้จริงอยู่ที่ไม่ได้แปลกอะไร แต่มันไม่ควรจะมาเกิดขึ้นเวลานี้ ลู่ชิงจิ่วค่อยๆ ตื่นขึ้นจากความฝัน เขาลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดหน้าต่าง แล้วภาพที่ได้เห็นก็ทำให้ตกใจอย่างน่าเหลือเชื่อ

ยังไม่ทันข้ามไปอีกคืน ลานบ้านที่อุดมไปด้วยพืชพันธุ์เขียวขจีตอนนี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ โลกทั้งใบขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาจนสะท้อนกับแสงอาทิตย์และทำให้เจ็บตา

ลู่ชิงจิ่วอึ้งอยู่พักหนึ่งจึงค่อยได้สติว่านี่มันไม่ใช่ความฝัน คำเตือนของเสวียนอวี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ หิมะจะตกในเดือนหก ตอนนี้ฤดูหนาวได้มาถึงแล้ว

ลู่ชิงจิ่วรีบดูที่มือถือของตัวเองและก็เป็นไปตามคาดที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เขาพ่นไอเย็นออกมา ก่อนจะรีบไปสวมเสื้อผ้าหนาๆ จากนั้นก็เตรียมก่อฟืนและอุ้มหมูทั้งสองตัวพร้อมจิ้งจอกตัวน้อยที่กำลังหนาวสั่นจากความหนาวเย็นเข้ามาในห้องรับแขก ส่วนเขาก็เข้าไปหลบหนาวในห้องนอน

ที่บริเวณลานบ้านยังมีพวกกระต่ายและไก่อีกจำนวนหนึ่งที่กำลังหนาวไม่แพ้กัน ลู่ชิงจิ่วทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้พวกมันแข็งตาย เขาจึงใช้ห้องเก็บของในบ้าน ก่อฟืนขึ้นมาแล้วต้อนพวกมันเข้าไปหลบข้างใน จากนั้นก็ปิดหน้าต่างและปูพรมหนาๆ แม้ลู่ชิงจิ่วจะไม่รู้ว่าวิธีนี้จะช่วยให้พวกมันอุ่นขึ้นมั้ยก็ตาม

เพียงแค่ชั่วข้ามคืนจากอากาศที่อยู่ราวๆ สามสิบองศากลับดิ่งลงไปถึงขั้นติดลบ ตามหลักการแล้วพวกพืชพันธุ์ทั้งหลายจะต้องเฉาตายกันหมด ทว่าที่น่าแปลกคือผักในลานบ้านของเขานั้นยังมีสภาพสมบูรณ์ปกติ แค่เพียงโดนหิมะปกคลุมเอาไว้ นอกนั้นก็ไม่มีร่องรอยเหี่ยวเฉาใดๆ เกิดขึ้นเลย

ลู่ชิงจิ่วซุกตัวเองในผ้าห่ม เขาขดตัวเป็นก้อนกลมๆ คล้ายลูกบอล และเดินหนาวสั่นไปที่หลุมก่อไฟ จากนั้นจึงจุดไฟขึ้นที่นั่นอีกจุด แล้วค่อยๆ กินหมั่นโถวปิ้งเป็นอาหารเช้าของวันนี้

“หนาวจริงๆ ทำไมอยู่ดีๆ หิมะถึงตกได้นะ” จมูกของลู่ชิงจิ่วโดนความหนาวจนแดงก่ำ เขาโอบกอดเจ้าหมูตัวหนึ่งโดยไม่ยอมปล่อยมือ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนฤดูหนาวอิ่นสวินถึงชอบกอดเจ้าเสี่ยวฮวานัก ที่แท้มันก็ช่วยให้อุ่นมือได้ดีเลยทีเดียว เพราะว่าอุณหภูมิของลูกหมูปกติแล้วจะสูงกว่าคนทั่วไป อีกทั้งผิวหนังของมันยังทั้งนุ่มและลื่นในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเวลากอดจึงรู้สึกสบายตัว

เสี่ยวฮวาส่งเสียงร้องและตะกายขึ้นไปที่หน้าอกของลู่ชิงจิ่วเพื่อกินหมั่นโถวปิ้งนั่น

“นายมาที่โลกมนุษย์นี่นานหรือยังนะ” ลู่ชิงจิ่วถาม

“ฉันเพิ่งมาก็โดนนายจับมาเลย” เสี่ยวฮวา

“หืม? จับเหรอ” ลู่ชิงจิ่ว

“ก็คือซื้อมานั่นแหละ” เสี่ยวฮวาหันไปมองน้องสาวที่กำลังก้นโด่งพร้อมส่งเสียงฮึมฮัม “อ้อ ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะ พวกมังกรแข็งแรงอยู่แล้ว ไป๋เยวี่ยหูไม่เป็นไรหรอก”

ลู่ชิงจิ่วมองไปที่ฝ้าเพดานแล้วพูดว่า “งั้นเดี๋ยวรอให้หิมะหยุดตกก่อนนะ ฉันจะไปทำความสะอาดเพดานหน่อย” เลอะดำจนมองไม่เห็นปูนขาวเลย

หิมะที่ด้านนอกตกหนักมากจนได้ยินเสียงของมันที่ตกกระทบลงบนพื้น ความหนาของหิมะในตอนเช้ายังสูงแค่ประมาณถึงส้นเท้า แต่เพียงช่วงเวลาของครึ่งเช้าผ่านไป หิมะกลับทับถมกันจนหนาถึงต้นขา และที่สำคัญยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกในเร็วๆ นี้ ท้องฟ้าที่ดำมืดสนิทมองไม่เห็นแม้แต่แสงไฟดวงเล็กๆ สภาพราวกับว่าฟ้าจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น

ถ้าหิมะยังคงตกไม่หยุดแบบนี้ หลังคาบ้านคงจะต้องรับแรงแบกไม่น้อยเลยทีเดียว บ้านที่หลังคาทำจากไม้เก่าๆ แบบนี้ กับหิมะที่อยู่ดีๆ ก็ตกลงมาแบบไม่หยุดไม่หย่อนมีความเป็นไปได้ว่าจะแบกรับไม่ไหวและถล่มลงมาในที่สุด ลู่ชิงจิ่วที่ได้ยินเสียงไม้เสียดสีกันขึ้นมาเป็นระลอกๆ รู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย

ลู่ชิงจิ่วคิดว่าถ้าหิมะยังตกมาไม่หยุดแบบนี้แล้วล่ะก็ เขาจะหาบันไดปีนขึ้นไปบนหลังคาและกวาดหิมะลงมา ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยไว้ต้องถล่มแน่ๆ เวลานี้ลู่ชิงจิ่วมีเรื่องกังวลใจอยู่ไม่น้อย ไม่เพียงแค่เรื่องของไป๋เยวี่ยหู แต่ไหนจะเรื่องของอิ่นสวินอีก นับว่ายังดีที่เมื่อคืนให้เสื้อผ้า ฟืน และอาหารกับอิ่นสวินไปเยอะพอควร

ตามที่ไป๋เยวี่ยหูกำชับเอาไว้ ลู่ชิงจิ่วต้องอยู่แต่ในบ้าน ซุกตัวเองอยู่ข้างเตาไฟอุ่นๆ โดยที่ภายนอกบ้านของเขายังมีหิมะตกลงมาไม่หยุด ทำให้โลกทั้งใบเหลือแต่สีขาวโพลน ซึ่งไม่ว่าใครเห็นก็ล้วนแต่ต้องเกิดอารมณ์หดหู่ใจ

ราวๆ หกโมงเย็น ท้องฟ้าดำมืดสนิท ลู่ชิงจิ่วใช้เตาถ่านตุ๋นน้ำแกงไก่ครึ่งหม้อ เขายกซดดื่มไปได้ครึ่งถ้วยก็แบ่งเนื้อให้กับเหล่าสัตว์ตัวน้อยในบ้านทั้งสาม หลังจากที่ดื่มแกงเสร็จจึงค่อยรู้สึกอุ่นขึ้นมาหน่อย เขาไปก่อไฟเพิ่ม แง้มหน้าต่างออกเล็กน้อย และซุกตัวเองเข้าไปในรังผ้าห่มนุ่มๆ

“ไป๋เยวี่ยหูจะเป็นยังไงบ้างนะ จะหนาวมั้ย แล้วได้กินอะไรบ้างหรือยัง ถ้าเกิดว่าระหว่างทางไปเจอพวกปีศาจขึ้นมาจะได้รับบาดเจ็บมั้ยนะ” ไออุ่นค่อยๆ ดึงสติของลู่ชิงจิ่วไป แล้วเขาก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด

 

วันที่สองหิมะก็ยังคงตกไม่หยุด และดูท่าแล้วคงจะตกตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา

ลู่ชิงจิ่วเดินไปผลักประตูเพื่อจะออกมาจากตัวบ้าน แล้วเขาก็พบว่าหิมะตอนนี้หนาถึงหน้าแข้งของเขาแล้ว และนั่นทำให้การเปิดประตูกลายเป็นเรื่องยากมากในเวลานี้

เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกขังอยู่ในบ้าน ลู่ชิงจิ่วจึงได้นำไม้กวาดมาปัดหิมะที่ขวางหน้าประตูออก ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้หิมะกองไปถึงตอนบ่ายคงแย่แน่ๆ

แม้ว่าการที่เขาทำเช่นนี้จะค่อนข้างอันตราย แต่ลู่ชิงจิ่วก็ยังดันทุรังไปเอาบันไดแล้วค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหลังคาเพื่อที่จะปัดหิมะลงมา

ในขณะที่เขากำลังเก็บกวาดหลังคาอยู่ ลู่ชิงจิ่วสังเกตเห็นปรากฏการณ์บางอย่างบนท้องฟ้าที่ทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดี กลุ่มเมฆหนาซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนเป็นลายทาง ในลายทางของเมฆที่เรียงซ้อนกันมีแสงเล็ดลอดออกมาจากรอยรั่ว ราวกับว่าท้องฟ้าแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ ภาพที่เห็นทำให้ลู่ชิงจิ่วนึกถึงเหตุการณ์ในความฝันนั้นที่มีผีเสื้อน้ำแข็งและเงาคนปริศนายืนอยู่ท่ามกลางฝูงผีเสื้อ

ลู่ชิงจิ่วเงยหน้ามองอยู่นานจนกระทั่งหิมะค่อยๆ ทับถมที่ไหล่ของเขาเป็นชั้นๆ แต่โชคยังดีที่รอยรั่วบนก้อนเมฆนั้นไม่ได้ขยายช่องโหว่ให้กว้างขึ้น ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอกและก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดหลังคาต่อไป

หลังจากที่เก็บกวาดเสร็จ ลู่ชิงจิ่วรู้สึกหนาวจนทนไม่ไหวจึงรีบปรี่เข้าไปหลบในบ้าน และนำน้ำขิงอุ่นๆ ที่เตรียมไว้ก่อนหน้ามาซดดื่ม ความร้อนของน้ำขิงไหลลงสู่ร่างกายของเขา ผ่านทางเดินอาหารทำให้กระเพาะที่โดนความเย็นอุ่นขึ้นมา อุณหภูมิความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเหมือนได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

“ข้างนอกมันหนาวมากจริงๆ” ลู่ชิงจิ่วนวดที่บริเวณจมูกและพูดอยู่คนเดียว

“ใช่น่ะสิ เมื่อไหร่หิมะจะหยุดนะ” เสี่ยวฮวาพูดแทรกขึ้นหลังจากที่ถูกลู่ชิงจิ่วอุ้มมากอดเพื่อเพิ่มความอุ่นให้กับมือของตัวเอง

“ดูท่าแล้วน่าจะอีกหลายวันเลยนะ” ลู่ชิงจิ่วตอบ

ถ้าตามที่เสวียนอวี้ได้กล่าวไว้ หิมะน่าจะตกยาวไปเจ็ดถึงแปดวัน ฤดูหนาวนี่มันช่างทรมานเสียจริง โดยเฉพาะเวลาที่ไป๋เยวี่ยหูไม่อยู่เป็นเพื่อนด้วย

ลู่ชิงจิ่วจามออกมาทีหนึ่ง

“นายไม่เป็นไรใช่มั้ย” เสี่ยวฮวาถาม

“ไม่เป็นไรๆ สงสัยเป็นเพราะออกไปข้างนอกมาเมื่อกี้” ลู่ชิงจิ่วถูมือตัวเองจนพอรู้สึกว่าอุ่นขึ้นมาแล้ว จึงค่อยคิดจะไปเทเหล้าออกมาดื่มเพื่อไล่ความหนาวในตัว

“งั้นนายก็ต้องระวังตัวหน่อยนะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดขึ้นมา” เสี่ยวฮวาพูดไปพร้อมกับเอาจมูกนิ่มๆ ของตัวเองซบที่ตัวของลู่ชิงจิ่ว

ลู่ชิงจิ่วเห็นอย่างนั้นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ทั้งเสี่ยวฮวาและซูซีอยู่ที่นี่มานานแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงชอบเลียนแบบพฤติกรรมกันเอง เสี่ยวฮวาก็คือลูกหมูตัวหนึ่ง มันเลียนแบบพฤติกรรมการซบหน้าของจิ้งจอกมา ส่วนซูซีก็เลียนแบบการขุดดินจากเสี่ยวฮวา ซึ่งก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว

ลู่ชิงจิ่วลูบๆ หัวของเสี่ยวฮวา จากนั้นจึงเข้าไปหยิบเหล้าขาวที่ห้องเก็บของออกมา โชคไม่ดีที่เหล้าขาวดันเย็นจนเป็นน้ำแข็งไปแล้ว แต่ก็ยังมีส่วนที่โชคดีอยู่ตรงที่ขวดเหล้าไม่ได้เย็นเกินไปจนแตกออกมา ไม่อย่างนั้นแล้วคงจะดื่มไม่ได้อย่างแน่นอน ลู่ชิงจิ่วนำเหล้าขาวมาต้มให้อุ่น จากนั้นจึงกระดกลงไปหลายแก้ว ใบหน้าของเขาแดงขึ้น ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก

เมื่อวานที่หิมะตกทำให้ไฟฟ้าในบ้านดับลง ลู่ชิงจิ่วกลัวว่ามือถือตัวเองจะแบตฯ หมด เขาจึงรีบเปลี่ยนไปใช้โหมดประหยัดพลังงานและไม่กล้าหยิบมาเล่นเกมอีกเลย การอยู่บ้านคนเดียวทำให้เขารู้สึกเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ ดังนั้นจึงเข้าไปที่ห้องนอนตัวเองแล้วหยิบหนังสือออกมาสักเล่ม เขาจุดเทียนขึ้นแล้วค่อยๆ อ่านไปอย่างช้าๆ

ภายใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ไอเย็นที่พ่นออกมาพร้อมกับกลิ่นเหล้าหอมๆ ทำให้ลู่ชิงจิ่วรู้สึกอุ่นตัวขึ้นมา และในภาวะที่ตัวเขากำลังจะหลับใหล ก็รู้สึกเหมือนกับว่าไป๋เยวี่ยหูเดินมาอยู่ข้างตัว แล้วก้มตัวลงจูบที่หน้าผากเบาๆ

“ไป๋เยวี่ยหู…” ลู่ชิงจิ่วละเมอเรียกชื่อของไป๋เยวี่ยหู เขายื่นมือออกมาต้องการจะคว้าตัวคนที่อยู่ข้างๆ แต่กลับถูกความหนาวเล่นงานจนต้องรีบหุบมือกลับเข้าไปทันที ที่จริงแล้วข้างกายของลู่ชิงจิ่วไม่มีใครอยู่เลย และที่สำคัญไป๋เยวี่ยหูก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย

ลู่ชิงจิ่วตื่นขึ้นมาและมองไปที่นาฬิกาก่อนเห็นว่าเพิ่งจะบ่ายสองโมง เวลาที่ไม่รู้จะทำอะไรแต่ละนาทีมันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเบื่อและจำใจ เขาอยากจะนอนต่ออีกสักพักแต่ก็หลับไม่ลง สุดท้ายจึงลุกขึ้นจากเตียงมาอ่านหนังสือต่อและถือโอกาสศึกษาเมนูอาหารใหม่ๆ ไปในตัว

รอจนถึงเวลาที่หิมะหยุดตก ลู่ชิงจิ่วคิดว่าจะไปทำอาหารที่ก่อนหน้าคิดว่ายุ่งยากและเสียเวลาเพื่อเฉลิมฉลองกับทุกคน

เพราะช่วงนี้หิมะตกหนักไปหน่อย ทำให้การแบ่งเส้นระหว่างกลางวันกับกลางคืนค่อนข้างจะไม่ชัดเจนเหมือนตอนปกติ ถ้าหากไม่มีเวลาบอกบนมือถือแล้วล่ะก็ เขาเองก็คงแยกเวลาไม่ออกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนกันแน่

หกโมงกว่าแล้วถึงเวลาของอาหารเย็น ลู่ชิงจิ่วคิดว่าการทำอาหารไม่ควรทำแบบสุกเอาเผากิน อีกทั้งยังไงก็ไม่มีวิธีฆ่าเวลาอย่างอื่น และหากจะให้เอาแต่กินอะไรไปเรื่อยๆ ชีวิตก็ดูจะไม่มีสาระเกินไปหน่อย ท่อน้ำในบ้านตอนนี้ถูกแช่แข็งไปแล้ว ลู่ชิงจิ่วจึงต้องจำใจหิ้วถังไปตักหิมะกลับมา จากนั้นก็นำมากรองให้สะอาดอยู่หลายรอบ ต้มให้ร้อนและใช้ไปทั้งสภาพอย่างนั้น

เขาหยิบแป้งและเนื้อหมูที่แช่เย็นเอาไว้ออกมาเพื่อทำเป็นแป้งสอดไส้ จากนั้นจึงวางปิ้งไว้บนเตา กลิ่นอายของอาหารคละคลุ้งไปทั่วทั้งบ้าน สัตว์ตัวน้อยทั้งสามตัวนั่งรออยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟังคำสั่ง แม้ว่าสายตาจะทอดมองไปยังแป้งสอดไส้เรียบร้อยแล้ว

ลู่ชิงจิ่วกลับแป้งมาอีกด้านแล้วโรยด้วยงาขาวที่ด้านบนก่อนปิ้งด้วยไฟอีกสักพัก ไส้ขนมค่อยๆ ส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่วทั้งห้อง

“มาเร็ว เอาไปคนละหนึ่งชิ้นนะ ถ้าไม่พอค่อยทำให้ใหม่” ลู่ชิงจิ่วพูด

เหล่าสัตว์ตัวน้อยทยอยกันมารับขนมแล้วนั่งกินเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ลู่ชิงจิ่วก็กินด้วยเช่นกัน เขารู้สึกถึงน้ำซอสอุ่นๆ จากเนื้อด้านในที่สัมผัสปลายลิ้นและไหลไปทั่วทั้งปาก แป้งด้านนอกกรุบกรอบ ส่วนเนื้อสัมผัสของไส้ด้านในนั้นอ่อนนุ่มละมุนลิ้น แม้จะไม่ได้ใส่ต้นหอมสดๆ ลงไป แต่ความหอมจากงาที่โรยก็ช่วยชูรสได้ไม่น้อยหน้ากันเลย ลู่ชิงจิ่วเพลิดเพลินกับอาหารที่กิน เขากินเข้าไปทีเดียวถึงสามชิ้นด้วยกันจนถึงกับเรอออกมาเลยทีเดียว เมื่อกินเสร็จแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็ไปที่เตาถ่านอีกครั้งแล้วโยนพวกมันเทศลงไปเผาต่อ

“เมื่อไหร่หิมะจะหยุดตกสักทีนะ” คำถามที่ไม่รู้ว่าถามมาแล้วกี่ครั้งถูกถามขึ้นอีก ลู่ชิงจิ่วก้มหน้าลงพร้อมกับลูบหัวของเสี่ยวเฮย

“อีกไม่นานหรอก ใจเย็นๆ นะ”

“ใช่แล้ว ใจเย็นๆ อย่ารีบ” เสี่ยวฮวาปลอบน้องสาวของตัวเอง

“แต่ฉันกลัวนี่นา เอ๊ะ รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรกำลังจะเข้ามานะ” เสี่ยวเฮยพูดเบาๆ

“นี่คงจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวของพวกสัตว์สินะ” ลู่ชิงจิ่วเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปที่นอกหน้าต่าง เห็นหิมะที่ยังคงตกไม่หยุดราวกับว่ามันจะไม่มีทางหยุดอีกต่อไป

บทที่ 92 ฤดูหนาวที่มาถึง

 

พอตกกลางคืนโลกทั้งใบก็พลันเข้าสู่ความดำมืดสนิท เปลวไฟที่พวยพุ่งอย่างโดดเดี่ยวในบ้านส่ายไปมาราวกับว่าในอีกไม่ช้ามันจะมอดลง ด้วยอากาศที่ยังคงหนาวอย่างต่อเนื่อง ลู่ชิงจิ่วได้แต่ซุกตัวเองอยู่ในผ้าห่ม หูเขายังคงได้ยินเสียงหิมะที่ตกกระทบพื้นดังซาๆ อย่างไม่หยุดหย่อน

ลู่ชิงจิ่วนอนกลางวันไปเยอะ ตอนนี้เลยยังคงรู้สึกตื่นตัวอยู่ไม่น้อย เขานั่งอยู่บนคั่งอุ่นๆ ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง อาศัยแสงสลัวในการอ่านตัวอักษรบนหน้าหนังสือ

ตอนนี้เสี่ยวฮวาและเสี่ยวเฮยหลับไปแล้ว ทั้งสองต่างพากันส่งเสียงหายใจออกมาเป็นระยะๆ อย่างน้อยก็ทำให้บรรยากาศในบ้านดูแล้วสบายใจขึ้นมาหน่อย

ลู่ชิงจิ่วเห็นว่าเวลาใกล้จะห้าทุ่มแล้ว สายตาเริ่มรู้สึกอ่อนล้า แม้ว่าจะยังไม่อยากนอนสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ต้องวางหนังสือลงและเตรียมตัวเข้านอน เขาเดินไปดับเทียนและหมุนตัวมาที่เตียง จากนั้นก็ไปปิดหน้าต่างให้ช่องว่างเล็กลงเพื่อที่เขาจะได้นอนสบายขึ้น ทว่าใครจะรู้ว่าการที่ลู่ชิงจิ่วมาปิดหน้าต่างและได้เห็นสภาพข้างนอกนั้นจะทำให้เขาถึงกับตกตะลึง บนท้องฟ้านอกบ้านปรากฏลายเส้นที่ปริออกคล้ายกับลำแสงอะไรสักอย่าง เมื่อเทียบกับที่เห็นตอนกลางวันแล้ว รอยปริในเวลากลางคืนทำให้เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจจนยากที่จะละสายตาได้ ที่รอยปริแตกตรงท้องฟ้ามีไอหมอกทะลักออกมาจากตรงกลาง มันลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณโดยรอบ แต่สิ่งที่ทำให้ลู่ชิงจิ่วตื่นตะลึงเป็นที่สุดคือตรงจุดรอยรั่วเหล่านั้นกลับปล่อยลำแสงออกมา ซึ่งลำแสงนั้นส่องไปยังกลางป่าเขาที่อยู่ไม่ไกล ทำให้ผืนป่าสว่างจ้าราวกับเป็นช่วงกลางวัน

บนทางที่เดินไปยังป่าเขา มีกลุ่มคนท่าทางเฉยเมยเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ จากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ไปยังลำแสงนั่น แต่เพราะว่าอยู่ห่างกันเกินไปทำให้ลู่ชิงจิ่วเห็นแต่ละคนไม่ชัด แต่ดูจากการแต่งตัวแล้วเป็นไปได้มากว่าคนพวกนี้ก็คือชาวบ้านในหมู่บ้านสุ่ยฝู่นั่นเอง

ลู่ชิงจิ่วมองดูคนเหล่านั้นที่ค่อยๆ เดินออกจากหมู่บ้านมุ่งหน้าไปยังลำแสง พวกเขาเหมือนกับเหล่าแมลงที่กระโจนเข้ากองไฟ แม้ว่าจะมีเสียงคำรามของพายุหิมะแต่นั่นก็ไม่สามารถขัดขวางการเดินทางของพวกเขาได้ แต่ละก้าวที่เดินไปค่อยๆ พาตัวของพวกเขาออกจากบริเวณบ้าน

“พวกเขาออกมากันได้ยังไงเนี่ย” เสียงของเสี่ยวฮวาที่ตกตะลึงแทรกมาจากทางด้านหลัง

ลู่ชิงจิ่วหันหลังกลับ เขาไม่รู้ว่าเสี่ยวฮวาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกฝ่ายยืนอยู่ที่ข้างเตียง มองสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกบ้านและได้เห็นผู้คนมุ่งหน้าไปที่ลำแสงนั้น

“ไม่รู้เหมือนกัน” ลู่ชิงจิ่วส่ายหน้าตอบ

“นั่นน่ะสิ หิมะตกแบบนี้พวกชาวบ้านจะทำยังไงกันเนี่ย” เสี่ยวฮวากระโดดขึ้นมาบนโต๊ะริมหน้าต่าง สายตาของเขาดีกว่าของลู่ชิงจิ่วผู้ซึ่งมีสายตาไม่ต่างกับมนุษย์ทั่วไปมากนัก อย่างน้อยเสี่ยวฮวาก็เห็นลักษณะของผู้คนได้ชัดเจนกว่า

“พวกเขาจะไปไหนกันนะ” เสี่ยวฮวาถาม

“อาจจะเป็นไปได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเรียกพวกเขาไปที่นั่น” ลู่ชิงจิ่วตอบ

ที่จริงหน้าหนาวปีที่แล้วที่หมู่บ้านของพวกเราก็เคยเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ทำนองนี้มาก่อน โดยที่ตลอดทั้งฤดูหนาวลู่ชิงจิ่วแทบจะไม่เคยเห็นเพื่อนบ้านที่เขามักจะเห็นหน้ากันอยู่บ่อยๆ เลย แม้จะเป็นไปได้ว่าช่วงฤดูหนาวทุกคนอาจจะไม่ชอบออกมาข้างนอก แต่ว่าตลอดทั้งฤดูหนาวเขากลับไม่เคยเจอใครเลย คิดแล้วก็น่าแปลก ตอนนั้นลู่ชิงจิ่วเองก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้ ทว่า ณ เวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยสงสัยได้รับการยืนยันแล้ว

“เหมือนฉันจะเห็นหลี่เสี่ยวอวี๋อยู่นะ ทำไมอยู่ดีๆ เขาออกไปข้างนอกแบบนั้นล่ะ” เสี่ยวฮวาเพ่งตามองแล้วพูดออกไป

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ดูท่าแล้วตอนนี้ทั้งหมู่บ้านคงเหลือแค่ครอบครัวเราที่ยังมีชีวิตอยู่นะ”

เสี่ยวฮวาแสดงสีหน้าเศร้าโศกออกมา ลู่ชิงจิ่วที่เห็นแบบนั้นก็นึกว่าเสี่ยวฮวาเสียใจที่กำลังจะสูญเสียคู่ซี้ของตัวเองไป ทว่าใครจะรู้ว่าประโยคต่อมาที่เสี่ยวฮวาพูดกลับเป็น “ถ้างั้นทั้งฉันและแม่ของเขาก็คงเหนื่อยฟรีที่สอนวิชาเลขเขามาตั้งนาน”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

เสี่ยวฮวา “เขายังบอกด้วยนะว่าคะแนนสอบเขาก้าวหน้าไปมาก ฮือๆ”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

เสี่ยวฮวา “ที่แท้พวกมนุษย์ก็ชอบหลอกลวงนี่เอง ฮือๆ”

ลู่ชิงจิ่วไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ แค่คิดถึงภาพที่ทุกวันเสี่ยวฮวาต้องจุดเทียนสอนหลี่เสี่ยวอวี๋แล้ว เขาเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเสี่ยวฮวาอยู่

หลี่เสี่ยวอวี๋ก็อยู่ท่ามกลางพวกชาวบ้านเหล่านั้นและกำลังมุ่งหน้าไปที่ลำแสง พวกชาวบ้านแต่ละคนสภาพเหมือนผีดิบไร้วิญญาณที่ค่อยๆ เดินต่อๆ กันไปยังจุดหมาย และเมื่อพวกเขาไปถึงที่เสาลำแสงนั่น ร่างกายของพวกชาวบ้านก็ค่อยๆ เลือนหายไปหลอมรวมกับพายุหิมะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ลู่ชิงจิ่วเอื้อมมือไปอุ้มเสี่ยวฮวาขึ้นมา ทั้งคนและหมูนั่งดูอยู่ที่ขอบเตียงเงียบๆ

“ไม่เข้าใจเลยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสี่ยวฮวาพึมพำ “ฉันก็เป็นแค่ตังคังตัวน้อยที่แม่พามาไว้ที่โลกมนุษย์เพราะบอกว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ปลอดภัยกว่า”

ลู่ชิงจิ่วถาม “นายมาที่นี่ยังไงน่ะ”

เสี่ยวฮวาตอบ “ก็ต้องมีวิธีของมันสิ”

ลู่ชิงจิ่วพูดต่อ “ถ้าหากว่าตอนนั้นพวกเราไม่ได้ช่วยนายไว้ล่ะก็…”

“ถ้างั้นก็ต้องรอให้ฉันโตกว่านี้หน่อยไงถึงจะกินได้ พอโตแล้วฉันก็จะมีวิธีกระโดดหนีออกมา” เสี่ยวฮวาจำใจตอบ

ลู่ชิงจิ่วที่ได้ยินแบบนั้นแม้จะอยากถามต่อแต่ก็เลือกที่จะไม่พูด สุดท้ายจึงไม่ได้บอกความจริงที่แสนโหดร้ายอย่างหนึ่งแก่เสี่ยวฮวา นั่นก็คือในโลกนี้ยังมีอาหารที่เรียกว่าหมูหันด้วย

ชาวบ้านเหมือนค่อยๆ ทยอยหายไปจากหมู่บ้าน จนเมื่อคนสุดท้ายกำลังจะหายวับไปนั้น ลู่ชิงจิ่วได้ยินเสียงดังสนั่นลั่นไปทั่ว เสียงอึกทึกนี้ลอยมาจากริมขอบฟ้า และถึงกับทำให้กระจกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ลู่ชิงจิ่วและเสี่ยวฮวาที่ไม่ทันได้สังเกตถูกแรงสั่นสะเทือนนั้นทำให้รู้สึกมึนงง ถ้าเขาไม่นั่งอยู่ ป่านนี้ลู่ชิงจิ่วก็คงจะล้มพับลงกับพื้นไปแล้ว

หูได้ยินแต่เสียงอื้ออึงอยู่ตลอดเวลา เขาเห็นโลกทั้งใบกำลังหมุนไปมา จนผ่านไปสักพักหนึ่งถึงค่อยยังชั่ว เมื่อลู่ชิงจิ่วเริ่มรู้สึกตัวดีขึ้นแล้ว ที่ขอบฟ้าก็เกิดเปลวเพลิงสว่างจ้าแยกออกเป็นห้าแฉก ไม่สิ นั่นไม่ใช่เปลวเพลิง แต่มันคือมังกรยักษ์เกล็ดแดงที่ลอยอยู่ตรงขอบฟ้า และที่ด้านหลังของมันก็เหมือนจะมีรูขนาดใหญ่ รูปร่างที่ปรากฏขึ้นสลับไปมาไม่ชัดเจนราวกับว่าทุกการเคลื่อนไหวของมันกำลังจะฉีกท้องฟ้าออกเป็นชิ้นๆ

ลู่ชิงจิ่วยังคงรู้สึกมึนหัว ตอนนี้เขาเริ่มมีอาการคันๆ ที่โพรงจมูก และเมื่อยื่นมือไปสัมผัสถึงพบว่าตัวเองมีเลือดกำเดาไหลอยู่ แต่ลู่ชิงจิ่วกลับไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากนัก ทำเพียงแค่ยื่นมือไปหยิบทิชชูมาอุดจมูก และเฝ้ามองเหตุการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าต่อไป

ทว่าลู่ชิงจิ่วกลับรู้สึกเสียดายเมื่อมังกรยักษ์ที่เขาเห็นก่อนหน้าตอนนี้ได้หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา เหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยของเปลวไฟที่ฝังไว้แน่นกับชั้นเมฆสีดำๆ หิมะยังคงตกต่อไปไม่หยุดพร้อมกับค่ำคืนที่สุกสว่างละลานตา

เสี่ยวฮวาที่เพิ่งฟื้นมาจากการสลบไสลถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

ลู่ชิงจิ่ว “เมื่อกี้ฉันเห็นมังกรอยู่ห้าตัว”

เสี่ยวฮวา “กี่ตัวนะ”

“ห้าตัว”

เสี่ยวฮวามีสีหน้าตกใจและเริ่มตัวสั่นงันงก ก่อนจะอธิบายด้วยเสียงสั่นเครือให้ลู่ชิงจิ่วฟังว่ามังกรคือสัตว์ในโลกอีกพิภพหนึ่ง มันคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารและยังเป็นผู้ควบคุมพลังของฟ้าดิน ว่ากันว่ามังกรอิงหลงคือพลังหยาง ส่วนมังกรจู้หลงคือพลังหยิน หยินหยางประสานพลังเข้าด้วยกันก็จะบังเกิดสรรพสิ่ง

พูดอีกอย่างก็คือถ้าพวกตนอยู่ในโลกของมนุษย์ก็จะสามารถอยู่ร่วมกับมังกรตัวอื่นๆ ได้โดยสันติ แต่ถ้าหากอยู่ที่โลกอีกพิภพหนึ่ง กลัวว่าจะต้องกลายเป็นอาหารของไป๋เยวี่ยหูแน่นอน

เสี่ยวฮวาพูดต่อไปว่า “ทำไมถึงมีมังกรห้าตัวมาอยู่ที่โลกของมนุษย์ได้นะ…นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วขมวดคิ้วขึ้นมาเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดความวิปริตอะไรกันแน่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเขาแทบจะไม่มีความเห็นใดๆ และก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรด้วย

ณ เวลานี้เสียงประหลาดที่ได้ยินก่อนหน้าหายไปแล้ว นอกเสียจากร่องรอยของเปลวเพลิงที่แผดเผากลุ่มเมฆจนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ ปรากฏการณ์อื่นๆ ก็เสมือนเป็นแค่ความฝันของลู่ชิงจิ่ว เขานั่งอยู่ที่ริมขอบหน้าต่างสักพักหนึ่งจนแน่ใจแล้วว่าข้างนอกไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แล้วถึงค่อยหยิบเทปกาวและกระดาษหนังสือพิมพ์มาปะติดกระจกที่แตกเพื่อกันลม แล้วจากนั้นก็ค่อยกลับไปซุกตัวที่ผ้าห่มตามเดิม

ขณะที่เขากำลังจะเดินไปที่เตียง ลู่ชิงจิ่วพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ทำให้รู้สึกใจคอไม่ดีเป็นอย่างมาก เขานั่งอยู่ที่ขอบเตียงครู่หนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ สุดท้ายจึงมองไปนอกบ้านแล้วก้าวเท้าออกไป

เสี่ยวฮวาถามอย่างร้อนรน “นี่นายจะไปไหนน่ะ”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “ฉันจะออกไปดูที่หน้าประตูหน่อย”

เสี่ยวฮวาพูด “ไปทำไมล่ะ ข้างนอกหนาวจะตาย”

ลู่ชิงจิ่วได้แต่ส่ายหัว ไม่อธิบายอะไรต่อ ที่จริงเขาไม่ได้ต้องการที่จะออกนอกบ้านไปเฉยๆ เพียงแต่นึกถึงภาพเหตุการณ์ในฝันอันน่าหวาดกลัวนั้นแล้ว ลางสังหรณ์ก็สั่งให้เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเดินออกไป หิมะที่ลานบ้านหนามากจนได้ยินเสียงสวบสาบทุกฝีก้าว ลู่ชิงจิ่วเป่าลมร้อนออกจากปากมาที่ฝ่ามือและถูกันอย่างแรง บริเวณโดยรอบเงียบสงบ มีเพียงแต่เสียงหิมะที่ตกลงมา ลู่ชิงจิ่วเดินมาหยุดตรงหน้าประตูบ้าน เขานึกถึงสิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูกำชับไว้ก่อนไปว่าไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามออกจากบ้านโดยเด็ดขาด ฉะนั้นแล้วเขาก็จะทำเพียงเปิดประตูบ้านออกแล้วแหงนมองสภาพนอกบ้าน แค่นี้คงไม่ถือว่าออกจากบ้านหรอก

ลู่ชิงจิ่วกลั้นลมหายใจ แล้วค่อยๆ ปลดกลอนก่อนจะผลักประตูเหล็กนั่น เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับประตูเหล็กที่ถูกเปิดออก แล้วเขาก็เห็นสภาพด้านนอก

ที่ลานบ้านและข้างนอกมีสภาพไม่ต่างกันมากคือเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน บนท้องฟ้าถูกไฟแผดเผาจนเป็นรูโหว่ส่องสว่างให้แก่สิ่งต่างๆ ณ บริเวณนั้น ลู่ชิงจิ่วมองไปยังถนนเล็กๆ ที่หน้าบ้านตัวเอง เขาเห็นรถกระบะคันเล็กจอดอยู่ตรงข้าม ข้างๆ กระบะคันเล็กเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ทุกอย่างยังคงดูปกติ ไม่มีอะไรต่างจากวันก่อน

ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าลมหายใจยังไม่ทันได้ร่วงหล่น เขาก็ต้องกังวลใจขึ้นมาอีกครั้งเพราะสังเกตเห็นบางอย่างที่มุมกำแพง หิมะที่บริเวณนั้นสูงกว่าปกติเป็นเท่าตัว ถ้าไม่สังเกตก็คงจะไม่มีอะไร แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วใต้หิมะนั้นเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างซุกซ่อนอยู่

ลู่ชิงจิ่วคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็ตัดสินใจไม่ออกจากลานบ้าน แต่หมุนตัวเพื่อเอื้อมไปคว้าไม้ไผ่ยาวๆ ด้ามหนึ่งที่ใช้เก็บองุ่นเป็นประจำแทน เขายื่นไม้ออกไปเขี่ยกองหิมะ แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็ยิ่งทำให้เขาชาวาบไปทั้งตัว

เพราะใต้กองหิมะคือร่างของคนคนหนึ่งที่ขดตัวฝังอยู่ คนคนนั้นสวมเสื้อสีดำมองเห็นหน้าไม่ชัด ทว่าลู่ชิงจิ่วจำได้ว่าอิ่นสวินก็มีเสื้อผ้าขนเป็ดแบบนี้เหมือนกัน

ลู่ชิงจิ่วถึงกับสบถออกมาอย่างคนสติแตกหลังจากที่เห็นภาพนั้น เขาโยนไม้ทิ้งและคิดจะวิ่งออกไปแบกคนคนนั้นกลับมาจากกองหิมะ

เมื่อครู่ที่เห็นชาวบ้านเดินปรี่กันไปบนเขาเหมือนร่างไร้วิญญาณทำให้ลู่ชิงจิ่วในตอนนี้นึกถึงสถานการณ์ที่บ้านของอิ่นสวินว่าจะเกิดอะไรขึ้นมั้ย และนั่นทำให้เขากังวลใจ ทั้งยังคิดที่จะออกไปดูสักหน่อย ไม่ดูก็ไม่มีทางรู้ เมื่อได้เห็นก็ถึงกับต้องตกใจเพราะอิ่นสวินนอนอยู่ที่ใต้หิมะนั้นจริงๆ และดูท่าแล้วน่าจะนอนอยู่ในนี้มานานแล้วด้วย

ลู่ชิงจิ่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้าวขาออกจากลานบ้าน ขาที่เพิ่งจะก้าวพ้นออกไปทำให้ลู่ชิงจิ่วนึกถึงคำที่ไป๋เยวี่ยหูกำชับไว้ก่อนหน้า ข้างนอกนั่นหนาวมากจริงๆ หนาวเสียจนเขาคิดว่าจะถูกแช่แข็งได้ในทันที เสื้อกันหนาวที่สวมใส่แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยเมื่อต้องมาปะทะกับพายุลมหนาวที่ราวกับจะแทรกซึมข้อต่อแต่ละส่วน และทะลวงเข้าสู่ร่างกายทุกส่วน หนาวจนลู่ชิงจิ่วถึงกับปากสั่นยากที่จะควบคุมร่างกายของตัวเอง เขาเดินไปจนถึงร่างไร้สติของอิ่นสวิน ดึงมือของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วออกแรงลากกลับไป

อิ่นสวินถูกแช่แข็งไปแล้วอย่างสมบูรณ์ แม้จะถูกลู่ชิงจิ่วลาก ร่างกายของเขากลับไม่สามารถเปลี่ยนท่าทางได้ ยังคงขดตัวอยู่ในท่าเดิมตลอดเวลา

แต่ละก้าวของลู่ชิงจิ่วเต็มไปด้วยความยากลำบาก ด้านหน้าของเขาก็ปะทะกับพายุลมหนาวเต็มๆ จนแม้แต่จะลืมตาก็ยังลำบาก ความร้อนในร่างกายค่อยๆ สูญเสียไป เพียงแค่ไม่กี่สิบก้าวลู่ชิงจิ่วก็รู้ซึ้งถึงรสชาติที่เรียกกันว่าวิบากกรรม

“แฮกๆๆ สุดท้ายก็มาถึงหน้าบ้านสักที” ลู่ชิงจิ่วออกแรงสุดตัวแบกอิ่นสวินข้ามเข้าไปข้างในลานบ้าน

วินาทีที่เข้าไปในเขตบ้านได้สำเร็จ พวกเขาทั้งสองถึงกับทิ้งตัวล้มพับ ลู่ชิงจิ่วถูกความหนาวเล่นงานจนหน้าซีด แต่ยังดีที่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ฟื้นตัว เขารีบปิดประตูบ้าน อุณหภูมิในบ้านค่อยๆ อุ่นขึ้น ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าตัวเองรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด

“อิ่นสวินๆ” ลู่ชิงจิ่วเขย่าตัวของอิ่นสวิน

อิ่นสวินถูกแช่แข็งไปแล้วอย่างสมบูรณ์ นัยน์ตาสีดำคู่นั้นยังคงเหลือกมองค้างพร้อมกับใบหน้าที่ถูกเกาะไปด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ

ถ้าหากว่าเป็นคนธรรมดา ป่านนี้ลู่ชิงจิ่วคงจะคิดว่าควรนำร่างนี้ไปฝังที่ไหนดี แต่อย่างไรอิ่นสวินก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้คงไม่น่าจะอ่อนแอขนาดนั้นแล้ว ลู่ชิงจิ่วคิดว่าจะพาตัวอิ่นสวินไปที่ห้องและลองพยายามละลายการถูกแช่แข็งของเขาดู

ร่างที่แข็งทื่อของอิ่นสวินจึงถูกแบกไปยังห้องที่มีไฟก่อไว้ ลู่ชิงจิ่วถอดเสื้อขนเป็ดของอิ่นสวินออกและจัดวางให้ตัวเขาอยู่ใกล้กับเตามากที่สุด

เสี่ยวฮวาตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ลู่ชิงจิ่วแบกเข้ามาคืออิ่นสวิน แถมยังอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับอิ่นสวิน” เสี่ยวฮวา

“ฉันออกไปก็เห็นเขาในสภาพนี้แล้ว ไม่รู้ว่าถูกแช่แข็งแบบนี้มานานหรือยัง” ลู่ชิงจิ่วสีหน้าเคร่งเครียด

“ถ้า…ช่วยเขาคลายหนาวแล้วอิ่นสวินจะยังมีชีวิตรอดอยู่มั้ยนะ” เสี่ยวฮวา

“ไม่รู้เหมือนกันสิ ต้องลองดูก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องรอให้ไป๋เยวี่ยหูกลับมา” ลู่ชิงจิ่วสัมผัสศีรษะของอิ่นสวินที่แข็งยิ่งกว่าหิน

สายตาของเสี่ยวฮวาเต็มไปด้วยความกังวลใจ แต่อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่เจอตัวของอิ่นสวิน ไม่งั้นคงได้ปล่อยให้ถูกแช่แข็งต่อไป อย่างน้อยๆ ก็ยังพอได้ช่วยอะไรบ้าง ส่วนลู่ชิงจิ่วที่เพิ่งออกไปข้างนอกทั้งตัวของเขาหนาวจนแทบเป็นน้ำแข็งไม่ต่างกัน ด้วยกลัวว่าจะเป็นหวัดจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับไปซุกตัวในผ้าห่มต่อ

“วางอิ่นสวินนอนไว้ที่นั่นเหรอ” เสี่ยวฮวาที่เฝ้ามองอิ่นสวินที่เป็นเสมือนรูปปั้นเอ่ย

“วางไว้ที่นั่นก่อน” ลู่ชิงจิ่วยื่นหน้าออกมาแค่ครึ่งเดียวพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ข้างนอกหนาวขนาดนั้น ฉันยังคิดว่าตัวเองจะต้องตายอยู่ที่นั่นแน่ๆ เลย”

เสี่ยวฮวาใช่กีบเท้าตัวเองตบๆ ไปที่ลู่ชิงจิ่วเพื่อปลอบใจ

เมื่อร่างกายเริ่มอุ่นขึ้นมา ก็รู้สึกได้ถึงความง่วง เดิมทีลู่ชิงจิ่วตั้งใจจะเฝ้าดูอาการของอิ่นสวิน แต่เพราะการรอให้อิ่นสวินฟื้นขึ้นมานั้นใช้เวลานาน จึงเฝ้าไปเฝ้ามาแล้วเผลอหลับไป

 

เช้าวันต่อมาลู่ชิงจิ่วตื่นขึ้นจากการหลับใหล เขายังคงมีอาการสะลึมสะลือและเห็นอิ่นสวินนอนอยู่ที่ข้างเตาด้วยท่าเดิม ทันใดนั้นสมองก็ตื่นตัว และถามออกไปทันทีว่า “เสี่ยวฮวา เมื่อวานนายได้พลิกตัวให้อิ่นสวินหรือเปล่า”

เสี่ยวฮวาที่ถูกเรียกจนตื่นส่ายหน้าอย่างงุนงง

ลู่ชิงจิ่วรีบวิ่งเข้าไปพลิกตัวให้อิ่นสวิน ตอนที่จะพลิกตัวเขาก็พบว่าร่างกายบางส่วนฟื้นฟูเป็นปกติแล้ว แต่อีกส่วนยังคงถูกแช่แข็งไว้อยู่ ลู่ชิงจิ่วเรียกอิ่นสวินอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีการตอบสนองอะไร เขาเริ่มรู้สึกกังวลใจ วิธีนี้สรุปแล้วได้ผลมั้ยนะ

เสี่ยวฮวาไม่รู้หรอกว่าวิธีไหนได้ผลไม่ได้ผล เขาได้แต่ปลอบใจลู่ชิงจิ่วไปว่า “ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกน่า เคยอ่านเรื่องหนึ่งมาว่ามีปลาถูกแช่แข็งไว้ ผ่านไปตั้งสิบปียังฟื้นคืนชีพได้เลย ร่างกายของอิ่นสวินซับซ้อนน้อยกว่าปลาเยอะ ไม่น่ามีปัญหาหรอกน่า”

“นายไปอ่านนิทานพวกนี้มาจากไหน” ลู่ชิงจิ่วถาม

เสี่ยวฮวา “กู้ซื้อฮุ่ย* ไง”

ลู่ชิงจิ่ว “…” อิ่นสวิน กลัวว่านายจะกลับมายากแล้วล่ะ

เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนรักกัน ลู่ชิงจิ่วจึงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาตัดสินใจกินมันเทศเผาเพื่อเป็นการสงบจิตใจ จากนั้นก็รักษาอิ่นสวินต่อไป มันเทศเผาที่อุ่นๆ เมื่อหยิบขึ้นมากัดยังสัมผัสได้ถึงความอุ่น พอปอกเปลือกออกก็เห็นเนื้อนุ่มๆ ข้างใน แม้จะกินเข้าไปในปากแต่กลับอุ่นไปถึงหัวใจ มันช่วยให้ลู่ชิงจิ่วคลายความกังวลเรื่องของอิ่นสวินไปได้บ้าง

“อร่อยจริงๆ” เสี่ยวฮวาพูดอย่างประทับใจ “ฉันอยากจะกินซุปเนื้อแกะอุ่นๆ ด้วยเลย”

“ฉันก็อยาก” ลู่ชิงจิ่วถูๆ ที่จมูก เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเป็นหวัดนิดหน่อยแล้ว อุณหภูมิข้างนอกต่ำมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาวิ่งเร็ว เกรงว่าคนที่จะนอนแข็งเป็นเพื่อนอิ่นสวินคงเป็นเขา

“เฮ้อ ดูท่าอิ่นสวินคงจะหายยากแล้ว งั้นฉันช่วยจัดการมันเทศเผาส่วนของเขาแล้วกันนะ” เสี่ยวฮวาใช้กีบเท้าตัวเองปอกเปลือกมันเทศอุ่นๆ น้องสาวของเสี่ยวฮวายังไม่ตื่นนอน ส่วนจิ้งจอกน้อยไม่ชอบกินอาหารประเภทผักอยู่แล้ว ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงตกเป็นของเสี่ยวฮวาและลู่ชิงจิ่วสองคน

ลู่ชิงจิ่วกล่าว “โอเค ฉันจะช่วยนายจัดการส่วนที่เหลือแล้วกันนะ”

ทั้งสองคนช่วยกันปอกเปลือกมันเทศอย่างสนุกสนานจนลืมสนใจรูปปั้นที่นอนแข็งอยู่อย่างอิ่นสวินเสียสนิท น้ำตาหยดหนึ่งไหลตกออกมาที่หางตา แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองเห็นสิ่งนั้น แต่ก็เป็นไปได้ว่านั่นคงจะเป็นน้ำที่ละลายจากตัวของอิ่นสวิน

หลังจากที่กินข้าวเที่ยงเสร็จ ลู่ชิงจิ่วพบว่าตัวเองป่วยเป็นหวัด เริ่มจากอาการคันคอ ต่อมาก็จามและน้ำมูกไหล เขาจึงรีบไปหายามากินและเพิ่มปริมาณยาเข้าไปให้มากขึ้น

อิ่นสวินที่ถูกละลายน้ำแข็งมาได้หนึ่งวันเต็มตอนนี้ร่างกายของเขาเหลือเพียงแค่หนึ่งในสามที่ยังเป็นน้ำแข็งอยู่ ทั้งเสี่ยวฮวาและลู่ชิงจิ่วต่างเลิกนั่งเฝ้าอิ่นสวินแล้ว ส่วนเสี่ยวเฮยและจิ้งจอกน้อยก็เตรียมไปทำซุปเนื้อแกะ

เพราะตอนนี้ลู่ชิงจิ่วกำลังไม่สบาย เขาจึงได้แต่บอกให้เสี่ยวฮวาและเสี่ยวเฮยไปตักน้ำ หมูทั้งสองมีเพียงกีบเท้าของตัวเองเท่านั้น แต่กลับทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งความจริงพอเทียบกับอิ่นสวินแล้วความไวแทบไม่ต่างกันเลย

ลู่ชิงจิ่วเสียดายที่น่าจะได้เห็นพรสวรรค์ของเสี่ยวฮวาและเสี่ยวเฮยเร็วกว่านี้ เสี่ยวฮวามั่นอกมั่นใจเดินไปที่ข้างหน้าของอิ่นสวินแล้วพูดว่า “สมองฉันไม่ได้มีแต่น้ำหรอกนะ”

ลู่ชิงจิ่วพูดเตือนอย่างสุภาพ “พูดแบบนี้ไม่ดีนะ อิ่นสวินยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย”

เสี่ยวฮวา “เขายังเป็นน้ำแข็งอยู่”

ลู่ชิงจิ่ว “แล้วถ้าเขาแค่ยังขยับตัวไม่ได้แต่ได้ยินที่นายพูดล่ะ”

เสี่ยวฮวา “งั้นพวกเราก็ไปอุดหูเขาไว้ก่อนดีมั้ย”

ลู่ชิงจิ่ว “…” อิ่นสวิน นายไม่ควรมีเรื่องกับเสี่ยวฮวาเลย

พวกเขาทั้งสองพูดหยอกเล่นกันไปอย่างสนุกสนาน ที่ทั้งสองสบายใจได้ขนาดนี้เพราะร่างกายของอิ่นสวินที่เริ่มละลายค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว ซึ่งลักษณะนั้นต่างกับร่างกายของคนที่เสียชีวิต ผิวหนังอิ่นสวินกลับมามีความยืดหยุ่น และเมื่อกดลงไปก็เกิดลักษณะรอยจ้ำแดงๆ ซึ่งสิ่งนี้คือการตอบสนองของคนเป็น

เสี่ยวฮวา “นายไปกดที่หน้าแบบนั้นจะดีเหรอ”

ลู่ชิงจิ่ว “แล้วนายว่าควรจะไปกดตรงไหนล่ะ”

เสี่ยวฮวาพูด “ก็ต้องเป็นจุดที่มีเนื้อเยอะๆ…” เขาเหลือบไปมองที่ก้นของอิ่นสวิน

ลู่ชิงจิ่ว “…”

เสี่ยวฮวาพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ก็เหมือนกับที่เขาชอบมากดฉันไง”

ลู่ชิงจิ่วขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับความรักและความชังของพวกเขาทั้งสอง ปล่อยให้พวกเขาไปจัดการกันเอง

ตอนนี้สัตว์น้อยทั้งสามตัวและลู่ชิงจิ่วกินซุปเนื้อแกะกันอย่างเอร็ดอร่อย ลู่ชิงจิ่วเริ่มรู้สึกว่าอาการหวัดของตัวเองค่อยๆ ดีขึ้น วิธีการทำซุปวันนี้ค่อนข้างง่ายกว่าปกติทั่วไปมาก เพราะอย่างไรหมูทั้งสองตัวก็ไม่ใช่พวกมืออาชีพในการทำอาหาร สำหรับพวกเขาที่กินแต่ธัญพืชมาตลอดหลายวันได้กินอะไรแบบนี้ก็นับว่าอร่อยมากแล้ว โดยเฉพาะคุณภาพของเนื้อแกะที่ดีมาก เพียงแค่ชั่วครู่พวกเขาก็จัดการเนื้อแกะจนหมด เหลือไว้เพียงแต่น้ำซุปหม้อใหญ่ๆ

ในขณะที่กำลังจะจัดการน้ำซุปที่เหลือ ลู่ชิงจิ่วก็ได้ยินเสียงครวญครางเล็กๆ มาจากข้างเตียง เขาเงี่ยหูฟังไปสักพักถึงมั่นใจว่าไม่ได้หูฝาด จึงรีบวิ่งไปที่ต้นเสียง เมื่อไปถึงเขาก็เห็นอิ่นสวินที่ไม่รู้ว่าฟื้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กำลังร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจ

ลู่ชิงจิ่วรีบเข้าไปพยุงอิ่นสวินขึ้นเตียง “อิ่นสวิน ไม่ต้องร้องแล้วนะ นายไม่เป็นอะไรแล้ว”

อิ่นสวินที่น้ำตานองหน้ากลับพูดสิ่งที่ไม่ค่อยกินใจสักเท่าไหร่ “ลู่ชิงจิ่ว นายมันร้ายมาก เนื้อแกะสักชิ้นก็ไม่เหลือให้ฉันกิน”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

อิ่นสวิน “ฉันไม่ได้มีเพื่อนแบบนี้นะ”

ลู่ชิงจิ่ว “…” เขามองใบหน้าของอิ่นสวินที่เหมือนโดนต่อยมาจนบวมแดงไปหมด จากนั้นจึงค่อยหันตัวกลับไปอุ่นซุปเนื้อแกะร้อนๆ และยื่นให้อิ่นสวินต่อหน้า

อิ่นสวินหิวจะตายอยู่แล้ว แม้ว่าปากจะมัวแต่พูดตัดพ้อเรื่องเนื้อแกะ แต่สุดท้ายหลังจากได้ซดน้ำซุปอุ่นๆ ก็ทำให้เขาสงบใจลงเยอะ เขาดื่มไปสามสี่ชามถึงค่อยรู้สึกอุ่นขึ้น อิ่นสวินยื่นมือไปปัดเศษน้ำแข็งที่ติดอยู่ตรงคิ้วของตัวเองเบาๆ แล้วรำพึงออกมาว่า “ฉันคิดว่าต้องตายแล้วแน่ๆ”

“นายไปอยู่ที่หน้าบ้านฉันได้ยังไง บอกไปแล้วว่าห้ามออกมาไม่ใช่เหรอ” ลู่ชิงจิ่วถาม

อิ่นสวินส่ายหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า เขาเริ่มอธิบายอย่างช้าๆ ให้ลู่ชิงจิ่วฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่หิมะจะตกในวันนั้น แสงเทียนที่บ้านค่อยๆ มืดลง และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็จุดไม่ติดจนในที่สุดก็ดับสนิท พวกดวงวิญญาณที่ถูกสะกดไว้ต่างกรูกันออกมา อิ่นสวินไม่สามารถต้านทานพวกมันได้และเห็นว่าพวกมันกำลังมุ่งหน้าไปที่บ้านของลู่ชิงจิ่วเลยกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเขา ดังนั้นจึงรีบไล่ตามวิญญาณเหล่านั้นไป ทว่าอากาศนอกบ้านหนาวกว่าที่คิดไว้มาก อิ่นสวินที่เห็นจุดหมายอยู่ข้างหน้าอีกเพียงแค่ไม่กี่ก้าวกลับมาถูกแช่แข็งไปเสียก่อน โชคดีที่วิญญาณเหล่านั้นไม่ได้เข้าไปในบ้านของลู่ชิงจิ่ว แต่พวกมันกลับมุ่งหน้าไปบนภูเขาแทน

ลู่ชิงจิ่วที่ได้ยินอิ่นสวินอธิบายแบบนี้ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เขาลูบไปที่ศีรษะอันเปียกชื้นของอิ่นสวินแล้วพูดว่า “ขอโทษนะ”

อิ่นสวินตอบรับด้วยความซาบซึ้งใจ “ไม่หรอก นี่เพราะฉันเป็นคนเลือกเอง”

ลู่ชิงจิ่วพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ความหมายคือฉันควรจะให้เนื้อแกะนายสักสองชิ้น”

อิ่นสวิน “…” เรื่องนี้ถ้าไม่พูดถึงก็คงจะดี เพราะเมื่อเอ่ยถึงเมื่อไหร่อิ่นสวินก็พร้อมจะเดือดขึ้นจนแทบจะฉีกชามออกจากกันได้ ท้ายที่สุดลู่ชิงจิ่วจึงต้องให้สัญญาว่าจะทำให้กินอีกชามในวันรุ่งขึ้น ความโกรธของอิ่นสวินจึงค่อยบรรเทาลง ทว่าเขาสงบสติไปได้สักพักก็ต้องเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเมื่อเข้าไปในห้องน้ำเขาถึงได้เห็นใบหน้าของตัวเองที่บวมช้ำขึ้นมา

“บ้าเอ๊ย ลู่ชิงจิ่ว นี่นายยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ตอนลงมือทำเบามือหน่อยไม่ได้หรือไง” อิ่นสวินตะโกนด้วยความโมโหดังออกมาจากในห้องน้ำ “ทำไมหน้าฉันถึงเหมือนคนโดนต่อยได้ขนาดนี้”

ลู่ชิงจิ่วที่รู้ดีว่าทำอะไรลงไปได้แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนหลับหูหลับตาแกล้งนอนหลับไป

 

* กู้ซื้อฮุ่ย เป็นนิตยสารรายปักษ์ของจีน โดยเนื้อหาจะเป็นงานประเภทวรรณกรรม

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 30 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: