X
    Categories: everYFantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย?ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 93-94 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่าขยะแขยง และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 93 เดินทางกลับ

 

เพื่อเป็นการชดเชยสภาพจิตใจที่แตกสลายของอิ่นสวิน ในวันถัดมาลู่ชิงจิ่วจึงได้ทำซุปเนื้อแกะหม้อใหญ่ให้อีกครั้ง ทว่าอาการหวัดของเขากลับหนักขึ้นกว่าเมื่อวาน จึงไม่ได้เข้าครัวจัดการด้วยตัวเองแต่ให้เสี่ยวฮวาเป็นคนจัดการตามเดิม ตอนแรกเป็นอิ่นสวินที่อาสาเป็นคนทำ แต่ลู่ชิงจิ่วพิจารณาแล้วว่าด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นขนาดนี้การที่ต้องมานั่งยองๆ ทำธุระอาจจะทำให้ถึงตายได้ เขาจึงต้องบอกปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี ส่วนเรื่องอื่นๆ เองก็ให้เสี่ยวฮวาเป็นธุระให้ เช่น ไปข้างนอกเพื่อเอาหิมะมาต้ม หรืองานอื่นที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอะไรพวกนี้

หิมะรอบนี้ต่างกับหิมะที่ตกในรอบก่อนๆ โดยปกติแล้วหิมะที่ตกในฤดูหนาวมักจะมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนสูงมากจนไม่สามารถนำมาใช้ดื่มกินได้ แต่หิมะรอบนี้สะอาดกว่าปกติและรสชาติก็หวานด้วย เหมาะที่จะนำมาต้มใช้ประกอบอาหาร

อิ่นสวินกำลังซดน้ำซุปเนื้อแกะ ส่วนลู่ชิงจิ่วและคนในครอบครัวคนอื่นต่างก็อยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ บนคั่ง อิ่นสวินใช้แรงกัดแทะเนื้อแกะ เนื้อแกะรอบนี้ไม่ได้ต้มจนเปื่อย การจะกัดแต่ละทีจึงค่อนข้างลำบาก อิ่นสวินใช้ฟันกัดฉีกเนื้อออกมาเป็นชิ้น สายตาของเขาดุดันน่ากลัวเป็นอย่างมาก

“อิ่นสวิน ไป๋เยวี่ยหูเป็นยังไงบ้าง” ลู่ชิงจิ่วที่รู้สึกกังวลใจถาม

อิ่นสวินยกมือขึ้นมาเช็ดปาก “นายอยากจะดูสักหน่อยมั้ยล่ะ”

“ดูได้เหรอ” ลู่ชิงจิ่ว

“ไม่รับปากว่าจะเห็นได้ทั้งหมดนะ แต่อย่างน้อยก็คงได้เห็นไป๋เยวี่ยหู” อิ่นสวินกัดเนื้อไปพูดไป “นายอยากจะลองดูหน่อยมั้ยล่ะ” ไป๋เยวี่ยหูคงยังไม่ได้ออกไปจากหมู่บ้าน ถ้าเขายังอยู่ที่นี่ก็จะสามารถเห็นได้ แต่ว่าสถานการณ์ฝั่งนั้น ณ ตอนนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ารับปากลู่ชิงจิ่วไป

“อยากสิ” น้ำเสียงของลู่ชิงจิ่วตอบอย่างไม่ลังเล “ยิ่งตอนนี้ผ่านไปแล้วตั้งสามวัน ยังไม่ได้ข่าวจากไป๋เยวี่ยหูเลย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเห็นไป๋เยวี่ยหูตอนนี้”

อิ่นสวินบอก “งั้นรอฉันกินเนื้อพวกนี้ให้เสร็จก่อนแล้วกัน”

หลังจากที่จัดการเนื้อพวกนี้เรียบร้อยแล้ว อิ่นสวินก็รู้สึกว่าตัวอุ่นขึ้นมา เขาลูบพุงกลมๆ อุ่นๆ ของตัวเอง แล้วมองไปที่ลู่ชิงจิ่วเพื่อส่งสัญญาณให้เข้ามานั่งใกล้ๆ

ลู่ชิงจิ่วขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ๆ อิ่นสวิน

“ฉันจะลองพยายามดูนะ ไม่รู้ว่าจะเห็นอะไรบ้าง” อิ่นสวินพูด

ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า

อิ่นสวินที่เห็นว่าลู่ชิงจิ่วมีสีหน้าแน่วแน่ จึงกัดไปที่นิ้วของตัวเอง ทว่านิ้วที่ถูกกัดของเขากลับไม่ได้มีเลือดหยดออกมา แต่เป็นของแข็งที่จับตัวเป็นก้อน อิ่นสวินยื่นมือออกไปแล้วนำของแข็งที่มาจากนิ้วทาไปที่เปลือกตาของลู่ชิงจิ่ว อิ่นสวินบอกให้อีกฝ่ายกะพริบตาเพื่อให้ของแข็งนั้นเข้าไปในดวงตา

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเย็นซาบซ่านทั่วบริเวณรอบดวงตา เขากะพริบตาถี่ๆ จนสิ่งนั้นค่อยๆ ขยับแทรกเข้าไปที่ลูกตา เขารู้สึกเหมือนมีเยื่อบางๆ มาบังที่ตา แม้ว่าจะรู้สึกเย็นซาบซ่าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกทรมาน

“จะเริ่มแล้วนะ” อิ่นสวินพูด

ลู่ชิงจิ่วตอบตกลง

ทันทีที่สิ้นสุดคำพูดของอิ่นสวิน ตาของลู่ชิงจิ่วก็ปรากฏภาพที่น่ามหัศจรรย์ขึ้นมา แม้ว่าร่างกายของเขาจะนั่งอยู่กับที่ไม่ได้ขยับไปไหน แต่สายตากลับเหมือนล่องลอยไปอยู่กลางอากาศ จากมุมนี้สามารถมองทั้งหมู่บ้านสุ่ยฝู่ได้ในการกวาดตาเพียงครั้งเดียว นี่คือมุมมองที่อิ่นสวินเห็น ลู่ชิงจิ่วยังไม่ทันได้อุทานด้วยความประหลาดใจ ภาพในสายตาของเขาก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงได้เห็นหมู่เมฆและหินผาสลับซับซ้อนเรียงรายเป็นชั้นๆ

ในหมู่เมฆนั้น ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังมุดแทรกไปด้วยความเร็ว ลู่ชิงจิ่วเพ่งมองไปสักพัก แล้วจึงพบว่านั่นคือไป๋เยวี่ยหูที่รอบๆ ตัวรายล้อมไปด้วยเปลวไฟห้าแฉกอันเจิดจ้า เพียงแวบเดียวที่เห็นเขาก็นึกขึ้นได้ทันทีว่านั่นคือมังกรห้าตัวที่ทะลุออกมาจากท้องฟ้าในวันนั้น

การต่อสู้กับมังกรไฟทั้งห้า ไป๋เยวี่ยหูไม่ได้แสดงความอ่อนด้อยแต่อย่างใด เขาแหวกว่ายไปมาท่ามกลางหมู่เมฆและใช้กรงเล็บอันแหลมคมฟาดไปที่หินผาสีดำจนทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน เมื่อเขาหมุนตัว หางที่แข็งแรงกำยำของไป๋เยวี่ยหูก็สามารถเหวี่ยงมังกรไฟตนหนึ่งตกลงไปในเหวลึกได้ ส่วนกรงเล็บสีดำอันแหลมคมก็ฉีกร่างของมังกรไฟอีกตนหนึ่งจนเห็นเครื่องในที่ชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ ทะลักออกมา

ฉากที่เห็นดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ลู่ชิงจิ่วรู้สึกใจคอไม่ดีที่ได้เห็นแบบนั้น เพราะแม้ว่าไป๋เยวี่ยหูจะแข็งแรงกำยำ แต่อีกฝ่ายก็มีกันมากถึงห้าตน อีกทั้งบนร่างกายก็มีบาดแผลประปรายอยู่ไม่น้อย ซึ่งนี่ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ เพราะไป๋เยวี่ยหูทำท่าทางเหมือนกำลังปกป้องบางสิ่งบางอย่าง ต่อให้พวกมังกรไฟเหล่านั้นจะกระโจนมาที่หน้าของเขา ไป๋เยวี่ยหูก็จะออกไปต้านอย่างแข็งขันและไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอย สายตาของลู่ชิงจิ่วมองทะลุตัวของไป๋เยวี่ยหูและได้เห็นสถานที่หนึ่งที่เขากำลังปกป้องอย่างเต็มที่ ณ ที่แห่งนั้นมีหมู่เมฆพันล้อมซ้อนกันเป็นชั้น ตรงกลางของหมู่เมฆคือยอดเขาสีดำที่สูงทะลุขึ้นมา บนยอดเขามีหินก้อนหนึ่งที่มันวาวสะท้อนเหมือนเล่มกระบี่ และที่บนยอดเขายังปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆอีกชั้นหนึ่ง ดูท่าแล้วไม่ใช่ภูเขาธรรมดาที่มนุษย์จะสามารถปีนขึ้นไปได้เลย ลู่ชิงจิ่วรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาภูเขาลูกนี้ เขาครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่านี่คือภูเขาลูกที่เคยเห็นมาแล้วก่อนหน้า ทว่าครั้งนั้นที่เห็นทำไมถึงมีมังกรสีดำแหวกว่ายอยู่ที่ยอดเขาได้นะ หรือว่านั่นคือร่างเดิมของไป๋เยวี่ยหู

ลู่ชิงจิ่วที่กำลังคิดอยู่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังสนั่น เขามองลงมาที่ด้านล่างก็เห็นว่ามีมังกรไฟตัวหนึ่งถูกไป๋เยวี่ยหูตะครุบ มังกรไฟตัวนั้นไม่ต่อสู้ขัดขืน แต่กลับยอมให้ไป๋เยวี่ยหูลากขึ้นไปบนยอดเขา ไป๋เยวี่ยหูแยกเขี้ยวมังกรออกมาแล้วกัดไปที่ร่างของมังกรตัวนั้นก่อนจะเหวี่ยงลงไปข้างล่าง

อากาศในวันนี้หนาวมากจนไป๋เยวี่ยหูถึงกับพ่นไอเย็นออกมาจากปาก นัยน์ตาสีดำของเขาไม่มีแล้วซึ่งความเกียจคร้านและความอ่อนโยนอย่างในวันวาน มีแต่ความเลือดเย็นและโหดเหี้ยมของสัตว์ดุร้าย ณ วินาทีนี้จิตวิญญาณของการต่อสู้และการฆ่าฟันครอบครองวิญญาณของเขาไปแล้วทุกส่วน ลู่ชิงจิ่วสังเกตได้ถึงความสะใจที่ออกมาจากตัวของไป๋เยวี่ยหู

โชคดีที่การต่อสู้ในครั้งนี้ไป๋เยวี่ยหูถือไพ่เหนือกว่ามาก พวกมังกรไฟเหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อย ลู่ชิงจิ่วที่กำลังคิดแบบนี้กลับรู้สึกว่าสถานการณ์มีอะไรบางอย่างไม่ปกติ เขาสังเกตเห็นว่ามีมังกรไฟอีกสามตัวกำลังเกาะแกะที่ตัวของไป๋เยวี่ยหู โดยที่สองในสามตัวนี้ร่วงมาอยู่ที่พื้นหิมะ หนึ่งในนั้นมีตัวหนึ่งที่แยกเขี้ยวกลืนกินอีกตัวหนึ่งลงไปในท้องและนั่นทำให้สีของมันแดงสดและฉูดฉาดขึ้นมากกว่าเดิม ลู่ชิงจิ่วนึกถึงคุณตาของตัวเองในร่างที่มีผมและนัยน์ตาสีแดง เขานึกถึงใบหน้านั้นอย่างละเอียดและหลังจากเปรียบเทียบดูแล้ว เขาก็แน่ใจว่าสีแดงที่เห็นของมังกรตัวนี้อ่อนกว่าที่เห็นจากตัวของคุณตามาก ถ้าให้พูดก็คือสีแดงที่เห็นจากคุณตานั้นสดเหมือนกับเลือดของมนุษย์ ส่วนมังกรตัวนี้มีแค่ความแดงประมาณเปลวไฟที่สุกสว่าง แม้ว่าจะมีสีแดงเหมือนกันแต่สำหรับมังกรตัวนี้ค่อนข้างออกจะไปทางสีส้มมากกว่า ทว่าหลังจากที่มันได้กินพรรคพวกตัวเองไปแล้วสีของมันก็แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ลู่ชิงจิ่วเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี ในขณะที่เขากำลังจะตั้งใจเพ่งดูต่อกลับรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาทันที พร้อมกับเริ่มรู้สึกคลื่นไส้ ซึ่งความรู้สึกทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาต้องบีบบังคับให้ตัวเองหลับตาลง ฟุบลงที่ข้างเตียงแล้วอาเจียนออกมาอย่างรุนแรงโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“แหวะ” แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรออกมาจากการอาเจียน แต่ภาพนิมิตที่ลู่ชิงจิ่วได้เห็นก่อนหน้าก็ได้เลือนหายไปในพริบตา

อิ่นสวินที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบไปหยิบน้ำมาให้เขาดื่มและทำความสะอาดสิ่งที่ทาไว้ตรงดวงตาของเขา ลู่ชิงจิ่วรู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว สิ่งที่เขาเห็นเหลือเพียงแค่ภาพห้องนอนตรงหน้า ภาพฉากการต่อสู้ของเหล่ามังกรได้มลายหายไปอย่างสิ้นเชิง

“ลู่ชิงจิ่วนายไม่เป็นไรใช่มั้ย” อิ่นสวินถามอย่างร้อนรน

“ไม่เป็นไร ฉันอยากดูอีกหน่อยได้มั้ย” ลู่ชิงจิ่วรีบพูดตอบ

“ไม่ได้ ถ้าขืนดูต่อไปอีก ร่างกายนายจะรับไม่ไหวเอานะ” อิ่นสวินตอบ

ลู่ชิงจิ่วแสดงสีหน้าสิ้นหวัง “แต่เมื่อกี้กำลังอยู่ในช่วงคอขาดบาดตายเลยนะ”

“หรือจะให้ฉันดูแทน” อิ่นสวินถาม

“ถ้างั้นก็ได้”

อิ่นสวินทำหน้างงอยู่สักพักแล้วจึงบอกไปว่า “ไม่ได้แล้ว ตอนนี้เห็นแต่ภาพจอดำ”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

อิ่นสวิน “เปลี่ยนช่องสัญญาณใหม่ก็ไม่ได้”

ลู่ชิงจิ่ว “…” เปลี่ยนช่องสัญญาณบ้าบออะไร

อิ่นสวินได้แต่ส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็จนปัญญาที่จะมองเห็น ไม่ใช่แค่ไป๋เยวี่ยหูเท่านั้น แต่ทั้งหมู่บ้านสุ่ยฝู่เหลือแต่ภาพดำมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย

ลู่ชิงจิ่วร้อนใจ แต่ถึงเขาจะลนลานไปก็เท่านั้น เพราะแม้แต่ตอนที่ไป๋เยวี่ยหูกำลังต่อสู้อยู่ แค่จะถือธงเล็กๆ ยืนเชียร์ให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ยังทำไม่ได้เลย

ลู่ชิงจิ่วแหงนมองไปที่รูโหว่ตรงขอบฟ้า ในใจมีทั้งความรู้สึกผิดหวังและกลัดกลุ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำได้เพียงแค่มองไปที่อิ่นสวินและปลอบใจตัวเองว่ายังไงไป๋เยวี่ยหูก็ไม่มีทางแพ้แน่นอน

อิ่นสวินเห็นสีหน้าของลู่ชิงจิ่วก็พลอยเป็นห่วงไปด้วย ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน

ลู่ชิงจิ่วพยายามดึงตัวเองออกจากความรู้สึกด้านลบ เขาพูดว่า “ฉันว่าถ้าไป๋เยวี่ยหูกลับมาเมื่อไหร่จะทำอาหารอร่อยๆ ให้เขากิน ต่อสู้กันนานขนาดนี้ ป่านนี้คงหิวแย่ กลับมาเมื่อไหร่จะต้องทำอะไรร้อนๆ ให้กินแล้ว แต่ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่กันแน่นะ”

 

ณ เวลานี้ หิมะตกลงมาแล้วเจ็ดวันเต็มๆ

เมื่อหิมะตกถึงเข้าวันที่เจ็ด รูโหว่บนขอบฟ้าก็ค่อยๆ หดตัวเล็กลง และหิมะที่กำลังตกก็ได้หยุดลง ขณะนั้นลู่ชิงจิ่วกำลังนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง เขาเห็นผีเสื้อสีน้ำเงินโบยบินขึ้นจากกลางหุบเขา กระพือปีกบินสู่อากาศและมุ่งหน้าไปที่ช่องโหว่ตรงขอบฟ้านั่น

ลู่ชิงจิ่วได้ยินเสียงคนเคาะที่ประตู ตอนแรกเขาเข้าใจผิดว่าคิดไปเอง แต่เมื่อได้ยินเสียงนั้นเป็นครั้งที่สอง เขาจึงได้หันหน้าไปทางอิ่นสวิน ทั้งคู่ต่างประหลาดใจและงวยงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ลู่ชิงจิ่ว “มีคนเคาะประตู?”

อิ่นสวิน “ใช่ ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน”

ลู่ชิงจิ่ว “เดี๋ยวฉันจะไปเปิดเอง”

ลู่ชิงจิ่วรีบลุกขึ้นไปที่ประตู เขารอไป๋เยวี่ยหูอยู่นานแล้ว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเป็นห่วงไป๋เยวี่ยหูและกังวลมาตลอดจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู ตอนนี้เขารู้สึกว่าทุกอย่างจะได้ยุติลงเสียที

เสียงเปิดประตูดังเอี๊ยด ลู่ชิงจิ่วค่อยๆ แง้มประตูออกทีละนิดจนเห็นบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตู แน่นอนว่าคนคนนั้นก็คือไป๋เยวี่ยหู

เขาสวมเสื้อผ้าสีดำ มองมายังลู่ชิงจิ่วด้วยสายตาอบอุ่น บนไหล่ของเขายังมีละอองหิมะปะปนกับเส้นผมอยู่ ไป๋เยวี่ยหูเรียกชื่อของเขาเหมือนอย่างเคย “ลู่ชิงจิ่ว”

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก เขาไม่สนอะไรอีก นอกจากเอื้อมมือเข้าไปกอดที่ตัวของไป๋เยวี่ยหู ศีรษะของเขาพาดวางบนไหล่ของไป๋เยวี่ยหู “ไป๋เยวี่ยหู ในที่สุดนายก็กลับมา”

ไป๋เยวี่ยหู “อืม ฉันกลับมาแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความสงสัยขึ้นมา มือที่โอบกอดไป๋เยวี่ยหูอย่างแนบแน่นค่อยๆ คลายออกจากกัน กลิ่นบนตัวของไป๋เยวี่ยหูไม่เหมือนเดิม ถึงจะดูเป็นเรื่องน่าขำ แต่ด้วยความที่ทั้งสองสนิทสนมกัน เขาถึงได้แน่ใจว่ามีกลิ่นบางอย่างบนตัวของไป๋เยวี่ยหู กลิ่นนั้นจางมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลู่ชิงจิ่วเอาหน้าไปซบที่ไหล่ของไป๋เยวี่ยหูก็คงไม่ได้กลิ่น เป็นกลิ่นที่ลุ่มลึกซึ่งอบอวลไปด้วยไอเยือกเย็นราวกับน้ำแร่บนภูเขา เมื่อสูดดมเข้าไปจะรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งอก ราวกับว่าสมองจะถูกแช่แข็งไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น

ลู่ชิงจิ่วถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง

ไป๋เยวี่ยหูที่เห็นท่าทางอย่างนั้นก็ทำหน้าสงสัยออกมา “ลู่ชิงจิ่ว นายเป็นอะไรหรือเปล่า”

ลู่ชิงจิ่วขมวดคิ้วมองไปที่ไป๋เยวี่ยหู

ไป๋เยวี่ยหู “ลู่ชิงจิ่ว…”

ลู่ชิงจิ่ว “นายเป็นใคร”

ไป๋เยวี่ยหูทำหน้างง

ลู่ชิงจิ่วมั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองคิด เขาพูดเตือนออกไปอย่างแข็งกร้าว “นายไม่ใช่ไป๋เยวี่ยหู บอกมานะว่านายเป็นใครกันแน่”

ไป๋เยวี่ยหูที่แต่เดิมกำลังยิ้มอยู่เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ชิงจิ่วก็กลับไม่ยิ้มแล้ว รอยยิ้มนั้นค่อยๆ เลือนหายจากใบหน้าและเริ่มมองไปที่ลู่ชิงจิ่วอย่างพินิจพิเคราะห์ สายตาแบบนี้ทำให้ลู่ชิงจิ่วรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก เขาแน่ใจว่าบุคคลตรงหน้าไม่ใช่ไป๋เยวี่ยหูแน่นอน

“นายเหมือนกับยายของตัวเองเสียจริง” คนตรงหน้าพูด “เหมือนจนแทบจะเป็นคนคนเดียวกันเลย”

ลู่ชิงจิ่วไม่อยากเสวนาให้มากความ เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายจากบุคคลผู้นี้ จึงรีบเอื้อมมือไปปิดประตู ทว่าตอนที่เขาจะไปปิดประตูกลับถูกบุคคลนี้คว้ามือเอาไว้เสียก่อน

“ลู่ชิงจิ่ว” ผีเสื้อสีน้ำเงินบินออกมาจากตัวของเขาคนนั้น ร่างกายค่อยๆ หดเล็กลง “นายคือคนสุดท้าย” เมื่อพูดจบประโยคนี้ เขาก็พลันหัวเราะราวกับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก “ฉันเคยคิดว่ายายของนายจะเป็นคนสุดท้ายแล้วเสียอีก”

เมื่อได้ยินการเอ่ยถึงคุณยาย ลู่ชิงจิ่วก็ถึงกับหน้าถอดสี เขาคิดจะพูดอะไรต่อ แต่บุคคลปริศนากลับหมุนตัวและหายวับไปในพริบตาท่ามกลางฝูงผีเสื้อสีน้ำเงิน เมื่อดูจากรูปร่างของบุคคลปริศนา ดูท่าแล้วเหมือนจะเป็นเด็กที่ยังอายุไม่มาก ทั้งเส้นผมและดวงตาก็ล้วนแต่มีสีน้ำเงินสวยสดใส ทั้งเรือนร่างราวกับรูปปั้นน้ำแข็งที่แกะสลักออกมาอย่างไรอย่างนั้น หลังจากลู่ชิงจิ่วมองดูบุคคลนั้นหายไป เมื่อเขาก้มหน้าลงก็พบว่ามีผีเสื้อตัวหนึ่งร่วงอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง ลู่ชิงจิ่วก้มตัวลงไปคว้ามันขึ้นมา ผีเสื้อตัวนี้ถูกสร้างมาจากน้ำแข็ง ดังนั้นเมื่ออยู่บนมือของลู่ชิงจิ่วจึงละลายเหลือแต่เพียงน้ำที่ทิ้งไว้บนมือของเขาหลังจากที่มันกระพือปีกสองครั้ง

ลู่ชิงจิ่วรีบปิดประตูบ้านแล้วเข้าไปข้างในทันที

อิ่นสวินที่เฝ้ามองสองคนนั้นพูดคุยกันมาโดยตลอดสีหน้ามีความฉงนใจ ไม่รู้เลยว่าเด็กคนนั้นคือใครกันแน่

ลู่ชิงจิ่ว “ไป๋เยวี่ยหูยังไม่กลับมา พวกเรารอต่อไปเถอะ”

อิ่นสวินทำท่าเบะปาก “คนคนนี้ไม่มีมารยาทจริงๆ มาหาคนอื่นไม่ว่า แต่ทำไมต้องปลอมตัวเป็นไป๋เยวี่ยหูด้วย แบบนี้ไม่ต่างกับพวกหลอกลวงขโมยกอดคนอื่นเลย”

“ไม่รู้สิ”

เด็กคนนั้นก็คือคนที่ลู่ชิงจิ่วเคยเห็นในฝัน แน่นอนว่าคุณตาของเขาคงอยากจะบอกอะไรสักอย่าง ทว่าลู่ชิงจิ่วเองในตอนนี้ก็ยังคิดอะไรไม่ออก ประกอบกับว่าถ้าเด็กคนนั้นอยากจะทำร้ายลู่ชิงจิ่วขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยาก แล้วทำไมถึงไม่ลงมือแต่เลือกที่จะจากไป และความหมายของคนสุดท้ายคืออะไรกันแน่ หรือว่ามันคือผู้พิทักษ์คนสุดท้ายงั้นเหรอ

ลู่ชิงจิ่วที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้

โชคดีที่บุคคลปริศนานั้นจากไปได้สักชั่วโมงครึ่ง ไป๋เยวี่ยหูตัวจริงก็กลับมา

แน่นอนว่าลู่ชิงจิ่วในตอนนี้ระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ เปิดประตูออกแล้วเพ่งพินิจพิเคราะห์ไปที่ไป๋เยวี่ยหู เมื่อแน่ใจแล้วว่านี่คือไป๋เยวี่ยหูตัวจริง จึงค่อยสวมกอดชายหนุ่ม

ไป๋เยวี่ยหูที่เห็นลู่ชิงจิ่วมองด้วยสายตาแบบนั้นเลยเอ่ยปากถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

ลู่ชิงจิ่ว “ไม่มีอะไรๆ ก็แค่อยากดูว่านายได้รับบาดเจ็บอะไรมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูลูบที่หัวของลู่ชิงจิ่วแล้วพูดว่า “ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า ตอนนี้เรื่องมันจบแล้ว”

ไป๋เยวี่ยหูตอนที่กลับมายังคงสวมผ้าคลุมสีดำตัวนั้น ทว่าบนผ้าคลุมกลับมีร่องรอยฉีกขาดที่เกิดจากกรงเล็บ อีกทั้งลู่ชิงจิ่วยังได้กลิ่นคาวเลือดที่ตัวของไป๋เยวี่ยหูด้วย แน่นอนว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาพูด เมื่อเข้าไปในบ้าน ไป๋เยวี่ยหูกินอาหารไปนิดหน่อยแล้วก็เข้านอน เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกอ่อนเพลียไม่น้อย

หิมะตอนจะมาก็มาในชั่วข้ามคืน เมื่อจะหายไปก็หายไปในชั่วข้ามคืนเช่นกัน และอากาศร้อนในเดือนหกก็ได้กลับมาเยือนอีกครั้ง

อิ่นสวินที่กลับไปบ้านพบว่าเทียนที่ใช้สะกดวิญญาณได้กลับมาติดเป็นปกติแล้ว ส่วนชาวบ้านก็กลับมาปรากฏตัวกันตามเดิม และมีพฤติกรรมที่ปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง เสี่ยวฮวาที่ตอนแรกแน่วแน่ว่าจะเลิกสอนหนังสือให้หลี่เสี่ยวอวี๋เมื่อได้เห็นหน้าอันมึนงงของหลี่เสี่ยวอวี๋ก็รู้สึกผิดจนน้ำตานองหน้า ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะยอมประนีประนอม

“ต่อให้มีคนต้องตายก็ต้องสอบให้ได้” เสี่ยวฮวาได้แต่ปลอบตัวเองและติวคณิตศาสตร์ระดับโอลิมปิกให้หลี่เสี่ยวอวี๋เหมือนเดิมต่อไป “เหมือนกับที่คนว่าไว้ ตั้งใจเรียนวิชาเลข ฟิสิกส์ เคมี ไปที่ไหนไม่มีอดตาย แม้แต่ในยมโลกก็ตาม”

ลู่ชิงจิ่วได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ปล่อยให้เสี่ยวฮวาพูดไปเรื่อย

เสี่ยวฮวาว่า “เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว นายก็ช่วยสนับสนุนเรื่องติวหนังสือของฉันต่อไปแล้วกันนะ จะลำบากอะไรก็ช่างอย่าให้เด็กต้องลำบาก หรือจะขัดสนอะไรก็ตาม แต่อย่าได้ขัดสนเรื่องการศึกษา” แม้ว่าเด็กคนนี้จะตายไปแล้ว แต่อย่างน้อยๆ เขาก็เป็นเด็กดี

ลู่ชิงจิ่วเดินหนีออกไป เลิกสนใจเสี่ยวฮวาที่พูดพล่าม เขารู้ว่าเสี่ยวฮวาจะต้องใช้เวลาทำใจอีกหน่อยถึงค่อยทำการสอนต่อไปตามเดิมได้

เพียงผ่านไปแค่คืนเดียวสภาพทุกอย่างก็กลับคืนสู่ฤดูร้อนตามปกติ พวกฟืนทั้งหลายก็ใช้ต่อไม่ได้แล้ว ส่วนไป๋เยวี่ยหูก็นอนหลับอย่างกับคนตาย ถ้าไป๋เยวี่ยหูไม่นำมืออุ่นๆ มาสัมผัสที่ใบหน้า เขาก็คงจะคิดว่าอีกฝ่ายตายไปแล้วแน่ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้อาหารปลุกชายหนุ่มไม่สำเร็จ ลู่ชิงจิ่วเดินถือซุปไก่วนไปมาอยู่ในห้องหลายรอบก็ไม่เห็นว่าไป๋เยวี่ยหูจะตื่น ดูท่าแล้วเขาคงจะเหนื่อยมากจริงๆ

ไป๋เยวี่ยหูนอนพักไปสามวันเต็มๆ เมื่อตื่นขึ้นดวงตาก็เป็นสีเขียวเพราะความหิว ลู่ชิงจิ่วรีบไปเตรียมอาหารให้ทันที อิ่นสวินที่กำลังมาที่บ้านเห็นไป๋เยวี่ยหูจ้องมองมาที่ตัวเองทุกอณูรูขุมขน ก็ถึงกับต้องรีบวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อช่วยลู่ชิงจิ่วทำอาหารให้เสร็จเร็วขึ้น เพราะกลัวว่าไป๋เยวี่ยหูจะหิวจนคุมตัวเองไม่อยู่แล้วกินเขาเป็นอาหารแทน

เพื่อที่จะทำอาหารให้เสร็จไวขึ้น ลู่ชิงจิ่วเลยนำซุปไก่ที่ทำไว้เมื่อวานมาเติมเส้น แล้วโรยด้วยผักชี ตามด้วยไข่เจียวอีกห้าฟองใส่ลงไป ก่อนจะรีบเอาไปเสิร์ฟตรงหน้าไป๋เยวี่ยหู

ไป๋เยวี่ยหูคว้าตะเกียบขึ้นมาแล้วรีบซดด้วยความไวในขณะที่คนอื่นๆ ค่อยๆ กินไปทีละนิด เขาเหมือนจะกินเส้นบะหมี่ไปรวดเดียว ไม่มีแม้แต่จะเคี้ยวสักนิด ลู่ชิงจิ่วเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ยืนมองตาค้าง

เมื่อกินเสร็จ ไป๋เยวี่ยหูนั่งเงียบอยู่ประมาณสองนาที จากนั้นค่อยหันหน้าไปทางลู่ชิงจิ่วแล้วพูดเบาๆ ว่า “ยังไม่อิ่ม”

ลู่ชิงจิ่วที่นั่งมองตาค้างตะลึงอยู่ข้างๆ แทบจะสำลักอาหาร เขาไออยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงบอกกับไป๋เยวี่ยหูให้รอ แล้วตัวเองก็เข้าครัวไปทำอาหารอย่างอื่นเพิ่มให้

อิ่นสวินขยับตัวอย่างเชื่องช้าเพราะถูกจ้องมองโดยไป๋เยวี่ยหู “งั้น…เดี๋ยวฉันไปช่วยงานที่ครัวนะ”

ลู่ชิงจิ่วเตรียมข้าวผัดไข่จานมหึมาให้ไป๋เยวี่ยหู เขามองดูไป๋เยวี่ยหูกินจนหมดทั้งหม้อต่อหน้าต่อตา หลังจากที่กินเสร็จอารมณ์ของไป๋เยวี่ยหูก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ

แม้ว่าไป๋เยวี่ยหูจะไม่ได้โอดครวญถึงความหิวแล้วก็ตาม แต่ลู่ชิงจิ่วรู้จักอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง ทำให้รู้ว่าไป๋เยวี่ยหูยังไม่อิ่ม ดังนั้นทั้งวันของเขาจึงง่วนอยู่กับการเสิร์ฟอาหารให้ไป๋เยวี่ยหูอย่างไม่หยุดหย่อน

พอถึงตอนเย็น ในที่สุดไป๋เยวี่ยหูก็กินอิ่มเสียที ส่วนเรื่องที่ลู่ชิงจิ่วรู้ได้อย่างไรว่าไป๋เยวี่ยหูอิ่มแล้วนั้นก็เพราะว่าลู่ชิงจิ่วสังเกตพฤติกรรมและสายตาของไป๋เยวี่ยหูที่มองมายังอิ่นสวินอย่างมีเลศนัย สายตาที่มองมาที่ตัวอิ่นสวินนั้นไม่ใช่เพราะเกิดความสนใจอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่เป็นการชั่งน้ำหนักรสชาติของอีกฝ่ายว่าน่ากินมากน้อยแค่ไหนต่างหาก ถ้าจะให้เทียบดูแล้ว ก็เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่เห็นไอศกรีมริมถนน ด้วยฐานะยากจนจึงได้แต่มองตาปริบๆ แม้ว่าพ่อแม่เด็กจะถามว่าอยากกินมั้ย เด็กก็จะส่ายหน้าปฏิเสธแล้วบอกว่าตัวเองไม่อยากกิน

ส่วนอิ่นสวิน ณ เวลานี้ก็เริ่มตระหนักถึงสถานะของตัวเองในบ้านหลังนี้มากขึ้นว่าตนเองนั้นไม่ต่างจากเสบียงฉุกเฉิน ถ้าหากว่าวันไหนที่ไป๋เยวี่ยหูหิวจนขาดสติขึ้นมาคาดว่าตัวเขาคงจะโดนเขมือบแน่นอน

ลู่ชิงจิ่วไม่ถามต่อแล้วว่าไป๋เยวี่ยหูอิ่มหรือยัง เพราะยังไงเขาก็เข้าใจดีว่าตัวเขมือบอย่างไป๋เยวี่ยหูอย่างไรก็ไม่มีทางกินอิ่มแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิธีถามเป็นแบบที่ชาญฉลาดกว่าเดิมว่ายังอยากกินอะไรอีกมั้ย

ไป๋เยวี่ยหูส่ายหน้า “ไม่เอาแล้ว นายพักก่อนเถอะ นั่งลงคุยอะไรกับฉันหน่อย”

ลู่ชิงจิ่วตอบตกลงพร้อมนั่งลงข้างกายไป๋เยวี่ยหู

ทั้งสองได้พูดคุยกัน โดยไป๋เยวี่ยหูได้เล่าเรื่องที่มาที่ไปของเหตุการณ์หิมะที่เกิดขึ้น สาเหตุหลักมาจากการที่ทั้งสองโลกเกิดรอยรั่วระหว่างกัน สิ่งที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลกจึงได้หลุดลอดเข้ามา แต่สุดท้ายก็ถูกจัดการส่งกลับไป แก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้นได้สำเร็จ แม้ว่าที่เล่ามาคร่าวๆ นั้นสถานการณ์จริงจะน่ากลัวและอันตรายมากกว่าหลายร้อยเท่าก็ตาม

ลู่ชิงจิ่วฟังเรื่องที่ไป๋เยวี่ยหูเล่าและถามว่า “นายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่มั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูนิ่งไปพักหนึ่งแล้วพยักหน้าเบาๆ “ก็นิดหน่อย”

ลู่ชิงจิ่ว “ฉันขอดูหน่อย”

ไป๋เยวี่ยหูแสดงสีหน้าลังเลนิดหน่อย แต่ลู่ชิงจิ่วยังยืนกรานว่าจะขอดู สุดท้ายเขาจึงยอม อิ่นสวินที่อยากรู้อยากเห็นด้วยเช่นกันแต่ไม่อยากจะเข้าไปร่วมวงด้วยได้แต่มองไป๋เยวี่ยหูและลู่ชิงจิ่วเดินเข้าไปในห้อง ส่วนตัวเขาเองก็หาข้ออ้างว่าจะไปทำความสะอาดลานบ้าน

เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ลู่ชิงจิ่วจึงสังเกตบาดแผลที่ร่างกายส่วนบนของไป๋เยวี่ยหูหลังจากถอดเสื้อออกมา แม้จะบอกว่าเป็นแผลเล็กน้อย แต่ลู่ชิงจิ่วก็เห็นว่าที่ผิวหนังของไป๋เยวี่ยหูมีทั้งบาดแผลที่โดนความเย็นจนช้ำ และส่วนบนของร่างกายแทบจะไม่มีสภาพที่ดูสมบูรณ์ปกติเลย แผลเล็กแผลน้อยกระจายไปทั่วทั้งตัว จนขนาดว่าบางแผลลึกจนเห็นถึงกระดูกขาวๆ ไม่ต้องคิดที่จะถามถึงความเจ็บปวดเลยว่าจะเจ็บขนาดไหน ลู่ชิงจิ่วเห็นแบบนั้นก็รู้สึกหดหู่แทบขาดใจ เขายื่นนิ้วออกไปแตะบริเวณขอบแผลและถามว่า “ต้องการให้ฉันช่วยจัดการให้มั้ย แบบนี้นานแค่ไหนถึงจะดีขึ้นล่ะ”

ไป๋เยวี่ยหูยื่นมือออกมากุมที่ข้อมือของลู่ชิงจิ่วและนำมือของเขาขึ้นมาแตะที่บาดแผลของตน

“ไม่เจ็บหรอก ขอแค่นายมาสัมผัสยังไงก็ไม่เจ็บหรอก” ไป๋เยวี่ยหูพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

ลู่ชิงจิ่วกลัวจะไปทำให้ไป๋เยวี่ยหูเจ็บกว่าเดิมจึงรีบดึงมือออก เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของไป๋เยวี่ยหูก็พูดว่า “เวลานี้ยังจะมาพูดแบบนี้อีกนะ”

ไป๋เยวี่ยหูพูดด้วยเสียงที่ทุ้มลงเล็กน้อย “ถ้านายจูบฉันสักหน่อยก็หายเจ็บแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วไม่มีทางเลือก เขาไม่ถือสาเรื่องแบบนี้ เพียงแต่ตอนแรกแค่กลัวว่าบาดแผลของไป๋เยวี่ยหูจะปริออกหนักกว่าเดิม ดังนั้นจึงทำตามที่อีกฝ่ายขอ

ใครจะไปคิดว่าไป๋เยวี่ยหูจะมีลูกเล่น เขากะพริบตามองไปที่ลู่ชิงจิ่ว สายตาที่ดูกระหายและใสซื่อทำให้ใครที่เห็นเข้าล้วนแต่อดใจไม่ไหว ลู่ชิงจิ่วได้แต่เก็บคำปฏิเสธของตนเอาไว้และไม่ทันได้พูดออกมา สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวๆ แล้วพูดว่า “เอาเถอะ แต่ว่าครั้งนี้นายห้ามขยับนะ ให้ฉันจัดการเอง”

“ได้สิ”

ลู่ชิงจิ่วเอื้อมมือไปผลักไป๋เยวี่ยหูลงกับเตียง ค่อยๆ เริ่มจูบไปที่คางของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็เหลือบมองไปที่บาดแผลตามตัวของไป๋เยวี่ยหู ในใจได้แต่ถอนหายใจออกมายาวๆ ที่เห็นไป๋เยวี่ยหูบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เขาเองก็ทำใจไม่ได้ที่จะให้ไป๋เยวี่ยหูต้องเจ็บอีก อีกอย่างอยู่ด้านบนก็มีวิธีทำให้มีความสุขได้เหมือนกัน

ลู่ชิงจิ่วเล่นหูเล่นตาและยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นใจ

ไป๋เยวี่ยหูที่เห็นแบบนั้นยิ่งเหมือนถูกยั่วยวนให้ใจเต้นแรง จนท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว คว้ามือไปโอบที่คอของลู่ชิงจิ่ว และแล้วทั้งสองก็คลอเคลียกันอย่างนี้

บทที่ 94 ไหลึกลับ

 

หลังจากที่ปลอบประโลมซึ่งกันและกัน ทั้งไป๋เยวี่ยหูและลู่ชิงจิ่วก็นอนเอนกายบนเตียงกันอยู่ครู่หนึ่ง

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเนื้อตัวเหนอะหนะจึงลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำ ตอนที่เขากลับมาที่ห้องก็เห็นไป๋เยวี่ยหูหลับไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าร่างกายของอีกฝ่ายยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ แม้ขณะที่หลับแล้วบริเวณระหว่างคิ้วก็ยังคงเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้า ถ้าหากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่ไป๋เยวี่ยหูมีสีหน้าพึงพอใจแล้วล่ะก็ ลู่ชิงจิ่วคงจะคิดว่าตัวเองได้สร้างความลำบากให้ไป๋เยวี่ยหูเพิ่มเสียแล้ว เขาสำรวจร่างกายของไป๋เยวี่ยหูคร่าวๆ จนแน่ใจว่าบาดแผลพวกนั้นไม่ได้ปริออก แล้วค่อยเอาผ้าอุ่นๆ มาวางไว้บนท้องของไป๋เยวี่ยหูเพื่อป้องกันความเย็นเข้าตัว ก่อนจะย่องออกไปเงียบๆ

อิ่นสวินที่กำลังให้อาหารเสี่ยวฮวาได้ยินลู่ชิงจิ่วเดินออกมาเงียบๆ เลยพูดไปว่า “นายเสร็จธุระแล้วเหรอ”

ลู่ชิงจิ่ว “…เสร็จธุระแล้ว”

อิ่นสวิน “ระวังตัวด้วยล่ะ”

ลู่ชิงจิ่ว “นี่นายเตือนฉันหรือเตือนไป๋เยวี่ยหูกันนะ?”

อิ่นสวินหันกลับมามองหน้าลู่ชิงจิ่วแล้วพูด “ฉันว่าจะเตือนไป๋เยวี่ยหู แต่คิดไปคิดมาแล้วเตือนนายน่าจะดูเข้าท่ากว่านะ”

ลู่ชิงจิ่วหุบยิ้ม “พอแล้ว โทษฐานที่นายพูดมาก พรุ่งนี้รีบเข้าเมืองไปซื้อเนื้อเลยนะ พรุ่งนี้พวกเราจะทำเนื้อย่างกินกัน”

“หลายวันนี้ไป๋เยวี่ยหูคงจะหิวเนื้อเป็นพิเศษ แบบนี้ก็เตรียมอาหารเป็นเนื้อชุดใหญ่ไปเลยดีกว่า อยากกินเท่าไหร่ก็กิน”

อิ่นสวินได้ยินแบบนั้นก็รีบตอบตกลงทันที ก่อนที่จะขอตัวกลับก่อน

ลู่ชิงจิ่ว “อืม กลับไปเถอะ”

อิ่นสวินกลับไปแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็กลับเข้าห้องของตัวเอง เขาเอนนอนลงข้างๆ ไป๋เยวี่ยหู ไม่ว่าจะพลิกตัวกลับไปกลับมาอย่างไรเขาก็ยังคงนอนไม่หลับอยู่ดี สุดท้ายจึงไปหยิบบันทึกของคุณยายออกมานั่งอ่านอย่างละเอียดอยู่หลายรอบจนใกล้จะถึงเวลาเที่ยงคืน เขาก็เริ่มรู้สึกง่วงและเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

 

วันต่อมาลู่ชิงจิ่วรีบตื่นขึ้นมาแต่เช้า เขาเตรียมอาหารเช้าให้ไป๋เยวี่ยหู เมื่อเสร็จแล้วก็เข้าเมืองไปกับอิ่นสวินและซื้อเนื้อชุดใหญ่กลับมา ไม่ว่าจะเนื้อไก่ เนื้อหมู หรือเนื้อแกะก็ซื้อมาทั้งหมด แถมยังมีพวกอาหารทะเลแห้ง เห็ดหอม และอาหารแห้งอีกจำนวนหนึ่งด้วย

ตอนที่ทั้งสองไปซื้อของก็บังเอิญได้พบกับหูซู่และคู่หูของเขา ลู่ชิงจิ่วทักทายพร้อมพูดคุยกับพวกเขา

“อากาศงั้นเหรอ หลายวันมานี้อากาศในเมืองไม่ใช่ว่าร้อนมาตลอดเหรอ” หูซู่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วถาม จึงได้แต่ถามกลับอย่างงงๆ “มีอะไรหรือเปล่า”

ลู่ชิงจิ่วส่ายหน้าบอกแต่ว่าตัวเองแค่ถามไปอย่างนั้น

หูซู่รู้สึกแปลกใจ “คำถามทั่วไปงั้นเหรอ”

ลู่ชิงจิ่ว “ใช่แล้ว”

หูซู่ “เออใช่แล้ว มะรืนนี้พวกนายว่างกันมั้ย ว่าจะชวนมากินข้าวซะหน่อย เรื่องที่โรงเรียนอนุบาลในครั้งก่อนยังไม่ทันได้ขอบคุณพวกนายเลย”

“มะรืนนี้เหรอ” ลู่ชิงจิ่วคิดอยู่สักพักก่อนตอบ “ยังรับปากไม่ได้ครับ เดี๋ยวผมต้องกลับไปถามคนอื่นก่อนนะ”

หูซู่พยักหน้าและถือว่านี่คือการตกลงแล้ว

ทั้งสองซื้อของเสร็จเรียบร้อยก็หิ้วทั้งห่อเล็กห่อใหญ่กลับมาที่บ้าน และเมื่อมาถึงเขาก็ยังคงเห็นไป๋เยวี่ยหูนอนสลบไสลอยู่ตามเดิม ลู่ชิงจิ่วไม่ได้ปลุกไป๋เยวี่ยหูขึ้นมา เขาและอิ่นสวินไปช่วยกันจัดการพวกวัตถุดิบ โดยเอาเนื้อที่ซื้อมาหมัก ส่วนกุ้งนำไปละลายน้ำแข็ง และอาหารจำพวกผักก็นำไปล้างให้สะอาด ก่อนหน้านี้เวลาทำเนื้อย่างจะใช้แต่เตาถ่าน แต่ครั้งนี้ลู่ชิงจิ่วว่าจะลองเปลี่ยนไปใช้หม้อทอดแทน เขาเตรียมพวกผักเพื่อใช้ตัดความเลี่ยน ทั้งยังเตรียมกิมจิไว้มากินคู่กับเนื้อย่างด้วย

หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็ไปปลุกไป๋เยวี่ยหู ไป๋เยวี่ยหูลืมตามองหน้าลู่ชิงจิ่วด้วยความสะลึมสะลือ เขาคว้าตัวลู่ชิงจิ่วแล้วจุมพิตเบาๆ ที่มุมปาก หูของเขาตั้งขึ้นดูขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่มีความเยือกเย็นและโหดเหี้ยม…มันทำให้ลู่ชิงจิ่วนึกถึงภาพที่ไม่เหมาะสมกับเด็กขึ้นมา

เวลาที่มีอารมณ์มากๆ หูของไป๋เยวี่ยหูมักจะตั้งชูชันขึ้นมาแบบนี้ เวลาที่ลู่ชิงจิ่วอดใจไม่ไหวก็จะยื่นมือไปจับเอาไว้ แม้กระทั่งก้มหน้าลงไปกัดหูพวกนั้นเล่น ความรู้สึกที่ได้กัดลงไปก็นุ่มละมุนเกินบรรยาย…ในขณะเดียวกันร่างกายของไป๋เยวี่ยหูก็จะยิ่งตื่นตัวมากขึ้น ให้อารมณ์เหมือนลู่ชิงจิ่วกำลังประคบประหงมเขามังกรของตัวเอง

ไม่รู้ว่าทำไมมังกรที่ดูเย็นชาและโหดร้ายถึงมีหูน้อยๆ ที่น่ารักปุกปุยได้ขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ความน่ามอง แต่สัมผัสที่ได้ยังทำให้คนไม่อยากปล่อยมือ

ลู่ชิงจิ่วลูบไล้ไป๋เยวี่ยหูที่กำลังสะลึมสะลือและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ไป๋เยวี่ยหู ไปกินข้าวกันเถอะ”

ไป๋เยวี่ยหูกำลังงัวเงียไม่ค่อยได้สติ แต่ปากก็ตอบตกลงไปว่า “อืม”

ลู่ชิงจิ่ว “เด็กดี เดี๋ยวกินเสร็จแล้วค่อยนอนนะ”

ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้าและยังคงใช้หูของตัวเองคลอเคลียอยู่กับลู่ชิงจิ่ว จากนั้นจึงตื่นนอนได้อย่างเต็มตา

หลังจากที่อาบน้ำแล้ว ทั้งสองก็ไปที่ห้องนั่งเล่นและหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว

แม้ว่าเนื้อย่างจะไม่ได้ทำอย่างประณีตเท่ากับอาหารอื่นๆ แต่สัดส่วนของเนื้อที่มีก็นับว่าเป็นข้อดีที่สุดของการกินปิ้งย่าง ย่างจนเนื้อเป็นสีน้ำตาลแล้วนำไปวางบนผักพร้อมด้วยพริกสดๆ กิมจิ และกระเทียมอีกหน่อย เมื่อกินเข้าไปก็จะได้รสชาติแบบเต็มปากเต็มคำ

วันนี้ไม่ได้เข้าไปที่เมืองใหญ่เลยหาซื้อกุ้งสดๆ มาไม่ได้ หาได้แต่กุ้งแช่แข็งมาแทนไปก่อน แต่นำมาคลุกเคล้ากับผงพริกป่นก็ได้รสชาติที่ไม่เลวเลย ส่วนพวกผักสดที่เหลือลู่ชิงจิ่วก็จัดการทั้งหมด พวกเห็ดหอมหั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ ล้างให้สะอาดและลงไปย่างในหม้อ ผ่านสักพักก็จะมีน้ำออกมาจากตัวเห็ด ซึ่งน้ำเห็ดนี้ถือว่าเป็นของชั้นดี มีรสชาติอร่อย นอกจากนี้ยังมีก้อนเต้าหู้ที่ห่อด้วยกระดาษฟอยล์ ภายในยัดไส้ด้วยพริก ต้นหอม และเครื่องเทศ เมื่อกินเข้าไปแล้วให้ความรู้สึกเผ็ดร้อนช่วยให้รู้สึกตื่นตัว อีกทั้งยังช่วยแก้เลี่ยนจากเนื้อย่างได้เป็นอย่างดี

ลู่ชิงจิ่วอาศัยเวลาช่วงที่กินข้าวเล่าถึงเหตุการณ์ที่มีบุคคลปริศนาปลอมตัวมาเป็นไป๋เยวี่ยหูให้ฟัง เมื่อไป๋เยวี่ยหูได้ยินเรื่องราวก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาพร้อมย้อนถามถึงรายละเอียด จนถึงตอนที่ลู่ชิงจิ่วเล่าว่ากอดกับบุคคลนั้น ใบหน้าของไป๋เยวี่ยหูก็ยิ่งเรียบนิ่ง

ไป๋เยวี่ยหู “เขากอดนายแล้วเหรอ”

“ใช่” ลู่ชิงจิ่วกัดมะเขือย่างและพูดไปด้วย เขาไม่รู้ว่าทำไมการที่ไป๋เยวี่ยหูแสดงสีหน้าแบบนั้นถึงทำให้เขารู้สึกใจหวิวๆ “เพราะตอนนั้นฉันเองก็ยังแยกไม่ออกเลย”

ไป๋เยวี่ยหู “แยกไม่ออกเหรอ”

ลู่ชิงจิ่ว “อ่า…ครั้งหน้าแยกออกแน่นอน”

ไป๋เยวี่ยหูไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ลู่ชิงจิ่วที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนั้นจากไป๋เยวี่ยหูรู้สึกพิลึกชอบกล เขาหัวเราะออกมาเพื่อทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินไปและเปลี่ยนไปประเด็นอื่นในทันที

ลู่ชิงจิ่ว “ใช่แล้ว หูซู่เขาอยากจะชวนพวกเราไปกินข้าวน่ะ มะรืนนี้ว่างกันมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหู “ได้นะ”

ลู่ชิงจิ่วเห็นไป๋เยวี่ยหูตอบตกลง ในใจก็คิดว่าตัวเองผ่านด่านเมื่อกี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าขณะที่กำลังจะหายใจออกด้วยความโล่งอก กลับได้ยินไป๋เยวี่ยหูถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “แยกไม่ออกจริงๆ เหรอ”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

ไป๋เยวี่ยหูยังไม่ปล่อยวางกับคำถามนี้ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

ไป๋เยวี่ยหู “ฉันกับเขาน่าจะมีส่วนที่ไม่เหมือนกันอยู่นะ”

ลู่ชิงจิ่วไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่เคี้ยวอาหารไปอย่างเงียบๆ แล้วค่อยหยิบทิชชูมาเช็ดที่ริมฝีปาก ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของไป๋เยวี่ยหู

ไป๋เยวี่ยหูได้ยินคำพูดของลู่ชิงจิ่วก็สบายใจขึ้นมาทันที ทั้งยังยิ้มออกมาอย่างมีความสุข อิ่นสวินที่มัวแต่กินอาหารไม่สนใจใครจึงไม่รู้เลยว่าลู่ชิงจิ่วพูดอะไรออกไปถึงทำให้ไป๋เยวี่ยหูอารมณ์ดีขึ้นมาได้

“นายรับปากแล้วนะ อย่าคืนคำล่ะ” ไป๋เยวี่ยหูหลุบตาพร้อมกับหูที่ตั้งขึ้นมา

ใบหน้าของลู่ชิงจิ่วดูหมดหนทาง “อืม แต่ว่ารอแผลนายหายดีก่อนละกัน”

ไป๋เยวี่ยหู “ตอนนี้ฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว”

ลู่ชิงจิ่ว “นายอย่าพูดเลย เมื่อคืนฉันเกือบจะเห็นกระเพาะของนายแล้วนะ”

ไป๋เยวี่ยหู “…”

ลู่ชิงจิ่ว “อืม อาจจะไม่ใช่กระเพาะนะ แต่น่าจะเป็นลำไส้มากกว่า”

บาดแผลที่ท้องของไป๋เยวี่ยหูดูน่าสยดสยอง ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่มังกร ป่านนี้คงได้ตายไปเป็นหมื่นๆ ครั้งแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ลู่ชิงจิ่วไม่กล้าขยับตัวเปลี่ยนท่าเลย เขาคิดว่าถ้าหากนอนอยู่บนตัวของไป๋เยวี่ยหู กลัวว่าจะมีอวัยวะในช่องท้องสักชิ้นออกมาอยู่นอกร่างกายของเขา…แค่คิดภาพนั้นก็ขนหัวลุกแล้ว

ไป๋เยวี่ยหูและลู่ชิงจิ่วสื่อสารโดยที่เข้าใจกันเองสองคน ปล่อยให้คนโสดอย่างอิ่นสวินนั่งกินผักไปอย่างงงๆ ตอนนี้เขาเข้าใจคำพูดของจูเหมี่ยวเหมี่ยวแล้วว่าหมาโสดไร้คู่คืออะไร

ปาร์ตี้เนื้อย่างยาวนานไปจนถึงเที่ยงคืนกว่า ไป๋เยวี่ยหูกินอาหารทุกอย่างบนโต๊ะจนหมด เพราะตอนนี้ดึกมากแล้วลู่ชิงจิ่วจึงบอกอิ่นสวินว่าค่อยมาเก็บจานพรุ่งนี้แทน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน

วันถัดมาลู่ชิงจิ่วตอบกลับคำเชิญของหูซู่และถามถึงเวลาและสถานที่

หูซู่ [พรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ แล้วกัน เป็นช่วงที่พวกเราเปลี่ยนกะพอดี ส่วนสถานที่ก็ร้านเนื้อย่างข้างสถานีตำรวจแล้วกัน ร้านอาหารเจ้านี้เนื้อแกะย่างถือว่าเด็ดที่สุด พวกนายต้องมาลอง]

“ได้เลยครับ” ลู่ชิงจิ่วรับปาก

[ไม่เจอไม่กลับ ต้องเจอกันให้ได้]

ลู่ชิงจิ่วและหูซู่ที่นัดแนะกันเสร็จแล้วก็วางสายลง

จะว่าไปแล้วการได้มาที่หมู่บ้านสุ่ยฝู่ นอกจากเพื่อนบ้านแล้วลู่ชิงจิ่วก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนคนไหนอีกเลย ยิ่งกับตอนนี้ที่เขารู้แล้วด้วยว่าคนในหมู่บ้านไม่มีใครที่ยังมีชีวิตอยู่เลยสักคนก็ทำให้รู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย การพบกันครั้งก่อนระหว่างเขา หูซู่ และผังจื่อฉีถือได้ว่าสนิทสนมกันพอสมควร ซึ่งพวกเขาทั้งสองก็ทำงานเป็นตำรวจ รู้จักกันไว้หน่อยคงจะไม่เสียหายอะไร อีกอย่างพวกเขาน่าจะสามารถเข้าระบบภายในได้ และแน่นอนว่าคงจะต้องรู้ข้อมูลบางอย่างของพวกที่ไม่ใช่มนุษย์

บ่ายวันนั้นพวกเขาไปตามนัด แต่เมื่อเข้าไปถึงที่ตัวเมือง หูซู่ก็โทรมาว่าติดธุระนิดหน่อย เลยจะขอปรับเปลี่ยนเวลาเล็กน้อย

ลู่ชิงจิ่ว “กี่โมงดีล่ะถ้างั้น”

หูซู่ [พวกนายมาที่สถานีตำรวจแล้วกัน วันนี้ฉันกับผังจื่อฉีต้องเข้าเวร ประมาณเกือบสองทุ่มก็น่าจะเลิกละ เดี๋ยวตอนเลิกพวกเราค่อยไปที่ร้านกัน]

ลู่ชิงจิ่ว “…แน่ใจนะครับ?”

หูซู่ [แน่ใจสิ หัวหน้าพวกเราไม่อยู่ ไม่มีปัญหาแน่นอน]

“คุณบอกว่าวันนี้ไม่มีเวรไม่ใช่เหรอ” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความสงสัย

หูซู่อธิบายไปว่าวันนี้เพื่อนร่วมงานเกิดติดธุระกะทันหันขึ้นมา ก่อนที่จะออกไปเขาและผังจื่อฉีเลยต้องมาเฝ้าเวรแทน แม้ว่าในเมืองปกติจะไม่ได้มีเรื่องอะไร แต่ก็ไม่ควรวางใจเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

ลู่ชิงจิ่วเห็นว่าหูซู่พูดจามีเหตุผล เขาจึงขับรถกระบะของตัวเองมุ่งหน้าไปยังสถานีตำรวจ

ก่อนจะมาถึงที่นี่ ลู่ชิงจิ่วไม่เคยมาที่สถานีตำรวจเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เมื่อมาถึงที่แล้วกลับกลายเป็นเหมือนแขกคนสนิทของที่นี่ แถมยังได้ทำความรู้จักกับตำรวจอีกสองนายด้วย

สถานีตำรวจในเมืองค่อนข้างเล็ก โดยทั่วไปแทบจะไม่มีคดีใหญ่ๆ เหมือนกับครั้งก่อนที่มีคนพบศพในบ่อน้ำ ลักษณะคดีใหญ่ๆ แบบนี้จะโอนไปให้กับเมืองใหญ่ๆ ในการรับผิดชอบ

ลู่ชิงจิ่วเดินเข้าไปในสถานีตำรวจก็เห็นหูซู่กับผังจื่อฉีนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อทั้งสองเห็นลู่ชิงจิ่วก็รีบเข้ามาทักทายด้วยความอบอุ่น

“นั่งก่อนๆ เดี๋ยวฉันจะไปเอาชามาให้ดื่ม”

หูซู่ต้อนรับอย่างอบอุ่น เขาลุกออกไปและเทน้ำชาให้กับทั้งสามคน แม้ว่าข้างนอกจะร้อนแต่ในตัวอาคารเปิดแอร์กำลังดีจึงทำให้รู้สึกเย็นสบาย

ลู่ชิงจิ่วถาม “พวกคุณทำอะไรกันอยู่”

หูซู่ตอบ “ก็กำลังนั่งเขียนรายงานอยู่น่ะสิ เมื่อวานซืนในชุมชนพวกเราเจอวัตถุอะไรบางอย่างเข้า”

ลู่ชิงจิ่ว “เจออะไรเหรอครับ ของคืออะไร คงไม่ใช่ศพแบบครั้งที่แล้วเนอะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” หูซู่ตอบสบายๆ “จะเป็นศพได้ไงล่ะ ก็แค่ของเล็กๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง”

ลู่ชิงจิ่วได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขา ไป๋เยวี่ยหู และอิ่นสวินจึงนั่งรอให้ถึงเวลาเลิกเวรของอีกฝ่าย

ตอนนี้ก็เพิ่งจะหกโมงกว่า กว่าหูซู่จะเลิกเวรก็อีกราวๆ สองชั่วโมง เขาใช้เวลาที่รอนี้พูดคุยกับหูซู่ไปเรื่อยเกี่ยวกับเรื่องของพวกอมนุษย์ที่อยู่บนโลกมนุษย์ และเมื่อได้พูดคุยเขาจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกผู้ใหญ่ก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน แต่รู้ไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็ไม่มีวิธีจัดการอยู่ดี เพราะถึงอย่างไรพลังวิญญาณบนโลกนี้ก็ค่อยๆ เบาบางลงไป พวกที่มีพลังเรียกลมเรียกฝนได้แบบในอดีตต่างก็ล้มหายตายจากกันไป ถึงขนาดพลังง่ายๆ ขั้นพื้นฐานก็สูญหายไปด้วย

ลู่ชิงจิ่วถามต่อ “แล้วปืนนั่นยังถือว่าใช้ได้มั้ย”

“ไม่รู้เหมือนกันนะ ก็คงต้องดูประเภทของพวกมันก่อน ถ้าเป็นพวกสัตว์ร้ายก็คงพอได้ แต่ถ้าเป็นพวกภูตผีวิญญาณล่ะก็นะ…” หูซู่พูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

ทันทีที่เขาพูดจบ ในห้องก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา เสียงฟ้าร้องในขณะที่ท้องฟ้ากำลังสดใสดังสะเทือนจนฝุ่นบนเพดานถึงกับร่วงลงมาบนโต๊ะ และกระจกหน้าต่างเองก็เกือบแตก

“เฮ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” หูซู่ร้องอย่างตกใจ

ผังจื่อฉีที่กำลังเล่นเกมไพ่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์มีสีหน้าตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงแบบนั้น “ข้างนอกมีฟ้าผ่าเหรอ”

หูซู่ “ไม่น่าจะใช่นะ ดูเหมือนว่าเสียงมันจะมาจากในตัวอาคาร”

ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ในความเป็นจริงแล้วเสียงนี้ก็คล้ายกับเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เพียงแต่ว่าต้นเสียงไม่ได้มาจากด้านนอกแต่มันกลับมาจากข้างในอาคาร

หูซู่ “ในห้องมีของอะไรหรือเปล่า”

ผังจื่อฉีครุ่นคิด ก่อนที่หน้าของเขาจะเผยว่าคิดออกแล้ว “บ้าเอ๊ย ของที่เอามาวันนี้ไม่ได้เอาไปเก็บไว้ที่ห้องข้างๆ แล้วหรอกเรอะ”

หูซู่ “…”

พวกเขาเหมือนกำลังนึกอะไรขึ้นมาได้ และในเวลาเดียวกันก็มองเข้าไปในห้องนั้น

ณ เวลานี้เสียงประหลาดดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของมันเหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ผ่าอยู่ข้างหู อิ่นสวินได้ยินก็ถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว “นี่ไม่ใช่เสียงฟ้าร้องเหรอเนี่ย ตกลงมันคือเสียงอะไรกันแน่”

“เดี๋ยวฉันไปดูเอง” ผังจื่อฉีพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เลียที่ริมฝีปากตัวเอง

ผังจื่อฉีมุ่งหน้าไปที่ห้องนั้น ลู่ชิงจิ่วชำเลืองมองไปที่ไป๋เยวี่ยหู ซึ่งเขาก็เข้าใจความหมายที่อยากจะสื่อ เขาพูดเบาๆ ว่า “ไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก มีฉันอยู่”

ลู่ชิงจิ่วมีความอยากรู้อยากเห็นมาก ยิ่งเห็นไป๋เยวี่ยหูมีท่าทีนิ่งสงบขนาดนี้ ก็คิดว่าคงไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคิดแบบนี้เขาและอิ่นสวินที่อยากรู้อยากเห็นเหมือนกันก็เดินตามเข้าไปร่วมสังเกตด้วย

ผังจื่อฉีและหูซู่เดินไปถึงที่หน้าประตู หยิบกุญแจออกมาไขประตูอย่างระมัดระวัง ลู่ชิงจิ่วเห็นสัญลักษณ์ที่ประตูจึงรู้ว่านี่คือห้องที่ใช้เก็บของกลางโดยเฉพาะ ทว่าเพราะในเมืองไม่ค่อยมีคดีอะไรมาก ดังนั้นในห้องจึงค่อนข้างโล่ง เมื่อประตูเปิดออก หูซู่ก็เปิดสวิตช์ไฟ ลู่ชิงจิ่วจึงได้เห็นวัตถุบางอย่างที่วางไว้บนโต๊ะ

มันคือไหสวยงามสองใบ ใบหนึ่งเล็กอีกใบหนึ่งใหญ่วางอยู่บนโต๊ะในห้องโล่งๆ ที่ใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา ดูคร่าวๆ แล้วมันก็คืองานฝีมือธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งที่บนตัวไหประดับลวดลายประหลาดๆ คล้ายกับตัวอักษรอะไรสักอย่าง แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่อักษรจีน

ผังจื่อฉีเดินเข้าไปข้างๆ ไหอย่างระมัดระวัง

“คือเจ้านี่เองเหรอ ทำไมพวกคุณถึงต้องเอาของพวกนี้กลับมาด้วยล่ะ” ลู่ชิงจิ่วถามอย่างสงสัย

“เอ่อ…คือว่าคนที่แจ้งความบอกว่าเห็นคนปีนออกมาจากไห” หูซู่รู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาดูน่าขำ น้ำเสียงที่เขาพูดมีความกระอักกระอ่วนและจนใจ “เขาบอกว่าไหนี้คือสมบัติประจำตระกูลพวกเขา ในวันที่ทางบ้านล้มละลาย พวกเขาทำใจไม่ได้ที่จะขายทิ้ง หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้น ทั้งข้าวของขยับเองหรือซากสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยกระจายเกลื่อนทั่วบ้าน จนตอนหลังต้องเปิดกล้องวงจรปิด…”

“แล้วเห็นอะไรต่อจากนั้น” ลู่ชิงจิ่วถามอย่างตื่นเต้น

ผังจื่อฉี “ไม่มี กล้องวงจรปิดไม่ได้จับภาพแปลกปลอมอะไร พวกเขาเองก็คิดว่าต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ คืนหนึ่งตื่นขึ้นมากะทันหัน เห็นคนผมยาวคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ที่โซฟาในบ้าน มองหน้าพวกเขาอย่างตะลึงงัน”

ลู่ชิงจิ่ว “นี่มันจะดูหลอนเกินไปแล้วนะ”

หูซู่ “พอเป็นแบบนั้นเจ้าทุกข์ก็รีบวิ่งโร่เข้าแจ้งความทันที จากนั้นพวกเราก็รีบไปดูที่เกิดเหตุแล้วขอตรวจดูกล้องวงจรปิด”

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกล้องไม่สามารถจับภาพประหลาดอะไรได้เลย แต่ด้วยความที่เจ้าทุกข์ยืนกรานอย่างขึงขัง ทั้งหูซู่และผังจื่อฉีจึงต้องนำไหนั้นกลับมาที่สถานีตำรวจและเก็บไว้เป็นของกลาง เพราะถึงอย่างไรสถานีตำรวจนี้ก็มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด แถมไม่ค่อยมีพวกคดีใหญ่มากนักอยู่แล้วด้วย ส่วนมากก็มีแต่เรื่องเล็กๆ น้อยของชาวบ้าน อย่างเรื่องสามีภรรยาทะเลาะกัน หรือบ้านไหนกินพื้นที่เพื่อนบ้านคนอื่น เป็นต้น

ลู่ชิงจิ่วถาม “แปลว่าพวกคุณไม่ได้ดูว่าในไหนั้นมีอะไรอยู่หรือเปล่า”

“ไม่ได้ดูหรอก ถ้าเกิดว่าในนั้นมันมีอะไรแปลกปลอมขึ้นมาจริงๆ ป่านนี้คงไม่ได้เอามาเก็บไว้ที่นี่หรอก” เขาพูดอย่างอับจนหนทาง “ต่อให้ก่อนหน้านี้ฉันจะไม่เชื่อเรื่องลี้ลับอะไรพวกนี้ แต่ว่าตอนนี้…”

ลู่ชิงจิ่ว “ตอนนี้?”

หูซู่ “ตอนนี้ฉันกำลังวิจัยเรื่องลี้ลับอยู่”

ลู่ชิงจิ่ว “หืม…?”

หูซู่อธิบายให้ลู่ชิงจิ่วฟังต่ออีกว่าทุกปรากฏการณ์ลี้ลับที่จริงแล้วสามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างเช่นสนมเทพสายฝนแท้จริงแล้วก็แค่เป็นอีกสปีชี่ส์หนึ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่จำพวกมนุษย์ แต่โดยพฤตินัยก็ถือว่ามีตัวตนอยู่จริง

ทฤษฎีที่ว่ามานี้เล่นเอาลู่ชิงจิ่วยิ่งฟังยิ่งงง เขาเงียบอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยเอ่ยถามไปว่า “ถ้างั้นเรื่องไหใบนี้จะอธิบายยังไงเหรอครับ”

หูซู่มองไปที่ไหใบนั้น ด้วยความที่ตัวยืนห่างจากของกลางค่อนข้างไกล แต่เพราะภาระหน้าที่เขาจึงต้องทำใจดีสู้เสือเดินไปที่ข้างๆ ไหใบนั้นและก้มมองดูข้างในอย่างระแวดระวัง เมื่อมั่นใจแล้วว่าข้างในไม่มีสิ่งแปลกปลอม เขาก็หยิบขึ้นมาพลิกกลับไปกลับมาและเขย่าๆ “เห็นมั้ย…บอกแล้วว่าข้างในมันไม่มีอะไร”

ข้างในไหโล่งกลวงไม่มีอะไรหล่นออกมา ทว่าผังจื่อฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เฮ้ย รีบวางมันลงเถอะ”

หูซู่มีสีหน้างุนงง “เอ๊ะ ทำไมล่ะ”

“โธ่เอ๊ย รีบวางมันลงซะ!!!” ผังจื่อฉีขึ้นเสียง “ข้างในมีอะไรบางอย่าง!”

หลังจากที่ผังจื่อฉีพูดจบ สายตาของหูซู่ก็เหลือบไปเห็นตาสีเขียวคู่หนึ่งเพ่งเล็งมาที่ตัวเขาจากข้างในไหใบนั้น

“เฮ้ย” หูซู่ตะโกนออกมาด้วยความตกใจสุดขีด ทันทีที่เขาปล่อยมือไหก็ร่วงหล่นพื้น และทันทีที่ไหหล่นลงถึงพื้นมือขาวซีดคู่หนึ่งก็ตะเกียกตะกายยื่นออกมา และคลานหนีออกไปที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว

ทุกคนกำลังยืนอึ้งกับเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้า ต่างคนต่างพูดอะไรไม่ออก ไป๋เยวี่ยหูซึ่งยืนรออยู่หน้าประตูอย่างสงบนิ่งยื่นขาออกไปเตะที่ไหตรงๆ

ไหที่ร่วงลงไปอยู่ที่พื้นกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่รอบหนึ่ง จนมือสีขาวคู่นั้นหดกลับเข้าไปข้างในเหมือนเดิม และประจวบเหมาะกับที่ไหใบนั้นกลิ้งไปอยู่ที่ข้างเท้าของลู่ชิงจิ่ว เขาชะเง้อไปมองอีกครั้ง พบว่าข้างในมีเพียงความมืดมิดอันว่างเปล่า มือที่ยื่นออกมาคู่นั้นตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว ไหกลับมามีสภาพโล่งๆ ตามเคย

สายตาของทุกคนต่างจ้องไปที่ไหใบนั้น

“นี่…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย” อิ่นสวินถามด้วยความสั่นกลัว

ลู่ชิงจิ่วกำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าไหเปล่าๆ ที่ล้มอยู่บนพื้นกลับมีเสียงเหมือนฟ้าร้องดังออกมา และครั้งนี้เสียงของมันมาดังอยู่ที่ข้างหูของเขา ดังถึงขนาดที่ทำให้ใครหลายคนถึงกับมึนหัวตาลาย

ลู่ชิงจิ่วอุดหูของตัวเองที่กำลังได้ยินเสียงสั่นสะเทือน “นี่มันอะไรกันเนี่ย”

ไป๋เยวี่ยหู “นี่ฉันก็เพิ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก”

ลู่ชิงจิ่ว “หืม?”

ไป๋เยวี่ยหูก้มตัวลงแล้วหยิบไหใบนั้นขึ้นมา ทันทีที่มันมาอยู่บนมือของเขา ไหใบนั้นก็สั่นไม่หยุดราวกับว่ากำลังหวาดกลัวอยู่ ไป๋เยวี่ยหูจ้องมองอยู่สักพักแล้วจึงสรุปออกมา “น่าจะเป็นพวกปีศาจตัวเล็กที่สิงอยู่ในนี้”

ลู่ชิงจิ่ว “ปีศาจงั้นเหรอ แล้วเสียงฟ้าร้องเมื่อกี้ล่ะ นั่นคือวิธีการโจมตีของมันเหรอ”

หลายคนตอนนี้กำลังหน้าตาเคร่งเครียด ถ้าตามที่หูซู่บอกเอาไว้ ก่อนหน้าไหใบนี้ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ประหลาด จนเมื่อมันมาอยู่ที่สถานีตำรวจถึงค่อยได้ยินเสียงฟ้าร้อง

ไป๋เยวี่ยหูยื่นมือล้วงเข้าไปในไห แต่ถูกหูซู่ขวางไว้ก่อนเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้น ทว่าผังจื่อฉีที่อยู่ข้างๆ กลับห้ามหูซู่อีกที เขาส่งสายตาเพื่อบอกหูซู่ว่าไป๋เยวี่ยหูไม่ใช่คนธรรมดา ปล่อยเขาจัดการไปเถอะ หูซู่ที่รู้แบบนั้นแล้วก็ปล่อยให้ไป๋เยวี่ยหูจัดการต่อไป

มือของไป๋เยวี่ยหูล้วงเข้าไปสัมผัสสิ่งที่อยู่ในไห และเมื่อดึงมือออกมาก็พบของเหลวลักษณะโปร่งแสงที่ดูไปแล้วไม่ต่างจากน้ำเปล่าธรรมดาเกาะติดมากับมือของเขาด้วย เขายกมือขึ้นมาดมกลิ่น จากนั้นก็ขมวดคิ้ว

ลู่ชิงจิ่วคิดว่าน้ำนั่นต้องมีปัญหาอะไรอย่างแน่นอน เขาจึงรีบหยิบทิชชูออกมาเช็ดทำความสะอาดมือของไป๋เยวี่ยหูทันที

ลู่ชิงจิ่ว “นี่มันคือน้ำอะไรเหรอ”

ไป๋เยวี่ยหู “ดูแล้วน่าจะเป็น…”

ลู่ชิงจิ่ว “เป็น?”

ไป๋เยวี่ยหูพูดต่อ “น่าจะเป็นน้ำตาของปีศาจน่ะ”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

ทุกคนเงียบกันอยู่สักพัก แล้วหูซู่ก็พูดติดอ่างขึ้นมาว่า “นะ…นะ…น้ำ…น้ำตางั้นเรอะ หมายความว่าไหนี่มันร้องไห้งั้นเหรอ”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “ดูเหมือนจะใช่”

อิ่นสวินรู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับเหตุการณ์นี้ “แปลว่าเสียงฟ้าร้องเมื่อกี้คือเสียงร้องไห้เหรอ”

ไหใบนั้นราวกับว่าจะขานรับกับคำพูดของอิ่นสวิน คราวนี้มันส่งเสียงดังสนั่นอีกครั้งจนคนแทบจะหูหนวก ซึ่งทั้งนี้ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดเปลี่ยนใจอะไรขึ้นมา เพราะลู่ชิงจิ่วที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องในรอบนี้กลับสัมผัสได้ถึงอาการของคนที่กำลังร้องไห้ ตอนแรกฟังเหมือนเสียงคำรามน่ากลัวจนชวนให้ขนลุกซู่ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนเป็นเสียงร้องไห้อย่างหมดอาลัยตายอยาก

“มันกำลังร้องไห้เรื่องอะไรเหรอ” หูซู่เสียงสั่น

“นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าก่อนหน้านี้มันไม่เคยส่งเสียงอะไรเลย นี่มันเพิ่งร้องไห้เป็นครั้งแรก” อิ่นสวินตอบ

“ใช่ แล้วยังไงต่อ” หูซู่ถาม

“ก็นายไปแยกเขาออกมาจากครอบครัว แถมยังเอามาขังไว้ที่สถานีตำรวจอีก แบบนี้จะไม่ให้ร้องไห้ได้ยังไง” อิ่นสวินอธิบาย

หูซู่ “…”

ผังจื่อฉี “…”

ที่อิ่นสวินพูดมาถือว่ามีเหตุผล พวกเขานิ่งไปชั่วขณะโดยที่ไม่รู้ว่าจะเถียงอะไรได้อีก

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 01 ธ.ค. 65

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: