บทที่ 3
มหาวิทยาลัยหลงเฉิงเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและมีประวัติอันยาวนาน
ช่วงเวลานี้ใกล้จะเปิดภาคเรียน ตามหลักแล้วควรมีผู้คนจำนวนไม่น้อย แต่มหาวิทยาลัยหลงเฉิงได้ย้ายที่ทำการหลักไปอยู่ชานเมืองเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ นานแล้ว เขตมหาวิทยาลัยเก่าในตัวเมืองเหลือเพียงหน่วยงานฝ่ายบริหาร อาจารย์และนักศึกษาปริญญาเอกกับปริญญาโทบางภาควิชาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนบางตา
จ้าวอวิ๋นหลานอุ้มเจ้าแมวดำยืนรอกัวฉางเฉิงอยู่หน้าหอพักแห่งหนึ่งเป็นเวลานาน และแล้วคนที่เขารอก็มาถึง
เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กฝึกงานที่เขาเจอเมื่อคืนคนนั้นเอาแต่ก้มหน้าก้มตา…กัวฉางเฉิงเดินไหล่ห่อคอตกอยู่บนถนน ก้มหัวต่ำจนแทบจะมองไม่เห็นผู้คน เส้นผมก็ยาวจนเกือบจะปิดตา เมื่อรวมเข้ากับชุดไว้ทุกข์สีดำล้วนไม่มีสีอื่นเจือปนบนร่าง มองจากระยะไกลก็ดูคล้ายดอกเห็ดที่แกว่งไกวในสายลม
จ้าวอวิ๋นหลานหรี่ตาเพ่งมองกัวฉางเฉิงที่กำลังเดินเข้ามาหา แล้วพูดกับเจ้าแมวดำว่า “อยากรู้จริงๆ ว่าวังเจิงพูดอะไรกับเขา ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าหน้าตาของเจ้าเด็กนี่มันโศกเศร้าอย่างกับคนถูกบังคับให้ค้าประเวณีไม่มีผิด”
เจ้าแมวดำหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน “คุณนายแม่ก็พูดเกินไป”
กัวฉางเฉิงขยับไปข้างหน้าทีละก้าวๆ จนมาถึงเบื้องหน้าของจ้าวอวิ๋นหลาน เขาพูดเสียงหงุงหงิงเหมือนหญิงสาวที่เพิ่งถูกหัวหน้าโจรป่าลักพาตัวไปเป็นภรรยา “…ให้ผมไปที่เกิดเหตุกับคุณ”
จ้าวอวิ๋นหลานจงใจถาม “ใครให้นายไปที่เกิดเหตุกับฉัน ฉันจะได้ไปเรียกเก็บค่าเสียเวลาถูกคน แล้วนี่นายพูดเสียงดังหน่อยได้มั้ย”
กัวฉางเฉิงขนลุกซู่ “เป็นวัง…วัง…วัง…”
จ้าวอวิ๋นหลานเริ่มรู้สึกเซ็ง เมื่อคืนเดินเฉียดกันแค่แวบเดียวเขาจึงไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมงานคนใหม่เป็นพวกห่วยแตก แค่พูดจาให้รู้เรื่องก็ยังทำไม่ได้ เขาจึงพูดพร้อมใส่แอ็กติ้งแบบจัดเต็ม “นายคงพอจะรู้สภาพที่เกิดเหตุบ้างแล้วใช่มั้ย นี่คือหอพักของผู้ตาย นายเข้าไปดูกับฉันก่อนก็แล้วกัน”
จ้าวอวิ๋นหลานพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในหอพัก ทว่าผ่านไปนานยังไม่ได้ยินเสียงคนเดินตามมา พอหันกลับไปก็เห็นว่ากัวฉางเฉิงยืนปิดปากเงียบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาวพลางประสานสายตาอย่างหวานฉ่ำกับป้าเจ้าของหอพักหน้าตาโหด
จ้าวอวิ๋นหลานพยายามระงับความโมโห แล้วทำท่าเหมือนกวักมือเรียกสุนัข “มัวยืนเซ่ออยู่ทำไม ฉันทักทายป้าแกแล้ว นายเข้ามาได้เลยไม่ต้องรายงานตัว”
จ้าวอวิ๋นหลานไม่พูดซะยังจะดีกว่า เมื่อกัวฉางเฉิงได้ยิน เขาก็ตอบสนองด้วยการยืดตัวตรงแล้วตะโกนตามแบบของทหาร “ขอ…ขออนุญาตครับ!”
ต่อจากนั้นเขาก็ตระหนักว่าตัวเองได้ทำเรื่องโง่ๆ ลงไปเสียแล้ว เขาจึงยืนหัวหูแดงเป็นขนมปังโลงศพ* อยู่ที่ประตู
ความประทับใจแรกที่จ้าวอวิ๋นหลานมีต่อเด็กฝึกงานคนนี้สรุปออกมาเป็นคำว่า ‘เจ้าคนโง่เง่า’ สี่พยางค์นี้เอง
ห้องพักหมายเลข 202 เป็นห้องพักขนาดมาตรฐานสำหรับนักศึกษาหญิงสองคน
เจ้าแมวดำกระโดดลงจากอ้อมอกของจ้าวอวิ๋นหลาน มันตรวจตราดูใต้โต๊ะตู้เตียงอย่างละเอียด สุดท้ายจึงกระโดดไปที่ขอบหน้าต่าง ก้มหัวลงดมดู ทันใดนั้นมันก็หันหน้าไปแล้วจามออกมาอย่างแรง
เมื่อคืนกัวฉางเฉิงถูกทำให้อกสั่นขวัญแขวนอย่างหนัก ตอนนี้เมื่อลองสังเกตดูเขาก็พบว่าเจ้านายสุดหล่อของตนมีเงาสะท้อน เมื่อรวบรวมความกล้าครุ่นคิดพิจารณา กัวฉางเฉิงก็มั่นใจว่าจ้าวอวิ๋นหลานเป็นคนจริงๆ เช่นนั้นเขาค่อยเบาใจ คอยเดินตามติดอีกฝ่ายราวกับขี้ปลาทอง
จ้าวอวิ๋นหลานล้วงซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า หยิบมันมาคาบไว้ในปากมวนหนึ่งแล้วจุดไฟแช็กอย่างชำนาญ เขาเดินตามเข้าไป ตบก้นเจ้าแมวดำสองสามทีเป็นการบอกให้มันหลบ จากนั้นจึงเขยิบเข้าไปใกล้ขอบหน้าต่าง หรี่ตามองพลางพ่นควันบุหรี่ขึ้นด้านบน
กลิ่นบุหรี่ของเขาไม่ฉุน มันผสมระหว่างกลิ่นเมนทอลและกลิ่นพฤกษาที่เย็นสดชื่น กลิ่นนั่นอบอวลอยู่บนตัวชายหนุ่มราวกับใส่โคโลญ ทำให้คนที่อยู่ใกล้เคลิบเคลิ้ม แต่น่าเสียดายที่รูปลักษณ์ของเขากระเซอะกระเซิงเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาคงกลายเป็นเพลย์บอยไปแล้วล่ะ
กัวฉางเฉิงได้ยินจ้าวอวิ๋นหลานพูดอีกครั้ง “ดู”
เขาก้มลงมองตามเสียงของจ้าวอวิ๋นหลาน พลันสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อมองเห็นรอยบางอย่างบนขอบหน้าต่างที่แต่เดิมเคยว่างเปล่า…มันคือรอยกระดูกฝ่ามือมนุษย์!
จ้าวอวิ๋นหลานก้มลงดมกลิ่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่มีกลิ่นคาว”
เจ้าแมวดำเอ่ยปาก “ไม่ใช่มันเหรอ”
กัวฉางเฉิงหันหน้าไปมองอย่างรวดเร็วจนกระดูกต้นคอส่งเสียงดังกร๊อบ เขาจ้องมองเจ้าแมวพูดได้ตัวแข็งทื่อ อาการชาที่น่าประหลาดเกิดขึ้นในเส้นประสาทของเขา
จ้าวอวิ๋นหลานส่ายหน้าอยู่ในกลุ่มควันเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “น่าจะไม่ใช่ สิ่งที่ทำลายชีวิตมนุษย์ได้ไม่มีกลิ่นแบบนี้”
จ้าวอวิ๋นหลานยื่นมือไปผลักบานหน้าต่างให้เปิดออก สายตาเบนไปที่กัวฉางเฉิงอย่างไม่ตั้งใจ จากสีหน้ามืดมนและท่าทางเลื่อนลอยของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่ามุมมองทั้งสาม** ถูกทำลาย และเส้นประสาทกำลังพันกันให้ยุ่งไปหมด จ้าวอวิ๋นหลานอดที่จะซ้ำเติมไม่ได้ เขาพูดกับกัวฉางเฉิงว่า “เด็กน้อย นายขึ้นไปดูให้หน่อยซิว่านอกหน้าต่างมีอะไร”
“เอ่อ…”
“เอ่ออะไรกัน ยังหนุ่มยังแน่น ให้มันว่องไวหน่อย ขึ้นไปเร็ว!”
กัวฉางเฉิงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เขายื่นหัวออกไปเหลือบมอง ‘ระดับความสูง’ ของชั้นสองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เกิดอาการเข่าอ่อนขึ้นมาทันที แต่ถ้าเขาหันกลับไปบอกจ้าวอวิ๋นหลานว่า ‘ผมไม่กล้า’ เขาต้องโดนทดสอบความกล้าหาญและทักษะในการสื่อสารหนักกว่านี้แน่นอน
* ขนมปังโลงศพ (Coffin bread) เป็นขนมรูปสี่เหลี่ยมคล้ายหีบศพ ทำจากขนมปังชุบไข่ทอดกรอบ ตรงกลางเจาะเป็นช่องใส่ไส้
** มุมมองทั้งสาม หมายถึงมุมมองที่มนุษย์มีต่อโลก มุมมองที่มนุษย์มีต่อการดำเนินชีวิต และมุมมองที่มนุษย์มีต่อค่านิยม
สุดท้ายเจ้าเด็กอับโชคก็ค่อยๆ ปีนกระดืบๆ เหมือนหอยทากขึ้นไปนั่งยองๆ บนขอบหน้าต่างด้วยสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขานั่งอยู่อย่างนั้นไม่กล้าขยับไปไหน พยายามเกาะหน้าต่างฉลุลายเอาไว้สุดชีวิต ทั้งร่างกายเขากล้าเคลื่อนไหวก็แค่ลำคอ
เขาใช้พลังทั้งหมดเพื่อหันศีรษะมองไปรอบๆ เนื้อตัวสั่นงันงก
ทันใดนั้นกัวฉางเฉิงก็มองเห็นเงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่างที่เปิดอยู่ เพียงพริบตาเส้นขนทั้งร่างของเขาก็ลุกพรึบขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับถูกสั่ง เขาตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าเงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่างไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว!
บนกระจกมีเงาสะท้อนของโครงกระดูกมนุษย์ซึ่งนั่งคุกเข่าตรงบริเวณเดียวกับที่เขานั่งยองๆ อยู่ มือที่มีแต่กระดูกชี้ไปที่รอยฝ่ามือบนขอบหน้าต่างทะลุผ่านข้อเท้าของเขา พลางมองเข้าไปในห้อง
กัวฉางเฉิงก้มหน้าลงทันที แต่ตรงนั้นกลับไม่มีอะไรเลย!
เขาแยกไม่ออกว่าข้อเท้าตัวเองที่เขามองเห็นอยู่นี้ไม่ใช่ความจริงหรือสิ่งที่สะท้อนอยู่ในกระจกไม่ใช่ความจริงกันแน่ วินาทีนั้นเขารู้สึกหนาวจับใจ แม้แต่ลมหายใจยังขาดห้วง
จากนั้นโครงกระดูกนั่นก็หันหน้ามา สายตาที่สะท้อนในกระจกสบตากับเขาเข้าพอดี กัวฉางเฉิงเหมือนมองเห็นใครบางคนอยู่ในเบ้าตาที่กลวงโบ๋ของมัน
ทั้งตัวและหัวของใครคนนั้นมีผ้าคลุมอยู่ ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ ในมือถืออะไรบางอย่าง…
ก่อนที่จะมองเห็นชัดๆ ว่าชายคนนั้นถืออะไรอยู่เขาก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งจากชั้นล่าง “เฮ้! นักศึกษา คุณปีนขึ้นไปทำอะไรบนนั้น!”
เสียงตะโกนที่โพล่งออกมาอย่างกะทันหันนี้ทำให้กัวฉางเฉิงที่ประสาทกำลังตึงเครียดตกใจจนสะดุ้ง บังเอิญว่าบนขอบหน้าต่างมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่ มันจึงลื่นมาก เมื่อเท้าข้างหนึ่งของเขาไม่ได้เหยียบอย่างมั่นคง โศกนาฏกรรมเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกจึงอุบัติขึ้น
จ้าวอวิ๋นหลานแขนขาตาไว รีบพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว พยายามยื่นมือไปคว้าตัวกัวฉางเฉิงไว้ แต่ก็คว้าตัวไม่ได้ จับได้เพียงเส้นผมที่แข็งกระด้างเหมือนหมวกของอีกฝ่ายเท่านั้น กัวฉางเฉิงร้อง “โอ๊ย!” ออกมาทันที เวลานั้นจ้าวอวิ๋นหลานเกิดมือสั่น กัวฉางเฉิงจึงหลุดมือตกลงไป
เจ้าแมวดำยืนอยู่บนขอบหน้าต่าง แกว่งหางไปมา “เมี้ยว…”
“ซวยแล้ว” จ้าวอวิ๋นหลานรีบหมุนตัววิ่งลงบันไดไปพลางก่นด่าไปพลาง “ไอ้เด็กไม่เอาไหนเอ๊ย!”
โชคยังดีที่คนข้างล่างมีใจเมตตา ผู้ชายคนนั้นยื่นแขนมารับกัวฉางเฉิงเอาไว้ ไม่ปล่อยให้เขาตกลงมาฟาดกับพื้นโดยตรง
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว ในฤดูที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้เขาก็ยังสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวและกางเกงสแล็กส์ขายาวอย่างเรียบร้อย บนจมูกที่โด่งเป็นสันมีแว่นตาไม่มีกรอบสวมอยู่ เขาถือแฟ้มแผนการสอนอยู่ในมือ ดูสุภาพเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน มีกลิ่นอายของปัญญาชนแผ่ออกมาอย่างเด่นชัด
เขาเอ่ยถามกัวฉางเฉิง “คุณเป็นอะไรรึเปล่านักศึกษา ไม่รู้หรือว่าปีนหน้าต่างแบบนั้นอันตรายมาก”
กัวฉางเฉิงไม่ได้สนใจอีกฝ่ายมากนัก เขามัวแต่แหงนหน้ามองไปที่หน้าต่างชั้นสองนั่น ที่ตรงนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
ราวกับโครงกระดูกในกระจกหน้าต่างกับคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำในดวงตาของมันเป็นเพียงภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาเอง สุดท้ายกัวฉางเฉิงก็นั่งแปะลงกับพื้นด้วยแข้งขาอ่อนแรง
“ข้อเท้าแพลงรึเปล่า ระวังหน่อยสิ” ชายหนุ่มสวมแว่นเอ่ยพลางก้มลงเล็กน้อย ก่อนพูดกับเขาต่ออย่างอดทนว่า “อีกอย่างมหา’ลัยมีกฎห้ามปีนป่ายสิ่งปลูกสร้าง ถ้าถูกจับได้ต้องโดนหักคะแนนความประพฤตินะ”
กัวฉางเฉิงก้มหน้าลง รู้สึกเหมือนตัวเองเกิดมาเป็นไม้ผุที่ไร้ค่า เขาคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไม่ได้นอกเสียจากจะเกาะผู้หญิงกิน…แค่ทำงานวันแรกเขาก็เกือบจะเป็นบ้าแล้ว
จ้าวอวิ๋นหลานวิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากตึก เขาจับกัวฉางเฉิงขึ้นมายืนดีๆ บนพื้นด้วยการหิ้วคอเสื้อราวกับหิ้วคอลูกเจี๊ยบ
แม้ใจจริงจ้าวอวิ๋นหลานจะอยากถอดรองเท้าออกมาฟาดหน้าเจ้าเด็กติงต๊องนี่สักทีสองที แต่เขาไม่อยากทำลายภาพลักษณ์อันทรงเกียรติและดีงามที่ตัวเองสู้อุตส่าห์ฉาบบังหน้าเอาไว้
ดังนั้นเขาจึงบังคับตัวเองให้เบือนหน้าหนีกัวฉางเฉิง และปล่อยให้เรื่องนี้มันจบไป
“สวัสดีครับ” เขาพูดกับชายหนุ่มที่ใส่แว่นตาพลางยื่นมือออกไป “ผมชื่อจ้าวอวิ๋นหลาน พวกเราเป็นคนจากกระทรวงความมั่นคงฯ ไม่ทราบคุณชื่ออะไรครับ”
ใบหน้าของชายหนุ่มที่สวมแว่นแสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา ราวกับว่ามีบางสิ่งทำให้เขาตกใจโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สีหน้านั้นก็เลือนหายไปในพริบตาจนทำให้คนอื่นคิดว่ารู้สึกไปเอง จากนั้นเขาก็ลดระดับสายตาลงแล้วจับมือจ้าวอวิ๋นหลานตามมารยาท “ผมชื่อเสิ่นเวย ผมสอนอยู่ที่นี่ ต้องขอโทษด้วย เมื่อกี้ผมคิดว่าเขาเป็นนักศึกษาที่มาเรียนซัมเมอร์”
มือของเสิ่นเวยเย็นเยียบราวกับศพที่เพิ่งออกมาจากช่องแช่แข็ง จ้าวอวิ๋นหลานสัมผัสแล้วรู้สึกตกใจ จนอดเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายไม่ได้ การกระทำนี้ทำให้เขาสบสายตาที่อยู่หลังแว่นของเสิ่นเวยเข้าพอดี
แม้เสิ่นเวยจะหลบสายตาอย่างรวดเร็ว แต่จ้าวอวิ๋นหลานก็รู้สึกได้ว่าสายตาที่เสิ่นเวยมองเขามันแปลกๆ…ไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่มันไม่ใช่สายตาที่คนเราใช้มองคนแปลกหน้าอย่างแน่นอน
ในฐานะนักสืบคดีอาชญากรรม แม้จะเป็นนักสืบในคดีอาชญากรรมที่ค่อนข้างผิดปกติ แต่เขาก็มีความรู้พื้นฐาน…อย่างเช่นทักษะในการสังเกตคนอยู่บ้าง
ทำงานสายนี้ การมีภาวะบอดใบหน้าส่งผลเสียต่องานมากที่สุด ถ้าเขาเจอหน้าใครสักครั้ง ต่อให้เจอกันเพียงแวบเดียว ภายหลังหากมีความจำเป็นเขาก็ต้องนึกให้ออกจนได้
ด้วยเหตุนี้จ้าวอวิ๋นหลานจึงมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอคนคนนี้มาก่อน
ในตอนนั้นเอง เจ้าแมวดำตัวใหญ่ที่ตัวกลมเหมือนลูกบอลไม่รู้ว่ากินยาอะไรผิดสำแดง มันเดินยักย้ายส่ายก้นตรงดิ่งเข้าไปเกาะข้อเท้าของเสิ่นเวยแล้วดมกลิ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ มันเดินวนรอบเท้าเขาหลายรอบ สุดท้ายก็ร้องเรียกเขาเบาๆ อย่างออดอ้อน
เจ้าแมวแก่ตัวนี้มีนิสัยเกียจคร้านเอาแต่กิน แต่ไหนแต่ไรมันชอบทำท่าเหมือนตัวเองเป็นผู้สูงส่ง คอยเหยียดมองมนุษย์บนโลกผู้โง่เขลา มันไม่เคยทำตัว…เหมือนแมวตัวหนึ่งแบบนี้มาก่อนเลย
จ้าวอวิ๋นหลานตกตะลึงเมื่อเห็นเจ้าแมวดำหมอบแทบเท้าของเสิ่นเวยอย่างสนิทชิดเชื้อเหมือนหญิงคณิกาที่หายางอายไม่ได้ สุดท้ายนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเอียงคออย่างประจบประแจง ใช้ขาหน้าเล็กสั้นที่ดูน่าขำสะกิดเข่าของเสิ่นเวย เหมือนพยายามขอให้เขาอุ้มมันขึ้นมา
เสิ่นเวยก้มลงไปอุ้ม เจ้าแมวดำไม่ใส่ใจมือที่เย็นเฉียบของเขา แล้วยังร้อง ‘เหมียว’ ออกมาอย่างนุ่มนวลอีกด้วย มันขดตัวกลมเป็นลูกบอลอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างว่าง่าย ดวงตาสีเขียวมรกตของมันประสานกับดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นของชายหนุ่ม
จ้าวอวิ๋นหลานเกิดภาพลวงตาเหมือนว่าทั้งสองกำลังจ้องมองซึ่งกันและกัน
ผ่านไปครู่หนึ่งเสิ่นเวยจึงส่งเจ้าเหมียวคืนให้จ้าวอวิ๋นหลานอย่างไม่เต็มใจนัก เขาลูบหัวมันไปมา “เจ้าแมวตัวนี้แสนรู้มาก มันมีชื่อรึเปล่า”
“มีสิ มันชื่อต้าชิ่ง” จ้าวอวิ๋นหลานพูดต่อไปว่า “ชื่อเล่นว่าเจ้าอ้วน ฉายาเจ้าแมวผี”
เจ้าแมวดำร้องเสียงดังสลัดภาพสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องในฝันทิ้งไป มันพองขนกางกรงเล็บจะข่วนจ้าวอวิ๋นหลาน
“โอ๊ะ ข่วนคนเป็นด้วย” เสิ่นเวยหัวเราะ ยื่นมือเข้าขวางกรงเล็บของมันกลางคัน เขาจับอุ้งเท้าของมันมาเขย่าเบาๆ กรงเล็บของเจ้าแมวดำหดกลับเข้าไปแต่โดยดี เหมือนมันไม่เป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งยังปล่อยให้เสิ่นเวยลูบหัวอย่างว่าง่าย
“เมื่อเช้าผมได้ยินมาว่าเกิดเรื่องที่มหา’ลัย เป็นยังไงบ้าง ผู้ตายเป็นนักศึกษาของเราจริงรึเปล่า” เสิ่นเวยเอ่ยถาม
เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมาของเจ้านาย กัวฉางเฉิงก็ฝืนใจหยิบถุงใส่เอกสารแล้วล้วงเอารูปถ่ายกับบัตรนักศึกษาของหญิงสาวคนหนึ่งออกมา เขาส่งให้เสิ่นเวยมือไม้สั่น แล้วพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า “ศาส…ศาสตราจารย์เสิ่นเวย สวัส…สวัสดีครับ รบกวนคุณช่วยดูหน่อย คุณรู้จักคนคนนี้รึเปล่า”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดใน Guardian เล่ม 1
Comments
comments